(http://www.disthai.com/images/content/original-1494556425328.jpg)รูปแบบและขนาดวิธีใช้ของมะรุมตำราพื้นบ้านใช้ใบมะรุมใช้พองแผลช่วยห้ามเลือด ยอดอ่อนกินเป็นอาหาร ดอกตากแห้งชงเป็นชาหรือต้มรับประทานน้ำเป็นยา ฝัก ใช้ประกอบอาหารสำหรับกิน เมล็ดใช้สกัดทำเป็นน้ำมันมะรุม เปลือกลำต้นและรากใช้ต้มกรองกากเพื่อทานน้ำเป็นยา
การศึกษาทางพิษวิทยาของมะรุมมีการรายงานความเป็นพิษของมะรุมในระดับเซลล์และในสัตว์ทดลองว่า
- สาระสำคัญ 4 (alpha-L-rhamnosyloxy) phenylacetonitrileจากเมล็ด แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ใน Micronucleus test
- สารสกัดน้ำจากใบมะรุม (http://www.disthai.com/16488241/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A1) หรือ 90% เอทานอล ในขนาด 175 มก/กก ของน้ำหนักแห้ง เมื่อป้อนให้หนูแรทที่มีการผสมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดการแท้งได้
- สารสกัดน้ำของรากมะรุมขนาด 200 มก/กก น้ำหนักตัว เมื่อให้กับหนูแรท จะเหนี่ยวนำให้เกิดทารกฝ่อ (foetalresorption) ในการตั้งครรภ์ระยะสุดท้าย
- สารสกัดเมล็ดมะรุมด้วย 5 M borate buffer มีผลทำให้เม็ดเลือดแดงของกระต่ายรวมตัวกัน
- เมื่อลองให้หนูแรทกินผงของเมล็ดดิบที่แก่ของมะรุม โดยไม่จำกัดจำนวนเป็นเวลา 5 วัน พบว่าทำให้ความอยากอาหาร การเจริญเติบโตและการใช้โปรตีนลดลง ขนาดของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ไต หัวใจ และปอดใหญ่ขึ้น ในขณะที่ต่อมไทมัส และม้ามมีลักษณะฝ่อลง โดยเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ
- การทดลองความเป็นพิษโดยให้หนูเม้าส์กินส่วนราก หรือฉีดสารสกัดไม่ระบุชนิดตัวทำตัวละลายเข้าใต้ผิวหนัง ในขนาด 10 ก./กก. น้ำหนักตัว ไม่พบความเป็นพิษ
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวังของมะรุม
หากจะรับประทานใบ เนื้อในฝัก หรือดอกมะรุมซึ่งเราใช้เป็นอาหารมานานแล้วเพื่อการรักษาโรค ก็อาจทำได้แต่อย่าหวังผลมากนัก และไม่ทานในปริมาณมาก หรือติดต่อกันนานเกินไป ซึ่งอาจจะมีการจะสมสารบางอย่างและอาจเป็นพิษได้ และจากรายงานความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง ซึ่งพบว่าทำให้เกิดการแท้ง ดังนั้นควรระมัดระวังการใช้ส่วนต่างๆ ของมะรุมในสตรีมีครรภ์ คนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
Tags : มะรุม