Rodney Alcala นักฆ่าเกมหาคู่
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-7297.jpeg)
ศตวรรษที่ 20 มีรายการเกมโชว์หนึ่งได้รับความนิยมในอเมริกา "The Dating Game" หรือ "เกมเดท" เป็นรายการของเอบีซี
ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 20 ธันวาคม 1965 มันเป็นเกมโชว์เพื่อความบันเทิงที่มีกติกาเกี่ยวกับหาคู่ โดยเกมจะมีดารารับเชิญมา
เป็นกรรมการ ทำการถามคำถามแก่ผู้เข้าแข่งขันสามคนที่เป็นเพศตรงข้ามที่อยู่ด้านหลังของม่าน (กรรมการไม่เห็น แต่ผู้ชมทางบ้าน
และห้องส่งเห็น)
ซึ่งส่วนมากคำถามมักเกี่ยวกับความรัก การเดท โรแมนติก (แต่ห้ามพูดถึงอาชีพหรือตัวตนของพวกเขา) ในช่วงท้ายของรายการ
พิธีกรจะต้องให้กรรมการตัดสินใจเลือกหนึ่งในสามผู้แข่งขันที่ตอบคำถามถูกใจมากที่สุดเพื่อมาเป็นคู่เดท
แน่นอนว่าคู่แข้งขันที่จะสามารถเอาชนะเกมนั้นจะต้องเป็นคนโรแมนติก มีสำนวนโวหารในการตอบคำถามได้อย่างน่าสนใจ
ส่วนมากผู้แข่งขันนั้นจะอยู่สถานะโสด ทำให้เมื่อจบรายการแล้วมีผู้ชมทางบ้านที่ชมรายการเกิดความสนใจผู้แข่งขันบางคน
จนติดต่อขอคบเป็นแฟน และสมหวังมานักต่อนักแล้ว
มีเทปออกอากาศหนึ่งที่น่าสนใจ คือในปี 1978 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "ร็อดนีย์ อัลคาล่า" ได้ลงชื่อขอแข่งขันรายการเกมจับคู่
โดยอ้างว่าเป็นช่างภาพ ตอนนั้นจิม แลง ซึ่งพิธีกรรายการเกมโชว์ เห็นเขาน่าสนใจดี เลยจับเขาเล่นเกมโชว์ร่วมกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ
แม้ว่าในประวัติที่สมัครนั้นเขาจะมีคดีข่มขืนที่กำลังรอการตัดสินก็ตาม
ร็อดนีย์ในเกมเดท
http://www.youtube.com/v/Epg8ph_Abls
เมื่อร็อดนีย์ปรากฏตัวรายการ (เขาได้หมายเลข 1) เหล่าผู้ชมในห้องส่งและทางบ้านก็พบว่าเขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี เข้ม ผมยาว
สวมสูทสีน้ำตาล ปกเสือกีฬา ซึ่งเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น และเมื่อถึงเวลาที่เขาตอบคำถามก็พบว่าเสียงของเขาเซ็กซี่
ตอบได้ฉะฉาน อีกทั้งรวยอารมณ์ขัน หยอกล้อกับดาราอย่างน่ารักนิ่ง
ในเวลานั้นดารารับเชิญคือนักแสดงเจด มิลส์ได้อธิบายในภายหลังว่า "เขาเป็นคนที่แปลกมาก" และ "มีความคิดเห็นที่แปลกประหลาด"
เช่นคำตอบคำถามที่ถามว่าเวลาที่ดีที่สุดของคุณคืออะไร? ร็อดนีย์ตอบว่า "ยามค่ำคืน" ก่อนที่จะเสริมว่าเวลาค่ำคืนเป็นวันที่ผมรู้สึกดี
ไม่แปลกเลยว่าผลสุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นผู้ชนะในเกมเดทดังกล่าว
ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นฆาตกรโรคจิตสุดโหดไปได้!
ร็อดนีย์ อัลคาล่า (Rodney Alcala)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-5333.jpeg)
ร็อดนีย์ อัลคาล่า เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ออกอาละวาดในซานเควนตินที่สังหารผู้หญิงแปดรายในปี 1970 (แต่เชื่อว่าอาจสังหาร
เหยื่อไปถึง 130 ราย) ได้รับฉายาอย่างหนึ่งว่า "นักฆ่าเกมหาคู่" สาเหตุก็คือเขาเป็นคู่แข่งขันใน "เกมเดท" และได้เป็นผู้ชนะ
ร็อดนีย์เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1943 เป็นชาวเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส เขาเติบโตมาโดยกำพร้าพ่อ
เพราะพ่อหนีครอบครัวไปตั้งแต่เขายังเป็นทารก ทำให้แม่ของเขาต้องเลี้ยงดูเขาและน้องสาวของเขาตามลำพัง เมื่อเขาอายุ 17
เข้าร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกา แต่ในปี 1964 เขาก็ถูกปลดเนื่องจากจิตแพทย์วินิจฉัยว่าเขามีอาการทางจิตเป็นโรคบุคลิกภาพ
ต่อต้านสังคมอย่่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาต้องหันไปศึกษาประดับปริญญาตรีศิลปากรในลอสแอนเจลิสและลงทะเบียน
เรียนที่ UCLA ซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีในปี 1968
ร็อดนีย์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนอัจฉริยะไอคิวถึง 135 จุด ด้วยความฉลาดดังกล่าว เขาสามารถเรียนจบ มหาลัยแคลิฟอร์เนีย
ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในเรื่องศิลปะแต่ในด้านพฤติกรรมนั้นเขากลับมีอารมณ์มักมากในกาม
อย่างร้ายกาจ ในปีเดียวกัน ร็อดนีย์ก่ออาชญากรรมครั้งแรกด้วยการล่อเด็กอายุ 8 ปีในตอนนั้นเขาเห็นเด็กกำลังไปเรียน
เขาเลยล่อเธอถึงบนรถของเขาและ เข้ามาอพาร์ทเมนท์ ตีด้วยแท่งเหล็กและข่มขืนเธอ โชคดีมีคนเห็นเหตุการณ์ได้แจ้งตำรวจ
ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เมื่อตำรวจเคาะประตูทำให้เขาต้องหนีออกข้างนอกอย่างรวดเร็ว และถูกตำรวจออกหมายจับ
ทำให้เขาต้องหนีไปนิวยอร์กให้รอเรื่องซาลง หลังจากนั้นเขาก็ลงทะเบียนเรียนมหาลัยนิวยอร์ก ใช้นามแฝงว่าจอห์นเบอร์เกอร์
ภายใต้ชื่อจอห์น เบอร์เกอร์ ร็อดนีย์ได้ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยในมหาลัยนิวยอร์ก ที่นั้นเขาได้เรียนกับผู้กำกับหนังชื่อดัง
โรมัน โปสันสกี้ และยังคงไม่หยุดในการก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-7009.jpeg)
อย่างไรก็ตามร็อดนีย์ก็ไม่หยุดเส้นทางของฆาตกรต่อเนื่อง เมื่อเขาข่มขืนผู้หญิงชื่อ คอร์เนเลีย มิเชล พนักงาน
ทรานส์เวิลด์แอร์ไลน์ อายุ 23 ปี จากนั้นก็รัดคอเธอด้วยถุงน่องตายคาในอพาร์เม้นแมนฮัตตันของเธอ ซึ่งคดีของเธอ
นั้นต้องใช้เวลาหลายปีเลยที่เดียวกว่าที่คดีนี้จะถูกสะสาง
ในขณะที่ตำรวจกำลังสับสนคดีฆาตกรรม ร็อดนีย์ยังคงใช้นามแฝงจอห์น เบอร์เกอร์ทำอาชีพของเขาใกล้นิว แฮมเชียร์
ในช่วงฤดูร้อนแด็กสองคนก็สังเกตร็อดนีย์ได้ว่าเขาเป็นคนร้านที่เอฟบีไอต้องการ และพวกเขาก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่เขา
มาจับกุมและถูกส่งข้ามพรมแดนไปยังแคลิฟอร์เนียในฐานะนักโทษข้ามแดน เพื่อมาพิจารณาที่เขาทำการพยายาม
ฆาตกรรมผู้หญิงในแคลิฟอร์เนีย หากแต่โชคกลับเข้าข้ามร็อดนีย์อย่างเหลือเชื่อ เมื่อพ่อแม่ของเหยื่อย้ายครอบครัว
ไปเม็กซิโกและปฏิเสธไปเป็นพยานในการพิจารณาคดีของร็อกนีย์ ทำให้ศาลไม่สามารถลงโทษเขาข่มขื่นและพยายามฆ่าได้
และการลงโทษของร็อดนีย์น้อยมากคือถูกจำคุกเพียง 34 เดือน ในปี 1974 แต่เอาเข้าจริงเขาจำคุกเพียงไม่กี่เดือน
ก็ออกมาอีกครั้ง
สองเดือนต่อมาเขาก็ถูกจับกุมหลังจากที่ทำร้ายเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีซึ่งศาลใช้ชื่อว่า"จูลี่เจ"โดยเธอบอกว่าโดยร็อดนีย์
ได้ลักพาตัวเธอออกจากฮันติงตันบิชและพาไปบังคับสูบบุหรี่กัฐชาและจูบเธอ และถูกจำคุกสองปี
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-2445.jpeg)
ต่อมาในปี 1977เขาก็ถูกปล่อยคุกและอยู่ลอสแอนเจลิสพักใหญ่ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทัณฑ์บนจะอนุญาตให้เขาเดินไป
นิวยอร์กซิดี้เพื่อไปเยี่ยมญาติ ระหว่างนั้นที่แมนฮัตตันเขาได้ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเอนเลนเจน อายุ 23ปีในไนท์คลับ
ฮอลลีวู้ดและฝังศพไว้ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมร็อกกี้เฟลเลอร์เมื่อร็อดนีย์กลับมาลอสแอนเจลิสก็กลับไปใช้จอห์น เบเกอร์
อีกครั้งและเข้าทำงานในหนังสือพิมพืไทมส์ ปะปนอยู่กับคนปกติ โดยไม่มีใครรู้เรื่องราวก่อนหน้านั้นของเขาสักคน
ในขณะที่นิวยอร์กกำลังวุ่นต่อคดีเอนเลนเจน ที่นิวยอร์ค ร็อดนีย์ก็ได้ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งชื่อจิลล์ บารคอมบ์ อายุ 18 ปี
ซึ่งร่างไร้ชีวิตของเธอถูกทิ้งบนท้องถนนใกล้บ้าน ซึ่งร็อดนีย์บังคับเธอเปลือยนั่งคุกเข่า ก่อนที่จะทำร้ายทางเพศ
และรัดคอด้วยสายเข็มขัด แบะทิ้งคราบอสุจิรดใส่ศพไว้ที่เกิดเหตุ ซึ่งต่อมาจากการตรวจสอบดีเอ็นเอพบว่า
มันตรงกับของร็อดนีย์
ต่อมาร็อดนีย์ก็ถูกตำรวจจับฐานมีกัญชาเอาไว้ครอบครอง หากแต่ต่อมาก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกขังในระยะสั้นๆ
ในช่วงเวลานี้เองรอ็อดนีย์เริ่มหลงใหลในการรูปถ่ายของเหยื่อ เชื่อว่าในเขาได้อาศัยความเป็นช่างภาพอ้างเหยื่อ
ที่มีทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ว่าเป็นช่างภาพแฟชั่นมืออาชีพ และจะถ่ายภาพพวกเขาเพื่อขึ้นหนังสือพิมพ์ไทมส์
ซึ่งเชื่อว่ามีเหยื่อหลายรายถูกเขาหลอกด้วยวิธีนี้ก่อนถูกฆ่า อีกทั้งขยังมีความเป็นโรคจิตชอบแบ่งบันรูปถ่ายเหยื่อ
ให้เพื่อนร่วมงานให้ดู ซึ่งที่น่าตกใจคือบางภาพเป็นผู้หญิงเกือบเปลือย หากแต่เพื่อนร่วมงานไม่ได้คิดอะไรมากกว่า
ภาพถ่ายธรรมดา
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-1837.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-2541.png)
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ หลังจากที่ร็อดนีย์ถูกตำรวจแคลิฟอร์เนียจับกุม ก็พบภาพถ่ายที่เชื่อว่าเป็นเหยื่อของเขา
กว่า 120 ภาพในล็อกเกอร์ของเขา ซึ่งเหยื่อมีหลายภาพช่วงอายุเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เพศชายและหญิง และภาพ
อยู่ในทุกท่วงท่าไม่ว่าแบบสบายๆ แบบกำลังใช้ชีวิตประจำวัน หรือเกือบเปลือย ซึ่งหลังจากตำรวจออกมาประกาศ
ตามหาบุคคลในภาพ ก็มีคนประมาณ 20 คนมายืนยันว่าเป็นคนในภาพ และมีอย่างน้อย 6 ครอบครัวบอกว่า
คนในภาพเป็นสมาชิกครอบครัวของเขา หากแต่พวกเขาหายตัวไปแล้วไม่ทราบข่าวหรือพบเห็นอีกเลย และส่วนใหญ่
คนในภาพไม่ได้ถูกเชื่อมโยงว่าเป็นเหยื่อฆาตกรรมต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจนถึงปี 2012 ตำรวจยังคึงโพสต์ภาพ
ถ่ายดังกล่าวเอาไว้เพื่อหาเบาะแสคนในภาพที่เหลือต่อไป
มาถึงตรงนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าร็อดนีย์เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีความบ้าบิ่นอยู่ในตัว เพราะเป็นคนที่เปิดเผย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า
ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่เอฟบีไอต้องการตัว หากแต่ร็อดนีย์ยังคงทำงานภายใต้ชื่อปลอมต่อไป โดยไม่มีการหลบซ่อนแม้แต่น้อย
บวกกับมีโชคอยู่พอตัว เพราะถึงแม้จะถูกจับหากแต่ก็จำคุกอยู่ไม่กี่ปี ซ้ำยังได้ทำงานต่อไป
ที่น่าตกใจคือสุดคือเขาได้ออกอากาศรายการโทรทัศน์ในปี 1978 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวว่ากันว่าเป็นช่วงที่ฆ่าเหยื่อ
มากที่สุด (ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเขาฆ่าเหยื่อไปกี่คนกันแน่) ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1977 เขาได้ฆ่าข่มขืน
และทรมานจิลล์ บารคอมบ์ สาวนิวยอร์คที่ย้ายมาแคลิฟอร์เนีน หากแต่เธอกลับโดนร็อดนีย์ข่มขืนและใช้หินขนาดใหญ่
ทุบเธอ และบีบคอเธอตายโดยสายเข็มขัดและขากางเกงของเธอตาย ก่อนที่จะนำร่างกายของเธอไปซ่อนที่เชิงเขา
ใกล้ฮอลลีวูด ก่อนที่ศพของเธอถูกพบในสภาพจำหน้าไม่ได้
ร็อดนีย์กับเหยื่อของเขา
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-6689.jpeg)
ในเดือนธันวาคม 1977 ร็อดนีย์ข่มขืน ทรมาน และฆ่าจอร์เจีย วิซเทดพยาบาล อายุ 27 ปีในลอส แอนเจลีส โดยการ
ใช้ค้อนและยังล่วงละเมิดทางเพศจอร์เจีย ก่อนที่จะใช้ค้อนทุบหัวเธอและฆ่าเธอตายด้วยถุงน่องไนล่อน ก่อนที่ร่างของเธอ
จะถูกพบ 16 ธันวาคม 1977
หลังจากนั้นร็อดนีย์จะฆ่าใครก็ไม่มีใครทราบแล้ว แต่ที่แน่ๆ เดือนกันยายน 1978 ร็อดนีย์ได้เป็นผู้แข่งขันที่ชนะเกมเดท หาคู่
ในลักษณะชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ผมยาว ที่มีลีลาการตอบเป็นเลิศโดดเด่นกว่าผู้แข่งขันทั้งสองของเขา บอกตัวเองว่าเป็นช่างภาพ
ที่ประสบผลสำเร็จในชีวิต เรียกว่าบ้าท้าทายมาก และบ้ายิ่งกว่าก็คือเขาตอบคำถามของดาราที่ถามมากำกวนเหมือนตนเอง
แอบเป็นโรคจิตบ้ากาม ชัดๆ ปกติฆาตกรส่วนใหญ่จะไม่ทำตัวให้มีจุดเด่น คนในสังคมไม่สนใจ แต่ร็อดนีย์กับทำตรงข้าม
แถมหลังจากออกโทรทัศน์แล้วเขายังออกปฏิบัติการฆ่าเหยื่อแบบไม่กลัวกฎหมายอีกต่างหาก
ในปี 1979 ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ร็อดนีย์ฆ่าเหยื่อมากที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะผลที่เขาออกรายการโทรทัศน์หรือเปล่าที่ทำให้รู้จักกัน
ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้เขาล่อเหยื่อได้ง่ายขึ้น ในวันเดือนมิถุนายน 1979 ร็อดนีย์ข่มขื่น ทรมานและฆ่าชาร์ล็อต ลามพ์
เลขานุการกฎหมาย อายุ 33 ปีด้วยการรัดคอด้วยเชือกผูกรองเท้าของเธอ และทิ้งร่างของเธอในห้องซักรีดในเอลเซกันโดอพาร์แมนเม้น
ในลอสแอนเจลิส และศพของเธอถูกพบวันที่ 24 มิถุนายน 1979
ในเดือนเดียวกัน ร็อดนีย์ก็ได้ฆ่าเหยื่ออีกราย เมื่อเขาข่มขืนและฆ่าจิน พารินโตอายุ 21 ปี ในอพาร์มเม้นของเธอในเบอร์แบงก์
เขารัอคอจินไปสู่ความตายโดยใช้สายหรือไนล็อต อย่างไรก็ตามร็อดนีย์ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อเขาทิ้งคราบเลือดในขณะ
ที่ตัวเองคลานจากหน้าต่าง ซึ่งคราบเลือดนั้นได้ทำให้ตำรวจเชื่อมโยงเขากับคดีฆาตกรรมอื่นๆ ก่อนหน้า และต่อมาตำรวจก็ตัดสินใจ
ประกาศจับเขาในข้อหาต้องสงสัยฆ่าจิน พารินโต
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-1433.jpeg)
ร็อดนีย์ยังไม่รู้สึกถึงความผิดพลาดของตนเอง ยังก่อคดีฆาตกรรมซ้ำซากรายต่อไป วันที่ 20 มิถุนายน 1979 ร็อดนีย์เข้าหา
โรบิน แซมซุง อายุ 12 ปีและเพื่อนของเธอที่ฮันติงตันบิช ออเรนจ์ และชักชวนพวกเขาไปถ่ายภาพ พอดีจังหวะนั้นเพื่อนบ้าน
เข้ามาแทรกแซงเสียก่อน ทำให้ร็อดนีย์ถอนตัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่วายนัดโรบินให้ขี่จักรวานมาหาเขาช่วงบ่าย
ร็อดนีย์ได้ลักพาตัวและฆาตกรรมโรบินและทิ้งร่างของเธอในบริเวณเชิงเขาซานเกเบรียล ร่างของเธอถูกโผล่ออกมาเพราะพายุ
และซากโครงกระดูกถูกสัตว์แทะ ร่างกายของเธอถูกพบวันที่ 2 กรกฎาคม 1979 ซึ่งจากการพิสูจน์ฟันหน้าพบว่าเป็นของโรบิน
และคดีดังกล่าวนำไปสู่การตามจับร็อดนีย์ในเวลาต่อมา
หลังจากการฆาตกรรมโรบิน ร็อดนีย์ได้เช่าห้องเก็บของในซีแอต ที่ซึ่งตำรวจพบภาพหลายร้อยยี่สิบภาพมีทั้งเด็กสาวและเด็กหญิง
และกระเป๋าของใช้ส่วนตัวมากมายที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อีกทั้งลักษณะที่โพสหลายภาพอยู่ในลักษณะยั่วยวน
ทางเพศชัดเจน นอกจากนี้ยังพบต่างหูในถุงซึ่งต่อมาถูกระบุโดยแม่ของโรบินว่าเป็นของลูกของเธอ นอกจากนี้ยังมีพยานหลายคน
เห็นว่าร็อดนีย์เป็นคนเดียวกับช่างภาพที่พูดคุยกับโรบินในวันที่ถูกลักพาตัวอีก แน่นอนจากหลักฐานทั้งหมดทำให้โชคของร็อดนีย์
หมดลงไป และเขาก็ถูกตำรวจจับกุมในเวลาต่อมา
ตำรวจได้เรียกร็อดนียว่า "เครื่องจักรนักฆ่า" (a killing machine) เทียบเท่ากับฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังนาม เท็ด บัดดี้
ซึ่งจำนวนเหยื่อของเขาอาจมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ บางที่อาจมีมากถึง 150 ราย
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-1834.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-4275.jpeg)
ในขณะที่รอการพิจารณาคดีในข้อหาฆาตกรรมโรบิน การมีการเชื่อมโยงร็อดนีย์กับคดีฆาตกรรมรายอื่นๆ อีกสี่คดีในลอสแอนเจลิส
ซึ่งในชั้นศาลร็อดนีย์ยังไม่วายทำตัวโดดเด่นด้วยการทำหน้าที่ทนายด้วยตนเองที่มีชั้นเชิงไม่แพ้ทนายความคนอื่นๆ ที่ฮือฮามากที่สุด
คือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2010 ในระหว่างที่รอพิจารณาคำตัดสิน ร็อดนีย์พยายามแกว่งคณะลูกขุนไม่ให้เขาต้องโทษประหารชีวิต
ด้วยการเล่นเพลง "ร้านอาหารของอลิซ" (Alice's Restaurant) โดย Arlo Guthrie โดยร้องท่อนหนึ่งว่า
"I mean, I wanna, I wanna kill. Kill. I wanna, I wanna see, I wanna see blood and gore
and guts and veins in my teeth. Eat dead burnt bodies. I mean kill, Kill, KILL, KILL."
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของเขาไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผลสุดท้ายคณะลูกขุนก็ตัดสินใจว่าร็อดนีย์มีความผิดจริง
และศาลก็ตัดสินใจลงโทษประหารชีวิต
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-7567.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1463197761-6922.jpeg)
ร็อดนีย์ถูกคุมขังมาตั้งแต่ปี 1979 ในคดีสังหารโรบิน ใน่วงเวลาดังกล่าวเขาได้เขียนหนังสือ ตีพิมพ์ 1994 ที่ยังคงยืนยันว่า
ตนเองว่าไม่ผิดและพยายามต่อสู้ในคดีในชั้นศาล ปัจจุบันเขาถูกคุมขังในแดนประหารของคุกซานเควนซินและยังสามารถ
อุทธรณ์ลดโทษประหารได้
อ้างอิง
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/predators/rodney_alcala/11.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Rodney_Alcala
http://crime.about.com/od/serial/a/Profile-Of-Serial-Killer-Rodney-Alcala.htm
credit :: cammy@dek-d.com