by กาแฟดำ
20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 \
คนไทยควรจะได้บทเรียนทั้ง จากน้อง'เก๋'และ'วรพจน์' ถ้าคนไทยไม่เพียงแค่เฮตามกระแส "ฮีโร่" โอลิมปิก แต่พยายามสรุปบทเรียนจากชัยชนะ และความพ่ายแพ้จาก "น้องเก๋" และ "วรพจน์" ที่ปักกิ่ง บางทีเราอาจจะได้ประโยชน์สำหรับทั้งประเทศมากกว่านี้
เพราะในชัยชนะและความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเสียงหัวเราะและน้ำตาที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจนถึงการแข่งขันกีฬาชาติ ภูมิภาคและระดับโลกคราวหน้าเท่านั้น หากแต่ยังมีประเด็นที่ทำให้คนทั้งประเทศต้องเรียนรู้มากมาย
ถ้าคนไทยไม่ใช่เพียงแค่สนใจว่า "น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล จอมพลังสาวเหรียญทองปักกิ่งเกมส์ มีแฟนแล้วหรือยัง หรือชอบกินอะไรเป็นพิเศษ หากแต่ฟังเธออย่างลุ่มลึกกว่าเพียงแค่คำถามคำตอบผิวเผิน ก็จะได้ความเห็นอันมีค่าและลึกซึ้งหลายประการ
เธอพูดหลายครั้งในหลายโอกาสตั้งแต่กลับจากปักกิ่งว่า "ผู้ใหญ่" ในบ้านเมืองควรจะได้รับรู้ว่านักกีฬาระดับชาติที่คนทั้งประเทศตั้งความคาดหวังไว้อย่างสูง และถือเป็นความภาคภูมิใจระดับสากลนั้น ความจริงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
น้องเก๋ บอกว่า "พวกเราหลายคนไม่รู้อนาคตตัวเอง หลายคนไม่มีโอกาสเรียนหนังสือเพิ่มเติม และหลายคนเมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว ไม่มีงานทำ..."
คนไทยฟังแล้วก็ผ่านไป ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬาได้ฟังแล้วก็กลับไปทำอะไรเหมือนเดิม...เพราะเราต้องการแต่เพียงผลที่คนทั้งประเทศต้องการ แต่ไม่มีใครลงมือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
เพราะเราไม่มีแผนระดับชาติในการสร้างนักกีฬาระดับโลก...เพราะเราปล่อยให้มีนักกีฬาไทยระดับโลกตามมีตามเกิด
และเมื่อนักกีฬาคนไหนสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติแล้ว ก็ตื่นเต้นยินดีกับเขาหรือเธอเพียงระยะสั้น จากนั้นก็ลืมพวกเขา ทิ้งให้แต่ละคนดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตของตนเองต่อไปอย่างคนที่ "โลกลืม"
น้องเก๋ พูดเตือนสติคนทั้งชาติด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล แต่คนไทยที่ฟังเธอควรจะต้องได้สติจากความเห็นของ "ฮีโร่" คนล่าสุดของประเทศ เพราะเธอเป็นคนมี "สาระ" และต้องการจะพูดเรื่องที่เป็นเนื้อหาของการสร้างนักกีฬาระดับชาติของประเทศมากกว่าที่จะตอบคำถามผิวเผินไร้ความหมายอย่างเช่น "หนูมีแฟนหรือยัง?" หรือ "ตื่นเต้นไหม?"
วรพจน์ เพชรขุ้ม นักมวยไทยที่พ่ายคู่ชกจากคิวบา นั้น แม้จะแพ้แต่ก็ให้บทเรียนอันมีค่าสำหรับคนไทยทั้งประเทศ
ภาพที่เขาร้องไห้หลังจากลงจากเวทีที่เราเห็นบนจอทีวีนั้น เป็นการสะท้อนความรู้สึกของนักกีฬาระดับโลกของไทย ที่ไม่อาจจะทำให้ความฝันของคนไทยทั้งประเทศเป็นจริงได้
เป็นการแสดงความรับผิดชอบของนักกีฬาที่รู้ว่าคนทั้งประเทศตั้งความหวังไว้สูงยิ่งสำหรับเขา
แต่เป็นความผิดของวรพจน์ หรือเปล่าที่ทำให้คนไทยไม่น้อยผิดหวัง?
เปล่าเลย คนไทยต่างหากที่ตั้งความหวังไว้สูงแต่ไม่ได้ทำอะไรให้เขาสามารถยกระดับความสามารถให้เทียบทันกับฝีมือระดับโลกที่จะแข่งเหรียญทองได้
ดูจากการพันตูระหว่างวรพจน์ กับนักชกคิวบา ที่ชื่อแยนเกล ลีออน อลาร์กอน แล้วก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของนักชกไทยเรายังห่างชั้นกับมาตรฐานโลกอยู่ไม่น้อย
แต่วรพจน์ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถแล้ว และคงจะร้องไห้เพราะรู้ว่าที่ดีที่สุดของตัวเองยังไม่ดีพอสำหรับความความคาดหวังของคนไทย
แต่มาตรฐานโลกนั้น (ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬาหรือด้านไหน) ไม่อาจจะสร้างได้เพียงแค่ตัวนักกีฬาเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่รัฐบาลลงมาถึงคนไทยในวงการต่างๆ ในภาคเอกชน และวงการวิชาชีพ ที่จะต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันในการ "สร้างคน" อย่างเป็นระบบ และต้องระดมสรรพกำลังจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรการเงิน การสนับสนุน ความร่วมมือทั้งจากครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน และเครือข่ายสังคมทั้งหลายทั้งปวง
ความสำเร็จทางการกีฬาเป็นมาตรวัดมาตรฐานของคุณภาพคนของประเทศนั้นๆ ที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ที่ผ่านมา เรามองนักกีฬาเป็นเพียง "ตัวละคร" ของความบันเทิงสำหรับสังคมไทยที่ต้องดิ้นรนช่วยตัวเอง และฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการด้วยตนเอง
เราเพียงต้องการหัวเราะกับชัยชนะ แต่เรามักจะถอยหนีจากความพ่ายแพ้เกือบจะทันที...เพื่อร่วมฉลองกับผู้ที่แสดงบทเป็น "ฮีโร่" คนต่อไปเท่านั้น
โดยที่เราไม่เคยสำเหนียกว่าชัยชนะที่แท้จริงนั้นคือการเรียนรู้จากความพ่ายแพ้เลย
เครดิต : http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/20/news_286641.php
คงจะยากโข มั้งครับ
ถ้ายัง ไม่เลิกทำมาหากิน กัน
เมืองไทย เขตปลอด คอรัปชั่น !!!
กร้ากกกก
dsgjsd dsgjsd dsgjsd
น่าคิด ครับ
ครับ ภารดร 2 ปีที่แล้วมีรายได้ ร้อยกว่าล้าน มีแค่ คนอิจฉา
ไม่มีใครคิดเลยว่า ภารดรเล่น เทนนิส วันละ 8 ชั่วโมงตั้งแต่ อายุ 4-5 ขวบ
ตีเทนนิสทุกวัน วันละ 8 ชั่วโมง มา 25 ปี
ถ้าคนเรามีความพยายาม ทำเพียงอย่างเดียวให้ดี ก็สำเร็จครับ
หึๆๆ จาเลียนแบบได้ยังไงละเนี้ย ช่วยบอกผมที
แล้วท่านเทพบางท่านที่ปรี้ 2 สองดอก ทุกวัน มาตลอด 25 ปีล่ะครับ jhkll