(http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%9A.jpg)
ตะพาบน้ำ (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3/)
ตะพาบ (mud turtle หรือ soft-shelled turtle) เป็นสัตว์คลานประเภทหนึ่งจัดอยู่ในตระกูล Trionychidae มีลักษณะคล้ายคล้ายเต่าน้ำจืด แตกต่างกันตรงที่กระดองบน (carapace) และกระดองล่าง (pastron) ไม่มีกระดูกเป็นแผ่นใหญ่ๆแต่ว่ามีหนังห่อหุ้มแทน มีนิ้วยาว ตีนด้านหน้ามีแผ่นพังผืดกว้าง ใช้สำหรับพุ้ยน้ำ มีเล็บเพียงแค่ ๒-๓เล็บ คอหดในกระดองได้มิด แต่สามารถยืดคอออกได้ยาวมากเมื่อจะงับเหยื่อหรือกัดศัตรู ตะพาบน้ำทุกประเภทเป็นสัตว์น้ำจืด พบได้บ่อยอยู่ตามห้วย สระ หนอง และตาม แม่น้ำลำคลอง ตะพาบน้ำสามารถขุดรูเป็นโพรงสำหรับอาศัย และยืดคอขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ หรือยืดคอออกไปฮุบกุ้งปลาที่ว่ายน้ำผ่าน โดยที่ตัวไม่ต้องออกมาจากโพรงเมื่อน้ำในบึงหนองแห้งลงในหน้าแล้ง ตะพาบน้ำจะทำโพรงอยู่ใต้ดินได้นาน กระทั่งฝนตกก็เลยออกมาจากโพรงรวมทั้งเริ่มหาสัตว์น้ำต่างๆรับประทานเป็นอาหาร ตะพาบน้ำรับประทานอีกทั้งกุ้งรวมทั้งปลาสดๆและก็เนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อย สามารถว่ายน้ำไปหารับประทานไกลๆสำหรับในการใช้มือจับตะพาบนั้นจับได้เฉพาะตรงที่ขอบกระดองตรงหน้าของต้นขาหลัง ถ้าเกิดจับผิดตำแหน่งตะพาบซึ่งมีคอยาวจะยืดคอออกมาเหลียวกัดมือได้
ตะพาบในประเทศไทย
ตะพาบน้ำที่เจอในประเทศไทยมีอย่างน้อง ๖ ประเภท เป็น
๑.ตะพาบน้ำธรรมดา
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amyda cartilaginea (Boddart)
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร (http://www.disthai.com/)[/u][/b][/url] ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม เมื่อโตเต็มกำลังกระดองบนอาจยาวได้ถึง ๘๓ เซนติเมตร ขอบด้านหน้าของกระดองบนเป็นปุ่มตะปุ่มตะป่ำ ขอบกระดองข้างล่างไม่มีสีเด่น ปากออกจะแหลม ที่หนังบนหลังเป็นริ้วเล็กๆนูนขึ้นมาทั่วทั้งยังข้างหลัง ตัวอ่อนมีสีเขียวขี้ม้าปนเทา บางตัวมีจุดเหลืองๆหรือจุดดำๆขอบเหลือง หัวมีจุดเหลืองๆเป็นจุดใหญ่ทางด้านข้าง พอสมควรแก่ จุดเหลืองบนข้างหลังมักหายไป จุดที่หัวก็เลือนไป ที่ใต้ท้องของเพศผู้มีสีขาว แต่ว่าที่ใต้ท้องของตัวเมียเป็นสีเทา ตะพาบน้ำชนิดนี้มีมาก พบทั่วไปในแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง ในภาคกลางของเมืองไทย อาจเจอตามลำธารรวมทั้งห้วยที่ตีนเขา นอกนั้นยังเจอในภาคใต้ของประเทศพม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย รวมทั้งตามหมู่เกาะมลายู
๒.ตะพาบหัวทื่อ หรือ ตะพาบน้ำหัวกบ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni Owen
ประเภทนี้กระดองบนออกจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่มีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๐ ซม. จมูกสั้น หัวค่อนข้างแบนแล้วก็เล็กเมื่อเทียบกับลำตัว ความยาวของหัวกะโหลกหัวใกล้เคียงกับความกว้าง ปากไม่แหลม ขาหน้าสั้น ตีนกว้าง กระดองหลังมีสีเขียวขี้ม้าอมเทามีรูบุ๋มเล็กๆทั่วๆไป มีจุดเหลืองๆกระจายอยู่ทั่วไป กระดองข้างล่างสีขาว ในประเทศไทยเจออยู่ทางด้านใตน ยิ่งกว่านั้นยังเจอที่ประเทศ ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย อินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ แล้วก็ภาคใต้ของจีน
๓.ตะพาบน้ำหลังลายกะรัง หรือ ตะพาบม่านลาย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitra chitra Gray
ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่มีขนาดใหญ่ กระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๑๒๒ ซม. เป็นชนิดที่มีตัวโตที่สุดของประเทศไทยแล้วก็ของโลก จมูกสั้น หัวค่อนข้างจะแบนรวมทั้งเล็ก ความยาวของหัวกะโหลกหัวเป็น ๒ เท่าของความกว้าง มีลวดลายบนหนังด้านบน เมื่อยังอายุน้อย กระดองบนมีสีเขียวอมเทา มีจุดลายดำเปรอะๆเพียงพอแก่มากยิ่งขึ้น รอบๆคอรวมทั้งกระดองบนจะมีลวดลายสีเหลืองหรือสีน้ำตาลราวกับหินกะรังแต่ว่าพอสมควรแก่มาก ลายสีนี้กลับจางลงไปอีก พบบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในประเทศไทยแถบที่ลุ่มอิระวดีในประเทศเมียนมาร์ ลุ่มแม่น้ำคงคารวมทั้งแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดีย
๔.ตะพาบหลังยาว หรือ ตะพาบน้ำแก้มแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dogania subplana Geoffrey
ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ยาว ขอบสองข้างค่อนข้างขนานกัน สีเขียวหม่นหมองแกมน้ำตาล ไม่กลมอย่างตะพาบประเภทอื่นๆขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบเมื่อโตสุดกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๖ เซนติเมตร หัวออกจะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ปากแหลม กระดองด้านล่างไม่มีจุดสีดำชัดเจน ที่ข้างคอและแก้มมีสีแดงเรื่อๆพบได้ตามแหล่งน้ำลำน้ำบนที่สูงทางภาคตะวันตกแล้วก็ภาคใต้ของเมืองไทยนอกเหนือจากนั้นยังบางทีอาจพบในประเทศประเทศพม่ามาเลเซีย แล้วก็ฟิลิปปินส์
๕.ตะพาบน้ำไต้หวัน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelodiscus sinensis sinensis Wiegmann
ชนิดนี้กระดองบนออกจะแบนขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่กระดองบนยาวได้ถึง ๒๕ เซนติเมตร กระดองบนมีสีเขียวขี้ม้าหรือสีน้ำตาล กระดองข้างล่างมีจุดสีดำแจ้งชัด รวมทั้งมีสีส้มในระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ ที่รอบตามีเส้นเล็กๆเป็นรัศมีเป็นตะพาบน้ำประเภทประจำถิ่นของจีน เอามาเลี้ยงเป็นสัตว์อาสิน เล็กน้อยหลุดมาขยายพันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
๖.ตะพาบน้ำหับ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys punctate scutata (Peters)
เป็นตะพาบน้ำที่พบใหม่รวมทั้งมีขนาดเล็กที่สุดของประเทศไทย เมื่อโตเต็มที่กระดองข้างหลังอาจยาวได้ถึง ๑๖ ซม. กระดองหลังโค้ง นูน สีเขียวหม่นหมองหรือสีน้ำตาล สามารถหับหรือปิดกระดองได้ทั้งผอง เจอทีแรกรอบๆชายแดนไทยพม่า แถบจังหวัดตาก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง มีจำนวนน้อยและก็หายาก
ประโยชน์ทางยา
ตะพาบที่พบในยาไทยมักซึ่งก็คือตะพาบธรรมดา หมอแผนไทยใช้ดีตะพาบ เป็นเครื่องยา ตำราเรียนยาคุณประโยชน์โบราณว่า ดีตะพาบน้ำมีรสขม คาวมีคุณประโยชน์แก้ไข้สันนิบาต แก้พิษรอยแดง แก้โรคตา แล้วก็แก้ลมกองละเอียด (ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย) ในตำราพระโอสถพระนารายณ์มียาขนานหนึ่งเข้า "ดีตะพาบน้ำ" เป็นเครื่องยาด้วยดังนี้น้ำมันภาลาธิไตล ให้เอารากหญ้าขัดหมอน รากขี้เหล็ก รากปะคำไก่ รากปะคำควาย รากมัน รากรักขาว รากลำโพง ๒ รากชุมเห็ด รากฝักส้มป่อย ขมิ้นอ้อย ขิง ข่า ยาทั้งนี้ควรจะต้มให้ต้ม ควรจะตำให้ตำ เอาน้ำสิ่งละทนาน น้ำมันพรรณผักกาด น้ำมันพิมเสน น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา สิ่งละทนาน หุงให้คงจะแม้กระนั้นน้ำมัน แล้วจึงเอา ดีตะพาบ ดีงูงูเหลือม พริกหอม พริกหาง พริกล่อน ฝิ่น สิ่งละสลึง เทียนทั้งยัง ๕ สิ่งละบาท ๑ บดปรุงลงในน้ำมันไว้ ๓ วัน ก็เลยทาแลนวดแก้พระเส้นอันทพฤกให้หย่อนยาน แลฟกบวม เป็นขั้วเป็นหน่วยแข็งอยู่นั้นให้ละลายออกเป็นปรกติแลฯ
พระคู่มือปฐมจินดาร์ให้ยาแก้ซางเด็กขนานหนึ่งที่เขา "ดีตะพาบ" เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้
ขนานหนึ่ง ท่านให้เอาฟันกรามแรด ๑ กรามช้าง ๑ งาช้าง นอแรด (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%94/) ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวจระเข้ ๑ เขี้ยวหมู ๑ กระดูกงูทับทาง ๑ โกฏทั้งยัง ๕ ขมิ้นอ้อย ๑ ไพล (http://www.disthai.com/16488307/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A5) ๑ ดีตะพาบน้ำ (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3/) ๑ ดีงูงูเหลือม ๑ พิมเสน (http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/08/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99/) ๑ รวมยา ๑๘ สิ่งนี้เอาส่วนเสมอกัน ตำเป็นผงบดปั้นแท่งไว้ ละลายน้ำเหล้า กินแก้ทรางทั้งปวง หาย