(http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5.jpg)
ปูทะเล (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5/)
ปูทะเลเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ที่เจอในประเทศมีขั้นต่ำ ๓ ประเภท ทุกประเภทจัดอยู่ในสกุล Portunidae คือ
๑.ปูดำ หรือ ปูแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla serrata (forsskal) ชนิดนี้เจอตามป่าชายเลนทั่วๆไป
๒.ปูขาว หรือ ปูทองหลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla oceanic dana จำพวกนี้พบตามพื้นสมุทรทั่วๆไป
๓.ปูเขียว หรือ ปูทองคำโหลง หรือ ปูลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla transquebarica Fabricius
ประเภทนี้พบตามพื้นสมุทรทั่วๆไปอีกทั้ง ๓ จำพวกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันด้านสีและก็หนามที่ขอบกระดองและสภาพถิ่นอาศัย กระทั่งนักวิชาการลางสำนักจัดเป็นชนิดเดียวกันหมดเป็นScylla serrata (Forsskal)
ชีววิทยาของปูทะเล
ปูทะเลอาจมีกระดองขนาดกว้างได้ถึง ๒๐ เซนติเมตร มีลำตัวที่แบ่งได้เป็น ๒ ส่วนเป็นท่อนหัวที่เชื่อมรวมกับอกมีกระดองเป็นเปลือกหุ้มอยู่ข้างบน กับส่วนท้องที่พับแนบติดกับลำตัวทางข้างล่าง ประชาชนเรียกส่วนนี้ว่า กระจับปิ้ง ซึ่งในตัวผู้จะเป็นสามเหลี่ยมแคบ ส่วนในตัวเมียจะแผ่กว้างออกเป็นรูปโค้งกลม มีขา ๕ คู่ คู่แรกเปลี่ยนไปเป็นก้ามใหญ่ ใช้จับเหยื่อและป้องกันตัว รวมทั้งเพศผู้ใช้จับกุมภรรยาเวลาสืบพันธุ์ ขาคู่ที่ ๒-๕ มักมีปลายแหลม ใช้สำหรับคลานหรือเดิน ส่วนขาท้ายที่สุดของปูทะเลจะแบนเป็นกรรเชียง ช่วยในการว่าย ปูทะเลหายใจโดยเหงือกซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ ประชาชนเรียก นมปู เห็นได้เมื่อเปิดกระดองออก ปูทะเลอาจสลัดก้ามทิ้งได้ โดยสร้างก้ามใหม่ขึ้นมาเมื่อลอกคราบครั้งถัดมา เหมือนเคยหลังจากการลอกคราบเปื้อนเพียงแค่ ๒ รั้ง ก้ามปูอาจมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมได้ การลอกคราบของปูเป็นกระบวนการช่วยเพิ่มขนาด ภายหลังจากปูรับประทานอาหารและสะสมไว้เพียงพอแล้ว ก็จะสลัดเปลือกเดิมทั้งสิ้นทิ้งไป แล้วสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทน ปูที่มีอายุน้อยนั้นลอกคราบบ่อยมาก แต่ว่าจะค่อยๆห่างขึ้นเมื่อปูโตเต็มที่แล้ว ฤดูสืบพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงต.ค.ถึงเดือนธันวาคม ในช่วงนี้ปูทะเลมีไข่มากมาย ก่อนการผสมพันธุ์นั้น เพศผู้อุ้มตัวเมียไว้เพื่อรอจนตัวเมียลอกคราบ หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปลดปล่อยไข่ออกมาไว้ตับปิ้ง ใช้รยางค์ของส่วนท้องโอบไข่เอาไว้ ไข่ในระยะเริ่มต้นมีสีเหลืองอ่อนๆแต่จะกลายเป็นสีเข้มขึ้น จนเป็นสีส้มรวมทั้งสีน้ำตาล เป็นลำดับ ต่อจากนั้นไข่จึงฟักเป็นตัวอ่อน ดำเนินชีวิตเป็นแพลงก์ตอนลอยไปกับน้ำทะเล แล้วลอกคราบเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอ่อนอีกระยะหนึ่ง ก็เลยจะจมลงสู่พื้นสมุทรเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปูขนาดเล็กถัดไป
(http://www.xn--[b][i][-4uw1a0q3b8a2ar6f2exftj/i%5D%5B/b%5D.com/wp-content/uploads/2017/09/1024px-Crabe_madagascar.jpg)
ประโยชน์ทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร (http://www.disthai.com/)[/url] แพทย์แผนไทยใช้ "ก้ามปูทะเลเผา" เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งสำหรับการประกอบยาหลายขนาน อาทิเช่น ยาทาแก้แผลอันมีสาเหตุมาจากไส้ด้วนไส้ลุกลาม กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ซึ่งบึนทึกเอาไว้ใน พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา ดังนี้ ถ้าเกิดไม่หาย ให้ร้อนหนัก ท่านให้เอา ก้ามปูสมุทรเผา ๑ เปลือกหอยโข่งเผา ๑ รากลำโพงแดง ๑ รากขัดมอน ๑ ฝางเสน ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรด ๑ เปลือกจิกที่นา ๑ ผลจิกท้องนา ๑ เอาเสมอ บดด้วยน้ำลายจรเข้เป็นกระสาย หายแล ยาแก้อยากกินน้ำแก้ร้อนด้านในอันทำให้หอบขนานหนึ่ง ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ เข้าเครื่องยาที่เรียก "ก้ามปูสมุทรเผาไฟ" ด้วย ยาขนานนี้ตำราเรียนว่าใช้ "กินพ่น" ดังนี้ ขนานหนึ่งแก้ระหายน้ำให้ร้อนข้างในแลให้หอบ ท่านให้เอาสังข์หนามเผาไฟ ๑ รากบัวหลวง ๑ ฝุ่นผงจีน ๑ รังหมาร่าเผาไฟ ๑ ชาดก้อน ๑ ดอกพิกุล ๑ ดอกสาระภี (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B5/) ๑ ดอกบุนนาค (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/) ๑ เกสรบัวหลวง ๑ การบูร ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากคันทรง ๑ ก้ามปูทะเลเผาไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเปนแท่ง ละลายน้ำดอกไม้สด อีกทั้งกินพ่น แก้ร้อนแก้ระหายน้ำ ไคลตกก็หายแล
Tags : สมุนไพร