เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่มีประโยคใดเหมาะสมสำหรับเขาเท่ากับการที่ทั่วโลกต่างยกย่องให้เขาเป็นบุคคล "อมตะ" และมอบความ "ยิ่งใหญ่"
ในฐานะผู้มีจิตใจสูง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "มหา+ อาตมา" ( แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง ) จนกลายมาเป็น "มหาตมะ" ขนานนามโดย "รพินนารถ ฐากูร"
นักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล
(http://image.ohozaa.com/i/f09/JKoJ2Z.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky7sLrEkOs9sRP1)
บุรุษผู้นี้ก็คือ "มหาตมะ คานธี" บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักต่อสู้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ว่าจะเป็น หญิงเหล็กอองซาน ซูจี ผู้ที่เจริญรอยตาม
การต่อสู้โดยยึดหลัก "อหิงสา" แสดงให้เห็นว่า "การกระทำโดยไม่กระทำ" นั้นก่อให้เกิดผลยิ่งใหญ่เพียงใด ทั้ง ๆที่เขาถือกำเนิดเป็นชาวฮินดู
แต่สิ่งที่เขาปฎิบัติโดยยึดหลัก "อหิงสา" นั้นเป็นการเดินตามรอยมหาศาสดาเอกของโลกโดยที่เขาถือว่าสิ่งนี้เป็น "สัจธรรม" ตามธรรมชาติ
ที่พระพุทธองค์นำมาเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติ จึงเป็นบุคคลที่เข้าใจโลกและทางออกของมนุษย์
ที่ไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีซึ่งผู้บริหารในยุคปัจจุบันควร นำมาปรับใช้ในการแก้ปัญหาระหว่างความคิดของคนต่างศาสนา
ในวาระที่วันที่ 2ธันวาคมเป็นวันครบรอบวันเกิดของคานธี ผมจึงนำเรื่องราวของท่านมาฝากท่านผู้อ่าน
"พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน" อย่างอังกฤษ ท่ามกลางการดูหมิ่นเหยียดหยาม ชาวเอเชียอย่างรุนแรง และด้วยความเข้าใจในปัญหานี้ ทำให้เขาหา
หนทางต่อสู่อย่างสันติ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นตัวตนแห่งเสรีภาพของชนชาติของเขา ซึ่งถือเป็นการต่อสู้กับมหาอำนาจที่ยากที่จะต่อสู้ด้วย"กำลัง"
แต่สิ่งที่ เขาเลือกใช้คือ "สติและปัญญา" ความแน่วแน่และกล้าหาญ ทำให้เขาสามารถขับไล่ผู้รุกรานได้อย่างสันติ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ของการใช้สันติวิธีในการขับไล่ผู้รุกราน และเขาเป็นผู้ที่เชื่อมโยงการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดีย เพื่อหลอมรวมจิตใจของคนอินเดียทั่วประเทศ
ที่ไม่ต้องการให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ ทำให้คนอินเดียที่มีความหลากหลายทางด้านปรัชญาที่มีรากฐานมากว่าสี่พันปี มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน
(http://image.ohozaa.com/i/6f0/YIEEsR.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky7o9IMEebhlznJ)
ประวัติ เด็กชาย โมฮันดาส คาดามจันด์ คานธี เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1869 เกิดที่เมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งชื่อขัตติยวาส เขตสุทามาปุรี แคว้นบอมเบย์
เป็นชาวฮินดูในตระกูลแพศย์ เขาเป็นลูกคนสุดท้องของพี่น้องทั้งหมดสี่คน บิดาชื่อ นายกรมจันด์ คานธี มารดาชื่อ นางปุตลีไป ตั้งแต่เด็กเขาได้รับการ
ปลูกฝังให้เป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหารเป็นเวลานาน
อยู่เนืองๆ
ในวัยเด็ก เขามักถูกดูถูกเหยียดหยามเพราะวรรณะแพศย์ไม่ใช่วรรณะชั้นสูงเท่าใดนัก ทำให้เขาเกลียดการแบ่งชั้นวรรณะ และเนื่องจากการที่เขาเป็น
ลูกคนเล็ก จึงถูกตามใจมากทำให้เขาเป็นเด็กที่มีนิสัยเกเรมาก ครั้งหนึ่งเขาขโมยเงินบิดาไปซื้อบุหรี่ ด้วยความกลัวจะถูกดุด่า ( บิดาของเขาดุมาก )
จึงสารภาพความจริงออกมา บิดาของเขานอกจากไม่ดุด่าและทำร้ายเขาแล้ว ยังสวมกวดและร้องไห้เนื่องจากซาบซึ้งในความดีและความกล้าหาญ
ของคานธี น้ำตาในครั้งนั้นถือเป็นน้ำตาแห่งความรักของบิดาที่มีต่อเขา เปรียบเสมือนน้ำตาที่ชำระสิ่งไม่ดีไปจากตัวคานธีนั่นเอง
นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆน้อย ๆ ที่ผู้ปกครองทั้งหลายสมควรเอาเยี่ยงอย่าง เมื่อลูกทำผิดควรใช้เหตุผล อย่าเอาอารมณ์ไปทำร้ายลูก ๆ ควรคิดและไตร่ตรองก่อน
โดยใช้ความรักให้เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับครอบครัวคานธีแต่งงานตั้งแต่อายุ 13 ปี เขาเป็นสามีขี้หึงชอบแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ภรรยาของคานธีชื่อ
คาสตวาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อเขามากพอ ๆ กับบิดาของเขาเลยทีเดียว เมื่ออายุ 17 ปีเขาต้องทิ้งภรรยาและครอบครัวเพื่อไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ
ความหวังของเขาในขณะนั้นคือการที่จะได้เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษ ที่แต่งตัวอย่างผู้ดีอังกฤษ เรียนเต้นรำและดนตรี โดยที่เขาเองไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าชีวิต
ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนับจากวินาทีที่เขามุ่งหน้าสู่ดินแดนใหม่ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเรียนจนจบแล้วกลับมาประกอบอาชีพทนายความในอินเดีย
แต่การว่าความครั้งแรกของเขาสร้างความอับอายให้แก่เขามากตามประสาทนายความมือใหม่ที่เต็มไปด้วยความประหม่า ตื่นเต้น เขาไม่สามารถเปิดปากพูดสิ่งใดได้เลย
และเพื่อหนีความอับอายทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ ที่ที่เขาเริ่ม มองเห็นความต้องการและ "ตัวตน" ของตนเอง
(http://image.ohozaa.com/i/fae/VQ3dOT.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky6pxma9T9eImRa)
เมื่ออยู่ในแอฟริกาได้ไม่นาน เขาก็พบสิ่งที่สะเทือนใจของเขาอย่างมาก อันเกิดจากการกีดกัน แบ่งชั้นวรรณะ ( ที่อาจดูเหมือนเลวร้ายพอ ๆ กับในบ้านเกิดของเขา )
โดยที่เขาไม่รู้มาก่อนว่ามีการเลือกปฎิบัติต่อชาวอินเดีในแอฟริกาใต้ เมือวันหนึ่งเขาซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง แต่ถูกเหยียดหยามจากผู้โดยสารผิวขาว โดยผู้โดยสาร
ผิวขาวได้ต่อว่าพนักงานและบอกให้เขาย้ายไปนั่งที่นั่งชั้นสาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกที่รถจอด เขาก็โดนผู้คุมโยนลงจากรถไฟ อย่างไร้ความปราณี
และจุดนี้เองที่เขาเองก็ถือว่า "เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิต" ทำให้เขานั่งคิดทั้งคืนว่า การที่ถูกปฏิบัติอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
หลังจากนั้นอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ เขาจึงได้นำความคิดของเขามาแสดงออกใน การประชุมผู้อพยพชาวอินเดียพื้นเมืองขณะนั้นเขามีอายุเพียง 24 เท่านั้น
เขาแสดงแนวความคิดที่จะเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับคนอินเดียและคนผิวดำ ซึ่งถูกกดขี่จากคนผิวขาว ที่ถูกจำกัดสิทธิในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ทางสิทธิในการออกเสียง การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือ แม้แต่เดินบนถนนในยามค่ำคืนก็ไม่สามารถออกมาเดินได้เพราะคนขาวเกรงว่ากลุ่มคนเหล่านี้
จะมาทำร้ายด้วยอุดมการณ์แบบนักกฎหมายที่เขาเชื่อว่า เมื่อกฎหมายเปลี่ยน...พฤติกรรมของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงตาม.... เขายังคงทุ่มเททำงาน
ในศาลระดับล่างเพื่อเตรียมทำอะไรบางอย่างเรื่อยมา
(http://image.ohozaa.com/i/c0d/vsAf1R.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky6BWC24YWVOdEK)
จนเมื่อปี 1906 เขาสมัครเข้าร่วมกองทัพทหารอังกฤษเพื่อปราบปรามการลุกฮือของพวกซูลู ในสงครามโบเออร์ และที่นี่เองที่ทำให้เขาเห็นความรุนแรง
อย่างไร้มนุษยธรรมว่า พวกซูลูถูกกดขี่และเอาเปรียบจากคนอังกฤษ เขาเริ่มคิดถึงภรรยาของเขา คนใกล้ตัวมากที่สุดที่เขาเคยกดขี่และเอาเปรียบ
จนเขาเกิดความสำนึกผิดและคิดว่า
"ข้าพเจ้ารู้สึกผิดต่อชีวิตสมรสของตัวเอง ต่อความสัมพันธ์ของคาสวา ( ภรรยา) "
ในปี 1906 นั้นเองที่กฎหมายใหม่ในแอฟริกาใต้กำหนดให้ ชาวอินเดียทุกคนต้งอเข้ารับการจดทะเบียนและพิมพ์ลายนิ้วมือ ข้อบังคับนี้รวมถึงการให้
หญิงชาวอินเดียต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าตำรวจผิวขาว เพื่อกรอกตำหนิรูปพรรณลงไปด้วย สิ่งนี้เองที่สร้างความไม่พอใจให้กับเขาและชาวอินเดียเป็นอย่างมาก
จนเกิดการชุมนุมชาวอินเดียสามพันคนในกรุงโยฮันเนสเบริก เขาขึ้นไปพูดว่า
"เราจะสวดมนต์ขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าเราจะเข้าคุก และจะอยู่ในคุกจนกว่ากฎหมายนี้จะถูกเพิกถอน"
เพราะคำพูดประโยคนี้จึงทำให้เกิดการจุดประกายให้เกิดการต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ผู้ประท้วงต่างอดทนต่อการทุบตีของตำรวจ
และยอมรับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญ และที่นี่เองที่ "หลักอหิงสา" ได้อุบัติขึ้น เพราะเขาคิดได้แล้วว่า "หลักอหิงสา" จะเป็นสิ่งเดียว
ที่ทำให้เกิดสันติได้โดยไม่ต้องเกิดการต่อสู้ และเสียเลือดเนื้อ จนในที่สุดเขาก็พิสูจน์ว่าได้ผลเมื่อทหารอังกฤษต้องยอมยกเลิกกฎนั้น
ขณะที่เขามีอายุ 45 ปีในค.ศ. 1915 เขากลับมายังอินเดีย แผ่นดินแม่ที่ถูกปกครองโดยลัทธิจักวรรดินิยมมากว่า 20 ปี และถูกกอบโกยเอาทรัพยากรต่าง ๆ
ไปเป็นจำนวนมาก เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่คนอินเดียกว่าสามร้อยล้านคน จะก้มหัวให้กับคนอังกฤษเพียงแสนคน ทำให้เขาปลุกระดมให้คนอินเดีย
รวมตัวกันประท้วง
(http://image.ohozaa.com/i/5c7/NAtveE.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky7t7qkC9ciEPCR)
การประท้วงครั้งแรกเกิดจากคนอินเดียสองพันคนในเมืองอำมริษา ปรากฎว่านายพลเรจินนอล์ ดายเออร์ ได้ออกคำสั่งห้ามชุมนุมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
นายพลจึงบัญชาการให้ทหารห้าสิบนายไปปราบปรามโดยกราดยิงกระสุนไรเฟิลเข้าใส่ผู้ชุมนุมกว่าสิบนาทีและที่หยุดยิงเพราะกระสุนหมด....
เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 379 คน และบาดเจ็บกว่า 1,000 คน
เหตุการณ์นี้เองสร้างความตึงเครียดที่อาจก่อให้เกิดการล้างแค้นขึ้น แต่คานธีลุกขึ้นมาพูดว่า จะไม่ตอบโต้อังกฤษ ที่กระทำเช่นนั้น เขาไม่ใช่ศัตรู
แต่เป็นเพื่อนเราต่างต้องการการปลดปล่อยเหมือนกัน ด้วยวิธีการพูดเช่นนี้ช่วยแปรเปลี่ยนความเคียดแค้น ชิงชังให้กลายมาเป็นความสามัคคี
ของชาวอินเดียทุกคน เขาได้กล่าวว่า เขาหันมาใส่เสื้อผ้าธรรมดาพร้อมกับพูดว่า
"เสื้อผ้าของชาวต่างชาติที่สวมใส่อยู่นั้น แสดงความเป็นทาสต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันตก และเราจะไม่สามารถปลดปล่อยความเป็นทาสได้"
ทำให้คนอินเดียเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นไปเผาทิ้ง
ตำนานแห่งการต่อสู้ด้วยหลัก "อหิงสา" ของคานธีมีอีกหลายเรื่องที่เล่าขานกันได้อย่างไม่จบสิ้น แต่ก็มีเรื่องที่สำคัญมากคือ การต่อสู้สิทธิ
ของชาวอินเดียในเรื่อง "เกลือ" ( ในอดีตเกลือเป็นของที่มีค่า ) เพราะชาวอังกฤษกดขี่ชาวอินเดีย ไม่ให้ทำเกลือเองและ ห้ามว่าการขายเกลือ
ของชาวอินเดียเป็นสิ่งผิดกฎหมายแต่กลับสงวนไว้เพื่อชาวอังกฤษเท่านั้น คานธีจึงวางแผนต่อต้านด้วยการเดินเท้าเปล่าระยะทางกว่าสองร้อยไมล์
ไปยังทะเลอาหรับ พร้อมด้วยสาวกกว่าแปดสิบคน เพื่อไปทำเกลือที่นั่น
(http://image.ohozaa.com/i/cc0/is4Ojo.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky5JHRGHb4JSc3i)
วันที่ 12 มีนาคม 1930 อีกบทหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เริ่มต้นอีกครั้ง..การเดินทางครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักข่าวต่างประเทศ
ที่เข้ามาทำข่าวของเขามากมายซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการเข้ามาทำข่าวในดินแดนอนุทวีปแห่งนี้ ทำให้โลกได้รู้ถึงการกระทำของเขาและสาวก
จนทำให้มีคนเข้าร่วมเดินกับเขาเป็นจำนวนมาก เป็นการเปิด "ความจริง"ให้โลกทั้งโลกได้รับรู้และแม้จะไม่สามารถมาร่วมขบวนได้แต่ต่าง
ก็ได้เอาใจช่วยเขา เขาใช้เวลาเดินทาง 24 วันจนในที่สุดเมื่อวันที่ 6 เมษายน เขาก็เดินไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรพร้อมกับชาวอินเดียหลายแสนคน
ที่ร่วมเดินทางมากับเขา เขาก้มลงหยิบเกลือขึ้นมาและพูดว่า
"ด้วยเกลือหยิบมือนี้ ข้าพเจ้าขอต่อต้านการบังคับของจักรวรรดิอังกฤษ ขอเราจงร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิของเราเถิด"
(http://image.ohozaa.com/i/f7b/RMcQ0Q.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky5weFLVc4xc1Bv)
ถือเป็นการสร้างประกายไฟแห่งการตอบสนองของคนอินเดีย ให้มีการค้าขายเกลือกันอย่างเปิดเผย ทำให้คานธี และคนอินเดียหลายพันคนถูกจับ
และทำร้ายร่างกาย แต่ด้วยแรงกดดันจากนานาประเทศ ทำให้ลอร์ดเออวินน์ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษปล่อยตัวคานธีและเปิดการเจรจาเพื่อทำการต่อรอง
คานธีมาตามคำเชิญพร้อมกับขอน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว พร้อมกับหยิบของขึ้นมาสิ่งหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า
"ท่านที่เคารพ อย่าบอกใครนะว่านี่คือเกลือที่ข้าทำอย่างผิดกฎหมาย"
พร้อมกับเทเกลือลงน้ำและยกขึ้นดื่ม และจากเหตุการณ์นี้ ทำให้กษัตริย์อังกฤษเรียกตัวเขาเข้าพบ ซึ่งที่นั่นเอง ที่ทำให้เขามีโอกาสแสดงทรรศนะของเขาว่า
"ข้าพเจ้ากำลังขอร้องต่อบิดาแห่งชาติของเรา ให้ท่านมีเมตตา มีความรัก เห็นความจริงและงดใช้ความรุนแรง ขอจงประทานพรแก่พวกเรา
เสรีภาพอันสมบูรณ์เท่านั้นคือสิ่งที่เราต้องการ"
(http://image.ohozaa.com/i/f78/3FBPND.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky5hHxOiv8nbs2c)
ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปี 1942 คานธีเรียกร้องการประกาศอิสรภาพโดยทันที
"นี่คือคำสวดเป็นคำสั้นๆ ที่ข้าพเจ้าจะมอบแก่ท่านอยู่หรือตาย เราจะปลดปล่อยอินเดียหรือมิฉะนั้นก็ยอมตาย"
และในคืนวันที่คานธี ประกาศอิสรภาพนั้นเอง เขาและสมาชิกสภาคองเกรซทั้งหมดก็ถูกจับกุม ด้วยวัย 73 ปี แต่โลกทั้งโลกก็ให้ความ สนใจ
ต่อการกระทำของเขาในครั้งนี้มาก วันที่ 14 สิงหาคม 1947 อินเดียก็ฉลองอิสรภาพของตน เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง
ทำให้อำนาจของอังกฤษลดน้อยลง จนในที่สุดอังกฤษต้องยอมรับว่าตนไม่สามารถปกครองอินเดียอีกต่อไปได้ แต่ 'ลอร์ดเมาท์ แบดเทริส์น'
ได้ทิ้งยาพิษที่ขมขื่นไว้สำหรับชาติอินเดียที่เป็นเอกราชและคานธี คือการ แบ่งแยกอินเดียออกเป็น 2 ประเทศ ด้วยการก่อตั้งรัฐปากีสถาน
อนาคตของชาติใหม่ปรากฏความขัดแย้งให้เห็นอยู่ เบื้องหน้าแล้ว ชาวฮินดูและมุสลิม คู่แข่งอันยาวนาน หันมาเกลียดกันอย่างเปิดเผย
ชาวมุสลิมส่วนน้อยยืนยันจะแยกตัวออกไป (กลายเป็นประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) หลังจากอุทิศมาชั่วชีวิตเพื่อรวมประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียว
แต่คานธีกลับต้องเห็นบ้านเกิดอันเป็นที่รักถูกแบ่งออกเป็น 2ส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเขามาก
บางทีเขาอาจต้องทบทวนว่าด้วยหลัก "อหิงสา" และการต่อสู้เกือบทั้งชีวิตของเขาหรือไม่ที่ทำให้เกิดการสูญเสียจากการสังหารหมู่ระหว่างชาวฮินดู
และมุสลิมจำนวนครึ่งล้าน มาถึงตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลที่มีทั้ง " คนรักและคนชัง" เพราะเมื่อเขาเริ่มอดอาหารประท้วง ก็มีผู้เดินขบวนและร้องออกมาว่า
" คานธีจงลงนรก ปล่อยให้คานธีตายไป ให้เขาตายไปลงนรกซะ"
(http://image.ohozaa.com/i/fab/HUP5tH.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky6YZemvNJlYNPD)
นับเป็นการใช้ชีวิตในช่วงปัจฉิมวัยที่ขมขื่นมากสำหรับเขาเลยทีเดียว วันที่ 30 มกราคม 1948 คานธีในวัย 78 ปี เดินเข้าไปในที่ประชุมสวดประจำวัน
ในสวนเวอริฮาทร์ กรุงนิวเดลี ท่ามกลางฝูงชน ชายชาวฮินดูคนหนึ่ง 'นาฮูราน กอสซี่' วัย 36 ปี ก้าวออกมาก้มลงคารวะคานธี แล้วพูดว่า
'ท่านมาสายสำหรับการสวด' คานธีก็พูดว่า 'ใช่ฉันมาสายไป มาสายจริงๆ' แล้วกอสซี่ชักปืนเล็กๆ ออกจากเสื้อเชิ้ตของเขา แล้วยิงปืนใส่คานธี 3 นัด
กระสุนเจาะทะลุท้องและอีกนัดหนึ่งที่หน้าอก เขาไม่แสดงถึงความประหลาดใจ หรือความเจ็บปวด ขณะสุดท้ายก่อนสิ้นลม เขาพนมมือในลักษณะ
สวดมนต์แล้วพึมพรำคำว่า "ราม" ( พระผู้เป็นเจ้าในภาษาอินเดีย )
(http://image.ohozaa.com/i/g29/JEKChQ.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky6Q7LjqdEVzWhk)
เราจะยกคำสอนท่านเรื่องคานธีทิ้งรองเท้ามาซักเรื่องหนึ่ง
คานธีทิ้งรองเท้า
(http://image.ohozaa.com/i/fb5/hshFN0.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xky67srnHe3feC4w)
ขณะที่ท่านคานธีกำลังขึ้นรถไฟไปต่างเมืองอยู่นั้น...รองเท้าข้างหนึ่งของท่านตกลงจากรถไฟ
ท่านไม่สามารถลงมาเก็บรองเท้าท่านได้ทัน เพราะรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟพอดี
ท่านคานธีจึงถอดรองเท้าของท่านอีกข้างหนึ่ง แล้วโยนออกไปใกล้ๆ ที่เดียวกันกับรองเท้าของท่าน
ที่ตกลงไปนั้นผู้ติดตามถามท่านว่า
"ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น"
ท่านคานธีตอบว่า...
"เพื่อว่าถ้ามีคนเก็บรองเท้าของท่านได้เขาจะได้มีรองเท้าใส่ครบทั้งสองข้าง"
(ด้วยจิตใจที่กว้างขวาง ทำให้ท่านคานธีปล่อยสละ สิ่งที่ท่านมีอยู่กับคนซึ่งท่านไม่รู้จัก และอาจไม่มีวันรู้จักเขา)
credit :: postjung.com
live as if you were to die tomorrow. learn as if you were to live forever