http://grathonbook.net/book/5.1.html
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ. บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ (ต่อ)
ถาม : ............(ฟังไม่ชัด).........
ตอบ: ตัวนั้นสำคัญที่สุด การพิจารณาตัวเอง คือ กำหนดไว้เลยว่า ยี่สิบสี่ชั่วโมงเราทำดีกับทำไม่ดี อันไหนมันมากน้อยกว่ากัน พยายามให้ส่วนของความดีมีให้มากกว่า จนกระทั่งสามารถที่จะดำรงอยู่ในความดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
ตอบ: ไม่จำเป็น
รักษาศีล กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า อย่าลงมือฆ่าเอง ที่เขาขายกันทั่ว ๆ ไป ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ขายอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นไปถึง ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง ฆ่าเองก็แล้วกัน สำหรับพระละเอียดหน่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ถึงจะฉันได้ ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง ยกแกงออกมาแล้ว อ้าว !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย ? หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้ สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้ ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง
ถาม : ..........(ฟังไม่ชัด).......เขาบอกว่าศีลยังรักษาได้ไม่ครบ อย่างศีลข้อหนึ่ง ก็คือเราไปเบียดเบียนสัตว์
ตอบ: บอกเขาไปว่าศีลข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์นะ
เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา คำว่าเบียดเบียนสัตว์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรรมบทสิบ
กรรมบทสิบนี่เขาถือการเบียดเบียนด้วย มันจะละเอียดขึ้น แต่ว่าขณะเดียวกันว่า
การกินมังสะวิรัต ถือว่าดีมาก เพราะว่า
เป็นการงดเว้นโดยสิ้นเชิง มีจิตประกอบไปด้วยเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นปกติ แต่นั้นหมายความว่า
ต้องทำเพื่อละจริง ๆ ถ้าทำแล้วไปอวดหรือไปคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา ตัวเองปฎิบัติเคร่งครัดกว่าคนอื่นเขา อย่างนั้นนี่...รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์กิเลสจะน้อยกว่าเยอะ
สำคัญตรงที่ว่าเราไปยึดถือการปฎิบัติของเรากว่าดีหรือเปล่า เคร่งกว่าหรือเปล่า ถ้าทำอย่างนั้นถึงงดกินเนื้อสัตว์ไปก็เท่านั้นแหละ ถาม : เป็นการอวดกิเลส ?
ตอบ: เป็นการอวดความดีของตัวเอง
ถาม : .........(ฟังไม่ชัด)......เราก็ไม่อยากให้ใครมองไม่อยากให้ใครมารู้ว่า คือ อยากให้เรารู้เองของเรา
ตอบ:
อยู่กับโลกตามปกติ..แต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล คลุกคลีตีโมงกับเขาได้ จะไปเที่ยวไปเตร่ไปเฮไปฮาเราไปได้แต่ถ้าหากว่าเขาพาเราไปฆ่าสัตว์ เราไม่เอา พาเราไปกินเหล้า เราไม่เอา เราจะมีกรอบของเราอยู่ ไปมันแค่นั้น
มันไม่ได้ปฎิเสธโลก เราอยู่กับโลกอย่างมีสติเสียด้วยซ้ำไป เพราะเราระวังอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือเปล่า
ถาม : ไม่ได้ห้ามฟังเพลง ?
ตอบ: ไม่ได้ห้ามเลยจ้ะ ศีลห้าข้อไม่ได้ห้าม ว่าได้เต็มที่
ถาม : มันอยู่ที่จิตของเราใช่มั้ย ถ้าเรารู้อยู่ ว่าเราทำอะไรอยู่ เราอยู่ตรงไหน ?
ตอบ: รู้อยู่ พอขยับ ก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดมั้ย !
ถาม : เราทำตัวปกติธรรมดา เหมือนคนธรรมดา แต่ใครจะไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่
ตอบ: ใช่ ตัวนั้นแหละ เพราะว่าการทำนี่ มีหลายคนที่
ทำลักษณะอวดคนอื่นเขาลักษณะอย่างนั้นมันจะกลายเป็นอุปกิเลส อุปกิเลสก็คือว่า เเทนที่จะทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ในการลด ละ เลิก ซึ่งความไม่ดีในใจของเรา ก็กลายเป็นทำเพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี
ถาม : ชอบเพราะเขาสรรเสริญว่าเราดี
ตอบ: ก็ยิ่งกลายเป็นอะไร...เขาเรียก
สีลัพพัตตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีลพรต คือแนวปฎิบัติของตนเองว่าดี แทนที่ จะลด จะละ จะเลิก ก็กลายเป็นเกาะเพิ่มขึ้นอีก
ถาม : แล้วคนที่ละวางได้.......(ฟังไม่ชัด).......
ตอบ: ไม่ใช่
คนที่ละวางมากเท่าไรยิ่งขยันมากกว่าปกติ เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลามีแค่นี้เท่านั้นหรือว่ามีแค่วันนี้เท่านั้น คนที่มีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะขยันกว่าคนอื่นเยอะเลย หน้าที่การงานอะไรในปกติธรรมดาของตน ทำหน้าที่นั้นจนเต็มที่ เพื่อว่าถึงเวลาแล้วจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่มีใครนินทาว่าร้ายตามหลังไปได้ ขยันกว่าปกติ ไม่ได้ขี้เกียจ
ถ้าปล่อยวาง แล้วขี้เกียจ นั้นไม่ใช่แน่ เลยจ้ะ
ถาม : อย่างเวลาเขาแข่งกัน เราก็มามองว่า ทำไมเราต้องแข่งกัน ?
ตอบ: อย่างนั้นมันเป็นเรื่องปกติของเขา เราเองมันไม่อยากในตรงนั้นใช่มัย ? แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบของเรา เราต้องทำให้ดี ทำเต็มความรับผิดชอบของเรา ทำเหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ผลงานทุกอย่างต้องให้มันลงตัว คนอื่นเขามาสานต่อจะได้ไม่ต้องลำบาก
ถาม : มานั่งคิดดู.......(ฟังไม่ชัด)........
ตอบ: ไม่ใช่ จริง ๆ แล้วก็คือว่า หน้าที่ของเรามีอย่างไรทำอย่างนั้นและทำให้ดีที่สุด มันยิ่งกว่าแข่งนะ เพราะถ้าเราทำเต็มกำลังของเราถึงไม่ต้องแข่ง ประเภทที่เรียกว่าเราทำดีอยู่แล้ว คราวนี้
คนที่ทำดีสม่ำเสมอกับคนที่ดีในบางเวลานี่ เขาสู้เราไม่ได้ จะดีไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไปถ้าหากว่าเป็นเจ้านายพิจารณาผลงาน เออ! คนนี้เขาเสมอต้นเสมอปลายดี ผลงานต่าง ๆ จะเป็นของเรา ดีไม่ดีจะเจริญกว่าคนอื่นเขาเยอะ
ถาม : .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง ?ช่างเขาเถอะ?).........
ตอบ: ช่างเขาเถอะ นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ใจ
เราจะไม่เก็บมาคิด ให้มันเสียเวลา เพราะถ้าเราเก็บเข้ามาเมื่อไร ก็คือการเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในใจ เราก็ปล่อย ช่างเขาเถอะ
เขาเองเขาคิดว่าดี เขาถึงทำ ส่วนเราของเรา เรารู้ว่าตรงนี้ดีเราก็ทำให้เต็มที่ของเราไป ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
ตอบ: แต่เราอยากรู้ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำ เขาจะคิด.......(ฟังไม่ชัด).......
ตอบ: ตัวนั้นไม่เกี่ยวกันเลย ไม่คิดนั่นมันยาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะคิดกันทั้งนั้น
ส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าตัวทุกข์เพราะความคิดตัวเอง จะรู้สึกมันมากกับการคิด เหมือนกับคนกินของเผ็ด รู้อยู่ว่ามันเผ็ดแต่มันอร่อย หารู้ไม่ว่ามันทำให้ลำบากปวดท้องปวดไส้ทีหลัง ตั้งหน้าตั้งตากินแล้วมาบ่นทีหลังว่าเผ็ดจังเลย
ถาม : เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะ อย่างที่บอกเรื่องการเบียดเบียนเมื่อกี้ แต่มาพิจารณาแล้วว่าในขณะเดียวที่เราทำตรงนั้น ถ้าเราไม่เต็มร้อยคือจิตใจเรานี่มันยังอยากกินอยู่เป็นปกจติอยู่ มันก็เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
ตอบ: มันกลายเป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ถาม : มากกว่าเดิม ต้องลำบากอีกแล้วทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีก
ตอบ: แล้วที่แน่ ๆ ก็คือว่า มีอยู่จำพวกหนึ่ง ที่เอาอาหารปรุงแต่งด้วยโปรตีนเกษตรน่ะ ทำขึ้นมาเป็นขาหมู เป็นไส้หมู เป็นพะโล้ เป็นอะไรทุกอย่าง ตัวนั้นนี่มันปรุงแต่งมากกว่าเราเยอะเลย เพราะฉะนั้นดูให้ดี ถ้าขืนทำลักษณะนั้น
แทนที่จะลดกิเลส กลายเป็นเพิ่มเสียด้วยซ้ำไป หลอกตัวเองสองชั้น เขาเรียกว่าโง่สองชั้น
หลอกตัวเองไม่พอหลอกชาวบ้านด้วย ถาม : ..............(ฟังไม่ชัด)..........
ตอบ: พระพุทธเจ้าท่านสอนที่เรียกว่า
สายกลาง คือไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น ท่านบอกว่าได้ก็คือได้ คราวนี้ได้ในสภาพของท่าน ก็คือ อย่าฆ่าเอง..... อย่างสั่งเขาฆ่าอย่างนี้ เราก็ทำตามนั้น
ถาม : ..............(ฟังไม่ชัด)..........
ตอบ: ต้อง
หลวงปู่แหวน คนไปคุยหลวงปู่แหวนบอกว่า เขาเป็นมังสะวิรัต เขาคุยลักษณะที่ว่าดีกว่าคนอื่นเขา หลวงปู่แหวนก็เปรย ๆ ขึ้นมา ท่านบอกว่าเห็นวัวเห็นควายมันกินหญ้าทั้งชีวิต ไม่เห็นว่าเป็นพระอรหันต์ซะที ( หัวเราะ) นั้นท่านพูดเปรย ๆ นะท่านไม่ได้ว่าใครคือเวลาคนคุยใส่ท่านมาก ๆ ท่านก็คงเซ็งในอารมณ์ โดยเฉพาะที
พระเทวทัต ขอพระพุทธเจ้าว่าขอให้พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ฉันมังสะวิรัตทุกองค์ พระพุทธเจ้าบอกว่า
ผู้ใดต้องการเป็นมังสะวิรัต ก็ให้ฉันมังสะวิรัต ผู้ใดต้องการฉันอาหารปกติ ก็ให้ฉันปกติ เพื่อจะได้ไม่ลำบากแก่ญาติโยมที่เขาให้อาหารไม่อย่างนั้น สมมุติว่าพระสององค์ไปบ้านเดียวกัน ก็แย่ละสิ ต้องอาหารปกติชุดหนึ่งอาหารมังสะวิรัตชุดหนึ่ง ลำบากเขาเยอะ เวลาไป
วัดหนองบัวก็จะมังสะวิรัตตามเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำอาหารสองชุดถึงเวลาเขามาเมืองไทยเราเองก็สั่งมังสะวิรัตไปเลย คือไม่ต้องแยกต่างหาก ฉันเป็นเพื่อนเขาไป พอเรากลับมาอยู่ตามสภาพปกติของเรา เราก็ว่าของเราต่อไป
ถาม : แล้วถ้าเราต้องการรักษาโรค หรือว่าเรามีจุดประสงค์ของเรา
ตอบ: ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็รู้เลยว่ามันลำบากกว่าเดิม บางทีเรื่องของการปรุงแต่ง ถ้าหากว่าจิตมันสั่งให้ทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย เพิ่มกิเลสให้กับตัวเองซะเปล่า ๆ ทำได้น่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี ขนาดหมอเขายังบอกเลยว่า ถ้าหากว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบอย่าเพิ่งกินมังสะวิรัต เพราะว่ากระดูกกล้ามเนื้อมันยังไม่โตเต็มที่เดี๋ยวกระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ถาม : หลวงพี่ทำงานองค์เดียว ไม่มีกรรมการวัด ?
ตอบ: คือกรรมการวัดนั้นมันมากเรื่อง บางทีเขาเข้ามาโดยตำแหน่งแล้วเขาให้มีตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร
ไวยาวัจกรนี่จริง ๆ มีอยู่ลักษณะของโยมวัด มี
หน้าที่ช่วยเหลือพระ แต่พอตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่นั้นเข้ามาควบคุมพระโดยเฉพาะควบคุมการเงินทั้งหมด แล้วถ้าหากว่าเงินถึงมือพวกเขาจะจัดการยากมาก บางทีก็หายไปเฉย ๆ โดยหาสาเหตุมิได้ ถ้าหากมีกรรมการวัดมักจะใช้แต่พระด้วยกัน
ถาม : เขาบอกว่า พี่จะทำก็ หนูจะฝากเงินไปด้วย เราก็กลัวว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า แล้วพอดีคนแนะนำเขามาแนะนำให้ทำชุดใหญ่ ๑,๐๐๐ หนึ่งน่ะ (ทำให้ผู้ตาย)
ตอบ: ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ๊ะ สังฆทานอย่างไรก็ได้กับข้าวสักถุง ตั้งใจใส่บาตรพระหน้าวัด อยู่หน้าบ้านก็ได้ คือถ้าไม่เกิน ๓ เดือนทำไปยังทัน
เวลาของข้างล่างเขาต่างจากเราเยอะ วันหนึ่งอยู่ประมาณ ๕๐ ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นภายใน ๓ เดือนของเรานี่ มันเป๊ปเดียวของเขายังทันอยู่
ถาม : ที่ว่า ๑๐๐ วันใช่มั้ยคะ ? แต่นี่เขาถือว่าเขาก็ทำแล้ว
ตอบ: เขาก็ทำแล้ว แต่บางทีบุญที่เขาทำ กำลังมันไม่สูงพอโดยเฉพาะ
การทำบุญ ถ้าเริ่มต้นด้วยบาป ผีเขาไม่เอา เช่นว่าต้องไปฆ่าสัตว์ ฆ่าปลา ฆ่าไก่ ของพวกนี้เขาจะไม่เอา
เพราะเขาจะได้ส่วนของบาปนั้นด้วย เขาต้องการบุญบริสุทธิ์ที่ทำโดยที่ไม่เบียดบียนใคร ไม่เริ่มต้นด้วยบาปเหล่านั้น
ถาม : แล้วเขาตายนี่ เขาตามมาจริงใช่มั้ยคะ ?
ตอบ: ส่วนใหญ่แล้วคนตาย ถ้าหากว่าหาที่ไปไม่ได้ เขาเป็น
ผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย ความเคยชินก็จะกลับบ้าน ถ้าหากกลับบ้านแล้วไม่มีใครให้ความสนใจ บางทีก็
ตามคนที่เขารู้จัก (หัวเราะ)
ถาม : แหงเลยหละ !
ตอบ: อันนี้ไม่กล้ายืนยัน (หัวเราะ) ความจริงเขาตามเราก็ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
ถาม : ก็ตกใจ ขี้กลัวผีอยู่แล้วด้วย
ตอบ: จำเอาไว้แล้วกัน ถ้ากลางค่ำกลางคืนเสียงอะไรดัง ๆ อย่าทักเพราะบางทีผีเขาเข้าบ้านไม่ได้เขาจะทำให้เราตกใจแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา เขาสามารถที่จะเกาะเราเข้ามาตอนนั้นได้ ให้เราระวังไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรพวกนี้ก็อย่าไปตกใจ
อย่าไปทักอะไรง่าย ๆ เพราะถ้าเราทัก เหมือนกับเราเปิดประตูบ้านให้เขาเข้า พระภูมิเจ้าที่เขาไม่สามารถจะกันได้เพราะถือว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว ระวัง ๆ ไว้ ครั้งหน้ามีสุ้มมีเสียงอะไรขึ้นมาออกไปดูให้มันชัดเจนไปเลย อย่าไปทักไปถามว่าใคร มาจากไหน อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวแย่
ถาม : ทำไมมันมีอะไรแปลก ๆ
ตอบ: ความจริงมันไม่แปลก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้
มีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสัมผัส หรือว่ารู้เห็นไม่ได้ เป็นเพราะว่าสภาพจิตของเราบางทีมันก็มัวไปเยอะ ถ้าหากว่าคนที่สามารถขัดเกลาจิตของเขาให้ใสให้สะอาดได้ ก็สามารถรู้เห็นได้เป็นปกติ
ถาม : อย่างนั้นก็แล้วไป เขาก็รู้ว่า อะไรเป็นอะไรใช่มั้ยคะ ?
ตอบ: อันนี้ของเราประเภทรู้ว่าบ้าง ไม่รู้บ้าง ก็ลำบากนิดนึงเดี๋ยวเพื่อความแน่ใจคืนนี้ลองใหม่อีกครั้ง (หัวเราะ)
ถาม : ไม่เอาาาาาว์..........
ตอบ: เขาก็คงจะหวังจากลูกหลานยาก ก็เลยมาพึ่งเรา คือ ถ้าหากว่าเป็นสังฆทานนี่ถวายที่ไหนก็ได้ พระจะปฎิบัติดี หรือปฎิบัติไม่ดีก็ตาม ถ้าเป็นสังฆทานอานิสงส์จะเท่ากันหมด ตัวบุญจะเท่ากันหมด แต่
มันสำคัญตรงที่พระที่รับไป ถ้าทำไม่ดีนี่ขาดทุนเยอะเลย คนรับน่ะขาดทุน
ของเราทำนี่เราไม่เป็นไร สังฆทานจะเป็นทานของหมู่สงฆ์ทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าคนใดคนหนึ่ง ถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวนี่ พระองค์นั้นนี่โทษเยอะเลย
ถาม : ถ้าอย่างนั้นภายใน ๗ วัน เขาก็ได้แล้ว แล้วเขามาหาเราทำไม ?
ตอบ: บอกแล้วว่า บุญบางอย่างถ้าเริ่มต้นด้วยบาป เขาไม่เอาเราก็ไม่มั่นใจว่าในงานนั้น เขาได้ฆ่าปลา ฆ่าไก่อะไรหรือเปล่า ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาหรือไม่ก็บอกเขาไปหาลูกหลานเหอะ
ถาม : ...........(เสียงไม่ชัด)..........
ตอบ: ไม่มีอะไรหรอก ทำใจสบาย ๆ สวดมนต์ไหว้พระ แขวนพระเอาไว้ ขอบารมีท่านสงเคราะห์
ถาม : ต้องอาราธนาบ่อยเลย ทุกวัน
ตอบ: ดีแล้ว ถ้าเราเกาะพระเป็นปกติ อันตรายอื่นจะทำได้ยากมาก อาราธนาพระไว้ทุกวัน แขวนติดตัวไปทุกวัน นึกถึงท่านให้ช่วยด้วยถ้าหากเราไม่นึกถึงไม่ขอ บางทีท่านก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อธิษฐานขอท่านช่วยคุ้มครอง ช่วยรักษาเราด้วย
ถาม : แล้วที่ฝันว่าไอ้สิงโตมางับนี่ก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ: ในฝันนี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าหากว่าฝันว่าโดนสัตว์ร้ายขบกัดเขาบอกว่าให้ระวังจะมีศัตรู ศัตรูก็น่าจะเป็นคนด้วยกัน ผีเขาคงไม่มาทำตัวเป็นศัตรูของเราหรอก
http://grathonbook.net/book/5.2.html
ถาม : .........(เสียงไม่ชัด ถามเรื่องการสอบ)..............
ตอบ: การสอบ ถ้าหากว่าเราใช้คาถาสหัสสเนตโตเป็น มันเหมือนกับการลอกข้อสอบดี ๆ นี่เอง แล้วมันเป็นการลอกโดยถูกกฏหมายซะด้วย เพราะเขาจับไม่ได้ ไปดูเอาอยู่ในหนังสือสมบัติพ่อให้ แล้วใช้ตามนั้น อันนี้อาตมายืนยัน นั่งยันนอนยัน เพราะใช้มาด้วยตัวเองวิชาของพระที่เรียนมันไม่มีให้เลือก มันมีแต่จงอธิบาย ๆ สามหน้ากระดาษ ห้าหน้ากระดาษปรากฏว่าเราเรียนไม่ทัน เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วมันออกตรงนั้นพอดี พอมันเกิดความรู้สึกขึ้นตามที่ท่านว่า ก็ว่าของเราไปเรื่อย พอจบแล้วจำคำตอบไปดูมันตรงทุกตัวอักษรเลย ถ้าเขาจับว่าลอกข้อสอบ มันเถียงเขาไม่ได้มันเหมือนทุกคำ ถ้าคุณไม่ได้ลอก คุณเขียนยังไงให้มันเหมือนได้ เขาคงไม่เชื่อแน่ใช่มั้ย ?
เพราะฉะนั้นไปใช้วิธีนั้น ไม่ยากเลย เรียนอะไรก็ได้ มีคนถามหลวงพ่อท่านว่าในเมื่อมันไม่ใช่ความรู้ของเขาจริง ๆ แล้วเด็กจะไม่โง่หรือ ? หลวงพ่อบอกข้อสอบบอกอะไร เด็กมันก็ตอบได้มันโง่มั้ยล่ะ ? ทำตามแบบนั้น อย่าว่าจะเรียนเอกเลย สองเอกก็ได้ แต่ลำบากหน่อย ปริญญาตรีนี่รู้เท่าอาจารย์บอกก็ใช้ได้ใช่มั้ย ? ปริญญาโทนี่ต้องเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์คล้อยตามให้ได้ว่าเรามีความรู้ ส่วนปริญญาเอกนี่ต้องหลอกอาจารย์ให้ได้ (หัวเราะ)
ถาม : แล้วลำโพงกาสลัก นี่เป็นยังไงค่ะ ?
ตอบ: ส่วนผสมของยาพระประทาน ก็คือลำโพงกาสลัก คราวนี้พระปลัดนิภัทร ท่านเจตนาดีตั้งใจจะช่วยหลวงพ่อก็ไปหามาให้กลายเป็นลำโพงธรรม ลำโพงธรรมดาชาวบ้านเขาเรียกว่า มะเขือบ้า ต้นมันคล้าย ๆ มะเขือ แล้วก็ลูกเป็นหนาม ๆ หน่อย ดอกมันสีขาว ๆ ถ้าสีม่วงมันจะเป็นลำโพงกาสลัก
ถาม : แล้วกินได้หรือครับ ?
ตอบ: ทำยาได้ กินมันก็บ้าพอกันนั้นแหละ เพราะฉะนั้นยาสมุนไพรนี่ถ้าตัวไหนอันตราย ระมัดระวังไว้หน่อย ไม่งั้นจะแย่เอา
ถาม : ..........( เสียงไม่ชัดถามเรื่องสร้างวัดหนองบัวที่พม่า).........
ตอบ: สมัยก่อนเขาไปตีบ้านตีเมืองกัน สมัยนี้อาตมาไม่ไปตีหรอกไปซื้อคืน คราวที่แล้วซื้อที่คืนไปผืนหนึ่ง คราวนี้จะเอาอีกผืนหนึ่ง จะขยายวัดให้มันกว้างไปเรื่อย ๆ ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนไทยเป็นยังไงญาติโยมแถวนั้นเขาก็ดีนะ ขอซื้อที่ขอซื้ออะไรก็กระตือรือล้น เขาบอกครูบาให้เงินให้คำ ( คำ =ทอง) อย่างเดียวข้าน้อยไม่เอานะ ข้าน้อยจะเอาบุญด้วย แล้วให้ตังค์เขาอย่างเดียวเขาไม่เอาหรอก ถ้าเขาไม่ได้บุญเลยให้ทองเขาไป เสร็จเเล้วค่อย ๆ พูดบอกกับเขาว่าถ้าอยากได้บุญมาก ๆ ก็คืนทองมาบาทนึง (หัวเราะ)
ถาม : เข้าพม่าทางไหน ?
ตอบ: ด่านเจดีย์สามองค์ ไม่มีปัญหาเพราะว่า ช่วงเขารบ ๆ กันปิดด่าน เข้าไปสองครั้งแล้ว วัดหนองบัวอยู่ที่เมืองจะอีน รัฐกะเหรี่ยงอยู่ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ถ้ารถออกวิ่งได้แต่เช้า ๆ ค่ำ ๆ ก็ถึง แต่ถ้าหากว่ารถออกสายหน่อยก็ค้างคืน คืนหนึ่ง ถ้าไปเรือนี่ เรือธรรมดา เรือหางยาวทั่วไปก็ค้างสองคืน ถ้าเป็นไอ้เรือด่วน งวดที่แล้วไปเช่าเรือด่วนมันเป็นเรือใหญ่สี่สูบ ออกตั้งแต่ตีห้าไปถึงหนองบัวสองทุ่ม นึกเอาแล้วกันวิ่งน้ำบานไปทั้งวัน ถ้าวิ่งแบบเมืองไทยสบายมากไม่เกินสี่ชั่วโมง ตรงนั้นตอนนี้เสี่ยฮุกกำลังทำอยู่ เส้นทางตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ไปถึงเมืองตันบวยเซียต แต่ว่าพวกทหารในป่าเขาไม่ยอมให้ทำเขาให้เกรดเฉย ๆ เขาบอกว่าถ้าทำดีเกินไปแล้วรถมันวิ่งเร็ว มันเก็บค่าคุ้มครองไม่ทันมันกลัวชาวบ้านวิ่งหนีมันแล้วเสี่ยฮุกเขาก็ไป เคลียร์แต่พวกบรรดานายพลในเมือง พวกที่คุมในพื้นที่อย่างพวกผู้พันผู้กองไม่เคลียร์ด้วยเขาเลยแกล้งเอา
คราวที่แล้วไปเกรดทางไปเจอเอาระเบิดดักรถถึงสามลูก ถ้าหากรถเกรดไม่ดันก่อนให้รถวิ่งมีสิทธิ์เละ ระเบิดดักรถถึงถ้าน้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมกดทับมันจะระเบิด สมัยอยู่ชายเเดนพอกู้ขึ้นมาไอ้เพื่อนบ้า ๆ มันกระโดดกระทืบ โอ้โห !..ได้เราอยากจะถีบมัน คือมันกะว่าน้ำหนักมันหกสิบกิโล มันโดดกระทืบลงไปก็ไม่เกินร้อย ลองดูว่าจะระเบิดมั้ย มันไม่ยักกะลองตอนเราอยู่ห่าง ๆ มันลองตอนเราอยู่ด้วย บ้าดีกระโดดกระทืบว่าจะระเบิดมั้ย ! เพราะตามตำราเขาว่าน้ำหนักกดทับร้อยแปกสิบกิโลมันภึงจะระเบิด สามเท่าของตัวคน มันกระโดดกระทืบยังไงก็ไม่ถึงพม่ายังห่างไกลความเจริญอีกมากเหลือเกิน แต่ว่าตอนนี้พอสิ้น นายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่อง แล้วก็คงจะกลับเป็นประชาธิปไตยเร็วขึ้นเพราะนายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่องนี่ เป็นฝ่ายที่คัดค้านการเป็นประชาธิปไตย เป็นลูกน้องของนายพลหม่องเอ ผบ.ทบ. ทางด้านของนายพลซอหม่อง กับ นายพลขิ่นยุ้น ค่อย ๆ ปรับให้เป็นประชาธิปไตยไปงัดกับเขาไม่ไหว เพราะเขาคุมกำลังเยอะกว่า ตัวนายพลซิตหม่องที่เครื่องบินตกตายไปนั้นเป็นแม่ทัพควบคุมภาคตะวันออกเฉียง ใต้ที่เมืองมะละแหม่งลงมา (หัวเราะ)
คราวก่อนที่ไป แล้วไปถ่ายรูปคนขับรถไปมันหนีเลย ไม่ยอมวิ่งให้เราอีก กลัวโดนยิงเป้า เขากลัวว่าเราจะไปหาข่าวแล้วเขาเป็นคนพาเราไปจะมีโทษด้วย ทางด้านโน้นอย่างสถานเบาก็ห้ามวิ่งรถ สถานหนักหน่อยก็ยิงเป้าเลยเราก็บอกเขาบอกเบารถหน่อยจะถ่ายรูป กองบัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ เขา คนขับรถได้ยินมันตกใจเบรกหยุด ก็เสร็จเราน่ะสิ (หัวเราะ) พอเบรกหยุดเราก็ถ่ายเลยก็กดจิ๊กเดียวแค่นั้น พอตอนเย็นมันบอกว่ารถไม่ดีจะไปซ่อมรถ ไม่ยอมวิ่งให้เราอีกกลัวมากอยู่ที่เมืองพม่านี่เราอาศัยลูกตื้อทำเป็นอ่าน หนังไม่ออกมั่ง อ่านออกมั้งไม่ออกมั่งอะไรทำนองนั้น ตรงไหนที่ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายมันตรงนั้น
พอไปกับทิดจิตร ตอนนั้นไปที่ กะบาเอ เขามีสอบพระผู้ทรงพระไตรปิฎกปิดป้ายหราว่าห้ามถ่ายรูปก็ถ่ายซะ ตรงไหนห้ามก็ถ่าย ที่เห็นนี่พวกสะพานพวกอะไรนี่เขาห้ามหมดนะ
มันห้ามอันไหนเราก็ถ่ายอันนั้นแหละ เขาจะกลัวมากเลย อันไหนเกี่ยวกับสถานที่สำคัญอย่างสะพานใหญ่ ๆ สะพานแขวน เขากลัวว่าจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ แล้วไปก่อวินาศกรรม อันไหนมันห้ามเราก็ถ่ายอันนั้น ตรงสะพานข้าม สะพานใหญ่ข้ามเมืองพะอาง พอรถวิ่งผ่าน เด็กรถก็จะบอกว่า ห้ามบ้วนน้ำหมาก ห้ามทิ้งขยะ สารพัดจะห้ามจนกระทั่งโดนเด็กวัยรุ่นมันแซว ว่ามองได้มั้ย ? (หัวเราะ) จะมีทหารบล๊อกหัว กลาง ท้าย แล้วก็ข้างล่างตลอดเลย คนจะกล้าถ่ายรูปมันได้ต้องบวม ๆ หน่อย ของเราเราไม่ว่าอะไรหรอก เราก็นึกถึงพระ เสร็จแล้วยืนขึ้นถ่ายหน้าตาเฉยมันบังเอิญถ่ายได้ทุกทีเลย ทำเป็นเล่นไป พม่าเขามีสะพานแขวนเหมือนกับเราเหมือนกันนะ ตอนนี้สบายเลยพวกที่จะไปเมืองพะอางวิ่งตรงได้เลย ไม่งั้นต้องข้ามอ่าวเมาะตะมะ ไปถึงเมืองตะโทงแล้วก็อ้อมขวาเข้าไป ช้าเป็นวันเลย เดี๋ยวนี้จากมะละแหม่งไปถึงพะอางนี่ประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ไปเช้าเย็นกลับได้
ถาม : ตอนอาจารย์ไม่ไปโดนจับกันหมด ?
ตอบ: มันตลก ของเราไปกัน ๕ คน ๑๐ คน ไปกันเมื่อไหร่ก็ไปกันได้ พอไม่อยู่ซะคนเดียว ไปกันกี่คณะโดนจับหมด พวกนี่ถาคาใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) หลุดจากมืออาจารย์เมื่อไหร่ก็โดนจับเมื่อนั้น แต่ถ้าไปกับเราไปทั้งโขยงก็ไปได้ ไอ้ของเราหน้ามันโหด ไปถึงก็ยืนจ้องขู่ทหารมันหดหมดเลย เพราะทหารเขาแปลกถ้าหากว่าใครทำกลัว ๆ นี่มันค้นจังเลย ไอ้ของเราไปยืนจ้องหน้ามันหันหนีหมดไม่มีใครกล้าค้น คนไหนนั่งบนโต๊ะลากมันลงมาแล้วเรานั่งแทน มันเป็นฆราวาสจะมานั่งเต๊ะจุ้ยต่อหน้าพระ แล้วให้พระยืนได้ไงไปจนเขาเบื่อขี้หน้าแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบราชการลับของเขา เราเอาเป็นเด็กสะพายย่ามเลย
ถาม : พม่านี่เขาสร้างวัดเยอะนะคะ
ตอบ: เยอะมาก แล้วเขาใช้วัดคุ้มด้วย เขาสร้างวัดที่ไหนแปลว่าคนในเขตนั้นทั้งหมดก็ลุยกันเข้าวัดไปเลย ไปดู ๆ แล้วบางทีเราก็อายเขาปีแรกที่ไปก็แบบยืดสุดขีดเลย เราเป็นเมืองพุทธศานาใช่มั้ย ? เดี๋ยวมีอะไรเราก็ไปช่วยเขา ที่ไหนได้ไปถึงมันต้องไปเลียนแบบเขา ของเขาเองคนไปวัดไปวามันเหมือนบ้านเราคนไปเดินห้างกัน เหมือนยังกับวัยรุ่นไปเดินเซ็นเตอร์พ้อยต์นะ มันไปกับขนาดนั้น เช้า ๆ ก่อนออกทำงานเขาสวดมนต์ทำวัตร เข้าวัดเข้าวาปฎิบัติเสร็จ
ถาม : เมื่อเดือนที่แล้ว ถามว่า เวลาที่คนเรามีเคราะห์ ควรที่จะทำบุญสะเดาะเคราะห์กรรมนั้นมั้ย ก็ตอบว่า ควรที่จะทำบุญ ถ้าหลบ ๆ ได้ก็หลบ ๆ ไปซะ ที่นี้ก็เกิดความสงสัยต่อเนื่องนะเจ้าค่ะ ว่า เอ๊ะ! ถ้าเรา หลบไปเรื่อย ๆ มันไม่เป็นแบบดอกเบี้ยทบต้นเหรอเจ้าคะ ?
ตอบ: ไม่ทบล่ะจ้ะ บรรดาพระอรหันต์ที่เข้านิพพานไปนี่เขาตามเก็บไม่ได้ดอกเบี้ยอย่างเดียวนะ เงินต้นก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครใช้หนี้หมดทุกคน ไปนิพพานก่อน ไอ้การหลบมันเหมือนกับการหลบเลี่ยงปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ คนเราควรจะมีปัญญา รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร เราดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์ ถ้าปล่อยให้กรรมเก่าตามทันมันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรคพวกของมันทีเท่าไหร่มันก็ระดมกันมา จะสังเกตว่าบางทีพอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า ที่ชาวบ้านเขาใช้คำว่า ? ดวงตก? เรารู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอยอะไรต่อมิอะไรมันก็มะรุมมะตุ้มมาในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นอย่าเปิดโอกาสให้เขาเป็นอันขาด หนีได้หนีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้านิพพานได้ ไม่ต้องใช้มันเลยยิ่งดี
ถาม : ไม่เป็นดอกเบี้ยทบต้นนะเจ้าคะ ?
ตอบ: ไม่เป็นจ้ะ ไม่เป็น เขาตามทวงไม่ได้ พวกนี้เขาไม่คิดดอกเบี้ยหรอกจ้ะ เขาไม่ใช่คน (หัวเราะ) เรื่องของธรรมะ เขาตรงไปตรงมา
ถาม : ทีนี้ เอ่อ!ช่วงนี้ ดวงตนเองก็ตกน่ะเจ้าค่ะ
ตอบ: จ้ะ ตกสูงมั้ย! (หัวเราะ)
ถาม : อุบัติเหตุเจ้าค่ะ พอดีไปทำบุญถวายโลงศพก่อน ก็แทนที่รถคันใหญ่จะวิ่งมาชนตรงคนขับ ก็กลายเป็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามาแล้วหลังจากนั้นก็ป่วยหนักจนกระทั่งลุก ไม่ขึ้น มันต่อเนื่อง แล้วพอดีก็เกิดเหตุกับที่ทำงานอีก สงสัยว่า อันนี้หรือเปล่าที่เราทำบุญแล้วมันลดความรุนแรงลง
ตอบ: ลดลงเยอะเลย เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้วอาจเจอคันใหญ่แทนซึ่งถ้าสวัสดีมีชัยจริง ๆ โลงที่เราบริจากก็ได้นอนเอง แต่บังเอิญว่าสิ่งที่เราทำเป็นบุญใหญ่โดยเฉพาะการบริจาคโลงศพ การบริจาคโลงศพนี่เป็นตัวมรณานุสสติ เรารู้อยู่แล้วว่าเราบริจาคไปเพื่อให้คนตายถ้าหากว่าเรามีปัญญาคิดต่อนิด หนึ่ง ตัวเราก็ตายเหมือนกัน คนรอบข้างก็ตายเหมือนกัน ถ้าขึ้นชื่อว่าเราเกิดมาแล้วไม่อาจเลี่ยงจากความตายนี้พ้น เกิดมากี่ชาติก็เป็นอย่างนี้เราอยากเกิดอีกมั้ย ? เป็นมรณานุสสติ เป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ในเมื่อเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก บุญก็สูง ถึงอกุศลกรรมจะแรงมาก แต่กำลังบุญก็เหนือกว่าทำให้สามารถหลบเลี่ยงจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายไปได้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นราชรถสิบล้อก็แค่มอเตอร์ไซด์จ้ะ
ถาม : ถ้าอย่างนี้ เรารู้ว่าเราจะมีเคราะห์ เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย คือ เท่าที่ทำมามันก็มีบ้าง
ตอบ: จ้า แล้วคำถามอยู่ตรงไหนจ้ะ
ถาม : อ๋อ! ทำอย่างไง จะไม่ให้มันเกิดขึ้น ?
ตอบ: ไม่ให้เกิดขึ้นเลย อย่าเกิดจ้ะ ถ้าเกิดเมื่อไหร่โดนแน่ ๆ เมื่อครู่ตอบไปแล้ว พวกเราไม่ได้เจตนาฟังหรือไม่ก็ความสนใจกระโดดข้ามไป ก็คือว่า เราทำบุญให้ต่อเนื่องไว้ ในเมื่อเราทำบุญต่อเนื่องอยู่ ตัวกรรมก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกได้ แต่ของเราส่วนใหญ่บุญของเราไม่ได้ทำต่อเนื่อง เราทำในลักษณะที่ ทำ ๆ เว้น ๆ บุญตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือบุญจากการภาวนา ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง ตัวเคราะห์กรรมกินเราได้น้อยมาก แต่ส่วนใหญ่เราภาวนามั่งด่าชาวบ้านเขามั่งมันไม่ต่อเนื่องกัน ก็เลยเปิดโอกาสให้เขาแทรกได้อยู่
เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ? ศีล ? ภาวนาจำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาอย่างพระวัดเกาะฤๅษีจ้ะ บางวาระก็ต้องกินกันแทบตายเลยอาหารมันล้นเหลือ ขณะเดียวกันอาทิตย์ต่อมาก็ว่ามาม่าซะเจ็ดวันซ้อนทำบุญไม่สม่ำเสมอจ้ะ ไม่ต้องโทษใครหรอก
ถาม : ขอถามเรื่องการฝึกสมาธิ ไปฝึกสมาธิเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง จักระนะค่ะ ?
ตอบ: พอมีความรู้อยู่นิดหนึ่งจ้ะ เอ้า ! ว่าไปเลยจ้ะ
ถาม : เขาใช้การฝึกจักระโดยการดูดพลังจาก ธรรมชาติ ที่เวลานั่งสมาธิ เขาก็จะนั่งติดกับพื้นดิน แล้วก็นั่งตอนเช้าเพื่อรับแสงอาทิตย์แล้วก็นั่งริมแม่น้ำเพื่อรับความเย็น จากแม่น้ำ
ตอบ: แล้วนั่งกลางคืนแล้วยัง โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญ
ถาม : ยังไม่เคยนั่งเจ้าค่ะ
ตอบ: ระวังไว้ มันจะหอนได้จ้ะ (หัวเราะ) ไอ้เรื่องนั่งกลางคืนมันทำได้ แต่ไอ้เรื่องหอนน่ะพูดเล่น แล้วก็รับพลังจากดวงจันทร์ด้วยแล้วต่อไปว่ายังไง
ถาม : พลังพวกนี้นี่เราสามารถเอามาใช้ได้จริงมั้ยคะ ?
ตอบ: สามารถใช้ได้จ้ะ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว พลังงานทั้งหมดที่มากจากภายนอก ไม่มีอะไรสู้พลังจิตที่เกิดจากการฝึกฝนที่ดีแล้วได้ วิชาการเหล่านี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทราบ ท่านทราบดีซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ว่าตรองดูแล้วเห็นว่ามันเป็นวิชาที่ขวางกับมรรค ? ผล ท่านก็เลยตัดมันออกไป
ดังเช่นในพระธรรมบทที่ท่านเขียนเอาไว้ชัดเจน ว่าวันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จออกไปยังป่าประดู่ลาย พร้อมกับทรงถือใบประดู่มาหนึ่งกำมือยกให้ภิกษุทั้งหลายดู แล้วตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายใบประดู่ในกำมือตถาคตนี้กับใบประดู่ในป่าอันไหนมากกว่า กัน......พระภิกษุทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่ามากกว่าจนประมาณไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่านั้นแหละ สิ่งที่ตถาคตรู้ คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว ท่านเลือกเอาใบประดู่ กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต โดยเฉพาะการหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งป่านี่มันเท่าไร
ดังนั้นวิชาการเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านทราบอยู่แล้ว แต่ท่านเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ เพราะว่าลำบากมาก จนกระทั่งบรรลุได้ยากเต็มที มันกลายเป็นวิชาที่ขวางกับการปฎิบัติสายตรง ท่านก็เลยไม่สอน แต่ว่าคนปัจจุบันนี่เขาเก่ง พยายามที่จะสอนกัน เราเองเก่งได้อย่างเขาบ้างก็ดีเหมือนกันน่ะ มันเป็นความรู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา แต่ว่าจำไว้ว่า ถ้าเรามุ่งมรรคผล โดยตรงมันก็ทำให้เราเสียเวลา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ปรารถนาธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ถ้าทำให้ช้า ท่านไม่เอาด้วย
http://grathonbook.net/book/5.3.html
ถาม : ผู้ที่เล่นกสิน หรือเล่นทางอิทธิฤทธิ์ ก็ลักษณะเดียวกัน ?
ตอบ: อันนั้นลักษณะเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านต่อท้ายไว้ ท่านมีวิปัสสนาญาณต่อท้ายอยู่ แต่ว่าพวกที่เล่นในสมัยก่อนอย่างพวกพราหมณ์พวกอะไรนี่ เขาเอาฤทธิ์เดชโดยตรงอย่างเดียวไม่มีการเลี้ยวเข้าหามรรคผลเลย ดังนั้นสิ่งไหนที่สามารถเลี้ยวเข้าหามรรค-ผล ง่าย ๆ กำลังสูงพอที่จะกดกิเลสหรือตัดกิเลสได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงสอน ถ้าไม่สามารถที่ทำได้ท่านก็ปล่อยให้เป็นใบประดู่ในป่าต่อไป
ถาม : แล้วอย่างนี้พวกฤทธิ์ หรืออะไรต่าง ๆ นี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงเจ้าคะ ?
ตอบ: เกิดขึ้นจากการฝึก เกิดขึ้นจากกรรมเก่า เกิดขึ้นจากบุญเก่าเหล่านี้ เป็นต้น ฤทธิ์ไม่ได้มีอย่างเดียว ฤทธิ์ที่เกิดจากการฝึก เรียกว่า วิกุพนาฤทธิ์ เรียกว่าฌานฤทธิ์ วิกุพนาฤทธิ์ คือพวกที่ฝึกกสิณสิบสามารถสำแดงฤทธิ์ด้วยวิธีประหลาด....พิลึกพิลั่นเกิน กว่าชาวบ้านเขาทำได้อย่างพวกเดินน้ำ- ดำดิน-เหาะเหิน อะไรพวกนี้เป็นต้น ฌานฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากผู้ที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ กำลังจิตสูงมาก ต้องการให้เป็นอย่างไร ก็เป็นไปได้ บุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมบุญมาระยะเวลายาวนานถึงเวลาปรารถนาอะไรก็จะเป็นไปตามที่ตนต้องการ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น
ในเมื่อตั้งใจมั่นแล้ว กำลังใจส่งผลให้สิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นได้ กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม อย่างเช่นว่า นกทำไมถึงบินได้โดยไม่ต้องฝึกกสิณ ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องฝึกกสิณ .... ทำไมไส้เดือนมันมุดดินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกกสิณเลย อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มี ฐานะฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์อันเกิดจากฐานะอันสูงอย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ เจ้าคนนายคน บัญชาการได้สั่งให้เป็นก็ต้องเป็น สั่งให้ตายก็ต้องตาย เป็นต้น ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงประเภท วิชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมมา ทำไมเหล็กหนักเป็นตัน ๆ ถึงเอาไปบินบนฟ้าได้ ทำไมเอาไปลอยในน้ำได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบทุกอย่าง แล้วฉะนั้นถึงได้ถามว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็หลายวิธีด้วยกัน สร้างขึ้นมาก็มี บุญเก่าเสริมก็มี กรรมเก่าเสริมก็มีฝึกฝนขึ้นมาก็มี
ถาม : แล้วพวกที่ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ พวกที่เห็นอดีตชาติ อนาคตอย่างนี้ถือเป็นฤทธิ์มั้ยคะ ?
ตอบ: เป็น ก็อภิญญานี่มันยิ่งกว่าฤทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าฤทธิ์เหล่านี้ ถ้าหากว่าเรารู้ แล้วก็ละมันเสีย รู้ เพื่อให้รู้ว่าในแต่ละชาติของเราเกิดมาแล้ว มีสภาพแท้จริงเป็นอย่างไรแต่ถ้ารู้แล้วไปยึด ไปติด ไปเกาะมัน มันก็ทำให้เราติดอยู่แค่นั้นไม่สามารถจะก้าวหน้ามากขึ้นกลายเป็นมรรคขวางผลไปอีกเขาเรียกอภิสังขารมาร อภิสังขาร คือ เหนือการปรุงแต่ง ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าความดีระดับนี้ สามารถทำให้คนติดอยู่ได้ กลายเป็นมารขวางความดีไปได้ สามารถสร้างสมาบัติขึ้นมาได้แต่บังเอิญเผลอไปหน่อยลืมตัวด้วยวิปัสสนาญาณ ติดแหง็กอยู่ที่อรูปพรหมแปดหมื่นมหากัปป์ นิดเดียว พระพุทธเจ้าเกิดกี่หมื่นพระองค์ ก็ไม่รู้....หือ กลายเป็นว่าความดีก็สามารถขวางเราได้
ถาม : แล้วอย่างนี้การนั่งสมาธิแล้วเกิดปีติ ก็ถือว่าเป็นมารอย่างหนึ่ง ?
ตอบ: ต้องระวังเอาไว้ ในช่วงปีติมารแทรกง่ายที่สุด กำลังใจมันกำลังฟูเต็มที่ เลยยุ เอ้า? ทำต่อไปเลยลูกเอ้า ห้าชั่วโมง พักเดียวก็สติแตกแล้วเพราะร่างกายมันทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นต้องระวังให้สุดขีดเลย
ถาม : แล้วนั่งแล้วขยับตัวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะ....
ตอบ: นั่งแล้วขยับตัวไม่ได้ มันเป็นยังไง ?
ถาม : พอนั่งไปปุ๊ปจะมีความรู้สึกเกิดปีติ พอเกิดปีติปุ๊ปจะรู้สึกอยากจะคงสภาพอันนั้น แล้วมันก็ไม่ยอมขยับตัว อยู่นิ่งไปเลย
ตอบ: อาการนั้นเป็นอาการของการทรงฌานนะ เราก็ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระนิพพานไว้ แล้วยิ่งดี มโนมยิทธิยิ่งดี กำลังของฌานทรงตัว ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ถ้าอย่างนี้จะไม่เป็นตัวสังโยชน์ในรูปราคะ อรูปราคะ เพราะว่าเราใช้กำลังของรูปฌานและอรูปฌานโดยตรงในการเกาะพระนิพพานอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไปติดอยู่กับความสุขตรงนั้น โดยไม่รู้จักใช้กำลังเกาะพระนิพพาน อันนั้นมันเป็นตัวขวางที่เรียกว่าสังโยชน์ จะเป็นตัวร้อยรัดให้เราติดอยู่ในวัฏฏะตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
ถาม : ไม่ทราบว่าคนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองหรือเปล่า เวลาจะเกิดเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์มันจะมีเสียงเตือน
ตอบ: ก็มี เยอะต่อเยอะด้วยกัน แต่ขณะเดียวกันบางคนสภาพจิตที่ปราศจากการฝึกฝนทำให้มืดบอดหรือไม่ก็หนามากจนกระทั่งเขาไม่สามารถจะแทรกเข้ามาเตือนได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยวางเหมือนกันว่าปล่อยมันเหอะ ของเราถ้าหากว่าเตือน เตือนบ่อย ๆ แล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง ต่อไปเมื่อได้รับ การเตือนก็ให้ระมัดระวังไว้ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น ก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดขึ้น จากหนักก็จะกลายเป็นเบา เพราะเราระวังอยู่แล้ว
ถาม : เสียงสัญญาณเตือนที่ได้ยินนั้นมาจากไหน ?
ตอบ: หลายอย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทที่เขาเรียกว่าเทวดาประจำตัว ญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เมื่อเขาถึงแก่ชีวิตไปแล้ว ไปอยู่ข้างบน เขายังจดจำเราได้อยู่ ในเมื่อจดจำเราได้ ความรักความห่วงยังมีอยู่ เขาก็พยายามจะสงเคราะห์ช่วยเหลือเราโดยเฉพาะทางด้านดี การสงเคราะห์การช่วยเหลือของเขาทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาพยายามจะช่วย
ถาม : สงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกสัตว์เดียรัจฉานว่าสามารถที่จะทำบุญได้กุศล ผลบุญจากการกระทำ ?
ตอบ: ได้จ้ะได้ เต็มที่เลยยิ่งกว่าเราอีกอย่างเช่นว่า เอราวัณเทพบุตร ก็เป็นช้างเขาใช้ในการชักลากไม้เพื่อช่วยในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ พอตายแล้วท่านไปเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โฆษกเทพบุตร ช่วยนำทางให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยเห่าระวังป้องกันสัตว์ร้ายให้ เมื่อถึงเวลาตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนกัน สัตว์เดียรัจฉานสามารถทำบุญได้ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำบาปนั้นโอกาสแทบจะไม่มี โดยเฉพาะสัตว์เดียรัจฉานที่เกิดใกล้คน ใกล้พระก็ดีพวกเหล่านี้ถ้ามีโอกาสอยู่ใกล้มนุษย์ กรรมของการเป็นเดียรัจฉานของเขาจวนหมดแล้ว ถ้าจิตเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าจิตเกาะพระหรือเกาะความดีก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย โอกาสทำชั่วของเขาน้อยมาก นาน ๆ จะมีเดียรัจฉานลงสู่อบายภูมิที่ต่ำกว่าการเป็นเดียรัจฉาน ส่วนใหญ่ไม่เสมอตัวก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป
ถาม : ทำไมเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ ?
ตอบ: มันคล้าย ๆ กับโอกาสที่เขาทำผิดมันน้อยแล้ว มันไม่เหมือนของเรา
ถาม : เวลาที่เขาบอกว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่านั้นเท่านี้อสงไขยน่ะค่ะ นับแต่เฉพาะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีบางชาติที่เกิดเป็นพรหมหรือว่าอยู่ในธรรมชาติอย่างเกิดเป็นกระต่าย หรือว่า....?
ตอบ: เป็นทุกอย่าง นับรวมกัน แต่ว่าการบำเพ็ญบารมีในขณะนั้นจัดอยู่ในระดับไหน ที่เขานับน่ะ เขาไม่ได้นับอยู่แต่มนุษย์หรอก ถ้านับแต่มนุษย์นี่ตายเลย ? ไปแทรกอยู่ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดียรัจฉานบ้าง พรหมบ้าง ถ้านับแต่มนุษย์นี่พอดีแหละ แค่หนึ่งอสงไขยกับแสนมหากัปก็ตายแหงแล้ว มันเกิดน้อยเหลือเกิน มันเกิดเป็นอย่างอื่นซะมากกว่า
ถาม : จากสัตว์เดียรัจฉานไปถึงพวกแมลง พวกสัตว์ที่มีระดับต่ำกว่าแมลงนี่เขาทำกรรมอะไรนักหนา....ดวงวิญญาณเขาถึง ได้ลงไปถึงขนาดนั้น ?
ตอบ: แหม? แค่สัตว์เดียรัจฉาน เขาบอกขนาดนั้น แล้วสัตว์นรกเอย เปรตเอย อสุรกายเอย มันหนักหนากว่าสัตว์เดียรัจฉานหลายเท่าเลย สัตว์เดียรัจฉานนี่มันเป็นตอนท้าย ๆ ของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูในอเวจีแล้ว ทำไมมันถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าโลกันต์หนักกว่าอีกสี่เท่าของอเวจี สัตว์เดียรัจฉานนี่ถือว่ากรรมเบามากแล้วจ้ะ
ถาม : มันจะมีอาชีพบางอาชีพน่ะค่ะ อย่างพวกเพชฌฆาตพวกแม่ค้าปลาที่ต้องฆ่าสัตว์ พวกนี้เขามีกรรมมั้ยคะ ?
ตอบ: มีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย (หัวเรอะ) แล้วทำไมล่ะ ?
ถาม : ก็เลยสงสัยว่า อาชีพเหล่านี้ เขาทำเพื่อยังชีพ เขาจะมีกรรมติดตัวไป
ตอบ: มีเต็มที่เลย จะฆ่ากี่ตัวก็โทษเท่านั้นแหละ ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะลงอเวจีมหานรก เพราะว่าทำเป็นประจำ การที่เราทำเป็นประจำเรียกว่าอาจิณกรรม ส่วนใหญ่จะลงอเวจีมหานรก โทษหนักมากจะอ้างว่าเลี้ยงชีพไม่ได้ เพราะว่าการเลี้ยงชีพ อาชีพอื่นมีมากมายทำไมคุณถึงไม่ทำ จริงไหมเอ่ย ?
ถาม : แล้วอยากจะถามว่า สัมมาอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นส่วนใหญ่ที่ทำให้เป็นมงคลต่อชีวิตนี่
ตอบ: ก็เป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีล และไม่ผิดกฏหมายบ้านเมือง ถึงได้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ อะไรก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ผิดศีล คือไม่ล่วงในศีลห้า กรรมบถสิบอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ล่วงกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง
ถาม : อย่างนี้ผู้พิพากษา เขาตัดสินประหารชีวิตจะบาปมั้ยครับ ?
ตอบ: จะเรียกว่าบาปก็ไม่ได้เพราะว่ายิ่งถ้าหากเขาคิดเป็นตัดตอนเป็นนี่ โทษไม่มีเสียด้วยซ้ำไป ทำตามหน้าที่เพื่อรักษาความสุขความสงบให้กับส่วนรวม เขาเป็นแค่ผู้ตัดสินแต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาไปลงมือฆ่าและโดยเฉพาะว่าเจตนาการโกรธเคืองกันไม่มี เป็นการลงโทษเพื่อสุขสงบของสังคม จะเรียกว่าไม่มีโทษเลยก็ไม่ได้ แต่ว่าโทษมันน้อยมาก ขณะเดียวกันถ้าเขาตัดตอนของอารมณ์ใจของเขาได้ด้วยยิ่งสบายเลย ไม่มีโทษเสียด้วยซ้ำไป การตัดตอน ก็คือว่า เราทำหน้าที่ของเรา เราทำแค่นี้ ส่วนอื่นเขาจะไปตายเพราะมือใครไม่เกี่ยวกับเราเลย
ถาม : แล้วอย่างนี้เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ถ้าเกิดเขาคิด เขาก็ไม่บาป ?
ตอบ: จะไม่บาปได้ไง สั่งให้ฆ่า เจตนาแรกของมันก็เต็มที่แล้ว ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฆ่าใช่มั้ย ?..หนักเลย
ถาม : แล้วอย่างหมอ คนป่วย ป่วยหนักเลยไม่อยากอยู่แล้ว ขอให้ฆ่าตัวเองอย่างนี้เป็นกรรมมั้ยคะ ?
ตอบ: เป็นจ้ะเป็น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตใครนอกจากกฎของกรรมให้เป็นไปเท่านั้นเป็นเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำโดยมุ่งร้ายจิตใจไม่ได้ประกอบไปด้วยโทสะ จะเป็นเมตตาซะด้วยซ้ำไปโทษมันก็เลยไม่โดนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าการที่เราฆ่าคนอื่น ส่วนใหญ่มันเกิดจากโทสะ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง เราตั้งใจฆ่าหนึ่ง เราลงมือฆ่าหนึ่ง เราฆ่าสำเร็จหนึ่ง ถ้าประกอบด้วยห้าส่วนนี้โทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อันโน้นของเขาหลุดไปหลายส่วนโดยเฉพาะเจตนาฆ่าให้ตายไม่มี
ถาม : ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออก ?
ตอบ: ตั้งใจให้เขาตายหรือเปล่า ? ( หัวเราะ) เดี๋ยวกลายเป็นยายชลดาโทรมาจะให้ช่วยให้แม่ตายเร็ว ๆ อาตมาล่ะกลุ้มใจ จะให้พระไปฆ่าคน
ถาม : ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็ตาย
ตอบ: ตอนที่ใช้ช่วย ...ก็ช่วยมันไปก่อนเหอะ แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่งบางทีที่อยู่ในห้องไอซียูนี่ จิตมันออกจากร่างไปนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นเอาออกมันก็ไม่ได้ฆ่าใครหรอก ไอ้รถมันอยู่ได้เพราะว่าเติมน้ำมันไปเรื่อยเขาแค่หยุดเติมน้ำมันเท่านั้นเอง ไอ้คนขับเปิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่อันนั้นมันต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่อย่าไปเสี่ยงเลยกลายเป็นตกนรกตั้งใจฆ่าคนเสียเปล่า ๆ
ถาม : แล้วอย่างคนที่เข้าไอซียู เพราะเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนฝูงรอบข้างเห็นเขาไปหาทุกคนเลย
ตอบ: ประเภทนั้นแหละคือว่าเขาไปแล้วล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าที่อยู่นั้น สภาพร่างกายมันยังมีเชื้อเพลิง มันก็ทำงานไปตามวาระ เหมือนยังกับว่าขับรถมาแล้วเราดับเครื่องแล้วแต่ว่ารถมันยังไม่มีแรงเฉื่อย มันยังไหลไปได้ระยะหนึ่งอย่างนั้นแหละถ้าไม่เบรกอาจชนเขา ของเขาก็เหมือนกันจิต มันออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นสภาพร่างกายยังทำงานอยู่ด้วยเครื่องมือหมอบ้าง หรือว่ามันยังเป็นสภาพที่ยังไม่แตกดับอย่างแท้จริงบ้าง มันก็เลยว่า ตัวเขาเองโน่นตะลอนตะลอนไปหาเพื่อนฝูงซะทั่วประเทศแล้ว
ถาม : แล้วอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าลูกช่วยแม่ เป็นอนันตริยกรรมมั้ยครับ ?
ตอบ: ก็มีสิทธิ์เลยล่ะจ้ะ
ถาม : ถ้าตังค์หมดจะทำยังไง ?
ตอบ: ก็แล้วแต่หมอ อย่าไปสั่งหมอให้เอาออกแล้วกัน
http://grathonbook.net/book/5.4.html
ถาม : มีคนที่มีประสบการณ์ เขาเคยมานั่งสมาธิแล้วพอเขานั่งปุ๊ปจะเกิดอาการว่าฟุ้งซ่าน มีเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาหา คราวนี้เราจะช่วยเขายังไงคะ ?
ตอบ: มันต้องให้เขาช่วยตัวเอง เราช่วยเขาไม่ได้ ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับเขาไป ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมไปจริง ๆ ก็ตั้งใจถามว่ามาต้องการอะไร จะให้เราแก้ไขในลักษณะไหนถึงจะยอมอโหสิกรรมให้อย่างนั้นเป็นต้น ในเมื่อรู้เห็นสามารถติดต่อได้ ถามตรงเขาได้เลย ตัวเราเองไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก มันต้องเขาช่วยตัวเขาเอง
ถาม : แล้วบางคน ทำไมเวลานั่งแล้วหลับล่ะเจ้าคะ ?
ตอบ: (หัวเราะ) สองอย่างจ้ะ ถ้าไม่ใช่เพลียจนเกินไปก็ตัว ถีนมิทธะนิวรณ์มันกินเข้าไปเต็มที่เลย
ถาม : ความฝัน ทำไมบางทีมันเกิดการฝันที่ตรงกัน พร้อม ๆ กันหลายคน ความฝันอย่างงี้เกิดขึ้นได้ยังไงเหรอเจ้าคะ ?
ตอบ: อันนี้น่าจะเป็นเทพสังหรณ์ คือเทวดาเขาสงเคราะห์อันดับแรกคนทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมที่เนื่องกัน มานะ อันดับที่สองเทวดาเขากลัวเราจะไม่เชื่อ เลยหาพยานเพื่อให้เป็นข้อยืนยันแก่เราด้วย แต่อันนั้นต้องหมายความว่าวาระนั้น เวลานั้น บุญของเราต้องเสริมด้วย ไม่มีกรรมหนักมาขวาง เขาถึงสงเคราะห์ได้ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วใบ้แทบตายเราเองยังไม่เข้าใจเลย
ถาม : ขอถามเรื่องที่เกิดกับตัวเองแล้วไม่รู้จะแก้กรรมยังไงน่ะเจ้าค่ะ คือว่าตัวเองขับรถแล้วชอบหลงทิศน่ะเจ้าค่ะ ขับรถแล้วหลงตลอดเลย
ตอบ: อ๋อ! ไม่ต้องแก้ เพียงแต่ตั้งใจจำก็พอ
ถาม : ตั้งใจมันก็หลงได้นะเจ้าคะ ไม่รู้ทำไมหลงประจำเลย
ตอบ: ต่อไปพยายามใช้คำภาวนาใหม่จ้ะ ภาวนาว่า วิวี พุทธโธ อิติ จะได้แก้หลงทางได้ วิวี พุทธโธ อิติ ถ้าอยู่ในป่าเวลาหลงทาง ให้หาต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่น หันหลังพิงต้นไม้ ตั้งใจขอให้เทวดาท่านสงเคราะห์ชี้ทางให้ แล้วภาวนาคาถานี้ ถ้าได้ทิพจักขุญาณเห็นเทวดาชี้บอกทางให้หรือบอกทางไปไหนให้ไปทางนั้น ถ้าไม่ได้ทิพจักขุญาณ รู้สึกอยากไปทางไหนให้ไปทางนั้น จะไม่หลงทาง ของเรามันขี้หลง ขับรถไปภาวนาไป วิวี พุทธโธ อิติ น่ะ สั้น ๆ
ถาม : ท่องได้เรื่อย ๆ เลยใช่มั้ยเจ้าคะ ?
ตอบ: ได้เรื่อย ๆ เลย กลัวหลงก็ท่องให้มากไว้
ถาม : รวมทั้งขึ้นรถด้วยเปล่าคะ ?
ตอบ: ขึ้นรถก็หลงเหรอ ใช้ได้เลย อาตมานี้เป็นทึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษปนไทยว่าเป็นทึ่ง วันก่อนไปหาเจ้าเกด มันบอกว่าอยู่ตรงนั้น ๆ ไอ้เราไปถึงก็นั่งมอเตอร์ไซค์บอกทางมันเสร็จสรรพ หัดทำให้มันได้ ไอ้สัญชาติญาณในการหาทาง ขนาดนั่งรถเมล์ยังหลงได้ (หัวเราะ) ไม่เชื่อความรู้สึกตัวเอง ถ้าจำแม่นไม่หลงลืมจริง ๆ ก็ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ สหัสสเนตโต ตาโต ๆ พันดวง เทวินโท คือ เทวดาผู้เป็นใหญ่ ทิพจักขุง ก็คือ ตาทิพย์ ความรู้สึกเหมือนมีตาทิพย์ วิโสทายิ แค่นั้น ใช่บ่อย ๆ ความจำจะดี ขณะเดียวกันถ้าหากว่าใครจะสอบอะไรก็ใช้ได้มันจะคล่องตัวเหมือนยังกับลอกข้อสอบเลย
ถาม : ต้องตั้ง นะโม สามจบก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ: ตั้งซะก่อนนะดี ตั้งใจขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์
ถาม : (ถามเรื่องอานิสงส์การบริจาคโลหิต)
ตอบ: เพราะฉะนั้นการสละเลือดของตัวเอง สละอวัยวะภายนอกภายในของตัวเองให้แก่คนอื่นเพื่อต่อชีวิตเขาเรียกว่าทานตัดชีวิต ทานตัดชีวิตนี่ อานิสงค์ต่ำสุด คือ ดาวดึงส์ขึ้นไป ต่ำสุดดาวดึงส์นะ มีแต่จะสูงกว่านั้น
ถาม : ทำไมเวลาเรานั่งสมาธิกับคนที่ ....(ฟังไม่ชัด).....เวลานั่งแล้วนี่ ทำไมสมาธิเราถึงดีกว่า ?
ตอบ: มันเหมือนกับเด็ก ๆ ผู้ใหญ่จูงมันก็มั่นคงกว่าใช่มั้ย ถ้าเดินเองก็หกล้มหกลุก กำลังเขาสูงกว่า เราอยู่ในเขตนั้น กระแสของเขาชักนำได้ แล้วขณะเดียวกันไม่ใช่แต่ความดีของเขาที่ชักนำ ความชั่วมันชักนำเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ กระแสของความชั่ว รัก ? โลภ ? โกรธ ? หลง มันแรงมาก ถ้าเราตั้งกำลังใจดี ๆ อย่างลุงสายัณห์อยู่ต่างจังหวัด ภาวนาอารมณ์ใจทรงเป๊ะมาเลยแล้วตั้งใจพิจารณา เข้ามาเพียงพักเดียวมันเบียดเบียนเอนกระเท่เร่ไม่เป็นท่าหรือไม่ก็พังไปเลย ไม่ใช่แต่กระแสบุญชักนำกันได้ กระแสกรรม คือ ความชั่วก็ชักนำกันได้ แล้วส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มันก็โดนกระแสกรรมชักนำกันอยู่ เลยดิ้นรน เร่าร้อนกันไปหมด
ถาม : ถ้าอย่างนี้ เราก็ไปอยู่กับกลุ่มที่เขาไปวัด เราก็จะได้เต็ม ?
ตอบ: กำลังจะทรงตัวได้ง่าย ก็สังเกตมั้ยว่าที่นี่มันสบายกว่าตั้งเยอะก็แค่นั้นเอง
ถาม : การบูชาพระ ระหว่างดอกไม้สดกับดอกไม้สำเร็จรูป มีความแตกต่างกันในบูชามั้ยคะ ?
ตอบ: อานิสงส์ต่างกันหน่อย อานิสงส์บูชาด้วยดอกไม้พลาสติกหรือดอกไม้สำเร็จรูป ยังไม่มีตัวอย่างแต่อานิสงส์ของการบูชาด้วยดอกไม้สด อย่างชนิดเรียกตูมเมื่อแรกแย้มกับดอกไม้เหี่ยวนี่เห็นชัดเลยในธรรมบท เพราะว่าในพระเวสสันดรชาดก ตาเฒ่าชูชก อายุแก่คราวปู่ได้แล้วได้นางอมิตดา ที่เป็นเด็กสาวคราวหลานเป็นภรรยา ในพระอรรถกถาเขากล่าวไว้ว่านางอมิตดา บูชาพระด้วยดอกไม้เหี่ยว สงสัยตาชูชกเล่นดอกไม้ที่ยังไม่บาน เพราะฉะนั้นถ้าใครบูชาพระด้วยดอกไม้พลาสติกก็อาจได้หนุ่มสาวพลาสติกไป (หัวเราะ)
ถาม : อันนี้ถ้าเราบูชาด้วยจิตเป็นบุญ แต่ว่าเราไม่รู้ เห็นว่าเราไม่รู้ เห็นว่า....
ตอบ: อานิสงส์เขามีนี่ เขาก็ให้แล้ว อย่าลืมนะว่า ของเขามันประเภทที่ว่าแย่จริง ๆ ใช่มั้ย ถ้าของเรามันประเภทจิตเป็นไปถึงบูชาไปถึงมันจะเหี่ยวแล้วอาจประเภทเจอคนแก่ ใจดีรวยอีกต่างหาก
ถาม : หนูตกถังข้าวสาร
ตอบ: ระวังนะ เดี๋ยวหนูจะตกถังน้ำกรด
ถาม : เวลาไหว้พระที่หน้าหิ้งบูชา กับการไหว้ที่ไม่ได้จุดธูปจุดเทียน จะมีความแตกต่างกันมั้ยคะ ?
ตอบ: ต่างกันอยู่ตรงอานิสงส์ที่ได้รับ การจุดธูปเทียนเป็นการบูชาด้วยของหอมและแสงสว่าง มีอานิสงส์เพิ่มขึ้น นอกจากการบูชาด้วยดอกไม้แล้ว ได้อานิสงส์การบูชาด้วยของหอมและแสงสว่างด้วย แต่ถ้าว่าเราคิดว่าการจุดธูปเทียนจะทำให้การรักษาลำบากอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ ได้อะไรใช่มั้ย ของเราเอง เราใช้วิธีปฎิบัติบูชา คือการปฎิบัติบูชาถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แทนอานิงสงส์จะสูงกว่ามากมหาศาล อานิสงส์ของอามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของ ส่วนใหญ่ก็จะกลาย เป็นเรื่องลาภยศเงินทอง แต่การปฎิบัติบูชานี่จะเป็นเรื่องของปัญญาความฉลาดในการตัดกิเลสหรือการทำมาหากิน ถ้าเรายังไม่เข้าปรมัตถบารมี ที่ จะตัดกิเลสกับจริง ๆ เพราะฉะนั้นอานิสงส์ของปฎิบัติบูชาจะได้มากกว่า หรือว่าถ้าหากว่ากลัวว่าไฟมันจะไหม้มันก็โน่นแน่ะ ธูปเทียนที่ทำด้วยไฟฟ้า อย่างเก่งก็ช๊อตดับเฉย ๆ พอหลอดขาดมันก็ดับแล้วมันก็ไม่ไหม้หรอกจะมีอานิสง์ตรงบูชาด้วยแสงสว่างอยู่ แต่กลิ่นไม่มี
ถาม : แล้วอย่างนี้ก็ไปซื้อเทียนที่เขาทำหลอดก็ใช้ได้เหมือนกันมั้ยคะ ?
ตอบ: ใช้ได้เหมือนกัน ปลอดภัยกว่า เผลอแล้วไฟไม่ไหม้ด้วยอย่างเก่งหลอดขาดแล้วก็ดับ
ถาม : สังสัยน่ะค่ะ เจ้าพวกไข่ไก่ ไข่เป็ด เวลาเกิดขึ้นมาแล้วดวงวิญญาณที่จะเข้าจับ เพื่อจะเกาะอยู่กับสัตว์มันจะเกาะช่วงเวลาไหน ?
ตอบ: แล้วแต่วาระบุญวาระกรรมของเขา บางตัวพอเชื้อของตัวผู้ผสมตัวเมียปั๊ปมันก็จับเลย บางตัวโน้นแน่ะฟักไปแล้วตั้งสามเดือน โอ้ย ! ไม่ใช่ ฟักไปแล้วตั้งสามวันสิบวันแล้วค่อยจับ บางตัวออกมาเป็นตัวแล้วค่อยจับก็มี มีเหมือนกันที่ตายแล้วค่อยลงไปจับจนกระทั่งจิตเดิมมันออกไปจิตใหม่มันเข้าไป แทนใช้ซากเดิมกลายเป็นตัวใหม่ กลายเป็นชีวิตดวงใหม่ กลายเป็นจิตดวงใหม่ก็มีวาระบุญวาระกรรมมันไม่เท่ากัน
ถาม : มันเหมือนกันทุกชนิดมั้ยเจ้าคะ ?
ตอบ: ทุกชนิดน่ะจ้ะ ถ้าต้องปฎิสนธิ ที่เรียกว่า อัณฑชะ หรือ ชลาพุชะ อัณฑชะ นี่คือเกิดในไข่ ชลาพุชะ เขาเรียกว่าชำแรกไส้ความจริงคือเกิดในมดลูก
ถาม : อ๋อ !อย่างนี้ ที่เขาห้ามคนท้องไปงานศพ ก็เพราะอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ: ดีไม่ดี คนตายมันมาแทน (หัวเราะ)
ถาม : เขาถึงห้ามไปงานศพใช่มั้ยคะ ?
ตอบ: จ้า จริง ๆ ก็ไปได้ ก็ตั้งใจภาวนาเอาพระคุมไปซิ ผีที่ไหนมันจะเข้าได้เล่า อย่างเมื่อกี้เขาเอารัก ? ยม มาไง มันผ่าส่งให้ก็บรรลัยไปเลย ของเราอธิษฐานพระคุมอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ไม่ดีเข้ามามันก็พังเอง ยิ่งเขาเห็นสว่างโร่มาแต่ไกลไม่มีใครเขาเข้าใกล้กันหรอกเผ่นกันหมด เพราะเวลาพระมานี่ไม่ใช่ท่านมาอย่างเดียว พรหม เทวดา ท่านตามรักษาด้วยกลายเป็นนายใหญ่มาอีก ตัวเองเล็กมากก็ต้องหนีให้ห่างไป
ถาม : เคยเจอคน ๆ หนึ่ง เป็นประเภทมีเทวดารักษามากเลยเวลาไปไหนรถเสียประจำเลยเจ้าค่ะ ?
ตอบ: มันเสียเพราะอะไรล่ะ ?
ถาม : ไม่ทราบเจ้าค่ะ พอเขาขึ้นนั่งปุ๊ปเขาก็ทักแล้วว่า เดี๋ยวต้องดูเครื่องก่อนนะว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พอเขาตรวจดูเรียบร้อยรถก็เสียพอเปลี่ยนคันรถก็เสียอีก
ตอบ: อันนั้นไม่ใช่เทวดารักษาแล้ว มันกลายเป็นหนักแผ่นดินแล้ว (หัวเราะ) บางคนอาจมีวาระกรรมของเขาอยู่ ที่ตามมาไม่แน่ใจว่าจะเป็นเทวดา เพราะถ้าเป็นเทวดาใครเขาจะทำให้เสียมีแต่ทำให้ถึงเร็วขึ้น
ถาม : ก็เลยว่าคน ๆ นี้ไปไหนต้องมีคนไปด้วย เพราะเธอไปแล้วเธอจะทำให้รถเสียทุกครั้งเลย
ตอบ: มีอยู่รายเดียวที่รู้จักนะ แล้วก็เรียกว่าเทวดารักษามากจนเกินไปทำให้มีผลไม่ดี คือ เด็กผู้ชายคนหนึ่งพอเกิดมานี่มันจะมีต่อหัวเสือรังหนึ่งมาทำที่ชายคาบ้าน แล้วเด็กคนนั้นไปไหนต่อฝูงนั้นบินตามไปด้วย ถ้าเด็กไปหยุดพักหรือเล่นที่ไหนต่อจะไปจับที่ข้างฝาหรือใกล้ ๆ อยู่เป็นกลุ่มอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วใครจะกล้าเข้าใกล้พ่อคุณล่ะ ยกเว้นคนในบ้านที่เขารู้ว่าไม่เป็นอันตราย คนอื่นขืนเข้าใกล้มันคิดว่าเป็นอันตรายก็ซวยล่ะสิ
http://grathonbook.net/book/5.5.html
ถาม : พญานาคนี่มีจริงมั้ยคะ ?
ตอบ: มีจ้ะ มีทั้งนาคจริงแล้วนาคปลอมด้วย รู้จักนาคปลอมมั้ย ?
ถาม : เป็นยังไงเจ้าค่ะ ?
ตอบ: ไม่เคยเห็นตามบันไดโบสถ์บ้างเหรอ (หัวเราะ) อันนั้นพูดเล่นจ้ะ นาคปลอมคือเทวดาที่ท่านเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ พวกนี้เรียกว่านาคปลอม เพราะว่าเวลาออกปฎิบัติงานส่วนใหญ่จะไปในลักษณะของงูใหญ่ ความจริงท่านเป็นเทวดาแต่เวลาออกปฎิบัติงานไปในลักษณะงูใหญ่ ถ้าเป็นบริวารของท้าววิรุฬหก ก็ไปในลักษณะของกุมภัณฑ์ บริวารท้าวเวสสุวรรณ ไปในลักษณะของยักษ์ บริวารของท้าวธตรฐ ไปในลักษณะของคนธรรพ์ ความจริงท่านเป็นเทวดาสวย ๆ ทั้งนั้น นั้นเป็นเครื่องแบบของท่านเวลาทำงาน เพราะฉะนั้นบริวารของท้าววิรูปักษ์ก็เลยเป็นนาคปลอมเพราะว่าเป็นเทวดาจำเเลง ขึ้นมา
ส่วนนาคจริง ๆ เป็นเดียรัจฉานกึ่งทิพย์ที่มีฤทธิ์ พวกนี้ท่านได้ทำบุญใหญ่ แต่ว่ากรรมเก่าก็มากหรือว่าอาจสร้างกรรมดีมาแล้วมีความผิดเสริมไปด้วยก็ เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานกึ่งทิพย์ไป ที่จิตใจใฝ่บุญกุศลก็มี ที่ประเภทไม่เอาไหนเลยก็มี พวกที่ใฝ่บุญใฝ่กุศลส่วนใหญ่ก็จะหนุนเสริมพระภิกษุในพระพุทธศาสนา หรือไม่ก็ช่วยเหลืองานต่าง ๆ เพราะว่าเขาสามารถจำแลงเป็นคนได้มีทั้งจริงทั้งปลอม
ถาม : ที่อัฟกานิสสถาน ที่ทำลายพระพุทธรูปอยู่นี่ ซวยมั้ยครับ ?
ตอบ: ก็ปล่อยเขาสิ โทษทำลายพระพุทธรูปนี่อเวจีทีเดียว อย่าไปกังวลแทนเขา
ถาม : ใครไปสร้างไว้ที่นั้น ?
ตอบ: สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ราว ๆ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไง พระเจ้าอโศกมหาราชนี่ท่านเล่นครองชมพูทวีปเลย พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมากเกือบจะเป็นพระเจ้า จักรพรรดิอยู่แล้ว แต่ของท่านไม่มีจักรแก้ว นางแก้ว ท่านก็มี พระขรรค์แก้ว ท่านก็มี ช้างแก้ว ม้าแก้ว อะไรท่านก็มี เพียงแต่ว่าขาดจักรแก้วในการประกาศตนเป็นจักรพรรดิเท่านั้น
ท่านอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาถึงขนาดว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ที่ไหนไปขุด อัญเชิญมาหมด แล้วตั้งใจสร้างเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา เท่านั้นยังไม่พอ ท่านจัดงานฉลองเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน เลี้ยงพระทุกวันเลย ไม่รวยจริงทำไม่ได้ แล้วก็ยังไม่พอใจท่านอีก ท่านเอาสำลีพันตัว แช่น้ำมันแล้วก็จุดเป็นพุทธบูชา ยืนพนมมืออยู่ แล้วตาจ้องอยู่ที่เจดีย์ที่ท่านสร้าง ถวายเป็นพุทธบูชา ตั้งใจว่าถึงไฟมันไหม้ให้เราตายไปก็ขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่เผอิญกำลังใจท่านมั่นคงมาก ไฟก็เลยทำอันตรายไม่ได้
ถาม : อย่างนี้ก็ไม่สมความตั้งใจสิครับ ?
ตอบ: ท่านตั้งใจอยู่ว่าท่านจะถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ในเมื่อจุดไฟจนกระทั่งมันมอดไป เป็นอันว่าจบแล้วมันจะไม่สมความตั้งใจได้อย่างไร เพียงแต่ท่านตั้งใจว่าถ้าตัวท่านตายก็ช่าง พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อปกครองในชุมพูทวีป ในช่วงนั้นเขตของอัฟกานิสสถานเฉพาะเมืองที่สร้างพระพุทธรูป เป็นเขตของพระพุทธศาสนา มีวัดวาอารามมากในเมื่อมีความเลื่อมใสมากก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ โดยเฉพาะพระพุทธรูปยืนองค์ที่เขาถือว่าที่สุดในโลกแกะสลักหน้าผาเป็นรูปพระ พุทธรูปแกะภูเขาเป็นพระเลยนะ
ถาม : แล้วที่เมืองจีน ?
ตอบ: ที่เมืองจีนพระนั่ง นั่งห้อยพระบาทที่มุมของแม่น้ำแยงซีเกียงที่มันท่วมประจำทุกปี แล้วก็เกิดอุบัติเหตุล้มตายกันเป็นประจำที่อะไร ? เล่อซาน
ถาม : ขี่พายุทะลุฟ้า ?
ตอบ: (หัวเราะ) ขี่พายุทะลุฟ้า เออใช่ ! ไอ้ที่มันไปดวลกันหน้าตักพระ ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง (หัวเราะ) น้ำท่วมถึงพระชานุ อัคคีคุ คั่งถ้ำเทียมเมฆ สำนวนจีนเขา มันเป็นปริศนาโบราณไม่มีใครรู้... น้ำท่วมถึงเข่าพระ พระพุทธรูปองค์นั้น สูง ๙๑ เมตร เข่าสูงแค่ไหน ? ถ้าน้ำท่วมถึงเข่าพระก็แย่ คราวนี้เข่าพระมีถ้ำใหญ่มีกิเลนไฟอยู่ ถ้าน้ำท่วมมันอยู่ไม่ได้มันออกมาก็อาละวาด นั่นน่ะปริศนาออกนอกเรื่องไปเยอะ....เลี้ยวกลับมาใหม่ เดี๋ยวไปไกล...จากอัฟกานิสสถานโดดทีเดียวไปจีนเลย
ถาม : พระเจ้าอโศกนี่เป็นฝรั่งเหรอครับ ? รูปปั้นเหมือนฝรั่งเลย
ตอบ: ท่านมีเชื้อสายกรีกอยู่อย่าลืมว่ากรีกนี่ครองอินเดียเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่อเล็กซานเดอร์มหาราช แล้วมา เมนันเดอร์...เมนันเดอร์ นี่ บาลีเรียกว่ามิลินทร์ มิลินทะ พระยามิลินทร์ ที่โต้ปัญหากับพระนาคเสน คราวนี้มีจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นคำทำนายของพระโมคคัลลาน์ติสสะเถระเจ้า ท่านทำนายว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว พระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยบารมีจะนำพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองคล้าย กับสมัยพุทธกาลอีกวาระหนึ่ง นั่นแหละ ธรรมกายเขาถึงได้คิดว่าเป็นอาจารย์ของเขา ความจริงการเจริญรุ่งเรืองไม่ใช่เจริญด้วยวัตถุ แต่เป็นเพระว่ามีพระอริยเจ้ามาก ต้องเน้นผล ไม่ใช้เน้นวัตถุ
ภายหลังอิสลามสามารถที่จะครองพื้นที่ตรงนั้น ทั่ว ๆ ไปเขาก็ไม่ยุ่งด้วย เพราะอิสลามถือว่าการเข้าไปยังศาสนสถานของศาสนาอื่นนี่ จะทำให้ตกนรก เขาก็ปล่อยมายาวนานตั้งเป็นพันปี ก็ตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ มาสองพันกว่าปีแล้วซะด้วยซ้ำไปเขาก็ปล่อยยาวมาเรื่อย มาถึงชุดนี้คงเกะกะลูกกะตาเต็มทีก็เลยถล่มทิ้งซะ รู้สึกอยู่ข้างบนมันเย็นไปอยู่อเวจีมันท่าจะอุ่นหน่อย โทษการทำลายพระ พุทธรูปไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็ก ก็ตาม โทษลงอเวจีมหานรกไว้ก่อน ยิ่งองค์ใหญ่ต้องใช้กำลังใจในการทำลายสูงมาก โทษยิ่งหนัก
ถาม : แล้วอย่างนี้ พระเครื่ององค์เล็ก ๆ ก็โดน ?
ตอบ: โดนแน่
ถาม : แล้วมีวิธีแก้มั้ยครับ ?
ตอบ: บรรจุไว้ในพระองค์ใหญ่ ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย บูชาท่านต่อไป ไม่ใช่เอาไปตำแล้วทำเป็นผง
ถาม : ถ้าทิ้งไปแล้วล่ะครับ ?
ตอบ: ก็โน่นเลย ตั้งใจขอขมาเช้า กลางวัน เย็นเลย (หัวเราะ)
ถาม : ของพ่อตาผมครับ พอดีเขาไปหาคนทรง แล้วคนทรงหยิบยังไงไม่รู้ออกจากปากมาเป็นพระให้ เขาก็สงสัย กลับบ้านก็เอาฆ้อนตำเลย
ตอบ: แหม.. น่ารักมาก ความจริงมันน่าจะอมไว้ในปากแล้วเอาฆ้อนตีหัวตัวเอง มันจะได้เป็นการพิสูจน์อย่างแท้จริง น่าเสียดายของที่ได้มาแบบนั้นไม่ใช่หาได้ง่าย ๆ นะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง มีร่างทรงทรงสมเด็จพระเจ้าตากสิน ท่านเคี้ยวหมากไปเรื่อย คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง ใครอยู่ตรงนั้นก็ได้กันไปคนละองค์ คนละองค์ส่วนใหญ่เป็นพระยอดธง เคี้ยวหมากแท้ ๆ ไม่เห็นท่านอมเอาไว้เลย
ถาม : เมื่อไหร่ จะเคี้ยวหมากครับ ?
ตอบ: ปฎิเสธหลวงพ่อไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่งตั้งใจภาวนาอยู่ เพราะว่าอยู่บนรถทัวร์เมื่อขึ้นรถเมื่อไหร่ จะตั้งใจภาวนาทันที เพราะไม่ทราบว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่าเราอาจถึงชีวิตก็ได้ ภาวนาไป ภาวนาไป ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปึ้ด กลิ่นหอมตลบไปเลย พอได้กลิ่นมันอยากจนน้ำลายยืด
ถาม : ยานัตถุ์ หรือว่าหมาก ?
ตอบ: กลิ่นยานัตถุ์ เลยบอกหลวงพ่อครับยานัตถุ์ก็ไม่เอา หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ เสียงท่านถามบอกว่าแล้วไม้เท้าจะเอามั้ย ? อีตอนนั้นขืนตอบนี่โง่มาก เอาหรือไม่เอานี่โดนแน่เงียบไว้ก่อน เพราะฉะนั้นจะมารอเรื่องพระนี่เดี๋ยวแจกให้ไม่ต้องเสียเวลาเคี้ยว แจกทุกเดือน
ถาม : แล้วการซ่อมแซมพระนี่....(ฟังไม่ชัด)...
ตอบ: อานิสงส์ของการซ่อมแซมพระ ถ้าหากว่าเกิดใหม่จะมีหน้าตาที่สวยงามมากกว่าผู้อื่นเขา โดยเฉพาะเรื่องของเบญจกัลยาณี ถ้าเป็นผู้ชายมันน่าจะเป็นอาโนลด์ น่ะ...ชายงามจักรวาล ๓ ปีซ้อน (หัวเราะ) อีตาอาโนลด์นี่ ถ้าไม่สละสิทธิ์ไม่มีใครแย่งได้จริง ๆ ลักษณะของเขามันสมบูรณ์สมส่วนไปทุกส่วนไง ถ้าดูมันยืนคนเดียวนี่ตัวมันใหญ่กว่าควายอีก แต่ถ้าไปยืนกับฝรั่งด้วยกัน เออมันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก อานิสงส์ให้ให้เกิดใหม่สวยเป็นพิเศษ
ถาม : ถามเกี่ยวกับเรื่องทำลายพระครับ ถ้าเกิดว่าอย่างบางครั้ง เราไม่ตั้งใจแล้วบังเอิญมือปัดไปโดน ?
ตอบ: อย่างนั้นเจตนาไม่มี เราก็ซ่อมสิขอขมาแล้วก็ซ่อมซะ ติดกาวได้ก็ติดซ่อมใหม่ถ้าปิดทองได้ ให้งามไปเลยได้ยิ่งดี วันนี้ส่งให้คุณอรพินทร์ไป ๓ องค์ องค์หนึ่งเศียรหัก คอพอดีเลย องค์หนึ่งพระหัตถ์ท่านพาดอยู่บนเข่าลักษณะนี้ นิ้วพระหัตถ์หายไปสี่นิ้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งฐานแตก (หัวเราะ) ส่งไปให้เขาซ่อมแล้วปิดทองอีก
ถาม : แล้วภาพที่เป็นกระดาษ ?
ตอบ: ภาพพระ ก่อนหน้าก็เคยเก็บ เก็บไปเก็บมามันเยอะ เลยขอขมาท่าน ขออนุญาตประชุมเพลิงถวายจ้ะ ต้องขอขมาก่อนนะ อย่าไปเผาส่งเดช
ถาม : การกราบขอขมานี่ ต้องเตรียมดอกไม้ ?
ตอบ: ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียน ก็ว่าให้ครบชุดไป ถ้าหากว่าไม่มีก็สิบนิ้ววันทาจ้ะ
ถาม : แล้วถ้าเกิดตั้งใจเอาพระผงรูปเดิมมาบดเป็นผง แล้วผสมใหม่ ?
ตอบ: นั่นแหละ ชัดเลย ทำลายพระพุทธรูป
ถาม : ถ้าของที่เข้าพิธีปลุกพระเสกแล้วก็ทิ้งไป
ตอบ: อันนั้นถ้าไม่ใช่รูปพระก็ไม่ว่ากันแต่ที่ทิ้งน่าเสียดายเพราะของที่พุทธา ภิเษกถูกต้องตามพิธีกรรมแล้วอานุภาพไม่ได้สูญไปไหนถึงแตกทำลายแล้วก็ยังมี อานุภาพอยู่
ถาม : ก็เก็บที่แตก ๆ ไว้
ตอบ: จ๊ะ ยกเว้นอธิษฐานว่าถ้าแตกแล้วให้หมดอานุภาพ
http://grathonbook.net/book/5.6.html
เล่าเรื่องเมืองพม่า
จระเข้ตัวนี้ก็เลยได้ชื่อเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมืองย่างกุ้งเหมือนกันจะแยก ออกจากตรงปากน้ำย่างกุ้ง เรียกว่าปากน้ำ
?งาโมย่า? พระยาจระเข้ตัวนี้สามารถแปลงเป็นคนได้ แล้วก็มาแต่งงานกับ
นางละมุ นางละมุนี่ถ้าภาษาไทยเรียกว่า
นางลำพู ไม่ทราบว่าเขาทำผิดศีลอีท่าไหนก็เลยกลายเป็นจระเข้ใหม่ ไม่สามารถจะคืนเป็นคนได้ แกก็เลยหนีลงน้ำไป ปรากฏว่าประเมินน้ำใจของภรรยาผิดไป
คุณลำพูก็เลยพายเรือตามหาสามีไม่ใช่บัวลอยนะ พวกเราเคยได้ยินมั้ย สุดคลองบางกอกน้อยพายเรื่อตามหาบัวลอย ( หัวเราะ) เพลงนี้มันเก่ามากแล้ว พวกเราไม่เคยได้ยินกันหรอกหรือเคยได้ยินก็จำไม่ได้ พายเรือไป ตรงนั้นมันอยู่ใกล้ปากน้ำย่างกุ้ง คลื่นลมมันก็แรง เรือล่มตาย จระเข้มาเห็นศพเมียก็เสียอกเสียใจคาบศพเมียขึ้นมาไว้บนชายฝั่ง แล้วตีอกชกหัวตัวเองหัวใจสลายตายไปด้วย
ชาวบ้านเขาเห็นอกเห็นใจในความรักระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดียรัจฉานเลยสร้างเจดีย์ให้หลังหนึ่ง เรียกว่า
เจดีย์แมละมุ หรือนางลำพู แมก็คือผู้หญิง ที่นี้แมละมุ คือนางลำพู เป็นเจดีย์ที่มีพระพุทธรูปทรงประหลาดมาก เป็นพระพุทธรูปปางพิศดารครึ่งนั่งครึ่งนอน ลักษณะเหมือนกับปางไสยยาสน์แต่ว่าท่านนั่งตัวตรง แล้วเท้าก็พาดยาวไปเหมือนกับนอน ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนสามารถนั่งท่านั้นได้หรอก ลองดูเอวมันต้องหักเป็นมุมฉาก (หัวเราะ) เป็นเจดีย์ที่มีชื่อเสียงมาก หากว่าไปที่นั้นก็จะมีคนเอาลูกลำพูลูกละมุน่ะมาขายให้ ใครเคยเห็นบ้าง
สมัยก่อนต้นลำพูเป็นต้นไม้ริมน้ำแล้วก็หิ่งห้อยมันชอบเกาะมาก ตอนกลางคืนนี่ยังกะดาวเป็นล้าน ๆ ดวงเต็มไปหมด แล้วมันก็จะกระพริบ ๆ ตามจังหวะของมัน บางทีต้นโน้นต้นนี้จังหวะมันไม่พร้อมกัน โน่นสว่าง นี่มืด อะไรอย่างนั้น สมัยนี้ต้นลำพูบ้านเรามันน้อย มีก็ต่างจังหวัดไกล ๆ ถ้าในกรุงเทพรู้สึกจะอยู่แถว ๆ ท่าพระจันทร์ รู้สึกจะมีอยู่สักต้นหนึ่ง เห็นว่าเขาจะล้อมรั้วเอาไว้ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่านะ คราวนี้มันแปลกอยู่ว่าบ้านเขามันมีตำนานจระเข้ได้เมียเป็นมนุษย์ บ้านเราก็ดันมีเหมือนกัน
ชาละวัน ตะเภาทอง ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง ใช่มั้ย ! ของเรามีไกรทองด้วย จระเข้เลยซวย บ้านของเขาไม่มี แต่ว่าเขารักกันจริง ๆ นะ
ถาม : อย่างชาละวัน ถ้าเปรียบเขาบำเพ็ญนี่
ตอบ: เท่าที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้อย่างเดียว คือ
อชรังคเปรต อชรังคเปรตน่ะเป็นเปรตหนึ่งในสิบสองจำพวก
อชรังคเปรตจะอยู่ในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน อย่างเช่นว่ามีบางคนว่าพ่อตัวเองตายกลายเป็นงูเหลือมใหญ่เลื้อยมา มาบอกที่ซ่อนสมบัติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก งูเหลือมใหญ่ขนาดนั้นจะต้องอายุหลายสิบปีเป็นอย่างน้อย ทำไมอยู่ดี ๆ ตายปุ๊ปแล้วได้เป็นเลย คือว่าร่างของเปรต จะเป็นเปรตในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน
พวกนี้
ถ้าหากว่ามีบุญเก่าหนุนเสริม บางทีเขาก็ทรงฌาน ทรงสมาบัติจนกระทั่งสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ของจีนเขาก็มีตำนานพวกนี้ อย่างชะมดแปลงร่างเป็นคน หมาจิ้งจอกแปลงร่างเป็นคน ของเราก็มีพวกเสือสมิง พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็น อชครังเปรตหนึ่งในสิบสองจำพวก แต่ว่าถ้าจะเปรียบกับอย่างอื่นก็ไม่ทราบเหมือนกับว่าจะเปรียบกับอะไรดี... มันก็เข้าได้ตรงข้อนี้แสดงว่ามันต้องมีจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่คนว่าทั่วไป
แต่จระเข้นี้มันมี
จระเข้วิชา คือ คนแปลงเป็นจระเข้ ได้ด้วย อย่าง
หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า เสกให้มหาดเล็กของ
เสด็จในกรมหลวงชุมพร เป็นจระเข้ เอาเชือกผูกเอวไว้ ผลักลงไปในบ่อ กลายเป็นจระเข้ว่ายน้ำตูม ๆ คราวนี้มันติดเชือกมันไปไหนไม่ได้ ลากขึ้นมาเอาน้ำมนต์รดก็กลายเป็นคนตามเดิม
แต่ว่าตำราหรือว่าคำบอกเล่าอะไรต่าง ๆ จะมีอยู่หลาย ๆ ครั้งเหมือนกันว่า อาจารย์จะแปลงเป็นจระเข้เสร็จแล้วให้ลูกศิษย์ถือขันน้ำมนต์ไว้ ว่าถ้าเป็นจระเข้ให้เอาขันน้ำมนต์ราดจะได้กลายเป็นคนได้ ลูกศิษย์มันตกใจ ทำน้ำมนต์หกหลวงปู่ศุขท่านบอกว่าถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องไปดักตรงเขื่อนชัยนาท
เขื่อนชัยนาท เป็นเขื่อนกั้นเจ้าพระยาเป็นเขื่อนแรกของไทยเรา ไปดักตรงนั้นมันก็จะไปติดอยู่ตรงแถว ๆ นั้น
คราวนี้ท่านให้สังเกตว่า
ถ้าหากว่าเป็นคนแปลงร่างเป็นจระเข้ หางมันจะสั้น ๆ กุด ๆ ไม่เหมือนจระเข้จริง เขาบอกว่าหางมันทรงเหมือนกับหัวปลีทู่ ๆ สั้น ๆ
แต่ถ้าเป็นจระเข้จริงหางเขาจะยาว ลักษณะของคนแปลงเป็นเสือสมิงก็เหมือนกัน แบบเดียวกันเป็นอันว่าจบ
ในขุนช้างขุนแผน เห็นเถรขวาดแปลงเป็นจระเข้ มันเรียนกันถึงหรือเปล่าวะ ? คือว่าขุนแผนไปตีเมืองเชียงใหม่
ได้นางสร้อยฟ้ากับนางลาวทองมา เถรขวาดก็มาดูแลรักษาลูกสาวพระเจ้าเชียงใหม่คือนางสร้อยฟ้า แต่เป็นคนที่เก่งคาถาอาคมมาก มาเสียท่าให้กับ ลูก ๆ ของขุนแผนโดยเฉพาะ
พลายชุมพล ทำอาถรรพ์ไป โดนจับได้ ตอนที่สร้อยฟ้าทำเสน่ห์น่ะ พอโดนจับได้ก็เลยขู่อาฆาต ก็แปลงเป็นจระเข้ลงมาไล่ฟัดคน กินทั้งสัตว์เลี้ยงกินทั้งคน พลายชุมพลก็ต้องลงไปสู้กับจระเข้นั้นแหละจระเข้แปลง
พวกทางเขมร ยังมีพวกที่แปลงเป็นเสือสมิงอยู่
เสือสมิงมันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือคนที่ศึกษาวิชาการเหล่านี้
ใช้น้ำมันหรือว่าสักหัวใจเสือสมิง พอถึงเวลาแล้วสามารถแปลงเป็นเสือได้ เขามีข้อห้ามว่าอย่าฆ่าคน ถ้าฆ่าคนไม่สามารถคืนเป็นคนได้เลย
แล้วอีกอย่างหนึ่ง เสือที่มันกินคนมามาก ๆ วิญญาณผีตายโหงมันสิงอยู่ มันสามารถที่จะบังตาให้เห็นเป็นคนมาหลอกคนอื่นไปกินได้ อย่างแรกนี่พวกทางเขมรยังเล่นกันเยอะเรียกว่าน้ำมันเสือสมิง สมัย
รัชกาลที่ห้า เสด็จไปทาง
จันทร์บุรี แถวน้ำตกพลิ้ว
ท่านก็มีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่าไปเจออาจารย์เขมรมาตามลูกศิษย์ ลูกศิษย์สองคนกลายเป็นเสือสมิง คือตอนแรกลูกศิษย์ผู้ชายไปเรียนวิชา เสร็จแล้วได้น้ำมันเสือสมิงมาก็เก็บไว้บนหิ้ง กำชับเมียตัวเองว่าอย่าไปแตะต้องเป็นอันขาด คราวนี้ผัวออกป่าล่าสัตว์เมียก็อดรนทนไม่ไหว ห้ามอะไระนักหนาก็เปิดดู ดมกลิ่นดูเข้าท่า ลองเอามาทาดูว่าหวงนัก กลายเป็นเสือ ก็เข้าป่าไป ผัวกลับมาพอเห็นขวดน้ำมันตกอยู่ก็รู้เลยว่าเมียตัวเองแน่ ๆ แล้ว ไม่รู้จะตามยังไง มีวิธีเดียวก็กลายเป็นเสือไปตามทีนี้ทั้งสองคนไป อาจารย์ของตัวเองนี่ทิพจักขุญานใช้ได้เหมือนกัน รู้ว่าเกิดเรื่องไม่เหมะสมไม่ดีไม่งามกับลูกศิษย์ก็เลยออกมาตามตัว เขาบอกว่าถ้าหากว่าเจอเสือสมิงที่เกิดจากวิชาการตีด้วยไม้คานแล้วจะกลับเป็น คน อยากรู้จริง ๆ ว่าใครมันกล้าถือไม้คานมาประจันหน้ากับเสือตัวขนาดนั้นบ้างล่ะ
รัชกาลที่ห้าก็ยังทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่บอกว่าหลังจากนั้นแล้วก็ไม่ได้ข่าว คราวไม่ทราบว่าอาจารย์ได้ตัวลูกศิษย์กลับไปหรือว่าโดนลูกศิษย์กินไปแล้ว (หัวเราะ) ท่านก็บันทึกเอาไว้ดีเหมือนกันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นตัวอาจารย์ได้ลูก ศิษย์กลับไปหรือว่าโดนลูกศิษย์กินไปแล้วท่านก็เล่าเรื่องการล่าสัตว์ในเกาะ แล้วก็ไปล่าเสือ ท่านแปลกใจว่าเกาะเล็ก ๆ อยู่ห่างจากแผ่นดินปกติตั้งสองสามกิโล มันมีเสือมีกวางได้ยังไง สัตว์มันพอเห็นอาหารแล้วมันอยากกินก็อุตสาห์ว่ายไปแล้วก็ไปอยู่ในเกาะ
เรื่องของ
พระบรมธาตุอินแขวน ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ แล้วหินก้อนนั้นน่ะ ไม่ได้ติดกันอะไรเลย จับโยกได้แต่อย่าโยกแรงนะ หล่นลงไปนี่เขาจับหักคอเราแน่เลย (หัวเราะ) ครั้งแรกที่ไปถึงที่นั้นก็ตั้งใจกราบถวายบูชา พอนึกถึงพระท่านเห็นมาเขียวปี๋เลย เอ๊ะ!ทำไมพระมาสีนี้กลายเป็น
ท่านปู่พระอินทร์ เลยกราบถามท่านว่า ท่านปู่เอาก้อนหินก้อนนี้แขวนไว้จริง ๆ หรือครับ ท่านบอกว่าปล่อยให้เขาเชื่อไปอย่างนั้นเถอะลูก แต่ตอนนี้เขาสร้างเจดีย์มีพระธาตุมีอะไรบรรจุอยู่เทวดาต้องรักษาอยู่แล้วใช่ มั้ย ? ตอนแรก ๆ ไปแหงนมองดู เอ๊ ! ทำไมฝีมือมันหยาบ ๆ พอไปจับก้อนหินมันโยกได้ ถ้าเราทำก็หยาบกว่านั้นอีก.. กลัวตกยิ่งกว่ามันอีกว่างั้น
ไปติเขาอยู่หลายปี ปีนี้เล่นปิดซ่อมทำใหม่ ถอดแผ่นทองที่หุ้มออกมาหมดเลย ที่หุ้มเจดีย์เขาตีเป็นแผ่นทองโตประมาณแค่นี้...( สองผ่ามือ) แล้วก็เล่นเย็บสี่มุมน่ะ ใช้น็อตไขเข้าไป คราวนี้เขาถอดออกมาทั้งหมด ปั้นองค์เจดีย์ใหม่ ติดลวดลายปูนปั้น เช้งวับเลยคราวนี้ ที่ไปเล็ง ๆ ดู ชอบอยู่อย่างเดียวแหละ เขาถอดเจดีย์ลงมา ถอดฉัตรยอดเจดีย์ลงมา บนยอดฉัตรมันมีนกหมุนอยู่ตัวหนึ่ง ไอ้นกหมุนตัวนั้นมันคาบทับทิมเม็ดแค่เนี้ยะ (หัวแม่มือ) เขาเจียรไนเป็นรูปหยดน้ำ สีมันเห็นแล้ว เจ้าพระคุณเถอะ ถ้าไม่ได้ใส่ไว้ในตู้นิรภัยอย่างนั้นแล้วก็คงไม่เหลือหรอก รู้สึกว่า
พลโท ขิ่นยุ้นจะไปเป็นประธานยกฉัตร เดี๋ยววันอังคารก็ตียาวไปยกฉัตรประมาณพฤหัสก็วันพระ
วันพระพม่าเขาก่อนของเราวันหนึ่ง ยกฉัตรเสร็จก็จะไปตรวจงานที่หนองบัวต่อ คงกลับประมาณวันที่ยี่สิบมีนา ระยะนี้ไปพม่าเป็นว่าเล่นเลย เดือนที่แล้วไปสองครั้ง เดือนนี้ไปครั้งหนึ่ง แต่นานหน่อย งานก่อสร้างยิ่งเร่งรัดเท่าไหร่ก็ยิ่งไปบ่อยเท่านั้น บาตรสองใบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุก็จะไปบรรจุไว้ที่นั้น เพราะว่าวันที่ยี่สิบเก้ามิถุนานี้จะวางศิลาฤกษ์โบสถ์และก็วิหารพร้อมกัน โบสถ์กับวิหารจริง ๆ แล้วคืออันเดียวกันแต่
ทางพม่าจะไม่ให้ผู้หญิงเข้าในโบสถ์ ผู้หญิงไม่มีโอกาสเข้าไปในเขตเสมา เราก็เลยสร้างขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง เหมือนกันทุกอย่างเลยเพียงแต่ไม่ผูกพัทธสีมาเท่านั้น ให้ผู้หญิงเข้าไปไหว้ได้ จะได้ไม่มาน้อยใจ เดี๋ยวเขาเข้าไม่ได้น้อยใจขึ้นมาเขาไม่หุงข้าวให้กิน ก็เลยทำให้เหมือนกันทุกอย่างตั้งใจจะรื้อพร้อมกัน
ถ้าโบสถ์กับวิหารเสร็จก็เหลือแต่ศาลาหอพระหลังใหญ่ศาลาหอพระหลังใหญ่นี่ ด้านบนแบ่งออกได้ยี่สิบสี่ห้อง ด้านล่างแบ่งได้ยี่สิบหกห้อง ด้างล่างมันมีติ่งห้อยออกมาหน่อย รวมแล้วห้าสิบห้อง ถ้าใครจะเป็นเจ้าภาพติดป้ายชื่อให้คิดห้องละหมื่น แล้วขณะดียวกันมีห้องน้ำใหม่อีกห้าห้อง ตอนนี้เขาจองไปสามแล้วจ้ะ เหลืออีกสองคิดห้องละหมื่นเหมือนกัน น่าเกลียดมาก ..ก..(หัวเราะ) ห้องน้ำห้องละหมื่น ห้องบนศาลาห้องละหมื่น ตอนแรกครูบาน้อยเจ้าอาวาส พอได้ยินเขาก็โวยว่าทำไมทางวัดท่าซุงคิดห้าหมื่นของอาจารย์คิดสามหมื่น แล้วของผมคิดหมื่นเดียวอยากเศรษฐกิจไม่ดีถ้าคิดมากโยมเขาไม่มีกำลังทำกับเรา หรอก
http://grathonbook.net/book/5.7.html
ธุดงค์พบจงอางยักษ์
จงอางในป่าใหญ่จริง ๆ โยม ตอนนี้ที่หน้าวัดมีลงมาตัวหนึ่งกัดควายตายไปตัวหนึ่ง วัวตายไปตัวหนึ่งรอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ ( ประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต) ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก ปี ๓๗ ชาวบ้านเขายิงตายไป เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวมันแปดนิ้ว งูเหลือมใหญ่ ๆ ยังหายากเลย แต่ตัวนั้นเป็นจงอาง คราวนี้เด็กคนงานที่หน่วยต้นน้ำ เอาหางมันมาท่อนหนึ่งใหญ่ประมาณฝ่ามือบอกว่าจะมาทำเข็มขัด บอกว่าเอ็งรีบเอาไปทิ้งโดยด่วนจี๋ให้ไกล ๆ เลย งูใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่จะมีคู่ เดี๋ยวถ้าคู่ตามมาได้ตายกันยกหน่วย แค่นั้นเอง
ปรากฏว่ามันตามมาช้าไปหน่อย มันมาปีที่แล้วนี่ ตอนนนี้กำลังซุ่ม ๆ อยู่แถวนั้นแหละ ชาวบ้านเขาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอะไร เดี๋ยวก็เสร็จมันอีก มันกัดตายไปสองตัวแล้ว รอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ แล้วลองนึกดู หัวมันยังงี้แล้วตัวมันจะยังไงเอ่ย ก็คงไม่หนีไอ้ตัวที่แล้ว มีแต่จะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป ไม่ใช่อนาคอนด้านะ บ้านเราไม่มี อันนี้จงอางจริง ๆ เลย จงอางในป่ามีใหญ่มาก ที่แน่ ๆ ก็คือว่า ไอ้เรื่องวาระบุญวาระกรรมมันมีอยู่ เขาโตมาได้ถึงขนาดนั้นแล้วอยู่ ๆ มาตายเอาดื้อ ๆ วันนั้นเขาออกหากินแล้วก็เลื้อยกลับโพรง
หัวหน้าคนงาน
คุณมานิตย์ วรรณะโพธิ์ เจอเขาพอดี มันเป็นจงอางบนหลังลายที่เป็นบั้ง ๆ ใครเคยเห็นบ้างมั้ย ? แล้วมันก็ไปเลื้อยไอ้ตอนที่ฝนตกใหม่ ๆ แล้วเขาเพิ่งเผาป่าก็ติดเอาขี้เถ้ากระมอมกระแมมมาด้วย แล้วเขาเห็นใหญ่ขนาดนั้นเขาก็บอกลูกน้องว่า เฮ้ย ! กูเจองูเหลือมมันเลื้อยเข้าไปในโพรงมึงไปยิงมากินที
ไอ้ลูกน้องก็นำปืนแก๊ปอัดปืนไป คราวนี้งูใหญ่และมีพิษจะไม่กลัวอะไรง่าย ๆ พอได้ยินเสียงคนเดินก็โผล่หน้าจากโพรงมาดู ไอ้ลูกน้องก็เอาปากลำกล้องทิ่มใส่จมูกแล้วก็ยิงเลย โชคดีมากที่ตาย ไม่อย่างนั้นสงสัยได้ตายกันยกหมู่บ้าน ปรากฏว่าพอมันดิ้นป่าแตกหลุดออกมาได้ คนยิงก็กองอยู่ตรงนั้นแหละเข่าอ่อนไปไหนไม่เป็น ถ้ามันรู้ว่าเป็นจงอางและใหญ่ขนาดนั้น คิดว่าเอารางวัลที่หนึ่งให้มันซักคู่หนึ่งเข้าไปมันก็ไม่กล้าหรอก อีคราวนี้ลูกพี่ แหม! บอกซะอย่างดีเลยว่าเป็นงูเหลือม มันก็เชื่อลูกพี่มัน ลากออกมาตัวยาวสิบฟุตกว่า สิบฟุตกว่า ๆ ก็สามเมตรเศษ ๆ อย่างกับงูเหลือม ดี ๆ นี่เอง ตัวยักษ์เลยขนาดเขาลากมา คนเห็นยังใจคอไม่ดี ไอ้ตอนเป็น ๆ น่ากลัวขนาดไหนไม่รู้
อีกทีหนึ่งไปอยู่ป่า ตอนกลางคืนได้ยินเสียงมันเลื้อยมา ตัวประมาณขวดน้ำใบโน้นน่ะ ส่องไฟไป แหม! ตามันเป็นประกายสะท้อนแสงเสว่างขึ้นมาก็เลยเกว่งไฟฉายให้มันรู้ว่าทางนี้มี คนมันจะได้ไม่เลื้อยเข้ามาก็ไม่รู้จะหนีไปไหน อยู่ริมบึงหนีไปก็ตกน้ำ งูเขาก็ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา แกว่ง ๆ ไฟฉายให้เขารู้ว่าด้านนี้มีคนเขาก็เบนหัวไปทางอื่น
ส่วนอีกทีหนึ่งนั้นอยู่ที่บ้านกะเหรี่ยง ไอ้ตัวนั้นใหญ่หน่อยน่าจะประมาณนี้ได้ ( ทำมือเท่ากระติกน้ำ) ตอนกลางคืนประมาณห้าทุ่มตื่นขึ้นมาไปปัสสาวะนอกถ้ำ กลับออกเข้ามานอน ทำกุฎิเล็ก ๆ ไว้ในถ้ำเลยเป็นไม้ใผ่ ความรู้สึกบอกว่าให้ปิดประตูซะเดี๋ยวงูใหญ่จะมา ไอ้เราเองก็ หือ ง่วงก็ง่วง จะไปเสียเวลาปิดเปิดอะไร นอนมันดีกว่า มุดเข้ากลดได้ก็นอนสักพักเดียวเท่านั้นแหละ มุงกลดไหวยวบ ๆ แล้วมันก็มุดตามเข้ามาตัวเย็นเจี๊ยบเลย มาถึงมันก็วน หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ ไอ้ตัวเราคนนอนอยู่น่ะความสูงตั้ง ๑๗๐ กว่าเซ็นต์ มันวนสามรอบแล้วหางมันยังอยู่นอกกุฎิเลย
แล้วมันก็แลบลิ้นมาเลียหน้าเหมือนกับลองชิมดูหน่อยว่าอร่อยหรือเปล่า ? ตอนแรกว่าเป็นคนไม่กลัวอะไรนะ แต่มาเจอสภาพแบบนั้นนี่ แหม! มันนอนแข็งทื่อไม่กล้ากระดิกเลย ได้แต่บอกมันว่าไม่อร่อยหรอกอย่าลองกินเลย เขาลองชิม ๆ ดู ท่าทางจะไม่อร่อยจริงล่ะมั้งเลยคลายออกแล้วก็เลื้อยไปตรงหน้าถ้ำ ไปส่งเสียงร้องพักหนึ่ง เสียงมันร้องวี๊ด วี๊ด ยังไงบอกไม่ถูก เสียงสะเทือนแก้วหูมาก แสบแก้วหูเลย ร้องอยู่ประมาณสิบว่านาทีก็เลื้อยออกไปหากิน
ตอนหลังพระรุ่นน้ององค์หนึ่ง คือ
ท่านชาติชาย ถามทางขึ้นไปตรงนั้น ก็บอกกับเขาว่าถ้าขึ้นไปถ้ำนั้นระวังให้ดีมันมีงูใหญ่อยู่ คุณชาติชายก็ย้ายไปนอนอีกถ้ำหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มันจะมีช่องแตกเดินทะลุกันได้ เขาเลี่ยงไอ้ถ้ำนี้ซะ เขาบอกว่านอนอยู่ประมาณห้าทุ่มเหมือนกัน อยู่ ๆ แผ่นดินมันก็ไหวยวบยาบ ยวบยาบ แล้วก็หล่นพลั๊กลงมา อุตส่าห์ย้ายหนีแล้วไปนอนบนตัวมันเลย (หัวเราะ) ไอ้เราตามไปดู มันเป็นแอ่งหินเกือบ ๆ จะกลมเลย ไอ้เจ้านั้นก็ขดเต็มแอ่งหินอยู่แอ่งพอดี รายนี้ไปถึงคลำ ๆ เออมันเรียบพอแล้วก็นอนเลย ไม่ได้ส่องไฟดู ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย เขาบอกว่าผมอุตส่าห์หนีมันแล้วนะ ไปนอนบนตัวมันไม่รู้เรื่องเลย ต่างคนต่างโง่พอดีกัน (หัวเราะ) คือ ไอ้งูมันก็คงคิดว่าอะไรว่ะมาถึงก็มานอนเลย ส่วนไอ้คนก็ไม่นึกกว่าเป็นงูก็เลยไม่กลัวพอ ๆ กัน
ข้อมูลและเนื้อหายาวดีเจงๆ ละลานตาไปหมด
อ้างจาก: cmman573 เมื่อ 24 ตุลาคม 2008, 20:56:08
ข้อมูลและเนื้อหายาวดีเจงๆ ละลานตาไปหมด
แกไม่ได้อ่านหรอก ชั้นรู้..
http://grathonbook.net/book/6.1.html
กระโถนข้างธรรมาสน์ เล่ม 6
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
ถาม : ถามเรื่องฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่หลวงปู่ปานท่านให้น่ะครับ วันพุธฤกษ์ห้ามคือสามค่ำหรือห้าค่ำครับ เพราะเท่าที่ผมดูในตารางแล้ว.........
ตอบ : จริง ๆ แล้วมัน ๓ แต่ว่าอีกอันหนึ่งวัดท่าซุงเขาพิมพ์มามันจะเป็น ๕ ค่ำ
ตอบ : ตกลง ๓ นะครับ แล้ววันจันทร์ละครับหลวงพี่ อมฤตโชคนี่
ตอบ : ๓ ค่ำ อันนั้นมันผิด เพราะว่ามันจะมีที่เขาพิมพ์มามันตกไป ๒ อัน แล้วก็จะมีเกินอันหนึ่ง ฤกษ์ประสิทธิ์โชคมันจะเป็นอมฤตโชคไปเลย ( หัวเราะ) ของเรามันไม่ผิดหรอกเพราะเราไปเปิดไล่จากปฎิทิน ๑๐๐ ปี มันลำบาก ถ้าหากว่ามีประเภทปฎิทินปกติมาเลยมันก็เร็ว แต่ถ้าเราไปรอปฎิทินปกติมันร่วมปีใหม่มันทำไม่ทัน เปิดไล่จากปฎิทิน ๑๐๐ ปี มันก็มีลอดหูลอดตาไปบ้าง
ตอบ : คราวนี้ขอถามที่เป็นปีเกิดน่ะครับ ที่หลวงปู่ท่านเขียนไว้ว่าวันนี้เป็นวันลาภ ชัย เสมอตัว กาลกิณีโจร มรณะ ตกต่ำ แต่ละอย่างหมายความว่ายังไงครับ ?
ตอบ : ความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว
วันลาภ ถ้าหากว่าเราทำงานอะไร จะทำอะไรที่เกี่ยวกับลาภผลเงินทองวันนั้นมันก็จะได้ดี
วันชัยก็คือเกี่ยวกันการต่อสู้ อย่างเช่นว่าอาจจะขึ้นชกมวยหรือก็ไปว่าคดีความ
ตกต่ำก็คือวันนั้นไม่ดีไม่ควรทำ
เสมอตัวก็บอกตรงอยู่แล้ว กาลกิณีก็คือไม่ดีแน่
วันโจรก็คือให้ระวังไว้ วันลักษณะนั้นของจะหายง่าย
ตอบ : แบบนี้ต้องระวังทุกอาทิตย์เลยสิครับ ?
ตอบ : ก็ อาทิตย์ละครั้ง แต่จริง ๆ ระวังไว้ทุกวันนะ ไม่ใช่วันอื่นที่ไม่ใช่วันโจรก็เปิดประตูหน้ายันหลังเลย ต่อให้ไม่ใช่วันโจรมันก็หาย
ตอบ : แล้วมรณะนี่ล่ะครับ ?
ตอบ :
มรณะนี่มันจะเป็นวันคล้าย ๆ กับว่าวันที่เจ้าของดวงชะตาจะตกต่ำที่สุด โอกาสที่มันผิดพลาดจะเจ็บหรือตายมีมากกว่าวันอื่น
ตอบ : แย่กว่ากาลกิณีอีกเหรอครับ ?
ตอบ : แย่กว่าเยอะ
มรณะนี่อันตรายที่สุดของเจ้าของปีเกิดนั่นแหละ อาตมาเองโดนไปเต็ม ๆ ๔ เขี้ยวนี่ก็วันมรณะ ปกติแล้วมันกัดไม่เข้า (ถูกงูกะปะกัด)
ตอบ : วันมรณะนี่ของดีอะไรก็ช่วยไม่ได้เหรอคะ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าเราทำบุญมาพอไหม ? กำลังใจของเราสูงพอไหม ? ถ้าหากว่า
กำลังบุญกำลังใจมันสูงพอจากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็เป็นหาย แต่ถ้ากำลังใจแย่ ๆ ไม่เจ็บหนักก็ตาย
ตอบ : แล้วอย่างสมมุติว่าคนที่เกิดช่วงปีปลายปีจะต้องนับเป็นปีไทยนี่ก็ต้องนับไปอีกปีหนึ่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ปลายปีสากลใช่ไหม ? อย่างธันวาคม อย่างเช่นว่าเป็นปีนี้เกิดธันวาคมก็เป็นปีมะเส็ง
ตอบ : มันจะกลายเป็นเดือนหนึ่งหรือเดือนสอง
ตอบ : จะเป็นเดือนอ้าย ปีมะเส็งเดือนอ้าย สมัยก่อนเขานับขึ้นปีใหม่เขานับเดือนห้า เริ่มเดือนห้า แรม ๑๕ ค่ำเดือน ๔ เป็นสิ้นปี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นปีใหม่ อย่างเช่นเด็ก ปีหน้า ถ้าหากว่าเกิดก่อนขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ยังเป็นปีมะเส็งอยู่ แต่ถ้าหากว่าขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ปี ๒๕๔๕ ไปแล้วเป็นปีมะเมีย เขาจะเริ่มนับกันอย่างนั้น พอเริ่มขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ก็เริ่มนับเปลี่ยนศักราช
ตอบ : ถ้านับตามเดือนสากลก็จะเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : นับตามสากลก็จะเป็นปลาย ๆ เดือนมีนาคมไม่ก็ต้นเดือนเมษายน
ตอบ : อย่างที่เขาเรียกว่าปีใหม่ไทยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ปีใหม่ไทยเขานับสงกรานต์เลย ก่อนหน้านั้นเขาก็จะนับกลางเดือนห้า ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ไป ๆ มา ๆ มันลำบากเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เขาก็กำหนดให้มันถาวรไปเลยว่า ๑๓ เมษายน เป็น
วันสงกรานต์ ๑๔ เมษายนเป็น
วันเนา ๑๕ เมาษายนเป็น
สังขารล่อง ตอบ : แล้วเท่าที่ลองดูสถิติตามหลวงปู่น่ะครับ โอกาสเกิดแบบนี้เท่าไหร่ครับ ?
ตอบ :
จำ ๒ วันเท่านั้น คือ วันลาภกับวันชัย วันอื่นไม่ต้องจำเพราะมันไม่ดีอยู่แล้ว (หัวเราะ) ง่ายดีไหม จะทำอะไรเกี่ยวกับลาภผลเงินทองเราก็ไปวันลาภ จะทำอะไรอย่างชนิดที่เรียกว่าเราต้องเหนือกว่าเขา ต้องการชนะเขาเราไปวันชัย จำมัน ๒ วันแค่นั้นแหละอันอื่นเลิกจำเถอะ
ตอบ : ผมนึกว่าแทนที่เราจะต้องไปจำวันมรณะ วันกาลกิณี จะได้ระวังตัวเอาไว้ ?
ตอบ : เสียเวลา เอาวันดีไว้ ๒ วันพอ นอกจากนั้นมันหาดียาก เสมอตน มันก็เสมอตัวไง หีนะก็ตกต่ำ กาลกิณีก็เลวร้ายมรณะนี่ตายเลย โจระก็คือโดนโขมยแน่ รู้ครบมันก็ดีแต่บางทีรู้ครบมันยุ่งนะ ก็เลยตัดเหลือแค่นั้น
ตอบ : ......(ไม่ได้ยิน)......
ตอบ : ถ้าหากว่บารมีเราสูงกำลังใจเราดีไม่จำเป็น แต่เรียกว่าไม่ประมาทก็ได้
พวก ฤกษ์ยามต่าง ๆ มันเหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราดูดีแล้วว่าปลอดภัยไม่มีรถมาแล้วเราข้ามมันก็โอเค ๑๐๐% ชัวร์ว่าไม่มีอันตรายแน่ แต่ถ้าหากว่าคนที่เขาคล่องตัวแล้วเขาอาจจะข้ามตอนที่รถกำลังวิ่ง ๆ อยู่เยอะแยะเขาก็ข้ามได้ คราวนี้จะเอาแบบไหนดีล่ะ ประกันความปลอดภัยดีหรือจะเสี่ยงดี คือ ถ้ามันไม่ลำบากมากนักเราก็ประกันความปลอดภัยใช่ไหม ? ถือฤกษ์ถือยามมันสักนิดหนึ่งแต่ถ้ามันลำบากมากเรามั่นใจว่ากำลังใจระดับของ เราสร้างมาจนถึงขนาดนี้แล้วอันตรายไม่มีแน่ก็ลุยมันเลย แต่จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่าประมาท อย่างนั้นก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า มองซ้ายมองขวา... มองขวามองซ้ายสิ มองซ้ายมองขวารถชนแน่ (หัวเราะ) มองขวามองซ้ายมองขวาอีกทีปลอดภัยแล้วค่อยข้าม
การถือฤกษ์ยามก็เป็นอย่างนั้น
หลวงพ่อวัดท่าซุงปกติแล้วท่านถือฤกษ์ สะดวก คือ พร้อมเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น แต่ว่า... อันไหนก็ตามที่ท่านบอกกับลูก ๆ แสดงว่าท่านลองซะจนช่ำแล้ว ว่า ถ้าฝืนเมื่อไหร่เป็นเจ็บตัวแน่ ท่านก็ถึงได้บอก ของเราถ้าเราไม่มั่นใจคิดเราอาจจะรอดเราก็ลองดูได้นี่ ถ้าเจ็บตัวกลับมาค่อยมาถือ ตามท่าน (หัวเราะ) เพียงแต่ว่ามันจะรอดกลับมาหรือเปล่า ?
ตอบ : แล้วอย่างฤกษ์ห้ามล่ะครับ อย่างวันอาทิตย์ห้ามขึ้นบ้านใหม่หมายความว่ายังไงครับ ?
ตอบ :
โบราณเขาถือว่าอาทิตย์เป็นวันร้อน การขึ้นบ้านใหม่มันควรจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนใหญ่เขาถือฤกษ์วันศุกร์กัน วันอาทิตย์เขาก็ไม่ขึ้นบ้านใหม่
ตอบ : แล้วอย่างฤกษ์แต่งงานล่ะครับ เขาถือเอาวันที่ทำพิธีหมั้น หรือทำพิธีสงฆ์ หรือว่าส่งตัวครับ ?
ตอบ : วันส่งตัว
ตอบ : หมายถึงวันส่งตัวน่ะครับ
ตอบ : ฤกษ์แต่งงานคือส่งตัว ไอ้วันเข้าหอนั่นล่ะ
ถาม : .....................
ตอบ : ที่เราทำแบบนี้มันถูกต้องเพราะว่าผีเขาต้องการสังฆทาน แต่ว่าการที่เราไปไหว้เช็งเม้งที่ไปสุสานไปมันได้ตัวกตัญญู สมัยก่อนจะถือคนจีนเขาถือมากเลยเรื่องอกตัญญู ไม่ไหว้สุสาน ไม่แต่งงาน คือ ไม่มีลูกเขาจะถือ ของเราเองเราทำทางนี้แล้วถ้าหากจะไปไหว้ถ้ามีเวลาก็ไปกับเขา
นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี พระพุทธเจ้าท่านยังสรรเสริญไว้ชัดเลย ตรงจุดนี้แหละที่หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าไว้ว่า สังเกตดูมั้ยคนจีนอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นานเดี๋ยวก็ตั้งหลักฐานได้ ท่านบอกว่า
คนกตัญญูที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ ถาม : อย่างนั้นสมมุติว่าโจรฆ่าพ่อแม่ตายแล้วเอาลูกไปเลี้ยง ลูกรู้เข้า ก็ต้องการแก้แค้นให้พ่อแม่ตัวเองก็ต้องฆ่าผู้มีคุณที่เลี้ยงตัวเองมา คิดว่าทางออกของคนที่อยู่ในสภาวะอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : สำหรับตัวเราที่เป็นนักปฎิบัติอยู่แล้วก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป เพราะว่าถ้าเขาไม่เลี้ยงเรามาก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดมาจนป่านนี้ บุญคุณกับความแค้นมันทดแทนกันได้ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ว่าเขาเป็นผู้ให้ชีวิตรักษาชีวิตเรารอด แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ปฎิบัติธรรมนี่ เออ มันฆ่าพ่อแม่เราก็ไม่ดีก็ลงมือเอาเหมือนกัน (หัวเราะ) ต้องตัวอย่าง
ฑีฆาวุกุมาร ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็น
พระเจ้าปเสนทิโกศล สมัยก่อนการตีบ้านตีเมืองคนอื่นเป็นการแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ มันเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของทหารของพระมหากษัตริย์
คราวนี้การที่ไปตีบ้านตีเมืองของ
พระเจ้าฑีฆีติโกศล ทำให้เขาตายแล้วลูกหนีรอดไปได้ ไปเรียนศิลปศาสตร์กับ
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ เสร็จก็กลับมาล้างแค้นให้พ่อแม่ ทำอย่างไรจะเข้าใกล้ตัวได้ ก็ไปสมัครเป็นคนเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า พอกลางคืนก็ดีดพิณกล่อม ระบายอารมณ์หรือว่ากล่อมช้างกล่อมม้าไปด้วยในต้ว ปรากฏว่าเสียงพิณได้ยินเข้าไปถึงในปราสาท พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ว่า เออ คนนี้เขาเก่ง เลยเรียกเข้ามาให้เป็นนักดนตรีประจำพระองค์มีหน้าที่ดีดพิณขับกล่อมแล้ว ฑีฆาวุกุมารเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนตั้งใจปฎิบัติงานดี พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ไว้ใจจนกระทั่งกลายเป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์ไป
คราวนี้วันหนึ่งออกล่าสัตว์ก็ไปด้วยกัน ฑีฆาวุกุมารขับรถม้าให้ก็แกล้งขับซะเร็วจนพวกทหารตามไม่ทันลดเลี้ยวไปตามป่า จนกระทั่งแกล้งบอกว่าหลงทาง พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเหนื่อยมากขอพักนอนหนุนตักฑีฆาวุกุมารนั่นแหละแล้วก็ หลับ ฑีฆาวุกุมารเห็นว่าได้โอกาสล้วงมีดออกมาว่าจะเสียบเสียซะ มานึกถึงว่าตอนที่พระเจ้าฑีฆาติโกศลผู้เป็นพ่อจะโดนประหารชีวิต ฑีฆาวุกุมารหนีรอดไปแล้วแต่แอบมาดูการประหาร พระเจ้าฑีฆาติโกศลรู้อยู่ว่าลูกตัวเองมา ก็ตะโกนขึ้นมาลอย ๆ ว่า
?รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ? คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าฑีฆาวุกุมารฟังรู้ว่าพ่อบอกว่า
?อย่าจองเวรกัน? ถ้าหากว่าจองเวรกันต่อไปแล้วมันก็จะต่อเนื่องยาวนานกันไปไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม ?
เพราะฉะนั้นก็ควรจะตัดมันให้สั้นลง แต่ถ้าหากว่าคิดสั้นเฉพาะหน้าจะต่อความยาวสาวความยืด ให้มันเป็นเวรเป็นกรรมกันนับชาติไม่ถ้วนก็ทำเหอะ เท่ากับว่าพ่อสั่งห้ามไว้ นึกขึ้นมาได้ถึงคำสั่งพ่อก็เก็บอาวุธ มองไปมองมาความแค้นเกิดขึ้น ก็ชักอาวุธขึ้นมาใหม่ เงื้อง่าอยู่ถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา จนในที่สุดเก็บอาวุธแล้วปลุกพระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้นมาสารภาพว่าตัวเองเป็น เชื้อสายพระเจ้าฑีฆีติโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นฆ่าพ่อแย่งราชสมบัติไป จะล้างแค้น แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่อยู่ด้วยจะกลับบ้านกลับเมืองของตนเองเวรกรรมทั้ง หมดขอให้สิ้นสุดลงแค่นี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลพอได้ยินก็เลยซาบซึ้งว่า ลูกศัตรูมีโอกาสก็ยังไม่แก้แค้นเลยมอบสมบัติคืนให้ครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่ามีศักดิ์เสมอกันต่างคนต่างช่วยกันปกครองแผ่นดิน
คราวนี้ของเรา ก็ดูสิ ถ้าเขาสมบัติเยอะ ๆ ก็ขอสักครึ่งหนึ่ง (หัวเราะ) รีบล้างแค้นไม่ได้อะไร อันนี้ไม่แน่ใจเพราะว่าอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้สึกว่าสมัยก่อนเรียนตอน ป. ๒ หรือ ป. ๓ เองล่ะมั้งเรื่องนี้ แต่ว่าในธรรมบทเขามีจริง ๆ รุ่นหลัง ๆ เรียนทันไหมฑีฆาวุกุมารน่ะ ? แหะ ๆ ลืมหมดแล้ว ไม่ได้เรียนเลยใช่ไหม ?
เรื่องดี ๆ สมัยก่อนเขาเยอะเลยสมัยนี้มันตัดเกลี้ยง หน้าที่พลเมืองกับศีลธรรมเขายกเลิกไปเลยใช่ไหม ? มาระยะหลังเห็นท่าไม่ดีเปลี่ยนเป็นจริยศึกษา เฮ้อ ....มันจะศึกษาแบบอย่างที่ไหน ไอ้คนเขียนแบบมันยังหาดีไม่ได้เลย
จริยะแปลว่า แบบอย่าง
จริยศึกษา ก็เลียนแบบที่ดี ที่นี้แบบที่ดีมันไม่ค่อยมีให้เลียน แบบที่ดี ๆ เขาต้องวางยาให้ตาย
หลวงตาบัวโดน (หัวเราะ) เออ มันไม่ใช่แต่หลวงตาบัวนะ สมัยก่อนหลวงพ่อเราก็โดนประจำ
หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่เขามีทั้งซุ่มยิง มีทั้งวางยา มีทั้งเล่นไสยศาสตร์ ทำกันจนทุกวิถีทางทำไม่ได้ต่างคนต่างตายไปเอง
ถาม : พวกนี้เขาทำไปเพื่ออะไร เขาได้อะไรคะ ?
ตอบ : เขาจ้างมา ของหลวงพ่อนี่บางจุดน่าเกลียดมากเลยเหตุผล ถ้าหลวงพ่อตายคนจะได้ไปวัดเขาบ้าง แหม เหตุผลทุเรศที่สุด แต่ไอ้คนรับจ้างน่ะว่าไม่ได้หรอกมันมีเงินมันก็เอาเงินใช่ไหม ? ไอ้ตัวเองอยากได้เงินทองมันก็ไม่ไป หลวงพ่อท่านได้มาเท่าไหร่ท่านก็ต้องเหนื่อยไปก่อสร้างมันก็ไหลมาเอา ๆ (หัวเราะ) คนไม่อยากได้ ได้เยอะ
http://grathonbook.net/book/6.2.html
ถาม : ......จำชื่อไม่ได้แล้ว อายุประมาณ ๕๘ ปี เป็นข้าราชการบำนาญหลวงพี่รู้จักหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พอได้ยินอยู่ ทำไมล่ะ ตายแล้วไม่เน่าน่ะมันฝืนธรรมชาติเพราะฉะนั้นพวกหมอเขาไม่ยอมรับ เขาก็บอกว่าอาจจะมีโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้ตายแล้วไม่เน่า ไอ้โรคแบบนี้น่าเป็น (หัวเราะ) คือเรื่องที่เป็นธรรมาธิษฐาน นี่เขาไม่เชื่อ เขาเชื่อเป็นปุคคลาธิษฐาน เรื่องของบุญบารมีเขาไม่ค่อยเชื่อกันมันต้องประเภทคนทั่ว ๆ ไป มันจะเอาคนสร้างบารมีมาจนเป็นพระอรหันต์ไปเท่ากับมัน ๆ ก็ยากเหมือนกันนะ
ถาม : ต้องเป็นพระอรหันต์หรือครับถึงจะไม่เน่า ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก เอาแค่พระอนาคามีปฎิสัมภิทาญาณก็ได้แล้ว ปฎิสัมภิทาญาณนี่จะแสดงผลตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป เพราะว่าปฎิสัมภิทาญาณอานุภาพเขาสูงมาก ถ้าหากว่าไม่ยอมรับกฎของกรรม ไม่ละทางโลกได้ขนาดพระอนาคามีเดี๋ยวไปฝืนกฏของกรรมหรือไม่ก็ทำเพื่อตัวเอง เลยกลายเป็นบังคับไว้เลยว่าต้องระดับนั้นขึ้นไปผลถึงจะปรากฏ เพราะฉะนั้นบางคนฝึกแทบเป็นแทบตาย ใช้อภิญญาใหญ่ไม่ได้เต็มที่สักทีรอถึงอนาคามีเมื่อไหร่มันก็เต็มที่เมื่อ นั้นน่ะ
ถาม : ในขณะที่มีผลแบบนี้หมายถึงบอกว่าเหตุเป็นแบบนี้ ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มันบอกได้ แต่ขณะเดียวกันทางวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อไง งั้นรอไปก่อน รอให้มันทำถึงมันก็เชื่อเองแหละ ตอนนี้ปฎิเสธไว้ก่อน ถ้าไม่ปฎิเสธเดี๋ยวเขาหาว่างมงาย ทำถึงระดับนั้นแล้วคิดว่าให้เป็นอะไรมันก็เป็นไปตามที่ต้องการหนังสือพิมพ์ ลงซะน่าสนุก บอกว่าชาวบ้านร่ำลือกันมากว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำมรณภาพ แล้วไม่เน่า บุคคลผู้นี้ในเมื่อตายแล้วไม่เน่าคงสร้างบารมีมาใกล้เคียงกัน (หัวเราะ) อันนั้นมันเป็นสมบัติเศรษฐีนะไม่ใช่สมบัติของเรา
หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วไม่เน่ามันโคตรมหาเศรษฐี ลูกศิษย์หลวงพ่อตายแล้วไม่เน่ามันก็เศรษฐี ของเราเองไปชมสมบัติเศรษฐีอยู่น่ะสมบัติของตัวเองมีบ้างไหม ? มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าสร้างสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เที่ยวไปดูแล้วก็ชื่นชมว่าของเขาดีอย่างโน้นของเขาสวยอย่างนี้ของเขา รวยอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็จนแย่อยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นสำคัญอยู่ตรงที่ทำเองให้ได้เพราะทำเองให้ได้นอกจากจะหมดสงสัย แล้วผลยังทำให้เกิดสุขทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย
ถาม : แล้วอย่างเรื่องที่เขาบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ คนธรรมดาที่ไม่ได้นั่งสมาธิอะไรก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ?
ตอบ : มีเยอะ พวกล้างป่าช้านี่เขาเจอหลายศพที่ไม่เน่า พวกนั้นตรงจุดที่เขาฝังจะมีแร่อะไรบางอย่างที่มันรักษาสภาพเอาไว้ได้มีเหมือนกัน อย่างของต่างประเทศที่เขาไปเจอหล่มโคลนแห่งหนึ่งที่มันเป็นมัมมี่หมดเลย คนตกลงไปตายกี่คน ๆ ไม่เน่าเลย ลักษณะอย่างนั้นก็เหมือนกันนะโคลนมันอาจจะเกิดจากการหมักหมมของใบไม้ใบหญ้า อะไรที่เป็นสมุนไพรบางอย่างที่มันสามารถรักษาสภาพเอาไว้ไม่ให้เน่าได้ มันมีเหมือนกัน แต่ว่านี่เขาไม่ได้ไปไหนเขานั่งอยู่กับบ้านจนกระทั่งตายแล้วก็แห้งตายไปทั้ง นั่งนั่งนั่นแหละ (หัวเราะ) มันจะเอาอะไรมารักษาล่ะในเมื่อเขาสามารถจะอธิบายได้เขาก็เลยคาดว่าอาจจะมี โรคประจำตัวบางอย่างทำให้ตายแล้วไม่เน่า ไอ้โรคนี่มันมีแต่ตายแล้วเน่าเร็วขึ้น (หัวเราะ) ไอ้โรคที่ตายแล้วไม่เน่านี่น่าเป็น
ถาม : .....(ไม่ได้ยิน).....
ตอบ : ถ้ารู้แล้วจะไปฉันทำไมล่ะ คือว่าเรื่องของการรักษากำลังใจญาติโยมนั่นหมายถึงในด้านดีเท่านั้น อย่างของหลวงตาบัวนี่เกิดเขาใส่ยามาแล้วถวายแล้วทั้ง ๆ ที่รู้แล้วจะฉันลงไปเพื่อรักษากำลังใจเขาน่ะ....เป็นคุณล่ะจะทำไหมล่ะ ?
ถาม : เคยดูหนังจีนอาจารย์ตั๊กม้อท่านก็รู้ว่ามียาพิษแต่ท่านก็กินไปคำ ๒ คำ
ตอบ : นั่นอาจารย์ตั๊กม้อ ถ้าเป็นอาตมานี่ก็เอาเหมือนกันเพราะว่าเคยไปเที่ยวแถวกะเหรี่ยงบางทีเขาลอง ของเขาทำมา ตอนแรกก็ตั้งใจจะกินพอเป็นพิธี พอรู้ว่าเขาทำมาเลยฟาดมันซะเหี้ยนเลย อร่อยดีไปนั่งปวดท้องอยู่ กินให้มันรู้ว่าเราไม่กลัวมัน อันนี้ไม่ได้กินเพื่อรักษากำลังใจมันหรอก กินให้มันรู้ว่าเราไม่กลัวมัน กินเสร็จก็ไปทนนั่งปวดท้องอยู่แป๊บนึง
ถาม : ......(ไม่ได้ยิน)......
ตอบ : ประเทศจีนโดยเฉพาะสมาคมแกะสลักของเขาถวายเจ้าแม่กวนอิม ๑,๐๐๐ พระหัตถ์ แกะจากไม้จันทร์เหลือง สูง ๖ เมตรน้ำหนัก ๕ ต้น ถวายในหลวงในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา ๖ รอบ เขาใช้ช่าง ๑๒,๐๐๐ คนนะ แกะสลักเป็นเวลา ๒ ปี ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์ศิลปชีพบางไทร กำลังจะสร้างพระตำหนักถวายอยู่
ตอนที่เขาฉลองอยู่ก็เลยแวะเข้าไปร่วมสร้างพระตำหนักด้วยแล้วเขามอบศิลปวัตถุ แกะสลักไม้ต่าง ๆ จากหินสบู่พวกหยกมาให้หารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลคือได้เท่าไหร่ถวายในหลวง แล้วแต่ในหลวงจะใช้ แต่ของเขาแพงชิ้นหนึ่งเล็ก ๆ ก็ตั้งพันกว่า ๒ พัน ๓ พัน ชิ้นใหญ่ ๆ หน่อยหนึ่งต่ำสุดรู้สึกว่า ๘๐,๐๐๐ มั้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นแสน ๆ แต่ว่าดูฝีมือเขาแล้วมันก็น่าชื่นชมอยู่ ซื้อเจ้าแม่กวนอิมมาเป็นตลับเล็ก ๆ คล้าย ๆ ตลับแป้งพัฟน่ะ เปิดออกมาข้างในเห็นแกะเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ปรากฏว่าอาวุธที่ท่านถืออยู่ถอดออกได้ ก้านเล็กยังกับเส้นผมน่ะถอดออกได้ ฝีมือเขาร้ายจริง ๆ เป็นการแกะด้วยฝีมือจริง ๆ เพราะว่าแต่ละองค์หน้าตาไม่เหมือนกัน ถ้าแกะด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หน้าตาจะเหมือนกันทุกองค์ ใครมีโอกาสก็แวะ ๆ ไป ตั้งที่ศาลาโรงช้างเขาจะสร้างพระตำหนักใหม่ถวายอยู่มีตู้บริจาคมีอะไร ส่วนถ้าเราไม่ซื้อของเงินส่วนนั้นก็จะถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
ถาม : ของจีนเขานับเป็นหน่วยอะไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้ล่ะเห็นเขานับ ๑๒ พัน มันเขียนมาอย่างนั้นหรือภาษาอังกฤษมันเขียนอย่างนั้นไม่รู้ ภาษาอังกฤษมันเขียน ๑๒ พัน
เขาบอกว่าสมเด็จพระเทพฯ เท่ากับเป็นฑูตสันติภาพ สร้างความเข้าใจอันดีงามระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนได้มาก เสด็จประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ๑๓ ครั้งแล้ว คราวที่แล้วนั้นพระราชินีเสด็จ ปกติพระราชินีเสด็จจะเอาเจ้าฟ้าชายไป ด้วย งานนี้เสด็จเมืองจีนต้องเอาสมเด็จพระเทพฯ ไป (หัวเราะ) สมเด็จพระเทพฯ เป็นล่ามให้ ส่วนใหญ่ท่านก็ไปซะจนทั่วแล้ว งวดนี้ท่านเรียนภาษาจีนที่เมืองไทยเรียนมา ๘ ปีแล้ว ทางสถานฑูตจีนจัดอาจารย์เก่ง ๆ มาสอนให้แล้วก็ไปติวเข้มเดือนหนึ่งถึงได้ดุษฏีบัณฑิตกลับมา ไปถึงขนาดนั้นต้องไปเขียนลายมือจีน วาดภาพลายพู่กันจีน ไปรำมวยจีน แล้วก็ยังต้องไปบรรยายให้นักศึกษาจีนฟังเป็นภาษาจีนเกี่ยวกับไทยศึกษา โอ้โห....มันคงเช็คละเอียดยิบเลยว่าเก่งจริงหรือเปล่า ?
ศึกษาเกี่ยวกับเมืองไทยต้องไปบรรยายให้เขาฟังว่าเมืองไทยมีอะไรดีบ้าง มีสิ่งไหนที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของไทย แล้วก็ต้องไปเล่นดนตรีไทยให้ฟังด้วย (หัวเราะ) รู้สึกว่าเขาจะติดใจมาก ถ้าเขาขอให้เขามั้ย ? ขอสมเด็จพระเทพฯ ไปครองเมืองจีน เผื่อมันจะกลับใจมั่ง ลาวก็เอาแต่แม่นางเทพฯ นั้นแหละคนอื่นไม่เอาหรอก (หัวเราะ) เสด็จประเทศลาวเมื่อไหร่ก็แม่นางเทพฯแหละ
ถาม : ถ้ายกแผ่นดินให้ด้วยก็เอาค่ะ เอามารวมกัน
ตอบ : มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ตอนนี้มันอะไรล่ะ ถิ่นกาขาวใช่ไหม ? ชาววิไล ไทยมหารัฐ จักรพรรดิราช อีก ๒ รัชกาลเท่านั้น
ถาม : ๒ รัชกาลหรือคะ ?
ตอบ : อือม์.. มหากาลผ่านมหายักษ์ รู้จักธรรม จำต้องคิด สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฏร์ราชาจน นั่งทนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว พอรัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ๑๑ ก็ไทยมหารัฐ ๑๒ ก็จักรพรรดิราช เป็นจักรพรรดินี่ต้องปกครองทั้งโลกเลยนะ
ถาม : อ๋อ.....หมายถึงรัชกาลหน้าจะดี ?
ตอบ : รัชกาลที่ ๑๐,๑๑,๑๒ ถึง ๑๒ นี่ก็ดีขึ้นเต็มที่แล้วเพราะว่าบรรดาบ้านเมืองต่าง ๆ ที่มีกษัตริย์อยู่ก็จะต้องเอารูปแบบการปกครองที่รัชกาลที่ ๙ ของเราทำอยู่ในปัจจุบันไปใช้กับคนของเขา เพราะว่าใช้แล้วมันดีชาวบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุขกัน แล้วที่ไม่มีระบบพระมหากษัตริย์อยู่แล้วแต่เคยมีก็พยายามฟื้นระบบขึ้นมา ฟื้นระบบขึ้นมาจะต้องทำยังไงล่ะ ...มันก็ต้องมาศึกษาระบบตัวอย่างจากระบบที่ดีที่สุดปัจจุบันก็คือเหลืออยู่ ที่เราเท่านั้น ของราชวงศ์อื่น ๆ นี่เขาให้ความเคารพระบบพระมหากษัตริย์น้อยมากแล้ว อย่างของอังกฤษ ขนาดที่ควีนยังครองราชย์อยู่แท้ ๆ นะ ตอนนี้โดนบีบสารพัดเลย
ถาม : ต้องเสียภาษีนี่คะ
ตอบ : เขาบังคับให้เสียภาษี ของท่านเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้เห็นเด่นชัดเกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของ ชาวบ้านใช่ไหม? ของเรานี่ในหลวงท่านทุ่มเทตลอด ๕๐ กว่าปี ตอนที่ครบกาญจนาภิเษก ๕๐ ปีนั่น คุณบรรหาร เป็นนายกอยู่ ทูลเกล้าถวายเงิน ๙๙๙ ล้าน ถวายในหลวง เรามานั่งถามตัวเองท่านเหนื่อยแทบตาย ๕๐ ปี ให้ ๙๐๐ กว่าล้านคุ้มหรือเปล่า ? ตอบตัวเองว่าไม่คุ้ม ปรากฏว่ารุ่งขึ้นในหลวงมอบคืนให้ไปแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่เอาซักบาทเดียว ขนาดให้ ๙๐๐ กว่าล้านเราว่าไม่คุ้มท่านยังไม่เอาเลย
ถาม : (คุยเรื่องปลูกต้นไม้ใน กทม.)
ตอบ : (เสียงพูดขึ้นมาทับเสียงหลวงพี่...) ไอ้นั่นมันแพงอยู่แล้ว ของไม่ใช้แล้วแท้ ๆ ดันไปซื้อมาซะแพงเลย ( อะไรคะ) ปาล์มน้ำมันไงไอ้ที่เอามาประดับถนนน่ะ ไอ้พวกนั้นน่ะมันจะหมดอายุอยู่แล้ว เขาโละสวนทิ้งน่ะ กลายเป็นว่าซื้อมาแพง ๆ ทั้งนั้นต้นหนึ่ง ๕ พัน ๖ พัน ความจริงเขาจะโละสวนขอเขาฟรี ๆ ก็ได้ คนมันก็คงเต็มใจให้เพียงแต่ขออนุญาตปักป้ายหน่อยว่าใครบริจาคเท่านั้นล่ะ
ถาม : มันไม่สวยแล้ว กาบเกิบพอมันร่วงออกมาก็ ต้นอะไรก็ไม่รู้
ตอบ : นั่นมันไม้ทะเลทรายแท้ ๆ เลย เอามาปลูกกรุงเทพฯ มันก็เหมาะสมดีนะอย่างอื่นน่ะมันสวย ที่น่าปลูกเยอะ ๆ ก็คือประดู่ ประดู่นี่ต้องไปดูที่ยะลา ยะลานี่นอกจากผังเมืองจะงามแล้วต้นไม้ยังงามด้วย ยะลานี่ต้นประดู่ ๒ ข้างมันสานกิ่งติดกันหมดเลย แต่ระยะหลัง ๆ นี่เห็นพวกการไฟฟ้าไปฟันมันออก โดยเฉพาะเทศบาล ขี้เกียจกวาดดอกประดู่ตอนที่มันบาน เพราะว่าประดู่มันบานพร้อมกันทิ้งดอกพร้อมกัน มันขี้เกียจกวาดมันเลยฟันกิ่งทิ้งซะเยอะเลย น่าเสียดาย ประดู่กิ่งอ่อนนั่นล่ะให้ความร่มเย็นดีมากเลย
ถาม : ถ้าเราปลูกแต่มะม่วงก็ไม่มีใครฟังหรอก ?
ตอบ : ไม่แน่ ก็อย่างในพระมหาชนกไง ไอ้ต้นมีลูกก็โดนเล่นซะจนกระทั่งล้ม กิ่ง ก้าน ใบ ฉีก บรรลัยวายวอดหมด ไอ้ต้นไม่มีลูกงี้ยืนต้นเขียวเชียว
ถาม : แต่ว่าคนไปเก็บผลไม้ในเรื่องพระมหาชนกเป็นคนมอญนี่ค่ะ ?
ตอบ : (หัวเราะ) เขาอยากว่าลาวอยู่ไหนสัตว์สูญพันธุ์ มอญอยู่ที่ไหนต้นไม้สูญพันธุ์ มันอยากจะกินมันเล่นฟันลงมากินน่ะมันขี้เกียจปีนโค่นต้นมันเลย กินทีเดียวเลิก
ถาม : เห็นว่าบางประเทศห้ามคนลาวเข้า
ตอบ : อิสราเอลมั้ง
ถาม : เหรอคะ กลัวสูญพันธุ์ ?
ตอบ : มันไม่ใช่กลัวสูญ มันสูญไปแล้ว ขนาดตีข่าว เอ.พี ไปทั่วโลกเลยบอกว่า คนไทยพวกนี้ เขาใช้คำว่าคนไทยนะ ว่าไปจากอีสาน คนไทยพวกนี้มีความสามารถสูงมาก แค่มีเชือกเส้นหนึ่งเท่านั้นเขาสามารถประกอบเครื่องมือดักสัตว์ได้แล้ว เสร็จแล้วไม่ใช่เพราะว่าอดอยาก แต่ว่าทำเพราะว่าสัญชาติญาณในการล่าของเขา เขาจะมีความสุขมากถ้าได้กินสัตว์ที่เขาล่ามาเอง ไอ้พวกนั้นของเขาก็ไม่เคยไปแตะไปต้องเลย เขาปล่อยมันเอาไว้อย่างงั้นแหละ
พอถึงเวลาคนไทยไปทำงานอยู่ในกิ๊บบู๊ด ไอ้กิ๊บบุ๊ดนี่มันคล้าย ๆ คอมมูมน่ะ พวกคอมมูมนี่แต่ละหมู่บ้าน ๆ จะอยู่รวมกันเป็นรูปแบบในลักษณะของสหกรณ์ แล้วพอผลิตได้ผลผลิตก็มารวมกันแล้วก็ส่งตลาด เขาสามารถต่อรองพ่อค้าได้เพราะได้เพราะว่าผลผลิตมันเยอะ นั่นแหละก็เข้าไปรับจ้างในกิ๊บบุ๊ดของเขา แล้วก็ไปกินซะสัตว์ของเขาสูญพันธุ์เป็นอย่าง ๆ ไปเลย (หัวเราะ) มันไม่เคยโดนล่ามันก็เชื่อง... เสร็จ !
วีรกรรมคนไทยเชื้อสายอีสานแท้ ๆ ก็แสงชัยไง ลูกน้องแสงชัยเขา ๗ ? ๘ คน บอกปวดหัวเป็นบ้า พักเดียวเท่านั้นแหละ แมงกินนูนมา เป็นถุงเลย (หัวเราะ) แสงชัยบอก เฮ้ย ! เอามาไปปล่อย (หัวเราะ) ไอ้ลูกน้องก็ ครับ...ครับ ปล่อยเสร็จก็กลับมา แหม หัวหน้าอร่อยนะครับ (หัวเราะ) แสงชัยถามว่า มึงอดหรือเปล่า ไม่อดหรอกครับแต่อยากกิน เขาให้ค่าอาหารวันหนึ่ง ๒๐๐ น่ะไอ้ลูกน้องแทนที่จะไปซื้อหมูซื้อไก่ เปล่าหรอก มันไปจับโน่นจับนี่มากิน
ก็แบบเดียวกับที่สมัยอยู่ชายแดนเหมือนกัน เรากำลังหลับ ๆ อยู่ในบังเกอร์น่ะกลางคืนทำไมอึ่งอ่างมันร้องกันชิบหายเลยวะวันนี้ ทนไม่ได้ลุกขึ้นมาส่องไฟดู โน่น.. มันยัดเอาไว้ทั้งถังเลยใต้เตียงเราน่ะ (หัวเราะ) เจ้านายมาตรวจมันกลัวเขารู้ แล้วมันรู้ว่าเราไม่ว่าอะไรมัน ๆ มาซุกเอาไว้เตียงเรา เราก็มาถึง ของใครวะ ? บอกว่าผมครับ ๆ คว้าถังได้ก็วิ่งหายไป รุ่งเช้าก็เอาเคล้าเกลือแล้วก็เอาลวดน่ะ แทงใต้คางมัน ร้อยอยู่บนราวเป็นร้อย ๆ ตัวเลย เราก็บอก เฮ้ย ! บาป มันบอกบาปน่ะอร่อยบุญไม่อร่อยหรอก (หัวเราะ) จะทำยังไงกับมันได้ ?
ถาม : ไม่สั่งอดข้าวเลยล่ะคะ ใครกินอดข้าวเลย
ตอบ : อยู่ชายแดนนี่มันต้องผ่อนผันเขา เพราะเรื่องขวัญและกำลังใจของทหารเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าสงสาร เพราะว่า ..ถึงเวลาเขาเทเกลือลงไป ไอ้พวกอึ่งนี่ โอ้โห...ฟองมันฟอดไปหมดล่ะ มันแสบตามัน ๆ ก็เอาตีนป้าย มันยิ่งป้ายมันก็ยิ่งแสบ บอกไม่ถูก ...กรรมใครกรรมมัน เราเพียงแต่แปลกใจว่าทำไมคืนนี้อึ่งอ่างมันร้องดังเป็นพิเศษ ใครจะไปรู้ว่ามันยัดไว้ใต้เตียงเราเป็นถังเลย มันกลัวเจ้านายคนอื่นเตะมัน มันรู้ว่าเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว (หัวเราะ) สมันเเด็ก ๆ ของเรามันก็กระหายเลือดแบบนั้นแหละ แต่ของเรามันดีตรงที่ว่าล่าแล้วเอามากินไง มันไม่ได้ประเภทฆ่าทิ้งฆ่าเล่นอะไรแบบของคนอื่นเขา
http://grathonbook.net/book/6.3.html
ถาม : การที่เราเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วไม่เหมือนกับการให้ท้ายเขาหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ให้ท้าย แต่ก็ไม่ห้าม คือ เรื่องใครเรื่องมัน นั่นมันเรื่องส่วนตัวเราไม่ยุ่งกับเขา ของเราจะยุ่งกับเขาก็ต่อเมื่อส่วนรวมเสียหาย เรื่องของระเบียบวินัยเสียหาย ถ้าหากว่าระเบียบวินัยยังไม่เสีย ส่วนรวมยังไม่เสีย เราก็ผ่อนผันให้เขาได้
ตอนอยู่กองร้อยปกติพอถึงเวลาเราเข้าเวร เขาก็มาเบิกพลั่ว พลั่วสนาม เบิกคนละอัน ๒ อัน เดินหาย ไปโน่นน่ะป่าหลังกองร้อยโน่น ตอนเย็น ๆ ก็กลับมาแล้ว ก่อนที่จะเคารพธง เพราะต้องรวมพลเคารพธงตอนเย็น มันก็กลับกันมาแล้วหิ้วมาเป็นพวงเลย แย้ ไปขุดแย้กัน หิ้วมาถึงก็จัดแจง ผ่าท้อง ถลกหนังเสร็จเรียบร้อยก็ไปจ้างโรงครัวเขาผัด ๑๐ บาท ผัดกระเพราให้มันสับไปอย่างดีเลย ของเราก็แค่เปลืองพริกกระเทียม ใบกระเพราหน่อยหนึ่ง คิดค่าผัด ๑๐ บาท เสร็จแล้วก็รวมกัน เขาจะมีตั้งเป็นวง ๆ วงหนึ่งก็จะมีกับข้าวทางโรงครัว ๒ อย่าง ของมันก็จะพิเศษของมันมา
คราวนี้มันมีอยู่วันหนึ่ง เราก็แปลกใจมากเลย เฮ้ย ! ปลานิลทอด มาจากไหนว๊ะ ? คือของทหารนี่ไม่ต้องไปคิดหรอกประเภทจะกินเป็นตัว ๆ อย่างนั้นน่ะ ทหาร ๑ กองร้อย ไก่ ๖ ตัว ลองเฉลี่ยดูสิว่า ๑๔๐ กว่าคน ต่อไก่ ๖ ตัวมันจะได้เห็นสักชิ้นไหม ? แล้วไอ้ ๖ ตัวนี่ไม่ใช่ของเราทั้งหมดนะ จ่าสูทกรรมฟาดไป ๑ ตัวแล้ว มันถือว่ามันทำของมันอยู่ มันก็กินของมันน่ะ ไอ้เราก็งงว่า เอ๊ะมันมาได้ยังไงปลานิลทอดตัวเป้ง ๆ ทั้งนั้นเลย ข้องใจมาก มันจะต้องไม่ชอบมาพากลยังไงแน่ ก็เลยลากคอมันคนหนึ่งมาถาม เฮ้ย เอามาจากไหนวะ มันก็บอกว่า อย่าบอกคนอื่นนะครับ ที่สระหน้ากองร้อยน่ะ บอก มึงจับยังไงวะมันบอกว่าตอนเขาหลับกันหมดแล้วผมเอามุ้งช้อน ( หัวเราะ) มันเอามุ้งช้อนเข้า มันจับมุ้ง ๔ มุม แล้วไล่ช้อนเอามากินจนได้
ส่วนอีกทีหนึ่งก็รุ่นพี่ อดิศักดิ์ นรา นั่นให้ท้ายเขาเลย จับนกพิราบ กองร้อยนี่หลังคามันมีช่องลมเยอะใช่ไหม นกพิราบมันเข้าได้ก็เข้าไปอาศัยอยู่มันก็เต็มไปหมดเสียงมันวู่ ๆ ๆ อยู่บนหลังคาทั้งคืนนั่นแหละ ไอ้นี่ก็ปีนขึ้นไปจับนกพิราบมาได้ก็มัดขา ๆ เอาใส่ตู้เอาไว้ ปรากฏว่าวันนั้นเจ้านายเขาตรวจความสะอาดพอดีเลย (หัวเราะ) ก็ตรวจไล่ไป ๆ พอเปิดตู้เจอนกพิราบตาปริบ ๆ อยู่เป็นสิบเลย (หัวเราะ) เวลาตรวจความสะอาดนี่เขาจะตรวจเตียง ตรวจตู้ ตรวจหมดทุกอย่างเลย เปิดตู้เจอนกพิราบตาปริบ ๆ อยู่เป็นสิบเลยถามว่า ใคร? วันนั้นโดนซ่อมกันอาน วิธีลงโทษของทหารเขาเรียกว่า ซ่อม สั่งมันวิดพื้นนั่งกระโดดกันซะหูตาลายเลย มันชอบไปกันตอนดึก ๆ ไอ้ที่เขาหลับกันหมดแล้วน่ะ นายทหารเวรหลับแล้วอะไรแล้ว
ถาม : ผิดกฏหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มันไม่ผิดกฏไม่ได้อะไรหรอก แต่เขาก็เลี้ยงมันอิ่มอยู่ทุกวันน่ะ แล้วมันทะลึ่งไหม ของที่เขาเก็บไว้ประดับสวย ๆ งาม ๆ มันดันจับมากินกันหมด มันกินกระทั่งแมวนะ (ฮือฮา) โธ่แมว...มันยังเอาไปกินหมดเลย
ถาม : แสดงว่าไม่อิ่มจริงมั้งคะ ?
ตอบ : ไม่หรอก มันอยากกิน เรากลับมาถามว่าหมาหายไปไหน ? เขาบอกไอ้จันทีจัดการไปแล้ว แมวหายไปไหน ? มันจัดการไปแล้ว
ถาม : ท่าทางน่าส่งไปอยู่ทะเลทรายนะคะ
ตอบ : พวกนี้มันเก่ง ตอนสมัยออกฝึกภาคกองร้อย ภาคกองพันภาคหมู่ตอนหมวด อาศัยพวกนี้แหละ โห พวกนี้มันเยี่ยมจริง ๆ กรรมการตรวจสอบหามันไม่เจอหรอก เขาห้ามเอาเสบียงอาหารไปนอกจากจะเดินไปตามแผนที่เข็มทิศตามจุดที่กำหนด บางจุดเขาจะมาส่งเสบียง บางจุดต้องไปแย่งชิงจากข้าศึกสมมติเขา นั้นแหละถึงจะกินได้แต่พวกนี้มันพกไปเพียบเลย กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม อะไรของมันน่ะ แล้วครูฝึกตรวจไปเหอะไม่เจอหรอก ถึงเวลาเขาจะตรวจมันเอาไปซุกไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่พอถึงเวลามันเลยจุดตรวจไปมันสะพายกันเทิ่ง ๆ ต่อไป อาศัยมันกินได้อยู่เรื่อยแหละ
ไปกินต้มยำไก่ป่าทีหนึ่ง โอโห มันเผ็ดกระโดดเลยอย่างที่แสงชัยเขา ว่าไอ้แกงกระเด้งน่ะ มันกินแล้วมันจะเลื้อยได้ (หัวเราะ) ขนาดว่าพอกินเข้าไปเสร็จแล้วลงอาบน้ำห้วย น้ำมันเย็นขนาดไหนล่ะ ขึ้นจากห้วยมานี่เหงื่อแตกพลั่ก ๆ เลย มันร้อนขนาดนั้นน่ะมันใส่อะไรบ้างก็ไม่รู้ สารพัดสารเพเท่าที่เห็นนี่ไอ้พวกกระเพราป่า พวกพริกขี้หนูป่า มันตะบันลงไปเป็นกำมือ แต่ว่าสงสารลิงตัวหนึ่งมือมันเหนียว มันโดนยิงซะพรุนไปหมดแล้วมันไม่ยอมตกลงมามันก็นั่งประเภทเอามืออุดซ้ายอุด เลือดก็ออกทางโน้น เอามือขวาอุดเลือดก็ออกทางนี้ เออ...ไม่รู้จะทำยังไง
มีอยู่คราวหนึ่ง เกือบตาย ไม่รู้...เอาเอ็ม ๑๖ ไปยิงหมูป่า ยังถูก ๗ นัดหมูป่าไม่รู้สึกอะไรเลยน่ะไล่ขวิดอุตลุด หมูป่ามันประเภททรหดมาก ไงละ ถ้าหากว่าไม่ใช่กระสุนที่มันหนักจริง ๆ โดนจัง ๆ นี่เอามันไม่อยู่ กระสุนเอ็ม ๑๖ มันแหลม ๆ นิดเดียวมันพุ่งปี๊ดก็ผ่านไปแล้ว มันมีแต่ยิงคนน่ะมันมีผล โดนไป ๗ นัด หมูป่าไล่ขวิดซะเกือบตาย คือ กว่าที่มันจะรู้สึกว่าตายน่ะไอ้คนก็ปางตายด้วย กระสุนมันคมมันทะลวงผ่านพรืดไปเลยไป แรก ๆ มันก็ชา ๆ ก่อน จนกว่ามันจะรู้สึกว่ามันโดนหนัก กว่ามันจะรู้ว่ากูสมควรตายได้แล้ว ไอ้คนยิงก็เกือบตาย ออกพื้นที่กันแต่ละที น่าเบื่อ กำลังด้อม ๆ ๆ กันระวังกันตัวลีบเลยนะ จะเหยียบกับระเบิดกันเมื่อไหร่ว้า ? เสียงปืนปัง ! มันก็ต้องพุ่งหมอบกันหมดน่ะ ไอ้ระยำเสือกยิงนก ( หัวเราะ) เห็นแล้วอยากกิน
มีอยู่ที่หนึ่ง ชายแดนตาพระยา ระหว่างบ้านทับเซียม บ้านนางงาม ไอ้ช่วงนั้นแหละที่เห็นพวกมันไม่กินตะกวดกัน ตะกวดตัวใหญ่เป็นไอ้เข้มันก็ไม่กิน ( ทำไมล่ะคะ) ก็...ไอ้พวกนั้นมันกินศพ คือ ช่วงนั้นมันตายกันเยอะแยะจริง ๆ ช่วงเหตุการณ์โนนหมากมุ่นปี ๒๕๒๓ น่า ๒๕๒๓ ทหารญวนของเฮงสัมรินเขาตีเข้ามาทะลุเข้ามาในเขตไทยตั้งหลายกิโล แล้วพวกเรากว่าจะขับไล่มันไปได้ตายเยอะเลยงวดนั้น
ถ้าไม่ได้เครื่องบินติดปืน พวกเฮลิคอปเตอร์ติดกันชิปดีไม่ดีผลักมันไม่ออก ๓๐๐ กว่าศพ เกลื่อนทุ่งเลย แล้วปะทะกันทุกวัน อยู่หน้าแนว ๕ เดือน เฉพาะกองร้อยเดียวนี่ตายไป ๒๖ ศพ ๒๖ ศพนี่นับว่าเฉพาะฝ่ายเรานะ ฝ่ายเขาตายเยอะกว่าตายกันที ๓ ศพ ๕ ศพ เขาถือว่าขอกันกินพอตายก็เอาศพไปฝังลวก ๆ พวกสัตว์มันก็ไปรื้อกันขึ้นมากิน แหม...ไอ้พวกเหี้ย พวกตะกวดนี่ ตัวยาว ๕ ฟุต ๖ ฟุต ยังกะตะเข้านั้นแหละ เห็นมันไม่กินกันก็อีตรงนั้นแหละ (หัวเราะ) เพราะมันเห็นคา ๆ ตา มันไปคุ้ยศพกินกันอยู่แถวนั้นก็ไปดูวิธีล่าสัตว์ของชาวบ้านแล้วก็เวทนามัน มันไล่ต้อนลิง เอาอาหารล่อ พอลิงมันออกมาพ้นชายป่าเสร็จก็ดักทางด้านป่าไว้ไม่ให้มันกลับ ไล่ต้อนไปต้อนมามันก็วิ่งหนีขึ้นต้นไม้หลางทุ่ง ต้นไม้แถวทุ่งมันก็จะเป็นโคกขึ้นไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็มีต้นไม้ไม่กี่ต้น คราวนี้ก็เสร็จล่ะสิ สอยเอาทีละตัว แล้วเห็นมันตกงูเหลือมด้วยเบ็ดก็ที่นั่นแหละ เขาจะให้ไอ้พวกไก่เป็น ๆ น่ะ เกี่ยวเบ็ด แล้วก็โยนลงไปในบนกอสวะ
ตรงนั้นมันมีบึงใหญ่อยู่เขาเรียกว่า บึงสะล็อกก๊อก บึงสะล็อกก๊อกบางทีมันออกเสียง เป็นบึงสะด๊กก๊ก มันจะมีพวกงูเหลือมอยู่ พอไก่มันดิ้นพั่ด ๆ มันก็เลื้อยปรืดมาถึงก็คว้ามับเลย พอมันขยอกเข้าปากก็ตวัดเบ็ด ฉึบ ! อีคราวนี้ก็เย่อกันเข้าไปเหอะคนกับงูน่ะ ดึงกันไปรั้งกันมา พอคนชนะก็แปลว่าต้องเอาสวะมาครั่งบึงน่ะ งูมันเอาหางพันกอสวะไว้ เย่อ ๆ กันมาลากเข้ามาน้ำบานเลยไปเอาขึ้นมา เขาต้องใช้ตะขอโต ๆ เลย ตะขอที่เขาใช้เกี่ยวกระสอบข้าวพวกนั้นแหละ ไม่งั้นเกี่ยวมันไม่อยู่
ถาม : แล้วเชือกใช้เชือกอะไรคะ ?
ตอบ : เชือกไนล่อนใหญ่ ๆ ไอ้เราเองไม่อยากบอกมัน ปล่อยให้มันเหนื่อย ถ้าหากว่าบอกมัน ๆ หากินง่ายไป ถ้าเป็นเรานะพอมันเกี่ยวติดปากมันแล้ว ไม่ต้องไปออกแรงดึงมันหรอก แค่ดึงเชือกให้ตึงหน่อยแล้วก็เคาะเชือกไปเรื่อย ๆ หาไม้เข้าอันหนึ่งตีไปเรื่อย พอมันกระเทือนแล้วมันเจ็บปากเดี๋ยวมันเลื้อยตาม ถ้าบอกมันแล้วมันหากินง่ายเกินไปก็เลยนั่งเชียร์มัน ให้มันเย่อไปเหอะ กว่าจะได้กวาดสวะไปครึ่งบึงงูมันเอาฟางพันเอาไว้ (หัวเราะ) ก็แบบเดียวกับตกปลาไหลเหมือนกัน ตกปลาไหลนี่ปลาไหลมันคุดอยู่ในดิน นี่ไม่ต้องไปดึงหรอกเสียเวลาเปล่า เบ็ดยืดหมดแหละ มันไม่ยอมออก ใช้วิธีดีด ดีดสายเบ็ด มันเจ็บปากเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ ปล่อยตัวตาม
ถาม : แล้วตอนดึงมันก็เเจ็บหมือนกันนี่คะ ?
ตอบ : มันดึงมันต่างคนต่างออกแรงไง พอก็ยังมีสิทธิที่จะชนะได้ นี่ของเรามันเจ็บอยู่ตลอดเวลา เคาะไปเลย พอมันรู้ว่าผ่อนแล้วมันไม่เจ็บมันก็คลายตามมา ใครดูอนาคอนด้าบ้าง ? อนาคอนด้ามันใช้อะไร ? มันไม่ได้ใช้เบ็ดมั้ง มันใช้ปืนฉมวกนะ
ถาม : ถ้าทั้งตัวเอาไปเลี้ยงได้ทั้งกองร้อยนะคะ
ตอบ : นั่นชาวบ้านเขาล่ากัน ไม่ใช่พวกทหารไปล่าหรอก ทหารมันไม่เสียเวลาไปล่าหรอก ออกไปเหยียบกับระเบิดมันไม่คุ้มกัน
ถาม : ถ้าเอาลูกงูอนาคอนด้ากับลูกงูเหลือมมาเลี้ยงพร้อม ๆ กันมันจะโตเท่า ๆ กันมั้ยคะ ?
ตอบ : มันต้องดูที่อาหารมันด้วย ถ้าหากมีให้มันกินอุดมสมบูรณ์ มันก็โตได้เยอะไม่ต้องห่วงหรอก แต่อนาคอนด้ามันอยู่น้ำมากกว่าอยู่บนบก นาน ๆ มันโผล่ขึ้นบกขึ้นมาซะที มันเท่ากับเป็นงูน้ำน่ะ แต่งูเหลือมของเรามันงูบก ถ้ามันหาอาหารมันก็ลงน้ำหรือถ้ามันร้อนมันก็เลื้อยลงน้ำไปแช่
ถาม : ไปอ่านเจอที่เขาเขียนบักทึกไม่ลับของครูบา เขาพูดถึงอภิญญา เขาบอกว่าไปสงเคราะห์คนใกล้จะตาย แล้วเขาก็บอกว่าคนนั้นน่ะตอนใกล้จะตายเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้ นึกถึงมดดำดินเดินมาเป็นแถวชอบเอามือไปขยี้ ไปรูดเยอะ ๆ ทีเดียวตายเป็นแถวเลยล่ะ แล้วเขาก็ส่งจิตไปสงเคราะห์พ่อเขาก็ผ่านตรงนี้ไป สักพักหนึ่งตัวคนที่ใกล้จะตายเขาก็นึกถึง เขาส่งจิตไปสงเคราะห์อีก เขาก็บอกว่าจิตมันตกภวังค์ อีกสักพักหนึ่งเขาก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย แล้วเขาก็เขียนบอกว่าไปเกิดเป็นอสุรกายนี่โชคดีกว่าไปเกิดเป็นสัตว์ เดียรัจฉานผมก็เลยงง ?
ตอบ : เขาน่าจะเขียนว่าเป็นอสุรกายโชคดีกว่าเป็นสัตว์นรก มันอาจจะผิดมันสลับกัน พ้นจากอสุรกายแล้วเศษกรรมทำให้มาเป็นเดียรัจฉานต่อ ฆ่าไปกี่ตัวก็เป็นเท่านั้นแหละ
ถาม : อสุรกายนี่มันโมทนาบุญได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้อยู่ เพียงแต่มันจะมีโอกาสโมทนามั้ยล่ะ ?
ถาม : ถ้าเป็นสัตว์เดียรัจฉานนี่จะโมทนาได้หรือครับ ?
ตอบ : ทำได้ด้วยซ้ำไป
ถาม : ทำได้ ?
ตอบ : อย่างเอราวัณเทพบุตรโฆษกเทพบุตร ทำบุญเองซะด้วยซ้ำไป เอราวัณเทพบุตรก็ช่วยเขาก่อสร้างเป็นช้างให้เขาชักลากไม้ไปสร้างศาลา อย่างของโฆษกเทพบุตรนี่สงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยระมัดระวังอันตรายสัตว์ร้ายให้ แล้วมัณฑุกเทพบุตรนี่เป็นกบได้ฟังธรรม แล้วก็ค้างคาว ๕๐๐ งูเหลือมอีกนั่นก็ฟังธรรมใช่มั้ย สร้างบุญเองซะด้วยซ้ำ มักกะโฎเทพบุตรนั่น ตกจากต้นไม้ตาย เป็นลิงตกต้นไม้ตายเสียชื่อหมด เอารวงผึ้งไปถวายพระพุทธเจ้า ตอนอยู่ป่าเลไลย์น่ะ เสร็จแล้วพอพระพุทธเจ้ารับก็ดีอกดีใจกระโดดโลดเต้นแล้วดันไปคว้ากิ่งแห้ง เข้า (หัวเราะ) ตกต้นไม้ตาย เสียชื่อจริง ๆ
พวกสัตว์เดรัจฉานนี่โอกาสทำบุญมีเยอะ ไอ้ของคนนี่สิน่าเสียดายโอกาสทำบุญมีมากกว่าสัตว์เดรัจฉานนับไม่ถ้วนแต่ไม่ ค่อยจะทำกันหรอก ฟังเทปหลวงพ่อม้วนท้าย ๆ ไหมล่ะ ? พวกเทวดาใหม่น่ะ ขอให้ทำบุญนั่นทำบุญนี่ให้ หลวงพ่อบอกไม่ทำให้หรอก อีตอนเป็นคนมันเสือกไม่ทำเองนี่หว่า (หัวเราะ) ใคร ๆ ฟังถึงตรงนี้คงว่าหลวงพ่อใจดำเป็นบ้าเลยนะ ความจริงหลวงพ่อท่านประเภทไม่ทำหรอกนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเทศน์ง่ายกว่า (หัวเราะ) ถึงเวลาสงเคราะห์กำลังใจเขาได้เลย
ถาม : อย่างเทวดาหรือพรหมนี่เขามีโอกาสทำบุญอะไรไหมคะ ?
ตอบ : เยอะ จะสร้างเองก็ได้ อยู่ข้างบนก็ถือศีลภาวนาต่อ ศีลทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้วกี่สิกขาบทก็ได้มันไม่ต้องไปละเมิดนี่ ภาวนาก็ทำใจตัวเองตัดกิเลสต่อไป แล้วขณะเดียวกันมีพระดีอยู่ที่ไหนก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรมไปใส่บาตรไปอะไรได้
ถาม : ต้องไปแอบใส่เหรอคะ ?
ตอบ : อาตมาก็เคยโดนเขาแอบใส่แต่อด ตอนเช้า ๆ ก่อนบิณฑบาตก็ใช้กำลังใจดูว่าวันนี้คนที่ใส่บาตรคนแรกจะเป็นใคร มันพิสูจน์ได้ใช่มั้ย ?
ถาม : ...................
ตอบ : ที่ฝึกอยู่หลวงพ่อท่านให้ฝึกในวัดก่อน ท่านบอกว่าถ้าแกอดไม่ได้กินก็ไปกินที่โรงครัวจะได้ไม่อด นั่นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านรอบคอบ ในเมื่อท่านรอบคอบเราก็ฝึกตามวิธีนั้น แต่หลวงพี่สพฤกษ์ ท่านออกป่าเลย ไปอยู่ที่บึงลับแลเลย สอนวิธีสอนอะไรท่านเสร็จท่านก็ไปตั้งอธิษฐานด้วยว่า ถ้าไม่ใช่อาหารที่ใส่ลงไปในบาตรนี้จะไม่ฉันอะไรเลย
นี่ตั้งกำลังใจผิด เทวดาเขาชอบ เขาอยากลองดูว่ากำลังใจมันแค่ไหน ท่านใช้ได้จริง ๆ เลยกำลังใจเข้มมาก เพราะว่าทั้งนมทั้งโอวัลตินตั้งอยู่ใกล้ ๆ ประเคนแล้วด้วย ....ไม่แตะเลย นอนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหายใจพะงาบ ๆ เราก็ ๑๐ วันเข้าไป คนไม่กินอะไรเลย ๑๐ วันมันแย่นะถ้าหากสมาธิไม่ทรงตัว แต่ว่าท่านกำลังใจเหลือเกินจริง ๆ ไปถึงหน้าเหี่ยวเลย เอายาโด๊ปให้เม็ดสองเม็ดมีกำลังขึ้นมาหน่อย เสร็จแล้วก็ให้พวกญาติโยมที่ไปด้วยเขาใส่บาตร ก็ต้องหุงข้าวต้นให้มันเละ ๆ ไม่งั้นฉันไม่ได้นะ อดมาเป็นสิบ ๆ วัน ของทหารสมัยที่ฝึกได้เดทไลน์ เขาทิ้งไว้กลางเกาะร้าง อาหาร ๓ วันหากินเอง มีมีดให้เล่มเดียวกับกระติกน้ำหนึ่ง อยู่ ๓ วันหากินเอง อันนั้นมันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการฝึกจู่โจม จบจากตรงโน้นขึ้นฝั่งปุ๊บให้เราตั้งโต๊ะเลี้ยงเลย มันเล่นให้ไก่ย่างคนละตัว กินกันไม่ได้เลย เสียของเปล่า อ๊วกเลย.. เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหารมาหลายวันเขาเรียกว่าเป็นความคิดของคนบนฝั่งนั่น แหละ คือ ยังไง ๆ มันก็ได้กินแน่ เรากินกันไม่ได้หรอก มันจัดเลี้ยงเราคือเลี้ยงตัวมันเองด้วย
พอขึ้นฝั่งปุ๊บเขาก็จะติดประดับหัวเสือให้ก่อน ไอ้เสือคาบมีดลักษณะเดียวกัน ถ้าอดนาน ๆ แล้วไปกินอาหารแข็งทีเดียวไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่ปวดท้องปวดไส้ ชักไปเลยก็ลมใส่ ดีไม่ดีย่อยไม่ได้ตายเอาง่าย ๆ ไม่ใช่แค่อาเจียนรับไม่ได้
ถาม : แล้วหลังจากนั้น.....?
ตอบ : ก็ต้องให้เขาต้มพวกข้าวต้มเละ ๆ เป็นโจ๊กเลย ใส่บาตรให้เพราะท่านอธิษฐานไว้ว่า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรท่านไม่ฉัน ก็ต้องใส่บาตรให้ท่าน แหม...ให้คนอดมานาน ๆ นี่มันน่ากลัว กินน่าตาย บาตรเบอร์ ๘ ครึ่ง ใส่เสียค่อนบาตร ฉันหมดน่ะ แล้วก็ไปอดต่ออีกอย่างน้อย ๗ วัน ถ้าไม่ใช่ ๗ วัน ๑๐ วันเข้าไปดูเสียทีหนึ่งเห็นแย่มาก ๆ ก็โผล่ไปดูที เป็นอาจารย์ที่โหดใช้ได้ (หัวเราะ)
ถาม : ตกลงได้กินบ้างหรือยัง ?
ตอบ : ไม่ได้กิน ตั้งกำลังใจผิด
ถาม : เป็นยังไง ...?
ตอบ : อยู่ครบ ๓ เดือนไม่ได้กินเลยมีแต่อาหารที่เราให้คนเข้าไปถวายถึงจะได้กิน ตักใส่บาตร ถึงเวลาเดินกลับมา การขอข้าวเทวดากินมี ๒ แบบ แบบหนึ่งนี้เราเลือกต้นใดต้นหนึ่งเป็นการเจาะจงเลย เอาบาตรไปแขวนไว้ แล้วก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขา ถ้าได้ยินเสียงดังกุกเหมือนกับใครเอาอะไรเคาะฝาบาตรล่ะก็... เก็บบาตรกลับได้ จะมีอาหารมาพร้อมกับดอกไม้มาด้วย อีกแบบหนึ่งก็คือกำหนดระยะทางว่าเราจะเดินจากต้นไหนถึงต้นไหน ส่วนใหญ่ประมาณครึ่ง ๆ ทางเขาก็โผล่มาใส่แล้ว มาก็มาลักษณะชาวบ้านทั่ว ๆ ไป กระมอมกระแมมมาโน่นล่ะ
แต่ว่าอยู่อย่างนั้นมันมีอยู่อย่างคือว่า ตัวเมตตาบารมีมันต้องทรงตัว ถึงเวลาแผ่เมตตาและภาวนาต่อจนอารมณ์ทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นไว้ต่อเนื่องให้ได้ ๓ วันห้ามพร่อง ถ้าพร่องไม่ได้รับประทาน ถ้าไม่พร่องเลยก็จะได้เลย ถ้าได้แล้วอย่าประมาทนะ พร่องมื้อต่อไปอด
http://grathonbook.net/book/6.4.html
ถาม : ฝึกเมตตาตัวเดียวเหรอคะ ?
ตอบ : ฝึกเมตตาตัวเดียว แรก ๆ ใหม่ ๆ ฝึกงี้ขำจะตาย แหม... วันแรกมันชุ่มมันเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งไว้ในอก มองฟ้า มองดิน มองจิ้งจกตุ๊กแกยิ้มให้มันได้หมด ไม่รู้จะยิ้มให้ใครเดินไปยิ้มกับถนนก็เอา พอวันที่สองหนักขึ้น ๆ เหมือนยังกับแบกช้างไว้ทั้งตัว วันที่สามนี้ไม่เกินครึ่งวันทะร่อทะแร่เป็นนกปีกหักร่วงแอ้ก ไม่เป็นท่า เอาไปรายงานหลวงพ่อท่านก็หัวเราะ ท่านขำ ท่านบอกอย่าลืมนะว่าถ้าฌานสี่ไม่คล่องตัว ตัวเมตตาบารมีมันทรงยาก เมตตาบารมีใช้กำลังสูงมาก
ท่านถึงบอกว่าให้ในบ้าน ให้ทำในวัดก่อนเราอยู่ตึกกองทุนมันไม่ต้องไปไกล ต้นมะม่วงขึ้นอยู่หน้าตึก หน้าตึกก็มีต้น หลังตึกก็มีต้น เลือกเอาสิว่าจะเอาต้นไป แล้วโรงครัวก็อยู่ไม่ห่างไม่เกิน ๕๐ เมตร อดก็เดินไปโรงครัวก็ได้ แหม.... หลวงพี่ท่านพอรู้วิธีก็ออกป่า...เกือบตาย ๓ เดือนกลับมามีแต่หนังหุ้มกระดูก ท่านถึงได้บอกว่าท่านเป็นหนี้ชีวิตอยู่ไง ไปรั้งชีวิตให้คืน ๗ รอบ ๘ รอบ กว่าจะครบ ๓ เดือน ท่านตั้งใจว่าจะอยู่ให้ครบ ๓ เดือน แล้วก็จะกินแต่อาหารที่เขาใส่มาในบาตรเท่านั้นเอง ในป่าอย่างนั้นถ้าไม่ใช่พวกเราเข้าไปมันจะมีใครไปใส่บาตร นอกจากรอเทวดาเขา
เทวดาตรงนั้นจริง ๆ แล้วเขาให้หวยแม่นนะ สมัยที่อยู่คนเดียว ๒ เดือนกว่าเท่านั้น แรก ๆ ลุงปาน เขาได้รับคำสั่ง เขาไปส่งเสบียง ส่งไปส่งมาก็ขี้เกียจ บางทีก็ ๑๐ วัน ๑๕ วัน ไม่ได้เจอหน้า พอเทวดาเขาบอกหวยเราก็เขียนไว้ เขียนเอาไว้ข้างกองไฟทีนี้ลุงปานมาได้ไปงวดเดียวเท่านั้นแหละ.... ครกกระบากสากกระเบือมันแบกไปให้หมด กระทั่งที่นอนยังแบกไปให้เลย ขยันมากเลยไอ้ตอนไม่ได้หวยนี่ขี้เกียจ (หัวเราะ) งวดสุดท้ายนี่ทะเลาะกับแสงชัย แทบเป็นแทบตาย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ... เขานัดวันที่ ๒๙ ธันวาคม แล้วแสงชัยเข้าไปวันที่ ๓ มกราคม ลุงปานเข้าไปถึงเห็น ๓ ตัวเจ๋ง ๆ เลยเพิ่งออกไป โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงบ่นซะประเภทตั้งแต่เดินไปยันเดินกลับเลย คือ ของแกคล้ายกับว่าบุญแกน้อย ถึงได้สอนไปว่า เรื่องหวยน่ะ มันเป็นผลของการทำบุญที่ไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อนในอดีตส่งผลให้ ถ้าเราทำมากก็ได้มากทำน้อยก็ได้น้อย ให้สังเกตว่าเราเคยเล่นเท่าไหร่แล้วได้ก็อย่าเล่นเกินนั้นมันเกินบุญตัวเอง มันจะไม่ได้
ลุงปานแกเล่นแกจะเล่นล้มเจ้ามือ แกบอกจะเอาให้มันดังสักทีปรากฏว่าตัวไหนแทงไม่เกิน ๕๐ บาทจะถูก คือ แกกลับไปกลับมา ถ้าตัวไหนแทงทีหนึ่งหลาย ๆ ร้อย ยิ่ง ๓ ตัวแทงมัน ๑,๐๐๐ ? ๒,๐๐๐ เลย ไม่ได้กินหรอกสูญหมดแกก็จะไปได้ตัวที่น้อยที่สุด เข้าไปวันนั้นเจอ ๒ ตัวไม่ต้องกลับ โกรธแสงชัยจนทุกวันนี้คุยกันหรือยังไม่รู้ บ่นซะไม่มี... ว่านัดกันวันที่ ๒๙ แล้วทำไมไม่มา
แต่ความจริงแสงชัยไม่มาแกก็น่าจะเข้าไปเอง แกไม่เข้าเองแล้วจะโทษใครล่ะ ? เทวดาเขาก็เหลือร้ายนะเขารู้อยู่แล้วว่าไม่มาเขาก็ให้ ๓ ตัวตรง ๆ ไปแถวนั้นไปไม่ค่อยได้หรอก ขึ้นไปเจอหน้ากันมันแทบจะอุ้มไปเลย เพราะเจ้าที่แถวนั้นเขาเก่งเขาให้หวยบ่อย ไปทีไรมันได้กันทุกที หลวงพ่อท่านห้ามอาตมาให้หวย แต่ถ้าเขาบอกมาแล้ว เราบอกต่อไม่เป็นไร เราไม่ได้ให้ แต่เราแค่เอาจากเขามาแล้วเราบอกต่อ ไอ้ที่ไปใต้ก็เหมือนกัน ให้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าแม่เขาให้เมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าแม่โต๊ะโมะ ให้หวยเก่งแต่ไม่ค่อยให้ใคร
เจ้าแม่ท่านไม่ซี้ซั้ว ท่านต้องรู้วาระเขาด้วยว่ามีบุญหรือเปล่า ? ถ้าวาระของทานบารมีมาสนองยังไงมันก็ต้องได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นี่แกก็เล่นให้หวย งวดแรกก็ถูกกันไป พวกที่ไม่มั่นใจไม่ได้เล่นก็ แหม... อยากจะได้งวดต่อไป พอทุ่มลงไปไม่ถูกเลยสมน้ำหน้า! คุยกันเรื่องอะไร ? เรื่องกินข้าวเทวดาออกไปยันหวยชักจะไปไกล หลวงพ่อท่านห้ามให้หวย ไอ้ตอนที่ให้จริง ๆ มันเกิดจากโยมเยี่ยมแม่ครัวที่วัดที่ให้โยมเยี่ยมเพราะแกมีสัจจะ แกบอกว่าแกอยากได้เงินทำบุญเท่าไร ก็ให้แกไปแกจะมาขอก็ให้แกไปตัวเดียวแกก็ไปเล่นถูกทีหนึ่ง ๒๐๐ - ๒๐๐ มันไม่เยอะหรอก แต่แกได้ถวายสังฆทานแกก็พอใจ เดี๋ยวนี้พอสัก ๒ งวดขึ้นไป คนเริ่มสังเกตไอ้ยายนี่ถูกติดกันนี่หว่า งวดต่อไปมันก็ตาม อาตมาก็บรรลัย ( หัวเราะ) หลวงพ่อท่านบอกว่า รู้ ๆ อยู่ไปบอกเขามันก็เท่ากับไปปล้นเขา ท่านสั่งห้ามเลย ห้ามให้หวยแล้วห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน
ถ้าคนตายมันมาบอกเองนี่ อาตมาจะบอกต่อได้ แต่ถ้าคนตายแล้วมันไม่มานี่บอกไม่ได้หรอก ถ้าคนถามบอกไปเลยว่าไม่รู้ บางทีถ้าถวายสังฆทานอยู่เขามายืน บอกเองเลยว่าเขาตายแล้วเขาไปไหน
มีอยู่เที่ยวหนึ่งพวกออมสินเขามา คนหนึ่งถวายสังฆทานให้ผัว คนหนึ่งถวายสังฆทานให้พ่อ ตายแล้วทั้งคู่ ไอ้ผีก็มาในลักษณะมนุษย์ แก่งั่กมาเลย เอ.. เราก็ว่าต้องเป็นพ่อยายคนนี้แน่ ๆ เลยถามเขาบอกว่าพ่อหน้าตาอย่างนี้ใช่ไหม ? อีกคนบอกไม่ใช่นั่นผัวหนู (หัวเราะ) ใครจะไปรู้ว่าผัวมันแก่ขนาดนั้น แสดงว่าชาติที่แล้วเขาทำบุญด้วยดอกไม้เหี่ยว ไม่ใช่นะคะนั่นผัวหนู.... ว่างี้ ผัวเขาแก่งั่กเลยนะ เราก็ต้องคิดว่าเป็นพ่อของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่แล้ว มันมาแก่ขนาดนั้น ไอ้อย่างนั้นน่ะบอกได้เพราะเขามาเอง แต่ที่เดินมาถามดุ่ย ๆ เลย แล้วผีมันไม่โผล่มายืนยันเลยอันนี้บอกไม่ได้หรอก เพราะหลวงพ่อท่านห้ามไว้ ท่านบอกว่าการบอกว่าคนตายแล้วไปไหนมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย เพราะบางคนทำดีมาตลอดชีวิต แต่ลงนรกเพราะจิตสุดท้ายไปเกาะความเลวเข้า คนทำชั่วมาตลอดชีวิตจิตสุดท้ายเกาะความดีได้ไปสวรรค์ ถ้าไอ้คนทำความดีมาตลอดชีวิตแล้วลงนรก นี่ลูกหลานมันจะมีอารมณ์ทำความดีไหมล่ะ ? ขาดทุนย่อยยับใช่ไหมถ้าบอกเขา ท่านก็เลยสั่งห้าม ท่านบอกถ้าใครถามบอกให้ไปฝึกเอง
ออมสินสำนักงานใหญ่ คุณอัจฉรา ยะธิกุล สามี แหม... แก่เชียว ส่วนจริยา ทำบุญให้พ่อมันแต่งสีกากีมามีขีดด้วยนะ เอ๊ะ ! เราก็เอ๊ะมันชุดอะไรหน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยรู้จักหรอกว่ามันชุดอะไร ก็ถามเขาพ่อเป็นข้าราชการด้วยเหรอ แต่งชุดแบบนี้มาเขาบอก....พ่อเขาเป็นสารวัตรกำนัน เออ...สารวัตรกำนันติดขีดด้วยเหมือนกันนะ ไม่เคยเห็นจริง ๆ นะ ของเรามันชินตากับชุดข้าราชการอำเภอหรือพวกครูอะไรอย่างนั้นใช่ไหม อยู่ ๆ ไปเจอในลักษณะนั้นมันแปลก ๆ ไม่เคยเห็นสารวัตรกำนันมันไม่น่าเชื่อว่าเขาจะให้แต่งเครื่องแบบด้วย เราก็นึกว่ากำนันอย่างเดียวให้แต่งเครื่องแบบ
ถาม : อย่างการที่เราจะอุทิศบุญกุศลให้เขาต้องเกี่ยวเนื่องกับเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านมามันต้องเกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้ว แล้วถ้าหาก ว่าถามใคร เรื่องอะไร หรือว่าขอการสงเคาระห์จากใคร ยึดองค์นั้นไว้เลย อย่าประเภทเปะปะมั่วไป ถ้ามั่วไปเมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องการถามนี่เดี๋ยวโดน เพราะว่าโลกอื่นเขาไม่โกหกกัน เขาว่ากันตรงไปตรงมา ถ้าเราไปถามเปะปะ โดยเฉพาะปัญหาซ้ำซ้อนมันเท่ากับไม่เชื่อถือเขา เดี๋ยวเขาก็หลอกเอา ถามใครต้องถามองค์นั้นตลอด
ถาม : ......................
ตอบ : ถ้าสมาธิละเอียด ๆ นี้ ได้ยินเสียงตัวเองกรนนะ โดยเฉพาะตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไปสติมันรู้อยู่ กรนก็ได้ยินเสียงตัวเองกรน
ถาม : หลวงพ่อหนูทำได้แล้ว
ตอบ : อือม์ ได้แล้วอย่าเพิ่งไปเชื่อมันนะ
ถาม : .......................
ตอบ : เพราะว่ากำลังใจของเรามันมีขึ้นมีลงเป็นปกติ ถ้าได้แล้วไปเชื่อว่ามันดีแล้วเดี๋ยวมันพังก็นั่งร้องไห้อีก ต้องระมัดระวังอยู่เสมอห้ามประมาท
ถาม : ปกติกำลังจะมีขึ้นมีลง ?
ตอบ : ถ้าขาดการทบทวนซ้อมไว้เสมอ ๆ ถ้ามันไม่ใช่อารมณ์ทรงตัวจริง ๆ มันจะเสื่อม
ถาม : ..............................
ตอบ : ถ้าหากว่าทำสมาธิสม่ำเสมอมันก็จะทรงตัวไป มันก็จะก้าวหน้าไป มันก็ไม่แน่ถ้าหากว่ากำลังใจยังเป็นโลกีย์อยู่ บางทีตัวอกุศลกรรมจะตัดมันก็พังเอาดื้อ ๆ ที่เขาเรียกสมาธิตก กำลังใจตก มันก็ฟุ้งซ่านไม่อยากจะทำความดี บางทีก็อยากจะชั่วให้มันสะใจ ทำนองนั้น ฟังว่าเขาทำได้แล้วเราก็โมทนานะ ถ้าเขาพังเมื่อไหร่เราก็คอยประคองไว้แล้วกัน
ถาม : .......( ไม่ได้ยิน)........ถ้าเกิดปัญญายอมรับกันมันก็จะไม่เสื่อม ?
ตอบ : ถ้าวิปัสสนาญาณนี้จะไม่เสื่อม สภาพจิตยอมรับแล้วมันรับเลย
ถาม : ถึงแม้บางครั้งยอมรับแล้วคือหมายถึงว่าเจอยังไง ?
ตอบ : มันจะไม่คัดค้าน มันจะไม่คัดค้านอีก บอกมันว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่มันเชื่อเลย .....( ไม่ได้ยิน)...เป็นไงทิพย์มีอะไรไหม ? รอจนกว่าเขาจะมาใช่ไหม ? เอาเหอะ... รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ ของพรรค์นี้ถ้าต่อเมื่อไหร่ อนาคตมันจู๋มันก็เลยสั้น ก็อย่างทิดฉัตรไง เขาก็คิดว่า เออ.. มันน่าจะทำได้แล้วไง... ท่านนั่งกลุ้มอยู่เรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไรบางอย่างมันก็กระทบกระทั่งกันได้ จริง ๆ แล้วมันน่ากลัว คนมีครอบครัวแล้วโอกาสที่จะดีมันยิ่งกว่าแทงหวยหวังรางวัลที่หนึ่ง คู่ที่เรามันเหมาะสมกันแท้ ๆ เลยบางทีตัววาระกรรมมันเข้ามาก็ทำให้เข้าใจผิดกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะฉะนั้นการมีครอบครัวนี่สำหรับใครไม่ทราบ แต่สำหรับอาตมานี้รู้สึกว่ามันน่ากลัวมากเลย
ถาม : แล้วมันเป็นทุกคู่ ?
ตอบ : มันก็มี ใช่ไหม ? แต่ว่าโอกาสที่วาระกรรมมันเข้ามาสนอง เมื่อโอกาสที่จะทะเลาะกันบ้านแตกก็มีเยอะ เนื้อคู่ที่ศีลเสมอกัน ทางเสมอกันปัญญาเสมอกัน มันหายาก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าบุคคลที่จะครองสุขกันอยู่ต้อง ทานเสมอกัน ศีลเสมอกัน ปัญญาเสมอกัน แบบนี้ วันนี้คุณทรงยศ เขามาเขาปรารถว่า สมัยหลวงพ่ออยู่พาภรรยาไปนะ ภรรยาเขาประเภทที่เรียกว่าไม่ชอบเอาเลย ถึงขนาดคัดค้านกันเลย ก็ตัวเองเคารพหลวงพ่อภรรยาคัดค้านก็เลยทะเลาะกัน จนกระทั่งทุกวันนี้พอรู้ว่าไปวัดก็บ่น ๆ ด่า ๆ ไปเลย แบบนี้ศีลไม่เสมอกัน ปัญญาไม่เสมอกัน ลำบาก
ถาม : หลวงพ่อคะ ปัญญามีอยู่ทางเดียวเหรอคะ ?
ตอบ : ทางโลก ทางธรรม ก็ได้ ให้มันเสมอกันก็แล้วกัน ปัญญาทรงโลกมันก็น่าจะมีนะ รู้ว่าสามีเราชอบอย่างนั้นเราก็อย่าไปคัดค้านสิ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัวก็คล้อย ๆ ตามไปบ้าง พอถึงเวลาเรื่องที่เราชอบเขาก็คล้อยตามมาได้นี่ มันไม่จำเป็นต้องปัญญาทางธรรมก็น่าจะมองเห็น
ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เขาแต่งงาน แล้วถ้าเขาต้องทำบุญกันเยอะ ๆ
ตอบ : ก็โอกาสดีขึ้นก็มี แต่อย่าเผลอนะ มันไม่ได้ทำบุญมาตลอดช่วงบาปมันมี ถ้าวาระบุญมันสะดุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม โอกาสที่บาปมันแทรกมันมี ต้องทำสม่ำเสมอต่อเนื่องไปเรื่อยอย่าเผลอเปิดช่องให้เขา เปิดช่องเมื่อไหร่นี่เจ้าหนี้มาเพียบ มันรายเดียวยังพอจ่ายให้มัน มันมาเยอะเลย แต่สังเกตว่าบางคนพอถึงช่วงตกอะไร ๆ ที่มันไม่ดีมันนะรุมมะตุ้มกันมาเต็มไปหมด ก็คือเขารุมทวงกันทีเดียว มันหนีมานานแล้วไม่ได้เงินต้นเอาดอกก็ยังดี
ถาม : แล้วพวกที่เข้าวัดบ่อย ๆ ก็ยังมีอยู่ ?
ตอบ : มันไปทะเลาะกันหน้าหลวงพ่อก็มี อย่างคู่ที่ชัดที่สุดพี่สาวกับพี่เขย (ของคนถาม) นั่นนะเข้าวัดด้วยกันทั้งคู่ แล้วเสร็จแล้วดูสิว่าเขามีความสุขไหมตอนนี้
ถาม : ........................
ตอบ : มันไม่ตีกันต่อหน้าหลวงพ่อ แต่ว่ายังไงเขาก็ประเภทขัดคอกันอยู่เรื่อย ๆ เสร็จแล้วปรากฏว่าตัวพี่เขยของเจ๊หลิน เขาคนที่ทุ่มเทที่สุดตอนนี้ยังไม่ได้อะไร แต่คนที่พี่สาวที่เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ตลอดเวลาจากการกระทำของพี่เขยไปนิพพานแล้วจ้ะ เห็นทุกข์มากกว่า (หัวเราะ)
ถาม : หลวงพ่อท่าน..........
ตอบ : จริง ๆ ก็คือพี่เขยเขามาก่อน เขาไม่อยากจะแต่งงาน แต่ทีนี้ลูกผู้ชาย... คนจีนด้วยไง เสียพ่อแม่บังคับไม่ได้ แต่งแล้วก็ว่าเจ๊เขาว่าเป็นมารมาขวางความดีเขา ไป ๆ มา ๆ มารกลับอยู่นิพพาน แต่พระยังไม่ได้ไปไหน ( หัวเราะ) ตอนเป็นฆราวาสหัวเราะซะไม่มี มันก็ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องของพี่เขยเขาอย่างเดียว
ถาม : แล้วเมื่อวานตัดสินใจกันไม่ถูกเหรอคะ ?
ตอบ : เขาวางกันไม่ถูก ของเขานั้นมันเกินแต่ของเจ๊ประภา เขาพอดี ระยะหลัง ๆ นี้ถ้าคุยกันถึงเรื่องนี้นึกถึงแกเมื่อไหร่แกนั่งหัวเราะอยู่ข้างบน อั๊วสบายแล้ว... ปล่อยมัน (หัวเราะ)
http://grathonbook.net/book/6.5.html
ถาม : (ไม่มีเสียง)
ตอบ : คุณสุวิทย์เขาค่อนข้างจะขวางโลก เขาเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะดีแล้วถูกแล้ว การกระทำที่มันดีจริง ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ มันต้องสายกลางโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ไอ้นี่ประเภทโลกช้ำไปทั้งแถบเลย แต่งงานไปแล้วแยกห้องนอนเลย ต่างคนต่างอยู่แต่งเอาใจพ่อแม่ คนจีนอยากได้ทายาทสืบสกุล ในเมื่อมันไม่ท้องสักที มันไม่ใช่ปลากัดนี่มองหน้ากันมันจะไปท้อง ก็ด่าใครมันก็ด่าลูกสะใภ้น่ะสิ เจ๊แกเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวัน ไปหาหลวงพ่อกูก็ได้วะ ก็ไป ปรากฏว่าได้ตัวคนที่ทุกข์มานี่มันเห็นธรรมง่ายกว่า สบาย
เรื่องของธรรมะมันเป็นสากล ใครก็ตามที่เห็นตัวทุกข์ก็เห็นธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ารับไปปฎิบัติต่อเนื่องไปอารมณ์ทรงตัวมันก็ได้เลย ส่วนใหญ่พวกเรามันจะเห็นเป็นพัก ๆ ถ้าทุกข์มาก ๆ ขึ้นมากำลังใจดีหน่อย พอความทุกข์เลยไปก็เริ่มเละใหม่ มันทำไม่ต่อเนื่อง การปฎิบัติทุกอย่างทั้งทางโลก ทรงธรรมถ้าขาดการต่อเนื่องผลงานจะไม่ดีโดยเฉพาะเรื่องของทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องกำลังของอกุศลกรรมมันแทรกได้เมื่อไหร่นี่ตีคืนยากแล้ว เหนื่อยสาหัสเลย
ลองดูเถอะหลายต่อหลายคนที่ต้องทิ้งกำลังใจมันขาดช่วงจากความดีไป กว่าจะตะกายให้มันกลับมาดีเท่าเดิมให้นี่ ก็สาหัสแล้วไม่ต้องไปหวังดีกว่าเดิมหรอก มันปล่อยให้ลอยตามน้ำมาเยอะแล้ว มันต้องว่ายตามน้ำขึ้นมา มันเหนื่อยแค่ไหนล่ะ ? เพราะฉะนั้นต้องทำให้ต่อเนื่อง
คุยกับคุณทรงยศ เมื่อเช้าถึงได้บอกว่าของเรานี่มันโชคดี บังเอิญว่ามันหนีไปอยู่สม่ำเสมอ ต่อให้คนมันด่าแค่ไหน ถ้าเราจะทำก็ทำของเราไปเรื่อย โดยเฉพาะตอนเป็นนักเรียนทหาร เวลามันน้อยมากเลยตื่นตีห้านอนสามทุ่ม สี่ทุ่มปลุกไปฝึกนอนสีสองตีสามเราต้องลุกมาภาวนา เรารู้ว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนน่ะดี เราต้องทำให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อารมณ์ใจมันถึงได้ทรงตัว คุณทรงยศ เขาปรารภว่าระยะนี้กำลังเขาแย่มาก ก่อนหน้านี้เมียบ่นไม่โกรธ ตอนนี้โกรธตั้งแต่ไม่ทันจะบ่นแล้วล่ะ
ถาม : ..........(ฟังไม่ชัด)..........
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอกกินเยอะมันก็หลับเป็นธรรมดา เลือดมันไปเลี้ยงกระเพาะนี่ เลือดมันลงไปที่กระเพาะเพื่อไปย่อยอาหารมันทำให้เลือดที่เลี้ยงสมองน้อย มันจะทำให้ซึมหลับ เดี๋ยวพอมันย่อยหมดเดี๋ยวก็ตาใส กินใหม่
ถาม : ฝึกกรรมฐานในทางพุทธ มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานมั้ย ? เขาบอกเขามีคนหนึ่งเขาเปิด...(ฟังไม่ชัด ) ... อีท่าไหนเขาบอกเขาถอดจิตมาเป็นเสือดาว เอ้ย ! เป็นเสือดำอะไรสักอย่างที่เขาบอกแปลก ๆ อยู่นะ
ตอบ : พวกนั้นไม่แน่เหมือนกัน เพราะว่าทางด้านเขมรเขาก็มี ปัจจุบันนี้ยังมีอยู่นะ แต่ไม่แน่ว่าท่านไปไหนแล้ว ทางด้านเหนือมีครูบาอยู่องค์หนึ่ง เรียนวิชาจากเขมร หัวใจเสือสมิงเหมือนกัน ขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำกับแรม ๑ ค่ำ ๓ วัน เขากลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นครูบาองค์นี้ท่านต้องหนีไปอยู่ไกล ๆ ตามถ้ำตามอะไร ห่าง ๆ หมู่บ้านหน่อย คือพอชาวบ้านเขารู้ว่าอยู่ตรงนั้น ๆ เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าหากว่าจะถึง ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๑ ค่ำ นี่ต้องหนีก่อนกลัวว่าปุ๊บปั๊บเป็นขึ้นมาเดี๋ยวไปทำร้ายชาวบ้านเขา
ถาม : แล้วเขาบังคับตัวไม่ได้ ?
ตอบ : บังคับไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นนี่ จิตใจมันก็เป็นสัตว์ไปเลยล่ะมันต้องหากินตามแบบของเขาไปเลย
ถาม : ก็เขาเป็นสัตว์แล้ว เขารู้มั้ยว่าเขาเป็นคนมาก่อน ?
ตอบ : ไม่ เขาบอกว่าความรู้สึกมันไม่มีเลย มันเป็นความรู้สึกของสัตว์เดรัจฉาน หิวขึ้นมาก็ล่าเลยอย่างนั้น เขาบอกว่าเขาเองเขาคิดผิดที่ไปเรียนวิชาพวกนี้ไว้ มันกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานวิชาอันตรายมาก
ถาม : เลิกไม่ได้ ใช่มั้ย ?
ตอบ : เลิกไม่ได้มันติดตัวไปเลย อันนั้นน่ะอาจจะเป็น ก็มันมี ๒ อย่าง คือ พวกที่ฝึกวิชานี้มาเกี่ยวกับน้ำมันเสือสมิง หัวใจเสือสมิงอะไรพวกนั้น มันสามารถแปลงเป็นเสือได้
ถาม : เพราะว่าเห็นเขาบอกว่า ตั้งแต่เจอมานะ คิดว่าไม่.....( ฟังไม่ชัด)...ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานนะตั้งแต่เห็นมา
ตอบ : ก็ ที่มีอยู่เหมือนกัน หลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่จาด แปลงร่างเป็นเสือไปทดสอบกำลังใจหลวงพ่ออย่างนี้ทำได้
ถาม : แต่ที่ฝึกปฎิบัติมัน.......
ตอบ : ไอ้ฝึกปฎิบัติให้เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่แน่
ถาม : ......(ฟังไม่ชัด)........ ว่ามันไม่ใช่ก็เลยบอกเขาบอกว่าเคยเห็นนะ เขาบอกเนี่ยเขาเปิดหนังสือให้ดู เขาบอกเหรอแต่เราไม่เคยเห็น
ตอบ : บอกเขาว่าระวังไว้ อันนั้นถ้าหากว่าฆ่าคน ไม่สามารถกลับคืนเป็นคนได้อีกเลย กลายเป็นสัตว์ตลอด
ถาม : เขาบอกว่าอะไรนะ ปู่หรืออะไรคนเนี้ย เขาบอกเขาถอดจิตเป็นเสือได้ เขาบังคับวิ่งไปวิ่งมาได้ แต่....(ฟังไม่ชัด)....เขาไม่เห็น
ตอบ : ทางใต้เนี่ย ....(ฟังไม่ชัด) ... เคยได้ยินไหมเรื่องของตาหลวงรอด ตาหลวงเดช ปัจจุบันนี้จะเป็นเจ้าที่ที่มีชื่อเสียงมาก จำไม่ได้อยู่แถวนครหรืออะไร นั่นก็ฝึกวิชานี้แหละ แล้วก็กลายเป็นเสือไป คราวนี้ตาหลวงรอดนี่พอรู้ตัวว่าตัวเองจะเป็นเสือ ก็ออกไปปลูกกระต๊อบอยู่ในป่าให้ลูกสาวไปส่งอาหาร พอถึงเวลาลูกสาวเรียกก็ เออ ๆ วางไว้นั้นแหละ จนกระทั่งวันหนึ่งลูกสาวทนคิดถึงพ่อไม่ไหว เป็นเดือนเป็นปีไม่เห็นหน้าเลย พ่อเอื้อมมือมารับของสักหน่อยก็ยังดี เอื้อมมือออกมาเป็นเล็บเสือ
ถาม : แต่พูดภาษาคน ?
ตอบ : ยังประเภทที่เรียกว่า แกยังรักษาสติสัมปชัญญะของคนอยู่ได้ ก็คงจะเป็นลักษณะว่ามันยังมีส่วนของร่างกายที่เป็นคนอยู่
ถาม : แล้วของแกนี่แปลงร่างเฉพาะวัน หรือ...( ฟังไม่ชัด)....?
ตอบ : ก็คงจะเป็นตลอด ก็ฝรั่งเขาที่ก่อนหน้านี้ทาง ....( เสียหาย).... พรานฝรั่งเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องคนกลายเป็นเสือสมิงนี่แหละ พวกข้าหลวงอังกฤษที่สมัยก่อนปกครองมลายูอยู่ เขาบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่ามีคนที่สามารถกลายร่างเป็นเสือได้
พวกอิสลามเขาฝึกวิชาพวกนี้อยู่ เขาบอกว่ามีเสือเข้ามากินวัวชาวบ้านอยู่เรื่อยแล้วมันฉลาดเหมือนคน ไม่ว่าจะติดกับดักล่าอีท่าไหนก็ตามมันหลบหลีกได้หมด แล้วเอาวัวไปกินประจำเลยข้าหลวงอังกฤษนี่แกก็เลยรับอาสาไป อาวุธแกดีด้วย แกก็ไปซุ่มอยู่ในกระต๊อบ ตรงกระต๊อบมันมีหน้าต่างมองออกไปมันจะเห็นวัวที่ผูกเอาไว้ ปรากฏว่าพอได้ยินเสียงวัวดิ้นแกก็ส่องไฟไป แกบอกว่าแกเห็นชาวอิสลามคนหนึ่งนะ เล็บเป็นเสือตัวมีลายเสือแต่ว่าร่างยังเป็นของคนอยู่ แล้วก็เขี้ยวยาวมากเลย กำลังตะปบกัดวัวอยู่ พอแกส่องไฟไปก็หันมาประประเภทว่าคงร้องด้วยความโกรธ เลยเห็นชัด ๆ ว่าหน้าเป็นคนอยู่แต่ว่าส่วนอื่น ๆ เป็นเสือแล้ว แล้วเขาก็กระโดดเข้าป่าหายไปไม่ทันยิง มัวแต่ตะลึงอยู่
แล้วมาตอนหลังพอเอาวัวไปดักในป่ายิงได้นั้นเป็นเสือทั้งตัวอยู่แล้วเลยไม่ มั่นใจว่าเป็นคนคนนั้นหรือเปล่า แต่ว่าเขาบอกว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสือที่อาละวาดกินวัวตัวนั้นก็หายไป มันอาจจะรู้ตัวแล้วมันหลบไปอยู่ที่อื่น หรือว่ามันโดนยิงตายไปจริง ๆ ก็ไม่รู้
ถาม : ถ้าเกิดว่าเขายิงได้ตอนกำลังครึ่งคนครึ่งเสือเนี่ย พอเขาตายไปแล้ว เขาจะเป็นของสภาพไหน ?
ตอบ : ก็อย่างคุณสังคีตเขาเล่าให้ฟัง นั่นทางเหนือ แม้ว ครอบครัวหนึ่งพอตัวตายนี่รีบเอาไปฝังเลย ไม่มีการจัดงานศพ ไม่มีการอะไรเลย ปกติพวกแม้วเขาจัดงานศพหลายวัน ลักษณะคนจีน ไปฝัง เสร็จแล้ว แม้ว ๒ แม่ลูกก็อพยพไปอยู่ที่อื่น
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสืออาละวาดไปกินสัตว์เลี้ยงชาวบ้านเขา เขาตามลอยไป ก็ไปถึงหลุมศพแม้วนั่นน่ะ แล้วมันมีรอยกว้างชนิดที่ว่าคนมุดเข้าไปได้อยู่ เขาเลยเอาหน้าไม้ผูดเชือกยิงเข้าไป พอชักเข้ามามันมีเลือดติด แต่ว่ามันไม่มีเสียงเสือไม่มีอะไร เลยพร้อมใจกันขุดขึ้นมา ปรากฏว่าไอ้นั่นมันเป็นคน แม้วคนนั้นแหละแต่ว่ามือเท้าเป็นเสืออยู่ แล้วยังมีหางอยู่หน่อยหนึ่ง เขาก็เลยช่วยกันเผาทิ้งไปเลย
ถาม : อ้าว แล้วตายมันตายยังไม่รู้เลยตายจริงหรือตายปลอม ?
ตอบ : ก็ แสดงว่าตัวเมียเขาต้องรู้อยู่แล้วว่าผัวมีสภาพอย่างนี้ พอตายปุ๊บเขารีบฝังไปเลย
ถาม : แต่ตอนนั้นที่ตายจริงน่ะสิ
ตอบ : ตายแล้วร่างคนน่ะตายแต่พวกได้มหิทธิกาเปรต หรือไม่ก็กาลกัญจิกอสุรกาย มันแฝงร่างหากินต่อ อันตรายเหมือนกัน เรื่องโลกจิณไตย ถ้าหากว่าพูด ๆ ไปนี่ก็ประสาทกินเหมือนกัน มันไม่น่าจะเป็นไปได้แต่มันก็เป็นไปได้ ?อจิณไตย? พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรคิดไม่ควรไปหาเหตุผล ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า มันเสียเวลากับการปฎิบัติ
ถาม : เรื่องของอะไรที่มันแปลก ๆ ไม่สามารถเจอได้ในโลกเนี่ย
ตอบ : เยอะ
ถาม : มันมีเยอะมากเลย ?
ตอบ : กรรมวิบาก โลกจิณไตย มันสารพัดสารเพเลย วิบากกรรม ถ้าทำเอาไว้มันปรุงแต่งออกไปพิลึกพิลั่น พิสดารกว่าที่เราคิดเยอะ ได้ดูไอ้นั่นไหมล่ะ ? หมาตัวหนึ่ง หูมันเหมือนหมี หูมันกลม ๆ แล้วก็หางเป็นกระรอก อย่างกับหมาตุ๊กตาเลย
ถาม : มีจริง ๆ ?
ตอบ : มีจริง ๆ เขาเจอมัน เจ้าของน่ะเจอ เป็นหมาที่เรียกว่า จรจัดเห็นมันโทรมมาก ขับรถไปเจอก็เลยอุ้มขึ้นรถมารักษา จนกระทั่งหาย ขนสวยขึ้นมา ถึงไปเห็นว่ามันน่ารักขนาดนั้น หูมันกลม ๆ กลมบ๊องเลย แล้วก็หางเหมือนกระรอกแต่มันเป็นหมา เขาบอกว่ามันน่าจะมีเชื้อสายของพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ ที่เป็นหมาเล็ก ๆ
ถาม : เชื้อแม่มันเป็นชู้กับกระรอก (หัวเราะ)
ตอบ : เสร็จแล้วเขาเอาไปไว้ในกองตุ๊กตาแล้วถ่ายรูปมา คนบอกไม่ได้ว่าตัวไหนเป็นตัวหมาตัวไหนเป็นตุ๊กตา เอาลักษณะส่วนหัวมันเหมือนตุ๊กตาหมี แต่หางมันเป็นกระรอก
ถาม : แปลว่ากรรมพันธุ์เหรอ ?
ตอบ : ใจมันจะต้องไปฝังอยู่ ไอ้แม่หมาตัวนั้นมันต้องฟุ้งซ่านถึงหมีหรือกระรอกตอนคลอดลูก (หัวเราะ)
ถาม : ดีนะเขาไม่จับมันไปดอง
ตอบ : ก็มันยังเป็น ๆ อยู่นี่ถ้าตายมันคงโดนผ่าพิสูจน์แน่เลย แต่ความจริงมันพิสูจน์ พวกยีนส์ พวก DNA อะไรมันน่าจะรู้ว่ามันเป็นอะไรแน่นะ
ถาม : นักวิทยาศาสตร์ก็คงตามอะไรไม่ทันหรอกค่ะ
ตอบ : จะไปตามทันอะไร มนุษย์หิมะมันยังหาไม่เจอเลย ทั้ง ๆ ที่ว่ามีเป็นฝูง
ถาม : เขาหาไม่เจอเพราะว่าพวกนี้เขาหนี หรือว่าไปไม่ถูกกัน ?
ตอบ : เขาไปไม่ถึง พวกนี้เขาจะอยู่อย่างของทิเบต เขาจะอยู่แถวปากปล่องภูเขาไฟเก่า มันจะมีความร้อนเหลืออยู่ ทั้ง ๆ ที่รอบข้างเป็นทุ่งหิมะไกลสุดลูกหูลูกตา แต่บริเวณนั้นจะเป็นบริเวณอบอุ่น แล้วถ้าพวกผลไม้พวกต้นไม้ขึ้นงามมากเลย
พวกพระทิเบตที่เขาศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรเขาจะรู้เพราะว่าเขาไปเก็บสมุนไพร บ่อย แล้วพวกนี้ เขาก็คบกับคนอย่างลักษณะว่าผูกมิตรดี อาจจะเป็นพวกพระมีความเมตตาอยู่เป็นปกติหรือยังไงไม่รู้ ถึงเวลาไป บางทีสมุนไพรมันเก็บยาก มันอยู่ทางปากเหว หมิ่นแหม่ พวกนี้เขาปีนคล่องกว่าเขาก็เก็บให้ เขารู้ว่าจะเอาประเภทไปจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ใบ้ไปใบ้มาเดี๋ยวเขาก็เก็บมาให้
ถาม : เขาคงแปลกใจที่มีพระไปเก็บ ไม่มีพระไปเก็บนานแล้วนะ
ตอบ : พระเขาก็ไปกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเองเขาก็คล้าย ๆ กับว่ามันไม่มีหน้าที่ไปเล่าให้ใครฟัง ยกเว้นว่าเออ ไปถามตรงตัวก็แล้วไปถ้าไม่ตรงตัวเขาก็ไม่ไปนั่งโพนทะนาหรอก
ถาม : มีสักกี่องค์ที่จะกล้าเขียนแบบ ลืมชื่อไปแล้ว ท่านอะไร ?
ตอบ : ล็อบซัง ลัมปา หนังสือเล่มนั้นอ่านตั้งแต่ป. ๒ นะ แล้วแปลใหม่ ๆ นี่ เป็นอะไร The??third?eyes?ตาที่ ๓ มาไอ้ชุดใหม่มันแปลเป็นอะไร โอมมณีปัทเมหุม ใช่ไหม ? เล่มเดียวกันเลย นั่นอ่านตั้งแต่ ป. ๒ ในสมัยที่ตะลุยอ่านหนังสือให้หมดทั้งห้องสมุดน่ะไปเจอเข้า
ถาม : วัฒนธรรมพวกนี้ ยังมีเหลืออยู่มั้ยที่ทิเบต เขาเขียนว่าตำรายาเขาดีพวกนี้
ตอบ : วิทยาการพวกนี้มันก็สืบทอดมาเรื่อย แต่ว่ามันเสื่อมไปตามยุคตามสมัยเพราะคนที่จะศึกษารู้จริงมันน้อยไง
ถาม : เพราะว่าคนทำตาที่ ๓ ได้ มันมีแค่บางคนเองมั้ง อยากเห็นของจริงจะเป็นยังไง คงเป็นเหมือนแผลเป็นแน่เลย
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ฟังดูวิธีการแล้วมันหวาดเสียว เขาสร้างดวงตาที่ ๓ ด้วยการเอาสว่านไชตรงหน้าผากเข้าไปถึงไอ้โพรงอากาศอะไร โพรงไซนัสมันน่ะ เสร็จแล้วก็ฝังสมุนไพร
ถาม : ..........(ฟังไม่ชัด).........
ตอบ : ก็ไทยมหารัฐประเทศของเราก็จะเริ่มกว้างขึ้น
ถาม : เป็นระบบสาธารณรัฐ ....(ฟังไม่ชัด)....
ตอบ : ก็แล้วแต่ว่าเราจะปกครองระบบไหนล่ะ เกิดมีใครเขามาพึ่งพิงขอร่วมไพบูลย์ด้วยก็รับเขาเอาไว้ก็แล้วกัน ประเทศจะใหญ่ขึ้นเรื่อยไหม ? โกหกมั้ง ? กัดฟันอยู่อีกสัก ๒ รัชกาล เดี๋ยวก็ได้เห็นเอง คนอื่น ๆ เขายังอยู่ได้ตั้ง ๔ แผ่นดินเนอะ แต่ถ้ามันอยู่แผ่นดินรัชกาลที่ ๕ นี่แผ่นดินเดียวก็ปางตายแล้ว ๕๐ กว่าปี (หัวเราะ) ที่พูดถึงรัชกาลที่ ๙ เผลอไป รัชกาลที่ ๕ นั่นเท่าไร ๔๒ ปี
ถาม : รัชกาลที่ ๙ นี่น่าจะ ๖๐
ตอบ : ก็กำลังลุ้นอยู่ให้ท่านอายุถึง ๘๓ ปี ก็เท่ากับว่าท่านต้องครองราชย์เท่าไหร่ล่ะ ? ๖๔ ปี เพราะท่านครองตั้งแต่อายุ ๑๙ นี่
ถาม : ไม่มีใครลบสถิติได้
ตอบ : ก็ไม่แน่เหมือนกัน สมัยพระบรมไตรโลกนาถเท่า ไหร่ ? ๓๐ ปี ใช่ใหม ? รัชกาลที่ ๕ ท่านก็ลบสถิติไป พอรัชกาลที่ ๕ ท่านครอง ๔๒ ปี ใคร ๆ ก็ไม่มีคนลบสถิติได้ รัชกาลที่ ๙ ท่านก็ลบได้ อย่าลืมนะบางช่วงนี่คนจะอายุยืนมากนะ บางช่วงก็อายุเป็นหมื่นปีอย่างนี้น่าจะทำลายได้
ถาม : ก็คงไม่ใช่ในอีก ๒ รัชกาล
ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ว่าราชวงศ์จักรีของเรานี่มีเป็นร้อยรัชกาลไม่ต้องห่วง
ถาม : อ๋อ จะมีเป็นร้อยเหรอคะ ?
ตอบ : มีเป็นร้อยรัชกาลเลย
ถาม : แล้วอีก ๒ รัชกาลนี่สักกี่ปี ?
ตอบ : อันนี้เป็นนิทานโกหก ถ้าใครอยากรู้ว่าจริงไหม ต้องอยู่ดูสิว่าจะมีเป็นร้อยรัชกาลจริงหรือเปล่า
ถาม : แล้วจะสืบต่อยังไง ?
ตอบ : ถึงเวลาก็รู้เองแหละ ก็อย่าไปกังวลสิ
ถาม : อยุธยานี่มีกี่รัชกาลคะ
ตอบ : อยุธยามี ๓๓ มั้ง ๔๐๐ กว่าปีใช่มั้ย ๔๑๗ ปี
ถาม : จะมีตั้งหลายราชวงศ์อยุธยา
ตอบ : ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์สุวรรณภูมิ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ก็อย่างพระเจ้าทองล้น ๗ วันเอง พระยอดฟ้ากี่ปีเอง ไม่ถึงปีมั้ง ที่โดนขุนบรมวงศาธิราช จับปลงพระชนม์ แล้วแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มาว่าราชการแทน ไอ้คำว่าแม่ยั่วเมืองน่ะ สมัยก่อนมันมาจากคำว่า ?แม่อยู่หัวเมือง? แล้วเสร็จแล้วมันก็เลยกร่อนลงมาเหลือแค่แม่หยั่วเมือง ไอ้สมัยใหม่มันอ่านเป็นแม่ยั่วเมือง กลายเป็นไม่ดี สมัยก่อนเขาหมายถึงผู้หญิงที่ครองเมือง
http://grathonbook.net/book/6.6.html
ถาม : ประวัติศาสตร์จีนอย่าง บูเช็กเทียนนี่ เขาครองราชย์ความสามารถในการครองประเทศเป็นยังไงบ้าง ?
ตอบ : มหาเสนาบดีเก่ง
ถาม : เป็นเพราะว่ามีคนดีหรือว่าไม่ใช่ความสามารถส่วนตัว
ตอบ : ก็ต้องใช้คำว่านายกรัฐมนตรีดี ก็คือว่า เต๊กยิ่นเกี๊ยดนี่ เขาจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ซื่อสัตย์แล้วตรงไปตรงมา ขนาดจักรพรรดิณีท่านเกรงใจ จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างของเต๊กยิ่นเกี๊ยดนี่มันจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
เรื่องเกี่ยวกับอธิษฐานบารมี เต๊กยิ่นเกี๊ยด เขาจะโดนประหารชีวิต ก็อธิษฐานว่าถ้าเขาไม่ผิด ขอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก มันจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ มันจะเกิดเป็น มิราจภาพลวงตา หรือบังเอิญมันจะมีฝนอะไรตกทางด้านนู้นแล้วมันจะสะท้อนเงาพระอาทิตย์ อะไรก็ตามก็ไม่รู้แต่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เขาก็เลยต้องปล่อยขนาดธรรมชาติช่วยขนาดนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องอธิษฐานบารมีนี่ล้อเล่นไม่ได้นะ บุคคลที่กำลังบารมีเขาถึงนี่ เขาทำได้จริง ๆ
ถาม : ขออะไรก็จะได้ ?
ตอบ : ขออะไรก็เป็นไปตามนั้น แต่ว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องของผิดศีลผิดธรรม เขาซื่อสัตย์มาตลอด ไม่เคยทำผิดเลย จนกระทั่งตอนหลังได้แต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดี บูเช็กเทียน นี่เขาเป็นคนที่ใช้คนเป็น นอกจากท่านจะมีความสามารถ ในการปกครองแล้วยังใช้คนเป็น คนไปตำหนิท่านว่าผัวเยอะ แต่ว่าไม่เข้าใจความคิดของท่าน ท่านเห็นว่าฮ่องเต้ยังมีนางสนมตั้ง ๓,๐๐๐ น่ะ ท่านเอง ก็เท่ากับว่าเป็นฮ่องเต้ผู้หญิง มันก็ต้องมีบ้าง ท่านก็เลยคัดผู้ชายไปเป็นสนมเหมือนกัน
คนสมัยใหม่นี่มันเล่นเอาศีลธรรมจรรยาของสมัยนี้ไปวัดเขา มันจะไปอะไรได้ล่ะ ของเขา เขาก็แสดงออกถึงพระราชอำนาจ ซึ่งความยิ่งใหญ่ของท่านใช่ไหม ? ท่านก็ทำเป็นปกติ อย่าลืมว่าแผ่นดินสมัยบูเช็กเทียนนี่ จีนนี่เจริญรุ่งเรืองมากเลยนะ ขนาดต่างประเทศยอมรับ เขาไม่เก่งจริงเขาคงทำไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างนี่มหาเสนาบดีดีด้วย ซื่อสัตย์มาก ตรงไปตรงมาทุกอย่าง เชื้อพระวงศ์ทำผิดยังโดนลงโทษเท่ากับคนสามัญนะ แล้วโดยเฉพาะมันมีอยู่รายหนึ่ง เป็นนักบวชแล้วก็เป็นชู้ลับ ๆ กับบรรดาผู้มีอำนาจ แล้วไม่สามารถที่จะไปปิดบังความชั่วของตัวเองได้ก็แอบจับผู้หญิงที่ไปทำบุญ ไหว้พระที่วัดของตัวเองไปขังห้องใต้ดินไปข่มขืน
พอท่านสอบสวนไปถึง สั่งประหารเลยไม่เกรงใจ เป็นเราสมัยนี้กล้าแตะมั้ยล่ะ ? พอบอกสมบัติบิ๊กจ๊อดนี่ไม่มีใครกล้าหือ .....(หัวเราะ) ของเขาตรงไปตรงมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก
ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดต้องอ่านในเรื่องบูเช็กเทียน หรือไม่ก็อ่านประวัติศาสตร์จีนทีละช่วงก็ได้ อย่าง น่ำซ้อง ปักซ้อง ตังฮั่น ไซฮั่นหรือว่า ซ้องกั๋ง อะไรพวกนั้น ซ้องกั๋งนี่มันเกี่ยวกับ ๑๐๘ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ต้นราชวงศ์ซ้อง ก็ยังแบ่งออกเป็นราชวงศ์ซ้องฝ่ายเหนือ ราชวงศ์ซ้องฝ่ายใต้มีการย้ายราชธานี ตั๋งฮั่น ไซฮั่น ก็ประเภทตะวันออกตะวันตกของคนจีนเขาสืบทอดมาหลาย ๆ พันปี
ถาม : แล้วจะกลับไปสู่ระบบจักรพรรดิอีกทีรึเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ต้องลองดู ถ้าอยู่ถึง อย่างสมัยของเหมาเจ๋อตุง หรือว่าเติ่งเสี่ยวผิง เขาลักษณะเป็นจักรพรรดิกลาย ๆ อยู่ดี บัญชาการได้หมด
ถาม : มิน่าพระมหากษัตริย์จีน เขาถึงเรียกว่าจักรพรรดิ เพราะมันใหญ่ดี
ตอบ : น่าจะให้เขา จักรพรรดิจีนนี่ถือว่ามีความสามารถมากที่สุด
ถาม : แล้วอย่างไซซีกับหย่างกุ้ยเฟยล่ะครับ ?
ตอบ : ทำไม ? หยางกุ้ยเฟย ไซซีอันนี้มีตัว จริง จริง ๆ แล้วสมัยนั้นผู้หญิงไม่สามารถที่จะต่อรองอะไรได้เลย ต้องพึ่งพิงผู้ชายโดยตลอด ก็เลยเหมือนกับสมบัติชิ้นหนึ่งจะยกให้ใครก็ได้ โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเจ้าของจะยกให้ใครก็ต้องตามเขาไป ดู ๆ แล้วน่าสงสารหยางกุ้ยเฟยนี่อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เป็นพระสนมท่านใช้เสน่ห์ความงามของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ก็เลยสามารถผูกมัดใจฮ่องเต้ได้ แต่ว่าฮ่องเต้เองก็ขาดสติไปลุ่มหลงมัวเมาอยู่จนกระทั่งไม่ได้ว่าราชการ เรื่องมันก็เลยปั่นป่วนวุ่นวายกันไปหมด ก็เขาบรรยายความงามของไซซีว่า นกบินอยู่ถ้าเห็นก็ตกเลยปลาว่ายน้ำอยู่ก็จมป๋องไปเลย
ถาม : แล้วมาสิ้นสุดที่ราชวงศ์ถัง ?
ตอบ : ราชวงศ์ถัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ สมัยนั้นทั้งทางโลก ทางธรรมเจริญมาก แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ที่สุด กว้างกว่าปัจจุบันนี้เยอะ
ถาม : สมัยของมองโกล ที่เจงกิสข่านตีไปถึงยุโรป แล้วไม่ใหญ่กว่าหรือครับ ?
ตอบ : อันนั้นมันการศึกการสงคราม ไม่ได้หมายความว่าศาสนาจะรุ่งเรือง สมัยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้นี่สมัยที่พระถังซำจั๋งไปอาราธนาพระไตรปิฎกจากอินเดียไง ศาสนารุ่งเรืองมาก สร้างวัดซะจนเป็นพัน ๆ วัดเลยล่ะ โดยเฉพาะวัดม้าขาว ที่สร้างถวายบูชาโดยเฉพาะ สร้างถวายพระถังซำจั๋ง เป็นวัดใหญ่ที่สุดในนครลกเอี๋ยงน่ะ สมัยนั้นลกเอี๋ยงนี่ภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า ?ลั่วหยาง?
ถาม : พระถังซำจั๋งนี่มีตัวจริงหรือคะ ?
ตอบ : มีจริง ๆ พระถังซำจั๋งนี่แหละมั้งที่เขียนถึง ใช่รึเปล่า ที่เขียนถึงเกี่ยวกับเรื่องไชยา อาณาจักรศรีวิชัยของไทยเรามีอยู่ในบันทึกการเดินทางของท่านด้วย
ถาม : แต่ว่าไซอิ๋วจริง ๆ แล้วเนี่ยเขาเอาประมาณการโม้ต่อ
ตอบ : มันก็ลักษณะเดียวกับสามก๊กไง สามก๊ก มันก็มีแต่แต่งเติมไปอะไรเข้าไป
ถาม : แสดงว่าไม่มีขงเบ้ง ?
ตอบ : มีแต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกเรา ก็ประเภทที่ว่าขงเบ้งเป็นพระเอกไง ลองนึกดูว่า ถ้าเราเป็นโจโฉล่ะ ยกพวกไป ๗๕ หมื่นเหลือกลับมา ๓๐ เนี้ย ๗๕ หมื่น ๗๕๐,๐๐๐ คน มันตายไป ๗๔๐,๐๐๐ กว่าเหลือมา ๓๐ เป็นเราไหวมั้ยล่ะ ตายกันทีขนาดนั้น เราก็ต้องว่าขงเบ้งนี่โหดสุด ๆ เลยใช่ไหม ?
ถาม : ข้าศึกจำนวนเท่าไหร่คะ เหลือกลับไปแค่นั้น
ตอบ : ข้าศึกจำนวนเท่าไหร่ ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ขงเบ่งเขาใช้ภูมิประเทศ ใช้ดิน ใช้น้ำ ใช้ลม ใช้ไฟช่วย โดยเฉพาะไฟเผาสังหารข้าศึก
ถาม : ผมสังเกตว่าหลวงพี่ก็อ่าน ...(ฟังไม่ชัด) ... หลวงปู่มั่น ท่านทำ.....(ฟังไม่ชัด)...จริง ๆ มั้ยครับ ?
ตอบ : ทางสายอิสานที่ต้องปฎิบัติลำบากเราต้องดูด้วยนะลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะการทำมาหากินของทางสายอิสานนี่จะลำบากมาก ยิ่งสมัยก่อนที่การชลประทานยังไม่เหมือนสมัยนี้ มันแห้งแล้งจริง ๆ การต่อสู้ดิ้นรนเขาต้องมากกว่าปกติ กำลังใจเขานี่จะเข้มแข็งมาก ถ้าไม่ได้เจอทรมานมาก ๆ นี่จะเอาไม่ลง
ดังนั้นสายหลวงปู่มั่นถึงได้ถนัดเกี่ยวกับธุดงควัตร บางคนบอกว่าธุดงควัตร ๑๓ ข้อของพระพุทธเจ้าเป็นอัตกิลมถานุโยค คือ ทรมานตัวจนเกินไป อันนี้ไม่ใช่ ธุดงค์ แปลว่าการแผดเผา เผากิเลส จะเหมาะสำหรับท่านที่กำลังใจเข้มแข็ง กลายเป็นพอดีของท่านไม่ใช่การทรมานตน
ขอบคุณครับยาวเหมือนเดิม เหอะๆๆ