(http://www.xn--[b][u][url=http-zg9b1b90blh://www.disthai.com/%5D%5Bb%5D%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%5B/b%5D%5B/url%5D%5B/u%5D%5B/b%5D.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.jpg)
มดแดง (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/)
มดแดงเป็นมดประเภทหนึ่ง มีสีแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)
จัดอยู่ในวงศ์ Formicidae
ชีววิทยาของมด
มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น รอบๆส่วนท้องคอดกิ่วในระหว่างที่ตืดกับอกทางด้านหลังของส่วนท้องบ้องที่ ๑ หรือในมดบางจำพวกศูนย์รวมไปถึงปล้องที่ มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงขึ้น โหนกนี้อาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกลุ่มแมลงที่มองคล้ายคลึงกัน เช่น พวกต่อและแตน หรือแตกต่างไปจากปลวกที่คนทั่วไปมักงงมากกัน โดยมองเห็นมดกับปลวกแบบเดียวกันไปหมด เว้นแต่ไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะบ้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีประเภทใดอยู่สันโดษ ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ และเพศแตกต่างกัน พูดอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง เพศผู้เป็นพ่อรัง และมดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง และเฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันออกไปอีก
อาทิเช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็อาจทำหน้าที่สร้างรังและเลี้ยงรัง เหล่านี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก รวมทั้งท้องได้สัดส่วนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่เฝ้ารัง มดพวกนี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่ามดงานปกติอย่างยิ่งแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ ไม่ได้รูปทรงกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดเพศผู้และก็มดตังเมียซึ่งเป็นบิดารังแล้วก็แม่รังนั้น บางทีอาจพบได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดพอๆกับมดงานก็มี อย่างไรก็ดีมดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน อาจสังเกตมดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังแล้วก็มดงานลูกรัง ซึ่งพวกหลังนี้มักมีตาเล็ก จนบางครั้งบางคราวเกือบจะไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดบิดารังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น รูปแบบของปีกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมาก รูปร่างของปีกคู่หน้าและก็ปีกคู่หลังก็แตกต่าง รวมทั้งที่สำคัญเป็นมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่ข้างหลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน แล้วก็รูปร่างของปีกก็คล้ายคลึงกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี
(http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/wp-content/uploads/2017/09/semut-rangrang.jpg)
สมุนไพร (http://www.disthai.com/) ในขณะนี้มีการประมาณกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ชนิด ชาวไทยต่างรู้จักดีกับมดเป็นอย่างดี เพราะมีมดหลายอย่างอาศัยตามบ้านที่พัก หรือในรอบๆใกล้เคียงกัยอาคารบ้านเรือน การเรียกชื่อมดของคนประเทศไทยบางทีอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก "มด" นำหน้า ดังเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) เพราะเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งสติไม่ดีไปเป็นมด เป็นต้น มดบางชนิดพวกเราเรียกชื่อตามอาการอันมีเหตุมาจากถูกมดนั้นกัด ดังเช่นว่า มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะก่อให้รู้สึกคันในรอบๆแผลที่กัด หรือผูกคันไฟ (Solenopsis geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด นอกเหนือจากมีลักษณะอาการคันแล้ว ยังมีลักษณะแสบร้อนราวกับถูกไฟลวก
บางประเภทก็เรียกตามกิริยาท่าทางที่มดแสดงออก ยกตัวอย่างเช่น มดลนลาน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ถูกใจวิ่งเร็วแล้วก็วิ่งพล่านไป เปรียบเสมือนผู้ที่วิ่งดัวยความตกอกตกใจ มดประเภทนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน ที่บ้าเป็นมดตาลานก็มี หรือมดตูดงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักยกท้องขึ้นท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น ทำให้มองดูเหมือนตูดงอล เป็นต้น
มดบางจำพวกเป็นมดที่พสกนิกรตามท้องถิ่นใช้บริโภค จึงเรียกไปตามรสอย่างเช่น ทางภาคเหนือ อันได้แก่ ชาวจังหวัดแพร่ น่าน ลำพูน เชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ ฯลฯ นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเพราะมีรสชาติมันและอร่อย จึงเรียกชื่อตามรสชาตินั้น อย่างไรก็แล้วแต่ มีมดบางจำพวกที่ราษฎรไม่ได้รัชูชื่อโดยใข้คำ "มด" นำหน้าตัวอย่างเช่น เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดกินฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกับแมลงจำพวกอื่นที่อาจมีการรัยกชื่อเพี้ยนไปตามท้องภิ่นเป็นต้นว่า แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนบ้านนอกในแคว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันดังเช่น ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในขณะคนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้ เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังและก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังแล้วก็ผสมพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว มดตัวผู้มักตาย มดตัวเมียซึ่งตระเตรียมสร้างรังใหม่ก็จะหาที่พักพิงอันมิดชิด แล้วสลัดปีกทิ้ง รอตราบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนจนกว่าเข้าดักแด้ รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตสุดกำลังกลายเป็นมดงานที่เลี้ยงแม่ต่อไป เมื่อมดงานปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว แม่รังก็ทำ
หน้าที่วางไข่เพียงอย่างเดียว การควบคุมวรรณะของรังอาจปฏิบัติโดยการวางไข่ที่แตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น ขนาดแตกต่างกัน ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังและมดงาน ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดเพศผู้หรือมดบิดารัง รูปแบบของวงจรชีวิตแบบนี้ต่างจากปลวก ด้วยเหตุว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า ซึ่งประกอบดัสยบิดาและแม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้ พ่อรังมักมีชืวิโคนยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งตระเตรียมวางไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัว ก็จะเป็นปลวกงานซึ่งสามารถดำเนินการอุปถัมภ์พ่อแม่ได้โดยไม่ต้องคอยให้โตสุดกำลังเสียก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง เช่นมดแดง หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังใกล้กับไม้ที่อาศัย ได้แก่มดลี่หรือมดก้นงอล บางพวกสร้างรังในดินมีลักษณะเป็นช่องสลับซับซ้อนเหมือนรังปวก ได้แก่มดมันหรือแมลงมัน รังของมดจึงมัลักษณะของอุปกรณ์ที่สร้าง โครงสร้าง แล้วก็รูปร่างนานับประการล้นหลามให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดง
เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว ครั้นไข่แก่ก็จะวางไข่ ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น จะถูกวางเป็นกระจุกใกล้กับใบไม้ด้านในรัง ไข่ที่ได้รับการผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดงานแล้วก็มดแม่รังส่วนไข่ที่ไม่ได้รับผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดเพศผู้ เมื่อไข่ก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในระยะนี้อาจทานอาหารและก็ขยับเขยื้อนตัวได้บางส่วน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยทุกๆอย่าง ขารวมทั้งปีกเป็นอิสระจากลำตัว และก็หยุดรับประทานอาหาร แล้วหลังจากนั้นก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย และก็ที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัยทั้ง๓ วรรณะได้แก่
๑. มดแม่รัง มีความยาว ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร สีเขียวใสจนกระทั่งสีน้ำตาลแดงหัวรวมทั้งอกสีน้ำตาลคล้ายมดงาน แม้กระนั้นหัวกว้างว่า ส่วนนอกสั้น อกข้อแรกตรงอกบ้องที่ ๓ ทื่อ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน ส่วนท้องเป็นรูปไข่ เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว ทำหน้าที่เพาะพันธุ์ รังหนึ่งบางทีอาจพบมดแม่รังหลายตัว แม้กระนั้นจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะสืบพันธุ์ได้
๒. มดเพศผู้ มีความยาว ๖-๗ มิลลิเมตร ลำตัวสีดำ หัวเล็ก ฟันกรามแคบตาลุก หนวดเป็นแบบด้าย มี ๑๓ บ้อง ฐานหนวดยาว ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก อกปล้องที่ ๓ ใหญ่ ข้อต่อหนวดยาว ท้องรูปไข่ ปีกสีนวลใสมีหน้าที่สืบพันธุ์พียงอปิ้งเดียว อายุสั้นมาก เมื่อสืบพันธุ์แล้วจะตาย
๓. มดงาน มีความยาว ๗-๑๑ มม. กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร สีแดงหัวแล้วก็อกมีขนสั้นๆ หัวกลม ด้านล่างแคบ ฟันกรามขัดกัน ปลายแหลมโค้งตอนต่อไปแคบ อกข้อที่ ๒ กลม โค้งขึ้น อกข้อที่ ๓ คอด คล้ายอาน ขายาวเรียว ข้อต่อหนวดรูปไข่ ส่วนท้องสั้น เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก มีบทบาทหาร ทำรัง รวมทั้งคุ้มครองศัตรู
ประโยชน์ทางยา
แบบเรียนคุณประโยชน์ยาบาราณว่า น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว ฉุน สูดดมแก้ลมแก้พิษเสมหะโลหิต ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงถอนพิษ โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูมีพิษกัด ให้มดต่อยที่รอบๆนั้น ไม่นานมดแดงก็จะตาย ใช้มือปาดเอามดแดงเอาไป แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่ ทำอีกครั้งๆไปเรื่อยๆจยกว่ากำลังจะถึงมือแพทพ์ บางคราวบางทีอาจจำเป็นต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกจาก ประชาชนบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำเนิดบาดแผลขึ้น และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะชำระล้างบาดแผลหรือหายาใส่แผลได้ เป็นต้นว่า เมือ่อยู่ในป่าหรือในท้องนา ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล) วางไว้รอบๆปากแผล ให้ปวดแสบปวดร้อนมากมาย
พระตำราธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ "วัณโรค ๗ ประการ" อันเกิดอาจ "หนองพิการหรือแตก" ซึ่งนำมาซึ่งอาการไอ ผ่ายผอม เบื่ออาหารยาขนานนี้เข้า "รังมดแดง" เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ปุพ์โพ เป็นหนองทุพพลภาพหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง ให้กายผอมแห้งหนัก ให้กินอาหารไม่จักรส มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ ถ้าจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง หัวหอม ๑ ตำลึง (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/08/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87/) ๑ บาท ขมิ้นอ้อย (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/)ยาว ๑ องคุลี ยาทั้งยัง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักแล้วก็ธาตุเบาชำระบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้
Tags : สมุนไพร