cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => หัวข้อที่ตั้งโดย: etatae333 เมื่อ 10 มกราคม 2014, 13:35:34

ชื่อ: เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย ศพสยองข้างทาง (The Black Dahlia)
โดย: etatae333 เมื่อ 10 มกราคม 2014, 13:35:34
นี้คือหนึ่งในสุดยอดคดีปริศนาทั้งสิบที่ไขไม่ออก การฆาตกรรมหญิงบ้ามากรัก ฉายา เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย แสนสยดสยองทำไมฆาตกร
ถึงลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับเธอถึงปานนี้

               
ศพสยองข้างทาง

(http://image.ohozaa.com/i/a61/WzEL4h.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEtJnz9Jql4aaol)

ตอนสาย ๆ วันที่ 15 มกราคม 1947 ถนนนอร์ตัน สวนสาธารณะไลเมิร์ต ชานเมืองลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา เบ็ตตี้ เบอร์ซิงเกอร์ แม่บ้านกำลังพาลูกสาว
ตัวน้อยแอนนี่เดินไปซ่อมรองเท้าของแก ที่สุดถนนนอร์ตัน ใกล้ๆ นี้เอง เมื่อเดินผ่านสวนสาธารณะแอนนี่ลูกสาวตัวน้อยเหลือบไปเห็นของบางอย่างข้างทางเข้า


"มันเป็นร่างขาวโพลน นอนอยู่บริเวณบริเวณหญ้าที่ขึ้นรก มันเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่ชำรุด"

สองแม่ลูกเข้าไปใกล้ตัวความอยากรู้อยากเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอเข้าไปดูใกล้ๆ เผยความจริงเธอถึงกับช็อก เพราะร่างนั้นไม่ใช้หุ่นแต่เป็นศพ
ของผู้หญิงเปลือยโล่งโจ้ง ถูกหั่นบั่นเอวจนร่างขาดจากกันเป็นสองท่อนอย่างประณีต ราวกับอาวุธที่ใช้เป็นมีดหั่นเนื้อที่คมกริบ เอวเธอจึงขาดออก
รอยแผลเรียบไม่มีเนื้อเยื่อหรือเอ็นขาดกะรุ่งกะริ่ง แม้ร่างแยกออกเป็นสองท่อน ใบหน้าของเธอยังดูยิ้ม นัยน์ตาเปิดอยู่ครึ่ง ๆ ปากเผยยิ้มน้อย ๆ และมุมปาก
เหยียดออกทั้งสองข้าง อย่างสยดสยอง

ส่วนท่องร่างก็สยองไม่แพ้ท่อนบน ด้วยมันเปลือยเปล่าและวิตถารที่สุดคือกระจุกเศษไม้ใบหญ้าที่ช่องเพศจนเปิดอ้า ช่างน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง

พบศพ
               
แอนนี่รีบฉุดแม่หนีจากภาพสยอง พอเบ็ตตี้ได้สติเธอวิ่งหาโทรศัพท์สาธารณะหาตำรวจแจ้งเหตุร้าย  และในขณะเดียวกันกับนักดับเพลิงประจำท้องถิ่น
ผ่านมาถึงกับหยุดจอดเพราะนึกว่ารูปปั้นทิ้งไว้ แต่พอเห็นศพทั้งคู่ถึงกับโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง


ไม่กี่นาที ตำรวจทั้งสองนายก็มาถึงในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องค้นหาให้ยุ่งยากเลยว่าศพอยู่ไหน เพราะมันนอนเด่นเป็นสง่านั้นไง! ติดต่อกำลังเสริมด้วย คดีนี้ดังแน่ ๆ
ไม่นานพวกนักข่าว ช่างภาพ ประชาชนเริ่มเข้ามาสถานที่เกิดเหตุก่อนตำรวจเสียอีก และย่ำสถานที่เกิดเหตุจนเละเทะไปหมด มันทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่
ตำรวจยุ่งยากไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตามตำรวจสรุปว่า สภาพโดยรวบที่พบศพ ไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ศพถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ตัวศพเองก็ขาวซีดเผือกเพราะเลือดไหล
ออกไปทุกหยาดหยดแล้ว แสดงว่าศพผู้ตายถูกฆ่าและหั่นจากร่างจากที่อื่น และฆาตกรเอาศพของเธอมาทิ้งที่ถนนนอร์ตันนี่ ประเด็นที่สำคัญคือ

มันเอาศพเธอทิ้งทำไมตรงนี้?

(http://image.ohozaa.com/i/2df/0rNkZN.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEuezHaGu7m5DJ2)

ตรงที่ศพนอนอยู่น่ะ มันเป็นเป้าสายตาสาธารณชนเดินผ่านไปผ่านมาเกือบตลอดทั้งวี่ทั้งวัน มันคล้ายกับฆาตกรจงใจโชว์ผลงานของมันให้ประชาชนเห็นได้ชัด ๆ
แล้วฆาตกรมันเอาศพมาทิ้งได้อย่างไร มันไม่ใช้ของง่าย ๆ น่ะจะบอกให้ ฆาตกรต้องเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นและจับได้คาหนัง คาเขาเลยที่เดียว มีทางเป็นไปได้ว่า
คนร้ายนำศพมาไว้ตรงนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่หนูน้อยแอนนี่จะไปเหลือบเห็นเข้า

แต่ปริศนาก็คลี่คลาย เมื่อเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ทุกเช้าตรู่ เขาเห็นรถสีดำแล่นช้า ๆ มาตามขอบถนนใกล้ ๆ กับที่ทิ้งศพนั้นในที่สุดศพทั้งสองท่อน
ก็ถูกนำไปยังนิติเวช เพื่อชันสูตรและถ่ายรูปไว้อย่างละเอียดจากนั้นก็ถูกนำไปเก็บในช่องแช่แข็งแช่ศพเพื่อทำรูปคดีต่อไปจนได้ข้อมูลชวนสยองนี้เข้า.......
   
การชันสูตรศพ
               
ตามธรรมเนียมนิยมของตำรวจสหรัฐฯนั้น เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าศพของเหยื่อฆาตกรรมเป็นใคร เขาจะตั้งชื่อศพผู้หญิงว่า เจนโด แล้วใส่หมายเลขลำดับศพที่พบต่อท้าย
ในเวลานั้นศพถูกเรียกว่า เจนโด หมายเลข 1 เช้าวันที่ 16 มกราคม 1947 เจนโด หมายเลขหนึ่ง ถูกวางไว้บนเตียงเหล็กแคบ ๆ ผิวสัมผัสมันปลาบเย็นเฉียบ
ใช้สำหรับการชันสูตรศพโดยเฉพาะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชจัดการดึงเอาสิ่งที่ฆาตกรอุดไว้ในช่องเพศและช่องทวารหนักของเธอออกมา แล้วเขาก็พบว่า
ในทหารหนักมีเศษเนื้อและหนังเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยรวมอยู่ด้วยหลายก้อน

มันเป็นเนื้อที่ฆาตกรใช้มีดตัดคว้านจากบริเวณจากบริเวณขาอ่อนเธออย่างป่าเถื่อนทารุณ เห็นแล้วใจหายสิ่งที่ทำให้แพทย์งงงันจนหงุดหงิดยังมีมากกว่านั้น
เพราะแม้ จะเอาคีมยาวคีบเศษดินออกจากช่องคลอด แต่มันก็ยังตันเหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่นั้นเองการชันสูตรนี้ สรุปเป็นรายงานได้ว่า

"......มีรอยถลอกมากมายหลายซับหลายซ้อนบริเวณหน้าผากและแถวๆ ขมับซ้าย รวมทั้งแนวตีนผมเป็นรอยครูดเล็ก ๆ แต่ที่ผิวหนังก็ฉีดขาดจนมีเลือดออกซิบ ๆ
ลำตัวถูกตัดขาดออกจากกัน ด้วยรอยผ่าที่เกือบเป็นแนวตรง ตัดลึกผ่านส่วนท้อง บริเวณเหนือหัวเหน่าที่รอยครูดลักษณะกากบาทเล็กๆ เต็มไปหมดทั้งท้องน้อย
ที่ลำไส้และไตทั้งสองข้างมีรอยครูดและเลือดออก ท่อรังไข่เล็กนิดเดียว และไม่พบการตั้งครรภ์ มดลูก รังไข่ และช่องคลอดส่วนบนไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย....
ในช่องคลอดส่วนถัดลงมามีชิ้นส่วนเนื้อหลุดลุ่ยติดอยู่ เป็นเนื้อที่ปรากฏรอยช้ำและรอยถลอกหลายรอย

ไม่พบเชื้ออสุจิ แต่ก็คล้ายว่ามันถูกเช็ดหรือล้างออกหมดแล้ว สันนิษฐานว่า รอยครูด รอยถลอก และการถ่างทวารหนักจนเปิดกว้างนั้น(วัดขนาดได้ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว)
เกิดขึ้นจากผู้หญิงนิรนามคนนี้สิ้นใจแล้ว แต่กระนั้นเธอต้องดิ้นรนอย่างรุนแรงที่เดียวเลยเหละเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการที่ฆาตกรใช้ของมีคมทารุณ
ต่อร่างกายของเธอ!"


มันทำเช่นนั้นทำไม

การยัดเศษเนื้อเศษหญ้าไว้ในช่องคลอดก็เป็นปริศนาที่น่าคิดอีก จิตใจของฆาตกรรายนี้มันเคียดแค้นอะไรกันหนักกันหนา ทารุณขนาดนี้มันยังไม่หนำใจ
มันถึงดึงถอนขนบริเวณหันหน่าเธออกเป็นกระจุกๆ....ตอนสดๆ แล้วยัดลงในทวารหนักของเธอด้วย ในกระเพาะอาหารเต็มไปด้วยของเหลวข้นๆ สีน้ำตาลอมเขียว
เป็นลักษณะเป็นเม็ดๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคืออุจจาระของมนุษย์นี้เองและยังมีสิ่งที่ปนมากลับอุจจาระนี้ด้วย แต่ไม่สามารถชี้ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่พบอสุจิ...."


จากการชันสูตร ทำให้เราเห็นนาทีสุดท้ายอย่างชัดเจนเธอถูกทรมาน เจ็บปวดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์จะทานทนได้ และยังถูกบังคับให้ถูกกลืน
อุจจาระจำนวนมาก จนอิ่มเต็มกระเพาะ!เธอถูกข่มขื่นทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก แต่ฆาตกรสามารถกำจัดร่องรอยอสุจิของมันออกไปอย่างหมดจด
เพราะหลังจากมันฆ่าเธอแล้ว มันลากศพเธอไปสระผมด้วยแชมพู เอาสบู่ฟอกเธอทั้งตัว!

แน่นอน! มันต้องหั่นศพของเธอเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว เลือดสดๆ ยังคงไหลลงท่อน้ำทิ้งไปทุกหยาดหยดจนหมดร่าง ดังนั้นผิวของเธอจึงซีดขาวเผือก
เหมือนขี้ผึ้งและมันจนขึ้นเงา เมื่อมันร่างศพจนพอใจแล้วก็ไปทิ้งไว้ข้างทางส่วนหัว ผลจากการชันสูตรรายงานว่า

....กะโหลกไม่มีรอยแตกหรือบุบสลาย แม้จะมีรอยช้ำที่คอแต่ไม่ใช้สาเหตุการตาย..และสาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากถูกตัดแยกร่าง
แต่เธอตายเพราะอาการเลือดออกในสมอง ปริศนาอีกข้อหนึ่งที่ปวดหัวภายหลังคือ ผู้หญิงนิรนามผู้น่าสงสารนี้ถูกข่มขื่นหรือไม่เพราะไม่มีร่องรอยอสุจิ
ที่ศพแม้แต่น้อยและผู้หญิงนิรนามนี้ไม่สามารถร่วมเพศได้เด็ดขาด เพราะช่องคลอดของเธอตัน! เธอพิการช่องคลอดตั้งแต่กำเนิด เป็นไปได้หรือไม่ว่า
ฆาตกรพยายามขื่นใจเธอ แต่มันรู้ที่หลังว่าทำไม่ได้ มันโกรธแค้น เล่นกลับใครไม่เล่น จนลงมือสังหารโหดดังกล่าว

ส่วนเรื่องอุจจาระที่เธอกินเข้าไปนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นของเธอหรือฆาตกร แต่น่าเสียดายนักเพราะถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าเราตรวจหาดีเอ็นเอ
เราจะตอบคำถามนี้ไม่ยากเลย และเผลอ ๆ อาจจับคนร้ายได้อยู่หมัดก็ได้ นอกจากนั้นยังมีร่องรอยด้วยว่าฆาตกรลงมือตัดอวัยวะเพศเธอออกไปบางส่วน
แต่ข้อมูลการชันสูตรนี้ ตำรวจปิดเป็นความลับสุดยอดเพื่อใช้หาผู้ทำผิดต่อไป  และจากการสอบสวนของตำรวจ ว่าศพหญิงนิรนามนั้นคือใคร จึงได้ส่ง
รอยนิ้วมือที่ศพส่งไปให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอตรวจหาจากแฟ้ม โดยหวังลึก ๆ ว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง

ในที่สุด เอฟบีไอก็แจ้งผลว่า ศพหญิงลึกลับผู้นี้คือ อลิซเบธ ซอร์ต ผู้ซึ่งมีประวัติและพิมพ์ลายนิ้วมือเอาไว้ เมื่อเธอสมัครเข้าทำงานในฐานทัพแคมป์คุ้ก
เมื่อ ค.ศ. 1942 โน้น แต่ตามกฎหมาย จำเป็นต้องชี้ศพให้แน่ชัด ฉะนั้นในวันที่ 22 มกราคม ตำรวจได้นำ พีบี้ ชอร์ต และจินนี่ พี่สาวของเบธมายืนยัน
ศพของผู้เป็นที่รัก ตำรวจคลุมสาวนอื่นของร่างกายที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนด้วยผ้าขาว โผล่ออกมาแต่ส่วนศีรษะให้เห็นหน้าชัดๆ เจตนาของตำรวจคือ
ไม่ให้สมาชิกครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานใจเกินไปที่เห็นภาพการถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

แต่กระนั้นใบหน้าของเบธมันเปลี่ยนจากเดิมมาก มันบูดเบี้ยวเขียวคล้ำ ปาก จมูก คิ้ว ตา ผิดรูปผิดร่างไปหมด เป็นผีตายซากที่ชวนให้ฝันร้ายชัด ๆ
จินนี่อึกอัด จำน้องสาวตัวเองไม่ได้ คราวนี้ตำรวจเปิดผ้าห่อศพลงมาอีกนิด คราวนี้เธอก็เห็นไฝที่ไหล่ข้างซ้ายจึงบอกได้ว่าศพนี้คือเบธจริง ๆ
ร่างไร้วิญญาณที่น่าเวทนาของเบธถูกฝังไว้ในสุสาน เมาน์เท่นวิว ในโอ๊คแลนด์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1947 มีญาติในครอบครัวประกอบด้วยมารดา
พี่สาวสองคนและน้องสาวอีกสองและสามีหนึ่งในสี่นั้น แต่พ่อของเบธไม่ได้มาไม่รู้เพราะอะไร

การสวดเป็นไปอย่างย่อ ๆ รวบรัดและรีบฝังไปในเวลาช่วงสั้น ๆตอนนี้เธอกลายเป็นศพดังไปแล้ว..........................
มันเป็นความฝันชั่วชีวิตของเธอว่าสักวันหนึ่งว่าเธอจะดังแบบดารา.....................

               

อลิซเบธ ชอร์ต เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย


(http://image.ohozaa.com/i/08c/4oCQuC.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEtAS4MVmhc80ZS)

               
อลิซเบธ ชอร์ต เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ในเขตไฮด์ พาร์ค นครอสตัน บิดาเธอชื่อ คลีโอ อัลวิน ชอร์ต อดีตเจ้าของธุรกิจลานจอดรถ
ผู้ผันอาชีพเป็นนักออกแบบและรับสร้างสนามกอล์ฟขนาดเล็กแทน ส่วนพีบี้ผู้เป็นมารดาลูกดกไม่ใช้ย่อย เพราะถ้ารวมเบธและเธอยังมีพี่น้องตามมาอีกสี่ รวมเป็นห้า
ทั้งเป็นเป็นลูกสาวล้วนๆ ครอบครัวนี้ก็มีชีวิตรุ่งเรืองดีหรอกจนกระทั้งมันเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า "วอลล์ สตรีต ล่มสลาย" มันทำให้การเงิน
ของคลีโอล่มจมไปด้วย แถมมันยังกระทบกับหุ้นของครอบครัวอีก ไอ้ที่กำลังตกต่ำก็เกิดอาการย่ำแย่ถึงขีดสุด......สุดทานทน

และจู่ๆ คลีโอผู้เป็นพ่อก็หายตัวไปเฉยๆ มีผ้ำบนรถอันว่างเปล่าของเขาจอดทิ้งไว้แบบไม่ดูดำดูดีค้างอยู่บนสะพานชาล์สทาวน์ ว่ากันว่าเขาโดดสะพานตาย
แบบธุรกิจรายอื่น ๆ เขาทำกัน เพื่อหนีปัญหาทั้งปวง เป็นอันว่าในค.ศ. 1930 คุณนายพีบี้ต้องรับปัญหาเลี้ยงลูกสาวตัวน้อย ๆ ถึง 5 คนตามยถากกรรม
ตามลำพัต้องขอความช่วยเหลือจากสังคมสังเคราะห์ให้จ่ายเงินสวัสดิการเป็นรายงให้เธอกับลูก และด้วยเงินอันน้อยนิดจำต้องย้ายไปบ้านที่คับแคบอย่างกับรังหนู
ด้วยความคับแค้นขัดสน ชีวิตห่อเหี่ยว บี้กับลูกๆ มีวิธีหย่อนใจที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด คือการดูหนัง พวกเธอเข้าไปดูโรงหนัง ภาพยนต์กันจนหูตาแฉะ
การหมกมุ่นกับภาพมายาจอเงินนี้เองทำให้อลิซเบธลูกสาวคนกลางของพีบี้ เกิดมีความฝันบรรเจิดเพริศแพร้วหนีออกจากโรคความจริงอันขื่นขมโหดร้าย

เธอเริ่มหลงใหลใฝ่ฝันอยากเป็นดาราเสียแล้วสิ

(http://image.ohozaa.com/i/033/VE8n9I.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEui7tZweY91gLT)

แม้ครอบครัวจะยากจน แต่ลูกสาวทั้งห้าของพีบี้ก็มีเสื้อผ้าสะอาดได้ใส่กันไปโบสถ์ทุกๆ วันอาทิตย์ อลิซเบสนั้นเธอเป็นผู้หญิงสวย ใครเห็นก็ชม
หนุ่มน่ะติดพันเป็นเกรียวอย่างกับแมลงวันตอมอึ แต่เธอมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดทำให้เธอออกจากโรงเรียนก่อนกำหนด และมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเธอโต
เมื่อกลางคืน แทนที่จะหลับสบาย เธอต้องลุกขึ้นมาหอบตัวอย่างเวทนา การหายใจของเธอนั้นลำบากลำบนมากที่สุด
               
ออกจากเมดฟอร์ค

(http://image.ohozaa.com/i/gb6/UmqNul.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEuo97Aljidlg4k)
               
เมื่ออลิซเบธอายุ 16 เธอต้องออกจากบ้านตามลำพังมาอยู่ไมอามี่ รัฐฟลอริดา ตามลำพัง เพราะที่แมสซาซูเซตส์นั้นมันหวานเย็นไม่เหมาะกับเธอ
เธอหางานทำและรับจ๊อบเป็นนางแบบพลางๆขณะที่เธออายุปีที่ 18 จู่ๆ แม่ของเธอได้รับจดหมายจากคลีโอ สามีของพีบี้ พ่ออลิซเบธที่ใครๆ ต่างว่า
ตายแล้วนั้นแหละเขาอ้างว่าพยายามเสาะหาลูเกียให้กลับมาอยู่ด้วย......แล้วที่ทิ้งลูกเมียล่ะ เขาก็อ้างอีกล่ะว่าที่ทิ้งไม่ใช้ไม่รัก เพราะถ้าไม่ใช้เขาตายหรือ
พีบี้กับลูกๆ คงไม่ได้รับเงินสังคมสังเคราะห์ได้สะดวกจำนวนมากหรือ?

พีบี้อ่านแล้วไม่ยักโง่ เธอปฏิเสธคลีโออย่างหมดเยื่อหมดใย เธอถือว่านี้เป็นการทรยศหักหลังกันอย่างรุนแรง เธอกับลูกๆ ไม่ต้องการคลีโอเ
พราะทุกคนมีการงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว แต่อลิซเบธ ชอร์ต ไม่คิดอย่างนั้น เธอตกลงตามคำชวนของพ่อ ให้ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองแวลลีโฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย
สถานที่ไม่ไกลจากฮอลลีวู้ด นครแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกแห่งความฝันของเธอ สถานที่เธออยากไปมากที่สุดในชีวิตนี้

แต่เมื่อเธอไปถึง ไม่นานนักเธอกับพ่อก็มีเรื่องมีราว เข้ากันไม่ได้ พ่อโกรธมากหาว่าเธอเป็นตัวขี้เกียจ ชอบไปมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าทหารเรือจากกองทัพในเมืองนั้น
ชนิดควงกันเที่ยวไม่ซ้ำหน้า สุดท้าย อลิซเบธต้องออกจากบ้านไปทำงานในฐานทัพเรือเสียเลย โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานการเงินของราชนาวีที่แคมป์คุ้ก
สถานที่ฝึกทหาร และที่นี้แหละที่ตำรวจสามารถระบุศพเธอด้วยรอยนิ้วมือ
               
คดีฆาตกรรมจีออเกตเต้

เมื่อออกจากบ้านและครอบครัวมา เธอเปลี่ยนชื่อจากเบ็ตตี้เป็นเบธ ด้วยความงามและเสน่ห์เธอมักชนะการประกวดนางงามที่แคมป์คุกหลายต่อหลายครั้ง
เธอป๊อบปูลาร์มาก มีเพื่อนฝูงแวดล้อมเยอะแยะไปหมด แต่ไม่นานเธอก็ออกจากงานเพราะถูกตำรวจจับข้อหาเมาสุรา จึงถูกส่งตัวกลับไปให้ผู้ปกครอง
ที่เมืองเมดฟอร์ด ตามเดิม ทว่าไม่นานอีก เบธก็เดินทางมาใช้ชีวิตในฮอลลีวู้ด นครหลวงแห่งโลกภาพยนต์ สมดังไฝ่ฝัน เธอเช่าโรงแรมอยู่ โดยแชร์ห้อง
กับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ลูซิลล์แต่ในช่วงเวลาที่เบธกำลังตามล่าหาความฝันของตัวเองอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมขึ้น

จีออเกตเต้ เพื่อนรักคนหนึ่งของเบธผู้ที่พาเธอรู้จักพวกดาราและผู้กำกับฯมากมาย ได้ถูกฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ ศพของเธอเปลือยเปล่าท่านล่าง
ใส่แต่เสื้อนอนตัวเดียว และเธออยู่ในน้ำที่แดงฉาดเต็มไปด้วยเลือดสดๆ จากการชันสูตรพบว่าจีออเกตเต้ถูกฆ่ารัดคอตายด้วยผ้าเช็ดหน้าและชิ้นหนึ่ง
ของผ้าเช็ดหน้านี้ถูกฉีกออกแล้วฆาตกรได้กระทุ้งมันเข้าไปในคอของจีออเกตต้า ทั้งยังพบร่องรอยการขมขื่นมนุษย์ผิดมนุษย์มนา รอยศีรษะและหน้าท้องนี้
ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตก่อนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

จีออเกตเต้ไม่ใช้ผู้หญิงธรรมดาเหมือนเบธ เธอมาจากครอบครัวฐานะดีมาก บิดาของเธออยู่คณะผู้ทำหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพล คนดัง คดีนี้มืดมนแปดด้าน
เพราะไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับกุมเขาได้ อีกทั้งครอบครัวของจีออเกตเต้ใช้อิทธิพลหนังสือพิมพ์ปิดข่าวอีก เพราะไม่อาจให้ข่าวของลูกออกสู่หูชาวบ้าน
เดี๋ยวจะเอาไปประจานคดีนี้ก็ยังเป็นปริศนาคดีหนึ่งแต่ เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมในเวลาต่อมาสำหรับเบธ


โรคประสาท ความฝันสลาย

(http://image.ohozaa.com/i/a02/lMyd6z.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEu6MaarzyWgV9L)
               
เส้นทางสู่ฮอลลีวู้ดของเบธไม่ง่ายเลย เธอเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นไม่ว่าไป ชิคาโก,เมดฟอร์ด จนกระทั้งเธอย้ายกลับมาที่ ไมอามี่ บีช อีกครั้ง
ที่นั้นเธอได้คบนักบินพันตรีนามว่า แมตต์ กอร์แดน ไม่นานหลังจากที่รู้จักกัน ผู้พันแมตต์ขอเบธแต่งงานและเธอตอบตกลง เบธเขียนจดหมาย
ถึงแม่รำพันความดีสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมไปหมดของผู้พันนี้ ผู้ซึ่งเธอถวายมอบกายชั่วชีวิต หวังพึ่งพิงอิงแอบเขาตลอดไป


แต่ต่อมาผู้พันแมตต์ผู้ส่งไปประเทศอินเดีย ทำให้เธอกลับไปรอเมดฟอร์ดด้วยความหวัง แต่ใช่ว่า เบธจะเก็บหัวใจไว้เขาคนเดียวหรอก เพราะทันที
ที่กลับสู่บ้านเกิด เบธก็คั่วแฟนเก่าสมัยถ่านไฟเก่าเต็มไปหมด ขลุกนวดตัวกันทั้งวัน แต่เหลือเชื่อเธอยังรักษาพรหมจารีอย่างมหัศจรรย์
และแล้ววันหนึ่งเดือนพฤษภาคม 1945 เบธได้รับโทรเลขด่วน มันมาจากมารดาของผู้พันแมตต์

"ได้รับจากกระทรวง แมตต์ตายแล้ว เพราะเครื่องบินตกขณะเดินทางออกจากอินเดียเพื่อจะกลับบ้าน ในความทุกข์โศกของครอบครัวเรา
มีเธอรวมอยู่ด้วยเสมอ ช่วยภาวนาขออย่าให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง"


เบธอ่านก็รู้ว่าโลกนี้ถล่มทลาย ชีวิตและความหวังของเธอสูญสลายไปตามเขา

ดังนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืน เบธค้นเอาจดหมายของผู้พันแมตต์มากองไว้ตรงหน้า และเวียนอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหลุดออกจากโรคแห่งความจริง
ลอยสู่โลกจินตนาการ เพราะเธอเที่ยวไปเล่าเป็นตุเป็นตะให้กับคนอื่นฟังว่า เธอแต่งงานกับผู้พันแมตต์เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาไปรับราชการที่อินเดีย
เธอท้องกับเขาด้วยน่ะ แต่แท้งไปเสียก่อนเธอพรรณนาจนตัวเองก็หลงเชื่อว่ามันจริง!
               
ฉายารักเร่สีดำ

(http://image.ohozaa.com/i/678/Yi1tat.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEtlYY919fGh6Xc)

หลังจากที่สูญเสียแมตต์ไปกลางอากาศ เบธก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เธอแต่งหน้าตัวเองให้ดูคล้ายผี ใช้รองพื้นสีขาวโปะจนหน้าซีดเผือก ทาปากทา
ด้วยสีม่วงดำเข้มเหมือนศพตายซาก แล้วสวมชุดดำสนิท เธอเดินทางไปฟลอริดา และขึ้นเหนือสู่ชิคาโก และแคลิฟอร์เนียเพื่อไปอยู่กับแฟนเก่า
อีกคนหนึ่งของเธอ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง


แต่ชีวิตคู่เริ่มระหอกระแหง เพราะกอร์แดนอยากคั่วกับเธอ แต่เธอไม่ยอม อ้างว่าจะรอจนกว่าจะเข้าพิธีถูกต้องตามประเพณีดีงามแล้วเท่านั้น
สถานการณ์ที่เครียดขาดผึ่งตอนที่กอร์แดนอาละวาดบังคับให้เธอเลิกทำตัวเป็นสาวมากรัก ห้ามเที่ยวชายอื่นทั้งหมด!

เบธทนไม่ไหวหรอก นิสัยของเธอขาดผู้ชายได้ที่ไหนล่ะ และในที่สุด เธอก็ได้รับสมญานามว่า "แม่ดอกรักเร่สีดำ" ฉายานี้ได้มาจากหนังฮอลลีวูด
ที่กำลังฉายเรื่องหนึ่งชื่อ บลู ดาห์เลีย รักเร่สีฟ้า หนังดังของ เรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ด้วยเหตุนี้เองที่เบธมีพฤติกรรมแปลกๆ แต่งตัวประหลาดๆ ด้วย ร
องพื้นจนขาวซีด ไว้ผมยาว ใส่ชุดดำเดินไปเดินมา เบธ ชอร์ต ก็เลยถูกเรียกว่า "แบล็ค ดาห์เลีย" ไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

หลังจากตัดสวาทกับ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง เบธก็อาศัยอยู่นครลอสแอนเจลิส อาศัยเช่าห้องกับเพื่อนสาวจากบอสตัน ชื่อ มาร์จอรี่ แกรห์ม ความฝัน
อยากเข้าวงการภาพยนต์ของเบธยังบรรเจิดไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับการบริหารเสน่ห์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทาลงสักนิด มาร์ติน เลวิส เจ้าของ
ร้านขายรองเท้า แสดงเวทนาและปรานีต่อหญิงสาวตกงาน เงินขาดมือ ด้วยการมอบรองเท้าคู่สวยๆให้เธอฟรี และเธอก็ตอบแทนเขาด้วยการบริการพิเศษ
ใช้ปากสวยๆ เป่าปี่ ให้ถึงอกถึงใจ แต่การรุกคืบทางเรือนร่างนอกเหนือจากนั้นไม่สำเร็จ เพราะแม่ดอกรักเร่ดำไม่ยอมเปิดทางไม่ว่าเป็นใครก็ตาม

นอกจากมาร์ตินแล้ว ชายอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเธอมีเป็นร้อย เป้นต้นว่า เรย์ คาซาเรียน เซลสืแมน ฮาล แมกไกวร์ นักขายโฆษณาทางวิทยุ
นายทหารนอกราชการ เอ็ดวิน เบิร์นส์ แต่ละคนไม่มีใครเลยที่ได้แอ้มกินไข่แดงแม่ดอกรักเร่ดำเลย

ทุกคนสัมผัสได้แค่สมรรถภาพของปากและมือของเธอเท่านั้น'

(http://image.ohozaa.com/i/g3a/FadNhX.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEtU0VCeN5AtdG3)

เธออยู่กับมาร์จอรี่ไม่ได้นานนัก เบธก็ย้ายสถานที่เปลี่ยนที่นอนไปเลย ๆ หลาย ๆ ที่ ทุกคนที่เธอไปนอนด้วยบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เบธมักจะตื่นขึ้
นตอนกลางดึก แล้วไอโขลก ๆ ยันรุ่ง แถมเบธชอบยืมเงินไปซื้อเครื่องสำอาง ยืมไปแล้วก็ลืมหน้าตาเฉย ในที่สุดจุดหมายครั้งสุดท้ายของเบธ
คือลอสแอนเจลิส โรเบิร์ต แมนลีย์ แฟนเก่าอีกคนของเธออาสาขับรถไปส่ง โดยไม่บ่นว่ามันไกลแสนไกลที่ไหน(เวลานั้นเบธอยู่ที่ซานดิเอโก)


วันรุ่งขึ้น แมนลี่ย์ขับรถไปส่งเบธถึงลอสแอนเจลิสตามสัญญาณ เขาช่วยเธอแบกกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ในตู้ฝากที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์
จากนั้นก้ส่งเธอเข้าโรงแรมบิสท์มอร์ ซึ่งทราบกันในที่หลังว่า เธอไม่ได้จองห้องพักแม้แต่ห้องเดียว แต่มีพยานหลายคนเห็นเธอใช้โทรศัพท์
ของโรงแรมหลายครั้งหลายหน โดยโทรจากบูธในล็อบบี้โรงแรมนี้แหละ แมนลี่ย์ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาส่งเธอเสร็จแล้ว ก็กลับ

พยานเล่าว่าหลังจากที่เธอโทรศัพท์จนหูไหม้แล้ว เบธก็เตร่ไปเตร่มาแถว ล็อบบี้นานเป็นชั่วโมงๆ หลายคนจำเธอได้ ก็เธอแต่งชุดไม่เหมือนใครด้วยสิ
พยานคนสุดท้ายที่เห็นเธอมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือ พนักงานเฝ้าประตู เขาบอกว่าเห็นเธอออกไปตอนสี่ทุ่ม เดินหายไปในความมืดรัตติกาล
แห่งนครลอสแอนเจลิส....ไปสู่การมรณกรรมอันแสนสยดสยองสุดขีด! ที่กล่าวไว้ตอนต้น
               
ความหลงไหล

(http://image.ohozaa.com/i/a3b/cpNuxK.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEu1stWc7tBkKof)
               
คดีนี้เป็นคดีในอดีตที่ดังมากในอเมริกาเทียบเท่าคดีซีอุยในประเทศไทย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ของอังกฤษ  มีหนังสือที่เกี่ยวกับคดีนี้ที่พิมพ์ออกมาถึง 3 เล่ม
และเป็นชื่อของวงดนตรีแนวร็อกสยองวงหนึ่งชื่อ เดอะ แบล็ก ดาเนีย  ส่วนเขาร้องอย่างไรอันนั้นผู้เขียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกัน ทันทีที่สำนักข่าวหนังสือพิมพ์
รู้ข่าวว่าคนตายชื่อ อลิซเบธหรือเบธ ทั้งๆ ที่ข่าวนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ไปสู่สาธารณชน น่ะหนังสือพิมพ์ทุกสำนักเร่งขุดคุยประวัติเธอเลยล่ะ ทั้งปลอมตัว
เป็นตำรวจไปสืบเบาะแสในบาร์ ไปหาแม่เธอในขณะที่แม่เธอยังไม่รู้ว่าลูกสาวเธอตายเลยล่ะ และมีข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ของเบธก็มาเป็นระลอกคลื่น
และสมญานาม แบล็ค ดาห์เลียก็กลายเป็นเสน่ห์เย้ายวนในการพาดหัวข่าวให้กับคดีนี้อย่างมีสีสันอย่างเหลือเชื่อ!
               

ห่อของสยองขวัญ

26 มกราคม จู่ๆ สำนักพิมพ์ ลอสแอนเจลีสเอ็กซ์แซมิเมอร์ที่ลงข่าวคดีนี้อย่างเจาะลึกและต่อเนื่อง ได้รับห่อพัสดุปริศนาห่อหนึ่ส่งมาที่นั้น
มันเป็นกล่องสีน้ำตาล เหม็นกลิ่นน้ำมันหึ่ง และมีนีตสั้นๆ ที่ไม่ได้เขียนด้วยลายมือและพิมพ์ดีด แต่ใช้ตัดคำมาจากหนังสือพิมพ์แล้วมาแปะใจความว่า

"นี้คือสมบัติส่วนตัวของ ดาห์เลีย และเอกสารที่เป็นเบาะแส"

ทางโรงพิมพ์ต้องรอให้ตำรวจไปเปิดห่อปริศนานี้เองเพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญของคดีนี้ ขืนไปยุ่งกลับมันจะเสียหาย และทำลายหลักฐานเปล่า ๆ
แน่ล่ะ! ทุกคนชะเง้อชะแง้ด้วยความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น และแล้วตำรวจตำรวจก็เปิดห่อเหม็นน้ำมันนั้น หยิบสิ่งของออกมาที่ละอย่าง ๆ
ภายในกล่องมีหลักฐานส่วนตัวของเบธจริง ๆ รวมทั้งบัตรประกันสังคม สูติบัตร และตั๋วที่เธอไปแสดงเพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์
ในลอสแอนเจลีสนั้นด้วย

(http://image.ohozaa.com/i/f12/zLsQt1.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEvTJvDcxEOdPzM)

นอกจากนี้ ตำรวจได้หยิบเอาไดอารี่เล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นไดอารี่ของปี ค.ศ. 1937 และเขียนชื่อไว้ว่า มาร์ค เอ็น เฮนเซ่น บนหน้าปก แต่ปรากฏว่า
เบธ เอามาใช้เป็นสมุดจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของเหล่าผู้ชายหนุ่มที่เคยออกเดตด้วยล้วนๆ ยาวเป็นหางว่าวเชียวล่ะ รายชื่อพวกนี้
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทุกอย่างที่อยู่ในห่อนี้ ส่วนใหญ่ถูกเช็ดด้วยน้ำมันเบนซิน เพื่อให้ลบรอยนิ้วมือของตัวเองออกไม่ให้อยู่เป็นหลักฐานให้ตำรวจ
ตามเจอตัวเขาได้ภายหลัง

เชื่อเลย ชายที่ส่งสมบัติที่เบธนำติดตัวไปขณะเดินออกจากโรงแรมบิลท์มอร์ ในค่ำคืนแห่งซะตากรรมของเธอไปที่สำนักพิมพ์ ไม่ใช้ใครอื่นไปได้เลย
นอกจากคนที่ทำทารุณกรรม ทรมาน และสังหารเธออย่างโหดเกรียม!

อย่างไรก็ตาม  แม้ผู้ส่งจะพยายามเอาเบนซิลล้างเช็ดลายนื้วมือออกไม่เหลือเหรอ แต่เมื่อข่าวนี้ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ ดันบอกว่า มีรอยนิ้วมือ
ที่เห็นอย่างชัดเจนสมบูรณ์แบบ อย่างน้อย 12 แห่ง อย่างน้อยถึง 12 รอย อยู่บนห่อพัสดุนั้น...เอาล่ะสิ! แต่ที่จริงแล้ว หนังสือพิมพ์เขียนเวอร์เกินไป
รอยนิ้วมือที่ไหนล่ะ มันเป็นแค่รอยเลอะๆ ที่มองไม่ออก เอฟบีไอหรือเอฟบีเอ็ม โอ อา ที่ไหนก็ตรวจไม่ได้หรอกจะบอกให้ จึงเป็นว่าห่อของนี้
เหลวไม่ได้เรื่องได้ราวคืบหน้าเยิบใกล้ตัวฆาตกรเลยสักนิด

               
ความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้
               
กรมตำรวจแห่งนครลอสแอนเจลีส ออกมาแถลงข่าวว่าคดีแบล็ค ดาห์เลีย นี้อาจเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้ เมื่อ 2 ปีก่อนก็ได้
เมื่อสำรวจตรวจสอบว่าใครหนอ?ที่เกี่ยวพันสองสาวผู้ตายจนน่าสงสัย ผลจากการสืบก็พบว่า มีดาราหนุ่มคนหนึ่ง อาร์เธอร์ เลค น่าสงสัยมากที่สุด
พยานหลายคนบอกตรงกันว่า ในช่วงปี 1944 ที่เบธและจีออเกตเต้ทำงานอยู่ที่นี้ ทั้งคู่สนิทสนมกับอาร์เธอร์มาก มาทีไรก็คุยกันขลุกกันตลอด
เป็นธรรมดาที่ตำรวจต้องเชิญอาร์เธอร์มาสอบถามตามระเบียบ


พระเอกอาร์เธอร์คนนี้ไม่น่ารักเท่าไรเลย เขาคงกลัวหรือมีนิสัยกร่างหรือกินอะไรมาก็ไม่รู้ พอเขามาถึงเบ่งกับตำรวจเลยว่า รู้ไหมอั๊วลูกใคร รู้จักพวกเฮิร์สต์ไหม
ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการหนังสือพิมพ์อเมริกันน่ะจะบอกให้ อั๊วน่ะเกี่ยวข้องกับมาเรีย เดวี่ส์ เธอเป็นเมียน้อยของ วิลเลี่ยม แรมดอล์ฟ เฮิร์สต์ และมาเรียน
ก็เป็นน้าเมียของอาเธอร์เอง!  งง ไหมล่ะ ไปลำดับญาติเอาเองล่ะกัน

อีกอย่างน่ะจำได้ไหมเอ่ย เจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์คนนี้เคยใช้อิทธิพลหยุดความอื้อฉาวของคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้มาแล้ว เพราะเธอเป็นลูกสาวของลูกน้องเขา
และบิดาของจีออเกตเต้ก็ทุกข์ใจมากในความตายที่น่าอับอายของเธอ นี้ถ้าตำรวจมาฝอยคดีนี้อีก มีหวังคุณเฮิร์ต์ไม่พอใจแน่ๆ

อย่างไรก็ตามต่อคำถามที่ว่า เขาชอบพอกับสองสาวที่กลายเป็นเหยื่อฆาตกรรมต่างวาระมากน้อยขนาดไหน? อาร์เธอร์ เลค ตอบคำถามนี้โดยดีว่า
รู้จักและคุยกันถูกคอ แต่ก็แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรกันในกอไผ่ ตอนนั้นเขาจำพวกเธอแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ขอรับรองว่า เขาไม่ใช่คนฆ่าพวกเธอ
การสอบถามอาร์เธอร์ และพยานบุคคลอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับคดีจีออเกตเต้ มีอันต้องหยุดชะงักลง อาจเป็นเพราะอิทธิพลของเฮิร์สต์จริงๆ ก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ตำรวจไม่อาจเจาะลึกเพราะคดีทั้งสองคดีมีส่วนคล้ายคลึงจนน่าขนลุกมากที่เดียว เช่น

ศพทั้งสองถูกยัดด้วยด้วยวัตถุแปลกปลอม ในคอของจีออเกตเต้มีเศษผ้าเช็ดตัวถูกกระทุ้งเข้าไปลึกจนถึงในหลอมลม หลอดอาหาร ยับเยินหมด 
ส่วนในทวารของเบธ ก็มีแต่เศษหญ้าเศษหนังของเธอเอง

(http://image.ohozaa.com/i/gb5/tycYEn.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEw4IQLZFH1dRY8)

ประการต่อมา มันเป็นการฆ่าที่เกี่ยวกับน้ำทั้งคู่!

จีออเกตเต้ถูกสังหารโหดในอ่างน้ำ ศพจมน้ำผสมเลือดแดงฉาด ส่วนเบธนั้นไม่รู้ว่ามันฆ่าเธอที่ไหนกันแน่ แต่ฆาตกรก็สระผม อาบน้ำเธออย่าสะอาดเอี่ยม
ล้างเลือดออกจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เชื่อกันว่า เป็นไปได้สูงเลยที่สองคดีนี้มีบางสิ่งบางอย่างเชื่อมโยงกัน แต่ตำรวจเจอทางตันเสียก่อน
ชื่อ: Re: เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย ศพสยองข้างทาง
โดย: etatae333 เมื่อ 10 มกราคม 2014, 13:48:10
การสืบคดีของตำรวจ

(http://image.ohozaa.com/i/c6e/T8PZsy.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEvPPK85cRFclJm)
               
อลิซเบธ ชอร์ต ถูกพบเป็นศพสองท่อน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 1947 ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับคดีนี้ 20 คน แต่พอถึงวันที่ 20 มกราคม
กำลังของเจ้าหน้าที่เพิ่มเป็น 50 คน ตั้งหน้าตั้งตาสืบคดีชนิดเต็มอัตราศึกกันเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อได้กล่องพัสดุสมบัติส่วนตัวของสาวผู้เป็นเหยื่อมาแล้วด้วย
พวกเขายิ่งต้องรีบรุดติดตามเบาะแสทุกอย่างเท่าที่จะทำได้


หลักฐานสำคัญสำคัญชิ้นหนึ่งคือ ไดอารี่ที่เขียนชื่อนาย มาร์ค เฮนเซ่น ตำรวจจึงต้องตามเขามาสอบสวน มาร์คการให้ว่า เขาจำ เบธ ชอร์ต ได้
เพราะเธอเคยมาเช่าห้องอยู่ในบ้านของเขา แต่ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเธอเลย ไม่รู้จะช่วยตำรวจอย่างไร ส่วนสมุดไดอารี่เล่มนี้น่ะ
เบธคงเห็นมันสวยดี เลยหยิบเอาไปใช้เฉยๆ ไม่ได้บอกได้กล่าวหรือขอเขาสักคำ ก็ขโมยนั้นแหละ!

มาร์ติน เลวิส คนขายรองเท้าที่เคยให้ของฟรีเพราะสงสารเบธก็ถูกตำรวจเชิญมาสอบสวนด้วย แต่รายนี้นี้เล่นกล่าวหาตำรวจลอสแอนเจลิสหรือแอลเอพีดี
ข่มขู่ให้เขาบอกทุกอย่างกับเบธ และแม้ว่าเขาจะอ้างที่อยู่ได้ว่า ตอนเบธตายเขาอยู่กับครอบครัวในโอเรกอน แต่มาร์ตินก็ไม่วายถูกตำรวจขึ้นบัญชี
เป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งจนได้ ลามไปแม้กระทั้ง ผู้พันแมตต์ กอร์แดน ว่าเขาตายไปจริงหรือเปล่า  แต่ผลก็ปรากฏว่าเขาตายจริงๆ แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ระหว่างเขาคั่วกับเบธนั้นเขามีครอบครัวแล้ว ซึ่งแสดงถึงความตอแหลของเบธที่บอกว่าใครๆ ว่าเธอหมั้นจะแต่งงานกับผู้พัน เมื่อเขากลับจากภารกิจ
สงครามจากอินเดีย

ด้วยการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ แอลเอพีดีพยายามอย่างยิ่งที่จะรวบรวมทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลเพื่อไขปริศนาคดีแบบสุดโหด
คำถามหนึ่งที่พวกตำรวจกระวนกระวายที่ต้องการคำตอบมากที่สุดคือ "สถานที่สังหาร ดาห์เลีย อยู่ที่ไหนกันแน่"

อาจจะเป็นใต้ถุนหรือใต้ดินสักแห่ง ไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นโรงงานร้างหรือห้องปฏิบัติการที่ไกลผู้ไกลคน เพราะสภาพศพของแบล็ค ดาห์เลีย
แสดงออกถึงการถูกทำทารุณ ทรมานแสนสาหัส เธอต้องกรีดร้อง ดิ้นรน ส่งเสียงร้องถึงความช่วยเหลือ จะมีใครได้ยินเสียงไหมหนอ
ตำรวจต้องการตัวคนๆ นั้นอย่างยิ่ง ใครก็ได้ที่รู้ว่า เธอถูกฆ่าที่ไหน?

แอลเอพีดีทำงานแบบเบ่งเวรกันเป็นกลุ่ม คอยรับโทรศัพท์ทุกสถานีที่เข้ามาแจ้งเบาะแสแล้วพยายามรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์
เพื่อให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ฆาตกรอาจจะมีเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ บรรดาตำรวจนักสืบ กอร์เดน ฟิคคลิ่ง และผู้ชายทุกคน
ที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดโทรศัพท์ของเบธ

คราวนี้ก็ถึงตาโรเบิร์ต แมนลี่ย์ชายคนสุดท้ายที่อยู่กับเบธที่ยังมีชีวิตอยู่ (ถ้าไม่นับฆาตกรน่ะ) คนที่ขับรถพาเธอไปส่งลงที่โรงแรมบิลท์มอร์ในลอสแอนเจลิสไง
ชายหนุ่มพาตำรวจไปรับกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่เบธฝากไว้ในสถานีรถเกรย์ฮาวด์ เมื่อตำรวจเปิดมันออกพบว่าในนั้นมีเสื้ผ้า จดหมายและรูปถ่าย
ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเบธ ไม่เพียงเท่านั้น โรเบิร์ต แมนลี่ย์ ยังบอกว่า รองเท้าและกระเป๋าสตางค์ที่ตำรวจพบใกล้ๆ กับศพเบธนั้น เป็นของเธอจริงๆ เ
ขาจำรองเท้าคู่นั้นได้ ส่วนกระเป๋าเขาจำได้เพราะกลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้ประจำน่ะ

น่าเศร้ามากภายหลัง การสืบสวนของตำรวจและนักสืบ ทำให้ โรเบิร์ต แมนลี่ย์ เครียดจัดจนประสาทเสียถึงขั้นวิกลจริตเลย และสุดท้ายเขาต้อง
เข้าบำบัดโดยการซ็อตไฟฟ้าเสียผู้เสียคนไปเลย
               

นักสารภาพ

(http://image.ohozaa.com/i/287/n5qm2M.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEvoxnCfjTAO1WU)

ตำรวจลอสแอนเจลีส รู้สึกเหมือนจมปลักอยู่กับภาพลักษณ์อันแปลกประหลาดของ แบล็ค ดาห์เลีย และข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่มน่าสงสัยไปหมดทุกคน
รวมทั้งโทรศัพท์จากพลเมืองดีที่เชื่อว่า คนนั้นบ้างคนนี้บ้างเป็นฆาตกรตัวจริง ทุกอย่างสับสนปนเป วุ่นวายเกินบรรยาย

แต่ที่น่าปวดเศียรเวียนกล้ามากที่สุดเห็นจะเป็นพวกคนจิตไม่ปกติที่ชอบวิ่งโร่ขึ้นโรงพักแล้วสารภาพว่า.....ฉันนี้แหละฆาตกรชื่อดัง!

คนประเภทนี้ไม่ใช้แค่มีคนเดียว ตำรวจเจอเป็นร้อยๆ แถมมีทุกยุคทุกสมัยถ้าคดีดังๆ เข้าพวกนี้จะแห่มาเหมือนงานวัดเลยล่ะ อย่างกรณี
ของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน หรือคดีสังหารโหดนางงามเด็กก็มีกรณีแบบนี้มาแล้ว คดีแบล็ค ดาห์เลียก็เช่นกัน
คดียิ่งดังก็มีคนอยากดังแบบบ้าๆ บวมๆ มาเสนอหน้าสารภาพเป็นแถวกันขนานใหญ่ นับไปนับมามีกว่า50 คน!

น่าเห็นใจตำรวจต้องสืบสวน 50 คนตามระเบียบ แต่ละคนนั้นช่างสรรหาเรื่องให้ฟังอย่างกับนิทาน การ์ตูน 5 บาท ใส่สีตีไข่ชนิดสุดพิสดาร
แต่ผลสุดท้ายทุกคนก็ตกม้าตายตรงที่เจอคำถามลับสุดยอดของตำรวจว่าเอาอะไรใส่ลงไปในทวารหนักของแบล็ค ดาห์เลีย?
ไม่มีใครตอบถูกสักคนสรุปคือมั่วนิ่ม! เดินคอตกกลับบ้านเป็นแถวด้วยความผิดหวัง อดดังในฐานะฆาตกรในคดีประวัติศาสตร์
แต่ในขณะเดียวกันพวกสารภาพยังดาหน้าเข้ามาไม่รู้จักจบสิ้น.......มีกระทั้งผู้หญิง!

สาวเลสเบี้ยนนางหนึ่งให้การว่า เธอนี้แหละฆ่าแบล็ค ดาห์เลีย เองกับมือ หลังจากทะเลาะกันอย่างรุนแรง พนักงานล้างจานคนหนึ่ง
อุตสาห์ลงทุนบินมาจากนิวยอร์กเพื่อมายอมรับผิดว่า เขาคือผู้ตัดร่างแบล็ค ดาห์เลีย ขาดเป็นสองท่อน แต่เขาไม่ได้ฆ่าเธอน่ะ
ผู้ชายอีกคนหนึ่งต่างหากที่เป็นคนลงมือฆ่า.....ชื่ออะไรเรอะ....? ไม่รู้สิ!  มันไม่ได้บอกชื่อนี้ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็มา
ฆ่าเสร็จก็หายไป ทิ้งศพไว้เป็นภาระเขา

มีชายคนหนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาตำรวจดี ฉายา "ทอม นักสารภาพ" เพราะมันมาสารภาพทุกคดี งานนี้ก็มากับเขาด้วย แต่ก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง
เพราะไม่สามารถตอบคำถามซอตเด็ดได้ อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ตำรวจลอสแอนเจลีสออกจะปลงๆ เรื่องการตามหาฆาตกรตั้งนานแล้วล่ะ...
นานกว่าพวกไม่เต็มเต็งพวกนี้จะเข้ามาแอบอ้างสารภาพอีก

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1947 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับวิจารณ์วิเคราะห์ (ได้อย่างแม่นยำ) ว่าตำรวจนี้ไม่สามารถปิดคดีได้ตลอดกาล
               
วิเคราะห์จิตใจฆาตกร
               
ลองคิดกันเล่นๆ ซิว่าคนประเภทไหนน้อ? ที่สามารถฆ่าคนได้สุดวิตถารขนาดนี้! อะไรเป็นเหตุจูงใจที่มันทำ และฆาตกรน่าจะเป็นคนอย่างไร
เอฟบีไอได้ทำการวิเคราะห์ฆาตกรรายนี้ว่า น่าจะเป็นชายผิวขาว สันโดษ อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว รักความสะอาดแบบผิดมนุษย์ประมาณว่าโรคจิต
เขาอาจมีประวัติอยู่ในแฟ้มคดีตำรวจนี้แล้วก็ได้และคงมีประสบการณ์ในการตัด หั่น และชำแหละสัตว์ขนาดใหญ่ๆ เช่นหมู วัว จึงอาจทำอาชีพ
เป็นคนขายเนื้อ หรือไม่ก็พรานล่าสัตว์


"แบล็ค ดาห์เลีย" ไปเจอะเจอฆาตกรแบนนี้ที่ไหนหรือ?

คงจะเป็นในบาร์ที่ไหนสักแห่งน่ะ เธอคงให้ท่าเขาแล้วก็กลับปฏิเสธ เมื่อเขามีอารมณ์กลัดมันสุดขีด เธอดัดสะดิ้งไม่ยอมให้เขาร่วมเพศด้วย
มันเลยหน้ามืด หมั่นไส้สุดๆ โกรธแค้นจนอยากขยี้ตายคามือ และต้องอย่างทารุณแบบนี้แหละ ดูจากสภาพศพแล้วคิดดูก็แล้วกัน ว่ามันมีนิสัยแบบไหน
หนึ่งคือการทรมานแบบเอาปลายมีดกรีดเนื้อตรงขาอ่อนใกล้กับอวัยวะเพศ แล้วเอาปลายมีดเซาะควักเนื้อแดงๆ ออกมาเป็นก้อนๆ
แล้วยัดเข้าไปในทวาร เป็นใครก็แหกปากร้องสุดชีวิตแน่ๆ นี่ไม่นับการถูกบังคับกินอึก้อนเบ้อเริ่มนะ

การทรมานไม่ให้ชาวบ้านได้ยินเสียงกรีดร้องสยองโหยหวนได้ต้องทำในชั้นใต้ดินหรือไม่ก็กลางทะเลทรายไกลผู้ไกลคนเท่านั้น!

หลังจากฆ่าฆาตกรยังนำศพของเธอไปอาบน้ำสระผม ขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดขึ้นเงา...เลือดในศพไม่มีเหลือสักหยด แล้วยังไม่หนำใจ
ยังตัดกลางลำตัวเธอจนขาดเป็นสองท่อน...เพราะอะไรเหรอ......

(http://image.ohozaa.com/i/02a/Jtttfc.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEvs5ar5g5zfD8Z)

คงเนื่องจากความซาดิสต์ และด้วยความจำเป็นทีต้องยัดในกระเป๋าเดินทางก็ได้ แต่ยากที่สุดในการเดาเหตุผลคือ ทำไมฆาตกร
ถึงเอาศพเธอไปทิ้งในที่เสี่ยงต่อการถูกพบด้วย ในริมถนนนอร์ตันนั้น? บางที่จิตสำนึกบางส่วนของฆาตกรอาจอยากถูกให้ตัวเองถูกจับได้!
ศพถูกวางไว้ที่กลางแจ้ง มองเห็นได้ง่าย และท่าศพก็สยดสยอง เพราะท่อนล่างเปลือยเปล่านั้นนอนถ่างขาอ้าซ่า
ท่อนบนยกแขนขึ้นเหนือหัว ปากถูกฉีกให้มีลักษณะกำลังยิ้มๆ...เป็นศพที่อยู่ในท่าเชิญชวนให้ร่วมเพศ

ส่วนการที่ฆาตกรส่งหลักฐาน ซึ่งเป็นข้าวของผู้ตายของเบธมาให้สื่อมวลชน แสดงว่าตัวเองอยากดัง อยากให้หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว
ที่เป็นผลงานของมันให้รู้กันทั่วโลก แต่การที่มันล้างทุกอย่างด้วยเบนซิน ก็แปลว่าแม้จะหลงใหลใฝ่ฝันว่าเป็นฆาตกรละดับชาติ
อยากมีชื่อในประวัติศาสตร์อาชญากรรมแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากถูกจับเข้าคุกหรือไม่ต้องการให้ตำรวจสืบหาเบาะแสมาถึงตัวมันได้
               
1949 รายงานจากคณะลูกขุน

เมื่อตำรวจคว้าหน้าเหลว ตำรวจก็ต้องถูกสอบสวนเสียเองว่าทำถึงถึงบกพร่องขนาดนี้? คดีดังเสียด้วยสิ เปลืองเงินภาษีคณะลูกขุนเชิญ
ตำรวจมาพบเพื่อสืบสางเรื่องราว และให้ชี้แจ้งระบบการทำงานทั้งหมด จากนั้นก็เขียนเป็นรายงานส่งศาล เกี่ยวกับคดีนี้ทั้งหมด
ในที่สุดลูกขุนก็สรุปว่าตำรวจไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประประสิทธิภาพ เพราะความหวาดหวั้นผู้มีอิทธิพล และนี้คือสาเหตุที่เป็น
อุปสรรคการสืบสวนคดีนี้ และสรุปคือต้องโยกย้ายกันมโหฬารชนิดถอนรากถอนโคน ตำรวจแอลเอพีดีถูกสับแบบไม่ไว้หน้า
บางคนก็หลุดตำแหน่ง บางคนก็เกษียณก่อนอายุราชการเลยก็มี
               
ข่าวลือ

(http://image.ohozaa.com/i/f6c/70x0Yk.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEuRVkSa5X2e8nD)

เขาว่ากันว่าเธอเคยพบและมีสัมพันธ์สวาทกับมาริลิน มอนโร
เขาว่ากันว่าเธอเป็นโสเภณี
น่าเชื่อไหม?


แต่ที่น่ากลัวคือเธอแสดงหนังสแต็ก รู้หรือเปล่าว่าหนังสแต็กแปลว่าอะไร ?

มันคล้ายๆ กับหนังโป๊ที่ขายในบ้านเราแต่มันโหดกว่านั้น เพราะนักแสดงหญิงในเรื่องหนังอุบาทว์ประเภทนี้ จะถูกทารุณกรรมแบบซาดิสต์
สิ่งที่เห็นในหนังแบบนี้เช่น ถูกมีดบาด แทง เข็มจิ้มตามลำตัว ทรมานบางที่ก็ตายคากล้องไปเลยนั้น.....เป็นของจริง!
อย่างไรก็ตามถ้า เบธ ชอร์ต แสดงหนังเรื่องนี้จริง น่าจะมีคนดูจำเธอได้ก็เธอสวยไม่ใช่เล่นนี้ แต่นี้ไม่มีใครมาบอกตำรวจเลย
ไม่มีแม้แต่การทดสอบหน้ากล้อง สรุปว่าเธอไม่เคยปรากฏบนแผ่นฟิล์มใดๆ ทั้งสิ้น แม้เธอจะมีรูปโฉมโนมพรรณที่ปั้นเป็นดาวรุ่งไม่ยากนักก็ตาม



แพะที่ชื่อเลสลี่ย์ ดิลล่อน กับ เจฟฟ์ คอนเนอส์

(http://image.ohozaa.com/i/e79/Gl7lSz.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEuYEVPyayzkRIk)

ในปี 1948 เลศลี่ย์ ดิลล่อน พนักงานไมอามี่โฮเต็ล เขียนจดหมายถึง ดร.พอล เดอ ริเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญคดีความผิดทางเพศ ดอกเตอร์ท่านนี้
ทำงานให้กับกรมตำรวจแห่งนครลอสแอนเจลีสหรือแอลเอพีดี ทั้งๆ มีผู้สงสัยว่าใบประกอบโรคศิลป์ของท่านนั้นเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?


จดหมายของ เลสลี่ย์ ดิลล่อน เขียนเล่าว่าเพื่อนของเขาเคยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก เคยได้พบกับ เบธ ชอร์ต เมื่อ ค.ศ. 1947
เมื่ออ่านจดหมาย ดร.พอล ก็เตรียมการนัดพบดิลล่อนที่ลาสเวกัส ราวเดือนมกราคม 1449 แสเงเจตนารมณ์ให้เห็นชัดๆ ว่า เขาอยากให้
ดิลล่อนร่วมมือกับเขา เขียนหนังสือคดี แบล็ค ดาห์เลียขายเพราะเล็งเห็นกำไร

แต่เอาเข้าจริง การนัดพบครั้งนี้ดอกเตอร์วางแผนจร่วมมือกับแอลเอพีดีติดเครื่องดักฟังตลอด เพราะดร.สงสัยว่าดิลล่อนนี้แหละที่น่าสงสัย
มากที่สุดและอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง ดร.พอลและตำรวจ 4 นาย กักตัวดิลล่อนในห้องหนึ่งของโรงแรม และสอบสวมเขาอย่างก้าวร้าวรุนแรง
การเริ่มไต่สวนโหดขึ้นๆ จนกระทั้งต้องย้ายดิลล่อนไปสอบอีกโรงแรมหนึ่งที่มีผู้คนพักน้อยกว่า และห้องหับเก็บเสียงที่มิดชิดกว่า

โหดหรือไม่ คิดดูล่ะกันดิลล่อนถูกจับแก้ผ้าแล้วล่ามติด กับเครื่องทำความร้อน โดนแม้กระทั้งแจ้งข้อหาว่ากระทำความผิดข้อหา
ว่าฆ่า เบธ ชอร์ต แต่แล้วก็ถูกปล่อยตัวเจฟฟ์ คอนเนอส์ เพื่อนในซานฟรานซิสโกของดัลล่อนก็พลอยติดร่างแหไปด้วย ถูกจับ
และแจ้งข้อหาลักษณะเดียวกัน แต่ในที่สุดก็ไม่มีหลักฐานไม่นานนักได้รับอิสรภาพพร้อมกับดิลล่อน

ออ ดีไม่ว่าดีมาแส่เรื่องใส่ตัวและลากเพื่อนไปอีก............ออ

สรุปว่าเลสลี่ย์กับเจฟฟ์เป็นเหยื่อของความคลั่งเกินเหตุของตำรวจแอลเอพีดี ที่เครียดและถูกกดดันจากขณะลูกขุน สาธารชน และสื่อมวลชน
อย่างสุดแสนสาหัสถูกก่นด่าแทบจะบ้าตายกันไปทั้งกรม
               
ผู้ต้องสงสัย

ตั้งแต่วันที่เบธถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม และมีผู้พบศพสยองทว่าจนแล้วจนรอด ก็มีเพะมากมายเรียงหน้ากันเป็นผู้ต้องสงสัย หรือไม่ก็มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรรม แต่ก็มีเด่นๆ มีไม่กี่คนครับ บางรายก็ไม่รู้ว่าร้องไห้สงสารเขาหรือว่าหัวเราะดี? โดยจากแฟ้มที่เด่นๆ เจ๋งๆ มีดังต่อไปนี้
               
จอร์ช โนวล์ตัน

รายนี้ตายนานแล้วล่ะ ตั้งแต่ปี 1962 โน่น แต่ในปี 1986 เจนิซลูกสาวเขาก็มาป่วนประกาศให้โลกรู้ว่าพ่อเธอเป็นฆาตกรในคดีแบล็ค ดาห์เลีย!

เจนิซ โนวล์ตัน เกิดที่แมนซาซูเซตส์ เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1937 เธอทำงานเป็นนักร้อง และต่อมาบริษัท วอลท์ดิสนีย์ก็จ้างเธอเป็นเลขานุการิณี
และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงราวกลางทศวรรษที่ 80 พื้นฐานจากหน้าที่การงานในบริษัท วอลท์ดิสนีย์ก็เป็นบันไดทองให้เธอก้าวสู่ความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัว
โดยเธอออกมาทำบริษัทประชาสัมพันธ์รับงานโฆษณาเพื่อสร้างภาพพจน์ให้เป็นที่ชื่นชมต่อสาธารณชน ราวกับเวรกรรมจากชาติปานก่อนมาดับความรุ่งโรจน์ของเธอ
เจนิซต้องเคราะห์ร้ายทรมาทรกรรมจากโรคซึมเศร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ พอถึงปี 1985 มดลูกและรังไข่ของเจนิซถูกตัดออก เพราะผู้ตรวจรักษาบอกว่า
เธอไม่จำเป็นต้องมีมันให้ยุ่งยากกับชีวิตและร่างกายเธออีกต่อไป เธอเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิตปลายปี ค.ศ. 1986 ในแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างที่บำบัด เธอดันนึกได้ว่าเธอถูกบิดาเธอล่วงละเมิดทางเพศสมัยเป็นทารกโน่น(จำแม่นจริงๆ) เธออ้างอีกว่าจอร์ช โนวล์ตัน พ่อเธอน่ะเป็นสมุนตัวเอ้
ในลัทธิบูชาซาตานในลอสแอนเจลิส ว่าแล้วเธอก็เขียนหนังสือเรื่อง "แดดดี้ วอส เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย คิลเลอร์" แปลเป็นภาษาไทยบ้านเราว่า
"คุณพ่อเป็นฆาตกรฆ่า แบล็ค ดาห์เลีย"

เจนิซฟื้นความจำเก่าว่า สมัยเธอยังเป็นทารก บิดาได้ทิ่มอวัยวะที่ชูชันใส่หน้าเธอ และตอนเธออายุได้ 18 เดือน เขาก็พยายามสอดใส่มัน
เข้าไปในร่างน้อยๆ ของเธอด้วย! แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะมารดามาขวางก่อน ในความจำรำลึกนั้นเจนิซเห็นภาพจอร์ซบิดาเธอกำลังลงมือสังหาร
แบล็ค ดาห์เลีย อย่างทารุณในโรงรถติดกับบ้าน ภาพที่เธอเห็นมันโหดร้ายสิ้นดี พ่อเป็นฆาตกรซาดิสต์ที่ฆ่ามาเจ็ดศพ และแบล็ค ดาห์เลีย
เป็นศพที่แปด เพราะพ่อเธอเป็นคนสมองวิปริตจิตพิการมาตลอดชีวิตที่เดียว

เธอจำได้ว่าพอพ่อฆ่า เบธ ชอร์ต  ตายแล้ว ก็ตัดศพของเธอเป็นสองท่อนด้วยเลื่อย เพราะพ่อมีความสัมพันธ์สวาทกับชอร์ต จากนั้นเจนิซ
ก็บรรยายอย่างละเอียดละออถึงขั้นตอนการที่พ่อใช้เลื่อยตัดศพเบธแยกขาดเป็นสองท่อน ตำรวจแอลเอพี บวกลบคูณหารเรื่องที่เจนิซเล่าแล้ว
ก็ลงความเห็นว่า จอร์ซ โนวล์ตัน หาใช่ฆาตกรผู้ฆ่าแบล็ค ดาห์เลียไม่ ไม่....มีทางเป็นไปได้เลย ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม จอร์ซเป็นผู้บริสุทธิ์
ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยลูกที่เป็นผู้ป่วยด้วยอาการผิดปกติของสมองที่สร้างความทรงจำหลอกๆ ขึ้นมาเอง ดังนั้นความน่ากลัวและรายละเอียด
ที่ฟังดูสมจริงนั้น เชื่อไม่ได้แม้แต่คำเดียว

จอร์ซไม่เคยทำทารุณกรรมทางเพศต่อลูกสาวที่เป็นที่รัก และไม่เคยฆ่าผู้หญิงแม้แต่คนเดียว!
           
อาร์โนลด์ สมิธ เอ.เค.เอ.แจ๊ค แอนเดอร์สัน วิลสัน

         
นี้ก็อีกราย ".......ผมกำลังจะตอกประตูปิดฝาโลงผู้หญิงสำส่อนสุดจะเปรียบจะปานคนนี้ แล้วปิดคดีระยำนี่ซะที โปรดช่วยลูกด้วยเถิดพระผู้เป็นเจ้า"
ความตอนหนึ่งที่นักสืบ จอห์น เซนต์จอห์น แห่งแอลเอพีดี ส่งถึง จอห์น กิลเมอร์ ผู้เขียนเรื่อง

เซเวอเรด :  เดอะทรูสตอรี่ ออฟ เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย เมอร์เดอร์" (1998)

ในหนังสือเล่มนี้ จอห์น กิลเมอร์ ได้บรรยายถึงรายละเอียดคำบอกเล่าที่ผู้แจ้งข่าวไปบอกตำรวจ คำบอกเล่าจากชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าอาร์โนลด์ สมิธ
ที่ไม่อยากไปเจอหน้าตำรวจโดยตรง เลยวานผู้แจ้งข่าวเอาเรื่องเล่าของตนไปเล่าต่อให้ตำรวจฟังอีกที สมิธอ้างว่าเขารู้จัก เบธ ชอร์ต และเอารูป
ให้ผู้แจ้งข่าวดู ในรูปถ่ายนั้นมีลูกของเขาและแบล็ค ดาห์เลีย และชายอีกคนชื่อ อัล มอร์ริสัน มอร์ริสันกับสมิธเช่าห้องหนึ่งในโรงแรมอยู่ด้วยกัน
และเขาพาแบล็ค ดาห์เลีย หรือเบธ ชอร์ต ไปเล่นเซ็กซ์หมู่กันในห้องนั้น แต่เธอไม่ยอมเอาแต่ผนักไสจนเขาสองคนเกิดความโมโหและหมั่นไส้เต็มแก่
สมิธอ้างว่า มอร์ริสันลวงเบธไปสังหารที่บ้านบนถนน อิสต์ 31 ในลอสแอนเจลีส

อัล มอร์ริสัน ทรมานเธอด้วยวิธีต่างๆ นานา ด้วยการใช้มีดเชือดเฉือนและตัดเนื้อเธอออกสดๆ จนแบล็ค ดาห์เลีย ทนความเจ็บปวดไม่ไหว
ขาดใจตายคามีด มอร์ริสันโกรธมากที่เธอตาย เขาจึงแทงเธอที่ศีรษะอย่างแรง จากนั้นศพถูกนำมาชำระล้างสะอาดจนหมดจด แล้วใช้มีด
ชำแหละเนื้อตัดร่างเธอให้ขาดจากกัน ก่อนเอาศพไปทิ้ง

สมิธ นั้นตำรวจรู้จักกันดีเขามีนามหนึ่งว่า แจ๊ค แอนเดอร์สัน วิลสัน มีประวัติเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมทางเพศ.....แบบรักร่วมเพศ
และทำร้ายคู่ขาที่เป็นผู้ชายด้วยกัน เขามีชื่อติดบัญชีผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม จีออเก็ตเต้ บาวเออดอร์ ที่น่าขนลุกคือ เขารู้รายละเอียดที่มี
แต่ฆาตกรตัวจริงรู้เท่านั้น

เรื่องที่จอห์น กิลเมอร์เล่านี้น่าเชื่อถือมากทีเดียว ทำให้ชื่อของวิสสันหรือสมิธขึ้นอันดับหนึ่งผู้ต้องสงสัยที่เดียว นักสืบขอให้กิลเมอร์ล่อวิลสัน
ให้พูดมากกว่านั้น ให้เขาติดกับเพื่อตำรวจจะได้ยื่นมือเข้าไปจับกุมเขาได้แต่............ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างตำรวจมากนัก

วันที่ 4 กุมภาพันธุ์ 1982 เพียงไม่กี่วันที่ ตำรวจกำหนดจะจับตัวเขา จู่ๆสมิธหรือวิลสันก็ตายในกองเพลิงที่ไหม้ห้อง 202 ของโรงแรมฮอลแลนด์
ในลอสแอนเจลีส เขาอาศัยอยู่ทีที่นี้นาน 4 ปีแล้ว ไม่ทำอะไรนอกจากดื่มเหล่าขนาดหนัก และดำรงชีวิตได้จากเงินสวัสดิการ
เรื่องที่จอห์น กิลเมอร์เล่านี้น่าเชื่อถือมากที่เดียว แถมตำรวจแอลเอพีดียังสนใจและขนาดใกล้ขั้นจับกุมตัวอยู่รอมร่อ ทำให้วิลสันขึ้นอันดับหนึ่ง
ในการเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งมากกว่าใครๆ ทั้งหมด
               
วอลเทอร์ เบย์ลี่ย์

ชื่อผู้ต้องสงสัยนี้มาจากการสังเกตคนหนึ่งของนักข่าวว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงระหว่างสถานที่พบศพกับแขกผู้มีเกียรติที่เป็นสักขีพยาน
ในงานสมรสของเวอร์จิเนีย ชอร์ต พี่สาวคนโตของเบธ สักขีพยานคนนั้นลงชื่อในทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1945 ว่า
บาร์บารา ลินด์แมน ลูกสาวของดร. วอลเทอร์ อลองโซ เบย์ลี่ย์ ศักย์แพทย์หรือหมอผ่าตัดผู้มีคลินิกและบ้านอยู่ในย่านที่เกี่ยวกับ
ความตายของเบธ ชอร์ต ดังนี้

สถานที่แรกคือ บ้านที่คุณหมออยู่กับภรรยา เป็นบ้านเลขที่ 3959 เซาธ์ นอร์ตัน เอเวนิว ซึ่งใกล้มากกับจุดพบศพ
แห่งที่สองคือ ที่ทำงานหรือคลินิกของคุณหมอ 1052 ถนนเวสต์ที่ 6 ห่างเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรมบิลท์เมอร์
ที่ซึ่งมีคนเห็น เบธ ชอร์ต หรือแบล็ค ดาห์เลีย เป็นครั้งสุดท้ายในขณะมีชีวิตอยู่

ข้อมูลนี้ ถูกนำมาผนวกกับการที่คุณหมอรู้จักครอบครัวชอร์ตเป็นอย่างดี และหลังจากเบธถูกสังหาร ชีวิตของคุณหมอก็ถึงจุดตกต่ำ ป้ำๆ เป๋อๆ
กลายเป็นอัลไซเมอร์ และชีวิตของคุณหมอก็ตึงเครียดอย่างมากจนถึงค.ศ. 1948 คุณหมอเบย์ลีย์ก็เสียชีวิต

น่าเชื่อว่า หมอเบย์ลี่ย์อาจมีแรงจูงใจและส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเบธแต่มันไม่มีหลักฐานนี้สิ........!?

(http://image.ohozaa.com/i/ffa/06MALt.jpeg) (http://image.ohozaa.com/view2/xkEwcap5WLyVuJPV)
               
คดีปิดไม่ลง

จนกระทั้งทุกวันนี้ คดี แบล็ค ดาห์เลีย ยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น เอกสารทั้งหมดถูกเก็บไว้ในแผนกอาชญากรรมประเภท ปล้นฆาตกรรม
ของตำรวจนครลอสแอนเจลิส หรือแอลเอพีดี ที่ปาร์คเกอร์ เซ็นเตอร์ 150 ถนน นอร์ธ แอนเจลีส ใครสนใจขอไปอ่านดูได้ (ถ้าเขาอนุญาตน่ะ)

                                                                               
เนื้อหาข้อมูลจาก หนังสือใครฆ่าของรัสเซลล์ กูลด์