สฟิงซ์ (Sphinx)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2541.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2541.jpeg)
"สฟิงค์ (Spinx)" เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกันตามความเชื่อของคนแถวอียิปต์
จะว่าเฉพาะอียิปต์ซะทีเดียวก็จะรวบรัดไป เพราะสฟิงซ์มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ต่างไปตามการแต่งเติมสีสันให้น่ากลัว
มากขึ้นเท่าไร อย่างของชาวกรีกสฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรี
ส่วนของอียิปต์หรือพันธุ์ที่เราเรียกว่า "แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)" ก็มีรูปร่างเหมือนชาวกรีกนั่นแหละ
เพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเอง
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2335.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2335.jpeg)
และของพวกอียิปต์อีกเช่นกันที่สฟิงซ์แตกเผ่าเป็น "ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx)" ที่มีหัวเป็นแกะบ้าง
หรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย (Phoenicia)
มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวดและผมหยักศก ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิงและอาจจะเป็นแบบที่ส่งผ่านมา
ให้กับอียิปต์ก็ได้เพราะว่าตัวนี้สวม "งูแอสพ์ (Asp)" คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7217.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7217.jpeg)
สฟิงซ์ของตะวันออกกลางเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่า "ฉลาด" ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก มันพอใจ
ที่จะนอนผึ่งแดดอย่างเป็นสุข ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน ส่วนสฟิงซ์ของพวกกรีกกลับมีลักษณะที่ตรงกันข้าม
มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารเสียด้วยลักษณะที่เด่นชัด
ของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมวหรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือมันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมัน
ก่อนที่จะสวาปามเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่าง
ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเองก็บ่อย
สฟริงซ์ของชาวกรีก
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-1701.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-1701.jpeg)
เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีกที่โด่งดัง เรื่องหนึ่งเห็นจะไม่พ้นเรื่องของ "เจ้าแม่เฮรา (Hera)" ซึ่งมอบหมายหน้าที่
ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ "ไดโอนิซุส" เทพแห่งเมรัย
ได้มาสอนการทำไวน์ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อ
ด้วยการถามปัญหาที่เรียกกันว่า "ปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx)"
ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระหากตอบปัญหาของนางได้ แน่ล่ะตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงพระเอกคนหนึ่งนี้ต้องมีเรื่อง
ให้ไม่มีใครตอบได้ จนกว่าพระเอกของเรื่องคือ "เอดิปุส (Oedipus)" แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี
สฟิงซ์กระโดดออกมาจากหลังพุ่มไม้แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อมานพน้อยรูปงาม ก่อนจะส่งเสียงคำราม
ให้ขวัญหายเข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา
"อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น....?
"อ๋อ มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสอง ข้าง เมื่อโตเต็มที่
และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต"
เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-1821.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-1821.jpeg)
สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้น บนฟ้า
แล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล นี่ดูเหมือนหล่อนจะเป็น ฝ่ายแพ้ ทั้งๆที่ถ้าจะนับแล้วสฟิงซ์ต่างหาก ที่เป็นฝ่ายชนะ
เพราะหลัง จากที่สฟิงซ์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีส ถึงกับเชิญเอดิปุส
ขึ้นเป็นราชา และให้ แต่งงานกับราชินีม่าย โจคัสต้า (Jocasta) ของกษัตริย์องค์ก่อน และกว่าจะรู้ความจริงว่าโจคัสต้านี่เอง
คือมารดาผู้ให้กำเนิดเอดิปุส ก็เมื่อนางได้ตกเป็นราชินี อย่างแท้จริงของเอดิปุสไปเสียแล้ว โชคชะตาย่อมเล่นกลต่อ
ชีวิตของเขา มากกว่าที่จะถูกสฟิงซ์กินตาย...
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7535.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7535.jpeg)
สฟิงซ์ที่เฝ้าพีรามิดแห่งกิซาเป็นพันธุ์ที่เราเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต
ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย
และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ว่ากันว่า สฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่กว่าร่างจริงสองเท่าของฮาร์มาชิส
เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein" แปลว่า "การบีบรัด"
เป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าฉลาด ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก มันพอใจที่จะนอนผึ่งแดด อย่างเป็นสุข
ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-6975.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-6975.jpeg)
นอกจากนี้ยังมีสฟิงซ์แบบอื่นๆซึ่งแตกมาจากพวกอียิปต์อีกเช่นกัน เช่น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะบ้าง
หรือเป็นนกเหยี่ยว บ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย (Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ
ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิง และอาจจะเป็นแบบ ที่ส่งผ่านมาให้ กับอียิปต์ก็ได้
เพราะว่าตัวนี้สวมงูแอสพ์ (Asp) คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-6817.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-6817.jpeg)
สฟิงซ์ เกิดขึ้นมาจาก สามี ภรรยาคู่นี้ครับ...Typhon กับ Echidna (อสูรทั้งคู่)
และยังเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับ...
- Hydra (ตัวนี้ออกจะดัง)
- Cerberus (ไอ้ตูบสามหัว)
- Nemean (อสูรราชสีห์)
- Chimera (น่าจะรู้จักกันดี)
- Ladon (มังกรสองร้อยตา)
ปีศาจของกรีกนี่ จับฉ่ายใช้ได้ครับ พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ดันไม่คล้ายกันซักกระตัว
ต้องขอบคุณสฟิงซ์ครับ ที่ช่วยให้เกิดศัพท์ทางการแพทย์ "Oedipus's complex" ขึ้นมา
นอกจากสฟิงซ์ในตำนานแล้วก็ยังมีสฟิงซ์ที่รู้จักกันดีก็คือ สฟิงซ์ของอียิปต์ อาศัยอยู่บนทรายสีเหลืองนุ่มของ
ที่ราบสูงแห่งกิซา เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาซึ่งเรารู้จักกันดี... สฟิงซ์ สัตว์ลูกครึ่งที่ทอดร่างหันหน้าสู่ทิศตะวันออก
และหมอบเฝ้ามหาพีระมิดมานับพันปี!!
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7561.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387512-7561.jpeg)
เจ้าสัตว์ที่เกิดจากการรวมตัวอันแปลกประหลาดระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์
ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับรัดเกล้า
แบบกษัตริย์โดยรอบ ความกว้างของใบหน้านั้นประมาณ 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโตมีความยาวเกินกว่า 240 ฟุต
(วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมันมโหฬารจนคนที่เดินผ่านเหลือตัวนิดเดียว ว่ากันว่าสฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่
กว่าร่างจริงสองเท่าของ "ฮาร์มาชิส" เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่างเป็นสิงโตมีเศียรเป็นฟาโรห์อียิปต์
หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด
เพราะสฟิงซ์ของชาวกรีกเป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามาก็จะถามคำถาม
และถ้าตอบไม่ถูกจะฆ่าทิ้ง ส่วนหน้าที่ของสฟิงซ์แห่งกิซานอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว เบื้องหลังและทุกด้านของรูปปั้นอมนุษย์นี้
ยังมีพื้นที่ที่ เรียกว่า "นครมรณะ" รายรอบอยู่ นครมรณะกินอาณาบริเวณคลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตก
และเหนือของสฟิงซ์หลุมแล้วหลุมเล่าต่างถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลงหินที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง
และนักบวชชั้นสูงซึ่งผ่านกรรมวิธีการทำมัมมี่มาแล้ว
โดยที่สฟิงซ์จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้ายให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้น...
แล้วเจ้าสฟิงซ์นี้มีอายุเท่าไร?
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-7206.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-7206.jpeg)
ถ้านับตามลำดับญาติแบบเรา ๆ ก็คงเป็นปู่ทวดของปู่ทวด ของปู่ทวดของปู่ทวดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .... เป็นแน่
เพราะจากการคำนวณายุหินที่ใช้สร้าง โดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า สฟิงซ์มีอายุเกือบหมื่นปี แต่ว่าประวัติศาสตร์
ชนชาติอียิปต์เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วสฟิงซ์จะอายุเป็นหมื่นได้อย่างไร บรรดานักวิชาการจึงออกมาโต้
คารมกันยกใหญ่
บางกลุ่มก็บอกว่าสฟิงซ์ต้องสร้างในสมัย "ฟาโรห์คาฟเร" (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง) เพราะใบหน้าของสฟิงซ์นั้น
เหมือนพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเรมาก และสาเหตุที่มีการแกะสลักให้คล้ายกับพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเร
อาจเป็นเพราะพระองค์ได้สมมติตัวเอง โดยแสดงเจตนาว่าตัวสฟิงซ์นั้นแทนพระองค์ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-249.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-249.jpeg)
แต่ฝ่ายวิเคราะห์การผุกร่อนของหินก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้นเกิดจากน้ำมากกว่าที่จะเป็นลมและทรายตามที่เข้าใจ
เป็นไปได้ว่าก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดนที่ฝนตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมติฐานว่าพอมีความชุ่มชื่น
คนโบราณจึงเข้ามาอาศัยแล้วสร้างอนุสรณ์แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ก่อนที่จะล่มสลายไป จากนั้นบรรพบุรุษของชาวอียิปต์
ก็เข้ามาอาศัยแทนที่และครอบครองซากอารยธรรมอันนี้ไว้แบบเดียวกับชาวเผ่าอินคา ท้ายสุดต่างก็ยอมยุติลงด้วยสาเหตุ
เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเองไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณไม่ได้จารึกถึงวิธีและเวลา
ในการสร้างสฟิงซ์เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่องอายุของสฟิงซ์ก็ยังคงเป็นความลับต่อไป
แล้วรู้ไหม... ทำไมสฟิงซ์จมูกถึงบี้? สาเหตุที่จมูกของสฟิงซ์แหว่งหายไป เป็นเพราะถูกเอาเป็นเป้าไว้ซ้อมยิงปืนของ
ชาวอาหรับ ก็สมัยนั้นเขากำลังเห่อปืน... อาวุธรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา แต่พอซื้อมาแล้วก็หาที่ซ้อมเจ๋ง ๆ ไม่ได้ เลยหันมา
เอาสฟิงซ์เป็นที่ฝึกซ้อม เพราะนอกจากจะเป็นเป้านิ่งแล้ว ขนาดที่ใหญ่ยังเหมาะกับมือสมัครเล่นเป็นที่สุด จวบจนทุกวันนี้
สฟิงซ์ก็ยังคงทำหน้าที่เฝ้านครแห่งความตายและเหล่ามหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนแม้แต่น้อย
ดวงตาหินของมันทอดมองสรรพสิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยไม่ปริปากเล่าถึงความลับในอดีตให้ผู้ใดล่วงรู้...
ทิ้งไว้เพียงปริศนาและความลี้ลับ รอให้เหล่ามนุษย์ผู้มากด้วยความสามารถมาไข...
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2198.jpeg) (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1421387511-2198.jpeg)
ตัวประหลาด
เฝ้าพีระมิด