cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => CMXSEED ธรรมะ => หัวข้อที่ตั้งโดย: Nobody เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2008, 22:27:08

ชื่อ: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 01 พฤศจิกายน 2008, 22:27:08
http://grathonbook.net/book/7.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ  เดือนเมษายน  ๒๕๔๔   (จบ)
          ถาม :    .......(ไม่มีเสียง)......... 
       ตอบ :    คนอื่นเขาไม่เก่งเลยไปนิพพานกันหมด   พวกเรามันเก่งก็เลยอยู่กันอีกนาน   ไม่ค่อยจะกลัวนรกกัน  มัฌชิมาปฎิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากันมันเป็นไปตามกำลังใจ   เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมมา   เป็นไปตามบารมีที่สะสมมา    อย่างหลวงพ่อท่านบอกว่าวางกำลังใจของท่าน  ก็คือ   ทรงอารมณ์เกาะพระนิพพานไว้ตลอดเวลาไม่ยอมพร่องแม้แต่นาทีเดียว   นั่นตอนที่ก่อนท่านจะบรรลุมรรคผล   เราทำได้มั้ยล่ะ  ?    เป็นเราทำก็เครียดตายเลยใช่มั้ยล่ะ  ?   
                เพราะฉะนั้นตัวมัชฌิมาปฎิปทาของเรามันก็เลยไม่เหมือนกัน    ทางสายหลวงปู่มั่น  ของท่านท่านจะต้องเข้มงวดขนาดนั้นเพราะสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมมา  การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากของชาวอิสานทำให้จะต้องปฎิบัติอย่างเข้มข้น    กำลังจิตถึงจะยอมลงให้     
              อย่างหลวงตาบัวท่านบอกว่า นั่งสมาธิกันข้ามวันข้ามคืน นั่งกันก้นแตก ลุกขึ้นมานี่ประเภทน้ำเหลืองนองเลย คือมันร้อนจนพองแล้วแตก นั่นน่ะ ท่านบอกว่าจิตถึงจะยอมลง ไม่อย่างนั้นมันก็ดิ้นรนกระโดดโลดเต้นของมันไปเรื่อย
               คราวนี้แนวการปฎิบัติมันมีอยู่สี่แบบ   พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า   สุขาปฎิปทา   ขิปปาภิญญา    ปฎิบัติง่าย  ๆ    บรรลุก็เร็ว    ทุกขาปฎิปทา   ขิปปาภิญญา   ปฏิบัติยากลำบากแต่บรรลุเร็ว ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติลำบากบรรลุก็ยาก    สุขาปฎิปทา   ทันธาภิญญา ปฎิบัติง่ายแต่บรรลุยากนะ ปฎิบัติง่ายบรรลุเร็ว ปฎิบัติง่ายบรรลุช้า ปฎิบัติยากบรรลุเร็ว ปฎิบัติยากบรรลุช้าก็ขึ้นก็อยู่ว่าแบบไหนที่จะเหมาะสมกับแต่ละคนแต่ละสถาน ที่ ถ้าเอามัฌชิมาปฎิปทาของพระพุทธเจ้า ท่านอธิษฐานว่า เมื่อท่านนั่งลงไปแล้วแม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที ชีวิตอินทรีย์นี้จะเสื่อมสลายไปก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลเมื่อไหร่ท่านจะไม่ลุกขึ้น ถ้าเราไปตั้งใจอย่างนั้นก็ตาย เพราะว่าปัญญาไม่ได้อย่างท่านนี่
       ถาม :    หมายความว่า   เจ้าตัวเองเป็นคนกำหนดใช่มั้ย  ?
       ตอบ :    ตัวเองควรจะรู้เองว่าอะไรเหมาะสม  เรารู้เลยว่าอันนี้เราขี้เกียจแล้วเราก็รู้ว่าอันนี้เรายังขยันไม่พอ
       ถาม :    แสดงว่าเราก็ทำไปตามที่มโนสำนึกเราบอกว่า  อันนี้ดี   ใช่มั้ย ?
       ตอบ :  ถ้ามันรู้สึกว่าไม่ไหว ให้ฝืนต่ออีกหน่อยถ้ายังฝืนได้แสดงว่าตัวนั้นเป็นตัวถีนมิทธะ ชวนให้ง่วง ชวนให้ขี้เกียจ ถ้าลองฝืนแล้วมันไม่ไหวจริง ๆ ไปไม่รอดก็เลิกเเล้วรักษาอารมณ์เอาไว้
       ถาม :   พระคำข้าว   ป้องกันรังสีที่โทรศัพท์ได้มั้ยครับ  ?
       ตอบ :     ตั้งใจดูแล้วกัน  ขนาดนิวเคลียร์ยังกัน   โทรศัพย์ไม่น่าจะยาก
       ถาม :   นอกจากมีพระของหลวงพ่อแล้ว   มีพระของวัดอื่นมั้ยคะ  ที่กันรังสีได้  ?
       ตอบ :     ที่ประกาศชัด  ๆ  เลย   ก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ   วัดเทพศิรินทราวาส   ก่อนมรณภาพให้เขาเก็บก้อนกรวดที่บางบ่อ   ท่านถือว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง   เอามาอธิษฐานจิตให้   ท่านบอกชัดเลยว่ากันนิวเคลียร์ได้
       ถาม :    กันรังสีได้ทุกชนิดเลย  ?
       ตอบ :  คือสำนักอื่น ๆ อาจมี ถ้าพระสงเคราะห์ให้ ก็กันได้แต่ท่านไม่ได้ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ ก็มีของหลวงพ่อ แล้วก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านเจ้าคุณนรฯ ประกาศก่อนด้วย เพราะว่าเท่าที่จำได้ท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพปี ๒๕๑๔ แต่ว่าหลวงพ่อประกาศครั้งแรกว่า ของท่านกันนิวเคลียร์ได้ประมาณปี ๒๕๒๑
       ถาม :    เจ้าคุณนรฯ   คือก้อนกรวด   ลักษณะก้อนกรวดธรรมดา  ?
       ตอบ :    ก้อนกราด  ปฐวีธาตุ   สำนักอื่น  ๆ  กันได้หรือเปล่าไม่รู้แต่สมัยนี้ฮิตกับจังเลย    พรุ่งนี้ใช่มั้ย     พระกิ่งจอมไทย    เหยียบกันตายแน่   วัดสุทัศน์สร้าง คราวที่แล้วคนไป ๕,๐๐๐ กว่า มีพระ ๗๙๙ องค์ ไม่ดังก็ไม่ได้ ได้เหยียบกันตายจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้เขาประกาศเช่าตีห้า รับรองว่าพระไม่ต้องฉันหรอก
               ขนาดของหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐมชุดแรกมีแค่ ๓,๐๐๐ องค์ คนไปเป็นแสนเลย พอเสร็จพิธีไม่ฟังเสียงเคาน์เตอร์ มันโดดข้ามหมดเลย ทหารสามสี่คนเป่านกหวัดเท่าไหร่ไม่ฟังหรอก ทึ้งเสียหลวงพี่วิรัชจีวร กระรุ่งกระริ่งเลย ของเราเราจองไว้หนึ่งร้อยองค์ พอถึงเวลาออกมาก็จ่ายไปหมื่นแล้วเอาหนึ่งร้อยองค์ใส่ย่ามไป ปรากฏว่าร้อยองค์นั้นไม่เหลือ มันเห็น.... เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผ่านมือไปสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก รุ่นมีกริ่งน่ะ หลวงพ่อสั่ง ๓,๐๐๐ องค์
              พอช่างเขาถอดแบบแล้วซุ้มส่วนใหญ่จะหัก เพราะซุ้มนี่เล็ก ๆ จะบางพอถอดแบบแล้วซุ้มหักก็ใช้ไม่ได้ก็กลายเป็นพระชำรุด ได้องค์ที่สมบูรณ์มา ๓,๐๐๐ องค์ พอออกจากงานนั้นอาตมาเดินไม่ถึงกุฎิ มันเป็นลมตั้งแต่กลางทางก็เดินไปเรื่อย เดินไปกระทั่งถึงกุฎิแล้วก็นั่งลง คนก็ยังตามมาเป็นร้อยน่ะ ตามมาจะเอาพระ เราเองทั้ง ๆ ที่เป็นลมก็ว่ามันไปเรื่อย หูมันอื้อไปหมดแล้ว ไม่รู้ใครพูดอะไรบ้าง ลมมันออกหู คนมันก็ไม่สังเกตุเลยว่าพระหน้าซีดยังกะศพ คนมันรุมเข้ามาเป็นแสน ก็หายใจไม่ทันไง....เป็นลม ขนาดทหารเป่านกหวีดมันยังไม่ฟังเลย ไอ้ที่มันแหวกวงล้อมได้ กระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปเลย
       ถาม :   แต่หลังจากนั้นก็ได้มี   รุ่นสอง  รุ่นสาม
       ตอบ :    รุ่นสองได้น้อย   รุ่นสามไม่มี    รุ่นสามจะเป็นล็อกเก๊ต
       ถาม :    มีแแค่สองรุ่น
       ตอบ :  มีสองรุ่นสมเด็จองค์ปฐม ถ้ารุ่นถัดมาก็เป็นหลวงพี่นันต์ รุ่นหลวงพ่อยังอยู่มีแค่สองรุ่น ของหลวงพ่อนี่ มีอยู่รุ่นหนึ่งที่เป็นรุ่นสี่เหลี่ยมที่วิมาลีทำ   แล้วหลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว    วิมาลีเอาแอบซุกเข้าไปในพิธี     
               หลวงพ่อท่านบอกว่าคลานออกมาเลย   ท้าวมหาชุมภูบอกว่า   สั่งไว้แล้วถ้า พุทธาภิเษกพระพุทธรูป เขาตั้งไว้บูชากับบ้าน มีแค่พานบายศรีก็พอ แต่การพุทธาภิเษกพระเครื่องที่เขาติดตัวอยู่ มันจะช่วยสะเดาะห์ด้วย เครื่องบวงสรวงต้องเป็นชุดใหญ่ สั่งแล้วไม่จำ ถ้าไม่ใช่น้องจะล่อให้สลบเลย แค่คลานนี่เมตตาแล้ว หลวงพ่อท่านจำได้ แต่วิมาลีไม่เข้าใจ ก็ซุกเข้าไปไง สี่เหลี่ยมที่แบบทรงหลวงพ่อวัดปากน้ำ จะมีทอง มีเงิน มีทองแดง
       ถาม :    แล้วหลวงพ่อรู้ตอนไหนที่เขาแอบซุก  ?
       ตอบ :    หลวงพ่อรู้   อีตอนคลานแล้วน่ะ   แล้วเขามาถึงก็แจกพระคนละชุด  ๆ   หลวงพ่อบอก    หลวงพี่ประทีป ว่าไปบอกพวกมันด้วยว่าเข้าพิธีใหม่ซะ หลวงพี่ประทีปก็ยังมีความหวัง บอกหลวงพ่อครับ มันไม่ติดสักนิดเลยหรือครับ (หัวเราะ) หลวงพ่อบอกเดี๋ยวถีบเลย พระท่านพูดคำไหนเทวดาท่านพูดคำไหนก็คำนั้น แล้วยังจะเอานิดหนึ่งอีก (หัวเราะ) ไม่ทัน....ท่านมรณภาพก่อนไม่ได้เข้าพีธีซ้ำ
       ถาม :    สรุปว่ารุ่นนั้นใครแขวน   ก็ต้องไปเข้าพิธีใหม่  ?
       ตอบ :  รุ่นนั้นใครแขวนก็ต้องเข้าพิธีใหม่แล้วกัน น่าเสียดายว่ามีเหรียญทองคำด้วย ไม่ทัน... ท่านมรณภาพเสียก่อน เพราะว่าช่วงนั้นวันที่เป็นวันพฤหัสหรือเป็นพรหมประสิทธิ์ หลวงพ่อส่วนใหญ่จะพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว คล้าย ๆ กับทำตุนไว้เพราะท่านรู้เวลาท่านหมดแล้ว คราวนี้พวกเวลาเขามีอะไรก็ยัดเข้าไปเรื่อย ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ
       ถาม :   หลวงพี่   สมเด็จองค์ปฐมที่มีกริ่ง    รุ่นที่สอง
       ตอบ :     รุ่นแรกมีรุ่นสองไม่มี    รุ่นแรกมีกริ่งพอได้เขย่ากันใหญ่   หลวงพ่อบอกว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย   เลยเลิกใส่กริ่งไปเลย    กริ่งนั้นคือโลหะชนวนที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่
       ถาม :   คิดว่าเอาพระธาตุใส่ลงไป
       ตอบ :    ไม่ใช่   แต่รุ่นสองไม่มี   เจาะไว้เฉย  ๆ   
       ถาม :    พระคำข้าวที่หลวงพ่อเสกครับ    ท่านฉันก่อนแล้วค่อยเสก  ?
       ตอบ :  ของหลวงพ่อท่านไม่ได้ฉันหรอก พระท่านมาถึงท่านก็ชี้เลย ว่าเอากับข้าวตรงนี้ เอาข้าวคำนี้ ๆ ท่านก็ตักเลย หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชาให้ทุกคนอย่างแบบไม่มีการปิดปัง
              แต่พอถึงพระคำข้าวท่านบอกว่า ถ้าพวกคุณต้องการจะเรียน ผมไม่รู้จะสอนพวกคุณอย่างไร เพราะว่าพระท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เอาข้าวตรงนั้น เอากับตรงนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ พอรุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว เอาข้าวอย่างนั้น เอากับอย่างนั้น คาถาอีกบทหนึ่ง บางทีคาถาซ้ำกันเจ็ดวัน บางทีไม่กี่วันก็เปลี่ยนอีกแล้ว ท่านไม่สามารถจะบอกได้ เลยกราบเรียนหลวงพ่อบอกไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อทำไว้เยอะ ๆ แล้วกัน เดี๋ยวพวกผมตุนเอาไว้แจกเอง
       ถาม :     หางหมาก   ก็เหมือนกันหรือคะ   เคี้ยวไปเสกไป  ?
       ตอบ :     หางหมากนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว    เพราะว่าเรื่องของการเคี้ยวหมากนี่   เป็นการจับอิริยาบทและสัมปชัญญะไปในตัวด้วย   ส่วนอีกอย่างก็คือ   ของหลวงพ่อที่เคี้ยวหมากนี่เป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมาสงเคราะห์แล้ว    ถ้าหากว่าพระท่านมาสงเคราะห์    หลวงพ่อท่านจะฉันหมาก
       ถาม :     อ๋อเหรอ    เมื่อไหร่เคี้ยวหมากแสดงว่า...โอ้ย...ไม่เห็นรู้เลย   ไม่เห็นมีใครบอกเลย
       ตอบ :  ฉลาด !เขารู้กันไปเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ไอ้เปอร์เซ็นต์เดียวนั่งอยู่นี่ (หัวเราะ) ที่ท่านเคี้ยวหมากเป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมา มีอยู่วันหนึ่ง นั่งอยู่บนรถทัวร์ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปื้ดอยู่ข้างหูแล้วกลิ่นมันหอมมา โห! มันอยากน้ำลายยืดเลย ตกใจ บอกหลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ ท่านถามว่าไม้เท้าเอามั้ย เอาหรือไม่เอา โดนแน่ เงียบเสียดีกว่า ไม่น่าเชื่อ มันจะอยากได้ขนาดนั้น มันอยากน้ำลายยืดเลย แค่ได้กลิ่นน่ะ เราก็ตกใจตายละหว่า ถ้าตูต้องไปเป่ายานัตถุ์ มันคงทุเรศมากเลย ก็เลยบอกท่านว่าไม่เอาสักอย่าง สังเกตได้ ที่ออกนอกวัดไป ไม่ยานัตถุ์ก็หมากน่ะเจอกันแถวเลย ไอ้ของเรานี่ก็ยังดิ้นรอดมาได้อยู่ทุกวันนี้
       ถาม :     หลวงตาวัชรชัยก็หมาก  ?
       ตอบ :     ดูเอาเถอะ   หลวงพี่อาจินต์อยู่ในวัดก็ หมาก หรือยานัตถุ์ แต่ส่วนใหญ่หลวงพี่อาจินต์จะยานัตถุ์แล้วพี่แกถ้าเป่าแล้วกลัวคนจะรู้แกเล่น เปิดขวดดมเสร็จแล้วปิดใส่ย่าม (หัวเราะ)
       ถาม :     แล้วหลวงพี่วิรัชล่ะคะ  ?
       ตอบ :     ไม่ทราบเหมือนกัน    ต้องโดนจนได้แหละ    ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
       ถาม :    หลวงพี่ด้วยมั้ยคะ  ?
       ตอบ :  ก็บอกท่านแล้วว่าไม่เอา ถ้าอยากจะใช้งานอย่าให้ทำอย่างนี้ คือมันจะทำให้คนลงนรกอีกเยอะ พวกที่ไม่เข้าใจน่ะ มันไม่พูดก็ไม่ว่า พอพูดแล้วมันเป็นโทษกับมันเอง จะกลายเป็นว่า เอาไปวัดรอยเท้าหลวงพ่อเลียนแบบหลวงพ่อ ซึ่งทั้ง ๆ ที่ หลวงพ่ออบรมพระในโบสถ์ ท่านบอกให้วัดรอยเท้าท่าน ท่านบอกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ต้องปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าถึงเป็นพระอรหันต์ได้ นะ     
              ท่านเองก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ที่ดีได้ ท่านก็ต้องวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ลอกแบบนักเทศน์ที่ดีเขา โดยการไปจำลีลา จำการเทศน์ของเขา ท่านบอกว่าถ้าใครเทศน์ดีบางทีท่านจำทั้งกัณฑ์เลย จำแบบเราท่องจำน่ะ ถึงเวลาก็เทศน์เลียนแบบ ออกลีลาดูว่าเหมือนเขามั้ย ท่านบอกว่านักเทศน์ถ้าหากประเภทที่เรียกว่า เทศน์ได้ไม่ถึงร้อยกัณฑ์นี่ยังเอาดีไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ทุกคนวัดรอยเท้าซะ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าวัด ไอ้เรากระดิกทำอะไรไม่ได้หรอก เขากล่าวโทษว่าวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์สั่งให้วัดแล้ว
       ถาม :     ถ้าเขาไม่สั่งนี่   ต้องทำแบบนี้หรือเปล่า  ?
       ตอบ :      ต่อให้ไม่สั่งก็ต้องทำ     เพราะว่าถ้าไม่เลียนแบบครูบาอาจารย์จะไปเลียนแบบใคร ท่านบอกว่าท่านเอง ท่านก็ลอกแบบหลวงปู่ปานมา ไม่ลอกแบบครูบาอาจารย์จะไปลอกแบบแมวที่ไหน หลวงตาไง พอโดนสอบสวนมาก ๆ แกตบะแตก ก็กูลูกช้างก็ต้องขี้แบบช้าง จะให้กูขี้แบบหมาได้ยังไป ( หัวเราะ) หลวงตาตบะแตก พอหลวงตาขึ้นเสียง กรรมการสงฆ์ก็เงียบ เถียงหลวงตาได้มั้ยล่ะ ลูกช้างก็ต้องขี้ตามช้าง (หัวเราะ)
       ถาม :     แต่มองแบบนี้แล้ว    ไม่ได้มองว่าวัดรอยเท้า   จะมองว่ามันเหมือนติดวัตถุ    เราไม่เคยติดอะไรเราก็เลยไม่รู้
       ตอบ :      ก็ลองดูซิ
       ถาม :     ไม่เอา  (หัวเราะ)
       ตอบ :  พอถึงเวลาจะรู้ สมัยหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ไปถึงก็กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อครับทำไมหลวงพ่อเป่ายานัตถุ์ครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อฉันหมากครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานมรณภาพไม่ถึงเจ็ดวันหรอกมันไปควานหาเอง (หัวเราะ) อยากขึ้นมาใจจะขาดต้องเอา แล้วเสร็จแล้วท่านก็เข้าว่า เวลาพระท่านสงเคราะห์จะแสดงสัญลักษณ์ให้ไง ไอ้ของเราไม่เอาอะไรสักอย่างเดียว ก็เลยได้อย่างงี้มา แผลเป็นชัด ๆ เลย
       ถาม :   ตาที่สามเหรอคะ  ?
       ตอบ :     ไม่ใช่   ตรงนี้น่ะ   เห็นมั้ยล่ะ   ต้ององค์ใหญ่ถึงจะชัด   ไอ้ของเราอยากดื้อดีนัก   ท่านก็เลยเฉาะหน้า
       ถาม :     แล้วมีตลอด   หรือเฉพาะเวลาที่ท่านสงเคราะห์  ?
       ตอบ :      สงสัยมันจะตลอดไปเลย   มันอยากไม่เอาดีนัก
       ถาม :     ก็ยังดีนะ  ยังดูดี
       ตอบ :      (หัวเราะ)  ไอ้โน่นก็เบี้ยวได้   ไอ้นี่ก็เบี้ยวได้   ไม่รู้ทำไง   ขืนบอกว่าให้มันไม่เอาแน่   เฉาะกบาลมันซะเลย
       ถาม :    ถ้าพระติดบุหรี่นี่คงไม่เกี่ยวใช่มั้ย  ?
       ตอบ :     ไม่แน่  อาจจะเกี่ยวก็ได้   ก็ต้องดูว่าไม่มีอะไรเลย   อยู่  ๆ   ก็อยากบุหรี่ขึ้นมายังงี้
       ถาม :    ปกติท่านก็ไม่สูบใช่มั้ย  ?
       ตอบ :     เรื่องของบุหรี่นี่  ถ้าวินัยไม่ห้ามก็ไม่ต้องไปตำหนิใคร   หานรกใส่ตัว   มีรายหนึ่งคลาน  ๆ   ไปหาหลวงพ่อที่สายลม   ไอ้เราก็นั่งอยู่ด้านข้างไปถึงก็หลวงพ่อครับผมว่าหลวงปู่แหวนนี่ กระทั่งพระโสดาบันก็ยังไม่ได้เป็นเลยครับ หลวงพ่อบอกว่าแกเป็นหรือยัง ? ยังครับ แล้วเสือกไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง ? บอกหลวงปู่แหวนสูบบุหรี่ บอกพอ ๆ ๆ ไอ้เรื่องควรหรือไม่ควร พระเขารู้ เรื่องของบุหรี่ เรื่องของยานัตถุ์ มันเป็นเรื่องของประสาทร่างกายต้องการ จิตท่านไม่ได้ต้องการหรอก
               แล้วอีกคนหนึ่งไปถามอะไร   หลวงปู่ชอบวัดถ้ำผาบิ้ง   วัดป่าสัมมานุสรณ์ หลวงปู่ชอบระยะหลังนี่ ท่านไปไหนต้องเข็นรถไป แต่ว่าท่านก็ยังสูบบุหรี่อยู่ คนก็ไปถามว่าหลวงปู่ทำไมไม่เลิก ? ท่านก็บอกว่าสูบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็สูบจนตายนั่นแหละ (หัวเราะ) พระวินัยไม่ห้าม   ไม่ต้องไปยุ่งกับพระเลย   เพราะพระวินัยคือศีลพระ   ห้ามแล้วท่านก็เลิกเอง
       ถาม :     แต่เฮโรอีน   กัญชา   ห้ามใช่มั้ย  ?
       ตอบ :     อันนั้นไม่ได้ห้ามเหมือนกัน   แต่พระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส คือข้ออ้างใหญ่อยู่สี่ข้อ สิ่งใดไม่สมควร สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่ไม่สมควร ถือว่าไม่สมควร พระเขามีสติสัมปชัญญะจ้ะ นั่นไม่ใช่เพียงแต่ว่ามันผิดธรรมผิดวินัยหรอก มันผิดกฏหมายบ้านเมืองด้วย ใครเขาจะทำ ยกเว้นสมัยนี้เขาว่าสามหมื่นกว่าองค์ติดยาบ้าใช่มั้ย ? นิมนต์ท่านเหอะ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2008, 22:05:52
http://grathonbook.net/book/7.2.html

ถาม :     อยากถามครับ  เรื่องเดินจงกรม
       ตอบ :     ทำไมล่ะ  ?
       ถาม :     หลวงพี่มีปฎิปทาด้านนี้ยังไง ?
       ตอบ :    นึกได้ก็เดิน
       ถาม :     แล้วเวลาเรากำหนดรู้นี่ ...?
       ตอบ :     กำหนดรู้ก็จับอิริยาบท   เท้าไปทางไหน  มือไปทางไหน   ถ้าหากว่าจิตมันละเอียด  ๆ   ขนาดเส้นขนเส้นไหนมันโดนลมทางไหนมันยังรู้เลย   สำคัญที่สุดก็คือว่าจับอารมณ์ภาวนาให้ได้ แรก ๆ ใครเดินจงกรมแล้วจับลมสามฐานได้นี่ยอมไหว้เลย เคยให้รุ่นน้องไปลองดูหลายองค์แล้ว พอจับลมสามฐานแล้วก้าวไม่ออก มันติดจึ๊ก เพราะว่าลมสามฐานมันเป็นกำลังของปฐมฌานเขาอย่างน้อย    ปฐมฌานนี่จิตกับประสาทมันเริ่มแยกออกจากกันแล้ว   ถ้าไม่คล่องตัวจริง  ๆ  เดินไม่ได้หรอก
       ถาม :      จะสลับกันล่ะครับ   จับลมปุ๊บ   แล้วก็หยุดค่อยก้าวไป
       ตอบ :    ถ้าคล่องตัว   จับลมมันก็เดินได้   ค่อย ๆ  ทำ
       ถาม :  เวลาที่ตรวจให้กับครูบาอาจารย์ อย่างเช่นว่าตอนนั้นตรวจให้หลวงพี่ใช่มั้ยคะ แล้วไม่พบอะไร ครั้งนี้ลักษณะเดียวกัน ก็แทบจะไม่พบอะไรที่เป็นตัวการที่จะให้เกิดเหมือนกัน
       ตอบ :    ถามท่านว่า   ท่านคิดว่าเป็นโรคอะไร   แล้วก็บอกมา   แล้วจ่ายยาไปตามที่ท่านบอก
       ถาม :      ท่านบอกว่า   ร้อน  ๆ  หนาว  ๆ   เหมือนเป็นไข้
       ตอบ :    ถามท่านว่าคิดว่าเป็นโรคอะไร   ถ้าท่านบอกว่าเป็นโรคอะไรก็จ่ายไปตามนั้น
       ถาม :     ค่ะ   แล้วก็ถ้าเป็นประเภทโรคเวร    โรคกรรม  ทำยังไงคะ  ?
       ตอบ :    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยท่าน
       ถาม :  เวลาคิด เวลากำหนดระยะเวลานาน ๆ ถ้า ตา หู ลิ้น กาย ใจ มันจะมีประสาทสัมผัส แล้วเวลาใจมันออกมา มันออกมาทางไหนคะ จับไม่ทันเลย
       ตอบ :    จับไม่ทัน   เขาระวังตรงใจ  อย่าไประวังตรงตา   หู  จมูก  ลิ้น   
       ถาม :      มันขึ้นมาเองคะ   ไม่ต้องระวัง   มันขึ้นมาเอง
       ตอบ :    กำหนดใจเหมือนกับตัวเรานั่งอยู่ในห้องว่าง  ๆ   เรานั่งในห้องว่าง  ๆ  ประตูมันอยู่ตรงหน้า    อะไรเข้ามามันจะรู้ นึกออกมั้ย ? เหมือนอาคันตุกะมาเยี่ยม โผล่หน้ามาก็รู้แล้ว ไอ้นี่มาทางตาล่ะนะ ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเราได้ ไอ้นี่มาทางหู ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้าใจเราได้ หูกับตามันมาเร็วที่สุด
       ถาม :      ยังพอทัน   หูกับตา   แต่ใจมันไม่ชัด
       ตอบ :    นั่นแหละ   คือระวังใจตัวเดียว    หกตัวระวังใจตัวเดียว   แล้วอย่าให้มันเข้ามาในใจ   แล้วจะไปเสียเวลากำหนดมันทำไม   ภาวนาให้จิตทรงเป็นฌาน   มันก็รู้รอบแล้ว    ถ้าเราจับลมหายใจ   เข้าออกได้  สังเกตมั้ยมันจะกินเราไม่ได้เลย   มันปิดหมด
       ถาม :     ช่วงจับบางทีมันแน่น   มันแน่นหน้าอก  มันจุก
       ตอบ :     อาการอย่างนั้น   บางทีเป็นขั้นตอนของการใบ้ให้รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว    เราเองเราก็จับอาการนั้นเอาไว้ ถึงเวลาถ้าอาการนั้นมันแน่นขึ้นมา เราก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์อยู่ในระดับที่จะพึ่งตัวเองได้ แล้วเราก็ระวังได้ บางทีบางอย่างอาการในร่างกายไม่เหมือนเขา มันเกิดขึ้นเราก็ต้องรู้ไว้จริง ๆ แล้ว อาการมันแน่นเข้ามา บางทีเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งในอกก็มี   คอยสังเกตตัวเองว่าของเราต่างกับของเขานิดหน่อย    พออารมณ์ใจถึงตรงนั้น  แล้วดูซิว่า   สติพร้อมมั้ย   ถ้าสติพร้อมก็คือ   อาการของการทรงฌาน   อย่างน้อย  ๆ  เป็นอาการของอุปจารฌาน
       ถาม :     ช่วงนี้บางทีมันเฉย  ๆ    มันไม่ค่อยรับอารมณ์ใครมันไม่ค่อยคลาย
       ตอบ :     ก็ดีแล้ว  ของเรา   เราต้องคลายอารมณ์ให้ เป็น ต้องใช้ตัวปัญญาเป็น เราต้องรู้ว่าทุกคนต้องคิดว่าสิ่งที่เขาทำน่ะดีแล้ว เขาถึงทำ ในเมื่อสิ่งที่เขาทำนั้นมันดีแค่นั้นมันถูกแค่นั้น มันยังไม่ดีจริง มันยังไม่ถูกจริง เราก็ให้อภัยเขาเถิด เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นเราเคยทำมาแล้ว   
              ในเมื่อเราเป็นผู้ที่ผ่านมาก่อน เราก็คือบรรพบุรุษของเขา ต้นตระกูลของเขา เราก็คือตัวพ่อ ตัวแม่ของเขา ลูกหลานมันทำตาม มันเดินตามรอยมา เราจะไปโกรธลูกโกรธหลานได้ยังไง เราก็ควรที่จะรักจะเมตตาเขาว่า เขาไม่สามารถก้าวข้ามมาตรงนี้ ไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นทุกข์เป็นโทษต่อเขายังไง เขาก็ยังทำอยู่ เราก็อย่าโกรธเขาเลย ควรให้อภัยเขา ถ้าเราคิดเป็น เราคลายอารมณ์ ของเราเป็น มันจะไม่สะสม ถ้ามันไม่สะสมโอกาสระเบิดมันไม่มี    
               แต่ส่วนใหญ่แล้วคิดไม่เป็น     ทำไม่เป็น   คลายอารมณ์ไม่เป็น   สะสมอยู่ก็ระเบิด    กัมมะโยนิ   กัมมะพันธุ   กัมมะปฎิสสรโณ คือ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ทางกรรมของเรา เราชั่วมาแล้ว เขาชั่วตาม นั่นมันเป็นทายาทของเรา เราจะไปโกรธไปเคืองทายาทตัวเองได้ยังไง เราทำเอาไว้แท้ ๆ ก่อนหน้านี้เราก็เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราก้าวข้ามมาแล้ว เราโชคดี เขายังไม่สามารถก้าวข้ามมาได้ ไม่น่าโกรธหรอก น่าสงสารมากกว่า
       ถาม :     ให้เฉย  ๆ  หรือเตือนคะ  ?
       ตอบ :     คิด  คิดให้เป็น   ใช้ปัญญาให้เป็น   มันจะปล่อยวางได้   แล้วมันจะไม่สะสมอารมณ์ไว้
       ถาม :    ไม่ต้องไปเตือน  ?
       ตอบ :    ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาเลย    ดูที่ตัวแก้ที่ตัว   เรื่องของคนอื่นทุกข์คนอื่นเขา
       ถาม :  คือขออะไรบางอย่าง ซึ่งคิดพอจะแก้ไขและช่วยเหลือได้แต่มันทำไม่ได้ เช่นง่าย ๆ เลย กับครูบาอาจารย์ที่รักและเคารพนับถือ (ฟังไม่ชัด.. ถามเรื่องการช่วยสงเคราะห์บุคคล)
       ตอบ :    เราต้องยอมรับว่ากฏของกรรมมันมี อันนั้นน่ะเราทำบุญ เราตั้งใจของเราดีแล้ว ผลบุญมันมีด้วย แต่ว่าวาระกรรมของเขามันยังสูงอยู่ มันก็บังอยู่ มันก็กดอยู่ เราเองเราไม่สามารถฝืนกฏของกรรมได้ ตัวครูบาอาจารย์ท่านยิ่งต้องยอมรับกฏของกรรมยิ่งกว่าเราอีก ใครเขาจะมาเสียเวลาโกรธเสียเวลาเคืองกัน มาชี้โทษอะไรเราน่ะ มันไม่มีหรอก
              เราทำโดยเจตนาดี เพียงแต่ว่าเราทำของเราเต็มความสามารถแล้ว อย่าเก็บมากังวล ตัวเก็บมากังวลนี่แหละเป็นอารมณ์ของปุถุชนทั่ว ๆ ไป มันจะพาเราลงนรก เพราะจิตมันหมอง ดูอย่างที่พระท่านทำซิ ท่านทำก็คือทำเฉพาะหน้า ทำดีที่สุดแล้ว ถ้ามันได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น นั่นคือการยอมรับกฏของกรรม    ทำดีที่สุดเท่าที่เราทำได้     
              ถ้าหากว่ามันดีที่สุดแล้วผลมันไม่ได้อย่างใจของเรา เราก็ต้องยอมรับว่ากฏของกรรมมันมีอยู่ แก้ไขดิ้นรนทุกวิธีทางแล้วไม่สามารถที่จะทำได้แล้ว ต้องยอมรับมันบ้าง เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป ดูที่ตัวแก้ที่ตัว   เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลกทั้งสิ้น   เราแก้ไขโลกไม่ได้    เราต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง     
       ถาม :  แต่บางครั้งอย่างงานทางโลกนี่ มันจำเป็นต้องทำให้เสร็จ บางทีมันก็ต้องอะไรกับคนอื่นหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตรงนี้
       ตอบ :     เราก็ทำแค่หน้าที่ของเรา  แล้วหน้าที่นั้นก็อย่าให้ละเมิดกรอบของศีลห้าแล้วกัน เชื่อว่าหน้าที่เราทุกอย่างคงไม่ต้องฆ่าใคร คงไม่ต้องประเภทลักขโมยใคร ไม่ต้องแย่งคนรักของใคร ไม่ต้องไปโกหกใคร แล้วก็ไม่ต้องไปกินเหล้าแน่นอน
                เพราะฉะนั้นทำไป    ทำเฉพาะในกรอบของเรา    ถ้ามันจำเป็นต้องโกหก เราใช้คำว่าต้องจำเป็น ถ้ามันจำเป็นต้องโกหกเราก็ไม่ต้องโกหกทั้งวัน พ้นจากตรงจุดนั้นเมื่อไหร่ก็ตั้งใจรักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นยี่สิบสี่ชั่วโมงเราไม่ได้ขาดทุนตลอดแน่นอน   
       ถาม :       เห็นว่าเจอกันทางจิตได้   แล้วจะเจอกันทางกายอีกทำไมล่ะครับ  ?
       ตอบ :      คือถ้าหากว่าไม่เกินกฏของกรรมก็จงตะเกียกตะกายไปด้วยกำลังร่างกายของตัวเอง     พระน่ะเขายอมรับกฏของกรรมมากกว่าเรา    อะไรที่ร่างกายมันยังทำได้    ก็ต้องใช้ร่างกายทำไปก่อน   ไม่ใช่เอะอะก็ใช้ความเป็นทิพย์    ใช้โน่นใช้นี่    ไอ้นั่นต้องใช้    อีตอนบ้อท่าจริง  ๆ   
       ถาม :     แต่ถ้าไม่ฝึกใช้   ก็ไม่ชำนาญ  ?
       ตอบ :     ก็มันฝึกเสียจนชำนาญแล้ว   ไม่จำเป็นต้องไปใช้ด้วยการฝึกใหม่  (หัวเราะ)    ก็ใช้อยู่   ก็ใช้วิธีโน้นไงไปข้างบน
       ถาม :   เคยเรียนบอกหลวงตาว่าหลวงพี่เป็นมะเร็ง   หลวงตาว่า   หลวงพี่จะตัดช่องน้อยไปแต่พอตัว   
       ตอบ :      อย่างพวกเราคงไม่ได้ตายง่าย  ๆ  หรอก   มันรอดมากี่ดาบต่อกี่ดาบแล้วก็ไม่รู้   ตอนนี้ไม่มีซักดาบดันจะตายก็ตลกล่ะ
       ถาม :     มันเป็นได้จากไหน  ?
       ตอบ :  ตอนแรกมันเป็นที่ข้อเท้า หมอเขาเจาะแล้ว เขาก็ทำหน้าพิลึก เราก็ปล่อยมันมาตั้งหลายปี ไม่ได้สังเกตอะไร เพียงแต่ว่าตอนนั้นไปเดินธุดงค์ เจ็บเสียจนจะเดินไม่ได้ แปลกใจ..... พอหมอเขาเจาะ เขาบอกว่ามันกินจนถึงประสาทขาแล้วเขาก็ไม่กล้าพูด เราเลยแค้นคอถามว่า มันใช่มะเร็งหรือเปล่า ? หมอเขาบอกว่าใช่ บอกว่าพวกหูด พวกไฝ พวกปาน โอกาสมันจะกลายเป็นมะเร็งมันมี
               เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี    มันท่าจะจริงตรงที่ตำรา หมอแผนโบราณบอก เขาบอกว่ามะเร็งนี่มันเหมือนกับรังผึ้ง รังมด ถ้าไปตีรังมันเมื่อไหร่มันก็กระจายพรวดเลย มันถึงได้ไปขึ้นตรงโน้น ตรงนี้ให้ทั่วไปหมด    เท่าที่สังเกตก็คือตรงข้อพอดีหมด    ที่เท้าก็ตรงข้อเท้า    ด้านนี้ก็ข้อ   ตลกน่ะ   มันเหมือนกับต้องกินที่ข้อยังงั้น
       ถาม :     เป็นเพราะกรรมหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  เปล่า แค่ไปวางขวากช้างเท่านั้น (หัวเราะ) หนักกว่าม้าอีก กองทัพสมัยก่อนนี่เขากลัวช้าง ถ้าช้างมานี่ค่ายพังแน่ ก็วางขวากดักมันไว้ ขวากก็คือโคนไม้ใผ่ หลาวให้แหลมเปี๊ยบ ลนไฟแข็งโป๊กเลย แล้วฝังดินไว้ครึ่งหนึ่งเหยียบไปเต็ม ๆ ตีน เมื่อไหร่ก็ไม่ต้องไปไหนเลย นี่มันเศษ ๆ แล้ว ไม่ใช่เงินต้น ไม่ใช่ดอกเบี้ย
       ถาม :     ทำคนเดียวเหรอคะ  ?
       ตอบ :  คนอื่นเขาก็ทำ ก็เจออย่างอื่นไปมั่ง อาตมาไม่โดนรถปูนกระทืบก็บุญโขแล้ว (หัวเราะ) หลวงตาโดนรถปูนกระทืบ มีเยี่ยงอย่างที่ไหนปิ๊กอัพชนรถขนปูน ถังปูนดับถล่มไปทับเข้า โทรไปหาหลวงตายังขำ แกบอก....ตัดปอดไปกลีบหนึ่ง ตับส่วนหนึ่ง ม้าม ถุงน้ำดี แล้วก็ลำใส้ แหม !หลวงตา ถ้าเป็นผม ผมจะพกตะไคร้ ใบมะกูด พริก เข้าไปในนั้น หลวงตาบอก เออ! ฟื้นขึ้นมากูจะแดกด้วย (หัวเราะ) รู้กัน ไอ้เรากะจะใส่หม้อต้มยำเลย หลวงตาบอก เออ ! ฟื้นขึ้นมากูจะแดกด้วย (หัวเราะ)
       ถาม :     ก็ต้องมีถังออกซิเจน  ?
       ตอบ :     ของหลวงตา  ท่านก็รู้จักเตรียมท่านเอง
       ถาม :    ของท่าน   ท่านบอกว่าต้องเราไปสองถัง    ถังเล็กกับถังใหญ่
       ตอบ :  เผื่อไว้ เผื่อหมด เวลาวาระกรรมมันเข้ามานี่ ประเภทเหลือถังละนิดละก็ซวยเลย เพราะฉะนั้นต้องสลับถังให้ดีเผลอไปเอาประเภทจวนหมดกับจวนหมดละก็แย่แน่ หลวงปู่มหาอำพันไง     หลวงปู่มหาอำพันมันเอาช่วงเข้าห้องน้ำ   ของหลวงปู่มหาอำพันปกติให้ออกซิเจนอยู่บนเตียง    พอตอนท่านเข้าห้องน้ำ     หลวงพี่มนตรีท่าน ก็ไปทำความสะอาดเตียง ไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่เรียก กว่าจะพยุงหลวงปู่มาถึงเตียงหมดลม ปอดท่านเป็นถุงลมโป่งพอง มันรับออกซิเจนได้น้อยอยู่แล้ว เตือนท่านแล้ว บอกว่าประมาณสองสามนาทีแล้วก็เอาออกให้ปอดมันทำงานเองบ้าง ปอดเราพอมันได้ออกซิเจนบริสุทธิ์ไปเรื่อยมันก็ขี้เกียจ มันก็ไม่ทำงาน
              เพราะฉะนั้นสังเกตดูว่า ถ้าหากญาติโยมของเรา ถ้ายังต้องการให้เขาอยู่ ถ้าให้ออกซิเจนพอเห็นอาการดีขึ้นเอาออกเลยถ้าไปให้อยู่ตลอด ๆ ปอดมันจะพังเร็ว ลองสังเกตดูพวกให้ออกซิเจนยาว ๆ ไม่รอดสักราย ออกซิเจนหมดเมื่อไหร่ก็เสร็จ อาตมาเฝ้าไข้มาสิบกว่าปีซาบซึ้งดี เฝ้าพ่อมาหกปี เฝ้าแม่สามปี หลวงปู่สี่ปี
              จนกระทั่งหลวงพี่มนตรีโดนโยมด่า ด่าจมดินเลยล่ะ เขาบอกว่าหลวงพี่เล็กเฝ้าเท่าไหร่หลวงปู่ไม่เป็นอะไร แกเฝ้าแป๊บเดียวตาย วาระมันมาถึงนี่คนอยู่นี่ซวยทุกรายเลย จริง ๆ มันโทษกันส่งไป ถึงเวลาหน้ามืดขึ้นมาความรักครูรักอาจารย์ใครอยู่ใกล้ก็ซวยไป หลวงพี่มนตรีแกมานั่งบ่นให้ฟัง บอกผมนี่หมาเลย
       ถาม :     แกพลาดจริง  ๆ ไม่ใช่เหรอคะ ?
       ตอบ :  พลาดนั่นก็พลาดอยู่ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโอกาสมันพลาดมันมี พอส่งหลวงปู่เข้าห้องน้ำเสร็จแกก็มาทำความสะอาดเตียง ไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่เรียก หลวงปู่ท่านหายใจไม่ทัน เสียงท่านก็คงจะเบา กว่าจะคิดกว่าจะแก้ไขมันก็สายเสียแล้ว ในห้องน้ำก็มีครบทุกอย่างขาดออกซิเจน (หัวเราะ)
       ถาม :    หลวงพี่ต้านี่ช่วงนั้นไปอยู่ด้วยมั้ยคะ  ?
       ตอบ :      ก็ไป   ทุกคนไปด้วยความปรารถนาดี   จำไว้   เพราะฉะนั้น   อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องอภัยให้กัน     การให้อภัยและความสามัคคีสำคัญที่สุด บรรดาครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ไม่มีปัญหาหรอก มันไปมีปัญหาตัวลูกศิษย์เสียเยอะ ต่างคนต่างเป็นนักปฎิบัติเพื่อลด ละ เลิก ในกิเลสต่าง ๆ มันต้องยิ่งทำยิ่งก้าวหน้า ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งถอยหลัง แต่เท่าที่พบก็คือว่าส่วนใหญ่ไปทะเลาะกัน เอากิเลสไปชนกัน
              เพราะฉะนั้นเราอยู่ในลักษณะนั้นมันต้องให้อภัยและรักษาความสามัคคีของหมู่ คณะ อะไรพออภัย พออดทนกันได้ ก็ต้องอดทน ต้องอภัยกัน เขาทำเพราะคิดว่าสิ่งนั้นดีแล้ว เขาถึงทำ ในเมื่อเขาเห็นว่าดีแม้สิ่งนั้น ๆ ไม่ดีจริงปัญญาของเขายังไม่ถึงเราไม่ควรจะโกรธเขา มันน่าสงสารนะให้อภัยเขาเถิด ลูกศิษย์เขาไม่รู้ ยัดให้เขาไม่รับก็ปล่อยมันเถอะ ( หัวเราะ) สอนกระดานดำก็ได้ว่ะ
       ถาม :    ถ้าเราไม่สนใจเขาเลย   มันถูกมั้ยคะ  ?
       ตอบ :     มันเป็นปัญญาอย่างหนึ่งนะ ถ้าเรารู้ว่ากำลังของเราไม่ถึงไปปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ไม่ว่าจะเเค่ตาเห็น หูได้ยิน หรือว่าต้องพูดต้องคุยกันอะไรก็ตาม รู้ว่าจะทำอะให้เราอารมณ์เสียก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย  มันเป็นตัวปัญญาเหมือนกัน   หลวงปู่หล้าท่านบอกว่า    หัดเป็นนักหลบซะบ้างอย่าเป็นนักรบอย่างเดียว   รู้อยู่ว่ารบไม่ชนะแล้วไปรบ    ท่านถือว่าไม่ฉลาด
       ถาม :    ถ้าจำเป็นต้องชน  ?
       ตอบ :     ถ้าจำเป็นต้องชน   ก็พยายามอย่าชนจัง   ๆ  แล้วกัน   ยังไง   ๆ  รักษาชีวิตเขาไว้บ้าง
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: cooltea79 เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2008, 22:29:48
หุ หุ ยาวจัง ใหน ๆ ก็หลงมาละ ขออ่านก่อนนะท่าน

ถือว่ามีวาสนา ต่อข้อความนี้
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2008, 18:25:48
http://grathonbook.net/book/7.3.html

ถาม :      เวลาเราโกรธใคร   รู้สึกมันสะเทือน     เราจะกลับตัวยังไงให้เร็วที่สุด  ?
       ตอบ :     เร็วที่สุด   กลับไปภาวนา ถ้าได้มโนมยิทธิส่งอารมณ์ใจขึ้นพระนิพพานไปเลย การที่เราเกาะพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุด รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจแต่ร่างกายเท่านั้น กินใจไม่ได้ ถ้าใจไม่อยู่ไปปรุงไปแต่งกับมัน มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้   เผ่นไปนิพพานดีกว่า   เคยชนกับแสงชัย    
              สมัยฆราวาสยืนคุยกันอยู่เราก็เลยพิงเงียบไปเลย เงียบไปหลายนาที พอลืมตาขึ้นมา แสงชัยถามว่าอะไร บอกว่าย่าบอกว่าอย่าไปคุยกับอันธพาล โอ้ย! มันโกรธฉิบหาย (หัวเราะ) แล้วคืนนั้นมัน ก็ได้ดีไอ้นี่ต้องให้โกรธมาก ๆ พอโกรธมาก ๆ แล้วอารมณ์ใจมันจะอยากทำ เขายังทำได้ ทำไมกูทำไม่ได้ยังงี้
       ถาม :    อ๋อ! มิน่า   เห็นโกรธบ่อย
       ตอบ :  ความจริงท่านย่ารู้ว่าถ้าแหย่มารูปนี้แล้ว เราพูดต่อเมื่อไหร่จะโกรธ แล้วเดี๋ยวมันจะตะกายขึ้นมาเอง คือยังไงก็ต้องตะกายไปต่อว่าย่าให้ได้มันไปด้วยอำนาจกิเลส (หัวเราะ)
       ถาม :   เหลือเชื่อ
       ตอบ :    ที่บางคนเขาพูดเล่นว่า     ตัญหาพาสู่พระนิพพาน   รู้สึกว่ารายนี้จะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้  ?    ความจริงตัวอยากนี่ธรรมเขาเรียกว่า   ธรรมฉันทะ   คนมันดันว่าอยากแบบตัญหา   ก็เลย   ตัญหาพาสู่พระนิพพาน
       ถาม :  แล้วเวลาเราเจอคน....  (ฟังไม่ชัด)....ตัวเรามีจุดร่วมกับเขา   
       ตอบ :    ใส่เกราะไว้    เรามีศีลกับสมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิควบคุมอารมณ์ของเราให้อยู่ในกรอบ มีศีลเป็นที่ไป ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลก็ไม่ยุ่งด้วย    เอาแค่ศีลของเรา    ใส่เกราะไว้    ไม่ว่ามันจะมาระดับไหนก็ตามไม่ไปพ้นเขตนั้น   เต็มที่แค่ศีลห้าเกินศีลห้าไม่คบด้วย
       ถาม :   บางทีเขามาวุ่ยวายกับเรา  ?
       ตอบ :    วุ่ยวายน่ะสนุก    ถ้ารักษากำลังใจเรานิ่ง  ๆ  เฉย   ๆ   ได้   แล้วดู    จะสนุก มันเหมือนยังกับดูใครมันทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ตรงหน้า บางทีมันก็เหมือนทารกไร้เดียงสาไปเลย เรื่องแค่นั้นไม่น่าทำ มันก็ทำ ไม่น่าจะโกรธมันก็โกรธ เลยกลายเป็นนั่งสนุกอยู่คนเดียว กลายเป็นนั่งยิ้มมองไปเรื่อย
       ถาม :    .......(ฟังไม่ชัด) .........
       ตอบ :     เขารู้อยู่ว่ามันเป็นข้อสอบ   แต่ก็สอบตกอยู่เรื่อยตอน ทดสอบของนักปฎิบัติมันมาทุกวินาที แล้วทุกแง่ทุกมุม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันอยู่ในหัวข้อใหญ่ ๆ ก็คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ข้อสอบมันออกมาได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวังเมื่อไหร่เผลอเมื่อไหร่มันเข้ามาสู่ในใจทันที      
               โดยเฉพาะตัวกระทบกระทั่งกัน   พื้นฐานมาจากโทสะ   เขาเรียกปฎิฆะ คืออารมณ์กระทบ เหมือนกับสะเก็ดไฟกระเด็นไปถูกเชื้อควันมันขึ้น ถ้าเราไม่ระวัง มันเป็นโทสะ มันจะไหม้ขึ้นเป็นเปลวเลย
              เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะเจอข้อสอบ จะเจอการทดสอบอยู่เสมอ เผลอเมื่อไหร่ก็โดน ๆ แต่ว่าข้อสอบนี่มันดีอยู่อย่างถ้าเราทำได้ ต่อไปก็จะไม่เป็นอีก ต้องมามากกว่านั้น ถ้าแค่นั้นไม่ได้กินเราแล้ว แต่ปรากฏว่าของเขาเอง เขาบอกว่าเขามี สมานัตตา ดำรงโทสะไว้อย่างสม่ำเสมอ (หัวเราะ) พวกตีความพระธรรมวินัยผิด
       ถาม :    เวลาเจอ   แต่มันไม่รู้   ไม่รู้โลภ   โทสะ   หรือโมหะ  ?
       ตอบ :     ไม่ต้องรู้     รักษาใจอย่างเดียว ถ้าหากว่าเราใส่เกราะไว้ได้ยิ่งดี โดยเฉพาะตัวภาวนา ถ้าอารมณ์ใจทรงเป็นฌาน มันรู้ลมอัตโนมัติก็รักษาเอาไว้เลย รับรองว่ามาเท่าไรก็รับได้ แต่ถ้าเกราะพังเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวหัวแตกได้ ถ้าสติมันรู้อยู่ ต้องการรับรู้อาการภายนอก จะลดกำลังใจมานิดหนึ่ง คลายออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้กับเขาด้วยความระมัดระวัง พร้อมจะหดหัวกลับเข้าไปกลัวหัวแตก พอถึงเวลาหดหัวเข้าไปก็ปิดฉึบ
       ถาม :   .........(ไม่มีเสียง)........ 
       ตอบ :     จริง   ๆ   แล้วมันลำบากนะ   เพราะว่าเวลา เหนื่อย เวลาหิว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่มีความคล่องตัวในการทรงฌานจริง ๆ สมาธิมันพังเลย มันไม่เอากับเราด้วย เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างความคล่องตัวกับมันอย่างชนิดที่เรียกว่าคิดเมื่อไหร่ก็ทรง ได้เมื่อนั้น    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว   ก็เล่นกับมันยาก
       ถาม :    มีทรงแบบง่าย  ๆ  ?
       ตอบ :    อันนี้มันไม่ง่ายหรอก   ทำมาหลายสิบปี   รวม   ๆ   แล้วปีนี้ก็   ๒๕   ปีแล้ว
       ถาม :    แล้วจะทำยังไงเจ้าคะ  ?
       ตอบ :  ค่อย ๆ ทำไป พอมันคล่องตัวแล้ว อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน หัดเข้าฌานสลับฌาน นึกทรงฌานเมื่อไหร่ต้องทรงได้ สมัยที่หัดอยู่ใช้วิธีลุก ๆ นั่ง ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว เข้าเวรอยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ก็ซ้อมไปเรื่อย ถึงเวลาลุกปรื๊ดขึ้นมาแล้วค่อยคลายอารมณ์ออกมาจนถึงอุปจารสมาธิ ถ้าลงล่ะก็ดิ่งปึ๊ดเงียบไปเลยยังงั้นน่ะ ลุก ๆ นั่ง ๆ อยู่คนเดียวแหละให้มันเข้ามันออกอยู่จนคล่องตัวแล้วเอาให้ได้ทุกเวลาที่ต้อง การ ไม่ยังงั้นเวลาป่วย ๆ นี่ มันไม่เอากับเราแน่
              ขนาดนั้นตอนมาเลเรียมันกินหนัก ๆ ยังรู้สึกเลย ตอนนั้นอากาศมัน ๑๑ องศา ใส่อังสะตัวเดียวนะ เอาผ้าชุบน้ำเย็นโปะหัวนี่ควันขึ้นยังกับเตาเลย ตัวมันร้อนอยู่ขนาดนั้น รู้อยู่อย่างนั้นว่าความร้อนขึ้นมากกว่านี้นิดเดียวเราเบลอแน่ก็พยายามตั้ง สติกำหนดใจเอาไว้ ใหสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า ผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด รู้อยู่อย่างเดียวถ้ามากกว่านั้นเราเบลอแน่แก้ผ้าวิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ก็ขนาดเดินไปหาหมอที่เวชศาสตร์เขตร้อน หมอเขาไปถามเจ้าแดงว่าเป็นอะไร เจ้าแดงเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นครับ หมอเขาก็นั่งคุยกับพยาบาล เขาก็ส่งปรอทเอามาให้เราอม บอกให้อมไว้ เขาก็คุยอะไรของเขาไปพักนึง ชักปรอทไปดูมอง ๔๒ องศา (หัวเราะ) เขาถามว่าเดินไปยังไง ปกติมันน่าจะ ช็อกไปแล้ว ก็บอกว่ามาอย่างที่หมอเห็นนั้นแหละ ก็สติมันยังอยู่ก็ลากสังขารไป
               ตอนที่หนักที่สุดนั้นไปใต้     ลงจากเครื่องบิน   โยมเขาเข้ามากราบมาออกันเข้ามา    บอกกับสุขุม   สุขุมเป็นลูกของลุงสมนึก เขาเป็นเจ้าของบ้านที่ไปพักประจำ บอกสุขุมว่า ระวังด้วยนะ หลวงพี่จะล้มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่วยประคองไว้ด้วย เขาเองเขาก็เห็นเราเดินดี ๆ แต่พอได้ยิน เขาก็จับแขนถามว่า เป็นมากเลยเหรอ มาเลเรียขึ้นนี่ตัวมันร้อนฉ่าเลย ก็บอกว่าก็อย่างที่เห็นนี่แหละ นั่งคุยกับแขกไปทุ่มกว่า บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอน ตั้งแต่เช้า เพราะว่าไปเที่ยวราว ๆ หกโมงครึ่งไปถึงที่โน่นราว ๆ เกือบสองโมง ก็รับแขกไปเรื่อยจนถึงทุ่มกว่า ปกติจะรับถึงสามทุ่มบอกขอตัวไปพัก สุขุมเขาก็บอกว่า หลวงพี่ไปโรงพยาบาลหน่อยดีมั้ย ? แต่ว่าบอกอย่างเดียวนะมันหาโรคไม่เจอหรอก เขาก็พาไปที่ มอ. ไปถึงก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ
              เชื่อมั้ยว่าอาการทุกอย่างมันปกติเดี๋ยวนั้นเลย หมอวัดความดัน วัดปรอทวัดอะไรเป็นปกติหมดหาโรคไม่เจอ เขาบอกหลวงพี่เป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะทำไงก็ คลายกำลังใจออกให้มันรู้ว่าเราเป็นยังไง พอคลายกำลังใจออกปุ๊บ ความดันเขาวัดปกติก็คือ ๑๓๐ / ๘๐ มันลดฮวบเหลือตัวบนแค่ ๖๐ จาก ๑๓๐ เหลือ ๖๐ พยาบาลวัดสายคาแขนอยุ่ ร้องกรี๊ดจนเราขี้หูสั่นเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในอาการกึ่ง ๆ ช็อก หมอเวรสี่คนวิ่งมาดูหมดเกลี้ยงเลย เลยบอกหมอจำไว้นะ คนบางประเภทกำลังใจมันเกินร่างกาย มันสามารถบงการให้ร่างกายทำอะไรก็ได้ ถ้าเขาบอกว่าป่วยเป็นอะไรน่ะ หมอเชื่อเขาเถอะ ไม่งั้นเขาจะตายเปล่า หมอเขาบอกว่าโดยมารยาทแล้วถ้าเขาตรวจอาการไม่เจอ เขาจะจัดจ่ายยาไม่ได้ ถ้าคนไข้เป็นอะไรไปเขาต้องรับผิดชอบ บอกถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับ เขาบอกหลวงพี่จะกลับยังไงล่ะครับ ? บอกเดี๋ยวจะเดินให้ดูขอเวลาสิบนาที เราก็รวบรวมกำลังใจใหม่ ตอนนั้นน่ะเผลอลืมไปว่าบ้านมันพัง เราเอาไม้ค้ำ แล้วเสือกไปถอนไม้ค้ำออก มันก็พังโครมเลย รวบรวมกำลังใจได้สัก ๑๐ นาที ก็เดินฉับ ๆ ขึ้นรถไป นั่นแหละคนช็อกไปแล้วนะ ต้องใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่ามันพังหมด มันไม่เหลือต้องไปรวบรวมมาใหม่
               ตัวอย่างชัด   ๆ   หมอนพพรนั่นจะรู้มากกว่า เพื่อน ไข้ขึ้นหูแดงหมดเลยความดันมันขึ้น วัดดูความดัน ๑๑๐/๗๐ แหม !ต่ำกว่าปกติอีก วัดอุณภูมิร่างกาย ๓๕.๖ คนดี ๆ ยังมากกว่านี้เลยใช่มั้ย ? หมอเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นอะไรบอกมาเลยครับ ขืนรอผลแล็บผมว่าตายแน่ ก็บอกเขาว่าเป็นยังงี้ ๆ เขาก็จ่ายยามา แต่หมอที่เขาไม่คิดแบบหมอนพพรมันเยอะ ความจริงยามันอร่อยนะกินไปลิ้นด้านหมด คนอื่นเห็นสีก็สยองแล้ว หม้อเบ้อเริ่มต้มกินแทนน้ำไปเรื่อย ๆ ไปโรงพยาบาลหลายทีมันน่าตายแต่ว่าไม่ตาย
               ที่โรงพยาบาลวัดท่าซุงหมอเขาแทงน้ำเกลือ อาเจียนออกมาเป็นถัง น้ำหมดน่ะ รู้สึกเลยว่าตัวมันเหี่ยวไปหมด หมอเขาแทงน้ำเกลือเข้าไป เส้นมันตีบ น้ำเกลือไม่เดิน แทงอยู่ตั้งหลายชั่วโมงเข้าไปประมาณ ๕๐ ซีซี เลยบอกหมอถอดออกเหอะ ขอกลับไปตายที่กุฎิดีกว่า หมอเขาบอกไม่ได้หรอกครับ อาหารหนักขนาดนี้บอกหมอไม่ถอดฉันก็ถอดเอง (หัวเราะ) หมอเขาเจอพระดื้อ เลยต้องถอดให้
       ถาม :  หลวงพี่โดนเข็มแล้วหลวงพี่อ้วก    คงเพราะเป็นทหาร    แล้วเคยถูกฉีดยา   ( ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :  ไม่ใช่ ที่อ้วก ไม่รู้ว่าตัวเองน่าคอหัก มันไปเบียดประสาทร่างกาย ประสาททรงตัวอยู่ จะเหมือนกับคนที่อยู่บนพื้นดินแล้วโคลงไปโคลงมาอยู่ เราเองก็พยายามกลั้นเอาไว้ มันไปอ้วกเอาตอนหมอฉีดยาพอดี (หัวเราะ)
       ถาม :    นึกว่าหลวงพี่กลัวเข็ม  ?
       ตอบ :  คนกลัวเข็มคงไม่ไปหาหมอเป็นว่าเล่นหรอก หมอเขาก็พยายามเราเองก็นึกว่าหัวเราไปชนมา ก็หมอเขาหาสาเหตุ เอ็กซเรย์ก็ไม่เจอ ไปหายเพราะหมอนวด ถ้าไม่มีหมอนวดก็คงอีกนาน เพราะว่าอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ฉันข้าวไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียวลงถึงท้องก็อาเจียนหมด ก็นอนหายใจพะงาบ ๆ คราวนี้ไม่รอดแน่ตู ขอหมอเขากลับไปตายที่กุฎิ
                หลวงพี่สมานกับพรรคพวกก็ช่วยหอบหิ้วไป ตอนนี้แกสึกซะแล้วถ้าเราเป็นก็ไม่มีคนหิ้วแล้ว หลวงพี่สมานช่วยหอบช่วยหิ้วไปกลับไปถึงกุฎิ คืนนั้น มันเกิดหิวขึ้นมาไส้จะขาด คนไม่ได้กินมา ๖ วันมันหิวขนาดไหนน่าจะรู้ อยู่ ๆ อาการมันเกิดเฉย ๆ ก็เลยรอตอนเช้ารอให้สว่างรอแทบไม่ไหว มันอยากกินน้ำลายเหนียวไปหมด (หัวเราะ) อยากกินอะไรก็ได้ที่มันเผ็ดมาก ๆ พอได้อรุณปุ๊บก็ถือไม้เท้าค้ำไปที่ร้านของป้ากิมกี เพราะว่าถ้าไม่ถือไม้เท้ามันหมุนไปเรื่อย มันหมุนเหมือนกันกับคนทรงตัวไม่ได้ จนกว่าจะติดอะไรมันถึงจะหยุด เพราะประสาททรงตัวมันเสีย
               พอไปถึงก็บอกยายแจ๋วบอกว่า ผัดกระเพรามาไข่ดาวด้วยเอาเผ็ด ๆ ยายแจ๋วเขาก็ทำมาให้จานเบ้อเริ่มเลย เข้าไปนั่งรอฉันอยู่ใต้หอระฆัง พอเอามาลองดม ๆ ดู เออ! มันไม่อ้วกแน่ ก็ฟาดโลด พอฉันหมดมันเหมือนยังกับง่วงกระทันหัน อยากจะหลับเดี๋ยวนั้นเลย อาการอย่างนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ เคยถามท่านเพราะมันเป็นหลายที ท่านบอกว่าถ้าพระหรือพรหมหรือเทวดา ท่านต้องการจะติดต่อด้วย แล้วเราไม่ได้ทรงอารมณ์เพื่อรับการติดต่อจากท่าน ท่านจะกดเราเพื่อให้ติดต่อได้ คือท่านจะเป็นฝ่ายปรับคลื่นมาเอง มันเหมือนยังกับง่วงจะหลับให้ได้เดี๋ยวนั้น ฟิวส์ขาดเลย เราก็ถ้วยจานไม่ต้องเก็บล่ะวะ เอนลงได้ก็นอน
              พอเอนลงปุ๊บมันรู้สึกว่าเตียงมันยุบฮวบลงไปเลย ลืมตาขึ้นมาอยู่ตรงหน้าท่านปู่พอดี ไม่ใช่ปู่ ท่านลุง อยู่ตรงหน้าท่านลุงพอดีเราก็ตายล่ะวา นี่ตูตายแล้วตกนรกด้วย (หัวเราะ) ท่านปู่นายบัญชี ท่านเปิดบัญชี บัญชีเล่มหนาปึ๊กเลยนะ เปิดเม่นจริง ๆ เปิดปึ๊กถึงหน้าของเราเลยดูว่าอีก ๖ วันหาย แล้วท่านก็ปิดตึง เรากราบลาได้ก็เผ่นเลย เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจ (หัวเราะ) หนี้เก่ายังไม่ได้ใช้เยอะ เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจทวงขึ้นมาล่ะยุ่งเลย เผ่นกลับมามันก็สบายใจโยมเขาก็พาไปรักษา ไปเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ครั้งละห้าพัน ก็ไปกับเขา ไปเรื่อยแหละ
               จนกระทั่งถึงวันที่ห้ากลางคืน    นิมิตเห็นหลวงปู่มหาอำพัน ท่านให้ไม้เท้าอันหนึ่ง ไม้เท้าหวายสีขาว ๆ บอกกับโยมช่วยพาไปกุฎิหลวงปู่ทีเถิด จะเอาไม้เท้าไปถึงหลวงปู่ท่านเห็น ท่านก็บอกว่าคุณดูผมมาเยอะแล้ว ตอนนี้ขอผมดูแลคุณบ้างนะ แล้วท่านก็ถวายไม้เท้าอันที่เราเห็น ท่านบอกว่าพอหายแล้วไม่ต้องคืนผมเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าคุณเคยป่วยหนักขนาด นี้
              พอตอนบ่าย ๆ มีลูกศิษย์หลวงปู่มาคนหนึ่ง เขามีพ่อบุญธรรมเป็นหมอนวด พอเขาเห็นอาการเขาบอกว่าในเมื่อรักษาทางปกติแล้วมันไม่ได้ผล ลองให้หมอนวดดูบ้างมั้ย ? ก็บอกว่าอยู่ไกลมั้ย ? ไม่ไกลหรอก แล้วถ้าแขกเขาไม่มากลัดคิวได้ด้วย ก็เลยไป ไปถึงถือไม้เท้าไปน่ะ หมอเอามือแตะคอปุ๊บบอกกระดูกคอเคลื่อน ๒ ข้อ แล้วถามว่ารักษาได้มั้ย ? เขาบอกว่าสบายมาก เอาแขนกดต้นคอไว้ จับคอบิดกรึ้บเดียวหายเลย ๖ วันพอดีเป๊ะ ไม่มีพลาดเลย ท่านบอกว่า ๖ วันหาย ก็รวมแล้ว ๑๒ วันเต็ม ๆ
               ตอนนั้นไม่ได้เจตนาหรอกเพราะว่าไปกับหลวงพ่อท่าน    ไปฉลองโบสถ์กับหลวงพ่อลักษณ์   วัดศรีรัตนาราม     ท่านสร้างโบสถ์อยู่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จซะที    ก่อนหน้านี้สมัยหลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ชัยนาท   หรือวัดสะพาน    จนกระทั่งไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า   ท่านก็เจอกันตลอดออกกิจนิมนต์ออกอะไร   
               หลวงพ่อลักษณ์ ทิพยจักขุญานท่านดีใช่มั้ย ? แต่ว่าดีขนาดไหนก็ไม่คล่องตัวอย่างหลวงพ่อ หลวงพ่อลักษณ์สร้างโบสถ์เท่าไหร่ก็ไม่เสร็จ มาถามหลวงพ่อหลวงพ่อบอกว่าไปทุบส้วมทิ้งซะ แกสร้างส้วมไว้ใต้โบสถ์ท่านบอกว่าโบสถ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าเอาสิ่ง สกปรกไปไว้ในเขตนั้น หลวงพี่ลักษณ์กลับไปทุบส้วมเสร็จ อุปสรรคต่าง ๆ หมดกลี้ยง สร้างโบสถ์เสร็จฉลองได้ ก็คิดดูซิบังอยู่นิดเดียวเท่านั้น
              ทั้ง ๆ ที่ท่านคล่องตัวในทิพจักขุญานมากนะ แต่ท่านก็ไม่รู้ พอถามหลวงพ่อ เสร็จก็นิมนต์หลวงพ่อไปฉลอง เพราะข้างล่างท่านทำเป็นที่พักใต้โบสถ์ ใต้ถุนทำเป็นที่พัก พระวัดท่าซุงไปที่ฉันเพลเสร็จก็พักผ่อนอยู่ที่นั่น หลวงพ่อ รับแขกอยู่ข้างบน พอบ่าย ๒ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! รวมพลขึ้นรถเว้ยจะกลับแล้ว พวกเราวิ่งกันช้าไม่ได้ใช่มั้ย ใต้ถุนโบสถ์นั้นมันครือ ๆ กับหัวหัวแค่นี้ แต่ปรากฏว่าทางประตู คานแบบลดลงมาคืบหนึ่ง แล้วลองคิดดูมันก็หน้าผากพอดี ๆ วิ่งเข้าไปหาชนิดไม่ต้องยั้งเลย เสียงดังเปี๊ยะ ใครตีกูว่ะ ? ดาวขึ้นว่อนเลย เอามือคลำดู แตกยาวเป็นนิ้วเลยนั่นแหละไปวันที่ ๙ เมษา ปรากฏว่าวันที่ ๑๔ เมษาตอนเพล มันถึงแสดงอาการ
               วันที่   ๑๔   เมษาเป็นเวรครัวอยู่กับเณรตวง พองานครัวจัดอาหารอยู่ก่อนเพล หิ้วเข่งที่ใส่จานที่เขาใส่กับข้าวตอนวันพระ พอถึงเวลาเราถ่ายรวม ๆ ลงปิ่นโตอาหารอย่างเดียวกัน เทรวมกัน ๆ แล้วแบ่งวง แบ่งเสร็จจะเหลือถ้วยเยอะ สองคนกับเณรตวงหิ้วไปจะไปล้าง
              พอหิ้วขึ้นมันรู้สึกแผ่นดินมันหมุนไปหมด บอกเณรตวงว่า เณร....ถ้าอยู่ ๆ หลวงพี่ล้มนี่เอ็งเอาเข่งให้อยู่นะ อย่าให้ของแตกหลวงพี่ล้มฟาดลงไปก็ไม่เป็นไร กลัวของสงฆ์เสียหาย เณรตวงก็ครับ ๆ เลยกัดฟันหิ้วจนกระทั่งถึงบอกว่าเณรล้างไม่ไหวนะอยู่ ๆ มันเป็น ช่วยบอกพระเวรด้วยกันอีกสององค์ บอกว่าให้ช่วยจัดเรื่องเพลที เราเองตะเกียกตะกายขึ้นไปจนกระทั่งถึงกุฎิ มันเริ่มอาเจียน ว่าเป็นถังเลย มีเท่าไรอยู่ในท้องมันออกหมด กระดูกคอ ๒ ข้อ
              พอมันชนตรงนี้แรงสะบัดมันทำให้กระดูก ๒ ข้อนั้นหลุด แล้วมันไปค้ำอยู่เราเงยหน้าไม่ได้ แล้วไม่ได้สังเกตตัวเอง มันอยู่ในลักษณะนี้แล้วไปเบียดประสาทการทรงตัง ทำให้เหมือนยังกับว่าเราอยู่บนที่โคลงไปโคลงมา แบบอาการเมารถเมาเรือก็อาเจียนไปถึงเขาหามไปหาหมอยังมีสติบอกหมอช่วยเช็คดู ด้วยมันเป็นเชื้อไทฟอยด์หรือเปล่า อยู่ ๆ มันจะอาเจียนกะทันหัน หมอเขาก็ครับ ๆ คือรู้ทุกอย่าง สั่งหมอได้แต่บังคับตัวเองไม่ได้ ขยับตัวนิดมันจะพลิกเป็นตุ๊กตาล้มลุกไปเลย ขยับนิดเดียวมันวูบไปเลย พอแตะติดมันก็หยุด ถ้าหากว่ายืนขึ้นก็หมุนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะติดข้างฝาหรือแตะอะไรได้มันถึงจะหยุด เขาก็ให้แต่ยาปรับความดันมากิน ล่อซะ ๖ วันเต็ม ๆ ให้น้ำเกลือไม่เข้าสักอย่าง อาการก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล (หัวเราะ)
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: patcha79 เมื่อ 06 พฤศจิกายน 2008, 14:58:43
ขอบคุณครับบบบ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 06 พฤศจิกายน 2008, 15:53:35
http://grathonbook.net/book/7.4.html

ถาม :   ตอนนี้ไม่มีกำเริบแล้วเหรอ   กระดูก  ?
       ตอบ :  เห็นเขาบอกว่าอย่าโดนซ้ำ ถ้าโดนซ้ำคราวนี้อาจตายได้ เพราะว่าคอมันหักซะทีหนึ่งแล้วนี่ ยังดีที่มันยังไม่เบียดประสาทขาด ถ้าเบียดประสาทขาดก็เรียบร้อย เขาบอกว่าถ้าเบียดประสาทหายใจก็เท่งทึงเสียตั้งแต่แรกแล้ว มันไปเบียดประสาททรงตัว
       ถาม :    ทำไมตั้งหลายวันกว่ามันจะออกอาการ  ?
       ตอบ :  ไม่รู้ เรามันอึดผิดมนุษย์มะนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันทำงานไป ก้ม ๆ เงย ๆ จนกระทั่งมันเบียดเข้าพอดี วันที่ ๙ เมษา ไปออกอาการวันที่ ๑๔ ถ้านับหัวนับท้ายชนกันก็ ๖ วัน โดน ๖ วันอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ไปรักษาตัว ๖ วัน ลงด้วย ๖ หมดเลย ก็ขนาดเจอท่านปู่นายบัญชี ท่านก็บอกว่าอีก ๖ วันหาย จริง ๆ ด้วย วันที่ ๖ พอดีเป๊ะเลย เราก็สบายใจ อยากเป็นอะไรก็เป็น
              ตอนนั้นอาการแย่มากมองดูแค่นี้มองไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใคร ใช้จำเสียงเอา กินยาปรับความดันเสียหูอื้อตาลาย ทุกคนเขาบอกว่าน้ำในช่องหูมันเสียระดับของมัน ความจริงคนละเรื่องเลย แล้วเห็นเราแตกมันเอ็กซเรย์แต่หัว ถ้าลงมาคอนิดเดียวก็เห็นแล้ว กรรมมันบังล่อเสียจนกระทั่ง ๑๘ วันเต็ม ๆ
       ถาม :     .........(ไม่มีเสียง)...........
       ตอบ :     การถวายอติเรกต่อในหลวงฟังดูเหมือนกับ........ยังไง  ?   ติดอ่างท่านจะใช้    อติเรก    วัสสะสะตัง   ชีวะตุ    อติเรก    วัสสะสะตัง   ชีวะตุ   ทีฆายุโกโหตุ    อโรโคโหตุ    ทีฆายุโกโหตุ  อโรโคโหตุ     เพราะว่าตอนสมัยรัชกาลที่   ๔    รัชกาลที่   ๔    ท่านเก่งบาลี   ท่านชอบลองพระ   พอถึงเวลาเลิกงาน   ท่านขอพรเล่นเอาพระอึ้งเลย    ก็เริ่มเลย  อติเรก   วัสสะสะสตัง   ชีวะตุ   ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้อายุยืนเป็นร้อยปี ควาวนี้มันต่อไม่ได้ มันก็ต้องซ้ำ เทศน์ของเก่า อติเรก วัสสะสะตัง วีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้เป็นผู้มีอายุยืนปราศจากโรคภัย มันต้องซ้ำเพราะว่าไปต่อไม่ได้ ฟังเหมือนยังกับติดอ่าง เขาลองกันขนาดนั้น
               เรื่องสนุก  ๆ   สมัยนั้นเยอะ    อ่าน  ๆ    ดู  รัชกาลที่   ๔   กับเจ้าคุณธรรมกิตติ   ก็งัดข้อกันประจำ   เพราะต่างคนต่างเก่ง   สมัยก่อนเขาสอบบาลี   เขาสอบปากเปล่าหน้าพระที่นั่ง   พระเข้าไป   ก็   อาสเน    นิสินโน อันว่านั่งเหนืออาสนะ เจ้าคุณธรรมกิตติเขาบอกผ่านไม่ได้ นั่งเหนืออาสนะ ตูดต้องลอยเหนือพื้น (หัวเราะ) พระเขาก็แปลใหม่ อาสเน นิสินโน อันว่านั่งในอาสนะ รัชกาลที่ ๔ ตรวจ ผ่านไม่ได้ นั่งในอาสนะมันต้องฉีกผ้ามุดเข้าไป ( หัวเรา) ตกลงใครซวย คนแปลซวย นักปราชญ์เขาขัดคอกัน
       ถาม :    แล้วนั่งบนอาสนะ  ?
       ตอบ :    สมัยนั้นเขานึกไม่ทันแปลปากเปล่า   แปลปากเปล่านี่  สมเด็จพระสังฆราชสา   ปุสเทโว ท่านแปลปากเปล่า ๙ ประโยค ท่านอยากจะใช้ชีวิตทางโลก ท่านก็สึก รัชกาลที่ ๔ สั่งจับขัง จับขังคุกเลย เอาผ้าไตรวางไว้หน้าประตู ถ้าออกมาก็ต้องบวช ถ้าอยากสึกอยู่ในคุกต่อไป ท่านเลยต้องออกมาบวช พอบวชเสร็จท่านก็.. เราสึกมาระยะหนึ่ง ความรู้มันจะแน่นหรือเปล่าไม่รู้เข้าแปลใหม่ แปลได้ ๙ ประโยคอีก เขาเลยเรียกมหาสา   ๑๘   ประโยค   
              ตอนหลังก็เลยเป็นสมเด็จพระสังฆราชสา ปุสเทโว มีองค์เดียวในประวัติศาสตร์ ๑๘ ประโยค เก่งขนาดนั้นนะ รัชกาลที่ ๔ ท่านเสียดาย สึกไปจะได้ประโยชน์อะไรกับทางโลกนักหนา เอาทางธรรมดีกว่า จนท่านได้เป็นพระสังฆราช
                เรื่องรัชกาลที่   ๔   ท่านเยอะ   โดยเฉพาะงัดข้อกับสมเด็จวัดระฆัง     หลวงพ่อโตวัดระฆังต่างคนต่างเป็นนักปราชญ์ใช่มั้ย  ?    ถึงเวลาท่านสร้างวังสระปทุม  ที่ปัจจุบันเป็นวัด   สระปทุมวนาราม  มี   หลวงพ่อพระเสริม    พระพุทธรูปที่ได้จากลาว   สร้างขึ้นมาสนมกำนัลก็เพลิดเพลินจำเริญใจ   พายเรือเที่ยวในสระบัว    สมเด็จพระพุฒาจารย์แจวเรือเข้าไปรับบาตร   
                รัชกาลที่   ๔    ท่านก็ประเภทว่าภูมิใจสร้างวังได้สวย   ก็ .....เป็นไงขรัวโต   งามมากมั้ย  ?    สมเด็จพุฒาจารย์โตท่านบอก งามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ โห! รัชกาลที่ ๔ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย ต่างคนต่างรู้กัน เพราะมันมีบาลีอยู่บทหนึ่งว่า เอตถะ  ปัสสะถิมัง   โลกัง   จิตตัง   ราชะรถูปมัง  แปลความว่า   สูเจ้าทั้งหลาย   จงมาดูโลกนี้ที่งามประดุจราชรถ    ซึ่งคนเขลาทั้งหลายหมกอยู่   แต่ผู้รู้หาข้องไม่ (หัวเราะ) ท่านบอกงามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ รัชกาลที่ ๔ โกรธไฟแลบเลย แต่ท่านเป็นบัณฑิตท่านรู้ว่าโดนลองของ พอถึงเวลาท่านเลิกโกรธ ก็นิมนต์เข้ามาใหม่ ลองกันหนัก ๆ อย่างนี้
                บางทีโกรธขึ้นมาท่านสั่งถอดออกจากตำแหน่งเลย    ยึดพัดยึดอะไรเกลี้ยงเลย    ท่านก็เดินฉับ  ๆ  ของท่านกลับ   สังฆการี วิ่ง มานิมนต์บอกว่า ทรงหายกริ้วแล้วเอาพัดมาถวายคืน ท่านบอกไม่ได้ อันนี้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้เท่านั้นไม่ใช่คุณ อาตมาไม่รับ รัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์เข้าวังไปรับพัดเสียผ้าไตรซะอีกชุดหนึ่ง (หัวเราะ) เปล่าเขาเล่นกันนะ แล้วเสร็จแล้วองค์อื่นทำตามไม่ได้
                เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบทีหนึ่งโดนเลย   เกือบจะสั่งเฆี่ยนไปแล้ว   ทั้ง  ๆ  ที่เป็นพระ   ก็ตอนที่เจ้าจอมประสูติเจ้าฟ้า ท่านเองพอดีเป็นวันทรงศีล วันพระ สมเด็จวัดระฆังท่านก็เทศน์ไปเรื่อย ไปเรื่อยท่านก็อยากรู้เต็มทีว่าลูกผู้หญิงลูกผู้ชาย ผุดลุกผุดนั่ง จะไปดูหน้าก็ไม่ได้ดูสักที เทศน์ไม่รู้จบน่ะ จนกระทั่งท่านทำใจ เอาล่ะเดี๋ยวฟังเทศน์จบแล้วค่อยไปดูก็ได้ ใจเย็นลงตั้งใจฟังเทศน์ ท่านก็เอวังด้วยประการละฉะนี้ แหม! เจ็บใจมากวันพระหน้านิมนต์ใหม่ ตั้งใจเต็มที่เลยทรงผ้าไปเพื่อเตรียมฟังเทศน์โดยเฉพาะ ท่านขึ้นธรรมาสน์เสร็จ ใด ๆ มหาบพิตรรู้ดีอยู่แล้ว เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ รัชกาลที่ ๔ ท่านก็อะไร ? วันพระที่แล้วนี่อยากจะไปดูหน้าลูกไม่ได้ดูสักที วันพระนี่ตั้งใจฟังเทศน์จบเอาง่าย ๆ ตอนที่ไม่อยากฟังเทศน์ซะยาวเลย ท่านบอกว่าการฟังเทศน์เพื่อชำระจิตใจให้มันบริสุทธิ์ ให้มันเยือกเย็น มหาบพิตรใจร้อนอยู่ก็ต้องเทศน์ให้มันเย็นให้ได้ถึงจะเลิก แต่วันนี้ดีอยู่แล้วจะไปเทศน์ทำไม (หัวเราะ)
              เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบมั่ง ขึ้นธรรมาสน์ถึงใด ๆ มหาบพิตรก็รู้อยู่แล้ว เกือบโดนจับเฆี่ยน ท่านบอกท่านยกให้ขรัวโตองค์เดียว ท่านรู้ว่าสมเด็จวัดระฆังท่านเป็นพระดีขนาดไหน สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านให้มาเป็นข้อคิดเป็นอะไรล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นปริศนาธรรมแล้วก็เป็นเรื่องที่ว่าเจตนาที่จะสงเคราะห์ท่านโดย เฉพาะ ท่านรับได้ โกรธแค่ไหนท่านก็รับได้ แต่องค์อื่นอย่ามาเลียบแบบ เลียนแบบแล้วจะจับสั่งเฆี่ยนทั้งที่เป็นพระ (หัวเราะ)
       ถาม :   หมายถึงท่านไม่นับถือองค์ไหนเลยหรือ  ?
       ตอบ :    ไม่ใช่ว่าไม่นับถือ    นับถืออยู่   แต่ว่า  ...   ลักษณะอย่างนี้ยกให้องค์เดียว    จนกระทั่งคนเขาลือกันว่าขรัวโตเป็นปาปมุติ   ปาปมุติหมายถึงผู้พ้นจากบาปทั้งปวงแล้ว   หมายถึงพระอรหันต์เท่านั้น   ทำอะไรก็ไม่ผิด    ขนาดสั่งเนรเทศออกจากแผ่นดินนี่   
               สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านนอนเขลงอยู่ในโบสถ์ไม่ไปไหนหรอก    สังฆการีไปถึงก็บอกนิมนต์ไปได้เลยครับเพราะว่าไม่ให้อยู่ในแผ่นดินแล้ว ท่านบอกว่านี่ไม่ใช่แผ่นดิน    นี่เป็นเขตสงฆ์    เขาเรียกว่า  เขตสีมา มันเป็นเขตของสงฆ์ ไม่ใช่เป็นเขตของพระเจ้าแผ่นดินท่านเพราะฉะนั้นท่านอยู่ของท่านได้ จนกระทั่งต้องยอมยกโทษให้ ก็จริงของท่าน พระราชทานให้เป็นพุทธาวาสไปแล้วใช่มั้ย ? มันไม่ใช่เขตในรับผิดชอบของท่านแล้ว ไม่ใช่เขตการปกครองของท่านแล้ว เป็นเขตของวัด เขตของพระนอนตีพุงสบาย ไล่ไม่ไปหรอก คนดีซะอย่าง
              สมัยเก่า ๆ ลองไปอ่านดู ที่เลวก็ไม่มีที่ติเลย บทลงโทษพระโทษอะไรนี่ว่าทำไมเขาลงโทษกันรุนแรงถึงขนาด บางทีถึงกับจับเฆี่ยนคือที่ผิดจริง ๆ ปราชิกก็มี รัชกาลที่ ๔ น่ะท่านมีเจ้าฟ้าอยู่องค์โต คือพระองค์เจ้ายอดยิ่งเยาวลักษณ์ โดนถอดออกเพราะว่าไปท้องกับวัดไหนจำไม่ได้ เขาเล่นปีนตึกหากัน ตอนแรก ๆ หมอตรวจก็บอกว่าเป็นโรคท้องมาน ท้องมานนี่ท้องมันจะโตไปเรื่อย ๆ ลักษณะคล้ายกับอาหารไม่ย่อยหรืออะไรอย่างนั้น มานไปมานมาคลอด กลายเป็นว่าท้องกุมาร ก็เลยโดนถอดจากยศ โดนลงโทษ
               รุ่นนั้น   รู้สึกท่านจะเป็นพี่สาวใหญ่ของกรมพระยาวชิรญาณวโรรส  สมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่   ๕      แล้วก็มี    ยิ่งเยาวลักษณ์    พักตร์พิมลพรรณ   เกษมสันต์โสภาค   มนุสสนาคมานพ   บรรจบเบญจมา พระองค์เจ้ามนุสสนาคมานพ ก็คือกรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งถึงที่ ๖ เล่นเอาพี่สาวใหญ่เลย โดนจับถอดยศ กลายเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ
              เรื่องโบราณ ๆ ต้องมีของโบราณ ๆ อยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจำยาก ถ้าไม่มีของโบราณอยู่บ้างจำไม่ค่อยได้ ชื่อสมัยนั้นเขาเพราะนะ คล้อง ๆ กันหมด ยิ่งเยาวลักษณ์ พักตร์พิมลพรรณ เกษมสันต์โสภาค มนุสสาคมานพ บรรจบเบญจมา ของรัชกาลที่   ๕   ก็มี  จันทราสรัสวาร    เยาวมาล์นฤมล    ยุคลทิฆัมพร    นภาจรจำรัสศรี    มาลินีนภดารา    นิภานภดล เขาเรียกพวกเจ้าฟ้า อยู่บนฟ้าหมด นิภาก็ฟ้า นิภานภดล แปลว่าสว่างถึงฟ้าเลย จันทราสรัสวาร พระจันทร์ก็อยู่บนฟ้า
               ของรัชกาลที่  ๕   ท่านก็มีจุฬาลงกรณ์   จันทรมณฑล    จาตุรณรัศมี    ภานุรังษีสว่างวงศ์ เคยได้ยินมั้ย ? ลูกแม่เดียวกันก็จะชื่อคล้อง ๆ กัน จุฬาลงกรณ์ จันทรมณฑล จาตุรณรัศมี ภานุรังษีสว่างวงศ์ แล้ว รัชกาลที่  ๖   ก็  มหาวชิราวุธ    จุฑาธุชธราดิลก     ประชาธิปกศักดิเดชน์    ๓   องค์   ๒   รัชกาล    แต่สมเด็จย่าของ เรา ๒ องค์ ๒ รัชกาล (หัวเราะ) ถึงว่าสมเด็จย่านี่นับแล้วจะเป็นผู้หญิงที่มีบุญมากที่สุด จากสามัญชนมีลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้นท่านพูดง่าย  ๆ  ก็คือเชื้อพระวงศ์    แต่ว่าสมเด็จย่านี่เป็นสามัญชน    จากนางสาวสังวาลย์  ตะละภัฏ     ขึ้นไปเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี     แล้วสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีท่านมากกว่า   อันนี้มี   ๒   องค์เป็นทั้งคู่   
                เรื่องของการสืบสันติวงศ์นี่ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเหมือนกัน   พอสิ้นรัชกาลที่   ๗  ไม่ใช่คิวของในหลวง    รัชกาลที่    ๘   ที่   ๙    เลย    เพราะว่าตอนนั้น   เขาเรียกว่าสายตรงไล่ตามอาวุโสลงมา    อาวุโสสูงสุดก็คือเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ    กรมหลวงพิษณุโลก   ประชานารถ    ท่านทิวงคตเสียก่อนมาลูกชายใครล่ะ  ?   พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์แม่เป็นแหม่ม   เลยไม่ได้ตัดไป   ถัดมาก็ต้อง   กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย    กรมหลวงนครราชสีมา    ทิวงคตหมด   แล้วก็สมเด็จเจ้าฟ้ายุคคลทิฆัมพร     กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์    ท่านก็ทิวงตคต     ต้องใช้คำว่าทิวงคต      ทิวงคตลูกคือใครล่ะ  ?    ชายใหญ่    ชายกลาง   ชายเล็ก    ชายใหญ่ก็พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคคล    พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพรนี่ชายกลาง    พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการนี่ ชายเล็ก นี่สายตรงนะท่านมีสิทธิ์เป็นก่อนนะ แต่ ๓ องค์นี่ไม่ล่ะ มันเล่นปฎิวัติขนาดถอดพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าเป็นก็แย่สิ ท่านก็สละสิทธิ์
                พอสละสิทธิ์มา    พระองค์เจ้าวรานนทวัชนี่ท่านประพฤติองค์เป็นเพลย์บอยเลย    ใครก็ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว    เลยหลุดไปอีกองค์     แล้วก็มาถึงกรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเองทิวงคตก็เหลือลูก จริง ๆ แล้วลูกของท่านนี่จากสามัญชนนี่เป็นหม่อมเจ้าเท่านั้น ทำความดีเลื่อนขึ้นมาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ไม่ใช่พระเจ้าวรวงศ์เธอ เป็นแค่วรวงศ์เธอพระองค์เจ้า เลยขอสมเด็จย่าไป ก็ให้พระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าอานันทมหิดลไป พอรัชกาชที่ ๘ ไปต้องพระแสงปืนสวรรคต มาถาม ไม่ต้องแล้ว คนเก่าปฎิเสธหมด คราวที่แล้วให้ออก คราวนี้ฆ่าเลย ต้องมาถึงสมเด็จย่าอีก
              สมเด็จย่าถึงได้บอกว่าเอาลูกฉันไปฆ่าคนหนึ่งแล้ว ยังจะเอาอีกเหรอ แต่ว่าเพื่อประเทศชาติท่านก็สละให้ คิดดูว่าจากที่ไม่มีอยู่ในคิวสืบสันตติวงศ์ ยังไง ๆ ก็มาไม่ถึง เป็นได้ เป็นซะ ๕๐ กว่าปีด้วยเรื่องของบุญเรื่องของบารมี ถึงได้บอกว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ เรื่องของในรั้วในวังต้องใกล้ ๆ หน่อย ไม่งั้นจำยากไล่ลำดับยาก ใกล้รั้วใกล้วัง บางทีผ่าน ๆ บอกว่า ตรงนี้ ยังงี้ โยมเขาก็ถามว่ารู้ได้ไง บอกว่าเคยแก้ผ้าวิ่งอยู่แถวนี้ เขาคิดว่าเด็ก ๆ เราอยู่แถวนี้ (หัวเราะ) มันก็จริง ๆ เด็ก ๆ เราอยู่แถวนั้นแต่เด็ก ตอนไหนเราไม่บอก
                สิ้นรัชกาลที่  ๑    คนเขาบอกว่า   มันยังอยู่หน้าศึกหน้าสงคราม    รัชกาลที่   ๒ ท่านอ่อน ท่านไม่เก่ง คือท่านไปถนัดเรื่องของ ศีลปะต่าง ๆ แทน คนก็โหยหาเลยว่าจะมีใครมาเก่งแบบนี้อีกหนอ มีรัชกาลที่ ๕ สิ้นรัชกาลที่ ๕ นี่ จีน พราหมณ์ แขก ร้องไห้กันระงมเลย ขนาดคนจีนเขาร้องไห้กันทั้งสำเพ็ง บอกว่าจะหาฮ้องเต้ดี ๆ อย่างงี้ได้ที่ไหน พอองค์ใหม่ขึ้นมาอาจจะไม่ให้อยู่
              พอสิ้นรัชกาลที่ ๕ ก็มีรัชกาลที่ ๙ เพราะฉะนั้นมันเป็นช่วงเป็นจังหวะ องค์อื่น ๆ ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญนะ เหมาะสมตามวาระตามเวลาทั้งหมด แต่ว่า วาระนั้น เวลานั้นเรื่องเด่น ๆ อย่างอื่นมันไม่มี อย่างรัชกาลที่   ๓ ท่านเหนื่อย ๓ รัชกาลเลย เพราะว่า ท่านทำงานแทนพ่อหมดถึงขนาดพ่อมีเวลาไปนั่งแกะสลักประตูวัด รัชกาลที่ ๒ เขาถือว่าฝีมือช่างนี่เยี่ยมยุทธเลย แกะสลักประตูวัด....วัดสุทัศน์หรือ เปล่า ? ที่ท่านแกะสลักเสร็จท่านโยนเครื่องมือทิ้งน้ำไปเลย เพราะไม่มีใครเลียนแบบได้อีกแล้ว แล้วมารัชกาลของท่านเองท่านก็ต้องเหนื่อยต่อ เพราะช่วงนั้นพวกอังกฤษเริ่มยึดครองด้านตะวันออกไกลอีก
              แล้วท่านต้องเหนื่อยแทนรัชกาลทที่ ๔ อีกหาเงินให้เข้าท้องพระคลังหลวงเพื่อให้น้องรัชกาลที่ ๔ จะได้ไม่ต้องลำบากเพราะว่าน้องบวชพระอยู่ ทำมาหากินไม่เป็น ใคร ๆ ก็บอกตอนแรกว่ารัชกาลที่ ๓ แย่งสมบัติน้อง แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าท่านไม่รับรัชกาลที่ ๔ ขึ้นมาอาจตาย เพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอ่อน ใจของท่านเรียกว่าอ่อนโยนไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นที่เชื่อถือของบรรดาเสวกามาตย์ทั้งหมดในช่วงนั้น
               ถ้าหากว่ารัชกาลที่   ๔   ขึ้น   เหล่าพวกขุนพลศึกแม่ทัพต่าง  ๆ  ที่จะคิดแทนทำแทนเจ้านายตัวเองมีก็อยากจะต้องการให้กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ขึ้น ครองราชย์ อาจปฎิวัติรัฐประหารแล้ว รัชกาลที่ ๔ ท่านจะรอดมั้ยล่ะ ? เพราะว่าท่านเองท่านทำงานแทนพ่อมาตลอด คนเขาเห็นฝีมือ เขาเชื่อถือยกท่านขึ้นเป็น ท่านเป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวของราชวงศ์จักรีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยไม่ ได้สวมมหาพิชัยมงกุฏ พอพราหมณ์ทั้งหมดยกมหาพิชัยมงกุฏถวาย ท่านวางไว้ข้างพระองค์บอกว่าเก็บไว้ให้น้องเขา แล้วคนจะเอาจะทำอย่างนั้นทำไม ?ท่านได้แต่รักษาสมบัติไว้แทนน้องเท่านั้นเอง แล้วท่านได้ช่วยหาเงินเข้าพระคลังหลวงอย่างชนิดที่เรียกว่าเหลือเฟือเลย บอกว่าขอไว้แค่สามหมื่นชั่งเศษ ๆ เอาไว้บำรุงวัดที่ท่านช่วยสร้างไว้ ๓๐ ๔๐ วัดที่เหลือนั้นยกให้หมดเลย ท่านเหนื่อยแทน รัชกาลที่ ๔ ตอนนั้นท่านเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าอยู่ ก็เข้ามาถวายบังคมความยินดีตามแบบคราวนี้มันอาจมีบรรดาเจ้าใหญ่นายโตเคลื่อน ไหวรุนแรงพึงพับไป ท่านก็ตกใจจนตัวสั่น รัชกาลที่ ๓ บอกไม่ต้องกลัว ถ้าท่านยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรได้ รัชกาลที่ ๔ ท่านไปบวชเป็นพระ คล้าย ๆ กับว่าหนี ราชภัย
               สมัยก่อนไปบวชนี่ถือว่าพ้นจากโทษทั้งปวงแล้ว    เป็นคนของพระศาสนาไป  คราวนี้ที่ท่านตั้งธรรมยุติขึ้น มา อันดับแรกก็คือว่า ต้องการจะเห็นสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยแบบพระมอญขึ้นมาบ้าง อันดับที่สองก็คือว่าถ้ามีคนเขานับถือตามเป็นจำนวนมาก ก็มีกำลังพอที่จะต่อรองกับรัชกาลที่ ๓ ท่านได้ มีเพาเวอร์ของตัวเองบ้าง นั่นเป็นส่วนลึก ๆ อยู่ในใจ เพราะฉะนั้นองค์เดียวเหนื่อย ๓ รัชกาล แต่ว่าคนไม่ค่อยเห็นความดีท่านหรอก
               ปัจจุบันนี้ยังเหนื่อยต่อเป็นพระสยามเทวาธิราชอยู่ รัชกาลที่ ๓ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นไม่ใช่เหนื่อยแค่ ๓ รัชกาลนะ สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ๘ รัชกาลแล้ว
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 07 พฤศจิกายน 2008, 19:26:28
http://grathonbook.net/book/7.5.html

ถาม :   พระสยามเทวาธิราชนี่เป็นใครค่ะ  ?
       ตอบ :    พระสยามเทวาธิราชส่วนใหญ่จะเป็นบูรพามหากษัต ริยาธิราชและเชื้อพระวงศ์ที่ท่านขึ้นไปได้ดีอยู่ข้างบนแล้วก็ยังห่วงใย ประเทศชาติอยู่ รับหน้าที่ดูแลรักษาด้วยกัน เรียกรวม ๆ ว่าพระสยามเทวาธิราช จริง ๆ มีบานเลย ฟังนิทานย้อนยุคหน่อย อตีตากำลังฮิต ว่าเรื่องเก่า ๆ ว่าไปเรื่อยเลย คนอื่นมันไม่รู้มันเถียงไม่ได้หรอก
       ถาม :     แล้วเรื่องแหม่มแอนนา  ?
       ตอบ :   แหม่มแอนนาสมัยรัชกาลที่    ๔   แต่จริง  ๆ   คือสมัยรัชกาลที่   ๒    เลย   เพราะว่าจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงสอนภาษาให้   แต่ว่าที่เขาเขียนเดอะคิงส์แอนด์ไอน่ะ    คิงส์นั้นหมายถึงรัชกาลที่   ๔
       ถาม :     เขาเขียนธรรมเนียมไม่ชัดเจน
       ตอบ :  สายตาของเขา เขาใช้สายตาของเขา เขาใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีของเขา โลกทัศน์ของเขามามอง มันก็จะเห็นอย่างนั้น เขาเองเขาก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งว่าของเราเป็นยังไง ก็แบบเดียวกับเราไปดูพวกกระเหรี่ยงลำบากยากจนเสียเหลือคณา ที่ไหนได้อยู่อย่างเป็นสุขเสียด้วยซ้ำไป เขารู้จักพอ
       ถาม :     ............(ไม่ได้ยินเสียง)............
       ตอบ :   พระคาถาชินบัญชร    เป็นการเร่งบารมี   เร่งเจ้ากรรมนายเวรมันเร่งยังไง   ?
       ถาม :   จากหนักก็เป็นเบาอย่างนี้น่ะคะ  ?
       ตอบ :    คือว่าถ้าเราภาวนาคาถาเป็นประจำ    ก็คือสมาธิภาวนา   คนที่มั่นคงในทาน   ศีล   ภาวนานี่    กฎของกรรมตามได้ไม่เกิน    ๒๕   เปอร์เซ็นต์   หลวงพ่อบอกไว้ชัดเลย    เพราะฉะนั้นมันสำคัญว่าเราทำจริงจังและต่อเนื่องมั้ย   ทำทิ้ง   ๆ  ก็ช่วยอะไรไม่มากหรอก    ต้องให้ต่อเนื่องด้วย
       ถาม :     ผมก็เข้าใจว่า   ( ฟังไม่ชัด)   เพราะว่าช่วงนี้ผมก็กำลังตกงานอยู่ด้วย
       ตอบ :  ก็เอาสิ ใครเขาว่าอะไร ถ้าเป็นอาตมาตกงานนี่นั่งภาวนาคาถาเงินล้านสักวันหนึ่ง พันสองพันจบไปเลย สบายกว่าเยอะ อยู่ที่เราเองชอบแบบไหนเอาแบบนั้น เพราะว่าคาถาทุกบทคือ เครื่องทำใจให้เป็นสมาธิ ผลของสมาธินั้นเป็นอันดับแรก ถ้ากำลังใจเป็นสมาธิใจก็สบาย ถ้าใจดีใจสบายทุกอย่างมันดีหมด ถ้าไปดิ้นรนไปอยากได้ใคร่มีมันร้อนรนกระวนกระวาย เรื่องมรรคเรื่องผลมันตัดไป เรามีหน้าที่ภาวนา ก็ภาวนาของเราไป ผลจะเกิดยังไงก็แล้วแต่เขา
       ถาม :    (ฟังไม่ชัด )    หนีไปอยู่ที่ป่าช้า   
       ตอบ :   จริง ๆ   แล้ว   การที่เราอยู่กับคน ถ้าเราสามารถทำใจได้ ถ้าชนะแล้ว ก็ชนะเลย แต่ถ้าเราหลบไปที่ใดที่หนึ่งแบบพระธุดงค์เข้าป่าไป ถ้าใจสงบกลับมากระทบมันอาจกำเริบใหม่ได้   ลักษณะนั้นเราทำถูกที่เราหลบซะก่อน   เรารู้ว่ามันไม่ไหวมันจะเกินกำลังของเราแล้ว   
              สาเหตุมันเกิดจากการที่เรารับอารมณ์ไปสะสมอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว มันนิดหน่อย ๆ เรายังรับได้ ๆ แต่ความจริงพอสะสมไป ๆ เหมือนฟางเส้นสุดท้ายแล้ว ที่ภาษิตฝรั่งเขาว่าฟางเส้นสุดท้ายทำให้อูฐหลังหัก บรรทุกไปตั้งหลายร้อยกิโลมันยังบรรทุกได้ เอาฟางใส่เข้าไปอีกเส้นเดียวมันล้มแผละเลย ของเรามันต้องระวังตัวเองเอาไว้ เรื่องของการรับอารมณ์นี่อย่าให้มันรับเข้ามา เรารู้อยู่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ดี กระทบตาให้มันอยู่แค่ตา กระทบแค่หูให้มันอยู่แค่หู ให้เราทำความดี
       ถาม :   (ไม่มีเสียง)   
       ตอบ :   เรื่องของบุญกฐินหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ใครเป็นเจ้าภาพกฐินตั้งแต่    ๓   ปี  ติดกันขึ้นไปให้สังเกตตัวเองไว้   ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา อันนี้พิสูจน์มาแล้ว เพราะว่าจะเป็นเจ้าภาพกฐินทุก ๆ ปี ติดกันมาตั้งแต่ก่อนบวช จนกระทั่งบวชมาสิบกว่าปีแล้วรู้สึกว่าทำอะไรคล่องตัวดี
       ถาม :   หมายถึงในปัจจุบันด้วยนะคะ  ? 
       ตอบ :   จ้ะ   ชาติปัจจุบันนี้เลย   ความคล่องตัวมันจะเกิดขึ้นเอง   ถ้าเราไม่มีความสามารถจะเป็นประธานกฐินเองก็ร่วมกับคนอื่นเขา   จะปัจจัยหรือว่าเป็นสิ่งของก็ได้   อย่างพระพุทธเจ้าสมัยท่านเกิดเป็นมหาทุคคตะ เจ้านายจะทอดกระฐิน ท่านเองท่านอยากจะร่วมบุญด้วย มีแค่เข็มกับด้ายเท่านั้นเอง ร่วมในกฐินแล้วท่านตั้งความปรารถนาขอให้ท่านสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตด้วย อย่าคิดว่าทำแค่นั้นนะ ปรากฏว่าได้อย่างที่ต้องการ
               บุญกฐินเป็นบุญสังฆทานพิเศษ    เหตุที่เรียกว่า   เป็นสังฆทานพิเศษ   เพราะจำกัดจำเขตที่ทำปีหนึ่งจะมีเวลาทำบุญกฐินได้แค่เดือนเดียว    คือแรม   ๑   ค่ำ    เดือน  ๑๑    จนถึงกลางเดือน   ๑๒   วันลอยกระทง    เพราะฉะนั้นบุญกฐินก็เลยถวายเป็นบุญพิเศษ เป็นสังฆทานที่มีอานิสงส์ใหญ่มาก     
              หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคคลที่ทำบุญกฐินถ้าเกิดใหม่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ หมดบุญจากนั้นลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ ได้ลงไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะหมดบุญจากกฐินเข้านิพพานกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสก็ทำถ้าไม่มีโอกาสก็รวมกันหลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องมาก บุญกฐินสำคัญที่สุดตรงผ้าไตร ถ้าเรามีน้อยสบงผืนหนึ่งก็ได้ มีมากหน่อยก็จีวรสักผืนหนึ่งถ้าหากว่ามีครบไตรได้ก็ดี ถ้ามีมากกว่านั้นพระเขามีกี่องค์ถวายให้ครบองค์เป็นมหากฐิน    
                เพราะฉะนั้นกฐินสำคัญตรงผ้าไตร   กว้างคืบยาวคืบพระท่านเรียกว่าผ้าไตรแล้ว    ผ้าสบงมันเกินคืบแน่  ๆ   ก็คือจีวรในพระพุทธศาสนาดังนั้น   ผู้ที่ถวายจีวรในพระพุทธศาสนาถ้าเป็นผู้หญิงเกิดใหม่จะมีเครื่องมหาลดาปสาธน์แบบนางวิสาขามหาอุบาสิกา เครื่องมหาลดาปสาธน์นี่เป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ที่มีมงกุฏเป็นรูปนกยูงรำแพน หางลงมาข้างล่างต่อลงมาเป็นเสื้อคลุมทั้งตัว ท่านใช้คำว่า ร้อยด้วยแก้วมณี     เฉพาะแก้วก็คือเพชร     แก้วมณีคือเพชร   เฉพาะเพชรอย่างเดียว    ๑๖   ทะนาน   บุญไม่ดีจริงคอหักตายไปเลย    ถ้าเป็นผู้ชาย  ถ้าได้บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอท่านตรัสเอหิภิกขุจะมีจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้เลย     ได้ทั้งหญิงได้ทั้งผู้ชาย   เกิดเป็นผู้หญิงก็ได้บุญอันนี้   เกิดเป็นผู้ชายก็ได้บุญอันนี้
              เพราะฉะนั้นการถวายจีวรในพระพุทธศาสนาจะมีกุศลขนาดนี้ แล้วถ้ายิ่งเป็นจีวรในช่วงกฐินด้วย กฐินสมัยก่อนผ้ามีน้อย ส่วนใหญ่ท่านจะคัดเลือกบุคคล คือ ภิกษุที่มีผ้าเก่าที่สุดเพื่อที่จะมอบผ้าใหม่ผืนนั้นให้กับท่านไป
               แต่ว่าในปัจจุบันนี้    ส่วนใหญ่ผ้าจะได้มากอย่างวัดท่าซุงสมัย ก่อน หลวงพ่อท่านถวายองค์ละไตรเลย อย่างของอาตมาที่นิมนต์เขามาทุกวัดก็ถวายครบทุกองค์ เพราะฉะนั้นแต่ละปี ๆ จะสั่งผ้าไตรจีวรจากร้านประจำ สั่งกันมาทีหนึ่งหลายลัง ทางด้านร้านประจำเขาจะมาส่งจีวรถึงที่แล้วคิดราคาเดิมทุกปีไม่มีขึ้น เขาถือว่าเป็นลูกค้าประจำ ปีที่แล้วก็สั่งไป ๕๐ ชุด
       ถาม :    ถ้าจบกฐินแล้ว   (ฟังไม่ชัด)   
       ตอบ :   ไม่มีปัญหาอะไร    เพราะว่าอนิสงส์กฐินจริง   ๆ  มันอยู่ที่คนทำซะมาก    พระนี่พอรับกฐินแล้วจะมีอานิสงส์ตรงที่ว่าสามารถจะผ่อนคลายสิกขาบท     คือ   ศีลพระ   ได้หลายข้อ    อย่างเช่นว่า   เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา    ถ้าก่อนจะได้อานิสงส์กฐินนี่จะไปไหนต้องแจ้งก่อนทุกครั้ง     
               บางคนจะไปในที่   ๆ   ตนเองคิดว่ามันไม่น่าจะบอกคนอื่นก็จะอึดอัดใจ   ไม่อยากบอกใคร   อย่างนี้สามารถฉันโภชนาได้    คณะโภชนาก็คืออาหารที่เจ้าภาพเขาออกชื่อ ถ้าเจ้าภาพนี่เขาออกชื่อนี่จะไปฉันเกิน ๓ องค์ไม่ได้ ถ้าเกิน ๓ องค์ เขาปรับอาบัติศีลขาดหมดเลย เพราะว่าสมัยก่อนพระมีเยอะ พอเจ้าภาพออกชื่ออย่างเช่นว่าถ้านางวิสาขามหาอุบาสิกา บอกพรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวมธุปายาส พระไปซะ ๕๐๐ องค์ อยากกินของดี เลยต้องสั่งห้ามคณะโภชนา คือเจ้าของออกชื่ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นแกงหมู แกงเป็ด แกงไก่ ถ้าบอกชื่อขึ้นมานี่ห้ามฉันเกิน ๓ องค์ ถ้า ๔ องค์ขึ้นไปเรียกว่า คณะโภชนา โดนปรับอาบัติทุกองค์ ถือว่ารบกวนเขามาก
              เพราะฉะนั้นพวกเราถ้านิมนต์พระฉันนี่ ให้บอกว่านิมนต์ฉันเช้า นิมนต์ฉันเพล อย่าไปออกชื่ออาหาร ถ้าออกชื่ออาหารพระไม่ได้ฉันหรอก ให้ฉันปรัมโภขนาได้    ปรัมโภชนานี่หมายความว่าเราฉันจากที่ของเราก่อนแล้วไปในที่นิมนต์ฉันต่อได้    เพราะว่าบางเจ้า   อย่างทางวัดท่าซุง    ถ้าเจอผู้ใหญ่จันทร์นิมนต์ นี่หน้ามืดทุกทีแหละ เพราะผู้ใหญ่จันทร์นี่สองโมงครึ่งยังไม่ได้ฉันเช้าเลย แกจะลากยาวของแกไปเรื่อยแหละ พอคนเตือนก็ ฮึ้ม ! มันจะหิวอะไรนักหนาเชียว ก็ตัวเองกินข้าวเย็น ตื่นเช้าขึ้นมาฟาดกาแฟไปอีกต่างหาก ส่วนพระแขวนท้องมาอย่างน้อย ๑๘ ชม. แล้วเขาไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้
              เพราะฉะนั้นถ้าได้อานิสงส์กฐิน เราฉันไปก่อนจะเป็นข้าวต้ม หรือกาแฟ หรือโอวัลติน ไปก่อนได้ แล้วไปฉันต่อที่โน่น แต่ถ้าหากว่าไม่ได้อานิสงส์กฐินแล้ว ไปฉันอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติ ศีลขาดเพราะว่าไปฉันของเขาได้น้อย เดี๋ยวเจ้าภาพเขาจะเสียใจ มันทำลายศรัทธาเขา
                ผ้าที่เกิดขึ้นในที่นั้นสามารถเก็บไว้เป็นของตัวเองได้   คือหมายความว่า    ผ้าที่ได้ในช่วงนั้น   ถ้าเราได้อานิสงส์กฐิน    เราเก็บไว้ใช้เองได้    ถ้าหากว่าไม่ได้อานิสงส์กฐินได้มาต้องวิกัป    คือทำเป็น   ๒    เจ้าของ หมายความว่า เป็นเจ้าของร่วมกับคนอื่น หากเขาต้องการใช้เขาเอาไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้วกลัวจะเป็นการสะสมเพราะสมัยนั้นถ้าหากว่าเศรษฐีเขาถวายใช่ มั้ย ? อย่างผ้าสาฏกผืนหนึ่งราคาต่ำสุด ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ๘๐๐,๐๐๐ บาทสมัยโน้นน่ะ สมัยนี้ ๘๐๐,๐๐๐ ก็ไม่ได้หรอก กลัวว่าพระจะสะสมของดี ๆ เยอะไป ก็เลยห้ามไว้เหล่านี้ เป็นต้น
              เพราะฉะนั้นจะผ่อนคลายสิกขาบทนี้ได้ ศีลทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านจะหย่อนให้ คือ เครียดมาทั้งพรรษาแล้ว ออกพรรษาได้อานิสงส์กฐิน ผ่อนให้หน่อยหนึ่งจนถึงกลางเดือนสี่ เป็นอันว่าเริ่มกลับเข้าไปเข้างวดตามเดิม อานิสงส์กฐินนี่ถ้าจำพรรษามา ตลอดพรรษาแล้ว ไม่ได้กรานกฐินจะได้อานิสงส์นี้เดือนเดียว แต่ถ้าได้กรานกฐิน ก็เพิ่มให้จนถึงกลางเดือนสี่ ก็เท่ากับว่าได้ไปห้าเดือนเต็ม ๆ เพราะฉะนั้นอานิสงส์กฐินมีมาก คนทำได้เยอะแต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้พระสงส์ได้ผ่อนคลายจากระเบียบอันเข้มงวด ลงไปบ้าง แล้วอีกอย่างหนึ่งเป็นทานที่จำกัดเวลา ก็เลยมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ  
              หลวงพ่อท่านให้สังเกต ก็ลองสังเกต จริงอย่างท่านว่าทุกอย่าง ท่านบอกว่าใครได้เป็นเจ้าภาพกฐินติดกันตั้งแต่ ๓ ปีขึ้นไป สังเกตความเป็นอยู่ของตัวเองจะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราเองถ้าไม่ได้สังเกตก็ไม่รู้สึก แต่ถ้าสังเกตแล้วจะรู้ อย่างคนคนอื่นลำบากทำไมเราไปของเราเรื่อย ๆ จะเป็นอย่างนั้น ที่วัดก็ตั้งใจทอดกฐินถวายหลวงพ่อปีละ ๙ วัดทุกครั้ง แต่ส่วนมากมันเกินปีที่ผ่านมาเจอไป ๒๒ วัด คือพอเขาได้ยินแล้ว เขาเองกฐินไม่มีเขาก็จะมาขอ พอมาขอก็เอา ถึงเวลานิมนต์เขามา พอเรารับกฐินได้เท่าไหร่ก็หารกันไปเลย
               ตอนนั้นนะกลายเป็นว่า   ถ้าเป็นกฐินของมาตมานี่   ตัวเองแทบจะไม่ได้รับเลย  (หัวเรา)     คราวที่แล้วเจ้าภาพหลวงพี่สพฤกษ์ ท่านเป็นเจ้าภาพ ท่านจะนิมนต์พระมานั่งเรียงกันไปเลย แล้วเจ้าภาพแต่ละคนถวายเฉพาะของใครของมันเลย แต่ว่าโดยมารยาทแล้วถ้าถวายเสร็จนี่เขาจะถวายกลับคืนไห้กับเจ้าของวัด เราต้องประกาศเลยว่า อันนี้ถวายขาดเป็นสิทธิ์ให้เขาเอากลับได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าเขาคืนมาเขาจะไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นเจ้าภาพแต่ละคนมีแต่ประเคนไปเองเลย แล้วเขาเองเขารับเสร็จก็หอบกลับวัดไปได้เลย
              หลายคนเขาแปลกใจว่าเรารับกฐินแล้วทำไมไม่ได้สตางค์อะไรมากมายเหมือนคนอื่น เขา บอกไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว (หัวเราะ) เพราะว่ายังต้องเลี้ยงโยมเลี้ยงอะไรอีก มันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าจากความตั้งใจคือเดือนตุลาคม ซึ่งมักจะเป็นช่วงกฐิน จะเป็นเดือนมรณภาพของหลวงพ่อ แล้วเป็นเดือนที่จัดงานวันเกิดหลวงพ่อด้วย ทั้งเกิดและทั้งตายเดือนเดียวกัน ตั้งใจตั้งแต่ออกไปอยู่ทองผาภูมิว่าจะทำถวายหลวงพ่อทุกปี แล้วก็สามารถทำมาได้ทุกปีเหมือนกันนะ
       ถาม :    แล้วชาวบ้านแถวนั้นไปทำบุญเยอะมั้ยคะ  ?
       ตอบ :  แรก ๆ ชาวบ้านจะมีอยู่ ๔ หมู่บ้าน เขาไปกันชนิดยกหมู่บ้านเลย เพราะว่าเป็นชนกลุ่มน้อย คือ มอญ ทวาย กะเหรี่ยง เหล่านี้ พวกนี้เขาศรัทธามากแล้วมาอยู่ได้ ๒ ปีครึ่ง ทางการเขา ไม่ต้องการให้กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ป่า เพราะว่าเป็นการทำลายป่าเลยกวาดล้างทั้งหมด ไปรวมกันที่หน้าอำเภอ ไปจัดศูนย์อพยพหน้าอำเภอประมาณ ๘๐๐ หลังคาเรือน รอบ ๆ ที่เราเคยบิณฑบาตได้ ๔ หมู่บ้านหมดเกลี้ยงไปเลยไม่อย่างนั้นถึงเวลาเขามาทำบุญนี่กินกันปางตายเลย ล่ะ
              เพราะว่าเขามานี่เขาจะมาปิ่นโตบ้านแต่ละเถา ๆ หิ้วกันมาเลย ไอ้เราตักของเขาอย่างละช้อนเดียวมันก็ค่อนบาตรแล้ว ฉันกันไหวซะเมื่อไหร่ล่ะ ศรัทธาของพวกนี้เขาดีมาก ประเทศชาติของเขาไม่สงบเขาก็หนีมาพึ่งอาศัยบ้านของเรา แต่น่าสงสารเขาว่าของเขามาถึงต้องการที่อยู่ก็ต้องไปหักล้างถางพงหาพื้นที่ ที่ไม่มีใครอยู่
              พื้นที่ที่ไม่ไม่มีใครอยู่ส่วนใหญ่บ้านเราตอนนี้ไม่เป็นป่าสงวนก็เป็นอุทยาน หมด เลยต้องมีการเอาเขาไปรวมที่นั่น ถึงเวลาใครต้องการแรงงานช่วงนี้ก็ต้องไปเซ็นรับรองเขาออกมา จ่ายค่าหัวคนละ ๑,๕๐๐ จะเอาเขาไปทำงานได้ปีหนึ่ง ๑,๕๐๐ บาท ต่อคนต่อปี แต่ว่าเอาเช้าแล้วตอนเย็นต้องไปส่งคืน ยกเว้นหน่วยราชการอย่างพวกป่าไม้หรือว่าทางอำเภอเอาไปอยู่ประจำได้แต่ว่า ห้ามเพ่นพ่าน จะต้องจัดที่อยู่ให้เขาโดยเฉพาะเลย
              ถ้าหากว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปต้องการแรงงานไปรับเซ็นออกมา เย็นเขาไปส่งเซ็นเข้าไป กลัวว่าพวกนี้เขาจะหลบเข้าเมือง เลยต้องเข้มงวดกันหน่อย ตรงนั้นก็เลยกลายเป็นเมืองมอญ เมืองพม่าไปเลย ที่ชอบใจที่สุดเป็นพวกขายกับข้าว เพราะรถปิ๊กอัพกับข้าววิ่งเข้าไปออกมารถเปล่าเลย (หัวเราะ) ๗๐๐ - ๘๐๐ หลังคาเรือนน่ะ วิ่งของไปเต็ม ๆ ออกมารถเปล่าเลย
       ถาม :     พวกนั้นมาม่า   ยังไม่ค่อยรู้จักกันเลย
       ตอบ :   มันเป็นของดีของเขา    ท่านนาวินไปพระบรมธาตุอินแขวน ลงจากพระธาตุเดินมาถึง ท่านนาวินสั่งมาม่าต้มยำให้ บอกว่า คุณ.... ที่วัดน่ะฉันอาทิตย์ละ ๗ วันเท่านั้นแหละ ของดีของเขา มันก็เลยกลายเป็นว่าของดีแล้วแพงด้วยคนทำมาม่าเขาก็ภูมิอกภูมิใจ อุตสาห์มาถามว่าอร่อยไหม (หัวเราะ) บอกที่อาตมาอยู่เนี้ย บางอาทิตย์นั้นฉันไม่มากหรอกฉันแค่ ๗ วันเท่านั้น
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 08 พฤศจิกายน 2008, 21:24:57
http://grathonbook.net/book/7.6.html

ถาม :   อาการตัวลอยมันเป็นเพียงอาการเฉย  ๆ   หรือว่า
       ตอบ :  มันลอยไปจริง ๆ อาตมากล้ายืนยัน เพราะตัวเองเกือบจะโดนพัดลมฟันตายมาแล้ว ภาวนาไป ๆ มันรู้สึกมีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว ก็เลยลืมตาขึ้นมาดู พัดลมเพดานมันยาวลงมาประมาณ ๒ ศอก ไอ้เราลอยขึ้นมามันวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาเห็นตกใจสมาธิหลุด หล่นดังพลั่ก ตั้งแต่นั้นมาเป็นบทเรียน ว่าถ้าภาวนานี่ต้องปิดพัดลมก่อนอันตรายมาก
       ถาม :     ถ้าโดน   เป็นอะไรรึเปล่า  ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าโดนกำลังฌานมันน่าจะคุ้มได้นะ    แต่เราเองอย่าไปเสี่ยงกันได้ก็กันไว้ก่อน
       ถาม :     แต่ฟังเหมือนกับยังได้ยินเสียงภายนอก  ?
       ตอบ :    ตัวนั้นมันเป็นแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้น มันได้ยินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เรากำลังเพลินก็ไม่ได้สนใจ พอมันรู้สึกบึบ ๆ อยู่ข้างเอวเลยลืมตาดู (หัวเราะ) ลอยจริง ๆ มีหลายทีมันลอยในลักษณะว่าพุ่งขึ้นไป เราก็กลัวไง มันเลยไปแปะติดกับเพดานอย่างกับจิ้งจก นอนภาวนา มันลอยไป มันแปะติดอยู่ คราวนี้มันแปะแรงไปจมูกมันบี้หายใจไม่ออก เฮ้ย ! กูจะหายใจได้มั้ยวะนี่ ? (หัวเราะ) สนุกดี บางทีมันหมุนไปรอบ ๆ ห้อง เราปิดประตู ปิดหน้าต่างหมด มันไปไหนไม่ได้มันก็หมุนเลาะข้างฝาไปเรื่อย คือเรารู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันก็กลับที่เดิมเป๊ะเลย
       ถาม :   เหมือนกับเรานอนปกติ  ?
       ตอบ :   เหมือนทุกอย่างเลย    อยู่ท่าไหนมันลงท่านั้น    ลงที่เดิมเป๊ะไม่มีพลาดเลย   อย่างกับมันจำได้
       ถาม :    แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่เดิมนี่แสดงว่าเรานอนดิ้นใช่ไหม  ?
       ตอบ :  มิสิทธิ์เหมือนกัน แต่ว่าลอยไปข้างนอก ประเภทไม่ได้ปิดประตูไม่ได้ปิดหน้าต่าง ถ้าลอยไปข้างนอกก็รักษาสมาธิให้ดี ถ้าสมาธิคลายมันจะหล่น คราวนี้ต้องเดินกลับ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่ามีพระวัดบางนมโคองค์หนึ่งลอยไปกลางทุ่ง ๒ กม. ลืมตาขึ้นมาตกใจเลยหล่นพลั่ก เดินกลับ ๒ กม.กว่า นี่เดินแย่เหมือนกันนะ
       ถาม :   หลวงพี่เล่านี่ประเภทลอยแต่ภายในออกหรือเปล่า  ? 
       ตอบ :  กายในลอยออกไปอย่างเดียวก็มี พวกนั้นจะอยู่ในลักษณะว่าถอดมโนมยิทธิเต็มกำลัง ลักษณะนั้นถึงเวลาไปได้ไกลก็กลับ เพราะว่าไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ บางทีมันเผลอหลุดออกไปไม่ทันได้ภาวนา ไม่ทันได้พิจารณา มันออกไปมืดตื๋อเลย เปะปะ ๆ ไปพักหนึ่งไปไหนไม่ถูกก็กลับ
       ถาม :    อยู่คนเดียวนี่มันก็โล่งดี   แต่เวลาออกไปฝึก   เวลาเดินไปตามห้างนี่   ไหลทุกทีครับ  ?
       ตอบ :    นั่นสติเราตามไม่ทัน   สติเราไม่ทันมัน เราปล่อยให้ตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน ถ้าตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน สติเราไปยับยั้งมันนี่ไม่ทันแล้วกำลังเขาเหนือกว่าเรา เขาคล่องกว่าเยอะ ในเมื่อเขาคล่องกว่าเยอะ ถ้าเวลาไหลตามมันไปก็เป็นอันว่าเสร็จ กว่าจะรู้ตัวบางทีไปเป็นชั่วโมง เป็นชั่วโมงนี่ถือว่าเร็วแล้วนะ บางคน ๓-๔ วัน กว่าจะรู้ตัว มันจูงจมูกไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
       ถาม :     มันไหลแล้วเราตามยากหรือ ?
       ตอบ :  คือ กำลังมันเหนือกว่าเราอยู่แล้ว ความชำนาญในทางไม่ดีมันมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าหากเปิดโอกาสให้มันนี่เป็นอันว่าเราเสร็จมัน บางคนก็พังเป็นเดือนเลย
              ถ้าหากว่าเราถนัดตามห้างก็เอาตามห้าง อาตมาเองถนัดตามป้ายรถเมล์ เห็นหน้าคนที่รอรถเมล์น่ะ โอ้โห !มันทุกข์สาหัสทุกคนเลย หน้านิ่วคิ้วขมวดดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก เมื่อไหร่รถคันที่ตัวเองจะมา จนกระทั่งบางทีเขาไปตั้งข้อสังเกตว่า รอคันไหนคันนั้นมันจะไม่มา (หัวเราะ) หน้าตาไม่มีใครมีความสุขเลย ไปนั่งดูได้
               คราวนี้มันอยู่ที่เราชอบแบบไหน    ชอบพิจารณาทุกข์หรือชอบแบบพิจารณาความเป็นจริงของร่างกาย    เลือก  ๆ   เอาว่าแล้วแต่เราถนัด   ของอาตมานี่ถนัดป้ายรถเมล์   ชอบมากเลย
       ถาม :    ร้อน   ๆ  นะครับ  ?
       ตอบ :    ดูแล้วสงสาร   ยิ่งถ้าขึ้นรถเมล์ไปด้วย   แสงชัยเคย ไปร้องไห้บนรถเมล์มาแล้ว ขึ้นไปถึง พอเห็นเขา โอ้โห ! โลกนี้ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ แต่คราวนี้มันอายเขาพยายามกลั้นไว้ ถนัดที่ไหนก็ที่นั้นแหละสนามรบของเรา รบกับกิเลส รบในเมืองถ้าชนะแล้วชนะเลย รบในป่านี่สงบลงไม่แน่ว่าจะชนะเขา ออกมาอาจจะแพ้ก็ได้
       ถาม :  หมายถึงว่า เหมือนเปรียบกับอารมณ์ ๒ อย่าง มันจะเห็นชัดเจนเลย มันอยู่ที่ว่า การ...(ฟังไม่ชัด)... เนี่ย ออกตัวไหลเป็นก้อนอยู่ในประสาท แต่คิดว่าไหลแล้วเนี่ย ตอนเย็นอาบน้ำท่าเดินออกไปเลย ไปถึงโดนซัดตูมเลย....(ฟังไม่ชัด)...
       ตอบ :  ระวังไว้ให้ดี แต่ว่าอย่างว่าแหละโอกาสพลาดมันเยอะ พระนี่ขนาดมีศีลเป็นเครื่องคุ้มยังพลาดแล้วพลาดอีก เพราะฉะนั้นชีวิตฆราวาสนี่ กิเลสโอกาสที่มันจะกินเรามีมากกว่านะ ต้องระวังให้ดี เผลอเมื่อไหร่ อย่าคิดว่ามันจะเลี้ยงเรา มันกลัวเราหนี มันตีตายใส่โซ่เลย (หัวเราะ)
       ถาม :    ตอนเป็นฆราวาสในการทำงาน   ทำงานในการเป็นพระกับทำงานเป็นฆราวาสนี่   ได้สัมผัสที่ต้องเจอกับผู้คนต่าง ...?
       ตอบ :    เหมือนกัน   แต่ว่าทำงาน   ตัวอารมณ์กระทบ   คือ  ตัวปฎิฆะกับโทสะ มันจะมีมากกว่า เหตุที่มีมากกว่า เพราะว่าในความเป็นพระนี่คนเขารู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ในฐานะอันสูงเขาก็ไม่ พยายามที่จะขัดคอขัดใจเรา
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นฆราวาส ตัวปฎิฆะที่จะก่อให้เกิดโทสะจะมีเยอะกว่า แต่ถ้าของพระมันกลายเป็นว่ามีศีลเป็นกรอบกำหนดอยู่ มันจะกระทบกับตัวราคะมากกว่า จากคนที่เราไม่เคยสนใจเขาเลยอาจจะไปแอบมองเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันต่างกันคนละจุด แต่ถ้าอยู่ในลักษณะของการสู้กับมันคล้าย  ๆ  กัน   เพียงแต่ว่าจุดที่จะโดนมันมาคนละจุดกัน    แต่ว่าบางคนนี่วิสัยเดิมของเขามาจากพื้นฐานของโทสะถึงบวชเป็นพระแล้วก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่เรื่อย
       ถาม :    เรื่องของโทสะจะเข้ามากวนอยู่เรื่อยใช่มั้ย  ?
       ตอบ :    ใช่  ถ้าวิสัยเดิมของเขามาจากโทสะมันก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่ตลอดเวลา   เพราะรู้ว่าจุดอ่อนเราอยู่ตรงนั้น   แล้วอีกอย่างจะตัดตัวไหน   ตัวนั้นมักจะมาลอง   ยิ่งตัดยิ่งเยอะ   
       ถาม :   อย่างพระที่อื่นเข้าป่าแล้วภาวนา   แล้วก็บรรลุ   แต่ว่าทำไมสายเราอย่างหลวงพ่อนี่ไม่เคยพาเราไปบ้าง  ?
       ตอบ :  ใครว่าไม่บรรลุ บรรลุ ก็ไปภาวนาสิไม่มีใครห้ามแต่อาจจะ ๕๐ ปี แต่ขณะเดียวกันว่าเราสู้กับงานอาจจะเหลือแค่ ๒๐-๓๐ ปี การที่เรากระทบ กระทั่งกับคนรอบข้าง ถ้าเราเป็นผู้ที่ตั้งใจลดละเลิกทั้งหลายจริง ๆ มันก็จะมีเครื่องทดสอบอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้ระดับกำลังใจของเรา เราก็จะสามารถที่จะแก้ไขไปได้ตลอด มีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ   
              ไอ้ตรงนี้เรายังสู้ไม่ได้นี่หว่า คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น แต่ถ้าเราไปภาวนาในป่า ตัวกระทบอย่างนี้ไม่มี บางทีกิเลสของมันอาจจะโดนกดไว้เฉย ๆ มันไม่ได้ตาย พอเราออกมากระทบปังเดียวเท่านั้นเอง ไอ้ ๔๐- ๕๐ ปี ที่เสียเวลาภาวนาเป็นอันว่าหมดเกลี้ยงเลย
       ถาม :    แต่ก็เหมือนเดิมนี่ทำ   ๓  ครั้ง
       ตอบ :  ตอนนั้นถ้าพิจารณาสักหน่อยจะชัดมากเลย นั่นแหละมโนมยิทธิเต็มกำลัง (หัวเราะ) คือมันจะเผลอ ๆ ตอนที่ใจของเรามันไม่ได้นึกอยากไปแต่ความตั้งใจเดิมของเรามันเคยมีอยู่แล้ว ว่า ถ้ามันไปได้พอถึงเวลามันลงตัวโป๊ะมันก็ไปเลย
       ถาม :     ผมก็ภาวนา   นะ  มะ   พะ   ธะ     เหมือนกันครับ  ?
       ตอบ :    แต่คราวนี้ของเรานี่มันไม่ได้ภาวนาพิจารณาให้มันมั่นคง   โดยเฉพาะตัวพิจารณา    พอขาดการพิจารณามันไม่ชัดเจนไม่สว่าง   บางทีมันมืดตื้อเหมือนอย่างกับงมถ้ำ    คลำไปคลำมาไปไหนไม่ถูกกลับดีกว่า
       ถาม :  มันเหมือนกับมันพุ่งไม่สิ้นสุดน่ะ ผมก็ เอ๊ะ!จะไปไหนหว่า แต่ความรู้สึกจับได้ว่าหลวงพ่อท่านมาด้วย จะรู้สึกเลยว่าหลวงพ่อท่านมาก็แค่นั้นเอง
       ตอบ :   คราวหน้าก็ไม่ต้องกลัวสิ   ตั้งใจว่าพระอยู่ที่ไหนเราไปตรงนั้นน่ะ  (หัวเราะ)
       ถาม :     กลัวแบบตื่นเต้นน่ะครับนึกอะไรไม่ทัน
       ตอบ :   คราวนี้เข้าใจแล้วยังว่าคำว่า   ไม่กลัว  ๆ   เราไม่กลัวแต่ปาก    พอออกไปอย่างนั้นจริง   ๆ   มันเสียว  ๆ   ใช่มั้ย  ?    นั่นแหละตัวกลับเลยล่ะ    เพื่อนเขาเคยไปวัดท่าซุงรึยัง  ?   
       ถาม :     ยังครับ
       ตอบ :   ไปซะหน่อย   แล้วก็ไปเดินซะ    เดินวนให้รอบวัด   ถ้าปัญญามีพอมันจะเลิกสงสัยในพระรัตนตรัยไปตลอดชีวิตเลย
       ถาม :     เดินรอบวัดนี่นะครับ  ?
       ตอบ :  นั่นแหละจะได้รู้ไว้ วัดท่าซุงปี ๒๕๒๘ นะ ๒๕๒๘ หลวงพ่อก่อสร้างไปประมาณ ๓๐๐ ล้านบาท แต่ว่าเขาตีราคามูลค่าสิ่งของให้ราว ๆ ๔,๐๐๐ ล้านบาท เหตุที่เขาตีราคาขนาดนั้นเพราะว่า อย่างศาลา ๒ ไร่ นี่เขาตีราคา ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างไม่ไหว ท่านลงทุนทำเองทั้งหมด แค่ ๗ ล้านกว่าบาทก็อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นราคามาตรฐานของเขากับราคาแท้จริงที่หลวงพ่อทำมันเลยต่างกันมาก
              คราวนี้เราลองคิดดูว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาทนี่ ถ้ามันเป็นงบประมาณของกระทรวงหนึ่งมันก็กระจ้อยเลย ใช่ไหม ? แต่ว่าหลวงตาแก่บ้านนอกองค์หนึ่งสามารถสร้างศรัทธาญาติโยมได้ถึงขนาดนั้น เดินดูมัน เข้าไปถ้ามันไม่หลงตายซะก่อน สักชั่วโมงกว่า ๒ ชั่วโมง มันคงทั่ว ถึงเวลานั้นมันจะได้เลิกสงสัยว่า สังโฆอัปมาโณ เป็นยังไง  ?    คุณของพระสงฆ์เป็นยังไง    ถ้าปัญญามันมีมันจะคิดออกไปเอง    ตอนเหนื่อยลิ้นห้อยมันจะรู้เอง 
       ถาม :     น้ำฝาดเป็นยังไงคะ   คำว่าผ้าย้อมน้ำฝาด
       ตอบ :  น้ำฝาดนี่มันมาจากภาษาบาลีว่า  กาสาวะ    แปลว่า   น้ำฝาด   คือ    น้ำต้มจากเปลือกไม้   หรือว่าน้ำต้มจากเเก่นไม้   
       ถาม :     แล้วส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เอาผ้าจีวรพระย้อมมาจากน้ำต้มมาจากแก่นอะไร  ?
       ตอบ :   ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนุนหรือไม่ก็อย่างเหง้าไม้อย่างขมิ้น    แต่ว่ามีอยู่องค์หนึ่งคือ  พระอัญญาโกณฑัญญะ   ท่านไปอยู่ที่ฉัตทันตสระ หาแก่นขนุนมาต้มทำย้อมจีวรไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ดินลูกรังเอามาต้มทำย้อมจีวรผ้าเลยแดงแจ๋ผิดชาวบ้านเขา ถึงเวลาที่ท่านเข้ามากราบพระพุทธเจ้า บรรดาพระใหม่ ๆ ไม่รู้จักนี่ไง... ดูหลวงตาองค์นั้นสิน่ากลัวจังเลย ผอมมีแต่เอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว นุ่งห่มจีวรสีอย่างกับเลือด พระพุทธเจ้าได้ยินต้องเรียกประชุมเลย บอกนี่เธอไม่รู้จักหรือ ? พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนานะ ถ้าไม่นับพระพุทธเจ้า โดนนินทาซะเต็มเปาเลย ของท่านท่านไปอยู่ในป่าสบายใจท่านน่ะ อยู่กับช้างเป็นร้อย ๆ เชือก
       ถาม :   อธิษฐานยังไงถึงจะมีพระอรหันต์องค์แรก  ?
       ตอบ :   สมัยก่อนท่านกับพระสุพัททะ เป็นพี่น้องกันแบ่งที่นากันทำ ถึงเวลาต่างคนต่างทำในที่ของตัวเอง ของท่านจะไถนาท่านก็ทำบุญ จะหว่านข้าวท่านก็ทำบุญ ข้าวตั้งท้องท่านก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ นวดข้าวก็ทำบุญ ข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ
       ตอบ :  ส่วนท่านสุภัททะนี้ท่านเล่นไปเอาข้าวขึ้นยุ้ง แล้วท่านก็ทำบุญทีเดียว ของท่าน ๆ เริ่มแรกเอาก่อนเลยก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์องค์แรก ส่วนท่านสุภัททะเป็นองค์สุดท้าย เพราะฉะนั้นทำไว้เยอะดีกว่า
       ถาม :     นั่นอันนั้นเป็นชาติแรกที่ท่านเริ่มพระพุทธศานาหรือครับหรือว่าไม่ใช่  ?
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าผลกุศลที่ทำให้ท่านบรรลุเป็นองค์แรกนั้นเกิดจากตรงจุดนี้อย่างที่ท่าน ทำนี่มันน่าจะบรรลุได้ทุกจังหวะเลย (หัวเราะ) เพราะท่านทำบุญตลอด พระสุภัททะที่ท่านเป็นองค์สุดท้าย พระพุทธเจ้าพอได้ยินว่ามาท่านก็เลยบอกให้เข้ามา เพราะว่าเป็นองค์สุดท้ายที่ต้องสงเคราะห์ เทศน์สงเคราะห์เสร็จก็เป็นปัจฉิมโอวาทเลยใช่ไหม ?
                อามันตะยามิโวภิกขเว   ปฎิเวทยามิโวภิกขเว    ขะยะวะยะธัมมาสังขารา   อัปมาเทนะสัมปาเทถะ แปลว่าเอาประโยคสุดท้ายแล้วกันนะ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ชีวิตนี้ห้ามประมาทในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะถ้าประมาทในการทำความดี มันจะลงอบายภูมิมากกว่า
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2008, 21:29:32
http://grathonbook.net/book/7.7.html

ถาม :    เรื่องจีวร   ทำไมครั้งแรกต้องย้อมน้ำฝาดเป็นสีส้มค่ะ  ?
       ตอบ :   คือว่าสมัยก่อนนี่บุคคลที่นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเขาถือว่าเป็น  อนาคาริก คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ลักษณะแบบคนพเนจร จรจัดไม่มีเวลามาหาของดี ๆ ที่จะมาประดับมาตกแต่งอะไรกัน พระพุทธเจ้าต้องการลดต้นลงมาให้ต่ำที่สุดเลย เพื่อให้คนที่ถึงเวลาแล้วคนชั้นต่ำสุดจะได้คิดว่า เออ.... อย่างน้อย ๆ พระสมณโคดมก็เป็นพวกเดียวกับเรา จะได้กล้าเข้ามาหาท่านประโยชน์ของเขาจะได้ไม่เสียไป
       ถาม :     แสดงว่าเป็นความนิยมของคนสมัยก่อน   ?
       ตอบ :  แล้วอีกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนนี่คนโกนหัวเขาถือว่าเป็นกาลกิณี คนโกนหัวหรือผมสั้น ๆ นี่เขาถือว่าเป็นกาลกิณี ที่ไม่มีใครยอมคบด้วย แต่สังเกตจนกระทั่งในตอนนี้พวกอินเดียก็ยังไว้ผมมวยทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ไว้ผมยาว ๆ ใช่มั้ย ? คราวนี้เมื่อเขาถือว่าเป็นกาลกิณีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านปลงเกศาไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าตัดหนทางถอยของตัวเอง กลายเป็นคนที่เขาไม่ยอมคบกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วนี่ ถ้ากลับไปครองราชย์ไม่มีใครเขาเอา ถึงเวลาจะได้ลุยขึ้นหน้าอย่างเดียวไม่ต้องไปพะวงหลัง
       ถาม :    ทำตอนนอนซะเรื่อยเลย
       ตอบ :  เอาเถอะ ถึงทำตอนนอนมันก็ค่อย ๆ สะสมตัว อย่างเมื่อเช้ามันยังไปได้ใช่ไหม ? เพียงแต่ว่ามันยังไม่ชัด แสดงว่ามันเริ่มมีผลแล้ว ต่อไปทำแบบนั้นแหละ ตัวอยากลืมมันให้ได้ สำคัญตรงนั้น ตัวอยากมีอยู่ในใจมันจะกันอยู่มันไปไม่ได้ ถ้าเราลืมตัวอยากมันเสียตั้งหน้าตั้งตาทำถึงเวลากำลังมันพอมันไปเลย เดี๋ยวพอมันคล่อง ๆ จะรู้ไม่ทันภาวนาก็ไป แค่นึกมันก็ไป ไม่ยาก ๆ
       ถาม :     ทำก่อสร้างปั๊บไปนั่งเสกมาเลย   จะได้นับตังค์
       ตอบ :    (หัวเราะ)    นั่นเขาจำกัดเวลานะ    เพราะว่าพวกอภิญญานี่ถ้าเราไม่จำกัดเวลาทำไม่ได้ แบบเดียวที่หลวงพ่อตั้งใจให้น้ำแข็งหมดทั้งแม่น้ำน่ะทำไม่ได้หรอก ตกตูมท่วมหัวเลย ต้องเฉพาะจุด เรื่องของพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจำกัดเวลาไว้อย่างเช่นว่า ๕ ปี ๑๐ ปี อะไรอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันฝืนกฏของกรรมมากเกินไป    
               อย่างพระเรวัตตะ น้องเล็กของพระสารีบุตรท่านไปอยู่ป่าตะเคียน พอพระพุทธเจ้าเสด็จไปท่านเนรมิตเรือนยอด ๕๐๐ หลัง รอไว้เลย ปราสาทดี ๆ นี่เอง เสร็จแล้วหลวงตาแก่ ๒ องค์นั่งนินทาพระอรหันต์ บอกว่าพระเรวัตตะมัวแต่ก่อสร้างอยู่คงปฎิบัติอะไรได้ไม่เท่าไหร่หรอก ที่พระพุทธเจ้ามาเยี่ยมเพราะเห็นแก่หน้าพระสารีบุตรที่เป็นพระอัคร สาวกเบื้องขวามากกว่า พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ เดี๋ยวเถอะจะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร ? ก็แอบเกล้งบันดาลให้เขาลืมขวดน้ำมัน
              สมัยก่อนเขาเดินทางต้องมีน้ำมันทาเท้าไม่งั้นเดินมาก ๆ เท้ามันแตก หลวงตาแก่ ๒ องค์นึกขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปเอา ตายแล้วหว่า ! ตอนเข้ามานี่แหม ถนนหนทางมันอย่างกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์กลับเข้าไปอีกทีมีแต่ป่ารกทึบมีแต่ หนามเต็มไปหมด กว่าจะตะเกียกตะกายเข้าไปถึง ไปเอาขวดน้ำมันของตัวเองกลับมา
               พอกลับถึงเชตวันมหาวิหาร   นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านก็ไปถวายทานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วใช่ไหม ? บังเอิญไปถามหลวงตาเข้าว่าที่อยู่ของพระเรวัตตะน่ารื่นรมย์ไหม ? หลวงตาแก่ก็บอกว่าไม่เห็นจะได้เรื่องเลยอย่างกับป่าช้าผีดิบ มีแต่หนามมีแต่อะไรรกไปหมด พอไปถามพระองค์อื่น พระองค์อื่นบอกว่าอย่างกับอุทยานของพระเจ้าอยู่หัว ตกลงก็ขัดกัน นางวิสาขาท่านเป็นฉลาด ท่านก็คงคิดว่าอาจจะเป็นการเนรมิตด้วยฤทธิ์ ด้วยอภิญญา กราบทูลถามพระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันให้
       ถาม :    .........(ไม่มีเสียง)...........
       ตอบ :   มันก็เป็นของแปลกเขาเรียกว่าเลือดผา มันจะไหลออกมาจากตามผาสูง ๆ สีมันแดงเหมือนเลือด พวกเลียงผา พวกลิง ค่าง ถ้ามันเจอมันกินเกลี้ยง มันบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายมันดีมันเหมาะสำหรับคนแก่ ๆ เพราะว่าท่านป๊อบมันลองดี   มันดีดยิ่งกว่าม้าอีก
       ถาม :   มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศนี่   ไม่เกี่ยว  ?
       ตอบ :   คือมันกระตุ้นให้ร่างกายมันทำงานมากขึ้นเหมาะสำหรับคนแก่  ประเภทหง่อมแล้วอย่างนั้นน่ะ
       ถาม :    อย่างนี้ถ้าเอามาผลิตขายก็รวยเลยสิครับ  ?
       ตอบ :  ไม่ต้องผลิตหรอก ส่วนใหญ่เขาก็ไปเก็บ ๆ มาขายกัน คราวที่แล้วไปพม่าซื้อมาทีเดียวครึ่งชั่ง ชั่งหนึ่ง ๓ ปอนด์ ล่อไปซื้อปอนด์ครึ่งหมดร้านมันก็ ๖,๐๐๐ แต่คราวนี้ชั่งพม่ามันเท่ากับ ๓ ปอนด์
       ถาม :     เท่ากับบ้านเรากี่กิโล  ?
       ตอบ :  ๒.๒   ปอนด์เท่ากับกิโลหนึ่ง   ๓   ปอนด์ก็กิโลกว่า   เล่นมันซะเกือบครึ่งกิโล
       ถาม :   แล้วหลวงพี่เอาไปแจกไหนหมดแล้ว   ?
       ตอบ :  เปล่า แม่ชีเขาฝากซื้อว่าจะให้โยมแม่เพราะว่าอายุมากแล้ว ๘๐ กว่าแล้ว คราวนี้เขาไม่ได้ฝากซื้อเยอะขนาดนั้นหรอก เราเห็นก็เลยเอาของมันมาหมดนั่นแหละ
       ถาม :   แล้วอานุภาพมันอยู่ได้นานขนาดไหนครับ  ?
       ตอบ :    ตราบใดที่เรายังไม่กินมันอยู่ได้เรื่อย  ๆ  เพราะว่ามันแห้งแล้วถึงเวลาจะกินก็ชงน้ำร้อน
       ถาม :     กินทีหนึ่งอยู่ได้กี่วันครับ   ความแข็งแรง  ?
       ตอบ :  ไม่เคยลอง ต้องถามคนลอง อาตมาไม่เอาด้วยคน นั่งมองเขาฉันกันคราวนั้นไปกับ ๕-๖ องค์ไปพม่า เที่ยวกันครึกครื้นเลย คราวนี้ไปซื้อเลือดผามาแล้วเขาอยากลองกัน นั่งฉันไปแป๊บเดียวหน้าแดง (หัวเราะ) แสดงว่ามันเร่งความดันได้ ระดับความดันโลหิตมันต้องขึ้นมากเลยไม่งั้นมันไม่หน้าแดงอย่างนั้น
       ถาม :  เกี่ยวกับเรื่องพระภูมิเทวดา ถ้าเผื่อแบบเราพูดเฉย ๆ เราพูดออกไปว่าเรามีโอกาสเราจะสร้างศาลให้ท่าน ใช้วิธีของท่านและสถานที่ตรงนั้น แล้วพอดีเลยเมื่อวันจันทร์หรือวันอังคารไม่ได้คุยกับผู้ปกครองเลยไม่ทราบว่า ยังไง ท่านก็บอกว่าชื่อผู้ปกครองแล้วท่านก็บอกว่าไอ้ที่พูดไว้นี่ทำซะที
       ตอบ :   ถ้าเขาทรงก็รีบทำได้แล้วจ้ะ    ถ้าขืนช้าละเดี๋ยวเขาคิดดอกเบี้ยแล้วจะยุ่งกันใหญ่
       ถาม :     คือ   ท่านบอกว่าที่ในบริเวณนี้ดินดี   เจ้าของที่ท่านก็บอกว่า   ท่านก็อยากสงเคราะห์เรา   แต่ว่าให้เราทำซะ
       ตอบ :    ก็ขนาดนั้นแล้วยังไม่ทำอีกหรือ  ?   มาบอกขนาดนั้นนี่แสดงว่าเต็มใจเต็มที่แล้วนะ
       ถาม :    ก็ไม่ได้คิดอะไร   หนูกลับจากเขาวงจากนั้นท่านก็มา    เป็นเพราะก่อนหน้านี้เราจิตไม่ถึงหรือเป็นเพราะอะไรท่านถึงไม่มาบอก  ?
       ตอบ :   มันยังไม่ถึงเวลาจ้ะ    บางอย่างเช่น   อากาศเทวดาท่านจะสงเคราะห์ก่อน  แต่ถ้าภายใน   ๒   ปีนี้ไม่ได้ตั้งศาลให้ท่านพ้น   ๒   ปี ไปก็เป็นอันว่าเลิก
       ถาม :    ท่านถึงได้มาเร่งเรา  ?
       ตอบ :    จ้ะ  เดี๋ยวมันจะเลยเวลา   ของพรรค์นี้ยิ่งเร็วยิ่งดี    วาระและเวลามันมีอยู่เดี๋ยวรถขบวนสุดท้ายเลยไปก็พอดีกันนะ 
       ถาม :  แล้วเราจะตั้งศาลนี่ อ่านหนังสือหลวงพ่อท่านยังไงนะคะ ท่านบอกว่าไม่ต้องใช้ผ้า ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องมีเครื่องเซ่น หมายถึงข้าวปลาอาหาร ไม่ต้องถวายนะคะตอนนั้น เพราะว่าถือว่าทำแล้วต้องเป็น ....สละประจำแล้วต้องทำอย่างนั้นตลอดไป
       ตอบ :  ตอนเชิญท่านควรจะมีพวกเครื่องสังเวย อย่างเช่นว่า บายศรี หัวหมู ไก่ ปลาแป๊ะซะ พวกนั้น แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วมันอยู่ที่เราว่าจะบูชาท่านแบบไหน ถ้าไม่อะไรจริง ๆ ก็ ๑๐ นิ้ววันทาเอา แต่ว่าตอนที่ทำพิธีใหญ่นั้นควรจะมีให้ครบตามพิธีเขา
       ถาม :     ต้องมีพราหมณ์หรือเปล่าคะ  ?
       ตอบ :    ไม่ต้องจ้ะจริง ๆ    แล้วไม่ต้องมีใครเลย
       ถาม :    ใช้เทปหลวงพ่อได้เลยใช่ไหมคะ  ?
       ตอบ :    จ้ะ   เราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี
       ถาม :    แล้วต้องมีรูปหลวงพ่อตั้งอยู่ด้วยไหมคะ  ?
       ตอบ :  ไม่มีไม่เป็นไร แต่ว่าที่พวกเราทำบวงสรวงแล้วมักจะตั้งรูปหลวงพ่อไว้ ก็คือว่าเอาครูบาอาจารย์นำหน้า จริง ๆ แล้วเราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี เพราะว่าจุดมุ่งหมายของท่านก็คือต้องการความเคารพจากเรา เราทำเองด้วยความเต็มใจ คือ เคารพแน่นอนแล้วอย่างนี้
       ถาม :     แต่สถานที่นี่ไม่ใช่บ้าน   เป็นสถานที่  ๆ  เราไปทำกิจการขายของ
       ตอบ :    นั่นก็สำคัญ   อยากจะรวยก็รีบทำซะ    มาเตือนขนาดนั้นแล้ว
       ถาม :     พอดีหนูเกิดบนพระนารายณ์ที่วัดเขาวง ไว้น่ะค่ะว่าจะอยู่ ... ๓ วัน แล้วหนูไปตั้งแต่วันศุกร์ คือ วันศุกร์นี่หนูถือศีล ๘ ที่บ้านน่ะค่ะ ใส่เทปหลวงพ่อตั้งแต่ตี ๔ แล้ววันอาทิตย์กลับมานี่จะถือว่าครบ ๓ วันไหมคะ วันอาทิตย์กลับแต่ว่ามาลาศีล ๘ วันจันทร์เช้า
       ตอบ :    อย่างนั้นครบจ้ะ    เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ที่นั่นจนครบ   เรารักษาครบ
       ถาม :     แต่จริง  ๆ   แล้วไปอยู่ที่นั่นจนครบ...  ?
       ตอบ :  ก็เราตกลงกับว่ายังไง ? เรื่องของเทวดาเขาตรงไปตรงมา เราบอกว่าจะอยู่ที่นั่น ๓ วัน แต่ถ้าเราจะรักษา ๓ วัน เป็นอันว่าจบแล้ว เราตกลงกับท่านว่ายังไงก็ตามนั้น เริ่มต้นใหม่ก็ได้ เผื่อเหนียวไว้เอามันซะ ๗ วันก็ได้
       ถาม :    ถวายหลวงพี่ต้า ว่าเป็นเจ้าภาพพระ ๔ ศอกที่น้ำหนาวน่ะค่ะ หลวงพี่เขาบอกว่าทำไมต้องทำบุญครั้งเดียว ก็อธิบายให้เขาไปแต่ไม่ทราบว่าตัวเองอธิบายถูกหรือเปล่า ว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ทำไปได้เรื่อย ๆ ในการชำระหนี้สงฆ์ คือ ถ้าเราทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ก็นานจนกว่าจะเต็ม
       ตอบ :  มันนานจ้ะ พระก็ลำบากในการสร้างเพราะต้องหาเงินส่วนอื่นมาก่อน ถ้าสามารถทำได้ครั้งเดียวโดยไม่เดือดร้อนก็ควรทำครั้งเดียวไปเลย
       ถาม :   แล้วยังมีผู้อื่นร่วมที่รับไว้ได้ใช่ไหมคะ  ?   
       ตอบ :   รับไว้ได้   เพราะว่าพระชำระหนี้สงฆ์ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้
       ถาม :    เป็นพระปูน ...?
       ตอบ :     พระปูนอย่างดียวจะปิดทองไหมจ้ะ
       ถาม :    ถ้ามีโอกาสก็จะทำค่ะ
       ตอบ :   ถ้าหากว่าไม่ปิดทองก็ได้คนเดียว   ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้หมด   คือ  จะมีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ จริง ๆ แล้วน่าจะรอให้มีอาคารถาวรที่จะตั้งพระได้อย่างเป็นหลักเป็นฐานเสียก่อน เพราะว่าไม่อย่างนั้นก็สร้าง ๆ รื้อ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหากว่าไม่ปิดทองนี่หน้าตัก ๔ ศอกนี่มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียว แต่ถ้าหากว่าหน้าตัก ๔ ศอกนี่ปิดทอง หมู่คณะใหญ่แค่ไหนก็มีอานิสงส์เท่ากันหมด
       ถาม :  อยากจะเรียนถามหลวงพ่อแล้วกลางคืนกลับไปฝันว่าโดดลงเหวลึก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แต่ไม่ทราบว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :     ฝันอย่างนี้มันทดสอบกำลังใจ   ความเป็นจริงมันมี   ๒   อาการ   อาการแรกตอนนั้นจิตของเราอาจจะอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ เพราะว่าคนที่อารมณ์จิตมันจะหลับได้มันจะต้องเทียบเท่าปฐมฌานหยาบมันถึงจะ หลับ คราวนี้ถ้ามันหยาบเกินไปมันเกาะไม่ติดมันจะพลัดลง พอมันพลัดลงนี่ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่มีสติสมบูรณ์พร้อมนี่มันจะวูบเหมือน อย่างกับว่าเราตกจากที่สูง
              แต่คราวนี้ลักษณะนั้นเราหลับอยู่ พอมันวูบลงมาก็เหมือนกับว่าเราตกเหว มันก็เลยพลอยฝันตามไปด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งมันเป็นความฝันจริง ถ้าความฝันจริง ๆ ตกเหวไม่ตายก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ตกเหวไม่ตายนี่เราตื่นซะก่อนก็หายแล้ว ( หัวเราะ)
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2008, 20:51:29
http://grathonbook.net/book/7.8.html

ถาม :   เรามาถามเรื่องของคนอื่นก็เลยทำให้เก็บไปคิด     กำลังใจมันตกอะไรอย่างนี้มั้ง   ?   
       ตอบ :   ไม่ต้องไปตกหรอก    ของพรรค์นี้มันเป็นกรรม ใครกรรมมัน คนอื่นทำเราไม่ได้รับแทนหรอก ของเราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราต่อไป สิ่งที่ไม่ดีที่เคยทำมาก็ลืมมันให้หมดไม่ต้องไปนึกถึง    พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปตามระลึกถึงของเก่า    ตั้งหน้าตั้งตานึกถึงความดีในปัจจุบันนี้ทำมันเรื่อยไป
       ถาม :   ลูกหลานอยู่ไกลขอธรรมะ  ?   
       ตอบ :     ให้ข้อเดียวจ้ะ   ว่าตั้งหน้าทำความดีอย่าประมาท พอแล้วไม่ต้องเอาอะไรมากมาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่หัวข้อเดียวเท่านั้นน่ะ (หัวเราะ) ไปเปิดตำราอ่านได้ ทั้งหมดรวม ๆ แล้วมันเหลือนิดเดียว ศรัทธาหนึ่ง    ถ้าไม่ศรัทธานี่มันไม่คิดทำความดีใช่ไหม....   อันที่สองก็สติ    สตินี่แก่นธรรมแท้  ๆ    เลย     ตามล่าหาแก่นธรรมน่ะให้มันไปหาเอาเถอะถ้ามันยังไม่มีสติ    อันดับ สามก็คืออย่าประมาท สตินี่ควบคุมปัญญา ปัญญาควบคุมสติ แล้ว ๒ อย่างสรุป รวมกันได้ว่าทุกอย่างจงทำโดยไม่ประมาท อย่าคิดว่าเป็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทำ    
              ความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ขณะเดียวกันความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งให้เราไปสู่สุคติได้ จริง ๆ แล้วเหลืออยู่นิดเดียว สิ่งที่ทำตอนแรก ๆ มันเหมือนกับเหวี่ยงแหทีหนึ่งเอาปลาทั้งทะเล แต่พอทำไปทำมามันจะรวบ ๆ เข้า จนในที่สุดเหลืออยู่นิดเดียวบอกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา     เออ    ไม่เถียง    พอแล้ว   เพียงแต่ว่าอย่าให้มันเถียงได้อีกแล้วกัน   ต้องคอยระวังเอาไว้เสมอ   
               หลวงพ่อท่านบอกอารมณ์สุดท้ายของท่านก่อนมรณภาพเพียง   ๒   วัน   บังเอิญว่าอยู่ใกล้ก็เลยได้ยิน   ท่านบอกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอากำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ที่เดียวแหละ ทำอะไร ๆ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันมายมาย เอากำลังใจเกาะนิพพานไว้ที่เดียว อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ช่างมัน การเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกไว้สั้นแค่นี้เอง    
       ถาม :    มีดหมอของหลวงพ่อชนิดของเรากับอย่างของหลวงพ่อเดิมที่ท่านบอกว่าต้องใช้ตะปูโลงศพ   ต่างกันอย่างไรครับ  ?
       ตอบ :  สมัยหลังเขาเลิกทำกันแล้ว ตามตำรามหาศาตราคม วัตถุมันหายาก ต้องเอาเหล็กยอดเจดีย์อย่างนี้... สมัยนี้ไปรื้อเจดีย์เจ้าของเขาไล่เอาเท่านั้นแหละ รวมกว่าจะได้แต่ละอย่างมันนาน แต่ว่าคนสมัยก่อนกำลังใจเขาสูงจะทำให้ได้ของดีจริง ๆ เอาอุตสาห์ไปขวนขวายหามา ได้ของครบแล้วไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เลย ได้ของครบแล้วต้องรอวันดี รอช่างที่มีฝีมืออีก จะต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อนงานก็ต้องภาวนาไป ๗ วัน แล้วคอยมานั่งหลอมนั่งตีกัน
              ของสมัยก่อนทำยาก คนเขาทุ่มเทกำลังใจให้จริง ๆ ส่วนใหญ่ทำชิ้นเดียวเพื่อเป็นของคู่ตัวสมัยหลัง ๆ นี้มีคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ไม่ใช่ลูกศิษย์จะน้อย ๆ ใช่ไหม ? อย่างต่ำ ๆ คงหลายร้อยหลายพันคน ถ้าขืนไปทำวิธีนั้นก็ตายกันพอดี ต้องใช้วิธีเหมาโหลเอา
               เอาที่เขาผลิตออกมาแต่ว่ามาทำตามกรรมวิธี     มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าพระหรือว่าพรหมหรือว่าเทวดาท่านจะสงเคราะห์มั้ย   ถ้าท่านจะสงเคราะห์ของนั้นทำมาจากอะไรก็มีอานุภาพทั้งนั้น แต่ ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ต้องใช้กำลังตัวเองอย่างที่ขุนแผนทำ ใช้กำลังฌานสมาบัติของตัวเอง ใช้คาถาอภิญญาของตัวเองเข้าไปมันก็ต้องหาวัตถุที่มันเป็นสื่อได้ง่าย
              อย่างประเภทเหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลมอะไรอย่างนี้ เอาทั้งทีให้มันสุด ๆ ไปเลย อย่างนั้นถ้าคุมไม่อยู่เจ้าของมีอันตรายด้วย มีด หมอสมัยก่อนสมกับคำว่า มีดหมอจริง ๆ เพราะว่าท่านใช้รักษาโรค มาถึงยุคหลวงพ่อเดิม ท่านทำเป็นหลายขนาดให้ติดตัวไว้ เพราะว่าของท่านมีทั้งประเภทติดตัวเป็นมหาอำนาจ ป้องกันภัย รักษาโรคได้สารพัด สารเพ มีหลายขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ ติดกระเป๋าหรือไม่ก็ขนาดประเภท ๕ นิ้ว ๗ นิ้ว กำลังใช้งานหรือประเภทให้สุด ๙ นิ้วไปเลยก็มี
              สมัยก่อนพวกเสือปล้นหนังเหนียวมันเยอะ แต่ว่าจะกลัวมีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อเดิมจิ้มเข้าไปเมื่อไหร่เหนียวไม่เหนียวก็ไม่เหลือ กลายเป็นว่าพอมายุคหลัง ๆ นี่เป็นของนิยมทั่วไปเป็นสาธารณะ แต่ว่าสมัยก่อนนี่ทำก็ทำเล่มเดียว
              อย่างของหลวงปู่ปานท่านใช้รักษาโรคก็อีโต้ดี ๆ นี่เองเคยเห็นมั้ยอีโต้ธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาตรงคนใช้ (หัวเราะ) พอปลุกเสกอะไรตามวิธีกรรมแล้วเทวดาท่านรักษาด้วยและบุคคลที่ทรงความดีอย่าง หลวงปู่ปานกำลังท่านสูง บารมีท่านสูง เพราะฉะนั้นถือว่าคนที่ได้ของดีแสนดีไปแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เท่านั้นแหละ ภาษาของแสงชัยเขาบอก ? กระบี่ดีแต่คนบัดซบ? (หัวเราะ) ใช้งานไม่เป็น
       ถาม :     อย่างนี้คนโบราณก็แพ้คนยุคใหม่สิครับ....(ฟังไม่ชัด)....
       ตอบ :  จะรียกว่าว่าแพ้มันก็แพ้ แต่คนรุ่นใหม่จริงหนึ่งต่อหนึ่งสู้ท่านไม่ได้เพราะของท่านมันเป็นพื้นฐานที่ ฝึกมาด้วยตัวจริง ๆ ของคนรุ่นใหม่มันอาศัยอย่างกับประเภทพกปืนไปแต่โบราณเล่นสร้างปืนขึ้นเอง ใครจะมีความรู้มากกว่ากัน มีดหมอเขาใช้เป็นหมอจริง ๆ
       ถาม :    ของแต่ละอย่างก็ขึ้นอยู่กับเทวดาที่รักษา  ?
       ตอบ :     ขึ้นอยู่กับเทวดารักษาและขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนทำ     อย่างเช่นว่าถ้าท่านบอกว่าทำมาอย่างนี้  ๆ   แล้วจะมีอานุภาพอย่างนี้   จะมีตามนั้นจริง  ๆ 
       ถาม :    ถ้าท่านจะปลุกเสกพระทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันองค์  เทวดาแต่ละองค์มีอานุภาพไม่เหมือนกันก็ไม่เหมือนสิครับ  ?
       ตอบ :   สิ่งที่เขากำหนดมาว่าให้ทำอย่างไร เทวดาท่านอยู่ในความเป็นทิพย์ท่านแค่คิดว่าจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งของถ้าจะให้มีอานุภาพลักษณะนั้นเทวดาที่จะมารักษาต้องมี พื้นฐานหรือว่ามีความชอบทางด้านนั้นเหมือนกัน    
               อย่างเช่นว่าประเภทหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันเอาไว้ตีกันโดยเฉพาะ     ก็ต้องเล่นกับท้าวจาตุมหาราชไปเลย    บริวารของท่านเยอะ    พวกประเภทที่เรียกว่าก่อนหน้านี้เคยมีนิสัยทางด้านนี้มาก่อน   ถึงได้ลาท่านปู่พระอินทร์   ถ้าหากว่าท่านสั่งงานก็ต้องคัดเลือกเฉพาะเอาคนประเภทนี้มามันก็จะเหมือน   ๆ  กัน   
       ถาม :     .....( เสียงไม่ชัด).........
       ตอบ :   ลองทำข้าวเปลือกพิรอดดูมั้ย  ?   ข้าวเปลือกพิรอดใช้ในทางแคล้วคลาดโดยเฉพาะ
       ถาม :     ที่เขาบอกว่าข้าวเปลือกที่  .........(ไม่ชัด)..................
       ตอบ :    กินข้าวแล้วเจอข้าวเปลือก   เจอปุ๊บให้กลั้นใจหยิบภาวนาคาถาคำแรกว่า ?อะ?   พลิกดูให้เรียบร้อย   ไม่มีร่องรอยแตกหักล่ะโอเค    ล้างสะอาดเก็บขึ้นได้เลย    พอเจอเม็ดที่สองก็  ?สัง? ค่อยเก็บไปเรื่อยถ้าแตกใช้ไม่ได้ต้องเลิก เริ่มต้นนับคำนั้นใหม่ ถ้า ?อะ? แล้วแตกก็ขึ้น ?อะ? ใหม่ ถ้า ?สัง? แล้วแตกก็ขึ้น ?สัง? ใหม่ ไล่ไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ เม็ด เขาเรียกว่า ?ข้าวเปลือกพิรอด?     
              มันรอดตรงที่ว่าอันดับแรกอยู่กับต้นไม่โดนนกกาเอาไปกิน อันดับที่สองเขาเก็บเกี่ยวมาไม่ตกหล่นไปไหน หลังจากที่เอามาสีเอามาย่ำอะไรแล้วก็ยังไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน ขนสู่ยุ้งไม่หายไปไหน เอาไปสีก็ยังไม่มีอันตรายขนาดเอามาหุงเป็นข้าวแล้วก็ยังไม่เป็นอะไรอีก เขาถือเคล็ดตรงนี้ด้วย แต่คาถา   ๙   ตัว   คือ    อะ  สัง  วิ   สุ  โล  ปุ  สะ  พุ  ภะ   นั้นเป็นหัวใจอิติปิโสทั้งบท   อะ  คือ   อระหัง  ,   สัง   ก็   สัมมาสัมพุทธโธ ,  วิ   ก็   วิชาจรณะสัมปันโน ,  สุ  ก็   สุคโต ,   โล   ก็   โลกะวิทู    ,   อะ   ก็  อะนุตะโร  ,   ปุ   ก็   ปุริสะทัมมะสาระถิ ,   สะ   ก็   สัตถาเทวะมะนุสานัง,   พุ   ก็   พุทโธ ,   ภะ ก็   ภควาติ   ลองทำดู
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2008, 21:00:31
http://grathonbook.net/book/7.8.html

ถาม :   เรามาถามเรื่องของคนอื่นก็เลยทำให้เก็บไปคิด     กำลังใจมันตกอะไรอย่างนี้มั้ง   ?   
       ตอบ :   ไม่ต้องไปตกหรอก    ของพรรค์นี้มันเป็นกรรม ใครกรรมมัน คนอื่นทำเราไม่ได้รับแทนหรอก ของเราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราต่อไป สิ่งที่ไม่ดีที่เคยทำมาก็ลืมมันให้หมดไม่ต้องไปนึกถึง    พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปตามระลึกถึงของเก่า    ตั้งหน้าตั้งตานึกถึงความดีในปัจจุบันนี้ทำมันเรื่อยไป
       ถาม :   ลูกหลานอยู่ไกลขอธรรมะ  ?   
       ตอบ :     ให้ข้อเดียวจ้ะ   ว่าตั้งหน้าทำความดีอย่าประมาท พอแล้วไม่ต้องเอาอะไรมากมาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่หัวข้อเดียวเท่านั้นน่ะ (หัวเราะ) ไปเปิดตำราอ่านได้ ทั้งหมดรวม ๆ แล้วมันเหลือนิดเดียว ศรัทธาหนึ่ง    ถ้าไม่ศรัทธานี่มันไม่คิดทำความดีใช่ไหม....   อันที่สองก็สติ    สตินี่แก่นธรรมแท้  ๆ    เลย     ตามล่าหาแก่นธรรมน่ะให้มันไปหาเอาเถอะถ้ามันยังไม่มีสติ    อันดับ สามก็คืออย่าประมาท สตินี่ควบคุมปัญญา ปัญญาควบคุมสติ แล้ว ๒ อย่างสรุป รวมกันได้ว่าทุกอย่างจงทำโดยไม่ประมาท อย่าคิดว่าเป็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทำ    
              ความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ขณะเดียวกันความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งให้เราไปสู่สุคติได้ จริง ๆ แล้วเหลืออยู่นิดเดียว สิ่งที่ทำตอนแรก ๆ มันเหมือนกับเหวี่ยงแหทีหนึ่งเอาปลาทั้งทะเล แต่พอทำไปทำมามันจะรวบ ๆ เข้า จนในที่สุดเหลืออยู่นิดเดียวบอกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา     เออ    ไม่เถียง    พอแล้ว   เพียงแต่ว่าอย่าให้มันเถียงได้อีกแล้วกัน   ต้องคอยระวังเอาไว้เสมอ   
               หลวงพ่อท่านบอกอารมณ์สุดท้ายของท่านก่อนมรณภาพเพียง   ๒   วัน   บังเอิญว่าอยู่ใกล้ก็เลยได้ยิน   ท่านบอกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอากำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ที่เดียวแหละ ทำอะไร ๆ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันมายมาย เอากำลังใจเกาะนิพพานไว้ที่เดียว อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ช่างมัน การเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกไว้สั้นแค่นี้เอง    
       ถาม :    มีดหมอของหลวงพ่อชนิดของเรากับอย่างของหลวงพ่อเดิมที่ท่านบอกว่าต้องใช้ตะปูโลงศพ   ต่างกันอย่างไรครับ  ?
       ตอบ :  สมัยหลังเขาเลิกทำกันแล้ว ตามตำรามหาศาตราคม วัตถุมันหายาก ต้องเอาเหล็กยอดเจดีย์อย่างนี้... สมัยนี้ไปรื้อเจดีย์เจ้าของเขาไล่เอาเท่านั้นแหละ รวมกว่าจะได้แต่ละอย่างมันนาน แต่ว่าคนสมัยก่อนกำลังใจเขาสูงจะทำให้ได้ของดีจริง ๆ เอาอุตสาห์ไปขวนขวายหามา ได้ของครบแล้วไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เลย ได้ของครบแล้วต้องรอวันดี รอช่างที่มีฝีมืออีก จะต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อนงานก็ต้องภาวนาไป ๗ วัน แล้วคอยมานั่งหลอมนั่งตีกัน
              ของสมัยก่อนทำยาก คนเขาทุ่มเทกำลังใจให้จริง ๆ ส่วนใหญ่ทำชิ้นเดียวเพื่อเป็นของคู่ตัวสมัยหลัง ๆ นี้มีคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ไม่ใช่ลูกศิษย์จะน้อย ๆ ใช่ไหม ? อย่างต่ำ ๆ คงหลายร้อยหลายพันคน ถ้าขืนไปทำวิธีนั้นก็ตายกันพอดี ต้องใช้วิธีเหมาโหลเอา
               เอาที่เขาผลิตออกมาแต่ว่ามาทำตามกรรมวิธี     มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าพระหรือว่าพรหมหรือว่าเทวดาท่านจะสงเคราะห์มั้ย   ถ้าท่านจะสงเคราะห์ของนั้นทำมาจากอะไรก็มีอานุภาพทั้งนั้น แต่ ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ต้องใช้กำลังตัวเองอย่างที่ขุนแผนทำ ใช้กำลังฌานสมาบัติของตัวเอง ใช้คาถาอภิญญาของตัวเองเข้าไปมันก็ต้องหาวัตถุที่มันเป็นสื่อได้ง่าย
              อย่างประเภทเหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลมอะไรอย่างนี้ เอาทั้งทีให้มันสุด ๆ ไปเลย อย่างนั้นถ้าคุมไม่อยู่เจ้าของมีอันตรายด้วย มีด หมอสมัยก่อนสมกับคำว่า มีดหมอจริง ๆ เพราะว่าท่านใช้รักษาโรค มาถึงยุคหลวงพ่อเดิม ท่านทำเป็นหลายขนาดให้ติดตัวไว้ เพราะว่าของท่านมีทั้งประเภทติดตัวเป็นมหาอำนาจ ป้องกันภัย รักษาโรคได้สารพัด สารเพ มีหลายขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ ติดกระเป๋าหรือไม่ก็ขนาดประเภท ๕ นิ้ว ๗ นิ้ว กำลังใช้งานหรือประเภทให้สุด ๙ นิ้วไปเลยก็มี
              สมัยก่อนพวกเสือปล้นหนังเหนียวมันเยอะ แต่ว่าจะกลัวมีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อเดิมจิ้มเข้าไปเมื่อไหร่เหนียวไม่เหนียวก็ไม่เหลือ กลายเป็นว่าพอมายุคหลัง ๆ นี่เป็นของนิยมทั่วไปเป็นสาธารณะ แต่ว่าสมัยก่อนนี่ทำก็ทำเล่มเดียว
              อย่างของหลวงปู่ปานท่านใช้รักษาโรคก็อีโต้ดี ๆ นี่เองเคยเห็นมั้ยอีโต้ธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาตรงคนใช้ (หัวเราะ) พอปลุกเสกอะไรตามวิธีกรรมแล้วเทวดาท่านรักษาด้วยและบุคคลที่ทรงความดีอย่าง หลวงปู่ปานกำลังท่านสูง บารมีท่านสูง เพราะฉะนั้นถือว่าคนที่ได้ของดีแสนดีไปแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เท่านั้นแหละ ภาษาของแสงชัยเขาบอก ? กระบี่ดีแต่คนบัดซบ? (หัวเราะ) ใช้งานไม่เป็น
       ถาม :     อย่างนี้คนโบราณก็แพ้คนยุคใหม่สิครับ....(ฟังไม่ชัด)....
       ตอบ :  จะรียกว่าว่าแพ้มันก็แพ้ แต่คนรุ่นใหม่จริงหนึ่งต่อหนึ่งสู้ท่านไม่ได้เพราะของท่านมันเป็นพื้นฐานที่ ฝึกมาด้วยตัวจริง ๆ ของคนรุ่นใหม่มันอาศัยอย่างกับประเภทพกปืนไปแต่โบราณเล่นสร้างปืนขึ้นเอง ใครจะมีความรู้มากกว่ากัน มีดหมอเขาใช้เป็นหมอจริง ๆ
       ถาม :    ของแต่ละอย่างก็ขึ้นอยู่กับเทวดาที่รักษา  ?
       ตอบ :     ขึ้นอยู่กับเทวดารักษาและขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนทำ     อย่างเช่นว่าถ้าท่านบอกว่าทำมาอย่างนี้  ๆ   แล้วจะมีอานุภาพอย่างนี้   จะมีตามนั้นจริง  ๆ 
       ถาม :    ถ้าท่านจะปลุกเสกพระทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันองค์  เทวดาแต่ละองค์มีอานุภาพไม่เหมือนกันก็ไม่เหมือนสิครับ  ?
       ตอบ :   สิ่งที่เขากำหนดมาว่าให้ทำอย่างไร เทวดาท่านอยู่ในความเป็นทิพย์ท่านแค่คิดว่าจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งของถ้าจะให้มีอานุภาพลักษณะนั้นเทวดาที่จะมารักษาต้องมี พื้นฐานหรือว่ามีความชอบทางด้านนั้นเหมือนกัน    
               อย่างเช่นว่าประเภทหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันเอาไว้ตีกันโดยเฉพาะ     ก็ต้องเล่นกับท้าวจาตุมหาราชไปเลย    บริวารของท่านเยอะ    พวกประเภทที่เรียกว่าก่อนหน้านี้เคยมีนิสัยทางด้านนี้มาก่อน   ถึงได้ลาท่านปู่พระอินทร์   ถ้าหากว่าท่านสั่งงานก็ต้องคัดเลือกเฉพาะเอาคนประเภทนี้มามันก็จะเหมือน   ๆ  กัน   
       ถาม :     .....( เสียงไม่ชัด).........
       ตอบ :   ลองทำข้าวเปลือกพิรอดดูมั้ย  ?   ข้าวเปลือกพิรอดใช้ในทางแคล้วคลาดโดยเฉพาะ
       ถาม :     ที่เขาบอกว่าข้าวเปลือกที่  .........(ไม่ชัด)..................
       ตอบ :    กินข้าวแล้วเจอข้าวเปลือก   เจอปุ๊บให้กลั้นใจหยิบภาวนาคาถาคำแรกว่า ?อะ?   พลิกดูให้เรียบร้อย   ไม่มีร่องรอยแตกหักล่ะโอเค    ล้างสะอาดเก็บขึ้นได้เลย    พอเจอเม็ดที่สองก็  ?สัง? ค่อยเก็บไปเรื่อยถ้าแตกใช้ไม่ได้ต้องเลิก เริ่มต้นนับคำนั้นใหม่ ถ้า ?อะ? แล้วแตกก็ขึ้น ?อะ? ใหม่ ถ้า ?สัง? แล้วแตกก็ขึ้น ?สัง? ใหม่ ไล่ไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ เม็ด เขาเรียกว่า ?ข้าวเปลือกพิรอด?     
              มันรอดตรงที่ว่าอันดับแรกอยู่กับต้นไม่โดนนกกาเอาไปกิน อันดับที่สองเขาเก็บเกี่ยวมาไม่ตกหล่นไปไหน หลังจากที่เอามาสีเอามาย่ำอะไรแล้วก็ยังไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน ขนสู่ยุ้งไม่หายไปไหน เอาไปสีก็ยังไม่มีอันตรายขนาดเอามาหุงเป็นข้าวแล้วก็ยังไม่เป็นอะไรอีก เขาถือเคล็ดตรงนี้ด้วย แต่คาถา   ๙   ตัว   คือ    อะ  สัง  วิ   สุ  โล  ปุ  สะ  พุ  ภะ   นั้นเป็นหัวใจอิติปิโสทั้งบท   อะ  คือ   อระหัง  ,   สัง   ก็   สัมมาสัมพุทธโธ ,  วิ   ก็   วิชาจรณะสัมปันโน ,  สุ  ก็   สุคโต ,   โล   ก็   โลกะวิทู    ,   อะ   ก็  อะนุตะโร  ,   ปุ   ก็   ปุริสะทัมมะสาระถิ ,   สะ   ก็   สัตถาเทวะมะนุสานัง,   พุ   ก็   พุทโธ ,   ภะ ก็   ภควาติ   ลองทำดู
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2008, 19:35:07
http://grathonbook.net/book/8.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์  ฯ
          ถาม :     .........(ไม่ชัด)..................
       ตอบ :  เณรภาคฤดูร้อนบวชกันอยู่เรื่อย มานั่งร้องไห้อยู่ในป่าส่งเข้าบึงไป บอกว่า ผมคิดว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว เด็กอายุ ๑๘ แล้วน่ะ ปีนี้เข้ามหาลัย บอกว่ามั่นใจว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ที่ไหนได้ไปอยู่ป่าเข้าไปจริง ๆ ร้องไห้คิดถึงบ้าน
              อาจารย์โหดร้ายมากบวชเสร็จเข้าป่าเลย มันต้องเคี่ยวกันให้ได้ ไม่งั้นเขายืนด้วยตัวเองไม่ได้สักทีหนึ่ง และอีกอย่างเป็นพระเป็นเณรถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ เราปกครองแบบผู้ใหญ่ใช่มั้ย ? ขนาดเณรอาร์ตเพิ่งอยู่ชั้น ป. ๕ ?ป. ๖ เท่านั้นเองยัดเข้าป่าไปตั้งแต่วันแรกบวชเลย คนเราถ้าหากไม่ได้ไปเจอกับสภาพของธรรมชาติที่แท้จริงก็มักคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นัก
              แต่พอไปเปรียบเทียบกับป่าทะเลเข้ามันกลายว่าเป็นผงเดียวเท่านั้นเอง เหลียวหน้าไปทางไหนก็ป่าทั้งนั้น เณรอาร์ตร้องไห้เพราะหลวงน้ากอล์ฟหลอกมัน ...ไม่ได้หลอกเขาบอกความจริงแต่เณรรับไม่ได้ เณรบอกเสียงเสือมันต้องมากินเราแน่ ๆ เลย หลวงน้าไม่กลัวเหรอ ? (หัวเราะ ) ท่านกอล์ฟบอกว่าไม่กลัวหรอก ทำไมหลวงน้าไม่กลัวล่ะ ? ผมวิ่งเร็วกว่าไง ผมก็วิ่งหนีก่อน (หัวเราะ) มันวิ่งเร็วกว่าจะเหลือใคร ก็เหลือเณรให้มันกิน (หัวเราะ) เณรร้องไห้เลย ไม่มีหรอกไอ้ที่ต้องไปปลอบเด็กน่ะ
               เณรคิมมาเดินป่าเสียงล้มครืนท่านกอล์ฟจ้ำอ้าวเลย ถามว่าทำไมวะ ? หยุดไม่ได้หรอกครับ ถ้าขืนหยุดแล้วมันเจ็บนานว่าอย่างนั้น มันกลัวป่า มันล้มลงไปแล้วพอมันเห็นเราไม่หยุดแล้วมันต้องวิ่งตาม ลองดูมั่งมั้ย ออกป่ามาเล่าให้ฟังมันสนุกไปเจอเองแล้วจะรู้ว่ามันทุกข์ขนาดไหน
       ถาม :   แล้วออกป่าจริง  ๆ  นี่  เวลาไม่เจอหมู่บ้าน ไม่เจอคนเลย  ?
       ตอบ :   ดูสิมันมีของพวกของป่าอะไรก็อย่างนั้น   ถ้าหากว่าสามารถขอข้าวจากเทวดาก็ขอไป   ถ้าหมดสภาพทุกอย่างแล้วก็อดเอา
       ถาม :    อยู่ป่านี่ผักผลไม้ที่ทานได้  ?
       ตอบ :  ครูบาอาจารย์ที่ออกป่าแต่ละสายล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์อดหน้าเขียวกันมาแล้วทั้งนั้นเลย กระทั่งหลวงพ่อเราว่าเก่งนักเก่งหนาเทวดาเขาแกล้งไม่ให้กินอดซะ ๔ วัน หลวงพ่อ ๓ องค์ท่านไปบิณฑบาตรแล้วไปสงสัยไง แล้วหลวงพ่อเล็กท่านก็สงสัยว่าเด็กที่ไหนมันเดินมาใส่บาตรกลางป่า ก็ถามว่าหนูบ้านอยู่ไหนจ๊ะ (หัวเราะ) เปิดไปเลย (หัวเราะ) คราวนี้อดไปเหอะอยากขี้สงสัยดีนัก
              มีวิธีเก็บทุเรียนข้ามปี ที่วัดมีทุเรียนกินข้ามปีทุกปีเลย แกะแล้วใส่ถ้วยใส่จานให้ดี เอาถุงพลาสสติกผูกไว้แล้วยัดเข้าช่องฟรีชไปเลย ถึงเวลาเอามากินเหมือนกินไอติมทุเรียน อยู่ได้ข้ามปีจริง ๆ เก็บไว้นานเท่าไหร่ก็ได้ถ้ามันอยู่ในสภาพที่แช่แข็ง แล้วมันแปลก..... ถ้าโดนความเย็นขนาดนั้นแล้วไม่มีกลิ่นไอ้ที่มันมีกลิ่นเพราะมันโดนความร้อน ความร้อนมันทำให้น้ำมันระเหยของมันแตกตัวออกมา กลิ่นมันก็ออก ถ้าโดนความเย็นมันหดหมด
       ถาม :    พระพุทธเจ้าสมัยบำเพ็ญปัญญาบารมีระยะแรกท่านชื่ออะไรคะ  ?
       ตอบ :   มโหสถบัณฑิตอันนั้นเป็นปรมัตถบารมีนะ   ตอนอื่น  ๆ  ยังมีอีกเยอะ    อย่างท่านเป็นโสมทัตมานพไง      ตอนที่ท่านเป็นโสมพัตมานพท่านมีพ่อเป็นพรามหณ์ที่ตอนหลังเกิดเป็นโลลุทายี    โลลุทายีเป็นพระที่เหลวไหลมาก     เป็นต้นกำเนิดศีลสาระพัดข้อนั่นแหละว่าอะไรไปก็จำได้แป๊บเดียว   
              ปรากฏว่าพอพระนินทา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังว่าท่านเกิดเป็นโสมทัตมานพนี่ท่านเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน พ่อก็ทำมาหากินไปตามแบบของตัว ปรากฏว่าวันหนึ่งวัวตายไปหนึ่งตัวก็ส่งข่าวให้ลูก ลูกมาดู เออ... มันตายจริง ๆ พ่อบอกว่า เจ้าเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดขอพระราชทานพระเจ้าแผ่นดินสิ เราจะได้มีวัวไว้ทำนาต่อ
              ท่านก็บอกว่าท่านเป็นคนใกล้ชิดถ้าขออะไรจากเจ้านายคนอื่นเห็นแล้วเขาจะเอาเยี่ยงอย่าง ให้พ่อไปขอเอง อุตสาห์สอนวิธีให้นะ เอาหญ้าผูกเป็น ๒ ฟ่อน ฟ่อนนี้เป็นตัวพระราชา ฟ่อนนี้เป็นพ่อนะ ต้องนั่งอยู่ท่านี้ แล้วไปถึงท่านจะตรัสถามว่าเป็นใครมาจากไหน ให้บอกว่าข้าพเจ้าชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นพ่อของโสมทัตมานพ ข้าพเจ้ามีวัวอยู่ ๒ ตัว บัดนี้ได้ตายไปตัวหนึ่ง แล้วขอพระราชทานอีกตัวหนึ่งพระเจ้าค่ะ
              สอนอยู่ ๓ วัน แค่ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ ปรากฏว่าพอไปถึงจริง ๆ ท่านก็กราบทูลบอกว่าท่านเป็นพ่อของโสมทัตมานพ มีวัวอยู่ ๒ ตัว บัดนี้ตายไปแล้วตัวหนึ่งเลยขอถวายอีกตัวหนึ่งพระเจ้าค่ะ มันก็เกลี้ยงเท่านั้นสิ พระเจ้าแผ่นดินท่านฟังอยู่มันแปลก ๆ ก็เลยหัวเราะ ท่านบอกว่า โสมทัตบ้านของเธอมีวัวมากหรือถึงจะเอามาถวายพระเจ้าแผ่นดิน โสมทัตมานพท่านฉลาดท่านบอกว่าถ้าพระองค์จะพระราชทานให้ก็จะมีมากพระเจ้าค่ะ คนฉลาดซะอย่าง ปากดีเป็นศรีแก่ตัว ท่านเลยให้ไปฝูงหนึ่งเลย นั่นแหละปัญญาบารมีขั้นต้น ๆ เอง
       ถาม :    อยากถามว่าปฎิปทาของหลวงปู่สดที่ว่า    เมื่อสิ่งใดยังไม่สำเร็จยังไม่ควรบอกแก่ผู้ใด     ในยุคนี้จะสามารถใช้ต่อไปได้ ? 
       ตอบ :  ใช้ได้   ยืนยันว่าใช้ได้    แต่ว่าขณะเดียวกันคำว่า  ไม่ควรบอกแก่ผู้ใดนั้นหมายถึงบอกทั้งหมดและถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลังของเราเอง เราต้องบอกคนอื่นแต่บอกแค่ไหนสิ่งที่เขาต้องทำแค่นั้น   คือ   เขาต้องให้ความร่วมมือเราแค่ไหนเราบอกรายละเอียดเขาแค่ไหนเราบอกรายละเอียดเขาแค่นั้น
       ถาม :    สมมุติว่าเราต้องการที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง    แต่ว่าเรายังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่   เราควรถือปฎิปทาของท่าน  ?
       ตอบ :  บอกว่าใช้ได้เลยไง ถ้าคุณจะพาคนไปประท้วงรัฐบาลอย่าบอกว่าพามันไปประท้วง บอกว่าจะพาไปเที่ยวทำเนียบ คือ ให้มันรู้เท่าที่มันควรรู้แค่นั้นเอง (หัวเราะ) เข้าใจหรือยัง เปรียบเทียบง่าย ๆ (หัวเราะ) ขืนไปบอกตั้งแต่แรกไอ้คนใจไม่ถึงมันก็ถอนตัวหมด คุณไม่มีพวกไปประท้วงหรอก
               ท่านโลลุทายีนี่จริง ๆ ปัญญาท่านเยอะนะ เหตุที่ต้องใช้คำว่า ปัญญาท่านเยอะเพราะว่าท่านหัวหมอแบบทนายความ เลี่ยงกฏหมายเก่ง พระพุทธเจ้าเราสมัยก่อนไม่มีศีลข้อห้ามลักขโมย ก็ไปขโมยของคนอื่นเขา ถามว่าขโมยมาจากไหน บอกว่าขโมยมาจากในป่า คนเข้าไปทำงานทำการในป่าเสร็จมีห่อข้าวห่อของก็วางไว้แล้วไปตัดไม้ ทำไร่ อย่างนั้นนะ ไปขโมยเขา ไปขโมยเขาเสร็จ
              พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต่อไปนี้อย่าไปขโมยนะ เขาเองถือว่าห้ามเฉพาะที่ในป่าก็เลยไปขโมยในบ้าน พระพุทธเจ้าท่านเลยบัญญัติเพิ่ม ห้ามขโมยในบ้านนะ ก็เว้นแต่ในบ้านแต่ในป่าไปขโมยในลานตากผ้าเขา มันจะมีโรงย้อมผ้า ถึงเวลาจะมีลานตากผ้าอยู่ ส่วนใหญ่พวกนี้อยู่ลึกหน่อย ให้ห่างจากชุมชนเพราะว่าบางทีพวกไม้ที่เอามาต้มมาย้อม พอเวลามันบูดเน่าแล้วกลิ่นมันแรง อยู่ใกล้ชุมชนไม่ได้จะอยู่ในป่าก็ลำบากอีกมันจะไม่มีแสงแดด ต้องทำเป็นลานเฉพาะ ตัดต้นไม้ออกทำเป็นที่กว้างมากเลย
              เขาถือว่าไม่ได้ขโมยในป่าไม่ได้ขโมยในบ้าน เพราะขโมยในลานตากผ้าอย่างนี้..... เอาไปเรื่อยแหละ ฉลาดเป็นบ้าเลย ใครว่าท่านโง่ไม่ได้นะ (หัวเราะ) ฉลาดจริง ๆ เพียงแต่ว่าท่านเลี่ยงบาลีประเภทจับจดโลเลเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างนี้ เลยเรียก โลลุทายี    คือ   อุทายีโลเล    เพราะว่าท่านอุทายีมีองค์หนึ่งที่เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ   อันนั้นท่านผิวดำหน่อย   เขาเรียกว่า กาฬุทายี   คือ   อุทายีผิวดำ   พระเจ้าสุทโธทนะส่งราชทูตไป   ๑๐   ชุด   ด้วยกัน   ไปนิมนต์พระพุทธเจ้าให้มาโปรดท่านบ้าง   
              ปรากฏว่าทั้ง ๑๐ ชุด พอไปฟังเทศน์ปุ๊บกลายเป็นพระอรหันต์เสร็จเรียบร้อยลืมงานเดิม มีความสุขแล้วจบ (หัวเราะ) จนถึงท่านอุทายีองค์นี้ อุทายีองค์นี้ท่านไปถึงท่านจะเป็นอรหันต์แล้วท่านยังจำงานเก่าได้ว่าได้รับคำสั่งมาอย่างนี้ เลยทูลขออาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติบ้าง พระพุทธเจ้าท่านเห็นความสามารถของท่านอุทายี ก็บอกท่านว่า ท่านไปก่อน ไปสงเคราะห์เขาก่อนล่วงหน้า ๓ เดือน เพื่อให้เขาหมดทิฐิมานะหรือลดทิฐิมานะลง
              คราวนี้ท่านอุทายีท่านไปท่านมีอะไรที่อัศจรรย์ให้เขาเห็น คนนับถือเลื่อมใสมาก ท่านก็ประกาศบอกเขาว่านี่เป็นเพราะว่าเราเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเคยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อน คนจำนวนมากก็รู้แล้วว่าพระพุทธเจ้าเก่งขนาดไหน เพราะว่าขนาดลูกศิษย์เล็ก ๆ ยังเก่งขนาดนี้เพิ่งบวชไม่นาน คราวนี้ท่านสามารถยังความเลื่อมใสให้แก่มหาชนทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของศากยะและชาวบ้านทั่ว ๆ ไปด้วย ก็เลยเป็นเอตะทัคคะทางผู้ที่ยังตระกูลให้เกิดความเลื่อมใสได้ง่าย    คนละอุทายีกันนะ   
               สมัยก่อนท่านจะมีฉายาอยู่ไง    ใช้แทนนามสกุล   จะได้รู้ว่าเป็นใคร    ไม่ซ้ำกัน    โลเลทายี    คือ   อุทายีผู้โลเล    กาฬุทายี   คือ   อุทายีที่ผิวดำ    ถ้าชื่อซ้ำกันจะมีฉายาต่อ   
       ถาม :     และพระที่..........ต้องอาบัติ  ?
       ตอบ :   ท่านยกให้   ท่านเรียก   อาทิกัมมิกะ    แปลว่า   บุคคลคนที่เป็นต้นบัญญัติในอาบัตินั้น    ถือว่าเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นเขา       ไม่นับว่าผิดเพราะยังไม่มีข้อห้าม   แต่คนที่สองปุ๊บนี่ปรับเลย    เพราะถือว่าห้ามแล้วยังทำ
       ถาม :   สงสัยว่าอย่างท่านอุทายีจะผิดหลายข้อ    แล้วอย่างนี้อย่างที่ท่านอธิษฐานมาเพื่อที่จะมาเพื่อเกิดบัญญัติ  ?
       ตอบ :   ไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานมาหรือเปล่า   แต่   แหม ....  ท่านยอดฝีมือทางนี้จริง  ๆ    โดยเฉพาะอาบัติหนัก  ๆ   อย่าง  สังฆาทิเสส     ๑๓   ข้อนี่   ท่านอุทายีไปแล้วเกินครึ่ง     ท่านไปของท่านได้เรื่อยเลย
       ถาม :    ถึงตัวท่านเองก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ   ?
       ตอบ :  ไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นต้นบัญญัติ ต้นบัญญัติให้อาทิกัมมิกะ บุคคลใช่มั้ย บุคคลที่เป็นต้นบัญญัติศีลข้อนั้นยังไม่มีข้อห้ามอยู่ ไม่ถือว่าผิดถ้าทำ หลังจากนั้นแล้วโดนแน่ แต่ท่านเองท่านฉลาดท่านรอดของท่านไปได้เรื่อยล่ะ ในเมื่อรู้ว่าห้ามก็ออกไปทางอื่นต่อ
       ถาม :   สุดท้ายก็เป็นพระอรหันต์   หรือเปล่าคะ
       ตอบ :    สุดท้ายเราก็เป็นพระอรหันต์ไม่ใช่ท่าน   (หัวเราะ)    ทั้งหมดไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เมื่อถึงวาระสุดท้ายจะเข้านิพพานทั้งหมด เพียงแต่ว่าช้าเร็วต่างกันตามบารมีที่สร้างมา ตามความดีความชั่วที่สร้างมา   ทำดีเอาไว้มาก   บารมีมากก็เข้าเร็วหน่อย   ทำดีไว้น้อยก็เข้าช้าหน่อย   ทั้งหมดก็เข้าทั้งหมดเหมือนกัน   
              จำไว้ว่าบางทีประเภทหมาเห่าเข้าหน่อยโกรธหมาแล้ว เราลองนึกดูซิว่านั่นเป็นอนาคตพระอรหันต์ละ แหม.... อุตสาห์ทักทายด้วยความยินดีไปโกรธเขาทำไม (หัวเราะ) ถ้าคิดเป็นจริง ๆ  มีประโยชน์เยอะ    ไอ้โน่นมันทำให้เราไม่พอใจลองคิดดู    เออ....   ในอนาคตท่านก็เป็นพระอรหันต์เราก็ไหว้ท่านล่วงหน้าไปซะเลย    ท่านเองท่านอุตสาห์สอนให้เรารู้ว่ากำลังใจเรามันยังใช้ไม่ได้กระทบแล้วมันยังสะเทือน มันยังฟุบ มันยังฟูอยู่ ควรจะขอบคุณท่านมากกว่า   คิดเป็นมันสนุกนะ   
       ถาม :   อารมณ์ฟูยังใช้ไม่ได้ใช่ไหมคะ   ?
       ตอบ :   จะฟุบจะฟูยังไม่ได้ทั้งนั้น   มันต้องเป็นอารมณ์ทรงตัวที่เขาเรียกว่า    อัพยากฤติ อัพยากฤตินี่ประเภทไม่ทุกข์ไม่สุข รู้ว่าสุขเป็นอย่างไรรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร แต่ไม่เกาะทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วไม่ติดสุขแล้วก็ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยเป็น สังขารุเปกขาญาณ   ที่บอกไปแล้วนั่นแหละ
       ถาม :    ในเรื่องของพระมหาชนก ที่ว่าท่านอยู่ในทะเล ๗ วัน ๗ คืน อยากจะเรียนถามว่าเป็นไปได้ไหมคะ ที่ว่าในปัจจุบันที่มีความเพียรแล้วแต่ว่าทำอะไรก็ทำไม่สำเร็จ ?
       ตอบ :    มี   ถึงมีความเพียรแต่ทำไม่แน่ว่าจะสำเร็จ เพราะว่าความเพียรเฉย ๆ บางทีมีเหนื่อยเปล่า มันต้องเป็นความเพียรที่ประกอบไปด้วยปัญญาด้วย ถ้าไม่มีปัญญา   เห็นช่องทางตั้งหน้าตั้งตาทำ   เห็นเขาทำเราก็ทำด้วย    แต่ความสามารถของเราไม่มีอย่างเขา    มันก็จะไม่สำเร็จอย่างนั้น   หรือ   ถึงจะสำเร็จก็ยากกว่าคนอื่นเขา    
              อย่างท่านพระมหาชนกท่านเตรียมของท่านตั้งแต่ทันทีที่รู้ว่าท่านไม่รอดแล้วนะ เอาน้ำมันทาตัว เอาผ้านุ่งชุบน้ำมันซะก่อน อย่างนี้ มันป้องกัน.... นอกจากจะกันน้ำได้มันยังกันหนาวได้ด้วย แล้วเสร็จแล้วก็เอาน้ำตาลกรวดคลุกน้ำมันเนยกินเต็มที่เลย เข้าไปขนาดนั้นพลังงาน ๗ วันยังเหลือเฟือเลย ของท่าน ๆ มีปัญญารอบคอบจริง ๆ ท่านทำทุกอย่างเห็นว่าไม่รอดแน่ก็เตรียมพร้อมที่จะถอย
              วันก่อนมีคนเขาถามเรื่องบางระจันว่าเป็นยังไง มันตายหมดอย่างที่เขาว่ามั้ย ? บอกว่าที่เขาแสดงมันตาย ๆ ตามในหนังมัน เรื่องจริง ๆ รู้ว่าสู้ไม่ได้ใครจะอยู่เล่า การถอยไม่ใช่เรื่องน่าละอาย หลวงปู่หล้า   วัดภูจ้อก้อ   ท่านบอกว่าเราต้องเป็นนักหลบบ้าง   อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว   รู้ว่ายังสู้กิเลสไม่ได้ก็อย่าไปชนกับมัน     
              ท่านสอนพระใหม่ ๆ หรือโยมที่หัดปฎิบัติใหม่ ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ยังแรงอยู่อย่าไปหาไอ้ที่ไปกระทบได้ง่าย มันต้องหัดหลบก่อน พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวก็ไปลองแหย่ ๆ ดูซะนิดหนึ่ง ไหวมั้ย ? ไม่ไหวก็หลบอีก ถ้าสู้อย่างเดียวมันตาย ๓๖ แผนยุทธศาสตร์ซุนวู   นี่แหม....  แผนหนีอยู่อันดับแรกเลย    จะหนีในภูมิประเทศยังไง  (หัวเราะ)     บรรยายซะละเอียดยิบเลย   (หัวเราะ)    เขาบอกแล้ว     บอกชนะโดยไม่ต้องรบถือว่าเก่งที่สุด     ให้ใช้กำลังเข้าหักถือว่าขั้นสุดท้ายเลย
       ถาม :   ที่อ่านประวัติหลวงพ่อท่านเคยเล่าว่าเราหนีไปอยู่พระเจ้าตากสินจริงหรือเปล่า  ? 
       ตอบ :  ตอนหลังไปเข้ากับกองทัพของพระเจ้าตากทั้งหมด คือเหตุการณ์ตอนนั้นเรารู้อยู่ว่ามันไม่มีทางได้ปืนใหญ่จากเมืองมาช่วยแล้ว ก็ปรึกษากันว่าอยู่ต่อนี่ตายหมด เหนียวแค่ไหนก็ตายมันช่วยกันทุบน่ะ มันมีวิธีเดียวต้องหนี แล้วหนียังไง ตัวเองชนะมาตลอดไช่มั้ย ก็เอาหุ่นฟางมาผูกเป็นคน เอาผ้าคลุม ๆ ก่อไฟเอาไว้กลางค่าย คนมันไปโผล่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ ตัวหุ่น ไปโผล่อยู่แถวรอบ ๆ รั้วค่าย มันเหมือนยังกับคน เพราะมันส่องหลังวูบ ๆ วาบ ๆ อยู่ ก่อไฟทิ้งเอาไว้แล้วก็ไปเหอะ กว่าไฟจะดับมันก็ยังไม่กล้าเข้ามามาดู กว่าฟ้าจะสว่างมันไปซะค่อนคืนแล้ว (หัวเราะ) ที่รบกันจริง ๆ เราชนะตั้ง ๗-๘ ครั้ง
              แต่ว่าครั้งสุดท้ายต้องถอยหนี คนชนะมาตลอดอยู่ ๆ หนีนี่คนเขาคิดไม่ถึงหรอก รู้ว่าสู้ไม่ได้เพราะกำลังเขามาก ถึงเวลาเขาเล่นระดมกองทัพใหญ่เลย ส่งไปส่งเล็กส่งน้อยไปเท่าไหร่ก็ไม่เหลือซักทีใช่ไหม
       ถาม :    กายกับจิต   ถึงเวลาแล้วคือกายส่วนกาย    จิตส่วนจิตใช่ไหมคะ  ?
       ตอบ :   ใช่   กายส่วนกาย จิตส่วนจิต จิตจะคุมกาย แต่คนส่วนใหญ่จะไปยึดถือว่ากายเป็นของจิต เราต้องตัดตัวยึดถือตัวนั้นให้ได้ จิตคือเรา ส่วนใหญ่แล้วจะไปคิดว่าร่างกายนี่เป็นเรา ตัวเรานั้นมันเหมือนว่ารถหรือว่าบ้าน รถหรือว่าบ้านหลังนี้เราอาศัยมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลามันพังเราก็ต้องหาบ้านใหม่หรือว่ารถใหม่
       ถาม :    แล้วถ้าสมมุติว่าเราไม่สบาย   เราต้องดูแลเขาใช่ไหมคะ   ?
       ตอบ :   ต้องดูแลรักษาเขาไปตามสภาพ   ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือต้องดูแลรักษาให้ดีที่ดูแลมันก่อน ทำจนเต็มความสามารถแล้วถ้าไม่สามารถรักษาได้ถึงตายก็ต้องปล่อยมัน    ถ้ามีช่องทางแม้แต่   ๑%  ก็ต้องดูแลมันก่อน     ไม่ใช่ทิ้งให้มันพัง   ถ้าทิ้งให้มันพังน่ะผิด
       ถาม :   อย่างสมมุติว่ากำหนดไม่ได้แล้วนี่คือเรื่องหนึ่งใช่ไหมคะ  ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่ามันหมดสภาพถึงขนาดนั้นนะใจเราเกาะความดีเอาไว้ซะอย่างหนึ่งก็พอ อย่างเช่นว่า เกาะพระ หรือเกาะพระนิพานอะไรเหล่านี้เป็นต้น หรือว่าถ้าหากว่ายังมีกำลังพออยู่เกาะลมหายใจเข้าออกก็ได้ แต่ถ้าเวทนามันมาก ๆ ลมหายใจเข้าออกมันยังไม่อยากจะเกาะเลย มันก็เหลือแต่สติสัมปชัญญะกับปัญญาของเราเท่านั้นเองว่าเราจะเลือกอะไร
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: olelemon99 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2008, 20:13:25
อืมตายๆ ห้องนี้พึ่งจาเคยเข้าง่ะ อายเลย เขิน
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: chon เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008, 09:31:58
หวัดดีพระโอ สึกแร้วยังท่าน  jljhl jljhl
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008, 21:46:13
http://grathonbook.net/book/8.2.html

ถาม :  ช่วงเวลาที่ปฎิบัติมาก ๆ หรือปฎิบัติอะไร พอจุด ๆ หนึ่งมันจะสงบแต่พอเลยจุดสงบแล้วมันเริ่มกระเพื่อมใหม่แล้วมันแรงกว่าเดิม
       ตอบ :   มันไม่ได้เลย    ถ้าหากว่ามันเลยมันจะดีขึ้น    เราถอยกลับมาโดยไม่รู้ตัว    ที่ว่าเราถอยกลับมาโดยไม่รู้ตัวก็คือว่า    แทนที่เราจะสนใจภายในเราไปสนใจภายนอกโดยไม่รู้ตัว   ทุกสิ่งที่เข้ามาทาง   ตา   หู   จมูก   ลิ้น   กาย   มันพยายามจะแทรกเข้าไปภายในใจของเรา   เพื่อดึงใจเราให้ไปสนใจข้างนอกแทน
               ต้องสังเกตว่าเราส่งใจออกนอกเมื่อไหร่    ถ้าเราสังเกตตรงนี้ไม่ได้ก็เสร็จมัน   มันกระเพื่อมทันทีเลย  เพราะเราส่งใจออกนอกไปแล้วมันถึงไปรับอารมณ์นั้นได้   หรือไม่ก็ดึงอารมณ์นั้นเข้ามาข้างในโดยที่ไม่ได้ระวังตัวเอาไว้     มันก็เข้ามาโดยตรง    ก็เกิดทุกข์เกิดโทษกับเรา   สังเกตว่าพอใจเราส่งออกไปคิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่พังเมื่อนั้น   ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้า 
       ถาม :   แล้วเป็นไปได้ไหมพอถึงวันพระจะมีปัญหาตรงนี้  ?
       ตอบ :    ทุกวันก็มี
       ถาม :   แต่วันพระเป็นเยอะ
       ตอบ :  วันพระเป็นเยอะนั้นมันอาจเป็นเฉพาะตัวของเรา มีโอกาสเหมือนกัน บางคนสำหรับบางวันโดยเฉพาะวันพระ ถ้าหากว่าเป็นมากนี่ ต้องสังเกตว่าเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำมั้ย ถ้าได้ข้างขึ้นเต็มที่นี่อานุภาพการขึ้นการลงของดวงจันทร์ที่มันทำให้น้ำ ขึ้นน้ำลงยังได้เลย แล้วทำไมตัวเรามันจะขึ้นลงไม่ได้ละ ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำตั้ง ๖๐ - ๗๐ %
       ถาม :  แล้วอีกอย่างเรื่องงานค่ะ เรามีความรู้สึกว่าทะลึ่งไปอ่านความคิดชาวบ้านเขาออกว่าเอาเราเป็นตัวหมาก เดิน แล้วก็มาทำอะไรให้เราสารพัดจนกระทั่งเราปฎิเสธเขาไม่ได้ แต่ว่าทำตรงจุดนี้ไม่ได้ กลัวว่าถ้าสมมุติว่าไปทำตรงฟิลด์ที่ไม่ตรงกับเรามันจะเป็นผลเสียกับคนอื่น แต่ต้องไปอยู่เวรตรงนั้น ปฎิเสธเขาตรง ๆ ไม่ได้
       ตอบ :    ปฎิเสธตรง  ๆ   ไม่ได้ก็ทำให้มันเต็มความสามารถของเราเพราะว่าในเมื่อปฎิเสธไม่ได้มันก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด      ให้ดีที่สุดนี้มันไม่ได้มาตรฐานว่าจะต้อง   ๑๐๐%     เต็มอะไรนี่   มันแค่เต็มสติปัญญา    เต็มกำลังความสามารถของเราเท่านั้น     ถ้าหากว่าเขาเห็นว่าไม่สมควรเขาก็จับโยกย้ายทีหลังเองแหละ
       ถาม :  แต่อาชีพนี้มันขึ้นอยู่กับชีวิตคน   หนูไม่รู้....   ทำเป็นเล่นกับตรงนี้
       ตอบ :  บอกแล้วว่าดีที่สุด ถ้าหากว่าดีที่สุดแล้วคนตายลงไปก็ต้องยอมรับว่ากฏของกรรมมันมีอยู่ เราได้เจตนาให้เขาต้องตายเมื่อไหร่เล่า ?
       ถาม :  อย่างสมมุติว่าเมื่อก่อนนี้นะ เวลาที่เราโกรธใครหลาย ๆ ครั้ง เวลาทำอะไรให้เขานิด ๆ หน่อย ๆ บ้างมันสะใจเรา เดี๋ยวนี้มันสะใจด้วยมันเสียใจด้วย
       ตอบ :  ไอ้นี่เริ่มรู้ตัวนิด ๆ (หัวเราะ) ที่เสียใจความจริงมันเสียดายความดีที่เรารักษาไว้แล้วมันมาพังลงลงไป มันก็เรื่องปกติธรรมดา ให้เริ่มต้นใหม่ทันทีที่รู้สึกตัว เหมือนกับว่าเราเดินทางมาแล้วสะดุดล้มลงคนที่สะดุดล้มลง ๒ คนพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นแล้วเดินต่อเลยขณะที่อีกคนล้มลงแล้วก็ไปนั่งคร่ำครวญว่า โอ้ย..ไม่น่าเลย ทำไมมันถึงล้ม เราล้มได้ยังไง เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน โดยที่ไม่ยอมเดินต่อ ๒ คนนี้ใครจะก้าวหน้ากว่ากัน ?
               คนที่ลุกเลยจะก้าวหน้ากว่า    เราไม่ได้ตั้งใจผิดหรอก    ขณะที่สติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ ขณะที่ปัญญาของเราพร้อมอยู่เราไม่คิดจะทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ว่าเราทำเพราะเหตุของกิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มันชักนำให้เราทำไม่ใช่ตัวเราทำ    ถ้ามันติดใจให้กราบขอขมาพระรัตนตรัยแล้วตั้งใจทำความดีใหม่ ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไปเลย
               เราก็คือคนที่ทำดีทำถูกต่อไป   ถ้ามัวแต่ไปคร่ำครวญ ไปเสียดายเวลา ไปเสียใจอยู่กับสิ่งที่เลยมาแล้วมันก็คือการไปทวนอดีตอยู่ ไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคตสร้างทุกข์ให้เราทั้งนั้น เราต้องเอาปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น หยุด เลิก แล้วทำใหม่เดี๋ยวนั้นเลย ล้มอีกก็ลุกอีกทำใหม่อีก ไอ้พวกนี้มันกลัวลูกตื้อกลัวคนหน้าด้าน อีกไม่นานมันก็เลิก เพราะมันรู้ว่าเราไม่แพ้มันตรงนี้แล้ว
               สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขามาสังเกตว่า  ถ้าเราก้าวผ่านได้นี่มันจะไม่สามารถสร้างความกระเทือนใจให้เราได้อีกเลย แต่ถ้าเราก้าวผ่านไม่ได้มันจะมาซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ข้อสอบเดิมนั่นแหละเพียง แต่เปลี่ยนแง่เปลี่ยนมุมไปเท่านั้นเอง    เพราะฉะนั้นทันทีที่รู้ตัวก็เลิกตั้งใจทำดีใหม่   รัก   โลภ   โกรธ   หลง   มันมาแค่   ๔   หัวข้อ   แต่มาเป็นหมื่นเป็นแสน
       ถาม :   เป็นนักบวชยากไหมครับ  ?
       ตอบ :   ไม่ยากหรอก    แต่จะรักษาความดีนั้นมันยาก  (หัวเราะ)   เป็นไม่ยากหรอกบวชแป๊บเดียว
       ถาม :   ถ้าตั้งใจบวชไม่สึก   ?
       ตอบ :    ถ้าตั้งใจบวชไม่สึกจะเจอข้อสอบที่สาหัสมาก   เพราะเราปิดทางถอยของเราเอง
       ถาม :   ต้องอธิษฐานใหม่  ?
       ตอบ :   ไม่ใช่อธิษฐานใหม่  ตั้งใจว่าเราจะทำให้ดีที่สุด มันได้แค่ไหนเอาแค่นั้น บวชได้.... ไม่แปลก สึกก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถ้าคิดอย่างนั้นจะอยู่ได้ง่าย แต่ถ้าเราตั้งใจเลยว่าเราจะบวชไม่สึกตลอดชีวิตตายแน่ ๆ เลย ... มันตีมาทุกทางเลย    เปลี่ยนความตั้งใจใหม่   ตัวความตั้งใจเป็นอธิษฐานบารมี   รู้ว่ามันไม่ตรง   รู้ว่ามันไม่ถูก    เราก็เปลี่ยนแปลงได้
       ถาม :  ไม่ถือว่าผิดคำพูด  ? 
       ตอบ :    ไม่ผิด    อธิษฐานแปลว่า  ตั้งใจ   ตั้งใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวตาย (กำลังจะตายเพราะคำอธิษฐานตัวเอง) ตัวนี้แหละ เราไปปิดทางถอยของเราเอง ฉลาดไหมล่ะ ? เปิด ๓๖๐ องศาถึงเวลามุดมันออกได้ทุกรู อย่างนั้นสบาย อย่างอาตมาคนเขาถามว่าจะสึกมั้ย ? คิดสึกบ้างมั้ย ? บอกเขาว่าไม่สามารถจะรับปากได้ ถ้ากำลังใจมันอยู่อย่างนี้ มันอยู่ได้สบายอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าหากว่าเมื่อไหร่กำลังใจมันลดลงจะสึกเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะสึก
              ในเมื่อความรู้สึกของเราเป็นอย่างนี้โอกาสที่จะบีบเรามันไม่มี ก็เราพร้อมจะไป มาเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้นมันเปิดช่องไว้รอบทิศทาง ทางหนีมันเยอะ (เบื่อโลกแล้วจะลาซะที คิดอะไรไม่ค่อยเป็น) พวกนี้มันเกิดจากประสบการณ์ แรก ๆ ก็เหมือนกันประเภทหน้าดำคร่ำเครียดมาทั้งนั้น คือ ทำแล้วอยากให้มันดีให้มันเด็ดขาดไปเลย แต่ลืมไปว่ากำลังของเราถ้ายังไม่พอมันตีตายจริง ๆ นะ
       ถาม :   ทำบุญ  ทำแล้วให้เราคิดถึงบุญบ่อย   ๆ  อย่างนี้   แล้วก็มันไม่ใช่ว่าเป็นการเหมือนลำเลิกบุญคุณเหมือนทวงบุญทวงคุณ  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่   เราเรียกว่า   จาคานุสสติ   ระลึกถึงการสละออก    จิตใจก็ประกอบด้วยทานบารมี   คือ   พร้อมที่จะให้อยู่เสมอ    เป็นการคิดในด้านดี   เป็นการตีวงให้ความคิดของเราไม่ไป   รัก   โลภ   โกรธ   หลง   เพราะว่าการสละออกเป็นการตัดตัวโลภ    
              ในเมื่อเราคิดถึงความดีอยู่เสมอ เกาะความดี ความดีนี่ใครสอนมา.... หลวงปู่หลวงพ่อสอนมา หลวงปู่หลวงพ่อรับคำสอนมาจากใคร... รับคำสอนจากพระพุทธเจ้ามา หลวงปู่หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ คำสอนเป็นพระธรรม พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธ ครบพระรัตนตรัยเลย ใจเราเกาะพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อใจเราเกาะพระรัตนตรัยตลอดเวลาก็คือเกาะความดี ใจที่เกาะความดีในขณะนั้นถึงตายตอนนั้นมันก็ไปดี ไม่ได้ลำเลิกบุญคุณใครหรอก หากแต่ว่ากำลังย้อนทวนความดีของตัวเองเพื่อให้คงหนักแน่นอยู่ในใจขอเงเรา    
       ถาม :   แล้วถ้าจิตตกทำยังไงครับ  ?
       ตอบ :  ปล่อยมันตกไป อาการเดียวกัน รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ ไม่ต้องไปคร่ำครวญกับมันเสียเวลา โอ้ย... ไม่น่าเลย ทำมาตั้งนานเนพังอีกแล้ว (หัวเราะ) ไม่เห็นมีพระโยชน์อะไรเลย ทันทีที่เรารู้นี่เราเลิกเลยเดี๋ยวนั้นเลย เขาต้องการให้เราคิดอย่างนั้น ให้เราอยู่อย่างนั้น เราจะได้ไม่ก้าวหน้า จำไว้ว่าขณะที่เราแย่ที่สุดนั้นก็คือเวลาที่เราใกล้ความดีที่สุด     
              อันนี้กล้ายืนยันจากประสบการณ์ที่ทำมารวมเวลา ๒๕ ปี กว่าขึ้นปีที่ ๒๖ แล้ว เวลาที่เราคิดมันเหมือนกับเรากำลังจะก้าวเข้าประตูแล้ว เขาพยายามดึงเราให้ออกจากประตูนั้นด้วยการสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ที่มัน รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมา เพื่อให้เรามาหลงยึดตัวนี้แทน โดยที่ไม่มุ่งหน้าไปจุดเดิม เพราะฉะนั้นแย่มากที่สุดเมื่อไหร่จงดีเถิด ใกล้ประตูมากที่สุดแล้ว ลุกขึ้นแล้วเดินเดี๋ยวนั้นเลย มันอาจจะก้าวข้ามไปเลย
       ถาม :   .........(ฟังไม่ชัด)..........
       ตอบ :  ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่มันก็ยังสัมมาทิฏฐิไม่เต็มที่หรอก
       ถาม :   มีสักหน่อยก็ยังดีขอสัก   ๕๐ %   
       ตอบ :   โอ้โห...   เอาเยอะจัง  (หัวเราะ)   ในมรรคแปดจะขึ้นต้นด้วยสัมมาทิฏฐิเลย   เพราะสัมมา ทิฏฐินี่ตัวปัญญา เป็นตัวปัญญามีปัญญาขึ้นก็จะเริ่มทำในสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหมดสัมมาอีก ๗ ตัวจะตามมาเอง เพราะฉะนั้นในขณะจิตใดที่เรายังไม่ก้าวถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระ โสดาบันขึ้นไปตัวสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ได้ยากมันบกพร่องบ้าง...
               บอกแล้วว่าถ้ารู้ตัวเริ่มต้นใหม่   จำไว้ว่าเราใช้ ศีลเป็นกรอบของเรา ถ้าหากว่าเราจำเป็นต้องไปกับโลก ไปแค่กรอบของศีลห้า ถ้าไม่พ้นจากกรอบของศีลเรายังอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ถึงมันจะเป็นอุปาทาน คือการยึดมั่นถือมั่น แต่มันก็เป็นการยึดในสิ่งที่ถูก เพราะว่าทุกคนจำเป็นต้องมีสิ่งที่ยึดก่อนเหมือนกับเด็ก ๆ หัดเดินต้องมีสิ่งยึดเกาะก่อน
              ถ้าไม่มีสิ่งที่ยึดเกาะจะเอาอะไรไปปล่อยวางล่ะ เพราะฉะนั้นแรก ๆ ให้ยึดศีลเป็นหลัก ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลัก ถ้ายังอยู่ในกรอบของศีลนี้โอกาสจะหลุดจากสัมมาทิฏฐินี่ไม่มีเลย แต่ตัวธรรมะอื่น ๆ อาจจะบกพร่อง เช่นว่า เป็นสีลัพพัตตุปาทาน คือ ยึดมั่นในการปฎิบัติของตัวเอง คิดว่าศีลพรตของเราดีกว่าของคนอื่นเขา นั่นค่อยไปแกะมันทีหลัง แต่ว่าอย่าให้หลุดจากกรอบนี้แล้วกัน สัมมาทิฏฐิอยู่กับเราแน่ ๆ ไม่ใช่ ๕๐ % หรอก อาจจะ ๑๐๐ % เลย ไม่มีอะไรยากสักนิดหนึ่งอ่านตำราก็เยอะฟังก็เยอะ จับจุดไม่ค่อยจะถูก (หัวเราะ)
       ถาม :   การที่เรานับถือหลวงพ่อและพระพุทธเจ้านี่เป็นกิเลสมั้ย  ?
       ตอบ :  เป็น...    เราเรียก   ธรรมฉันทะ ความพอใจในสิ่งที่ถูกต้องสมควร มันไม่ใช่กิเลส มันไม่ใช่ตัญหามันเป็นจุดเกาะจุดยึดอย่างหนึ่งของกำลังใจ แต่ว่ายึดในขั้นแรกเท่านั้น พอนาน ๆ ไปกำลังใจมั่นคงขึ้นก็จะเหลือจุดอัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน มันก็จะเริ่มปล่อย คราวนี้พอปล่อยลงจนกระทั่งหมดนะ พอถึงท้าย ๆ แล้วกระทั่งคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือคำว่า นิพพาน ก็ไม่มี แต่มันทรงของมันเองอยู่ในใจโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องเสียเวลาไปเกาะ ไม่ใช่ว่าเราทิ้งแล้วหายไปเลยนะ หากแต่ท่านอยู่ของท่านอย่างทรงตัวอยู่แล้ว มันเหมือนอย่างกับว่าสมมุติว่าเราเลี้ยง... เด็กสักคนหนึ่ง ตอนแรก ๆ ก็ต้องคอยระวังใช่มั้ย มันดื้อมั่งมันซนมั่งวิ่งไปนู่นวิ่งไปนี่ ต้องไปจับ ไปรั้ง ไปดึงมันพอเด็กคนนั้นโตขึ้นมารู้ภาษาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร คราวนี้เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาไปฉุดไปดึงมัน ปล่อยยังไงเขาก็อยู่กับเรา แรก ๆ ก็เกาะก่อนพอนานไปก็ปล่อยได้ สำคัญตรงที่ว่าส่วนใหญ่มันปล่อยไม่ออก
       ถาม :   ปล่อยไม่ออกเป็นอะไรมั้ยค่ะ
       ตอบ :   มันก็ไม่เป็นอะไรเพราะมันปล่อยไม่ออก      มันก็ติดแต่ติดดี  มันดีกว่าติดชั่วใช่ไหม   ?
       ถาม :   บางทีเรายังเกาะไม่ได้แต่ติดนาน
       ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นแย่มากแล้วล่ะ    ยังไง  ๆ   ก็ให้มันเกาะให้ได้ซะอย่างหนึ่ง   คือ  เกาะดีให้ได้    มันต้องเกาะดีก่อน   หลวงปู่ดู่วัดสะแกไง     หลวงปู่ดู่วัดสะแกที่อยู่อยุธยาคนไปต่อว่าท่านสร้างวัตถุมงคลทำให้คนติดวัตถุมงคล   หลวงปู่ดู่ท่านว่า   ติดวัตถุมงคลดีกว่าไปติดวัตถุอัปมงคล    ต้องเจอพระอรหันต์ตอบอย่างนั้น   รักไปเถอะยิ่งรักเยอะยิ่งดี   รักมากจนอยากไปอยู่กับท่านยิ่งดีใหญ่เลย
       ถาม :   การที่เรารักมากจนอยากไปอยู่กับท่านมันจะตัดร่างกายโดยอัตโนมัติหรือเปล่าคะ  ?
       ตอบ :  ก็ไม่แน่ ถ้ามันยังอยากอยู่ เพราะว่าถ้าหากตัวอยากยังมีอยู่มันก็ต้องติดอยู่กับตัวอยากนั่นก่อน ถ้าหากว่าเราอยากจะไปแล้วเราลืมความอยากได้มันก็โอเค ตัวนี้จะเป็นตัวที่ทำได้ยากนิดหนึ่ง มันเป็นตัวอุเบกขาในอารมณ์เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือ การปล่อยวางในสังขาร คือ ความยึดถือปรุงแต่งทั้งปวงลงได้ ถ้าปล่อยตรงจุดนี้ลงได้อะไรก็เป็นของเราไม่ต้องขวนขวายมันก็มีเองไม่ต้อง ดิ้นรนมันก็มาเอง แต่ถ้าเรายังไม่ถึงตรงสังขารุเปกขาญาณนี่ยังลำบากอยู่ สังขารุเปกขาญาณแต่ละระดับมันไม่เท่ากัน พระโสดาบันแค่นี้ พระสกิทาคามีแค่นี้ พระอนาคามีแค่นี้ พระอรหันต์แค่นั้น ไม่เท่ากัน มีทุกระดับแต่กำลังสูงไม่เท่ากัน
       ถาม :   แล้วอามณ์เราสบาย  ๆ  ใช่สังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า   ?
       ตอบ :  ดูสิว่ามันเบาสบายเพราะอะไร   มันเบาสบายเพราะเราปล่อยวางได้มันก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ      แต่ว่ามันเบาสบายเพราะเราไม่ยอมรับรู้อะไรบางทีมันก็เป็นอรูปฌาน
       ถาม :   แล้วเบาสบายแบบไม่รับรู้อะไรนี่มันเป็นยังไง      มันเหมือนทื่อ   ๆ   อย่างนี้หรือเปล่า  ?
       ตอบ :   ถ้าเปรียบแล้วเป็นอย่างนั้นจริง   ๆ   แต่คราวนี้อธิบายยากเพราะมันเป็นอารมณ์ละเอียดข้างใน   อารมณ์ละเอียดข้างในถ้าเราทำไม่ถึงเราเปรียบเทียบไปยังไงก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง อารมณ์ภายในพูดเป็นคำพูดได้ยาก เขียนเป็นตัวหนังสือได้ยาก เพราะว่าตัวหนังสือกับคำพูดหยาบเกินไป หยาบเกินไปจนอธิบายไม่ได้ เราพูดยังไงก็เป็นแค่ผิว ๆ เท่านั้น เนื้อหาที่แท้จริงต้องทำให้ถึงเวลาแล้วจะรู้เอง
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: nuttikon เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008, 21:54:27
 jhkllแถวไหนอ้าครับ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008, 22:39:31
เข้าไปดูแผนที่ทางไปบ้านอนุสาวรีย์(ชัยสมรภูมิ)ได้ที่นี่ครับ gjgf
http://wadthai.info/topic03.htm
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=81273
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008, 22:47:12
http://grathonbook.net/book/8.3.html

ถาม :   สมมุติอย่างญาติที่ใกล้ชิดเราเสียชีวิต ....  (ฟังไม่ชัด) ........
       ตอบ :  มันอยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้าเด็ก ๆ เราอาจจะร้องห่มร้องไห้ ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ เพราะว่ากำลังใจของเรายังไม่เข้มแข็งไม่ปล่อยวาง มาถึงระยะหลัง ๆ นี่ถ้ายังไม่ถึงตัวจริง ๆ ขนาดพ่อขนาดแม่ยังเฉย ๆ มันจะค่อย ๆ ปล่อยไปได้เรื่อย ๆ คือ ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้บ้างว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ เลยไม่ไปเสียเวลาเศร้าอยู่กับมัน
       ถาม :   แล้วทำไมถ้าเกิดไปรักคนต่างที่   แล้วทำไมถึงเศร้ากว่า  ?
       ตอบ :   อันนั้นมันประเภทที่เรียกว่าเรามุ่งหวังนี่    มุ่งหวังว่าจะได้มาแล้วพอไม่ได้เลยผิดหวัง   จะทำให้เศร้าแล้วก็เสียใจมากกว่า    ส่วนอันนั้นของเราความมุ่งหวังมันน้อย    เรารักเคารพเพราะความผูกพันกันทางสายเลือดเท่านั้นใช่ไหม   ?  ความผูกพันทางสายเลือดความจริงมันลึกซึ้งกว่าแต่ว่ามันเคยชิน นึกออกไหม เจอกันอยู่ทุกวันน่ะ ส่วนอีตานั่นไม่รู้มาจากไหนก็ไม่รู้โผล่มาตอนเราอายุจะ ๒๐ แล้ว เลยกลายเป็นของแปลกใหม่ที่ทำให้เหมือนยังกับได้ของเล่นชิ้นใหม่เลยไปยึดมัน แรงกว่า ไปเกาะมันแรงกว่า ตื่นเต้นกับของใหม่ ถึงเวลาอยู่ ๆ หลุดมือไปอย่างนี้ ตั้งใจจะคว้าแรงหลุดมือไปมันก็เลยเสียหลักแรงหน่อย
       ถาม :    อย่างนี้แสดงว่าเป็นพราะว่าเราทำใจเรื่องคนรอบข้างหรือว่าความตายว่ามันไม่...(ไม่ชัด)...
       ตอบ :  เรายอมรับได้บ้างแล้วไง แต่คราวนี้ยอมรับในเรื่องนั้นน่ะ มันคนละเรื่องกับอันนี้ เพราะอันนี้มันยังยอมรับไม่ได้ แหม....ของใหม่ ๆ เพิ่งจะมาไม่นานเอง จากไปซะแล้วอย่างงี้.... จากไปดี ๆ ไม่มีใครว่า โดนคนอื่นแย่งซะนี่ มันก็เลยเป็นว่าอันนี้เสียใจมากกว่า
       ถาม :    แล้วถ้าสมมุติว่าเราเสียชีวิตอย่างกระทันหัน   เช่น   น้องเรายังเด็ก  ๆ  อยู่...?
       ตอบ :   ตอนนั้นก็ต้องดูว่ากำลังใจของเรามันทำได้แค่ไหน ถ้าทำได้มากมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก ดูอย่างเจ้าแดงสิ ลูกชายเจ้าของบ้านหลังนี้ ลูกน้องเดินไปถึง พี่แดง ๆ พี่แดงอย่าตกใจนะ เขาโทรมาบอกว่าแม่ตายแล้ว แดงก็ เออ... เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้วจะไป (หัวเราะ) เห็นเป็นธรรมดา มันก็ต้องตายอยู่แล้วคนแก่...ใช่ไหม ? ยิ่งป่วยอยู่ด้วยอย่างนี้ ลูกน้องนั่งอ้าปากหวอเลย อะไร... พี่เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เหรอ ? (หัวเราะ) นั่นแหละ อยู่ที่ว่าเราทำใจกำลังใจของเราได้แค่ไหน ถ้าได้มากปุ๊บปั๊บมันก็ไม่รู้สึกอะไรมากเท่าไหร่
       ถาม :    มันเป็นเพราะสัญญาหรือเปล่า   ความจำในชาตินี้   สมมุติชาติใหม่เกิดมามันก็กลับมา  ?
       ตอบสัญญามันไม่เท่าไหร่ ตัวสังขารนะสำคัญ สังขาร คือ ตัวอารมณ์ปรุงแต่งของใจ ตัวนี้แหละจะทำให้เราเศร้ามาก เศร้าน้อยเพราะไปคิดถึงอดีต แล้วก็ไปคิดถึงอนาคต ลืมปัจจุบัน ไปคิดถึงอดีต โอ้ย... พ่อแม่เรารักเรามาเลี้ยงเรามาขนาดนี้ยังไม่ได้ทดแทนอะไรเลย ทำไมท่านไปซะแล้ว คิดไปถึงข้างหน้าอีก ตอนนี้ท่านไปแล้วเราจะพึ่งใครอยู่กับใคร ตรงหน้านี้พ่อตายแล้วแม่ตายแล้วตัวเรานั่งอยู่ตรงนี้ไม่คิดล่ะ
              ถ้านั้นจะไปอดีตหรือไปอนาคตมันทุกข์ทั้งคู่ มันต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน มันจะทุกข์น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นตัวสัญญามันไม่เท่าไหร่หรอก สังขารปรุงแต่งน่ะสำคัญ มันเพิ่มรสชาติให้ชีวิตได้เยอะมากเลย
       ถาม :    อย่างพระเกจิที่เขาทำปลัดขิกทำตระกรุดพวกนี้   เขาปรุงเสกแล้วเขียนอักขระที่เป็นคัมภีร์ที่แสดงพระพุทธเจ้าด้วยหรือเปล่า  ?
       ตอบ :  มันก็แล้วแต่เขาเรียนมาแบบไหน ทางสำนักเขาถ่ายทอดมายังไงก็แบบนั้น แต่ส่วนใหญ่เกิน ๘๐% ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
       ถาม :    ...................(ไม่ชัด)............................
       ตอบ :  ห้อยเอวมันยังดีอย่าให้ต่ำกว่าเอวก็แล้วกัน มันอยู่ที่เขาว่าอุปเท่ห์การใช้มันเป็นอย่างไงน่ะ ถ้าหากเขาบอกห้อยเอวมันก็ต้องห้อยเอว ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีผลตามนั้น แต่ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าเป็นของที่ทำตามวิธีของไสยศาสตร์เขา เขาจะไม่เอาพุทธคุณเข้าไปเพราะว่ามันขัดกัน พวกไสยศาสตร์ถ้าเจอพุทธคุณเข้ามันเสื่อมหมด
       ถาม :   อย่างที่ทำเป็นรูปกุมารทองมั่ง  หนุมานมั่ง  ?
       ตอบ :  แล้วแต่อีกเหมือนกัน ถ้าปลุกเสกถูกต้องตามพิธีกรรมเทวดารักษา ถ้าไม่ถูกต้องตามพิธีกรรมไปทำแบบของไสยศาสตร์อะไรก็ได้พวกเปรต อสุรกาย หรือไม่ก็สัมภเวสีมันรักษาแทน
       ถาม :    แล้วสมมุติว่าเราตั้งแบบหิ้งพระอะไรนี่ก็ไม่ได้  ?
       ตอบ :  ยังไงก็ไว้ต่ำกว่านิดหนึ่ง   เอาไว้ต่ำกว่าพระหน่อย
       ถาม :    ถ้าห้อยคอ   เกิดเราห้อยพระหลายองค์   พระองค์ล่างสุดเป็นพระข้างบนเป็นหนุมานนี่ด้วยก็ได้   ไม่สมควร
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วเรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ว่าได้นะ เพียงแต่ว่าของเราเองถ้าเราถือสาหาความก็เลือกเอาเองว่าจะเอาแบบไหน จัดมันเป็น ๒ ชุดไปเลยก็ได้ ชุดหนึ่งก็มีประเภทหนุมาน กุมารทอง อะไรล้วน ๆ ไปเลย อีกชุดหนึ่งก็พระล้วน ๆ ไปเลย
       ถาม :   อย่างพระภิกษุสงฆ์ที่ท่านทำรุ่นกุมารทองอะไรอย่างนี้ท่านจะเรียกวิญญาณเด็กมาเข้าสิงจริงหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่หรอก รูปเด็กมันเป็นแค่ตัวแทน คือ เป็นสื่อเท่านั้น เป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่จะเป็นสื่อเท่านั้น ส่วนที่เรียก ๆ มานั่นถ้าถูกต้องตามพิธีกรรมจริง ๆ มันเรียกไม่ได้หรอก เพราะเทวดาหรือพรหมเราใช้ท่านไม่ได้ แต่เวลาที่ทำพิธีอย่างที่หลวงพ่อท่านทำพิธี ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของเทวดา พรหม ท่านก็จะมีท้าวสหัมสบดีพรหม   หรือไม่ก็ท่านปู่พระอินทร์   จะมาเป็นประธาน     
              แต่ถ้าหากว่าเป็นพิธีกรรมของพระท่านจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเองซะด้วยซ้ำไป แต่ว่าก็ยังใช้ท้าวสหัมบดีพรมกับท่านปู่พระอินทร์รับผิดชอบอยู่ มอบหมายไปว่าเทวดาองค์ไหนรักษาวัตถุมงคลชิ้นไหน คราวนี้ไม่ต้องกลัวหรอกจำนวนเทวดามากกว่ามนุษย์จนนับเท่าไม่ได้
       ถาม :   อย่างที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระอรหันต์จี้กงที่ชอบเดินกินเหล้านี่จริงหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :    กินเหล้านี่ต้องดูหลวงพ่อเจ๊ก    หลวงพ่อเจ๊กนี่อาตมาเกิดไม่ทันนะ    ท่านอยู่นครปฐมนี่ เอง ไปไหนก็แบกไหน้ำตาลเมา เมาแอ่นไปเลย แล้วทางกรุงเทพ ฯ พอได้ข่าวก็ส่งสังฆาธิการ ๒ องค์ไป จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ไปสอบสวนท่านว่ากินเหล้า ไปถึงหลวงพ่อเจ๊กก็ นิมนต์ครับ ๆ มาถึงรินน้ำชาให้ใช่ไหม เทจากไหนั่นแหละ ส่งให้คนละแก้วท่านเห็นเป็นน้ำชา
              หลวงพ่อเจ๊กท่านก็บอกว่า ถ้าผมสึกท่านก็ต้องสึกด้วย ถามว่าทำไม ท่านก็กินเหล้าเหมือนกับผมน่ะ ๒ องค์นั่นตกใจว่ากินเมื่อไหร่ กินเมื่อกี้นี้ หยิบก้นแก้วขึ้นมาดมดูกลิ่นหึ่งเลย ตอนกินมันน้ำชา ๒ องค์นั้นท่านรู้ว่าหลวงพ่อเจ๊กท่านทำอย่างนี้เพราะอะไร ท่านก็กราบก้นโด่งกลับ หลวงพ่อเจ๊กท่านปิดตัวเองกลัวคนไปกวน เลยแกล้งแบกไหเหล้าเมาแอ่นอยู่ทุกวัน ความจริงคิดให้มันเป็นอะไรมันก็เป็นเดี๋ยวนั้นแหละ พระระดับนั้นแล้ว
               แล้วอีกองค์ก็หลวงพ่อขี้วัว   วันนั้นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังเอง หลวงพ่อขี้วัวนี่นุ่งผ้าลอยชายผืนเดียว ผ้าอาบ อีกผืนหนึ่งคล้องคอวิ่งเล่นกับเด็กเลี้ยงวัว กลวงคืนอยู่ในทุ่งนั่นแหละ คนไปสงสัยว่าท่านเป็นอะไรอย่างนั้น ? หลวงพ่อท่านได้ยินปุ๊บท่านเกิดความรู้สึกว่าองค์นี้เป็นพระดี
              ท่านเลยจุดธูปปักกลางลานบ้านโยมนั้นแหละ บอกว่าถ้าท่านเป็นพระดีจริงพรุ่งนี้ให้มา ยังไม่ทันจะสว่างดีเลยมาท้าปาว ๆ ๆ หน้าประตูรั้ว ว่า .... เฮ้ย !นักเลงดีอย่าเล่นลับหลังสิวะ แน่จริงมาตีกันซึ่ง ๆ หน้า หลวงพ่อท่านเลยครองผ้าเรียบร้อยลงไปกราบ บอกเลิกบ้าได้แล้วครับ เขารู้กันหมดแล้ว ท่านเลยขึ้นบ้านไป โยมก็นิมนต์ให้ฉัน พอคนเขารู้ว่าหลวงพ่อขี้วัวมาฉัน คนบ้านโน้นก็เอาแกงมาถ้วยหนึ่ง บ้านนี้ก็เอาข้าวมาถ้วยหนึ่ง ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยแหละ พอฉันเสร็จแล้วบอก ไม่มีอะไรให้ว่ะ มีแต่ของดีอยู่ในย่าม เสร็จแล้วก็เอ็งเอาชามมา เอ็งเอาถ้วยมาล้างสะอาดเสร็จส่งให้ ท่านตักขี้วัวให้คนละถ้วย
              สมัยก่อนมันเป็นชามฝา ชามฝาลักษณะคล้าย ๆ อย่างนี้ มันมีฝาปิด ตักเสร็จก็ปิดให้บอกเอาไปเปิดที่บ้าน กลับถึงบ้านไม่เป็นขี้วัวหรอกเป็นขี้ผึ้งหมด ท่านคิดให้เป็นยังไงก็เป็นเดี๋ยวนั้น แล้วหลวงพ่อขี้วัวก็หายจากตรงนั้นไปเลย ขืนอยู่ต่อชาวบ้านรบกวนตายชัก คือ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านจะปิดตัวเอง คนไปกวนเยอะ
              อีกองค์หนึ่งหลวงพ่อท่านบอก โอ้โห.... ขึ้นกุฎิไม่ได้เลยเหม็นแทบสลบน่ะ คนไปกวนท่านมากส่วนใหญ่ไปขอหวย พอหลวงพ่อจะขึ้นกุฎิตอนกลางคืนนี่ หลวงพ่อท่านขึ้นไปพอไหว้พระเสร็จท่านจะถามพระบ้างถามเทวดาบ้างว่ามีพระดี อยู่ที่ไหน ท่านจะไปหาไง ไปเจอองค์นั้นพอจะขึ้นกุฎิ เดี๋ยวครับ ๆ นิมนต์รอหน่อย ไปต้มน้ำร้อนก่อน ทำไม ? เอามาราดขัดพื้นก่อน มันเหม็นนี่ ท่านฉี่ใส่กระโถน สาดมันทั่วไปเลย
              ท่านบอกเหม็นขนาดนี้ยังมาเลย (หัวเราะ) ไปกวนท่าน คราวนี้พอหลวงพ่อไปรู้ว่าคนมาเอาดีท่านก็ต้อนรับดี นั่นแหละลักษณะนั้นแหละ มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อท่านบอกกับพวกเรา บอกว่า เฮ้ย ! พวกแกลองสืบดูซิ มีหลวงตาองค์หนึ่งขาว ๆ ท้วม ๆ ล่ะนะ ชื่อจวน   อยู่สิงห์บุรี    ลองดูสิว่ามีพระชื่อนี้อยู่สิงห์บุรีวัดไหน  ช่วยบอกให้ด้วยหาไม่ยากหรอก    ท่านดังด้วยหลวงพ่อจวน   วัดหนองสุ่ม  ถามว่าหลวงพ่อหาทำไมครับ ท่านบอกว่าวันก่อนขึ้นไปพระจุฬามณีเห็นหลวงตาจวนเดินตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ อยู่ เขาเก่งว่ะ เขาไปทั้งตัวเลย ไม่ได้ใช้มโนมยิทธิถอดจิตไปนะนั่น เล่นไปทั้งตัวเลยล่ะ
       ถาม :   ยังอยู่ไหมครับ  ? 
       ตอบ :   เรียบร้อยไปแล้ว    ถ้าอยู่ไม่กล้าเล่ากลัวท่านเหยียบเอา  (หัาเราะ)   วัดหนองสุ่ม   ขาว  ๆ   ยิ้มทั้งวันน่ะ   น่ารักมาก
       ถาม :    ...............................
       ตอบ :  อย่างนั้นขืนเปิดท่านหักคออาตมาเท่านั้นแหละ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องพยากรณ์ของพระท่าน พระท่านพยากรณ์มาหลวงพ่อท่านถึงพูดต่อ ของเราพอหลวงพ่อพูดต่อ ถ้าท่านยังอยู่ก็เงียบ ถ้าท่านไม่อยู่ก็ว่าต่อไป
       ถาม :   อย่างนี้ก็ปิดโอกาสลูกหลานให้ทำดี  ? 
       ตอบ :   มันจะต้องประเภทหัดหูไวตาไว   หาเองมั่ง  นั่นน่ะเป็นอย่างนั้น    ในเมื่อลักษณะของพระอรหันต์จี้กงที่ คุณถามมันก็แบบเดียวกันนั้นแหละ คือท่านคงปิดตัวเองแบบเดียวกัน ไม่ต้องการให้คนไปกวนก็ทำเหมือนคนบ้า ๆ บอ ๆ มีบางคนเขาบอกว่าคนบ้ากับพระอรหันต์เหมือนกันก็จริง แต่มันต่างกันมาก มัน ต่างกันตรงที่ว่าพระอรหันต์น่ะท่านมีความสุขเพราะว่ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่คนบ้ามันไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับใครเขาเพราะมันไม่มีสติ เหมือนกันได้ยังไง.... เหมือนกันตรงที่ว่าต่างคนต่างปล่อยวางใช่มั้ย แต่ฝ่ายหนึ่งปล่อยวางอย่างมีสติ อีกฝ่ายหนึ่งปลอยวางอย่างไม่มีสติเลยปล่อยไป    
              เคยเจอไหมพระแบบนั้น ? สมัยนี้จี้กงปลอมเยอะนะ แม้กระทั่งพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาก็เป็นหลวงตาจี้กงกันแล้ว วันก่อนโทรไปแหย่ เป็นไง ... อาจารย์ใหญ่ หัวเราะซะไม่มีล่ะ คือ พอพระทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วมันจะเริ่มเกิดฤทธิ์ต่าง ๆ ขึ้นมาฤทธิ์พวกนี้เกิดจากฌานฤทธิ์      ฤทธิ์เกิดจากฌานสมาบัติ    บุญฤทธิ์    เกิดจากบุญที่สั่งสมมา    วิกุพนาฤทธิ์    ฤทธิ์ที่เกิดจากเล่นกสิณมา    อะไรอย่างนี้     
              มันเริ่มมีอะไรให้ชาวบ้านเขาเห็นแปลก ๆ ขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มติด เริ่มลือกันไปเรื่อย พวกเรายังรู้ว่ากิเลสท่วมหัวอยู่เลยขืนไปลอยตามชาวบ้านเขาเราก็เจ๊ง วันก่อนเลยลองโทรไปเบรคเล่น ๆ ดู หัวเราะกันซะไม่มี....องค์นี้สมัยก่อนนี้ขำมากเลย ท่านชื่อใหญ่และเราเองชื่อเล็ก    และท่านอายุมากกว่า   เลยกลายเป็นพี่ใหญ่น้องเล็กไปกันได้ใช่ไหม  ?     
              สมัยก่อนนี้ไปหาหลวงพ่อส่วนใหญ่ก็จะพาน้อง ๆ ผู้หญิงไปเยอะ พาไปทำบุญ ท่านใหญ่มาถึงก็สะกิดบอก น้อง ... น้องพามาได้ไง พี่แค่เห็นก็เหม็นแล้ว ไอ้เราก็เออ....ผมทำไม่ได้อย่างพี่นี่หว่า ปรากฏว่าอีกไม่ถึง ๓ เดือนต่อมาพี่ท่านแต่งงานเฉยเลย (หัวเราะ) เราก็สะกิด พี่...พี่.. ไหนว่าเหม็นแล้วทำไมแต่งล่ะ เขาบอกว่าไงรู้ไหม... เขาบอกว่าเวรกรรมมันมาถึง (หัวเราะ) หลังจากอาตมาบวชได้ ๕-๖ พรรษา ท่านก็เข้ามาบวชกลายเป็นพี่ใหญ่น้องเล็กตามเดิม แต่ของท่านแรงเพราะท่านพูดแบบขวานผ่าซาก ประเภทที่รู้อะไรว่ากันตามตรงไม่มีเลี้ยวไม่มีอะไร
               คนไม่ชอบหน้าท่านรู้ตัวเข้าท่านเลยหลบไปอยู่พุทธไชโย กับหลวงพี่นิภัทรอยู่ พักหนึ่งก็ลักษณะเดิมอีกไปตำหนิเขาตรง ๆ คือเรื่องบางเรื่องสิ่งที่ตัวเองเห็นน่ะมันไม่ใช่ จำไว้ให้แม่น ๆ เลย สิ่งที่ตัวเองเห็นน่ะมันไม่ใช่อย่างที่เราคิดอย่างเช่นว่า เราเห็นคนประเภทไล่ตีกันมา เราวิ่งเข้าไปห้ามอย่างนี้ รับรองได้ว่าโดนเขาถีบซ้ำด้วย ถ้ามันถ่ายหนังกันอยู่ทำมันเสียหมดเลย เราเห็นเขาตีกันจริง ๆ ใช่มั้ย ? แต่ความเป็นจริงมันเป็นในหนัง ลักษณะนั้นก็เหมือนกัน (หัวเราะ) หลวงพี่ใหญ่ท่านไปปากไวว่าเขาซะก่อน ก็อยู่กับเขายากตอนนี้เลยไปอยู่ทางวัดวังผาแดง     ที่อำเภอพร้าวจังหวัดเชียงใหม่โน่น น่ะ ไปทำอะไรพิลึกพิลั่นให้ชาวบ้านเขาเห็น เขาเรียกหลวงพ่อจี้กงกันหมดแล้ว ระวังมันจะกลายเป็นหลวงพ่อขี้โกงเข้าสักวัน
              มีพรรคพวกเยอะหลุดออกจากวัดท่าซุงไปก็เยอะ ไอ้ที่จากวัดอื่นคบค้าสมาคมกันก็เยอะ มันดีตรงที่ว่าเราไปที่ไหนมันก็มีที่กินมีที่นอน (หัวเราะ) ทางด้านของจีนเขาจะมีหลวงพ่อจี้กง และก็มีแปดเซียน     มีคนเขาถามว่า  เซียนคือพระอรหันต์หรือเปล่า  ?    บอกว่าเซียนในความหมายของจีนไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระอรหันต์     แต่พระอรหันต์ทุกองค์เรียกว่าเซียนได้    เพราะว่าเซียนในความหมายของจีน    พวกได้อภิญญาเขาเรียกเซียนหมดอย่างลื่อตงปิง พ่อเจ้าประคุณนี่ยังมีเมียอยู่แล้วจะเป็นพระอรหันต์อีท่าไหนล่ะ ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เซียนนี้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ทุกองค์เป็นเซียนแน่ ๆ
       ถาม :    ถ้าเกิดว่ามีพระอยู่ท่านหนึ่งท่านบอกว่าให้ผมบวชโดยไม่สึก  แต่ผมไม่บวชผมจะผิดใหมครับ  ? 
       ตอบ :  มันจะผิดตรงไหนล่ะ บวชไม่บวชมันอยู่ที่ความตั้งใจของเรา ถ้าเราเคารพเชื่อฟังท่านตั้งใจบวชไม่สึกก็ปางตายล่ะ วันก่อนเพิ่งจะบอกเจ้าชุ (น.ต. หญิงชุติมา ฟองชล) เขาไป ขำกันซะไม่มีล่ะ เขาไปตั้งใจอย่างนั้นมันจะเครียดมาก ปิดทางถอยตัวเองโดยไม่มีทางไป คนมาถามอาตมาว่าจะสึกหรือเปล่า ? บอกว่าถ้ากำลังใจมันทรงตัวอยู่อย่างนี้อยู่ มันอยู่สุขอยู่เย็นมันไม่คิดจะสึกหรอก แต่ถ้ากำลังใจมันลดลงมันจะสึกเมื่อไหร่ก็ยอมไปดี ๆ เลย ไอ้ของเรา ๆ ไม่ปิดนี่ มันไปได้ทุกช่อง ในเมื่อมันไปทุกช่องมันจะไม่เครียด เราลองตั้งใจว่าไม่สึกดูสิ กิเลสมันตีตายเลย มันจะแค่ไหนตั้งใจอย่างนี้ ? พวกเจ้ากิเลสมันฟัดเละ
       ถาม :   แล้วทำไมท่านถึงให้ผมบวชโดยไม่สึกล่ะ  ?
       ตอบ :  นั่นมันเป็นความเห็นของท่านนี่ มันอยู่ที่เราว่าเราจะทำตามความเห็นของท่านไหม หรือว่าเราจะทำตามความเห็นของตัวเอง เรื่องนี้จริง ๆ มันต้องถามท่านนะ ทำไมให้ผมบวชไม่สึกไม่ใช่ถามอาตมา
       ถาม :    คุยไปด้วยนับลูกประคำไปด้วยได้หรือครับ  ?
       ตอบ :   ได้   คุยไปด้วยนับด้วย   รู้ด้วยว่าภาวนาอะไร   นับไปก็จำเม็ดได้ด้วย
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008, 23:30:29
http://grathonbook.net/book/8.4.html

       ถาม :  เรื่องทอง
      ตอบ :  มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น บอกเขาไปหลายทีแล้วว่าถูกที่แต่ผิดทิศยืนยันเขาไปหลายทีแล้วว่าตรงนั้นไม่เจอ จริง ๆ ถ้าเขาไม่ไปมาร์คจุดเอาไว้ให้ดาวเทียมมันส่องเฉพาะที่ มันกวาดกว้างหน่อยเดี๋ยวมันเจอแล้วมันห่างกันประมาณ ๒ กิโลเท่านั้นเอง
      ถาม :  แล้วที่เขาบอกว่ามีหลายที่จริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้มีแต่ทางเมืองกาญจน์ สระบุรีก็ตั้งหลายที่ ญี่ปุ่นมันไปตั้งสระบุรีตั้งนาน ที่ทองผาภูมิมีอีกจุดหนึ่ง ผู้ใหญ่เล็กเจ้าพ่อทองผาภูมิเขาไปขุดมาแล้ว .... ปางตายเลย ผีมันเฉ่งเอา ต้องมาให้รดน้ำมนต์อะไรกันอยู่ ยังคิด ๆ อยู่ว่าถ้ามันขุดได้ไม่แบ่งให้จะเลิกรดน้ำมนต์ให้มันแล้ว
      ถาม :  ได้ไปดูบ้างไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่รู้จะดูไปทำไม เพราะไอ้ที่ถ้าต้องการมันมีเยอะกว่านั้น เมื่อวันที่ ๒๒ ก.พ. กำลังทำวัตรกันอยู่ ๔- ๕ องค์ และก็โยมหลายคนมีเสียงครืนโบสถ์สะเทือนทั้งหลังเลย เราก็ว่า...อะไรวะ ? พอกำหนดใจดูเห็นเทวดา ๘ องค์ เราก็ถามท่านว่าทำอะไร ท่านบอกว่าขนทองมาฝากหน่อยครับ ทองล้วน ๆ ขนมาฝากหน่อยยัดอยู่ใต้โบสถ์ ใครอยากได้มาขุดเอา
      ถาม :  มาได้จริงหรือครับ ?
      ตอบ :  เอ้า !เรื่องของเทวตานุภาพเขาคิดให้ไปทางไหนมันก็ไปตรงนั้น
      ถาม :  ตามหลักวิทยาศาสตร์ ... (ไม่ชัด) ..... ของมันเป็นวัตถุมันผ่านใต้ดิน ?
      ตอบ :  ของมันเป็นวัตถุมันก็สามารถแปลเป็นพลังงานชั่วคราวกลับเป็นวัตถุใหม่ มันอยู่ที่การจัดโมเลกุลเท่านั้นเอง นี่อธิบายตามแบบวิทยาศาตร์เลยนะ (หัวเราะ) ของเขาแค่คิดมันเป็นแล้ว คราวนี้ของเรามันต้องผ่านขั้นตอนของการสลายตัวของสสารมาเป็นพลังงาน แล้วค่อยกลับจากพลังงานมาเป็นสสารอีกครั้งหนึ่ง
      ถาม :  อันนี้เข้าขั้นปรมาณู
      ตอบ :  ใช่ แต่คราวนี้ของอภิญญาของเขาไม่ใช่อย่างนั้น ของความเป็นทิพย์ไม่ใช่อย่างนั้น เขาแค่คิดมันไปแล้ว มันเร็วกว่าเยอะ เพราะฉะนั้นทางวิทยาศาสตร์ที่เข้าถึงปรามาณูได้มันแค่สกิด ๆ เท่านั้นเอง มันยังไม่ใช่เนื้อแท้มัน จนทุกวันนี้วิทยาศาสตร์มันยังคิดเครื่องย้อนอดีต ย้อนไปอนาคตยังไม่ได้เลยใช่ไหม แต่เรื่องของจิตศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณทุกวันนี้มีใครสามารถถ่ายรูปเทวดาได้มั่งล่ะ ? ไม่มี... เครื่องมือมันไปไม่ถึง แต่ทิพจักขุญาณ เขาเห็นอยู่ว่าเทวดาเยอะแยะไปหมด เดือดร้อนขึ้นมาขอให้ท่านช่วยอีกต่างหาก
              .....บอกกับท่านว่าในเมื่อฝากเอาไว้แล้วแปลว่าว่างงานใช่มั้ยล่ะ ? ช่วยหาเงินให้ด้วยแล้วกัน (หัวเราะ) อยู่เฉย ๆ ได้ศาลามาอีกหลังหนึ่ง ถ้าท่านไม่ช่วยหาเงินให้เราก็แย่เหมือนกันนะ เรื่องของพระไตรปิฎกกล่าวถึงเทวดาไว้จนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่านักศึกษาสมัยหลังมันเรียนกันมากเกินไป เรียนมากเกินไปมันก็ปฎิเสธผี ปฎิเสธเทวดากันหน้าตาเฉย อะไรที่เป็นธรรมาธิษฐาน ... ไม่เอา มันเอาปุคลาธิษฐานไว้ก่อน
              ธรรมาธิษฐานเรื่องของบุญเรื่องของบารมีมันไม่เอาหรอก มันเอาปุคลาธิษฐาน คือว่ามนุษย์ขี้เหม็นอย่างมันต้องทำได้ มันถึงจะเชื่อส่วนใหญ่พวกนี้มันอัศจารรย์มาก มันเรียนเก่งปัญญามันเยอะ ในเมื่อเรียนเก่งปัญญาเยอะกูยังทำไม่ได้ใครจะทำได้ ไปคิดอย่างนั้น เลยปฎิเสธกัน
              ในขณะเดียวกันเด็ก ๆ เรียนแค่ ป.๓ - ป. ๔ ฝึกมโนมยิทธิมันไปกันรื่นเลย เคยเล่าให้ฟังมั้ย ว่าเคยฝึกเด็กอยู่คนหนึ่งอายุไม่เกิน ๕ ขวบ ฝึกเขาอยู่วันนั้นพอเขาได้มโนมยิทธิแล้วรุ่งขึ้นแม่เขาพาพี่เขามาด้วยพาตัวเขามาด้วย มากราบขอบคุณเป็นการใหญ่เลย ถามว่ามันเรื่องอะไร เขาบอกว่าน้องเขากลับบ้านไป เขาฝึกพี่เขาได้ด้วย ถามว่าฝึกยังไง บอกว่าน้องเขานั่งสมาธิอยู่ พี่เขาถามว่าเอ็งทำอะไร บอกว่าไปเที่ยวสวรรค์ พี่เขาถามว่าไปยังไง น้องบอกว่าก็หลับตาสิไปด้วยกัน
              แค่นั้นน่ะมันทำได้แล้วน่ะ ไอ้เราสอนแทบตายเด็กมันพูดประโยคเดียวเอง เด็กเขามีภาษาของเด็กเขา เขาพูดกันง่าย ๆ เขาเข้าใจของเขาอย่างนั้นน่ะ แค่หลับตาแล้วไปได้พี่ก็... เฮ้ย ! ไม่เห็นยาก กูก็หลับมั่งแล้วมันก็ได้จริง ๆ เป็นไง.... อายเด็กไหมล่ะ ? เราสอนแทบตายเด็กมันพูดประโยคเดียวเองน่ะ แม่เขาอุตส่าห์มาขอบคุณซะอีก
              เออ... เมื่อคืนแปลก เมื่อคืนนี้มันป่วยมาก ความจริงก็ป่วยคนเดียวไม่มากหรอก อาการมันแย่หน่อย เจ้าปิงกับจิมมี่มันนวดให้น่ะ หลับตาลงแปลกใจวันนี้ทิพจักขุญาณมันผ่องใสเป็นพิเศษ ปกติเรื่องที่เรารู้เห็นเนี่ยส่วนใหญ่มันได้เฉพาะจุดมันได้ได้รายละเอียด นี่ประเภทเล็งรายละเอียดได้ทีละจุด ๆ เลย
              มันแปลกของมันเหมือนกัน อยู่ ๆ มันมาเองนะ ของเรายังทำตัวเหมือนเดิมมันไม่ได้ดีขึ้นมากมาย แต่ว่าอยู่ ๆ ทิพจักขุญาณมันดีขึ้น ตลกเหมือนกัน มันมาของมันเองประเภทถ้าหากว่าดูต้นไม้นี่แยกนับได้ทีละใบเลย ก่อนหน้านั้นเรารู้แค่เลา ๆ ว่ามันเป็นต้นไม้เท่านั้นเอง สงสัยกำลังของพระหรือเทวดาท่านช่วย ลำพังของเราเองมันเห็นแค่ตอนใกล้ค่ำได้ถือว่าชัดมากแล้ว
      ถาม :  ช่วงนั้นพอดี.....(ฟังไม่ชัด)...........
      ตอบ :  เอานั่นแหละ ตอนนั้นอยากดูอะไร อยากเห็นอะไรก็เลยเพลินเลยเพราะมันนวดอยู่เป็นชั่วโมง เป็นไข้ขึ้นมาเมื่อวานโดนฝนไปทำประทักษิณมารอบวัดพระแก้วฝนตกตลอด ( หัวเราะ) กว่าจะครบรอบเปียกโชกเลย
      ถาม :  รอบใหญ่เหรอคะ ?
      ตอบ :  รอบใหญ่ รอบนอก รอบวัง (หัวเราะ) รอบกำแพงวัง (หัวเราะ) มากรุงเทพ ฯ ก็ไปไหว้พระแก้วเมื่อวานนี้เฮี้ยนเดินรอบเลย ภาวนาไปด้วย มัน.... กว่าจะรู้ตัว ตอนนั้นไม่เป็นไรนะ มาอยู่ที่นี่พอสัก ๖ โมงเย็นไข้เริ่มจับ ตอนเช้าฝนตก ไปไหว้พระที่วัดโพธิ์ด้วย พระที่วัดโพธิ์ท่านน่ะ พระสำคัญ ๆ โบราณของเราเยอะมาก
              วัดอื่น ๆ ก็เยอะในกรุงเทพ ฯ แต่ว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้กัน โดยเฉพาะวัดโพธิ์นี่อยู่ตรงนั้นบานเลย เพราะว่าในสมัย ร. ๑ หัวเมืองฝ่ายเหนือของเรานี่โดนศึกโดนสงครามมันบ้านแตกสาแหรกขาดวัดวาอารามรกร้างหมด ท่านก็ให้ช่วยกันขนพระพุทธรูปที่อยู่แต่ละวัดนี้ลงมากรุงเทพ ฯ เพื่อที่จะได้สร้างวัดสร้างวิหารให้ท่านได้สมเกียรติหน่อย คือยังไง ๆ ก็บูชาให้สมกับการเป็นพระพุทธเจ้าหน่อย
              ช่วงนั้นเฉพาะพระสำคัญ ๆ ที่เขาช่วยกันขนลงมากรุงเทพ ฯ นี่ ๑,๔๐๐ องค์ได้มั้ง ขนาดหลวงพ่อโตวัดสุทัศน์องค์ใหญ่แค่ไหนท่านยังเอาลงมาเลย อยู่ที่วัดโพธิ์บานเลย ที่ตามระเบียงน่ะไปมองดู นั่นน่ะทั้งนั้นเลยของเก่า ๆ ทั้งนั้นแหละ องค์ที่เป็นประธานในโบสถ์ คือ พระพุทธปฎิมากร แล้วก็หลวงพ่อพระโลกนาถ พระยืนที่หล่อด้วยสำริดที่สูงที่สุดในประเทศไทยเลย หล่อใหญ่ขนาดนั้นถือว่ามโหฬารมากแล้ว แล้วยังมีหลวงพ่อพระนอน
              ไปวัดโพธิ์ต้องไปไหว้พระนอน หลวงพ่อนาคปรก ตั้งแต่สมัยโน้น... คือโบสถ์วัดโพธิ์จะมีวิหาร ๔ ทิศ แต่ละทิศจะมีพระประจำวันอยู่ ทิศตรงหน้าพระประธานเลยก็คือหลวงพ่อพระโลกนาฏพระยืนปางห้ามญาติ แล้วก็ทางด้านหลังก็เป็นหลวงพ่อนาคปรก ทางด้านขวามือจะเป็นปางปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ทางซ้ายมือจะเป็นปางป่าเลไลย์ แล้วก็ยังรอบ ๆ อีกล่ะ เดินดูไปเหอะไม่รู้เบื่อหรอก เจ๊หลินเขาไปดูวัดสุทัศน์ ไหว้พระศรีศากยมุนีมา ตกใจ... ไม่นึกเลยว่ากรุงเทพ ฯ จะมีพระประธานใหญ่ขนาดนี้
              ส่วนใหญ่องค์ใหญ่ ๆ จะอยู่อยุธยาใช่ไหม อย่างหลวงพ่อวัดพนัญเชิง หรือไม่ก็หลวงพ่อวัดมงคลบพิตร เพิ่งจะรู้ว่ากรุงเทพ ฯ ของเราน่ะองค์เบ้อเร่อเท่อ วัดสระเกศก็ตั้งหลายองค์ วัดสระเกศที่มีศาลามีทั้งพระยืน พระนั่งพระเก่าทั้งนั้นแหละ
      ถาม :  ผลงานของทุเรียนค่ะ
      ตอบ :  ธรรมดา.. อ้วนปีละครั้ง (หัวเราะ) หลังทุเรียนก็ผอมใหม่ ต้องท่านน้อย ท่านน้อยนั่นคู่หูกัน น้องชายด๊อกเตอร์ปริญญา บวชพร้อมกัน บวชรุ่นนั้น ๓๖ องค์ อาจารย์ยกทรงถามหลวงพ่อบอกจะเหลือไหมครับท่าน ? ท่านบอกว่าเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนแรกนึกว่าเหลือไม่กี่องค์ ที่ไหนได้เหลือเล็กกับน้อย ๒ องค์ นึกว่าท่านพูดเล่นเหลือเล็กกับน้อย ๒ องค์จริง ๆ
              หลังจากหลวงพ่อมรณะภาพได้ปีกว่า เจ้าน้อยก็สึกไปด้วย ๘ พรรษา เสียดาย .... เจ้านั่นจะอ้วนปีละครั้งจริง ๆ เขาชอบฉันทุเรียนจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นไอ้ขนาดนั้นมันตายนะ ไปบ้านคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ มันบอกว่า ลูกกูกินทุเรียนไป ๔ ลูก เราว่า ๔ ลูกมันกินเข้าไปได้ยังไงวะ แต่ปรากฏว่าวันนั้นเห็นอยู่ที่หอฉันทางด้าน ๙ พี่น้องตระกูลเวสารัชชานนท์ถวายหลวงพ่อทีหนึ่งหลาย ๆ ตัน ทุเรียนน่ะ แล้วส่วนใหญ่มันจำเพาะให้อยู่ตรงหน้าตึกพอดีก็เวรของเรา ต้องไปขนทุเรียนให้เขา แต่ตัวเองฉันไม่ได้ พอฉันปุ๊บความดันมันจะขึ้น
              ท่านน้อยฟาดเพลินเลยวันนั้นมันฉันของมันไปเรื่อย ๆ พระองค์อื่นฉันเสร็จหยุดนั่งรอ นั่งรอจนกว่าองค์สุดท้ายเสร็จจะได้ยถา ฯ ใช่ไหม ไม่ได้ยถา ฯ สักทีหนึ่งหรอก เสร็จแล้วสายตาทั้งหมดหันไปมองไอ้ท่านน้อยอยู่องค์เดียว สงสัยพลังจิตจะเเรงเกินไป (หัวเราะ) ไอ้ท่านน้อยรู้ตัวมันหยุดมองซ้ายมองขวา เฮ้ย ! ทุกคนมองกู... หยุดก็ได้วะ (หัวเราะ) วางช้อนให้เขายถา ฯ พอยถา ฯ เสร็จไอ้เราข้องใจมากนับว่ามันฉันเข้าไปเท่าไหร่เม็ด ถาดหนึ่งนับได้ ๒๒ เม็ด ฉันเข้าไปได้ยังไงทุเรียนหมอนทอง ๒๒ เม็ด ตอนแรกบอกว่ากินคนเดียว ๔ ลูกเรายังไม่เชื่อนะ ไอ้ ๒๒ เม็ดมันน่าจะเกิน ๔ ลูก ถึงมันไม่เกินมันก็ใกล้เคียงแล้วมันยังไม่อิ่มด้วย (หัวเราะ) มันบอก... หยุดก็ได้วะ (หัวเราะ) กินลงไปได้ยังไง ข้องใจมากเลย
              นั่นแหละเขาพูดด้วยความภูมิใจ เขาบอกกูไม่เป็นขี้กลากหรอกกำมะถันมันเยอะ (หัวเราะ) ทุเรียนกำมะถันมันเยอะที่มันมีกลิ่นน่ะ กรดกำมะถันเยอะทำให้มีกลิ่น มันบอกมันไม่เป็นขี้กลากหรอก ไม่อาบน้ำก็อยู่ได้กำมะถันเยอะ (หัวเราะ) ขืนไปบ้าตามมันเราตายแน่เลย ในแต่ละปีฉันทุเรียนได้ไม่เกินหนึ่งเม็ดและฉันแต่ละทีนี่ทรมานไปเป็นเดือน ความดันมันขึ้น อีกไม่กี่วันต้องไปจันทบุรีอีกแล้ว บ้านลุงเชิญเขานิมนต์ไว้ต้องไปทุกปี บอกถึงตัวเขาตายไปก็จะให้ลูกหลานนิมนต์ต่อ
      ถาม :  ที่จันทบุรีเขามีเขาคิชกูฎ ต้องไปปีละครั้งถึงจะดี ?
      ตอบ :  ถ้าไปได้ทุกเดือนยังดีแข็งแรงขึ้น กว่าจะถึงยอดแทบตาย (หัวเราะ) เดือนละครั้งยิ่งดี ทางมันขึ้นอย่างเดียวจริง ๆ ถึงโอกาสจะพักแทบจะไม่มีเลย มันมีแต่ขึ้น ๆ ๆ และก็ขึ้น และที่แน่ ๆ คือ หน้าที่ฝนลงแล้วนี่ทากตั้งแต่พวกหินเจดีย์หินอะไรพวกนั้นไปนี่ทากเพียบเลย ในสมัยที่ไปไม่รู้จะหลบไปทางไหนเพราะว่าตอนที่ไปทางรถยังไม่มี เป็นทางป่าเสร็จแล้วญาติโยมก็บอกว่า ปิดป่าแล้วอาจารย์จะขึ้นได้ยังไง ปรากฏว่าลุยขึ้นไปจนได้ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย
      ถาม :  ข้างบนมีอะไรพิเศษครับ ?
      ตอบ :  เยอะ มีพระพุทธบาทอยู่ แล้วก็มีหินใหญ่คล้ายพระบรมธาตุอินแขวน แต่ทว่าของอินทร์แขวนเขาจับโยกได้ แต่ของเรานี้ฝังดินไว้เกือบครึ่ง ก้อนนั้นถ้าหลุดลงมาเมื่อไหร่ละก็ฟ้าถล่มดินทลายเมื่อนั้นแหละ เพราะว่าเราอยู่ไกล ๆ มองไปจะเห็นหินที่ตรงนั้นสักเท่าบ้านได้มั้ง เขาเรียกหินลูกบาตร เสร็จแล้วทางด้านล่างลงมาตรงเชิงผาจะมีรอยเท้ากับมือคนอยู่ เขาเรียกรอยพระหัตถ์ เขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไปค้ำเอาไว้ หินก้อนนั้นมันเลยไม่หล่นลงมา
      ถาม :  แล้วมันเป็นของจริงทั้งหมดเหรอครับ ?
      ตอบ :  ของจริงเขาเชื่อว่าจริงก็จริง เพราะว่ามันอยู่ที่ศรัทธา ถ้าศรัทธาปักใจมั่นแล้วอะไรก็ได้ จะจริงจะปลอมเหมือนกันหมด
      ถาม :  อย่างนี้ผมอยู่ที่บ้านไหว้พระพุทธเจ้าก็ถึงเลย ?
      ตอบ :  ถึงเลย ก็อยู่ที่เรา แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วที่เขาไปก็คือถ้ามันได้เหนื่อยหน่อยรู้สึกได้บุญเยอะขึ้น แต่ความจริงถ้าเหนื่อยแล้วอารมณ์เสียบุญมันน้อย
      ถาม :  ...............(ไม่ชัด)...........
      ตอบ :  คือมันคล้าย ๆ กับว่าจะไปว่า ๆ ชาวบ้านเขาออกกฏหมายมาเพื่อควบคุมพระมันก็ว่าไม่เต็มปากที่มันบวช ๆ อยู่ทุกวันนี้มันจะเป็น พระจริง ๆ มันยากเต็มทีมัวแต่ไปทำเละเทะให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อนอยู่เรื่อย เป็นหน่วยงานต่างหากที่ปกครองกันเองเหมือนแต่ก่อนคนที่จะเข้าไปควบคุมเนี่ยทำได้ แต่ว่าต้องมีความเข้าใจในระบียบวินัยของสงฆ์อย่างลึกซึ้ง แล้วก็ต้องมีจิตใจที่ยุติธรรมด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นนี่เขาเละทั้งนั้นเลย
              จนกระทั่งถึงขนาดว่าจะเสนอให้ว่าขึ้นตรงอยู่ต่อท่านนายกรัฐมนตรีใช่มั้ย ให้ขึ้นต่อนายกรัฐมนตรี ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ หรือว่าท่านวันนอร์ ขึ้นมาเป็นนายกมันแย่เหมือนกันน่ะ เพราะเขาคนละศาสนากันใช่ไหม ? มันไม่ได้แย่ตรงไหนหรอก....มันแย่ตรงที่เขาไม่สนับสนุนเราเลย
              เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะออกมาแบบไหนก็ตามมันก็รู้สึกว่าความที่เคยสะดวกและที่เคยอะไรอยู่คงลำบากกันแหละ และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ว่าเขาว่าแต่ละวัดจะมีทรัพย์สินเยอะใช่ไหม ? จะออกกฏหมายมาจัดการกับทรัพย์สินของสงฆ์ แหม... อยากให้มันออกจังเลย คือ.. ถ้ามันออกมาเมื่อไหร่ เราจะถามว่าหนี้กูมึงช่วยไหม ? (หัวเราะ) ของเรานี้ติดบัญชีติดแดงโร่เลย จะจัดการแต่คนมีเงินไอ้คนไม่มีเงิน จะจัดการไหม ?
      ถาม :  แล้วสุดท้ายจะดีหรือร้ายครับ ?
      ตอบ :  เดี๋ยวดูเขาก่อนสิว่าเขาจะตกลงออกมาในแง่ไหน คิดว่าถ้าหากว่ามันถึงจุดสุดท้ายจริง ๆสมเด็จพระสังฆราชท่านคงต้องออกความเห็น เพราะว่าตอนนี้นี่ยังไม่ขึ้นไปถึงท่าน เขายกท่านไว้ว่าในที่สูงไม่ใช่ให้ระคายเคือง แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี้ท่านพูดน้อยแต่ต่อยหนักนะ ส่วนใหญ่ออกคำสั่งมาซะนิดเดียวใช่มั้ย.. มันไปตีความกันเอง โดยเฉพาะเรื่องอะไรล่ะ ... เรื่องใครล่ะ ตอนนนั้นที่บอกว่าขาดความเป็นพระไปแล้ว จำไม่ได้แล้วคดีดัง ๆ น่ะ

ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2008, 17:37:12
http://grathonbook.net/book/8.5.html

ถาม :     มีคนบอกว่าคดีธรรมกาย
       ตอบ :  เออ... ขาดจากความเป็นพระไปแล้วนั่นน่ะเล่นซะลูกศิษย์โกรธซะแย่ มันก็ต้องดูเขาสิว่าเจตนาเขาเป็นยังไง ถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนก็ขาดแน่นอน ถ้าหากว่าใช้เงินผิดประเภทหรือท่านเอาเงินสงฆ์เบียดบังไปเพื่อประโยชน์ส่วน ตนหรือส่วนรวมตั้งแต่บาทหนึ่งก็ขาดความเป็นพระแล้ว
       ถาม :    ................(เสียงไม่ชัด)...............
       ตอบ :  ประโยชน์ส่วนรวมที่ว่านี่หมายถึงประโยชน์ของพวกพ้องน่ะนะ   มันไม่ใช่ส่วนรวมทั่ว ๆ  ไป
       ถาม :    ภิกษุณีที่มาเมืองไทยตอนนี้  ?
       ตอบ :   ที่ตอนนี้ก็เป็นแม่ชี   ถือว่าเป็นอุบาสิกาบริษัท  ไม่ใช่ภิกษุณีบริษัท   บริษัท   ๔    ของพระพุทธเจ้ามี   ภิกษุ   ภิกษุณี   อุบาสก   อุบาสิกา   ปัจจุบันนี้เป็นแค่อุบาสิกาเท่านั้น   ถึงเขายืนยันว่าเป็นภิกษุณีก็เป็นไปไม่ได้  เพราะมันขาดช่วงลงไปแล้ว     
       ถาม :    แล้วห่มผ้าแบบพระจะไม่ผิดเหรอครับ  ?
       ตอบ :  มันจะไปผิดอะไร คือตราบใดยังไม่มีคนไปจี้ท่านว่าผิด ถ้าสังคมเขายังยอมรับก็ให้เขารับไป แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ภิกษุณีของเขาทางด้านมหายาน ทางด้านประเทศจีนเขายังนับถือเขายังสืบสายกันมาของเขาไม่ได้ขาดช่วงลงใช่ มั้ย ? แต่จริง ๆ พอออกมหายานมันไปไกลแล้วถ้ายิ่งออกไปทางด้านตันตระนี่ ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พระพุทธเจ้ามีเมียด้วย เขาจะเป็นพระพุทธรูปแล้วมีผู้หญิงกอดซ้ายคนกอดขวาคนนั่นแหละของด้านโน้นเขา แล้วคนไทยที่ไม่รู้เขาไปโวยวายว่าเขาเหยียบย่ำพระพุทธรูป แต่ไม่ใช่หรอก
                นั่นเป็นความถือของเขาอย่างนั้น  จริง  ๆ   เขาจะมีชายาเป็นนางตาราเขียว    ตาราขาว   ๒   องค์จะนั่งตักกอดข้างอยู่คนละข้างเลย     คือ  ทางด้านตันตระนี่เขาจะเน้นหนักในเรื่อง   ๕   ม.    ม. ม้า  ๕   ตัว    จะมี  มันตรา   คือ  การท่องบ่นภาวนาใช่มั้ย  ?   จะมีมังสะ  คือ กินเนื้อเป็นอาหาร   จะมีเมถุน    คือ  การเสพกาม  จะมีมุทรา   คือการร่ายรำ  มัทนะ   ดื่มสุราพวกนี้เขาเชื่อว่าถ้าหากว่าทำจนถึงที่สุดแล้วมันจะบรรลุได้     
               อย่างเช่นว่า   การเสพกามจนเบื่อแล้วจะบรรลุได้  เป็นไปไม่ได้หรอก   พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว   บอกว่า   ๔   สิ่งที่คนเสพแล้วไม่มีวันเบื่อ   คือ  ๑   การกิน   ๒   การนอน  ๓   การเสพกาม   ๔    การเสวยอำนาจ ๔ อย่างนี้ใครขึ้นไปไม่มีคำว่าเบื่อ ยกเว้นผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารเท่านั้นถึงจะดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากมันไม่ งั้นนอกจากนั้นยิ่งจะกอบโกยเข้าใส่ตัวเองทั้งนั้น
              หลักการของเขาดีมั้ย ? ดูท่ามันจะไปรอดอย่างเดียวคือ มันตรา - สวดมนต์น่ะ สวดมนต์ภาวนาไปมันเป็นสมาธิได้ใช่มั้ย มังสะกินเนื้อสัตว์นี่กินเข้าไปเถอะ ต่อให้มันเป็นมังสะวิรัติก็ไปไม่รอดหรอก เมถุน เสพกาม มุทรา ? ร่ายรำ และอะไรอีกตัวหนึ่ง... มัทนะ - ดื่มเหล้า เอาให้เมาหัวทิ่มไปเลย เขาเชื่อว่าเมาแล้วมันจะหลุดโลก (หัวเราะ) มันหลุดจริง ๆ จับตัวประกันด้วย (หัวเราะ)
               ศาสนานี่คนเขาถือเยอะนะ   มันสนุกนี่   ทางด้านทิเบตบางส่วน    อินเดียเนปาลนี่เขาจะมีและพวกตันตระ     ตันตระนี่พอมาถึงด้านเขมรแล้วมันกลายเป็นพวกเล่นคาถาอาคมกันตัวมันตราไง....
              คาถาอาคมมีอะไรของเขาสารพัดวิธี ผีกระหังมันก็ทำแต่ว่าตำรามันโหดไปหน่อย ต้องใช้ลูกตัวเองที่เป็นผู้ชาย พอเกิดมาเอาลวดผูกข้อห้วเข่ากับข้อเท้าติดกันไว้ เสร็จแล้วเลี้ยงด้วยเลือดสัตว์ จะเป็นเลือดเป็ดเลือดไก่บวกด้วยคาถาอาคมอะไรพวกนั้น ให้มันออกกำลังใช้แต่ต้นแขนทำกระด้งให้มันหัดกระพือ ช่วงล่างมันจะลีบไปเหลือแต่ช่วงข้างบนแข็งแรงมากเลย มันถึงบินได้ไง ไอ้ที่เขาบอกว่ากระหังมันบินได้ด้วยกระด้ง มันได้จริง ๆ นะ
       ถาม :    มันจะมีฤทธิ์ตรงไหนครับ  ?
       ตอบ :   แค่คนเห็นก็จะช็อคตายแล้ว   มีฤทธิ์ตรงมันแข็งแรงขนาดนั้นมันจับเราหักคอได้สบายเลย
       ถาม :    แล้วทำไมต้องขี่สาก   ตามตำราหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ไม่หรอก   คนมันเห็นไม่ชัดขามันลีบ  ๆ    ติดกับอยู่   เขาก็คิดว่าขี่สากเป็นหางไปไง
       ถาม :    แต่เขายืนไม่ได้    แล้วเขาบิน   ๆ   ไปจะมีอะไรไปเกาะ  ? 
       ตอบ :  มันไปเกาะต้นไม้... คุณเคยเห็นกระด้งมั่งมั้ย ? มันสานมีหู ๒ หู ถ้าหากมันจะใช้มือมันก็เลื่อนให้หูมาอยู่ตรงข้อแขน ถ้ามันไม่ใช้ฝ่ามือในการเกาะในการจับก็ใช้จับไอ้หูมันเพื่อความมั่นคง
       ถาม :    ปืนยิงเข้าหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ไม่ได้รับประทานหรอก ขนาดซัดมันด้วยปืนครกยังไม่เข้าเลยแต่กระดูกมันหักตาย ที่มันตายเพราะกระดูกข้างในมันหักหมด ยิงมันไม่เข้าจริง ๆ ขนาดอาวุธสงครามทำอะไรมันไม่ได้นี่ก็ต้องนับว่ามันแน่เหมือนกัน
       ถาม :    ..........(ไม่ชัด)..............
       ตอบ :  มันต้องมหาอุตม์หรือแคล้วคลาด   คงกระพันมันยังเจ็บอยู่
       ถาม :    ..........(ไม่ชัด).............
       ตอบ :  คือ   จริง  ๆ  ตัวปีตินี่มันมี  ๕   อย่าง  คือ   ขณิกาปีติ    ขนลุกซูซ่า  เป็นระยะ  ๆ   ขุททกาปีติ    น้ำตาไหล    โอกกันติกาปีติ   ตัวโยกไปโยกมา   บางทีก็สั่นตึง  ๆ    อย่างกับปลุกพระอย่างนั้นน่ะ    อุเพงคาปีตินี่ลอยขึ้นทั้งตัวเลย     ลอยไปไกล ๆ  ก็มี    แต่มันไปไม่ไกลเท่าไหร่หรอกเดี๋ยวมันก็กลับที่เดิม    แล้วผรณาปีติ รู้สึกว่าตัวเองตัวพองตัวใหญ่ บางทีตัวแตกตัวระเบิดอะไรไปเลยก็มี บางทีรู้สึกว่ามันรั่วเป็นรู ๆ มีอะไรไหลซู่ซ่าไปหมดก็มี
              บางคนผ่านอย่างเดียว บางคน ๒ อย่าง บางคน ๓ อย่าง บางคน ๔ อย่าง บางคน ๕ อย่าง บางคนไม่เจอเลยก็มี ส่วนใหญ่ที่ไม่เจอเลยจะเป็นพวกสาวกภูมิแท้   ๆ คือ ตั้งใจบำเพ็ญบารมีมาเพื่อปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว อย่างนั้นจะไปกันง่าย ไปนิ่มมาก แต่บรรดาที่เจอเยอะ ๆ โดยเฉพาะเจอครบส่วนใหญ่มาทางกำลังใจพระโพธิสัตว์เขาเรียกบำเพ็ญพุทธภูมิมา    ถ้าเจอไม่ครบมันสอนเขาไม่ได้นี่   มันก็ต้องเอาให้ครบ     
               บางคนมันเข้าใจว่า   เออ...   กำลังของฌานมันสูงกว่าปีติ   ได้ฌานแล้วไม่ควรเกิดปีติอีก    นี่มันหลอก    บางเวลาพอมันจะเกิดมันถอยหลังออกมาเป็นอุปจารสมาธิ   มันเกิดปีติขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย    ต่อให้คุณได้สมาบัติแปด แล้วมันถอยออกมานับปีติใหม่เลยถ้ามันจะเป็นตัวใหม่ขึ้นมา น่าเล่นมั้ย ? ลองนั่งโยกดูสิ แค่โยกไปโยกมา อาตมาโยกซะเกือบ ๓ เดือน ตอนแรก ๆ กลัวมันไป ๆ มา ๆ เลิกกลัวสนุกซะอีก ตอนกลัวไม่รู้มันเป็นอะไร นึกว่าผีจะเข้าหรือเปล่า
       ถาม :    แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้นั่งสมาธิ  ?
       ตอบ :   มันไม่นั่งก็จริง    แต่ว่ากำลังใจของเราบางช่วงมันเป็นสมาธิโดยที่เราเองไม่ได้ตั้งใจ  ไม่ได้รู้ตัวก็มัน   มันจะทรงตัวของมันเองก็มี    อยู่   ๆ    มันเข้าปึ๊บไปถึงเลยมันก็เหมือนกัน   อย่าไปบอกว่ามันเป็นตอนนั่งซะเมื่อไหร่ล่ะ   ไม่จำเป็นต้องนั่งหรอก   คุณแสงชัยนั่ง น้ำตาไหลน้ำตาร่วงบนรถเมล์โน่น... อายเขาแทบตาย แค่ไปนั่งคิดว่าคนเรามันทุกข์ขนาดนี้เชียวหรือ ? ตื่นเช้าขึ้นมาออกมาเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่บนรถลำบากแทบตายชักกว่าจะไป ถึง ประเภททั้งร้อนทั้งกลุ้มทั้งทุกข์ใจจะไปทำงานทันมั้ย ? รถเมล์ทำไมมันติด มันไม่วิ่งให้เร็วกว่านี้ มันเหาะได้ยิ่งดีอะไรอย่างนั้น
              นึกแค่นั้นแหละมันเกิดตัวปีติขึ้นมา น้ำตาไหลเอาดื้อ ๆ ต้องเบรคกันแทบแย่เหมือนกันมันอายเขา ผู้ชายตัวเบ้อเร่ออยู่ ๆ ไปร้องไห้บนรถเมล์เบรคอย่างนั้นแย่หน่อยถึงเวลามันก็เป็นอีก
       ถาม :    ทำหมันสัตว์นี่เราจะผิดไหมคะ  ?
       ตอบ :  ไม่ผิดหรอก   ถูกเป๊ะเลย    เผลอเกิดใหม่จะเป็นกระเทยจ้ะ อย่าไปเกิดมันก็แล้วกัน (หัวเราะ) อย่าไปเกิดก็แล้วกันเพระว่าทำหมัน มันทำให้เขาหมดเชื้อสายเกิดใหม่จะเป็นกระเทย กระเทยนี่หมายถึงพวกที่เป็นหมัน ไม่ใช่กระเทยที่มีลูกได้ ประเภทที่เรียกว่าเพศนี้แต่ไปทำตัวเป็นอีกเพศหนึ่งนั่นเขาเรียกลักเพศ   มันไม่ใช่กระเทย    แต่ถ้าเป็นพวกอุทโตพยัญชนก    นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่    พวกนั้นมี  ๒   เพศอยู่ในตัวคนเดียวกัน    เป็นได้ทั้งผู้หญิงเป็นได้ทั้งผู้ชาย
       ถาม :    อย่างนี้หมาที่บ้านหนูมันเกิดมาไม่มีอัณฑะ   เป็นเพราะว่ามันมีกรรมไปทำเขาก่อน  ?
       ตอบ :  ไม่แน่ มันมีอยู่แต่ว่ามันไม่ได้เลื่อนจากช่องท้องลงไปในถุงอัณฑะมันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดนะว่าไม่เจอคนที่ไม่มีแล้วจะมีลูกไม่ได้ มันมีเอาหน้าตาเฉยเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นการมีอะไรมาขัดขวางในระยะที่ตัวอัณฑะมันจะเลื่อนลงถุงไปมัน ก็หยุดอยู่ในช่องท้องเฉย ๆ ไม่ได้ไปไหนหรอก มันยังสร้างฮอร์โมนได้ ยกเว้นว่ามันไม่มีเอาซะเลย
       ถาม :    ผมฝันไปว่าไปพบหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนี่ผมคิดไปเองหรือจิตผม....?
       ตอบ :  ความฝันมันมีอยู่   ๒  อย่าง   มันเป็นฝันที่เกิดจากจิตใจของเราอย่างหนึ่ง   อีกอย่างหนึ่งเขาเรียกนิมิต แสดงเหตุให้รู้มันต้องช่างสังเกตแล้วจะแยกออกว่ามันไหนเป็นฝัน อันไหนเป็นนิมิต ส่วนใหญ่นิมิตมันจะไม่มีที่มาที่ไปอยู่ ๆ ก็โผล่มาเฉย ๆ บางทีแสดงเหตุผลล่วงหน้าก็ตีความไม่ได้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่พอเกิดเหตุแล้วเดาออกว่ามันคืออะไรซึ่งมันไม่ค่อยจะทันกิน
              ส่วนตัวฝันไม่ต้องไปวัดอะไรมากหรอกเอาแค่ว่าถ้าเราฝันเห็นพระ ฝันเห็นหลวงปู่ หลวงพ่อ แสดงว่านี่กำลังใจของเราตอนช่วงนั้นเกาะในด้านดีมากกว่า มันถึงฝันถึงสิ่งดี ๆ สิ่งที่เป็นมงคลได้ ถ้าหากว่านับก็เป็นกำลังใจที่ใช้ได้ในตอนนั้น แต่หลังจากนั้นถ้าเฮงซวยก็อาจจะไม่ฝันอีกหลายปี
       ถาม :    ทำไม.......  เราทำผิดหรือเปล่า   เราจะมาผิดหรือเปล่าที่เราทำได้เกี่ยวกับเรื่องจิต  ?
       ตอบ :  ก็ไม่แน่ ถ้าจำได้แล้วอารมณ์ใจมันทรงตัว อันนั้นไม่ถือว่าจำได้ หากแต่ว่าทำได้ แต่คราวนี้การทำได้มันไม่ได้รอบตัวนี่ มันก็ต้องมีที่ทำได้ดีบ้าง ที่ทำแล้วไม่ดีบ้าง ที่ยังไม่ได้ดีบ้าง อารมณ์ใจมันยังตกบ้าง
               ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ในลักษณะตื่นข่าว    ผู้ที่ถือมงคลตื่นข่าวนี้ไม่น่าตำหนิ    บุคคลที่ไม่ถือมงคลตื่นข่าวต้องเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป กำลังเขาสูงขนาดนั้น มีหลักที่ยึดมั่นแน่นอนแล้ว คือ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจแล้วท่านจะไม่ไปตื่นข่าวเรื่องอื่นแล้วว่าอย่างคนทรงมาทักมาห้าม เดินทางไกลอย่างนั้น คราวนี้มันไกลแค่ไหน ? ต่อให้รอบโลกมันก็ไม่ไกล ต่างดาวมันยังมีนี่ ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าไกลมันไกลแค่ไหน เพราะฉะนั้นกำลังใจของเรามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่จะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าว่าแต่เชียงใหม่ สุไหงโกลกก็ไหว ถ้าหากกำลังใจมันทรงตัว
       ถาม :    ....................
       ตอบ :  ของพวกนี้สมัยก่อนมันเป็นของที่เกิดโดยธรรมชาติ  มันเลยหายาก     สมัยหลังนี่วิทยาการมันทำได้นี่ใช่มั้ย    อย่างเพชรรัสเซีย น่ะอย่าไปว่าของปลอมนะ มันไม่ปลอม เพียงแต่มันทำขึ้นมา เพราะว่าเพชรก็คือคาร์บอน ก็คือส่วนของไม้ของถ่านอะไรพวกนี้ พอมันโดนแรงกดดันสูง ๆ โดนความร้อนสูงเข้า มันก็จะกลายสภาพกลายเป็นเพชร
              คราวนี้พอวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาคำนวนว่า มันต้องอยู่ในอุณหภูมิเท่าไหร่ ความกดดันเท่าไหร่ เขาก็สร้างเครื่องมือขึ้นมาทำมันขึ้นมา เพียงแต่ว่าของที่มันไม่ใช่ธรรมชาติมันจะสวยกว่า มันสวยตรงที่ว่าการจัดเรียงโมเลกุลมันสม่ำเสมอ เพราะแรงกดดันกับอุณหภูมิมันเสมอกัน มันไม่เหมือนกับประเภทที่ไม่ผ่านแรงกดดันของโลก อุณหภูมิของโลกนั่นมันไม่เสมอกัน เพราะฉะนั้นเนื้อของมัน มันจะไม่ละเอียดเท่าแล้วของธรรมชาติจะมีรอยแตก มีฟองอากาศ มีอะไร อันนี้มันประเภทกดมาสม่ำเสมอนี่ สวยเช้งเลย และไอ้เรื่องจะไปใส่สี ก็พิจารณาดูอ๊อกไซด์ของมันใช้อ๊อกไซด์สีอะไร แล้วมันจะออกมาเป็นสีอะไรก็ใส่เพิ่มเข้าไปแค่นั้น
              แต่สมัยก่อนนี่มันหายากหาเย็นจริง ๆ เพชรสีอื่น ๆ เท่าที่ดู ๆ มาไม่ได้เห็นด้วยตานะ เห็นรูปที่เขาถ่ายมา งามจริง ๆ มันมีทั้งเพชรสีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีแดง สีชมพู อะไรนั่น แล้วก็อย่างนั่นแหละสีแดงแพงที่สุด กะรัตละหนึ่งล้านดอลล่าร์ มีซักสามกะรัต ห้ากะรัตรวยตายเลย แล้วใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ ที่จูล    เวิร์ล     เขาเขียนน่ะ   เคยอ่านมั้ย   ที่กัปตันเนโม  นำเรือดำน้ำนอติลุสลงไปใต้ทะเล    แล้วไปเจอไข่มุกดำโตเท่าลูกมะพร้าว   สมัยก่อนเขาถือว่าเป็นความเพ้อฝัน     
              แต่สมัยนี้ไข่มุกดำมันทำกันเป็นว่าเล่น เทคโนโลยี่เดี๋ยวนี้ทำได้สบายมากเลย จะเอารูปร่างยังไงก็ได้ฝังเข้าไปในตัวมัน มันเคลือบ ๆ ออกมาก็เป็นตัวยังงั้น เล่นทำเจ้าแม่กวนอิมติดฝาหอย เปิดให้คนจีนดูมันดูจะช็อคตาย คิดว่าเป็นธรรมชาติ ความจริงเปล่าหรอกมันฝังชิ้นส่วนเข้าไป มันก็เอาแค่ชิ้นส่วนที่มันทำเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมแล้วใส่เข้าไปในตัวหอย
              หอยมันไม่สามารถที่จะคายออกมาได้ มันระคายเคืองก็สร้างน้ำเมือกขึ้นมาเคลือบไว้ ๆ ก็หนาขึ้นมาเป็นมุกเลย คราวนี้ถ้าหากจะเท่าลูกเท่ามะพร้าว ก็คงจะหาแก่นกลางเท่ากับลูกเทนนิสหรือลูกฟุตบอล แล้วหาหอยตัวยักษ์ ๆ หน่อย อย่างหอยมือเสือตัวยาวซักสองเมตรนี่ แล้วหย่อนลงไป รอมันเคลือบ ของกัปตันเนโมขนขึ้นมาให้ดูนี่แตกตื่นกันหมด
              แต่นั่นจะว่ามันฝันไม่ได้นะเพราะว่ามาตอนหลังก็มีการสร้างเรือดำน้ำขึ้นมา ได้จริง ๆ แล้วเรือดำน้ำลำแรกเขาเลยตั้งชื่อให้เกียรติว่านอติลุสเหมือนกัน เพราะถือว่าความฝันของจูล เวิร์ล แล้วไอ้ผจญภัยใต้พิภพ เดินทางเข้าไปใต้โลกเสร็จแล้วตอนออกโดนภูเขาไฟระเบิดกระเด็นออกมา นั่นจริง ๆ น่ะตายไม่เหลือหรอก แต่คราวนี้อย่างว่ามันเป็นเรื่องที่เขาใช้จินตนาการขึ้นมา คนที่หลุดออกมาเลยไม่มีอันตรายอะไร
              ภูเขาไฟระเบิดดันออกมา เป็นเราจะเหลือมั้ย ก็มันเป็นแอ่งน้ำอยู่ใต้พื้นไง พอถึงเวลาภูเขาไฟระเบิดออกมา มันกันน้ำเดือดออกมา สุกซะก่อนนะซิแล้วผจญภัยในดวงจันทร์ ในที่สุดคนก็ขึ้นดวงจันทร์ได้ มันเหลือเชื่อว่าความฝันของเขามันเป็นจริงน่ะ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2008, 16:12:44
http://grathonbook.net/book/8.6.html

ถาม :    พวกนิยายนี่....
       ตอบ :   พวกจินตนาการนี่บางทีมันก็มีส่วนของ....   เขาเรียกว่า  อนาคตังสญาณเหมือนกัน    ดูอย่างสุนทรภู่ไง    สุนทรภู่เขาเขียนมีพราหมณ์สามพี่น้อง  วิเชียร    โมรา   สานนท์    ที่เป็นเพื่อนของพระอภัยมณี    ศรีสุวรรณ คนหนึ่งยิงธนูได้ครั้งละเจ็ดดอก สมัยนี้กราดทีเป็นชุดจะเอากี่ร้อยนัดก็ได้ อีกคนหนึ่งเก่งผูกหุ่นยนต์เป็นเรือเล่นไปได้ทั้งในน้ำและบนบก สมัยนี้โอเวอร์คร๊าฟเยอะแยะไป   จะลงน้ำมันก็เป็นเรือ    ขึ้นบกมันก็เป็นรถ   ทำได้จริง  ๆ  ก็คิดได้   
                แล้วอีกอย่างหนึ่งมันเป็นหีบกล    เขาใช้คำว่าหีบกล พอเข็นขึ้นมาแล้วมีเสียงดนตรีดัง สมัยนี้เทปเยอะแยะไป เขาคิดของเขาได้ แล้วสถานที่หลายอย่างมันเป็นจริง ๆ นะ อย่างที่เขาว่านาควารินทร์   นาควารินทร์นั่นมันหมู่เกาะนิโคบาร์   ที่เขาว่า
                          ?ทะเลนี้มิใช่แคว้นแดนนุษย์        ปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก                ชื่อว่านาควารินทร์สินสมุทร        ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ                ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย       จงเร่งรัดตัดไปทิศอีสาน                จะพบพานผู้วิเศษข้างเพทไสย?
               จะไปพบพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิศดารไง ปรากฏว่าไปได้จริงเขาให้ไปทิศอีสานตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงว่าของเขาเองมันไม่ใช่หูป่าตาเถื่อนอยู่ในราชสำนักใช่มั้ย พวกต่างประเทศมาก็ต้องมีการสอบถามว่ามาจากไหน มีประสบการณ์เดินทางเป็นยังไง เล่าไปเล่ามาแกจินตนาการออกมาเป็นเรื่องราวเลย แต่ว่าอย่าลืมว่าสมัยนั้นเรื่องวิทยุโทรทัศน์มันยังไม่มี เขาสามารถจินตนาการเกี่ยวกับหีบกล่องเสียงมาได้นั่นถือว่ายอดเลย
               เสียดายเพชรเม็ดนั้นจังเลย    โครตเพชรเม็ดเท่าหัวปลี    ที่สุดสาครกับนางอรุณรัศมีไป เอามา ไปอ่านพระอภัยมณีให้จบ พวกเราอ่านมันไม่ค่อยจะจบกัน มีอาตมาคนเดียวกวาดมันหมดห้องสมุดเลย เล่มหนา ๆ อย่างนี้อ่านมันหมดเลย มีชื่อยืมอยู่คนเดียว อยู่ชั้น ป. ๒ อ่านหนังสือหมดไปห้องสมุดหนึ่ง อ่านหมดแล้วมันดันทะลึ่งจำได้ด้วยซิ ตอนที่อ่านน่ะเจตนาชัดเจนก็คือว่าจะอ่านหนังสือให้แตก
              สมัยโบราณเขาเรียกอ่านหนังสือให้แตกคืออ่านให้คล่องอ่านให้ได้ทุกตัว อ่านจนหมดแล้วไปเจอเล่มสุดท้าย แหม! มันสะใจมากเลย มันอ่านยาก ตำราเพศศึกษาด๊อกเตอร์คินซีย์ แปลภาษาไทยแล้วยังมีภาษาอังกฤษอยู่ (หัวเราะ) คราวนี้คำแปลนี่มันอ่านยากมากเลย เพราะมันเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษไปถามครู ครูหัวเราะกันกลิ้งเลยถามว่า ถามจริง ๆ เถอะจะอ่านไปทำอะไร บอกอยากจะรู้ว่ามันอ่านยังไง ผมอยากอ่านให้ได้หมดทุกคำ อยู่ ป. ๒ อ่านหนังสือหมดห้องสมุดไปห้องสมุดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นอยู่โรงเรียนไหนก็โรงเรียนนั้นนั่นแหละ เล่มไหนที่เขาไม่ยืมจะยืมอยู่คนเดียว พวกพระอภัยมณี   ขุนช้างขุนแผน    เพื่อนไม่มีใครอ่านจบซักคน    อาตมาว่าซะเหี้ยนเลย    ยังจำได้มั้ย   เด็ก  ๆ   สมัยนี้มันได้ท่องหรือเปล่าล่ะ
                   ?บัดเดี๋ยวดังหง่างหง่างวังเวงแว่ว                       สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา                เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา          ประคองพาขึ้นไปบนบรรพต?
               สุดสาครโดนชีเปลือยผลักตกเหวไง    กลับไม่ได้     นึกถึงครูบาอาจารย์    โยคีเลยมาช่วย
                   ?แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์                      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด                อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด               ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน                 มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน               บิดามารดารักมักเป็นผล                ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่ใจตน               เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา                ถ้าใครรักรักบ้างอย่าชังตอบ               ใครไม่ชอบหลีกให้ไกลนะหลานหนา                รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา                รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี?
               เขาสอนแล้วทั้งนั้นนะ   สมัยนี้ขี้เกียจอ่าน   มันแปลไม่ค่อยออก   แปลไทยเป็นไทยมันแปลยาก     
       ถาม :   ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน   หรือใจตนคะ  ?
       ตอบ :  ไม่มั่นใจ   คือเขาสอนให้พึ่งตัวเอง    อัตตาหิ   อัตตาโน   นาโถ อย่าไปพึ่งคนอื่นเขา อย่าไปไว้ใจใครอะไรทำนองนั้น คราวนี้จำได้ไม่ลืม เล่นเรือไปแล้วหลง เมื่อกี้ท่องไปหมู่เกาะนิโคบาร์ เลยมีการทรงเจ้าถามเจ้าที่ ถามผีเจ้าที่ ปู่เจ้ามาก็ฟาดวิสกี้เสียเต็มที่เลย เมาเสร็จแล้วค่อยบอก มันถึงได้บอก บอกว่าตรงนี้ไม่ใช่เขตของคนเขาแล้วเป็นนาควารินทร์สินสมุทร ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ
              ขนาดพญานาคอยู่กันเพียบ ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย ที่ว่าปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก มันทำให้เข็มทิศเดินเรือมันเสียหมดเพราะว่าเข็มทิศนี้มันจะชี้ทิศเหนือตาม แม่เหล็กโลกอยู่เสมอ คราวนี้มันไปเจอแม่เหล็กที่ไหนมันก็หันใส่ มันก็หลงกันตายชัก
       ถาม :   อย่างเช่นเรื่องที่นอน   ก็คือห้ามยัดด้วยนุ่นเกินกว่าหนึ่งคืบไง   แต่สมัยนี้มันเป็นแบบสปริงน่ะครับ  ?
       ตอบ :  สมัยนี้มันหายากนะที่คืบหนึ่งน่ะ จริง ๆ แล้ว ตัวนั้นเขาห้ามเพราะว่ากลัวเราจะติดในความนุ่มนิ่ม หรือไม่ก็คิดถึงเนื้อผู้หญิง ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ยึดตรงนั้นก็นอนไปเหอะ คือ ตัวท้าย ๆ ของศีลแปด มันไม่ใช่ตัวศีล มันเป็นตัวธรรมะ คือว่าเราสามารถทำละเอียดได้ ส่วนของธรรมะจะก้าวหน้าขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราล่วงไปไม่ตกนรก แต่ว่าส่วนของธรรมะมันหมองลง อย่างเช่นว่าการกินข้าวเย็นมันก็มัวแต่ไปกังวลว่าจะกินมันอยู่ใช่มั้ย ศีลมันไม่ได้ขาดแล้วตกนรกอะไรหรอก แต่ว่าส่วนของธรรมะมันบกพร่อง
       ถาม :   แต่ถ้าเกิดทำได้มันก็ดีกว่าปกติ
       ตอบ :  ทำได้มันดีกว่า คราวนี้ว่าสมัยนั้นที่นอนสูงที่นอนใหญ่ขนาดนั้นมันก็หายากเต็มทีแล้ว หรือไม่ก็เล่นที่นอนสายรุ้งที่มันบาง ๆ หน่อยเดียว แต่ถ้าไม่ได้ติดมันจริง ๆ ล่ะก็ ตีลังกามันได้เลยหนาเท่าไหร่ก็ช่างมัน
       ถาม :   แล้วเกี่ยวกับเครื่องประทินผิวล่ะครับ    ถ้าเกิดไม่ทาแล้วหน้ามันจะเป็นสิว
       ตอบ :  (หัวเราะ) คือว่าถ้าหากเป็นการรักษาโรค ไม่เป็นไรอย่างเช่นว่าบางคนเขาแต่งเป็นปกติ ประเภทเขียนคิ้วทาปากเป็นปกติอย่างนี้ ถ้าหากไม่ได้เขียนแล้วมันรู้สึกว่าออกข้างนอกไม่ได้ มันอายเขามันเขิน เลยแต่งเพื่อสังคมอะไรอย่างนั้นน่ะได้ ที่แต่งตัวประทินผิว ใช้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาน่ะเขาหมายถึงจะเอาไว้ยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ถ้าเจตนาของเราไม่มีอย่างนั้นน่ะใช้ได้ แล้วอีกอย่างของเราถ้าหากใช้เป็นยาแก้สิว ก็ถือว่าเราเป็นคนป่วย จะใช้ก็ใช้ไปเหอะ
       ถาม :     ถ้ามันเป็นครีมบำรุง   แต่ว่าเราถือว่า  ? 
       ตอบ :  ถ้าหากว่าเจ็ดวันมันคงไม่ถึงกับสิวเต็มหน้าล่ะมั้ง   ใช้ไปเหอะ   ถ้าขืนไม่ใช้แล้วคนไม่เข้าใกล้มันจะยุ่ง
       ถาม :    แล้วถ้าเกิดว่าปากแห้งนี่จะใช้ลิปมันได้มั้ย  ?
       ตอบ :   (หัวเราะ)   ไอ้นี่ข้อเรียกร้องมาก   เดี๋ยวเจ็ดวันไม่ให้อาบน้ำซะเลย
       ถาม :    ยาสระผม   ครีมนวด   อะไรอย่างนี้  ?
       ตอบ :  ใช้ไปเหอะ   ใช้ไปเหอะ   ไม่มีใครเขาว่าหรอก   บอกแล้วว่าไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก
       ถาม :   การถือศีล   ๘   กับเจริญพระกรรมฐาน   การเจริญพระกรรมฐาน    ถือศีล  ๘   อย่างน้อยเท่าไหร่
       ตอบ :  เอามันซักเช้าเย็น     เช้าชั่วโมง   เย็นชั่วโมงก็ได้   แต่ว่าในวันทั้งวันกำลังของศีลของเราต้องให้ทรงตัวอย่าให้บกพร่อง
       ถาม :    คือเน้นเรื่องสีลานุสสติ
       ตอบ :  อือ   ก็เอาอย่างนั้นแหละดี   
       ถาม :   ถ้าเกิดทำอย่างนี้ ไม่ต้องนั่งกรรมฐานเป็นชั่วโมง   ๆ   
       ตอบ :   ที่เราทำน่ะมันเป็นกรรมฐานอยู่แล้ว      อย่าลืมว่าถือศีลน่ะ    สีลานุสสติ   มันเป็นกรรมฐาน   เพียงแต่ว่าตัวเจริญกรรมฐานนี่ท่านหมายถึงนั่งภาวนา   นั่งภาวนาจะมากจะน้อยอยู่ที่เราพอใจแต่ควรจะรักษากำลังใจให้ทรงตัวเอาไว้ทั้งวัน
       ถาม :    เวลาเราไม่สู้กับตัวเองล่ะครับ    สมมุติว่ามีราคะกับโทสะมันจะมีบางอย่างแรงบางอย่างอ่อน  ?
       ตอบ :  ถ้าเราไม่หลุดออกจากคำภาวนา   ราคะ  โลภะ   โมหะ   โทสะ   ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
       ถาม :    นี่คือช่วงก่อนเป็นนะครับ   แล้วแบบเวลาจะสู้กับกิเลสล่ะครับ    จะสู้กับตัวที่แรงก่อน   หรือตัวที่อ่อนก่อน  ?   
       ตอบ :  อยู่ที่เรา จริง ๆ แล้ว กำลังมันเท่ากัน เพียงแต่ตัวไหนมันนำหน้ามา ตัวที่นำหน้ามาเราจะรู้สึกว่ามันแรง ก็ลองให้ตัวนั้นมันหลบไปอีกตัวมาแทนแรงพอกันนั่นแหละ
       ถาม :   แล้วบางที   เราอยากจะตัดเรื่องราคะ   เรื่องของวัยรุ่นอย่างงี้ครับ  ?
       ตอบจะตัดตัวไหนตัวนั้นจะมาลองเป็นเรื่องปกติเลย ถ้าเราสามารถแยกอารมณ์ออกได้ว่าเรื่องของ ราคะ โลภะ โทสะ เป็นเรื่องของกาย ใจเราไม่ยุ่งกับมันด้วย เราแยกใจของเราออกมานี่ มันจะอยู่ไม่นาน ที่มันอยู่ได้เพราะว่าจิตใจเราไปปรุงแต่งเพิ่มเติมกับมัน นึกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น นึกว่ามันควรเป็นอย่างนี้ นึกว่ามันสวยอย่างนั้น ถ้าเราไม่ไปร่วมนึกกับมันด้วย มันไปไม่รอดหรอก พักเดียวมันก็ตายแหง
       ถาม :  แล้วอีกอย่างเรื่องการสะเดาะเคราะห์นี่ การที่เราไปจะมีอยู่สองรอบใช่มั้ยครับ ถ้าเราเข้าสองรอบจะมีผลเพิ่มขึ้นมั้ยครับ ?
       ตอบ :  สองรอบ รอบแรกสะเดาะเคราะห์ รอบที่สองใส่คืนเข้าไป (หัวเราะ) พูดเล่นนะ จริง ๆ ถ้าทำแล้ว พระท่านสงเคาะห์รอบเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ไอ้ประเภทที่ว่าถ้ารู้สึกว่ามันดีได้เข้าสองรอบก็เอา ไม่มีใครเขาว่าหรอก ยกเว้นไปเกะกะที่เขาไล่ออกมาเท่านั้นแหละ
       ถาม :    แล้วอย่างไปด้วยตัวเอง   กับฝากเงินไป  ?
       ตอบ :  ควรจะไปด้วยตัวเอง ถ้าไปด้วยตัวเองอยู่ในพิธีกำลังใจมันจะดีกว่า ฝากสตางค์ไปมันได้แค่ทำบุญ เพราะตัวไม่ได้อยู่ในพิธีหรือไม่ได้ตั้งใจรับ บางทีมันไม่ได้อะไร เมื่อกี้เขาถามว่าเจริญกรรมฐานนี่ใช้ลูกกลิ้งดับกลิ่นได้มั้ย ใช้ไปเหอะถ้าไม่ใช้เดี๋ยวคนจะไม่เข้าใกล้
       ถาม :    ไม่มั่นใจครับ
       ตอบ :  ถ้าขืนไม่อาบน้ำตั้งแต่ตีห้าอย่างอาตมานี่ยุ่งแน่เลย ตื่นขึ้นมาทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย เผลอเพล็บเดียวคนมันมาแล้ว ยังไม่หกโมงเลย (หัวเราะ) ก็เป็นอันว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว สู้เจ้าแดงเขาไม่ได้ เจ้าแดงเขาบอกว่า หมามันยังไม่อาบเลย ว่าแล้วมันก็ดองต่อไป
       ถาม :    แล้วการที่เราเกิดมาเดี๋ยวก็ตาย      ใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลานี่  ?
       ตอบ :  ดีจ้ะ   ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ    เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป  เขาเรียกอุทยัพพยานุปัสสนาญาน     พิจารณาเห็นการเกิดและการดับ   ถ้าภังคานุปัสสนาญาน  นี่เห็นการดับอย่างเดียว    คือทุกอย่างเกิดขึ้นก็ต้องพัง    เกิดขึ้นก็ต้องพัง    พังหนอ   พังหนอ  ภยตูปัฏฐานญานนี่ เป็นภัย เป็นโทษกับเรา มันเหมือนกับเสือร้ายตัวหนึ่ง พอถึงเวลามันก็ขบก็กัดเรา วิธีขบกัดของมันก็คือ เหน็ดเหนื่อย หนาว ร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ มันกัดเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นทุกข์มันเป็นภัย เป็นของน่ากลัวไม่น่าคบหาสมาคมอีก นั่นแหละวิปัสสนาญาณเก้าอย่างค่อย ๆ ทำถึงจุดสุดท้ายมันก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ   สบาย
       ถาม :    (ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :   พิจารณาอยู่เสมอ  ๆ  น่ะดี  เพราะว่าการพิจารณา   ถ้าปัญญายอมรับมันจะได้เลย   แต่ภาวนานี่   ถึงเวลาถ้าเราถอนขึ้นมาแล้ว   ไม่ได้พิจารณา   มันก็ได้แค่จิตสงบชั่วคราว   แต่วิปัสสนานี่ถ้าสงบมันรับแล้วมันรับเลย   ทรงตัวเลย
       ถาม :    ถ้าทำ  ๆ  อะไรอยู่  ไม่ได้นั่ง 
       ตอบ :  ไม่จำเป็น  ยืน   เดิน  นั่ง  นอน   หกคะเมนตีลังกา   ทำอะไรก็พิจารณาได้ทั้งนั้น
       ถาม :    (ฟังไม่ชัด)  มีความรู้สึกว่าจะยาว
       ตอบ :   ยิ่งยาวเท่าไหร่ยิ่งดี   ถ้ามันอยากคิดอยู่   เพราะว่าการ ที่มันยอมคิด มันยาก ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ยอมคิดหรอก มันจะฟุ้งซ่านเรื่องอื่นซะมาก พอคิดไปคิดไป กำลังใจมันจะค่อย ๆ ทรงตัว มันจะเป็นการทรงฌานโดยอัตโนมัติ     ฌานคืออารมณ์เคยชินใช่มั้ย      ที่บอกว่าพระอริยเจ้าต้องทรงฌานได้   ถึงเป็นได้   พระอรหันต์ท่านทรงฌานสี่   แล้วถ้าเป็นพระ สุขวิปัสสโกจะเอาฌานสี่ที่ไหนมา มันก็คือฌานสี่จากการพิจารณาของท่าน คิดไปคิดไปกำลังใจมันเคยชินมันก็ก้าวล่วงขึ้นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงฌานสี่
       ถาม :    ไม่ใช่การฟุ้งซ่าน  ?
       ตอบ :  ไม่เสียเวลาไปนั่งภาวนามัน   คิดอย่างเดียวก็เป็น   คราวนี้การ คิดนี่ ถ้ามันฟุ้งซ่านมันเป็นการคิดที่เรียกว่าเปะปะวุ่นวาย แต่ถ้าหากว่าเราบังคับให้มันคิดตามกรอบตามแบบ ตามแนวที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่างนั้นไม่เรียกว่าฟุ้งซ่านหางานให้จิตมันทำ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: Nobody เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2008, 18:43:56
http://grathonbook.net/book/8.7.html

ถาม :    แล้วถ้าคิดจะปลีกตัว   คืออารมณ์มันจะไม่คิดอะไรเลย
       ตอบ :    มันจะตันของมัน   เราก็เริ่มภาวนาใหม่   ถ้าเราไม่ภาวนาเดี๋ยวมันจะฟุ้งซ่านเรื่องอื่นต่อไป  ๆ เหมือนกับเดินไปชนอะไรไปต่อไม่ได้ แล้วถ้าหากว่ามันไม่เบื่อซะก่อนก็ย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ เริ่มต้นนับหนึ่ง สองสาม ใหม่ได้ จนกว่ามันจะไม่เอา เราค่อยไปภาวนา
       ถาม :    แล้วตอนที่  (ฟังไม่ชัด -  เกี่ยวกับสังขารุเปกขาญาน)
       ตอบ :   ไม่แน่   สังขารุเปกขาญาณจริง  ๆ  มันไม่ใช่ตันนะปล่อยวางเบาสบาย
       ถาม :    แล้วการที่เราไม่สนใจ   (  ฟังไม่ชัด)   คิดว่าเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา
       ตอบ :    นั่นแหละเป็นสังขารุเปกขาญาณ    คือทั้งหมด เกิดมามันไม่ได้ผูกตัวติดกัน ต่างคนต่างทำต่างคนต่างตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เอาดีก็เรื่องของเขา ช่างเขาไป เราก็ทำของเราไป ต่างคนต่างเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดี เขาถึงได้ทำ ในเมื่อเขาเห็นดีอย่างนั้นก็เรื่องของเขา
       ถาม :    การปฎิบัตินี่ไม่จำเป็นต้องให้เราเป็นอย่างที่เขาต้องการ  ?
       ตอบ :  ไม่ต้องเลย เขาต้องการให้เราเป็นยังไงก็ตาม มันไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราเป็นหรอก อันนั้นดูที่ตัว แก้ที่ตัวอัตตนา   โจทยัตตานัง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้เสมอ มีบางสมัยพอโดนเข้าไปแล้วมันหาไม่เจอจริง ๆ ว่า ดูผิดตรงไหน ไล่ไปไล่มามึงผิดตอนที่เกิดมา เอามันตรงนั้นเลย ง่ายดีมั้ย หาจนกระทั่งที่เรียกว่าละเอียดทุกซอกทุกมุมชนิดที่ว่าเรียกว่าไม่เข้าข้าง ตัวเองแล้ว หาไม่ได้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ก็เลยสรุปว่าผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว อยากทะลึ่งเกิดเอง ก็ต้องเจออย่างนี้แหละ เอามันผิดจนได้ กล่าวโทษตัวเองเอาไว้ อย่าไปโทษคนอื่น
       ถาม :  การที่เราช่วยเหลือเด็กเขาติดยา แต่เราไม่รู้จัก มีคนรู้จักเขาเล่าให้ฟัง เราก็เลยแนะนำให้คนช่วย อยากจะช่วยน่ะคะทีนี้กลัวว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กคนนั้น เราก็บอกว่าหน้าที่ของเราคือช่วย เราช่วยด้วยความเมตตา แต่เราไม่มองว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ?
       ตอบ :    ก็นั่นน่ะ   ต้องทำอย่างนั้นจริง  ๆ   เพราะว่าการ ปฎิบัติทุกอย่างมันต้องมีตัวอุเบกขาอยู่ เมตตาคือรัก กรุณาคือสงสาร ในเมื่อรักสงสารช่วยเขาเต็มที่แล้ว ผลมันจะเกิดอย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับได้ไอ้ตัวยอมรับได้ ตัวปล่อยวางได้นี่เป็นตัวอุเบกขาในอารมณ์ ถ้าเราไม่เบรคเราจะทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ทุกข์กับเราด้วยหรอก
       ถาม :    (ฟังไม่ชัด)   ความละเอียดมันไม่เหมือนกัน
       ตอบ :  มันก็อยู่ที่ว่ากำลังใจของคนถือมันระดับไหน กำลังใจละเอียดกว่าก็ถือได้ละเอียดกว่า ถ้าละเอียดมากขึ้นจะเป็นกรรมบถ ๑๐ โดยอัตโนมัติ จากที่เคยฆ่าสัตว์กระทั่งทำให้มันลำบากโดยเจตนาก็ไม่ทำ ประเภทที่เคยจ้องลักขโมย ต่อไปกระทั่งของที่เขาไม่อนุญาตวางไว้เราก็ไม่หยิบไม่แตะต้อง มันจะละเอียดขึ้นมันจะกลายเป็นกรรมบถ ๑๐ ไปเอง
       ถาม :   แล้วอย่างทรมาน  (ฟังไม่ขัด)
       ตอบ :   ก็ถือกรรมบถ  ๑๐    พร่อง   แต่ศีลห้าไม่ขาด   กรรมบถ  ๑๐    มีเรื่องของกำลังใจอยู่เยอะ   ศีลเป็นของพระโสดาบัน   แต่กรรมบถ   ๑๐   เป็นของพระสกิทาคามี   พระสกิทาคามีกับโทสะท่านเหลือน้อยเต็มทีแล้ว    เพราะฉะนั้นก็เลยงดเว้นได้มากกว่า
       ถาม :   ........................... 
       ตอบ :   ได้   ทำไมจะไม่ได้ล่ะ   อันดับแรกก็คือควบ คุมมัน อยู่ในกาเมสุมิจฉาจาร ก็คือว่าสิ่งที่ผิดไปแล้วจากข้อห้ามของพระพุทธเจ้าเราไม่ทำ ก็เท่ากับว่าตัดไประดับหนึ่งใช่มั้ย พอละเอียดขึ้นมันก็จะกลายเป็นศีลพรหมจรรย์ไปเอง พอกำลังของเราที่เรียกว่าไม่ทำด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ตัวกำลังของราคะมันจะเหลือน้อยลง พอกำลังสมาธิมันสูงขึ้น มันก็จะกลายเป็นกรรมบถ ๑๐ หรืออารมณ์ของศีล ๘ เลย พอถึงเวลาอารมณ์ของศีล ๘ เลยมันจะถือพรหมจรรย์อัตโนมัติไปเอง ตัดไปเหมือนกัน ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน   ท่านสอนให้ตัดได้ทั้งนั้น   ยิ่งถ้ากำลังสมาธิทรงตัวมาก  ๆ  ด้วย   
              ถือศีลห้าอย่างเดียวนี่กำลังเท่าพระอรหันต์เลย เท่าตรงที่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันโดนกดเงียบฉี่ ไม่ได้กระดิกเลย แต่ว่าของพระอรหันต์ ของท่านตัดเเล้วตัดเลย ไม่งอกงามใหม่ แต่คนที่ใช้กำลังฌานกดเอาไว้นี่ ถ้าเผลอฌานเคลื่อน ฌานถอยเมื่อไรมันงอกงามใหม่ มันฟัดเราได้ใหม่
       ถาม :    แล้วอารมณ์ใจถ้ามันยังรู้สึกว่าหนักใจกับการถือศีลระหว่างศีล   ๕  กับศีล  ๘   ?
       ตอบ :    ก็เอาอันที่ใจมันยอมรับได้ง่ายกว่า เพราะว่าศีล ๘ ของเรามันก็จำกัดด้วยหน้าที่การงานใช่มั้ย จำเป็นต้องทำงาน จำเป็นต้องอะไรใช้กำลังงานมาก ถ้าเราอดมื้อเย็นบางทีมันก็แย่ อย่างนี้เราก็เลือกเอาอันที่เหมาะสมกับเรา ศีล ๘ เราก็ถือในวาระหรือโอกาสที่มันควรจะมี เช่นว่าวันพระใหญ่หรือว่าวันพระสำคัญทางศาสนา เพราะว่าจะถือมากถือน้อยอานิสงส์มีเหมือนกัน
       ถาม :   อานิสงส์ของการถือศีลมีเท่ากัน    เพียงแต่ว่าการปฎิบัติเราต้อง.....
       ตอบ :   ไม่ได้เท่ากัน    อานิสงส์ของศีล   ๘   เป็นศีลพรหมจรรย์สูงกว่าศีล   ๕   มาก แต่เพียงแต่ว่าระยะที่เราถือมันน้อย มันก็เหมือนกับว่าของเล็กแต่มีค่าสูงนะ แล้วถ้าหากว่ามันทรงใจอัตโนมัติ คุณเป็นพระอริยเจ้าแหง ๆ
       ถาม :   ถ้าปฎิบัติโดยพิจารณาถึงความไม่เที่ยง   ความไม่แน่นอนระหว่างที่เราทำงาน     จะมีความรู้สึกว่าเรานี่ไม่น่าจะไปข้องแวะกับใคร
       ตอบ :    นั่นก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณอย่างหนึ่ง     ก็จะเป็นพวกมุญจิตุกัมมยตาญาน    หาทางจะหนีไปให้พ้น   ไม่อยากจะไปยุ่งกับมันอีกแล้ว  พออารมณ์ใจมันขึ้นมากไปกว่านั้นแล้ว    มันจะเป็นตัวนิพพิทาญาณ     จะเบื่อมัน  ไอ้ตัวเบื่อนี่ดีนะ ต้องรักษามันให้อยู่กับเราให้ได้ เพราะถ้าหากไม่เบื่อ มันก็อยากเกิดอีก แต่ตอนเบื่อนี่มันจะต้องมีสติว่าเรายังจำเป็นต้องอยู่กับมันอยู่ในเมื่อเรา จำเป็นต้องอยู่กับมัน เราก็ดูแลรักษามันให้ดีที่สุดที่เราจะพึงทำได้ แต่เราจะอยู่กับมันแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากชาตินี้ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อความทุกข์ยากนี้จะไม่มีสำหรับเรา อีก มันก็จะกลายเป็นสังขารุเปกขาญาณไป     
              ถึงเวลามันก้าวข้ามไปได้เอง ให้ใจมันยอมรับเอง ไปบังคับให้มันรับไม่ได้หรอก อย่างชนิดที่ถามตัวเองว่าอยากเกิดมั้ย ? มันต้องใจบอกว่าไม่อยากจริง ๆ ไม่ใช่รู้ว่าต้องตอบว่าไม่อยาก ไอ้รู้ว่าต้องตอบว่าไม่อยากมันเหมือนกับว่ารู้ข้อสอบอย่างนี้ต้องตอบอย่าง นี้ แต่จริง ๆ แล้วไม่แน่หรอกว่า ข้อสอบน่ะมันมีคำตอบอยู่ แต่ทำยังไงให้ได้คำตอบนั้นต่างหากล่ะ มันสำคัญตรงนั้น เพราะฉะนั้นที่ใจ มันบอกจริง ๆ ว่าไม่อยากเกิดน่ะ ก็คือมันรู้แล้วว่ามันต้องทำยังไงถึงจะไม่อยากเกิดได้ แต่คนที่ไม่ได้ตอบจากกำลังใจของตัวเองจริง ๆ นี่รู้ว่าต้องตอบอย่างนั้น แต่มันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ถึงจะได้ยังงั้น หรือว่าถึงรู้ก็ยังทำไม่ได้ ทำไม่ถึง 
       ถาม :     บางครั้งมันก็รู้สึกว่าลำบากมาก  (ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :  ให้มันได้ก็ยังดี มันจะบางครั้งก็ขอให้มันได้ แล้วต่อไปถ้ามันได้สักครั้งหนึ่งมันจะไม่ยาก มันยากครั้งแรก ถ้าครั้งแรกของเราทำได้ ครั้งต่อ ๆ ไปมันเรื่องง่าย ส่วนใหญ่มันอยู่ในลักษณะนั้น ลักษณะที่ว่าวางได้เป็นที ๆ ไป เดี๋ยวพอเผลอหน่อยเดียวมันพลิกกลับ ที่วางได้ก็ล้ม แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่พอเริ่มรู้สึกว่าวางได้อารมณ์ใจทรงตัวก็เริ่มลุย ต่อไปเลย แล้วอย่างที่บอกไปหลายทีว่ากำลังใจของเรายิ่งฟุ้งซ่านมากเท่าไหร่    คือเรายิ่งใกล้ความดีมากเท่านั้น ตัวนี้นี่กล้ายืนยันเลย เราใกล้ความดีมากเท่าไหร่มารเขารู้เราจะพ้นมือประเภทเร่งขัดขวางสุดฝีมือเลย มันก็จะให้เรารัก โลภ โกรธ หลง ให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ ให้เป๋จากจุดหมายนั้น ฟุ้งซ่านมากให้รู้ว่ายิ่งใกล้ความดีมาก อันนี้สำหรับนักปฎิบัติอย่างเดียวนะ   แต่ถ้าเป็นทั่ว   ๆ   ไปนั้นฟุ้งซ่านมากก็คือใกล้กิเลสมาก      
       ถาม :   (ฟังไม่ชัด)  คือว่าความรู้สึกว่าอยากจะถวายท่านอย่างนี้
       ตอบ :  แล้วแต่เรา เทวดา พรหม เขาไม่เกี่ยงกัน แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าจะไปจัดลำดับท่าน อย่างนั้นเราก็เริ่มจากพรหมก่อนแล้วมาเทวดานี่มันเป็นลำดับของมนุษย์เขา แบบเดียวกับบนพระนิพพาน บนพระนิพพานนี่จริง  ๆ  แล้ว   ทุกท่านบริสุทธิ์เหมือนกันหมด    มันต่างกับตรงบุญตรงบารมีเท่านั้น   
              ถ้าเราขึ้นไปนี่ เราจะเห็นว่าของท่านเอง ท่านจะแยกอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยใช่มั้ย พระพุทธเจ้าอยู่หน้าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกอยู่หลัง ๆ ไป แถวหน้าสุดนี้จะเป็นวิมานพระพุทธเจ้า แถวหลังยาวไปเป็นพระอรหันต์ที่เป็นสาวก ลักษณะของการจัดความเรียบร้อย นี่คือว่าเป็นสิ่งที่เราปรารถนาที่จะเห็นอย่างนั้นท่านก็ทำให้ดูอย่างนั้น อย่างเช่นว่าไปที่จุฬามณี ก็จะมีพระ มีพรหม มีเทวดา พระอรหันต์ท่านก็แยกออกเป็นเหล่า ๆ พระอรหันต์สุขวิปัสสโก พระอรหันต์วิชาสาม พระอรหันต์อภิญญาหก พระอรหันต์ปฎิสัมพิทาญาณ แล้วยังมีแยกอีก
              อย่างเช่นว่าปฎิสัมภิทาญาณระดับปกติสาวก ปฎิสัมภิทาญาณระดับมหาสาวก ปฎิสัมภิทาญาณของอัครสาวกอย่างนี้ มีการแยกเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกัน คือพวกระเบียบนี่ มันเป็นประเภทว่าคนเราปรารถนาจะได้เห็นอย่างนั้น เอ้า เอาไปเลย ท่านรู้อยู่แล้วนี่ว่าเราต้องการอะไร พอเห็นแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ แต่จริงแล้วของท่านเอง ขึ้นไปข้างบนแล้วก็บริสุทธิ์เหมือน ๆ กันหมดเพียงแต่บุญวารมีที่สร้างสมมามากน้อยต่างกันเท่านั้น
       ถาม :   พอเวลาไม่เจอ   หนูจะถามอะไรเยอะแยะ   พอมาเจอจริงนี่นึกไม่ออก
       ตอบ :  (หัวเราะ)   คราวหน้าจดไว้
       ถาม :   ขอบารมีช่วยสงเคราะห์ให้จบด้วย
       ตอบ :   (หัวเราะ)   ขอท่านปู่พระอินทร์ง่ายกว่า   ขึ้นต้นก็   สหัสเนตโต   เทวินโท   ทิพจังขุง   วิโสทายิ   ไว้ก่อน
       ถาม :   ก็ขอเหมือนกัน    แต่ทำข้อสอบแล้วใจเต้นจะขาดใจน่ะ
       ตอบ :  นั่นล่ะ ลักษณะที่กำลังของท่านคุมลงมาจะเป็นอย่างนั้นใจมันเต้นตึ๊ก ๆ แล้วมือจะเขียนชนิดที่ว่าเราบังคับยาก มันสั่นไปหมดถ้าหากว่าของเรา เราเคยชินแล้วจะไม่ค่อยรู้สึก แต่ถ้าไม่เคยชินแล้วใหม่ ๆ จะเป็นอย่างนั้นทุกรายแหละ
       ถาม :   แต่หนูเป็น   คือหนูคุมตัวเองไม่อยู่    ทำไมเราเครียดขนาดนั้น  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่เครียดหรอกเป็นกำลังของท่านที่ช่วยลงมา แต่คราวนี้ของเรานี่มันไม่สามารถปรับให้กลืนกับตัวเราได้ ปรับให้กลืนไม่ได้มันก็เหมือนยังกับไฟช๊อตยังงั้นน่ะ อาการยังงั้นชัวร์เลยว่าท่านสงเคราะห์นั่นแหละใหม่ ๆ ก็เป็น ต้อง เฮ้ย .... ช้า ๆ หน่อย เขียนไวเดี๋ยวกรรมการอ่านไม่ออกเขาให้ศูนย์น่ะโว้ย เราต้องเตือนตัวเองอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วไม่ต้องไปฝืนหรอก อยากเขียนอะไรเขียนไปเลย มันจะนอกทุ่งนอกท่านอกความรู้เขียนไปเหอะ ถึงเวลามันดีเอง
       ถาม :   จะตอบ   มีความรู้สึกตัวเองตอบแย่มาก   ตอบอะไรก็ไม่รู้
       ตอบ :  นั่นแหละ ที่แย่ ๆ นั่นแหละ เดี๋ยวคอยดู อาตมาเองเคยเขียนหนังสือขายมา สมัยประเภทหน้าละ ๕๐ บาท หน้าหนึ่ง ๗๐ บาท อยากได้เยอะก็เขียนเยอะ สมัยนั้นก็มีทั้งเรื่องสั้น มีทั้งกลอนประเภทนั้น เขียนแล้วบังเอิญว่าเราเขียนเรื่องที่เราอยากอ่าน ไปอ่าน ๆ แล้วมันไม่มีเรื่องประเภทนี้เราก็เขียนซะ ปรากฏว่าคนก็คงมีความรู้สึกเหมือนกันว่าอยากอ่านเรื่องประเภทนี้
       ถาม :   เรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์อะไรพวกนี้เหรอคะ  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่หรอกคะ ประเภทที่เพ้อ ๆ ฝัน ๆ เกี่ยวกับวัยรุ่นอะไร ก็มียังงั้นแหละ พอเราเคยเขียนเรารู้สึกว่าสำนวนดีมันเป็นยังไง พอถึงเวลาท่านให้เขียนอย่างนี้ ๆ มันไม่ดีแฮะ
              เอาอย่างนี้ดีกว่า พอแก้ปุ๊บนะความรู้สึกโดนตัดขาดไปเลย พอความรู้สึกโดนตัดขาดเขียนต่อไม่ได้เนื้อหามันไม่ต่อเนื่องกัน ก็เลยต้องตั้งใจกราบขอขมาพระ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์ใหม่ พอความรู้สึกมาใหม่ คราวนี้ยอมตามท่าน พอตามท่านไป ๆ ไอ้เรามันคนช่างสังเกต เขียนจบเรียบร้อยอ่านทวน ไอ้ตอนอ่านทวนนั้นถึงได้รู้ว่าสำนวนพื้น ๆ ธรรมดา ๆ นั่นน่ะ จริง ๆ แล้วต้นกลางปลายมันผสมกลมกลืนกันแนบเนียนที่สุดเลย มันลักษณะว่าคนมีความรู้แต่ไม่อวดรู้ แต่ไอ้สำนวนของเรานั่นมันอวดความรู้ มันจะทำให้คนเขาหมั่นไส้เอา แต่ของท่านนี่ลักษณะที่คุณมีความรู้แล้วคุณไม่อวดรู้ ประเภทที่เรียกว่าปานกลาง ไปกับเขาได้ทุกสถานการณ์ ออกมามันกลายเป็นดีไป
       ถาม :  แล้วมีเหตุการณ์อย่างนี้มั้ยคะว่า ตอนที่เราทำน่ะ สมมุติว่าเรายกตัวอย่างไปแปดเรื่อง ข้อหนึ่งถึงข้อแปด แต่เรามีความรู้สึกว่าไม่ใช่นะ เหมือนกับมีความรู้สึกว่าขีดให้หมดเลย ขีดทิ้งให้หมดทั้งแปดข้อ แล้วยกตัวอย่างแปดข้อใหม่ อย่างนี้ยังอยู่ในสภาวะที่ท่านยังอยู่มั้ย ?
       ตอบ :  ถ้าทำอย่างนั้นบ่อย ๆ แล้วจะเสีย เราต้องเชื่อความรู้สึกแรกยังไงยังงั้นไปเลยเพราะว่าบางทีอาจมีประเภทที่ แทรกเข้ามาให้รู้สึกว่านี้ดีกว่า เสร็จแล้วที่เอามานั้นมันก็ดีกว่า แต่ถ้าเราไปอ่านแล้วมันจะไม่ต่อเนื่องกัน โด่มาอยู่ท่อนเดียว หัวกับท้ายอาจเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ ตรงกลางที่เรายกมามันจะโด่อยู่อย่างนั้น เหมือนกับตัดมาแปะไว้ มันจะไม่กลืนกับเขา ลักษณะนี้เราก็อ่านดู เออ ! เข้าท่าดี แต่ความจริงถ้าเราอ่านตั้งแต่ต้นมาจะรู้สึกว่าจะสะดุด เพราะงั้นต้องเชื่อความรู้สึกแรกไว้
       ถาม :   ยังคุยอยู่กับหลินเลยว่า   เดือนหนึ่งจะตายให้ได้   เดือนหนึ่งเครียดทีหนึ่ง
       ตอบ :   ถ้าหากว่าเครียดลักษณะนั้นแล้วก็ควรจะสบายใจได้เลย  (หัวเราะ)
       ถาม :   ได้มาฟังแล้วรู้สึกว่าใช่เลย
       ตอบ :  นั่นแหละคือการที่ท่านสงเคราะห์ พอถึงเวลาลงมานี่ถ้าหากว่าของเราเองไม่สามารถปรับกระแสให้กลืนกันได้ ใหม่ ๆ เหมือนกัน มันเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากปาก ใจจะเต้นถี่ขึ้น ๆ ลักษณะขอ งมโนมยิทธิที่ออกเต็มกำลังจะออกลักษณะนั้นด้วย มันเหมือนหัวใจมันเต้นเร็วขึ้น ๆ อะไรต่อมิอะไรข้างในมันหมุนควบเข้า ๆ แล้วมันหลุดดึ๋งไปเลย
       ถาม :  แต่ตอนทุกครั้งที่หนูไปฝึกเต็มกำลังนะคะ หนูออกไป หนูรู้สึกว่าหนูออกไป แต่ไม่ได้แรงเหมือนคนอื่น หนูไปเหมือนตอนฝึกครึ่งกำลังอย่างนี้คะ เหมือนขึ้นไปบนนิพพานคะ ?
       ตอบ :   นั่นนะถูกเลย    คนที่ได้ครึ่งกำลังไปฝึกเต็มกำลังมันแทบจะไม่ดิ้นกับใคร   เพราะจิตมันเรียบแล้ว   จิตมันเรียบแล้วเคยชินกับสภาพแล้ว   ส่วนไอ้ที่ฝึกใหม่จะดิ้นกันมาก
       ถาม :   บางคนอย่างนี้คะ   พึบ  ๆๆ 
       ตอบ :  อย่างนั้นแสดงว่าเขายังอยู่ในช่วงที่จิตกำลังหยาบมากอยู่พอจิตมันหยาบมาก   อาการแสดงออกของร่างกายมันจะรุนแรงมาก
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: eaglezz เมื่อ 02 ธันวาคม 2008, 21:38:05
ยาวจังเลย จะพยายามอ่านให้จบนะครับ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: chon เมื่อ 03 ธันวาคม 2008, 09:26:29
ติดตามกระทู้นี้เป็นประจำครับ ขอบคุณท่านโนด้วย อิอิ
ชื่อ: Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔
โดย: shinpe uhah เมื่อ 21 เมษายน 2009, 19:35:28
ขอบคุณมากครับสำหรับสาระดีๆ