บทส่งท้าย
หากเราอยู่ในวันสุดท้ายของชีวิต และจิตกำลังทำงานทบทวนทุกสิ่งที่มีมาทั้งหมดในชีวิต หากยังนึกคิดทบทวนได้ หลายคนคงถามตัวเองว่าได้ปล่อยโอกาสให้ตัวเองพลาดสิ่งดีๆในชีวิตอันใดไปบ้าง
ส่วนใหญ่คงนึกเสียดายว่าทำไมไม่จีบแม่คนนั้น ทำไมไม่รับรักพ่อคนนี้ ทำไมก่อนสอบมหาวิทยาลัยไม่ขยันเสียหน่อย ทำไมถึงทนทู่ซี้ทำงานในบริษัทที่ไม่ทำให้เราเจริญก้าวหน้าตั้งนานนม ทำไมไม่รออีกสักนิดแทนที่จะคิดสั้นแต่งงานกับเจ้านี่ ทำไมถึงไม่กล้าขอหย่าเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ทำไม ฯลฯ
คนเราจะนึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลสำคัญกับชีวิต คือนึกๆแล้วพบความเป็นไปได้ว่าสามารถพลิกผันชีวิตเราให้ดีขึ้น หรือทำให้เราใช้ชีวิตได้ราบรื่นขึ้นกว่าที่ผ่านมา เราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป ปล่อยให้บางสิ่งหลุดมือไป ปล่อยให้บางอย่างอยู่กับเรานานเกินไป สารพัดสารเพที่ยิ่งคิดยิ่งน่าเสียดาย
แต่คงไม่มีใครบ่นรำพึงกับตัวเอง ว่าทำไมไม่ศึกษาพุทธศาสนาเสียให้ถึงแก่นก่อนมาถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพราะถ้าใครคิดเสียดายเช่นนั้นได้ ก็แปลว่าเขาต้องตระหนักมาก่อนว่าความรู้ในพุทธศาสนามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆทั้งหมดที่ผ่านพบมาตั้งแต่เกิดจนตาย
เมื่อไม่รู้ว่าสิ่งใดน่าเสียดายที่สุด คนเราย่อมไม่รู้สึกเสียดายสิ่งนั้น เขาจะตายไปโดยไม่ทราบด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมีอยู่ในโลก และครั้งหนึ่งเขาเคยเกิดมาทันพบสิ่งนั้น
หลายคนเหมือนรู้แบบฟังๆผ่านหูมาว่าเพชรพลอยในพุทธศาสนากองไว้ให้กอบโกย จงอย่าช้า อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป ขอให้เอาติดตัวไปด้วยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในเมื่อไม่เคยปีนป่ายขึ้นมาถึงเขตที่เขากองทองไว้รอท่าให้เห็นกับตา ส่วนใหญ่ก็แค่ฟังหูไว้หูแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ และน่าเห็นใจว่าทำไมคนจึงมาถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยกันน้อยนัก
ขอฝากเรื่องน่าเสียดายในชีวิตไว้ในปัจฉิมลิขิตหน้านี้
เรื่องแรก น่าเสียดายถ้าก่อนตายไม่ได้ศึกษาพุทธพจน์
เรื่องที่สอง น่าเสียดายถ้าศึกษาพุทธพจน์แล้วไม่เลื่อมใส
เรื่องที่สาม น่าเสียดายถ้าเลื่อมใสพุทธพจน์แล้วไม่ปฏิบัติตาม
เรื่องสุดท้าย น่าเสียดายถ้าปฏิบัติตามพุทธพจน์แต่ไม่ต่อเนื่องจนถึงฝั่ง?
อยากปฏิบัติธรรมเหมือนกัน เพราะบางครั้งเวลาจานอนชอบคิดฟุ้งซ่านทำให้นอนไม่หลับ
หมกหมุ่นกับปัญหาของตัวเองมากไป
ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆ