Ed Gein บอปแห่งเพลนฟิลด์
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055484-2657.jpeg)
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1957 ตำรวจในเมืองเพลนฟิลด์ รัฐวิสคอนซิน ได้มาถึงบ้านทรุดโทรมของชายคนหนึ่งชื่อเอ็ด กีน
เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีปล้นร้านขายเครื่องเหล็กประจำท้องถิ่น และการหายตัวไปของนางเบอร์นิช บอร์เดนหญิงชราเจ้าของร้าน
โดยมีพยานพบเห็นว่าเอ็ด กีนมีพฤติกรรมน่าสนใจเพราะก่อนหน้านี้ เขาเดินไปรอบสถานที่เกิดเหตุ และเขาเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของเธอ
บ้านของ เอ็ด กีน ตั้งอยู่ในฟาร์มที่รกร้าง เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบว่าบ้านหลังดังกล่าวเต็มไปด้วยขยะแห้งและขยะสดเน่าเปื่อย
เต็มพื้นบ้านและเคาน์เตอร์บนเฟอร์นิเจอร์ รกมากจนเดินแทบลำบาก แถมขยะส่วนใหญ่เป็นสิ่งปฏิกูลเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น
สะอิดสะเอียนเพิ่มความขยะแขยงสำหรับคนเข้ามาตรวจสอบได้เป็นอย่างดี
ทั้งภายนอกและภายในบ้านมืดมาก เนื่องจากบ้านหลังนี้ถูกตัดไฟและตัดน้ำมานาน ทำให้คนที่เขามาสำรวจจำเป็นต้องมีไฟฉายนำทาง
ตรวจทีละห้อง จนกระทั่งมาถึงโรงเก็บของพวกเขาก็สะดุดกับซากศพร่างหนึ่ง แขวนตะขอห้อยต่องแต่งจากเพดาน ซากดังกล่าวไร้หัว
ถูกผ่าท้องทำเครื่องออก ตอนแรกพวกเขาเชื่อว่าเป็นซากกวาง เพราะช่วงนี้เป็นฤดูล่ากวาง
อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาถี่ถ้วน พวกเขาก็พบว่าซากศพไม่ใช่ซากกวาง หากแต่เป็นศพของผู้หญิง นางเบอร์นิชนั่นเอง
ในขณะที่ตำรวจกำลังตกใจกับซากศพของนางเบอร์นิซอยู่นั้น พวกเขาก็พบหลักฐานน่ากลัวในบ้านของเอ็ดกีนอีกมากมาย
ซึ่งแต่ละรายการบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเอ็ด กีนนี้เป็นโรคจิตอันตรายที่เปลี่ยนฟาร์มรกร้างให้กลายเป็นฟาร์มมรณะทันใด
หลักฐานน่ากลัวของเอ็ด กีน ประกอบไปด้วยซากศพมนุษย์ ที่เขาแอบขุดขึ้นมาจากสุสานเก็ยสะสมเอาไว้เป็นต้นว่า องคชาติจำนวนมาก
เก็บไว้ในกล่อง จมูกมนุษย์ 4 อัน และหัวใจมนุษย์ หัวกะโหลกมนุษย์จำนวนมาก บางอันก็นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์
เช่น เข็มขัดทำมาจากหัวนม เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากผิวหนังของมนุษย์
นอกเหนือจากร่างของเบอร์เดน พวกเขายังพบชิ้นส่วนของนางเบอร์นิช วอร์เดน หัวของเธอ อยู่ในห้องหนึ่ง อวัยวะภายในอีกห้องหนึ่ง
หัวใจชำแหละใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ในครัว ทำให้เชื่อว่าเอ็ด กีนตั้งใจนำอวัยวะบางส่วนของเธอกินเป็นอาหาร หากแต่เขาปฏิเสธ
ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์
หลักฐานที่น่าตกใจ เสื้อผิวหนังของผู้หญิง และหน้ากากที่ลอกจากหน้าคนจริงๆ นัยน์ตากลวงโบ๋ หลายๆ อันอยู่ในลักษณะสมบูรณ์
หนึ่งในนั้นคือนางแมรี โฮแกนเหยื่อรายหนึ่งของเอ็ด กีน
เอ็ด กีน
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-9065.jpeg)
เอ็ด กีน มีชื่อเต็มว่าเอ็ดเวิร์ด ทีโอดอร์ "เอ็ด" กีน เป็นชาวอเมริกัน จะพูดว่าฆาตกรต่อเนื่องก็ไม่เต็มปากนักเพราะเหยื่อที่ทางการตรวจสอบ
ได้มีเพียง 2 ศพ หากแต่เพราะพฤติกรรมและความแปลกประหลาดของการก่อคดี ทำให้เรื่องราวของเอ็ดกีนเล่าขานอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
และได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ต่อเนื่องในสื่อบันเทิงที่โด่งดัง ได้แก่ นอร์แมน เบทส์จากภาพยนตร์เรื่อง "Psycho"
หนังสยองขวัญอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับชาวอังกฤษ, เลทเธอร์เฟซจากThe Texas Chainsaw Massacre
และ บัฟฟาโล่ บิลล์ ในภาพยนตร์เรื่อง "The Silence of the Lambs " ในปี ค.ศ. 1992
เอ็ดกีน มีชื่อเต็มว่า เอ็ดเวิร์ด ธีโอดอร์ กีน เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของนางออกัสตากับนายจอร์จ กีน เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ปีค.ศ.1906
ที่เมือง ลา คา ครอส รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เขามีพี่ชายหนึ่งคนชื่อเฮนรี่ อายุแก่กว่าเขา 7 ปี
นายจอร์จ กีนเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เขาอายุได้เพียงห้าปี (เชื่อว่าเขากำพร้าพ่อแม่และพี่สาวของเขาถูกกระแสน้ำพัดพา) จอร์จจึงถูกตายาย
ที่ทำงานฟาร์มเลี้ยงดูเอาไว้ พออายุได้ 20 ปีก็พยายามหางานทำในเมือง หากแต่ไม่นานก็ดื่มสุราและติดเหล้า เขาแต่งงานในปี 1899
ซึ่งเป็นคู่แต่งงานที่ช่างโชคไม่ดีเสียเลย คู่ของเขาคือนางออกัสตา เป็นลูกสาวของครอบครัวชาวเยอรมันอพยพ ที่เธอถูกอบรมเรื่องกฎเกณฑ์
และเคร่งศาสนาอย่างมาก
ออกัสตาเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ นิสัยโมโหร้าย ไม่เคยยอมใคร ชอบให้คนอื่นทำตามกฎระเบียบของบ้านแบบเข้มงวดไม่มีตกขอบ หลังจากที่เธอ
กำเนิดเอ็ดกีนลูกชายคนที่สอง กล่าวว่านางออกัสตาไม่สบอารมณ์เพราะว่าเธอต้องการลูกคนที่สองเป็นผู้หญิง ทำให้เธอเลี้ยงดูเอ็ด กีนเป็นผู้หญิง
ตามความประสงค์ของเธอ โดยให้เขาสับสนเรื่องเพศ ติดแม่มาก และไม่ชอบพ่อขี้เมา เพราะแม่ของเขาเกลียดชังพ่อ ซึ่งเป็นคนอ่อนแอ ไม่ทำงาน
(แต่ไม่หย่าเพราะผิดคำสอนของศาสนาว่าการหย่าถือว่าเป็นบาป) ส่วนพ่อของเขาไม่ค่อยมีปากเสียงในบ้านมากนัก สิทธิในบ้านตกเป็นของ
นางออกัสตาแต่เพียงผู้เดียว
เอ็ด กีน ได้รับคำสอนของแม่ชองเขาเป็นประจำในเรื่องอย่าคบกับพวกผู้หญิง เพราะพวกผุ้หญิงเป็นคนลามกและเป็นคนบาปทำให้เอ็ด กีนไม่เชื่อใคร
นอกจากแม่ของเขา เรียกได้ว่าเอ็ด กีนถูกครอบงำโดยแม่ของเขาตั้งแต่เเด็ก
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055485-1636.jpeg)
หนึ่งในความทรงจำที่ฝังใจมากที่สุดของเอ็ด กีนในวัยเด็กของเขานั้น เขาได้จ้องผ่านประตูจากโรงฆ่าสัตว์ของพ่อแม่ในลาครอส ที่นั้นเขาได้เพลิดเพลิน
ในการทำงานของกิจกรรมของครอบครัว หนึ่งในภาพที่ตรึงใจที่สุดคือภาพที่แม่ของเขาใช้ทักษะในการฆ่าสัตว์ เอามีดผ่าเปิดหน้าท้องของสัตว์ และลาก
อวัยวะภายในมากองกับพื้น เอ็ด กีนได้กล่าวภายหลังว่าการฆ่านั้นทำให้เขาคลื่นไส้จนเกือบเป็นลม แต่ภาพที่แม่ตัวสวมเสื้อกันเปื้อนเต็มเลือดและโคลน
ตอนนั้นมันช่างยิ่งใหญ่ ราวกับพระเจ้าที่เขาเคารพรักก็ว่าได้
ตอนแรกครอบครัวของกีนทำกิจการร้านขายของชำขนาดเล็ก แต่ในที่สุดครอบครัวของกีนก็ตัดสินใจซื้อฟาร์มในเขตชานเมืองเพลนฟิลด์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ
ห่างจากลาคอสไปประมาณสิบห้ากิโลเมตร เพื่อเป็นบ้านถวารของครอบครัวกีน และ ใน ปี ค.ศ. 1914 ก็เปิดกิจการทำฟาร์มโคนมในพื้นที่ขนาด195 เอเคอร์
โดยมีบ้านทรงมาตรฐานของบ้านไร่ชาวนาที่ค่อนข้างใหญ่ ขนาด 2 ชั้น มีห้องครัวทะลุออกไปโรงนาและแปลงผัก แต่ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา
เอ็ด กีนไม่ชอบเลือดหรือการฆ่า แม้ว่าการฆ่าสัตว์จะเป็นกิจกรรมหลักวิถีชีวิตเกษตรในชนบทที่กีนอาศัยอยู่ แต่กีนชอบหนังสือการ์ตูนสยองขวัญ
และความรุนแรง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับค่ายกักกันนาซีและการทรมาน เรื่องความชอบดังกล่าวไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เอ็ด กีน
กลายเป็นฆาตกรโหดในอนาคตหรือไม่ หากแต่เรื่องเหล่านี้ส่งเสริมให้เอ็ด กีนน่ากลัวมากขึ้นสำหรับมุมมองคนภายนอก
เอ็ดกีนเป็นเด็กขี้อาย ขี้อาย ตกเป็นหมายถูกรังแกจากเด็กรอบข้าง เด็กหลายคนต่างหัวเราะเพราะจากลักษณะการแสดงที่ตลกของเอ็ดกีน
ทำให้เขาไม่มีเพื่อน ยิ่งกว่านั้นเขายังถูกกีดกันจากแม่ไม่ให้ออกไปข้างนอก หรือจะทำโทษหากเห็นเขาพยายามจะมีเพื่อน เพราะพวกผุ้ชาย
จากโลกภายนอกล้วนบาปหมด ทำให้เอ็ด กีนหยุดการติดต่อกับเด็กอื่นๆ ซึ่งมีผลทำให้ทักษะการเข้าสังคมของเอ็ด กีนไม่ดีนัก
ที่โรงเรียนเอ็ด กีนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แม้เขาจะไม่มีเพื่อน แต่เขาก็รักการอ่านเขาชอบหนังสือประเภทผจญภัยและนิตยสารต่าง ๆ ซึ่งพวกนี้
เป็นช่วยทำให้เกิดโลกส่วนตัวของเขาขึ้นมา
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055485-2011.jpeg)
เมื่อเอ็ดกีนเรียนหนังสือได้เพียงเกรดแปดก็ลาออกมาอยู่กับบ้าน ทำงานฟาร์ม หลังจากนั้นกิจการของครอบครีนกีนก็เริ่มตกต่ำลง แม่ของเอ็ดเชื่อว่า
ลูกทั้งสองถูกลิขิตให้เป็นคนล้มเหลวเหมือนกับพ่อของเขา ในช่วงวัยรุ่นและตลอดจนวัยผุ้ใหญ่เอ็ด กีนจึงกลายคนที่มีนิสัยพ่ายแพ้ต่อโลก
และทำอะไรไม่ค่อยเป็นไป
ในปี 1940 จอร์จ กีน พ่อของเอ็ดก็เสียชีวิตลงจากหัวใจวายตาย ไม่มีใครในครอบครัวกีนเสียใจต่อการจากไปของพ่อมากนัก เพราะพ่อของพวกเขา
เป็นเหมือนกาฝากของครอบครัวที่มีแต่เพิ่มภาระใช้จ่าย อย่างไรก็ตามหลังจากพ่อของเอ็ด กีนเสียชีวิตกิจการฟาร์มของครอบครัวกีนเริ่มทรุดลง
ดินเสื่อมถอยจนผลผลิตต่ำ ผลผลิตในฟาร์มเพียงพอแค่อาหารบนโต๊ะแต่ละมื้อเท่านั้น พวกเขาไม่มีเงินแม้กระทั้งนำมาใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมบ้าน
นานวันบ้านของพวกเขาก็เริ่มทรุดโทรมลง จนกลายเป็นบ้านน่ากลัวสำหรับสายตาของเพื่อนบ้าน
เมื่อกิจการครอบครัวย่ำแย่ สองพี่น้องกีนเริ่มทำงานนอกบ้านเพื่อใช้ให้มีค่าใช้จ่าย สองพี่น้องได้รับความชื่นชมจากคนภายนอกว่ามีความขยัน
น่าเชื่อถือและความซื่อสัตย์ในชุมชน ส่วนใหญ่ทั้งคู่รับงานได้ทุกอย่าง บ่อยครั้งที่เอ็ดกีนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เพื่อนบ้าน การเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ เพราะสำหรับเขาแล้วการเข้าถึงเด็กนั้นง่ายกว่าการคบเพื่อนฝูง
เฮนรีลูกชายคนโตของออกัสตานั้นมีความแตกต่างกว่าเอ็ดกีน เฮนรีถูกเลี้ยงแบบลูกผู้ชาย ไม่ติดแม่ เขาเป็นคนทำงานหนักและมีบุคลิกอันแข็งแกร่ง
ไม่ยอมฟังคำสอนและคำสั่งของแม่ เขาเริ่มมีป่าเสียงกับแม่มากขึ้นทุกวัน เขาด่าแม่ต่อหน้าเขา เอ็ด กีนโกรธแค้นเฮนรีแทนแม่เพราะแม่เป็นพระเจ้า
ผู้ซึ่งละเมิดมิได้
ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1944 เฮนรีและเอ็ดกีนช่วยกันดับไฟป่าที่ลุกลามเข้าทางไร่ของพวกเขา ไฟไหม้รุนแรงมาก เฮนรีและเอ็ดกีนแยกกันสกัดไฟ
และหลังจากไฟดับแล้วเฮนรีก็หายไป เอ็นกีนเลยแจ้งตำรวจค้นหาและเมื่อตำรวจตามเอ็ดกีนไปพวกเขาก็พบศพเฮนรีนอนคว่ำหน้าอยู่ในพงหญ้า
ที่ไม่ติดไฟ มีรอยแผลซ้ำที่หน้าและต้นคอ ซึ่งเวลาต่อมาตำรวจระบุสาเหตุการตายของเฮนรีว่าขาดอากาศหายใจก่อนหมดสติ
แม้การตายของเฮนรีจะมีเงื่อนงำ แต่ตำรวจไม่ให้ความสนใจในตัวเอ็ดกีนนัก เพราะท่าทางของเอ็ดกีนเป็นคนขี้อายไม่น่าจะกล้าพอที่จะฆ่าพี่ชายตนเองได้
ทำให้คดีนี้สรุปแต่เพียงว่าเฮนรีตายเพราะสำลักควันไฟเป็นอันปิดคดีลงแต่เพียงเท่านี้
ไม่นานหลังจากเสียชวิตเฮนรี่บุตรชายคนโดตของเอ็ด กีน นางออกัสก้าก็เกิดอาการหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองตีบตันเป็นอัตพาตชั่วราว ในช่วงเวลานั้น
เอ็ดกีนดูแลแม่เป็นอย่างดี เขารักและเคารพแม่ แสดงให้เห็นว่าแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเลยก็ว่าได้ หากในวันที่ 29 ธันวาคม 1945 นางออกัสตา
เสียชีวิตลงด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก และตายในเวลาอันสั้น
การจากไปของแม่ทำให้เอ็ด กีนเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก และเท่ากับว่าเอ็ด กีนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกเพราะคนใกล้ตัวจากไปหมด อีกทั้งไม่มีญาติ
ค่าใช้จ่ายบ้านก็หมดไปกลับงานศพ สัตว์เลี้ยงในฟาร์มก็ถูกนำไปขาย เขาเริ่มตัดสินเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ออกหางานทำเล็กๆ น้อยเพื่อพออยู่พอกิน
หลายคนมองว่าเอ็ด กีนเป็นคนประหลาด ที่เหมือนกระเทย แต่ไม่เป็นภัยอะไร ที่บ้านเขาจะอยู่แต่ในห้องตัวเอง ส่วนห้องเดิมของแม่ ด้านล่างที่เป็นห้องรับแขก
และห้องนั่งเล่นเขาไม่แตะต้อง เขาอาศัยห้องเล็กๆ ที่ถัดจากห้องครัวเป็นที่หลับนอน และเริ่มหมกมุ่น นิตยสารสยองขวัญและเรื่องราวเร้นลับ
ไสยศาสตร์และการผจญภัยจนกลายเป็นบ้า
การล่ากวางในเมืองเพลนฟิลด์
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055486-0926.jpeg)
ความจริงแล้วเอ็ด กีนได้รับเงินจากรัฐบาลเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้ออกจากที่อยู่ หากแต่เขาปฏิเสธทำให้ที่ดินดังกล่าวรกร้าง เขาเริ่มอาศัยอยู่ตามลำพัง
ทำงานรับจ้างพอเป็นค่าอาหาร ในสายตาคนอื่นมักมองเขาเหมือนคนบ้า แต่ไม่มีพิษภัยอะไร จึงไม่ได้แสดงความรู้สึกน่ารังเกียจนัก
ในช่วงเวลาที่เอ็ด กีนเริ่มใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวก็มีคดีหายตัวลึกลับมากมายเกิดขึ้นในเพลนฟิลด์และบริเวณโดยรอบ ในเดือนพฤษภาคม ปี 1947
เด็กหญิงวัย 8 ขวบ ชื่อ จอน์เจีย เว็คเลอร์ เธอหายตัวไประหว่างทางกลับบ้าน ทุกฝ่ายพยายามระดมกำลังค้นหาตัวหนูน้อยอย่างเข้มข้น แต่สุดท้าย
ก็ล้มเหลวเด็กหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาในเดือนพฤษศจิกายน นายวิคเตอร์ ทราวิ กับเพื่อนของเขา นายเรย์ เบอเกตส์ได้ออกไปล่ากวาง
ในเมืองเพลนฟิลด์ ซึ่งหลังจากนั้นทั้งสองก็หายสาบสูญไปไม่รับข่าวคราวอีกเลย
ต่อมา สาวอายุ 15 ปีชื่อ อีเวนล์ ฮาร์ทเลย์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับไปจากบ้าน ตำรวจพบร่องรอยคราบเลือดและการต่อสู้กันบนพื้นห้อง หลังจาก
ค้นหาตำรวจจึงได้พบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ระบุว่าเป็นของเธอบริเวณใกล้กับถนนหลวงนอกเมือง แต่พวกเขาไม่พบตัวเด็ก
คดีปริศนาทั้งหลายเหล่านี้ หลายคนเชื่อมโยงว่าเป็นฝีมือของเอ็ด กีน หากแต่เป็นเพราะขาดพยานและหลักฐานที่จะพิสูจน์ทำให้คดีทั้งสาม
ไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเอ็ด กีน ทำให้คดีตกไป
โรงเตี๊ยมของโฮแกน
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055484-7478.jpeg)
ในเพลนฟิลด์มีสถานที่หนึ่งเรียกว่า "โรงเตี๊ยมของโฮแกน" เป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่มีมารี โฮแกน วัย 55 ปี เป็นเจ้าของและคนให้บริการคนเดียว
นางมารีนั้นเป็นหญิงที่ผ่านการหย่าสองครั้ง เคยเป็นคนในชิคาโกและเป็นคนเคร่งศาสนาและอนุรักษ์นิยม เอ็ด กีนมักเข้าไปใช้บริการอยู่เสมอ
ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ธันวาคม 1954 เกษตรกรในท้องถิ่นคนหนึ่งได้เข้าโรงเตี๊ยมของนางมารี หากแต่เมื่อเขาก็พบสิ่งปกติในร้ายเมื่อไม่มีใครอยู่ในร้าน
เมื่อเขาร้องเรียกก็ไม่มีใครตอบรับ จากนั้นก็พบรอยเลือดเลือดกองใหญ่บนพื้นที่ประตูด้านหลังร้าน เขาก็ตกใจในสิ่งที่เดิดขึ้นจึงรีบวิ่งขอความช่วยเหลือ
กับนายอำเภอแฮโรลด์ ทอมป์สันพร้อมกับผู้ช่วยของเขา เมื่อมาถึงพวกเขาก็พบเส้นทางรอยเลือดปรากฏเป็นระยะ ๆ ผ่านทางประตูหลังไปจนถึงที่จอดรถ
และก็หายไป ทำให้เข้าใจว่านางมารีอาจถูกฆ่าและฆาตกรคงลากศพนำไปขึ้นรถจากที่ตรงนั้น รถอาจเป็นรถบรรทุกไม่ก็รถตู้ นอกจากนี้พวกเขาก็พบกับ
กระสุนปืนพกขนาด 32 ปลอกหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นอาวุธสังหาร
จากการตรวจสอบสภาพในร้านเพิ่มเติม ก็พบว่าเหยื่อไม่มีการต่อสู้แสดงว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนรู้จักนางมารี และไม่ใช่ฆ่าเพื่อขโมยของในร้าน
เพราะเงินสดยังอยู่ครบและไม่มีสิ่งของหรือของมีค่าหายไปเลยสักชิ้น ต่อมีการมีการตามหาศพของนางมารีแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบตัวเธอ
ข่าวคดีลึกลับของนางโฮแกนได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หลายสัปดาห์ผ่านไปไม่มีใครคนได้พบนางโฮแกนอีกเลย หลายคนได้ตั้งคำถามว่า
"เกิดอะไรขึ้นกับนางมารี โฮแกน" บทสนทนานี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าประจำวง โต๊ะของชาวบ้าน ที่สันนิษฐานแตกต่างกันไป อย่างไรก็ข้อสันนิษฐาน
ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดน่าจะเป็นนายเอลโม เจ้าของโรงเลื้อยในเพลนฟิลด์ ที่ให้การกับตำรวจภายหลังว่า เขาเคยคุยกับเอ็ดกีน เรื่องการหายตัวของโฮแกน
ซึ่งเขาพบเอ็ด กีนหลายครั้งในโรงเตี๊ยมโดยมักนั่งคนเดียวในหลังร้านมือถือเหยือกเบียร์นั่งจ้องนางโฮแกนนานสองนาน เชื่อว่าเอ็ด กีน
มองนางมารีเหมือนแม่ของเขา
ระหว่างที่นายเอลโมสนทนากับเอ็ด กีน ทันใดนั้นเองเอ็ด กีนก็ได้พูดว่า "เธอไม่ได้หายไป" เอ็ด กีนตอบ "ตอนนี้เธออยู่ที่ฟาร์มของฉัน"
เอ็ด กีนพูดด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งเขาพูดในลักษณะซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจเรื่องของเขาจริงจังมากนัก
เพราะคิดว่าเอ็ด กีนพูดเล่น
ร้านขายของนางเบอร์นิซ
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-6466.jpeg)
ในตอนเช้าวันเสาร์ของวันที่ 16 พฤศจิกายน 1957 ซึ่งเป็นฤดูล่ากวางของรัฐวิสคอนซินและคนส่วนใหญ่ในเมืองเพลนฟิลด์ได้ออกไปล่ากวางในป่า
ทำให้ตัวเมืองในเวลานั้นเหมือนถูกทิ้งร้างไม่มีคนและร้าน้าส่วนใหญ่ปิด หากแต่นางเบอร์นิซ วอร์เดน หญิงหม้ายวัย 60 ปี เจ้าของร้านขายอุปกรณ์
ในเมืองเพลนฟิลด์ ได้ตัดสินใจเปิดร้าน
เอ็ด กีนถือว่าเป็นลูกค้าขาประจำของนางเบอร์นิซ หลายครั้งที่เขาเข้ามาในร้าน เขามักสอบถามรายละเอียดเล็กน้อยกับนางเบอร์นิซโดยไม่ซื้ออะไร
บางครั้งก็ซื้อของแล้วจะยืนอยู่ที่นั่นสักครู่ก่อนที่จะออกไป บางครั้งเอ็ด กีนถึงกับชวนเบอร์นิซไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง แต่เธอปฏิเสธ นางเบอร์นิซมักบอกกับ
ลูกชายว่า เอ็ด กีนเป็นคนประหลาด และกล่าวเสริมว่าเขาเห็นรถกะบะของเขาจอดหน้าร้านพร้อมกับส่งสายตาจ้องมองบริเวณนอกร้านอยู่นานสองนาน
โดยหารู้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับเธอในอนาคต
ในช่วงเย็นของวันนั้น แฟรงค์ลูกชายของเบอร์นิซกลับจากการล่าสัตว์ และแวะร้านขายอุปกรณ์ของแม่ เขาพบว่าประตูร้านของแม่เขาล็อกเอาไว้
แต่มีไฟเปิดอยู่ด้านใน ซึ่งมันผิดปกติ เพราะเป็นเวลาที่ร้านควรปิดได้แล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบเครื่องคิดเงินหายไป ไม่มีร่องรอยต่อสู้
แต่มีหยดเลือดกระจายอยู่บนพื้น แรงค์รู้สึกความไม่ชอบมาพากล จึงรีบแจ้งตำรวจทันที
จากการสันนิษฐานคาดว่าฆาตกรน่าจะเข้ามาในร้านในตอนที่ไม่มีคนอยู่ และใช้ปืน (ภายหลังพบว่าเป็นปืนไรเฟิล .22) ยิงเธอโดยไม่ทันรู้ตัว
แล้วลากนำร่างของเธอใส่รถที่น่าจะเป็นรถบรรทุกนอกร้านเพื่อนำศพไปยังสถานที่หนึ่ง
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055485-2995.jpeg)
จากการสอบปากคำของคนในที่พื้นใกล้เคียง พบว่าระหว่าง 8.45 น. และ 9.30 น.มีผู้พบเห็นรถกะบะจอดบริเวณร้านของนางเบอร์นิซ
ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็มีผุ้พบเห็นแสงไฟภายในร้านหากแต่ประตูกลับปิดสนิทหากแต่ตอนนั้นหลายคนไม่สนใจเพราะเชื่อว่าเจ้าของร้านลืมปิดไฟ
ต่อมา มีผู้พบเห็นรถส่งของของร้านแล่นผ่านไป เมื่อเวลาประมาณ 9.30
แฟรงค์และตำรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญ คือใบเสร็จรับเงินว่า เขาได้ขายของให้ใครบ้าง สิ่งที่พบคือใบเสร็ขของเอ็ด กีนชายที่เป็นลูกค้าประจำ
ที่ถามแฟรงค์ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาอยู่หรือเปล่า อีกทั้งก็มีพยานเห็นว่าวันที่เกิดเหตุนั้นเอ็ด กีนขนอะไรบางอย่างที่หลังรถ เมื่อเอ็ด กีนเห็นเขาก็ตกใจ
เล็กน้อยก่อนที่จขะขับรถเร็วกว่าปกติ ในช่วงบ่ายเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้พบเห็นเอ็ด กีนมือเปื้อนเลือดหากแต่เขาตอบว่าเขาพึ่งแล่เนื้อกวาง
ซึ่งไม่สนใจอะไร ก่อนที่จะช่วยล้างรถให้กับเขาและทานอาหารเย็นด้วยกัน และนั่นเป็นมื้อสุดท้ายของเอ็ด กีนกับเพื่อนบ้านของเขาก่อนที่
จะถูกจับกุมเวลาต่อมา
นายอำเภอและตำรวจตามหาตัวเอ็ดกีน และพบเขานั่งกินอาหารเย็นอยู่ในรถบนถนนไม่ไกลจากบ้านมากนัก เขาถูกนำตัวไปสอบสวน
ในฐานะผู้ต้องสงสัย และต่อมาก็มีการตรวจสอบบ้านของเอ็ด กีน
ผู้เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจสอบบ้านฟาร์มของเอ็ด กีน ที่ประตูหลังไม่ได้ล็อก ทำให้เข้ามาอย่างง่ายดาย ในบ้านมืดทำให้ต้องมีการส่องไฟฉาย
เพื่อสะดวกในการเดินต่อไปข้างหน้า และเมื่อพวกเขาพบกับสภาพบ้านที่เต็มไปด้วยขยะ พวกเขาก็มีความคิดว่ามันเหมือนกับภาพยนตร์สยองขวัญ
ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะเห็นร่างกายของผู้หญิงหัวขาดแขวนจากเพดานอย่างน่าสยดสยอง ซึ่งต่อมาก็ระบุตัวว่าศพที่เห็นคือนางเบอร์นิซนั้นเอง
เมื่อนายอำเภอเห็นภาพดังกล่าวก็วิทยุขอความช่วยเหลือ ขอกำลังเสริมสนับสนุนยกใหญ่ จากการตรวจสอบศพอย่างละเอียดพบว่าร่างกายที่กลางตัว
มีรอยผ่าชำแหละอย่างชัดเจนด้วยของมีคมบาดจากหน้าอกจนถึงอวัยวะเพศ และเอาอวัยวะภายในออก ก่อนที่จะนำศพนั้นไปทำความสะอาด
ก่อนที่จะถูกแขวนโดยมีลวดเบ็ดรัดข้อเท้าและข้อมือ แขวนกลับหัวราวกับลูกรอก
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-7993.jpeg)
มันยากที่จะเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งจะสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ เพราะในบ้านเต็มไปด้วยขยะและเศษซากจากเฟอร์นิเจอร์สกปรก เครื่องใช้ในครัว
กล่องกระดาษแข็ง กระป๋องที่ว่างเปล่า และเครื่องมือที่ทิ้งกระจุยกระจายขึ้นสนิทบบนพื้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลแลอุจจาระ นอกจากนี้ที่ชั้นหนังสือ
ในห้องนอนของเอ็ด กีนนั้น พบนิตยสารนักสืบ การ์ตูนสยองขวัญ หนังสือหลายเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแพทย์และกายวิภาค และบางเริ่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับ
การแปลงเพศ
ไม่นานหลังจากนั้นฟาร์มก็ถูกล้อมรอบด้วยรถตำรวจ มีการนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเข้ามาช่วยเหลือในการสำรวจบ้าน แสงไฟนั้นได้เปิดเผยสิ่งที่น่ากลัว
ซุกซ่อนในบ้านมากมาย เป็นต้นว่ามีกะโหลกศีรษะของมนุษย์หลายหัวกระจัดกระจายอยู่ห้องครัว บางอันถูกตัดครึ่ง บางอันถูกนำมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำ
บางอันถูกใช้เพื่อความสุมดุลขาเตียงสกปรกของเอ็ด กีน
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-6056.jpeg)
เมื่อทำการตรวจสอบใกล้ชิดพบว่าเก้าอี้ในห้องครัวหลายตัวทำมาจากชิ้นส่วนของผิวหนังของมนุษย์ และชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์สะสมในกล่อง
เป็นต้นว่าจมูก อวัยวะเพศมากมาย ซึ่งชิ้นส่วนศพเหล่านี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นของใคร หรือที่มาแต่อย่างไร หากแต่เชื่อว่า เอ็ดกีนน่าจะขุดศพเหล่านี้
จากสุสสานป่าช้า ซึ่งเขามักติดตามข่าวสารการตายของคนในท้องถิ่น และเมื่อสบโอกาสเขาจะขโมยศพตอนกลางคืน
ที่น่าขนหัวลุกกับรายการสะสมของเอ็ดกีน คอลเลกชั่น "อุปกรณ์แปลงร่าง" ที่ประกอบไปด้วยผิวหนังมนุษย์ที่เอ็ด กีนได้ถลกหนังศีรษะของศพหลายศพ
มาทำหน้ากากที่ นัยน์ตากลวงโบ๋ หลายๆ อันอยู่ในลักษณะสมบูรณ์ชนิดญาติจำหน้าเจ้าของหนังดั่งเดิมได้ หนึ่งในนั้นคือนางแมรี โฮแกนเหยื่อรายหนึ่ง
ของเอ็ด กีน และเข็มขัดที่ประดับประดาด้วยหัวนมสตรีเพศที่ถูกตัดออกจากร่างแล้วนำมาเย็บตรึงกับเข็มขัด มันมีจำนวนถึง 17 ชิ้น(หัวนมด้วยกัน)
กล่าวกันว่าเมื่อถึงพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เอ็ด กีนจะสวมเสื้อผิวหนังมนุษย์ เข็มกัดหัวนม ใส่หน้ากากหนังมนุษย์ และเอาอวัยวะเพศที่หญิงที่ตัด
แล้วใส่ในกางเกงใน จากนั้นก็เต้นรำข้างนอกหน้าแสงจันทร์ ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเอ็ด กีนทำแบบนี้เพื่ออะไร จากคำให้การของเอ็ด กีนเขาบอกว่า
หลังจขากแม่ตายเขาอยากเปลี่ยนเพศตนเอง โดยอยากเป็นผู้หญิงโดยเริ่มจากสร้างชุดผู้หญิงเพื่อหลอกตนเองว่าเป็นผู้หญิง
ที่ห้องครัวถือว่าเป็นห้องน่ากลัวที่สุดในการตรวจค้น ห้องครัวนั้นเป็นห้องที่เอ็ด กีนหลับนอนของชั้นล่างของบ้าน ซึ่งเป็นห้องที่รกที่สุด จนต้องเอาไม้กระดาน
มาช่วยในการเชื่อมต่อห้องหลัก ในนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นมหาศาล และเต็มไปด้วยซากศพที่ ตำรวจได้พบอวัยวะชิ้นส่วนต่างๆ ในกล่องกระดาษแข็งและถุง
กระจัดกระจายไปทั่วห้องครัว ซึ่งบางส่วนถูกน้ำมันชะโลมทำให้ยังผิวนุ่มและยังพบร่องรอยพลาสติก ซึ่งตำรวจพบว่าศพนั้นเป็นของมารี โฮแกน เจ้าของบาร์
ที่หายไปเมื่อสามปีก่อน และนอกจากยังพบหัวใจชำแหละใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ในครัวนางเบอร์นิช วอร์เดน (ที่ห้องอื่นๆยังพบศพแห้งของนางออกัสตา
แม่ของเอ็ด กีนด้วย)
และที่น่าขนหัวลุกสุดขีด เมื่อเขาเปิดปากถุงขยะก็พบห้องของนางเบอร์นิซ วอร์เดนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก เลือดจับเป็นก้อนรอบๆ จมูก การแสดงออก
บนใบหน้าของเธอนั้นดูสงบ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่าที่หัวมีตะขอแขวนเข้าด้วยกันโดยเชือก เป็นที่ชัดเจนว่าเอ็ด กีนพยายามแขวนหัว
ของเธอบนผนังเหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆ ในห้องของเขา
การเผชิญหน้าและการค้นพบที่น่ากลัวเหล่านี้ ถือว่าเป็นงานหนักของผู้เชี่ยวชาญนิติเวชและนักสืบเป็นอย่างมาก หลายคนเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานหลายปี
ยังแทบเตรียมใจไม่ได้ในการตรวจสอบบ้านที่เต็มไปด้วยศพและซากมนุษย์เหล่านั้นของเอ๊ด กีน ด้วยกลิ่นเหม็นที่สุดเหลือทน ความขยะแขยงที่มีส่วนผสม
ของบ้านหมู โรงฆ่าสัตว์ และสุสานถ้ำอะไรสักอย่าง สิ่งเหล่านี้ทำให้เป็นภาพติดตาสำหรับใครหลายคนแบบไม่มีวันลืมเลือน
สุดท้าย ตำรวจไม่อาจพิสูจน์จำนวนซากศพที่ค้นพบในบริเวณบ้านไร่ได้แน่ชัด อีกทั้งไม่รู้ว่าเหยื่อที่เอ็ดฆ่ามีกี่รายกันแน่นอกเหนือศพนางมารี โอแกน และ
เบอร์นิช วอร์เดน แต่ประมาณว่ามีศพในบ้านเอ็ด กีนไม่ต่ำกว่า 15 ศพ จากชิ้นส่วนอวัยวะที่ไม่เหมือนกัน
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055485-9965.jpeg)
ในขณะที่ทำการตรวจสอบบ้านของเขา เอ็ด กีนยังคงรออย่างเงียบๆ ในเรือนจำ ท่ามกลางการอารักขาของตำรวจ จนกระทั้งวันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน
นายอำเภอได้กลับมาที่เกิดเหตุและเริ่มสอบสวนเขาอย่างต่อเนื่องนาน 12 ชั่วโมง แต่เอ็ด กีนยังคงเงียบไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ต่อมารายงานการชันสูตรศพของนางเบอร์นิซก็มาถึง โดยยืนยันว่าเธอเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืน .22 แต่เอ็เดก็ยังคงเงียบ จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
ของวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน เขาก็ได้รับสารภาพว่าเขาเป็นคนสังหารนางเบอร์นิซ โดยเขาบอกว่าได้ลากศพเธอหลังจากฆ่าที่ร้านขายของ มาที่รถตู้
และเอาไปไว้ป่าบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะขับรถกลับมาเมืองอีกครั้งและกลับมารับศพอีกที เพื่อนำไปไว้ในฟาร์มและจัดการชำแหละร่างและแขวนศพ
ต่อมาเอ็ดกีนให้การอีกว่า ตอนกลางคืนเขาจะเดินทางไปสุสานหลายแห่งเพื่อขุดศพที่ตายใหม่ๆ เอากลับบ้าน เขาจำไม่ได้ว่ามี่กี่ศพ และยังยืนยันว่า
ไม่ได้ฆ่าเจ้าของชิ้นส่วนเหล่านั้น อีกทั้งไม่มีเพศสัมพันธ์ใดๆ กับศพ และปฏิเสธว่าไม่ได้กินเนื้อศพ
เอ็ดกีน ไม่ได้แสดงอาการโศกเศร้าเสียใจหรือความรู้สึกใด ๆ ในขณะถูกสอบปากคำทั้งสิ้น เขาให้การเกี่ยวกับการฆาตกรรมเหล่านั้นรวมถึง
การลักลอบขุดศพจากสุสานด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055484-3442.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-8411.jpeg)
วันต่อมาข่าวของเอ็ด กีนก็แพร่กระจายไปทั่วชิคาโก เอ็ด กีนปรากฏตัวในศาลในข้อหาปล้นเงินที่ร้านค้าของนางเบอร์นิซ สำหรับคดีฆาตกรรมนั้น
ทางศาลเลื่อนไปก่อนจนกว่าหลักฐานทางนิติเวชจะส่งมาถึง
จากการสอบสวนเอ็ด กีนนั้นเขาค่อนข้างพูดจา วกวน สับสน และเอาแต่เงียบ ก่อนที่เวลาต่อมาเขาก็สารภาพว่าเป็นคนลงมือสังหารมารี โฮแกน
หลายหลังสื่อได้ตั้งฉายาว่า "นักชำแหละแห่งเพลนเฟิลด์" กับพฤติกรรมและการก่ออาชญากรรมของเขา ซึ่งชาวเมืองเพลนเฟิล์นไม่รู้เลยว่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีสัตว์ประหลาดน่ากลัวอาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขา
วันที่ 27 พฤศจิกายน เอ็ด กีนนำตำรวจไปยังสถานที่ไม่ไกลจากฟาร์มของเขา ซึ่งสถานที่ตรงนี้มีหลายคนเห็นเอ็ด กีนหลายครั้ง แต่คิดเพียงว่า
เขานำขยะไปฝังในหลุม และเมื่อขุดดูก็พบโครงกระดูกที่มีฟันเลี่ยมทองซึ่งเชื่อว่าเป็นของผู้ชายร่างใหญ่ ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของ
นายเรย์ เบอเกตส์ เกษตรกรท้องถิ่นที่หายไปในปี 1952 พร้อมกับเพื่อนในขณะล่าสัตว์
เอ็ดกีนถูกทดสอบทางจิตวิทยาโดยจิตแพทย์ ด้วยวิธีเดิม ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถูกจับเข้าเครื่องจับเท็จซึ่งเขายังคงยืนยันว่าเขาฆ่าเพียงนางมารีแ
ละนางเบอร์นิซเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า "ทั้งสองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี" ส่วนชิ้นส่วนศพต่างๆ ในบ้านเขาขโมยจากสุสาน ที่น่าสนใจคือจากการทดสอบ
ไอคิวเขามีไอคิวสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ย แม้เขาจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เน้นใช้แต่คำง่ายๆ ทำให้ได้ข้อสรุปที่ว่าเขามีสภาวะทางจิตที่บกพร่อง
จิตแพทย์ระบุว่าเขาเป็นโรคจิตเภท หรือ Schizophrenia มีบุคลิกภาพที่แตกแยกและมีความวิปริตทางเพศ ทำให้บางครั้งมีพฤติกรรมที่ไร้เหตุผล
และไม่รู้สึกสำนึกผิด
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055483-6056.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055482-4276.jpeg)
วันที่ 18 ธันวาคม แพทย์ได้ทำการตรวจสอบสภาพจิตของเอ็ด กีน ก่อนที่จะสรุปว่าเอ็ด กีนเป็นบ้าไม่สามารถขึ้นศาลตามปกติได้ สมควรบำบัดทางจิต
ในที่สุดศาลก็ออกมานั่งบัลลังก์ตัดสินให้ส่งตัวเอ็ดกีน ไปรับการบำบัดในโรงพยาบาลโรคจิตที่ เซ็นทรัล สเตท ฮอสปิตัล ใน วาอูปัน วิสคอนซินแบบ
ไม่มีกำหนด เอ็ด กีนในตอนนั้นได้รับฟังแบบไม่ยินดียินร้าย เคี้ยวหมากฝรั่ง ไม่รู้สึกสำนึกผิดใดๆ ทั้งสิ้น
แน่นอนว่า ประชาชนในเมือง ได้ทราบข่าวผลการตัดสินของเอ็ด กีนต่างไม่พอใจกันทั่วหน้า และยิ่งโมโหหนักขึ้นเมื่อมีการทราบข่าวอีกว่าที่ดิน บ้าน
และทรัพย์สินของเอ็ดกีนได้ถูกนำไปประมูลขายและผลปรากฏว่าผู้คนต่างแห่กันมาเข้าชมกันอย่างล้นหลาม โดยรายการสำคัญในรายการก็มี รถยนต์
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี ซึ่งเป็นที่สนใจของนักสะสมของแปลก
แต่ชาวเมืองเพลนฟิลด์ไม่ชอบมากนักกับข่าวดังกล่าว เพราะนั้นทำให้เมืองของพวกเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากนี้ยิ่งทราบเรื่องที่ว่าบริษัทผู้รับทำหน้าที่
เปิดการประมูลทำการเก็บค่าเข้าชมของและบ้านของเอ็ดกีนหัวละ 50 เซ็นต์ ทำเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ยิ่งทำให้หลายๆ ฝ่ายไม่พอใจ
ต่อมาเช้ามืดวันที่ 20 มีนาคม ปีค.ศ.1958 มีคนจุดไฟเผาบ้านของเอ็ดกีน บ้านมรณะนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือซาก ซึ่งเมื่อทางโรงพยาบาลโรคจิต
แจ้งข่าวบ้านถูกไฟไหม้แก่เอ็ด กีน แต่ดูเหมือนเขาไม่ยินดียินร้ายกับข่าวนี้มากนัก
ส่วนสมบัติที่เหลือหลังจากบ้านเผาไหม้ ถูกนำไปประมูลได้แก่ รถฟอร์ด ซีดาน ที่เป็นพาหนะขนศพ ถูกนำไปประมูลได้ราคา 760 ดอลลาร์
และมันถูกนำไปตั้งแสดงงานประจำปีท้องถิ่นเก็บเงินค่าเข้าชมคนละ 25 เซ็นต์ และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากชาวเมืองเพลนฟิลด์
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055482-717.jpeg)
ชีวิตเอ็ด กีนในโรงพยาบาลบ้านั้น ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะเขาได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ป่สวยอาการทางจิต ไม่ใช้นักโทษ เขายังคงมีสิทธิ
ที่จะทำโน้นทำนี่หลายอย่างเป็นต้นว่า อ่านหนังสือ, ทำงานฝีมือ, ขัดหิน ถักพรม ชอบติดตามข่าวสารทางวิทยุ จากนางพยาบาลที่รับผิดชอบดูแล
เขาเอ่ยปากชมว่าเขาเป็นคนไข้ที่ดีเยี่ยม
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1974 เอ็ด กีนทำเรื่องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อเขายื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวเขา เขาบอกว่าตอนนี้เขาหายดีแล้ว หลังจาก
พักรักษาตัวนาน 16 ปี หลังจากเขาร้องขอก็มีการตรวจสอบทางจิตวิทยา ระหว่างนั้นเขาก็ได้สัมภาษณ์กับนักข่าวถึงเหตุผลที่ปล่อยตัวเขาว่า
เขาอยากออกเดินทางไปรอบโลกเพื่อเห็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่ทำการตรวจสอบก็ได้เบิกความและต่างลงความเห็นว่าผู้สูงอายุโรคจิตคนนี้ไม่สมควรได้รับการปล่อยตัว ด้วยเหตุผลว่า
อาการทางจิตของเขาไม่หายขาด และอาจสามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อเอ็ด กีนได้ยินคำตัดสิน เขาเงียบสงบ และดูเหมือนเสียดายเล็กน้อย
อีกทั้งปฏิเสธการถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าว
ปี 1978 เอ็ดกีนถูกย้ายไปที่สถาบันสุขภาพจิตเมนโดตา ซึ่งเอ็ด กีนไม่รู้เลยว่า ตอนนี้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงขั้นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ
ของฆาตกรหลายคนที่อยากจะเป็นเหมือนกับเขาไปเสียแล้ว
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055485-0195.jpeg)
วันที่ 26 กรกฏาคม 1984 เอ็ดกีนถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเขาทุกข์ทรมาน แสนสาหัสตายอย่างช้าๆ บนเตียงในโรงพยาบาลบ้า ศพของเขา
ถูกนำไปฝังอย่างเงียบๆ ไร้ญาติขาดมิตร เคียงข้างศพของนางออกกัสต้ามารดาผู้เป็นที่รักของเขา อย่างไรก็ตามแม้เขาจะตายไปแล้วแต่ก็ยัง
ไม่สงบนัก เพราะป้ายหลุมศพของเขาถูกบุกรุกอยู่เนื่องๆ เพราะถือว่าเป็นของมีค่าสำหรับนักสะสม ก่อนที่มันจะถูกขโมยไปในปี 2000
และถูกพบในซีแอตเทิลในปี 2001 ปัจจุบันมันตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์
เอ็ด กีนได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของฆาตกรทั้งในชีวิตจริงและโลกแห่งความจริง โดยภาพยนตร์ที่ดัดแปลงเรื่องราวชีวิตของเอ็ด
กีนก็มีภาพยนต์เรื่อง Deranged (1974), In the Light of the Moon (2000)} Ed Gein (2001) และ
Ed Gein: The Butcher of Plainfield (2007).
Psycho (1960)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055486-7763.jpeg)
ในปี 1960 เรื่องราวของเอ็ด กีนได้เป็นแรงบันดาลใจแก่ผุ้กำกับชื่อดังอัลเฟร็ด ฮิตซ์ค็อต นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ขาวดำเรื่องหนึ่งชื่อ "ไซโค" (Psycho)
โดยมีนักแสดงแอนโธนี่ เพอร์กินส์รับบทเป็น "นอร์แมน เบตส์"
นอร์แมน เบตส์ เป็นฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตที่ โรเบิร์ต บล็อก นักเขียนชาวอเมริกันผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้แต่งขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
เอ็ด กีน อีกที โดยในนวนิยายเป็นชายหนุ่มร่างอ้วน บุคลิกวิปริต ที่ซ่อนศพแม่ของตนเองไว้ในห้องเก็บของใต้ดิน โดยที่เขาเป็นคนสังหารแม่ด้วยตัวเอง
โดยที่ไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ผู้สร้างได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของนอร์แมนไปเป็นชายหนุ่มรูปบอบบาง อายุราว 30 ต้น ๆ ขี้อาย
อยู่เป็นโสด ในคฤหาสน์ 2 ชั้นทรงแคลิฟอร์เนียโกธิคบนเนินเขาหลังโรงแรมของตนเอง โดยมีจุดเด่นที่หลายคนจดจำก็คือรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียม
ในตอนท้ายของภาพยนตร์
นอร์แมน เบตส์มีลักษณะเหมือนเอ็ด กีนคือเขาถูกครอบงำโดยแม่ และรักแม่ มากจนมีอาการทางจิต สมุมติแม่ขึ้นมาเอง นอร์แมนกลายเป็น
โรคบุคคลิคหลากหลาย คิดว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ จนนานวันเข้าก็สามารถตอบโต้กันเอง โดยสมมุติว่าเขาเป็นแม่ และใส่วิกและเสื้อผ้าของแม่
ตอนสุดท้าย หลังถูกจับได้เขาก็ถูกตรวขสอบสภาพจิตว่าเป็นโรคจิตอย่างรุนแรง เพราะผลจากการเลี้ยงดูโดยแม่ที่เย็นชาและไม่ใส่ใจเขา
ไซโคนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบผลสำเร็จและได้รับความนิยมสูงสมัยนั้น จนขึ้นชั้นภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกตลอดกาลอย่างง่ายดาย
พร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหารุนแรงโดยเฉพาะฉากฆาตกรรมในห้องน้ำอันลือลั่น แต่กระนั้นก็ได้รับคำชมว่าเป็นศิลปะและการตีความ
จิตวิทยาแบบไม่มีภาพยนตร์ที่ไหนเคยทำมาก่อน อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประสบผลสำเร็จแล้วไซโคก็ถูกสร้างเป็นภาคต่อ 3 ภาค คือปี
1983, 1986, 1990 (ไม่นับรีเม็ก) หากแต่ทั้งหมดไม่ได้กำกับโดยฮิตซ์ค็อกอีกแล้ว ทำให้ไม่ได้รับคำชมเท่าใดนัก
https://www.youtube.com/v/NUve430f63s
The Texas Chain Saw Massacre (1974)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055486-4947.jpeg)
ในปี 1974 มีภาพยนตร์อีกเรื่องที่ขึ้นชั้นภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสึก คือเรื่อง "สังหารหมู่เท็กซัส" (The Texas Chain Saw Massacre)
ฝีมือกำกับของโทบี ฮูเปอร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาว 5 คนเดินทางไปพักผ่อนแล้วระหว่างทางก็มีเหตุให้ต้องหลงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
และแล้วพวกเขาก็พบครอบครัวมนุษย์กินคนและฆาตกรจอมโหด "เลเทอร์ เฟรด" ที่พร้อมฆ่าทุกคนแบบเรียงตัว
ซึ่งเลเทอร์ เฟรดนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากเอ็ด กีน
เลเทอร์ เฟรดนั้น มีจุดเด่นตรงที่เป็นชายตัวสูงใหญ่สวมหน้ากากเป็นทำจากผิวหนังหน้ามนุษย์เพื่อปกปิดหน้าตาหน้าเกลียดของตนเอาไว้
มีอาวุธเป็นเลื่อยไฟฟ้า ไล่ฆ่าคนเพื่อกินเนื้อ แต่สติปัญญาต่ำ อดีตเคยเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก่อน แม่ของเขาเป็นคนบรรจุหีบห่อเนื้อสัตว์ในโรงงาน
เขาต้องเกี่ยวข้องกับโรงฆ่าสัตว์อยู่เป็นประจำ ต่อมาก็ได้รับการเลี้ยงดูแบบผิดๆส่งผลให้กลายเป็นฆาตกรโหดที่ต้องฆ่าคนเพื่อเอาเนื้อมาเลี้ยง
ครอบครัวที่เลี้ยงดูเขาในเวลาต่อมา
The Texas Chain Saw Massacre เป็นหนังไล่ฆ่าที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดพล็อตหนังไล่ฆ่าโหด ทุนต่ำ ภาพดิบ มุมกล้องแคบๆ
ด้วยเนื้อหาที่น่าติดตาม และมีเอกลักษณ์ ทำให้ภาพยนตร์ประสบผลสำเร็จสูงทั้งรายได้และคำวิจารณ์จนถูกสร้างตามมาหลายภาคเช่น
The Texas Chainsaw Massacre 2 (1986) , Leatherface: The Texas Chainsaw Massacre III (1990) ,
The Return of the Texas Chainsaw Massacre (1994)
https://www.youtube.com/v/Vs3981DoINw
เจมส์ กัมป์ ใน The Silence of the Lambs
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1468055486-5624.jpeg)
ปี 1991 มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อ "The Silence of the Lambs" เป็นภาพยนตร์ลึกลับ-สยองขวัญ ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน
นำแสดงโดนโจดี ฟอสเตอร์และแอนโทนี ฮ็อปกินส์ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับแคลลิช สตาร์ลิ่งเจ้าหน้าที่เอฟบีไอฝึกงานที่ได้รับมอบหมายให้สืบ
คดีฆาตรกรรมต่อเนื่อง ที่มีฆาตรกรใช้ชื่อแฝงว่า "บัฟฟาโร่ บิล" จนกระทั่งเธอได้พบกับ ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์(แอนโทนี ฮ็อปกินส์) อดีตฆาตรกร
ซึ่งถูกบำบัดจิตอยู่ เธอพบว่าเลคเตอร์ มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับ บัฟฟาโร่ บิล เธอจึงพยายามสืบและรู้ตัวจริงของบัฟฟาโร่ บิลให้ได้ แต่ในที่สุด
ก็เกิดเรื่องเมื่อลูกสาวของวุฒิสมาชิกถูกบัฟฟาโล่ บิลจับตัวไป เธอจึงต้องจับตัวบัฟฟาโร่บิลให้จงได้ เพื่อที่จะช่วยลูกสาวของวุฒิสมาชิกและเธอ
รู้ว่าเลคเตอร์คือกุญแจที่จะไขให้เธอพบตัวจริงของบัฟฟาโร่บิล
ตัวจริงของบัฟฟาโร่บิลคือเจมส์ กัมป์ (แสดงโดยโทมัส แฮร์ริส) โดยรับแรงบันดาลใจจากเอ็ด กีน ซึ่งเจมส์ กัม เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ชอบผู้หญิง
ที่น้ำหนักเกินเพื่อทำชุดผู้หญิงให้แก่ตัวเอง ซึ่งประวัติที่มาถูกทอดทิ้งจากแม่ที่เป็นโสเภณีติดเหล้า และถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่บุญธรรมที่ชอบใช้
ความรุนแรง ต่อมาก็ฆ่าปูกับย่าและมีอาการทางจิต ต่อมาก็กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องชอบถลกหนังคน (ความจริงแล้วเจมส์ กัมป์ได้นำประวัติ
และพฤติกรรมฆ่าคนจากฆาตกรต่อเนื่องถึง 6 คน ประกอบด้วย เอ็ด กีน, เท็ด บัดดี้, นักฆ่ากรีนริเวอร์, เอ็ดมันด์ ,เจอโรเม่ บรูโดส์,
แกรี่ เฮดจ์นิค และเอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ )
ภาพยนตร์ The Silence of the Lambs เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ไปทั้งหมด 5สาขาได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
,สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม,สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและสาขานักแสดงนำหญิงซึ่งเป็น 5รางวัลใหญ่ของเวทีรางวัลออสการ์ทั้งสิ้น
https://www.youtube.com/v/wGaX2SRSClI
เรื่องราวของเอ็ด กีนได้รับแรงบันดาลใจในสื่อการ์ตูนล้อเลียน งานศิลปะ และชื่อของเขายังเคยถูกนำมาอยู่ในเนื้อเพลง
"Dead Skin Mask" ของวง Slayer ในอัมบั้ม Seasons in the Abyss
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Ed_Gein
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/notorious/gein/bill_1.html
credit :: cammy@dek-d.com