cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => หัวข้อที่ตั้งโดย: etatae333 เมื่อ 06 ธันวาคม 2013, 14:58:59

ชื่อ: Norse Mythology: Episode 2 – กำเนิดโลก
โดย: etatae333 เมื่อ 06 ธันวาคม 2013, 14:58:59
Norse Mythology: Episode 2 – กำเนิดโลก

(http://image.ohozaa.com/i/gbc/0w9YKk.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakWVfESX8a8ciR)

ชาวเหนือมีตำนานการเกิดโลกเช่นเดียวกับคนเผ่าอื่นนั่นละครับ แต่ด้วยการที่พวกเขาอยู่ในภูมิประเทศซึ่งเป็นน้ำแข็งแทบจะตลอดเวลา
เรื่องของเทพจึงเกี่ยวพันกับน้ำแข็งค่อนข้างมากและที่แตกต่างกว่าเทพในความเชื่ออื่นๆ ก็ตรงที่ เทพชาวเหนือเป็นเผ่าพันธุ์ครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ
มีความตายเป็นที่สุด (ก็คือตายได้นั่นเอง ไม่เหมือนเทพเมืองอื่นที่เป็นอมตะ)


สำหรับชาวเหนือ วิธีที่จะตายอย่างมีเกียรติ คือตายในที่รบขณะยังมีวัยหนุ่ม เพราะเหตุที่เชื่อว่าจะทำให้ได้รับคัดเลือกไปอยู่ใน
วัลฮัลลา(Valhalla; Old Norse: Valhöll) สวรรค์แห่งนักรบ ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะได้ต่อตีกันอย่างสนุกสนาน
(ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปเที่ยวฝึกการต่อสู้ ฝึกดาบ หากพลาดพลั้งตาย ก็จะฟื้นขึ้นใหม่ตอนเย็น ได้เวลากินพอดี) และรับการเลี้ยงชนิดไม่มีหมดไม่มีอั้น
จนกว่าจะถึงเวลาแร็กนาร็อค เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (อันนี้รวมทั้งพวกเทพด้วย) ฉะนั้นการตายแบบแก่ชรา
โรคภัยไข้เจ็บถามหา นับเป็นเรื่องน่าอันอายสิ้นดี

ด้วยความที่ศาสนาบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรคงทนถาวรกระทั่งเทพเจ้า ชาวเหนือโบราณจึงคิดเสมอ การต่อสู้รบราด้วยความรุนแรงจนกระทั่งตาย
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความชั่วร้ายทั้งหลาย เพราะในช่วงเริ่มแรกของอารยธรรม พวกเขาต้องอยู่ในแผ่นดินที่มีแต่ความเย็นเฉียบ
ไม่มีความสบาย แสงอาทิตย์จะปรากฏให้เห็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ในปีหนึ่งๆ – ชาวเหนือเปรียบเทียบความมืดและความสว่าง กับความชั่วและความดี
สรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติของเงามืดและธรรมชาติของความสว่างจึงเป็นของกันและกัน ช่วยไม่ได้เลยครับที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นที่ของจินตนาการ
เกิดเป็นยักษ์ เป็นพญางู พญาหมาป่า ผูกเป็นเรื่องราวแสนสนุกที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ละ

เมื่อแรกเริ่ม จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆ ความสับสนนั่นก็ค่อยๆ แตกแยกออก เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลางเป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้
ภายในห้วงนี้อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดที่จะแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวเหนือเรียก กินนันกาแก็บ (Ginnungagap)

(http://image.ohozaa.com/i/ab3/YbXGJM.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakqFbB5lCGJDsV)

ทิศเหนือของกินนันกาแก็บเป็นอาณาเขตของ นิฟล์เฮม (Niflheim, Niflheimr) โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ น้ำพุเวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) แฝงตัวอยู่ที่นี่
และน้ำจากน้ำพุก็เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งก็ไหลไปไหนไม่พ้นนอกจากจะไปสู่ห้วงกินนันกาแก็บ เมื่อเจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆ
แข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม

(http://image.ohozaa.com/i/c5d/VwLULg.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgajJpMouhFcIRHX)

ทางใต้ของกินนันกาแก็บ คือ มัสเปลส์เฮม (Muspelsheim, Múspellsheimr) แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา (อันนี้ตรงข้ามกับนิฟล์เฮม
อย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือเชียว) เป็นที่อยู่อาศัยของเซิร์ท (Surtr) ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรกที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลก
จนกระทั่งล้างโลกในวาระสุดท้าย (ตอนแร็กนาร็อคนั่นเอง) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลส์เฮมเอาไว้ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้น
ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ยักษ์เซิร์ทจึงเบื่อเอามากๆ มันไม่นรู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของและส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆ

(http://image.ohozaa.com/i/g0f/BzB19h.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakO3MBNqLoV9Jc)

ความร้อนที่มาจากประกายไฟนี่ละครับ นานเข้า-บ่อยเข้า มันก็ทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายกลายเป็นไอ ไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้าง
แข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปีน้ำค้างเหล่าก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งคือ

(http://image.ohozaa.com/i/e4e/13OH2U.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakn7oMfv1FMXIL)

ยักษ์ตนแรก อีเมอร์ (Ymir)  กับวัวออดฮัมลา (Audhumla, Auðumbla, Auðumla, Auðhumbla, Auðhumla) เมื่อเกิดแล้ว
ทั้งอีเมอร์และออดฮัมลาก็หิวละซิครับ อีเมอร์หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัวก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้ายหน่อย
หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆ ปรากฏว่าน้ำลายอุ่นๆ ของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต
อีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือเทพบูรี (Buri, Búri) ผมของเขาโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นหัว เป็นตัว เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง
คนนี้ละครับนับเป็นปู่ของเทพทั้งหมดทีเดียว

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าอีเมอร์จะไม่สนใจนอกจากทำให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา อีเมอร์ใช้เวลาไม่นาน
นักเขาก็อิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไปหน่อยเลยง่วง เขาก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้วหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทลอยละล่อง
เข้ามาตกอยู่ข้างตัวเรื่อยๆ มันสร้างความอบอุ่นทำให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แต่ว่าเหงื่อของยักษ์ตัวแรกนี่ประหลาดจริงๆ นะครับท่านผู้อ่าน
เพราะมันทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นนะ

ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด ชื่อว่า ธรุดเกลเมอร์ (Thrudgelmir, Þrúðgelmir)
(ตนนี้เป็นปู่ของยักษ์น้ำค้างแข็งตัวอื่นๆ ต่อไปอีก พวกนี้นับเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเทพเชียวนะ) ส่วนเหงื่อจากใต้จั๊กกะแร้ข้างซ้าย
กลายเป็นยักษ์ชายและหญิงคู่หนึ่งถึงแม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆ กับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ

(http://image.ohozaa.com/i/5bc/DMwdwm.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgak4Gvjvek72nM3)

กลับมาที่บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์คนนี้มีลักษณะเดียวกับอีเมอร์ตรงที่จู่ๆ เมื่อเกิดขึ้นเองแล้วก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย ลูกของเขามีชื่อว่า
บอร์ (Bor, Borr, Burr) บอร์แต่งงานกับเบสล่า (Bestla) ยักษีลูกสาวคนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการแต่งงานเป็นเทพสำคัญสามองค์
คือ โอดิน (Odin; Old Norse: Óðinn) วิลี (Vili) และวี (Ve, Vé) สามคนนี่ละครับเป็นต้นวงศ์ของเทพอีเซอร์ (Aesir, Æsir) ผู้ครองสวรรค์

ละคราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้นละครับ ธรุดเกลเมอร์กับลูกชายชื่อ เบอร์เกลเมอร์ (Bergelmir) (คนนี้เกิดจากยักษ์ธรุดเกลเมอร์ด้วยการกระโดด
ออกมาจากร่างของพ่อ แบบเดียวกับที่เทพบอร์กระโดดออกมาจากร่างบูรี ดูแล้วเหมือนเทพีอธีน่ากระโดดออกมาจากหัวของซูสในนิยายกรีกเลยนะเนี่ย)
ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมาตะหงิดๆ ทั้งสองก็เลยช่วยกันรวบรวมพี่ๆ น้องๆ ที่เกิดขึ้นจากอีเมอร์ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัวความกลัวเทพอาจจะมาจากคุณสมบัติ
ที่ยักษ์ไม่มีนะครับ เช่นว่าทั้งสามนั่นแข็งแรงเหลือเชื่อ แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็หายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมาก
และมีเสริมขึ้นเรื่อยๆ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย สงครามระหว่างลูกๆ ของธรุดเกลเมอร์และลูกๆ ของบอร์ เกิดขึ้น
เป็นเวลานานนับพันๆ ปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาดหรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ

(http://image.ohozaa.com/i/f3a/Xc8Eic.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgaktv13lSO8AyWQ)

ในที่สุดครับ พวกเทพจึงคิดจะต้องยุติการที่อีเมอร์จะให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป ด้วยการฆ่าอีเมอร์ทิ้ง เลือดของยักษ์ตนแรกไหล
ออกมาจากร่างกายมากมายจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดขนาดใหญ่ ท่วมเข้าไปในห้วงว่างกินนันกาแก็บที่เหลืออยู่จนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น
ในตอนแรกต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายเกลี้ยง ยกเว้นลูกชายคนหนึ่งคือเบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีไปกับเมียของเขาไปขึ้นฝั่งทางใต้และได้ตั้งอาณาจักร
ของยักษ์เรียกว่า โจตันเฮล์ม (Jotunheim, Jötunheimr) ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดเทพเข้ากระดูกดำมาตั้งแต่เกิด (มันก็น่าอยู่หรอก)
เกิดแผ่นดินและโลกต่างๆ

พวกเทพคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพลากศพอันมหึมาข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆ
จากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ตามทางไปด้วย เช่นว่าเลือดของอีเมอร์กลายเป็นมหาสมุทร กระดูกเป็นภูเขาและฟันซึ่งแตกหักกลายเป็นหน้าผาต่างๆ
ผมกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า หัวกะโหลกโค้งมโหฬาร-เทพก็เอามาทำโค้งสวรรค์ สมองของอีเมอร์กลายเป็นเมฆซึ่งลอยอยู่ทั่วท้องฟ้า ที่สำคัญที่สุดเนื้อ
ของอีเมอร์กลายเป็นแผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร เรียกกันว่า มิดการ์ด (Midgard; Old Norse: Miðgarðr) แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง
(ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนวรรณกรรมของคุณตาโทลคีนพอจะคุ้นๆ ระหว่างมิดการ์ดกับมิดเดิ้ลเอิร์ทบ้างไหมครับเนี่ย) ซึ่งอันที่จริงมันก็อยู่ตรงกลางระหว่าง
นิฟล์เฮม-ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และมัสเปลส์เฮม-อาณาจักรแห่งไฟ

(http://image.ohozaa.com/i/c53/uOUJ3V.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakMDRSFhvn7hiK)

แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และมันยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทรหรืออีกนัยหนึ่งคือถูกมหาสมุทรล้อมรอบซะอีก ยิ่งกว่านั้น
มิดการ์ดเป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพวางไว้เป็นเขตกันกระทบระหว่างแอสการ์ดของตนกับโจตันเฮล์มของยักษ์

เมื่อโลกดูเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยขึ้น เทพทั้งหลายก็เห็นพ้องตรงกันว่าแสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไปมัสเปลส์เฮมเก็บเอาประกายไฟ
ที่กระเด็นมาจากดาบของเซิร์ท ขว้างดวงที่ไม่ดับพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมดและยังเกิดดวงที่สว่างมากที่สุดขึ้นสองดวง
ก็คือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์นั่นละครับ

เทพเจ้ายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองดวงไปทั่วท้องฟ้า คันที่สร้างขึ้นเพื่อลากดวงอาทิตย์เป็นคันที่มีความปลอดภัยสูงมาก
(มีทั้งน้ำแข็งและโล่ห์ "สวาลิน" เอาไว้ด้านหลังม้าและคนขับเพื่อป้องกันความร้อนอันรุนแรงของดวงอาทิตย์) ราชรถคันนี้มีม้าสองตัวลาก
ตัวหนึ่งชื่อ อาร์วาคร์ (Arvakr, Árvakr) "ลากขึ้นแต่เช้า" อีกตัวหนึ่งชื่ออัลสวิน (Alsvin, Alsviðr) "ฝีเท้าเร็ว"
ส่วนดวงจันทร์ ราชรถที่ลากไม่ต้องมีการสร้างที่ยุ่งยากมากเพราะแสงของดวงจันทร์ไม่แรงเท่าดวงอาทิตย์ทั้งมีขนาดเล็กกว่า
จึงมีม้าลากตัวเดียวชื่อ อัลสไวเดอร์ (Alsvider) "เร็วเสมอ"

(http://image.ohozaa.com/i/e54/B7cXrM.JPG) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakjdDh7VDDPBf8)

สำหรับปัญหาต่อไปคือจะหาใครเป็นผู้ขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์ ตำนานชาวเหนือแบ่งความเชื่อออกเป็นสองพวก
(ตัดสินใจไม่ได้ครับ เลยเล่าทั้งสองอย่างเลยละกัน) พวกหนึ่งกล่าวว่า โอดินได้มองหาจากบรรดาลูกหลานที่เหลืออยู่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นพวก
นอกคอกหน่อยคือเป็นลูกผสมของยักษ์กับเทพ ชื่อ มานิ (Mani, Máni) และโซล (Sol, Sól, Sunna)
ชื่อของพี่น้องทั้งสอง หมายถึง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะพ่อของทั้งสองคิดว่าพวกเขางดงามเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จริงๆ

ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พี่น้องสองคนนี้เป็นลูกของมันดิลฟาริ (Mundilfari, Mundilfäri) มนุษย์จากมิดการ์ด ซึ่งพ่อของเขาอาจหาญ
ตั้งชื่อว่า อาทิตย์และจันทร์ ด้วยคิดว่าลูกของตัวงดงามเหมือนดวงดาวทั้งสองจริงๆ การหาญตั้งชื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้โอดินโกรธมาก
เลยพรากตัวสองพี่น้องจากพ่อ มาทำหน้าที่สารถีขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์เสียเลย สองตำนานที่ว่ามาก็แล้วแต่อยากเชื่ออันไหนนะ


Sköll – Hati

(http://image.ohozaa.com/i/267/3U0FIm.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakP7IEEewnKdSG)

อย่างไรก็ตามตำนานชาวเหนือได้กล่าวถึงศัตรูตัวฉกาจของอาทิตย์และจันทร์ไว้ด้วย นั่นก็คือพญาหมาป่าสองตัวชื่อ สกอลล์ (Skoll, Sköll) และฮาติ
(Hati, Hati Hróðvitnisson) สัตว์สองตัวนี่มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวที่เกาะกินหัวใจมาตั้งแต่เกิด คือ อยากจะงาบดาวทั้งสองให้สิ้นซาก
แล้วพวกมันก็ทำได้จริงๆ ในช่วงแร็กนาร็อค

นรกภูมิ

(http://image.ohozaa.com/i/5ba/6khimq.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakE8nvRgsZq8EC)

อันนี้ขอนอกเรื่องบอกไว้เสียหน่อยก็แล้วกัน ทั้งๆ ที่ชาวเหนือไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนรกหรือแทบไม่เน้นความสำคัญเลย แต่นรกของชาวเหนือก็มีอยู่ดีแหละ
โดยที่เขาบอกไว้ว่านรกที่ว่า คือ นิฟล์เฮม เป็นแผ่นดินของคนตาย (มันคงหนาวเย็นสาหัส จนกระทั่งคนเหนือซึ่งคุ้นต่อความหนาวยังไม่อยากเจอ
เลยยกให้เป็นนรกไปซะ เหมือนพวกเราพี่ไทยเหมือนกัน ที่เกลียดความร้อน ทั้งที่อยู่ในเมืองร้อน เลยยกให้นรกมีแต่ไฟเผา) มีแค่ยักษ์กับคนแคระเท่านั้น
ที่อยู่ร่วมกับวิญญาณคนตายได้ นรกของชาวเหนือเป็นอาณาจักรของเทพีเฮล (Hel) คนนี้ละครับที่จะกลายเป็นคนสำคัญของเรื่องในตอนต่อไปข้างหน้า
จึงต้องบอกที่ทางที่หล่อนอยู่ไว้ให้ท่านผู้อ่านทราบเสียก่อน

สร้างคนแคระกับเอลฟ์

(http://image.ohozaa.com/i/g1c/ppxzCs.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgajCkcKOLT5hwA4)

ระหว่างที่เทพทั้งสามองค์ช่วยกันสร้างโลกเป็นพัลวันนั่นเองครับ เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์ที่ยังไม่ทันสร้างเป็นอะไรก็เริ่มเน่า และมันได้ผลิตสิ่งมีชีวิต
ขึ้นพวกหนึ่ง (อีกแล้ว) เทพพบว่ามันเป็นแบบเฉพาะที่ทั้งดำและเหม็น ถึงแม้จะขยะแขยงกันขนาดไหน แต่เมื่อมันมีชีวิตขึ้นเองเสียก่อนก็เป็นภาระ
ที่พวกเขาจะต้องช่วยมันต่อไป


เทพสำรวจอุปนิสัยของมันแล้วหาทางเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิต
ได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแคระ (Dwarf) ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม (Svartalfheim, Svartalfheim)
ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ด ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและอัญมณีมาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งเดียวที่พวกมันต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน
ในเวลากลางวัน เพราะแค่แสงแดดอ่อนๆ แตะต้องผิวเท่านั้นมันจะกลายเป็นหินทันที

(http://image.ohozaa.com/i/ge4/mSf2tT.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgatOoiKpx5oQR4I)

ส่วนสิ่งมีชีวิตอีกพวกหนึ่งที่ดูสุภาพกว่า ไม่มีความโลภโมโทสัน ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นชนิดที่สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกกันว่าพวกเอลฟ์ (Elf)
ได้อาณาเขตอัล์ฟเฮม (Alfheim, Álfheimr; Old Norse: Ālfheimr) หรือหมายความถึงดินแดนแห่งพวกเอลฟ์ขาว อยู่ระหว่างกลางแอสการ์ดกับมิดการ์ด
พวกนี้มีสิทธิพิเศษกว่าคนแคระเยอะ ตรงที่ถึงแม้ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาจะปลอดภัยดี แต่ก็สามารถเดินทางลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย

กำเนิดมนุษย์

(http://image.ohozaa.com/i/c2a/1oXnYr.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgakdbZGj3l2GLrP)

ครั้งหนึ่งเมื่อเทพสามองค์ มีโอดิน โฮเนอร์ (Hoenir, Hœnir) และโลเดอร์ (Lodur, Lóðurr) กำลังเดินไปตามชายหาด ได้บังเอิญพบต้นไม้สองต้น
ที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือแอช (Ash) ต้นหนึ่งคือเอล์ม (Elm) โอดินหักเอากิ่งที่มีสาขาของต้นไม้ทั้งสองขึ้นมา แล้วถักให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย
และตุ๊กตามนุษย์ผู้หญิง โอดินให้วิญญาณ โฮเดอร์ให้ความรู้สึกและโลเดอร์ให้ชีวิตกับสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น
เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า นับเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอช มีนามว่า อากสค์ (Askr) หรือ Ask แปลว่าถาม
ส่วนผู้หญิงมาจากต้นเอล์มชื่อ เอมบลา (Embla) เทพได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ด

ที่อยู่ของเทวา

(http://image.ohozaa.com/i/05b/c8vkfx.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgal0t2tIPxDDzar)

เสร็จภารกิจสร้างโลกและจัดระบบเสร็จเรียบร้อย เทวดาก็หันมามองตัวเอง ในเมื่อยังไม่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางพวกเขาจึงสร้างแอสการ์ด
(Asgard; Old Norse: Ásgarðr) ขึ้น ตามชื่อวงศ์อีเซอร์ (Aesir, Æsir) ของตน แล้วตกลงกันว่า ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ
สันติภาพจะต้องอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่เทพอีเซอร์ปกครองโลก ถึงอย่างนั้นพวกอีเซอร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์
และเป็นที่ๆ ค่อยๆ สร้างสรรค์ส่วนต่างๆ ของแอสการ์ดให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แอสการ์ดเชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียกกันว่า
ไบฟรอส (Bifrost, Bifröst, Bilröst) สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอที่บรรดาเทพทั้งหลาย
จะใช้ชักรถศึกออกไปได้

อิกดราซิล (Yggdrasil; Old Norse: Yggdrasill)

ตรงกลางของแดนสวรรค์ มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช (Ash) (พวกเดียวกับมะกอก) นับว่าเป็นต้นไม้ที่สำคัญที่สุดเพราะอันที่จริงมันโอบรับโลกทั้งเก้าแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น แดนสวรรค์ โลกมนุษย์ โลกของยักษ์ โลกของคนแคระ หรือเอลฟ์ไว้กับกิ่งก้านสาขาและรากของมัน โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา
ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคง (เอ้อ ลืมบอกท่านผู้อ่านไปอย่างนะครับว่า ตอนที่คนโบราณคิดเรื่อง
ตำนานของชาวเหนือขึ้นเนี่ย พวกเขายังเชื่อว่าโลกแบนอยู่นะ แปลกเหมือนกันที่โลกเห็นว่าแบน แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์กลับกลม)

ต้นอิกดราซิลมีรากใหญ่สามรากหยั่งลึกลงไป อันหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม-แผ่นดินของยักษ์ อันหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮม-แผ่นดินน้ำแข็งและอีกอันหนึ่งไปถึง
แอสการ์ด-แผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามรากนี้ทำให้ต้นอิกดราซิลสัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพและมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำ
แต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น โดยรากที่อยู่กับชาวแอสการ์ด ไปโผล่แถวน้ำพุเอิด-น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) มันเป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์
ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำและมีหน้าที่ตักน้ำไปให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ พวกนอร์น (The Norns; Old Norse: norn)
สามพี่น้อง นามว่า เอิด (Urd, Urðr) (อดีต) เวอร์ดานดิ (Verdandi, Verðandi) (ปัจจุบัน) และสกัลด์ (Skuld) (อนาคต) จะเรียกรวมกันว่า
เป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิดครับ ด้วยเหตุนี้อิกดราซิลจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต (Tree of Destiny) ด้วยเหมือนกัน

The Norns

(http://image.ohozaa.com/i/76b/0auZCH.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgajLTDatkXkz9qO)

รากอันต่อมาแผ่ไปถึงแผ่นดินนิฟล์เฮม-แผ่นดินแห่งน้ำแข็ง ได้น้ำจากน้ำพุฮเวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำ
สายใหญ่ๆ ของโลก ส่วนรากที่สามแผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ได้น้ำจากน้ำพุไมเมอร์ (Mimir, Mímir) น้ำจากน้ำพุแห่งนี้
เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักไปดื่มได้ง่ายๆ

(http://image.ohozaa.com/i/c99/JArk6n.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xgajRdjoJ3wyzYYO)

อิกดราซิลจะเขียวสดอยู่ตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ไปมั่งก็ตาม เหตุเพราะบนต้นยังมีสัตว์อีกตั้งหลายอย่าง
ที่อาศัยอยู่ เช่นบนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า เจ้าตัวนี้มีหน้าที่จะต้องขันเตือนเทพเจ้าหากศัตรูตลอดกาลของพวกเขาเตรียม
ยาตราทัพเข้ามาหา นอกจากนี้มีนกอินทรีอีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน
ส่วนสัตว์ที่ไม่ใช่พวกนกก็มีกระรอกชื่อ ราตาโทสค์ (Ratatosk, Ratatoskr) เป็นอีกตัวที่อยู่บนไม้อิกดราซิล มันไม่เคยหยุดวิ่งขึ้น-วิ่งลงระหว่างตำแหน่ง
ที่นกอินทรีเกาะอยู่กับตรงรากของต้นอันที่อยู่บนแผ่นดินน้ำแข็งนิล์ฟเฮม เพราะว่าที่นี่มีพญางูนิดฮอก (Nidhoggr, Níðhöggr) ขดล้อม มันจะเป็นตัวที่
คอยตรวจตราไม่ให้พญางูตัวนั้นกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว

รวมความแล้วอิกดราซิลเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์หลายสถานเชียวละครับ ความมีประโยชน์ของต้นไม้ทำให้แม้กระทั่งโอดินจอมเทพเองก็เคยแขวนคอ
อยู่บนต้นไม้ นานถึงเก้าคืนเพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย

(เล่ากันว่าที่แขวนคอน่ะ ตายไปเหมือนกันนะ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นจอมเทพน่าจะได้ดื่มน้ำพุของไมเมอร์แล้วทำให้รู้มนต์แห่งการคืนชีพ
โอดินก็เลยฟื้นขึ้นมาครองสวรรค์เหมือนเดิม-การแขวนคอเช่นนี้ปรากฏว่ามันกลายเป็นประเพณีในชั้นหลัง เนื่องจากมีการพบศพเรียกกันว่ามนุษย์โทลลัน
ถูกแขวนคอตาย ศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์ ความตายของศพพาให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก)