เบนนิโต มุสโสลินี ผู้สถาปนาลัทธิ ฟาสซิสม์
(http://image.ohozaa.com/i/f68/XAHSmc.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmA9hgz1azm1ySN)
เบนนิโต มุสโสลินี ( Benito Mussolini ) เกิดเมื่อ ค.ศ. 1833 ณ ตำบลโรมาญญา ( Romagna ) ในอิตาลีตอนกลาง
บิดาของเขาเป็นนักสังคมนิยมหัวรุนแรงมีอาชีพเป็นช่างถลุงเหล็ก มาดาเป็นครูใหญ่ ตัวมุสโสลินีหัวสังคมนิยมมาตั้งแต่เด็ก ๆ
เมื่ออายุได้ 18 ปี มุสโสลินีเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อหนีการถูกเกณฑ์ทหาร ได้เข้ายุยงกรรมกรอิตาเลียนที่อาศัย
ในสวิตเซอร์แลนด์ก่อความวุ่นวายในช่วง ค.ศ. 1902 – 1904 และในออสเตรีย ค.ศ. 1909 ทำให้ถูกตำรวจขับไล่ออกนอกประเทศ
หลังจากนั้นมุสโสลินีจึงกลับอิตาลีถูกขังคุก เนื่องจากคัดค้านสงครามระหว่างอิตาลีกับตุรกี เรื่องดินแดนทริโปลีใน ค.ศ. 1911 ค.ศ. 1912
มุสโสลินีเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แนวสังคมนิยมที่มีชื่อเสียงของอิตาลี ชื่ออวันตี ( The Aventi )
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ มุสโสลีนีคัดค้านการที่อิตาลีจะเข้าร่วมสงคราม เพราะเขาต้องการให้อิตาลีวางตัวเป็นกลาง
เมื่อพรรคสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับเขา เขาจึงลาออกจากการเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อวันตี หลังจากนี้เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1914
เขาตั้งหนังสือพิมพ์เอง ชื่อ The People of Milan ( ll Popolo d' Italia ) ในมิลาน ตอนนี้เองที่ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนจาก
นโยบายยึดความเป็นกลาง เป็นการสนับสนุนให้อิตลีเข้าร่วมสงครามเข้าข้างฝ่านสัมพันธมิตร เพราะเข้าเห็นว่าเป็นทางเดียวที่อิตาลี
จะได้ดินแดนต่าง ๆ ตามที่ต้องการ ทำให้เขาถูกพรรคสังคมนิยมขับไล่ออกจากพรรค
ค.ศ. 1915 เมื่ออิตาลีเข้าร่วมสงครามโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตรมุสโสลินีอาสาสมัครไปรบจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนักใน ค.ศ. 1917
ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาก็เข้าเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อีก เริ่มเผยแพร่แนวความคิด
แบบปฏิวัติและชาตินิยมอย่างแรงกล้า
(http://image.ohozaa.com/i/a87/QiQEOX.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAhqMfxwFTb5OB)
เมื่อสงครามสงบท่ามกลางภาวะบ้านเมืองที่ประสบปัญหาหลายด้าน ค.ศ. 1919 มุสโสลินีได้ก่อตั้งพรรค Fasci di combattimento
ต่อมาชื่อว่าพรรคฟาสซิสต์ ( Fascism ) เป็นคณะเชิ้ตดำมีรูปมัดหวายกับขวานเป็นเครื่องหมายประจำคณะ แสดงถึงความสามัคคีและความเข็มแข็ง
ดังนั้นความหมายของฟาสซิสต์ คือ สามัคคีคือพลัง ตัวมุสโสลินีเป็นหัวหน้ามีวัตถุประสงค์ต้องการสถาปนาความรุ่งเรืองของประเทศ
และช่วยประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยของลัทธิคอมมิวนิสต์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง การเมืองแตกแยกทางด้านเศรษฐกิจ
ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ คนว่างงานสูงเนื่องจากเจ้าของกิจการไม่มีเงินทุนหมุนเวียน การเกษตรกรรมไม่ได้ผล เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม
ชีวิตของประชาชนขาดความมั่งคง ระยะเวลาระหว่าง ค.ศ. 1919 – 1922 ต้องเปลี่ยนรัฐบาลถึง 5 ชุด ก่อนที่มุสโสลินีจะเข้ามาบริหาร
รัฐบาลซึ่งมีนายลุยจิ แฟกตา ( Luigi Facta ) เป็นนายกรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ได้ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นพวกสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ ต่อต้านรัฐบาลก่อความไม่สงบขึ้นโดยใช้วิธีการที่รุนแรง สภาวะเช่นนี้ทำให้ประชาชนรู้สึก
เบื่อหน่ายต่อสภาพวุ่นวายของบ้านเมือง ประชาชนเห็นความจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็งมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และพร้อมจะให้ความ
สนับสนุนพรรคการเมืองที่สามารถมาบริหารประเทศ
ในช่วงจังหวะนี้เองที่พรรคฟาสซิสต์มีนโยบายต่อต้านสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์รวมไปถึงขบวนการฝ่ายซ้ายทั้งหมด แต่พยายามเป็นไมตรี
กับกษัตริย์และสถาบันศาสนา พรรคใหม่นี้จึงเป็นทางเลือกที่เป็นความหวังให้กับประชาชนเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคฟาสซิสต์
ของมุสโสลินีได้รับความนิยมจากประชาชน ทำให้มุสโสลินีเตรียมนำทัพเข้ากรุงโรม เพื่อยึดอำนาจการปกครอง นายกรัฐมนตรีลุยจิแฟคตา
ได้เสนอให้พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3 ประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่พระองค์ปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธย วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1922
พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3 ได้ทรงโทรเลขเรียกมุสโสลินีจากมิลานให้เดินทางสู่กรุงโรมเพื่อจัดตั้งรัฐบาล มุสโสลินีเดินทางมาถึง
ในวันรุ่งขั้นคือวันที่ 30 ตุลาคม จัดตั้งรัฐบาลผสม คณะรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีทั้งหมด 14 คน เป็นรัฐมนตรีสังกัดพรรคฟาสซิสต์เพียง 4 คน
มุสโสลินีได้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐสภาออกเสียงให้รัฐบาลใหม่มีอำนาจเต็ม 1 ปี เพื่อรักษาความสงบ
เผด็จการฟาสซิสต์ ( The Fascist Dictatorship )
(http://image.ohozaa.com/i/f1e/n7bFEl.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAlGwqWCdPHgk0)
เนื่องจากมุสโสลินีไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เขาเห็นว่าระบบนี้มีแต่การโต้เถียง
ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยก เป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพย์สินผลสุดท้ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ เมื่อได้อำนาจมุสโสลินี
ได้นำความคิดแบบเผด็จการมาใช้เริ่มจากการใช้โอกาสที่ได้อำนาจเต็ม 1 ปี เพื่อจัดการบ้านเมืองให้กลับสู่ความเรียบร้อยนี้
ค่อย ๆ สถาปนาอำนาจการปกครองในรูปแบบเผด็จการ โดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้อำนาจแต่งตั้งคนของตนเข้าไปนั่งในสภา
เพื่อเป็นเสียงสนับสนุนกับมุสโสลินีซึ่งเป็นวิธีการที่มุสโสลินีจะควบคุมสภาได้ มุสโสลินีจะเป็นผู้เรียกประชุมเอง กำหนดระเบียนวาระการประชุม
ยิ่งกว่านั้นมุสโสลินีเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาสูงมีผลให้รัฐสภาให้อำนาจแก่มุสโสลินีในการออกกฎหมาย แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและปลดออก
มุสโสลินียังรับผิดชอบต่อกษัตริย์พระองค์เดียว ยังคุมอำนาจทางศาลด้วย ทำให้เขาสามารถเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งใหม่
เพื่อปูทางให้พรรคฟาสซิตส์ได้เสียงส่วนมากในสภาผู้แทน ขั้นต่อมาคือทำลายพรรคการเมืองอื่น ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ
การลักพาตัวหรือฆาตกรรม เช่น ( Giacomo Matteotti ) ออกหนังสือชื่อ The Fascist Expored โจมตีรัฐบาล
การคอร์ปชั่นของคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1942 นายมัตเตโอติ ถูกลักตัวไปฆ่าและมีผู้พบศพของเขาในเวลาต่อมา ในป่าแห่งหนึ่ง หลังจากนั้น
มุสโสลินีถือโอกาสเข้ามาเป็นผู้รักษากฎหมาย และความสงบเรียนร้อยของประเทศด้วยตนเอง ปรากฏว่าการหาตัวคนร้ายล้าช้ามาก
จนกระทั่งเดือน มีนาคม ค.ศ. 1926 ไม่อาจจับตัวคนร้ายได้
พวกตัวแทนฝ่ายค้านไม่พอใจ ถอนตัวออกจากสภาและประกาศว่าจะไม่กลับมาจนกว่ารัฐบาลจะหาตัวฆาตกรนายมัตเตโอดิได้ และรัฐสภาต้องแสดง
ให้ประชาชนเห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มุสโสลินีกลับดำเนินนโยบายเข้าควบคุมหนังสือพิมพ์อย่างเข้มงวด ห้ามการชุมชุม และใน ค.ศ. 1926
เขาประกาศให้ที่นั่งของตัวแทนฝ่ายค้านที่ไม่กลับมาเป็นโมฆะ มุสโสลินีดำเนินการแข็งกร้าว รัฐบาลตั้งกองตำรวจลับ OVRA ทั้งในและนอกเครื่องแบบ
คอยจับกุมผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับอุดมการณ์ของผู้นำปราบปรามผู้ที่คัดค้านรัฐบาล ผู้ที่ต่อต้านหรือคัดค้านรัฐบาลจะถูกจับและเนรเทศ
ในปีเดียวกันออกกฎหมายยกเลิกพรรคการเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดรวมไปถึงสมาคมลับต่าง ๆ ถูกยกเลิกหมด มีการตั้งศาลพิเศษขั้นพิจารณา
ลงโทษทางการเมือง ทำให้เหลือพรรคฟาสซิสต์เพียงพรรคเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้นระบบการเลือกตั้งของอิตาลีจึงเปลี่ยนไปเนื่องจากมีเพียงพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ผู้ออกเสียงจึงลงคะแนนเพียง รับ หรือ ไม่รับ เท่านั้น
รัฐบาลมุสโสลินีนั้น คณะทหารมีอำนาจสูงสุด ตัวมุสโสลินีจะดำรงตำแหน่งผู้นำของพรรค ( Duce ) และตำแหน่งผู้นำของรัฐ (Chief Of state)
มีการจัดตั้งกองทัพ ( Militia ) ประกอบด้วยทหาร 200,000 คน ที่จงรักภัคดีต่อมุสโสลินีโดยตรง
ลักษณะของลัทธิฟาสซิสต์
(http://image.ohozaa.com/i/00f/EDjb8m.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmApWgClszsvaI6)
1. เป็นการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ( Totalitarianism ) รัฐมีอำนาจสูงสุดรัฐเท่านั้นที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ควบคุมทุกชีวิตเพื่อก่อตั้งรัฐเบ็ดเสร็จ
รัฐมีหน้าที่วินิจฉัยว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก คำว่า "ถูก" ดูที่ผลประโยชน์ต่อรัฐเป็นสิ่งสำคัญ การจะเป็นรัฐเบ็ดเสร็จได้ต้องให้อำนาจอย่างสูงสุดกับผู้นำ
ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังผู้นำทุกอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้งประชาชนจะผูกพันกับผู้นำอย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ดังคำขวัญ " จงเชื่อ จงปฏิบัติตาม จงต่อสู้ "
2. มีลักษณะชาตินิยมจัด (Ultra-nationalism) โดยยกย่องความยิ่งใหญ่ของประเทศสนับสนุนกการแสวงหาจักรวรรดินิยมในการสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
เน้นถึงอำนาจทหารนิยมเป็นเครื่องแสดงออกถึงพละกำลัง โดยอำนาจทหารที่เข้มแข็งจะเป็นฐานในการทำสงครามเพื่อบรรจุถึงจุดหมายสำคัญ
คือการได้ปกครองโลก เท่ากับเป็นการตอกย้ำกฎเหล็กแห่งธรรมชาติว่าผู้เข้มแข็งอยู่เหนือผู้อ่อนแอ ชาติที่เข็มแข็งจะได้ครองโลก
3. ต่อต้านประชาธิปไตยฟาสซิสต์ ถือว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เน้นในเสรีภาพส่วนบุคคล และระบบที่มีพรรคการเมืองหลายพรรค
เป็นการปกครองที่อ่อนแอไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถทำให้ประเทศยิ่งใหญ่ได้ ในความเป็นจริงแล้วในทัศนะของฟาสซิสต์บุคคลควรจะต้องเสียสละ
เสรีภาพส่วนบุคคลเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ นอกจากต่อต้านประชาธิปไตยฟาแล้วฟาสซิสต์ยังต่อต้านสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
เพราะเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมก็คือเป้าหมายของพวกคอมมิวนิสต์นั้นเอง ฟาสซิสต์ประณามหลักการของมาร์กซ์ที่ต่อต้านชาตินิยม
ด้านการศึกษา
(http://image.ohozaa.com/i/688/AZ0maK.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmIFtAJwLdB97LJ)
แก้ปัญหาคนไม่รู้หนังสือให้เหลือน้อยที่สุด ออกกฎหมายบังคับให้เด็กเข้าโรงเรียนเปิดโรงเรียนมากขึ้นรองรับการศึกษาภาคบังคับ อบรมครู
รัฐบาลได้สอดแทรกการโฆษณาชวนเชื่อในลัทธิฟาสซิสต์เข้าไปในหนังสือเรียนทุกระดับ จนถึงระดับมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ต้องสอนให้เด็ก
เลื่อมใสในลัทธิฟาสซิสต์และชาตินิยม โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของชาติอิตาลีตั้งแต่ในยุคโบราณ ปลุกใจให้คนรักชาติเพื่อสร้าง
ความยิ่งใหญ่ในอนาคต
ด้านการทหาร
รัฐบาลเพิ่มกำลังกองทัพบกเรือและอากาศ เพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นการเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม และจัดให้มีการแสดงพลังของทหาร
และฝึกการใช้อาวุธทันสมัยอยู่เสมอเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของกองทัพ สร้างความมั่นใจให้กับทหารเพื่อเป็นรากฐานในการที่จะดำเนินนโยบาย
ขยายอาณานิคมต่อไป
นโยบายต่างประเทศ
มุสโสลินีมีนโยบายแผ่อิทธิพลในท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าตัวเข้าเป็นทายาทของซีซาร์ ต้องการให้อิตาลี
เป็นเจ้าแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แสวงหาอาณานิคมในแอฟริกา ขยายอำนาจไปสู่บริเวณทะเลอาเดรียติก
การรุกทางทหาร
(http://image.ohozaa.com/i/a0e/lgmZ5M.png) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAxJNCAfpM8S2C)
ในไม่ช้า มุสโสลินีได้เปลี่ยนโยบายต่างประเทศจากการต่อต้านจักรวรรดินิยมแบบสันตินิยม ที่นำเขาขึ้นมาสู่ตำแหน่งอำนาจ มาสู่รูปการ
ของชาตินิยมที่ก้าวร้าวสุดขั้ว ตัวอย่างเบื่องต้นของนโยบายใหม่นี้ก็คือการระดมยิงกอร์ฟู (Corfu: เกาะของกรีซแห่งหนึ่ง ในทะเลไอโอเนียน)
ในปี ค.ศ. 1923 ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างระบบการปกครองหุ่นเชิดในแอลเบเนีย และสร้างเสริมอำนาจของอิตาลี
ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างไร้ความปรานีในลีเบียซึ่งเป็นอาณานิคมแบบหลวม ๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ความฝันของเขาก็คือการให้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เป็น "มาเร นอสตรุม-(ทะเลของเรา)" และสร้างฐานทัพเรือขนาดใหญ่บนเกาะเลรอสของกรีซ เพื่อสร้างกำลังในการยึดทางยุทธวิธี
เหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก
ปี ค.ศ. 1935 ในที่ประชุมสเตรสา เขาช่วยสร้างแนวต่อต้านฮิทเลอร์เพื่อปกป้องอิสรภาพของออสเตรีย แต่สงครามที่ประสบชัยชนะของเขา
เหนือแอเบอลิเนีย(เอธิโอเปีย) ในปีค.ศ. 1935 -1936 ถูกสันนิบาตชาติคัดค้าน และจากการณ์นี้ทำให้ฮิทเลอร์หันมาสร้างพันธมิตรกับอิตาลีฟาสซิสต์
การรุกรานเอธิโอเปียบรรลุผลอย่างรวดเร็ว (การประกาศสถาปนาจักรวรรดิมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1936 ) และพัวพันกับทารุณกรรมหลายครั้ง
หลายครา อาทิ การใช้อาวุธเคมี-มัสเทิร์ด แก๊สหรือแก๊สพิษร้ายแรงและฟาสจีน และการสังหารประชาชนท้องถิ่นจำนวนมากอย่างไม่จำแนกแยกแยะ
เพียงเพื่อป้องกันการต่อต้าน
กองทัพจัดวางคลังสรรพาวุธอันประกอบด้วยลูกระเบิดมือและลูกระเบิดที่บรรจุมัสเทิร์ด แก๊สซึ่งถูกทิ้งลงจากเครื่องบิน สารนี้ยังถูกฉีดโดยตรง
จากข้างบนเช่นเดียวกับ "ยาฆ่าแมลง" ใส่นักรบและหมู่บ้านของศัตรู มุสโสลินีเองที่มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งให้ใช้อาวุธเช่นนี้ มุสโสลินีกับแม่ทัพ
นายกกองต่างพยายามปกปิดยุทธการ การสงครามเคมีเป็นความลับสุดยอด แต่อาชญากรรมของกองทัพฟาสซิสต์ถูกเปิดเผยต่อชาวโลกจาการ
กล่าวโทษของกาชาดสากล และผู้สังเกตการณ์ชาวต่างประเทศจำนวนมาก
ปฏิกิริยาของอิตาลีต่อการเปิดเผยเหล่านี้สำแดงออกมาในรูปการของการระดมยิง "ผิดพลาด " เข้าใส่เต็นท์ของกาชาดซึ่งตั้งในพื้นที่ค่ายทหาร
ฝ่ายต่อต้านของเอธิโอเปีย คำสั่งของมุสโสลินีในเรื่องประชากรเอธิโอเปียนั้นปรากฏชัดเจนอย่างยิ่ง :
"โรม, 5มิถุนายน 1936 A.S.E. กราซีอานี. กบฏทุกคนที่ถูกจับเป็นเชลยต้องถูกฆ่า "
"โรม 8กรกฎาคม 1936 A.S.E. กราซีอานี ข้าพเจ้าให้อำนาจอีกครั้งแก่ วี.อี. ในการเริ่มและดำเนินการเมืองอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการคุกคาม
และการจำกัดกบฏและประชากรผู้สมรู้ร่วมคิด หากปราศจากการเคลื่อนที่เร็ว ก็ไม่อาจรักษาการติดเชื้อได้ทันเวลา รอการยืนยัน มุสโสลินี "
ส่วนที่เด่นชัดของการกดขี่ที่อิตาลีดำเนินการ นอกเหนือจากการใช้ระเบิดที่บรรจุมัสเทิร์ด แก๊สหรือแก๊สพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีการตั้งค่ายแรงงาน
บังคับกับตั้งกะแลงแกงหรือที่แขวนคอประหารสาธารณะ ฆ่าตัวประกัน และหั่นศพศัทรู กราซีอานีสั่งให้กำจัดนักรบจรยุทธที่ถูกจับ โดยการ
โยนลงจากเครื่องบินขณะที่บินอยู่กลางอากาศ ทหารอิตาเลียนหลายคนได้ถ่ายภาพตนเองคู่กับซากศพที่แขวนจากตะแลงแกงหรือแขวนอยู่รอบหีบ
ที่เต็มไปด้วยศีรษะที่ถูกตัด เหตุการณ์หนึ่งในการยึดครองเอธิโอเปียของอิตาลีก็คือการสังหารหมู่แอสดิส อาบาบา ( เมืองหลวงเอธิโอเปีย )
เดือนกุมภาพันธ์ 1937 ซึ่งเกิดขึ้นหลังความพยายามลอบสังหารกราซีอานี ในระหว่างพิธีอย่างเป็นทางการมีระเบิดลูกหนึ่งระเบิดขึ้นติดกับ
นายพลคนนี้ การโต้ตอบอุบัติขึ้นโดยฉับพลันและอย่างโหดร้ายทารุณ ชาวเอธิโอเปียที่อยู่ในงานจำนวนสามสิบคนหรือกว่านั้นถูกแทงทะลุ
ด้วยดาบปลายปืนโดยทันที หลังจากพลพรรคเชิ๊ตดำแห่งกองกำลังอาสาสมัครฟาสซิสต์ทะลักออกมาเต็มท้องถนนของเมืองแอดดิส อาบาบา
ที่ที่พวกเขาทรมานและเข่นฆ่าเรียบทั้งผู้ชาย ผู้หญิง กระทั่งเด็กซึ่งพวกเขาพบเห็นในเส้นทางผ่าน นอกจากนั้นยังระดมยิงอาคารบ้านเรือน
เพื่อป้องกันมิให้ผู้อยู่อาศัยหลบหนีแล้วกวาดต้อนมารวมกันเพื่อสังหารหมู่กลุ่มละ 50- 100 คน
อักษะแห่งเลือดกับเหล็กกล้า
(http://image.ohozaa.com/i/fc8/ZCiaWG.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAct4HzoSCQBfM)
คำว่า "มหาอำนาจอักษะ" (Axis Power) นั้นบัญญัติโดยมุสโสลินี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1936 เมื่อขากล่าวถึงอักษะโรม-เบอร์ลิน
เพื่อกล่าวอ้างถึงสนธิสัญญามิตรภาพที่ลงนามระหว่างอิตาลีกับเยอรมนี เมื่อ 25 ตุลาคม 1936 "อักษะ" ของเขากับเยอรมนีได้รับการตอกย้ำยืนยัน
เมื่อเขาทำสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับเยอรมนีนาซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1939 มุสโสลินีได้สาธยายสัมพันธภาพกับเยอรมนีฉบับนี้ว่าเป็น
"กติกาสัญญาเหล็ก" (Pact of Steel) เช่นกับที่เขากล่าวอ้างสัญญาฉบับก่อนว่าเป็น "กติกาสัญญาเลือด" (Pact of Blood)
เป็นที่ชัดแจ้งว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหรือคู่กติสัญญาชั้นรองอย่างมุสโสลินีย่อมเดินตามนาซี ทั้งยังต้องยอมรับนโยบายทางเชื้อชาติ ซึ่งนำไปสู่การ
เบียดบีฑาชาวยิวหรือจูว์ และการสร้างการแยกผิวในจักรวรรดิอิตาลี ก่อนหน้านี้ ชาวยิวไม่ถูกรัฐบาลมุสโสลินีเบียดบีฑาเป็นการเฉพาะทั้งยัง
ได้รับตำแหน่งสมาชิกระดับสูงของพรรคฟาสซิสต์อีกด้วย ทั้งที่มีการเบียดบีฑาก็ตาม ทว่ารัฐบาลของมุสโสลินีเองก็ยังปกป้องชาวยิว
อย่างแข็งขันควบคู่ไปด้วย
สมาชิกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ของชาวสโลวีเนียน วางแผนสังหารมุสโสลินีที่เมืองโคบาริดในปี 1938 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ห้วงนี้มีคำพูดที่อุโฆษของมุสโสลินีที่ถูกนำมาอ้างอยู่ชุดหนึ่ง ก็คือ
"หากข้าพเจ้าบุก จงตามข้าพเจ้าไป หากข้าพเจ้าถอยจงฆ่าข้าพเจ้าเสีย หากข้าพเจ้าถอย จงฆ่าข้าพเจ้าเสีย หากข้าพเจ้าตายจงแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วย "
จริงๆแล้ว มุสโสลินีเองก็มิได้เห็นดีเห็นงามไปตามนโยบายของฮิตเลอร์ไปเสียทั้งหมด และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 มุสโสลีนีได้เสนอแนะ
เป็นการส่วนตัวว่า วาติกนควรพิจารณาตัดอาดอล์ฟ ฮิทเลอร์ให้ขาดจากศาสนาโดยเร่งด่วน จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมิปรากฏชัดว่าคริสตจักรโรมัน
แคเธอลิคได้มีการพิจารณาตัดขาดจากศาสนาในกรณีของอิทเลอร์นั้น เป็นการตัดสินที่มีเหตุผลเพียงใดหรือไม่
สงครามโลกครั้งที่ 2
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II : การสู้รบที่เกิดจากความขัดแย้งทั่งโลกระหว่างมหาอำนาจพันธมิตรกับมหาอำนาจอักษะ
ตั้งแต่ปี 1939 จนถึงปี1945 สงครามครั้งนั้นยุติลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายพันธมิตร) ใกล้อุบัติ มุสโสลินีประกาศเจตนาอันชัดแจ้งของเขา
ในการผนวกดินแดนของมอลตา, กอร์สีกา และตูนิส ขณะเดียวกันเขาก็พูดถึงการสร้าง "จักรวรรดิโรมันใหม่" หรือ "จักรวรรดิอิตาลี"
ที่จะแผ่อาณาเขตด้านตะวันออกไปถึงปาเลสไตน์และด้านใต้ไปทั่วลิเบีย อียิปต์ และเคนยา
เมื่อเดือนเมษายน 1939 หลังสงครามอุบัติขั้นไม่นาน เขาผนวกเอาดินแดนแอลเบเนียมาเป็นของอิตาลี มุสโสลินีประกาศถึงการคงสถานะ
ไม่เป็นประเทศคู่สงครามกับประเทศใดในความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงขึ้นทุกขณะ อยู่จนกรทั่งเขาแน่ใจว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ
10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 มุสโสลินีประกาศสงครามกบอังกฤษและฝรั่งเศส
(http://image.ohozaa.com/i/223/ZE8WF2.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAb39YqX64Bg86)
28 ตุลาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีโจมตีกรีซ แต่หลังจากประสบชัยชนะในรยะแรกเริ่มได้ไม่นาน กองทัพอิตาเลียนก็ถูกการตีโต้
อย่างไม่ระย่อของทหารกรีก ถูกบีบให้ถอยร่นจนต้องสูญเสียพี้นที่ครอบครองในแอลเบเนียถึงหนึ่งในสี่ จนกระทั่งฮิทเลอร์ถูกบังคับ
ให้ต้องกระโดดเข้าช่วยเขาโดยการโจมตีกรีซ เดือนมิถุนายน ค.ศ.1941 มุสโสลินีประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต
ปี ค.ศ. 1943 หลังความปราชัยของอักษะในแอฟริกาเหนือ นานาอุปสรรคที่แนวรบด้สนตะวันออกและการยกพลขึ้นบกของอังกฤษอเมริกัน
ที่เกาะสีศีลีหรือซิซิลี เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของมุสโสลินี (รวมทั้งเคาน์ท กาเลอัซโซ ชีอาโน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและบุตรเขยของเขา)
หันมาต่อต้านเขาในที่ประชุมสภาใหญ่ฟาสซิสต์
เมื่อ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 พระเจ้าวิตตอรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้มุสโสลีนีเข้าเฝ้าและปลดอำนาจอนล้นหลามของผู้เผด็จของเขา
หลังจากออกจากพระราชวัง มุสโสลินีถูกจับกุมโดยทันที เขาถูกส่งตัวไปยังกราน สัสโสที่พักตากอากาศบนภูเขาในภาคกลางของอิตาลี
อันเป็นการโดดเดี่ยวและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ตำแหน่งของมุสโสลินีถูกแทนที่โดยจอมพลแห่งอิตาลี ปีเอโตรบาโดกลีโอ (28 กันยายน 1871 – 1 พฤศจิกายน 1956 ; ทหารและนักการเมืองคนสำคัญ)
ผู้ประกาศตนอย่างเฉียบพลันด้วยสุนทรพจน์ที่มีชท่อเสียง
"สงครามดำเนินต่อไปโดยเคียงข้างพันธมิตรเยอรมนีของเรา"
แต่ทว่าเป็นการดำเนินการเจรจาเพื่อการยอมจำนนแทน โดย 45 วันถัดมา (8 กันยายน) บาโดกลีโอได้ลงนามเพื่อการสงบศึกกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร
บาโดกลีโอ เอมานูเอลที่ 3 กลัวการแก้แค้นของเยอนรมัน จึงพากันหลบหนีออกจากกรุงโรม ปล่อยให้กองทัพอิตาเลียนทั้งหมดตกอยู่ในภาวะไร้ระเบียบ
หลายหน่วยถูกตีแตกกระจัดการจายอย่างง่ายดาย บางหน่วยก็หนีไปตั้งอยู่ในเขตควบคุมของพันธมิตร มีอยู่เพียงไม่กี่หน่วยที่ตัดสินใจ
เริ่มทำสงครามกู้ชาติต่อต้านนาซี และอีกไม่กี่หน่วยไม่ยอมเปลี่ยนข้าง และยังคงเป็นพันธมิตรที่เหนียวมั่นกับกองทัพเยอรมัน
ไม่กี่วันต่อมา มีการช่วยชีวิตซึ่งวางแผนลักพาตัวโดยพลเอกคูร์ท ฌทูเดินท์ (12 พฤษภาคม 1890 - 1 กรกฎาคม 1978 แม่ทัพแห่งกองทัพอากาศเยอรมนีนาซี
ผู้นำการต่อสู้ทางภาคอากาศที่แนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่ 1 และผู้บัญชาการทหารพลร่มระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 )
และปฏิบัติการโดยออทโท สคอร์เซนี มุสโสลินีจึงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐสังคมแห่งอิตาลี รัฐบาลฟาสซิสต์ในตอนเหนือของอิตาลี
ในห้วงนี้เข้าพำนักที่การ์ญาโน แต่ก็ตกอยู่ในสภาพของหุ่นเชิดภายใต้การคุ้มครองของบรรดาผู้ปลอดปล่อยชาติของเขาเท่านั้น
ใน "สาธารณรัฐสาเลาะ" นี้ มุสโสลินีหวนกลับไปสู่ความคิดดั่งเดิมของเขาเกี่ยวกับสังคมนิยมและการรวมหมู่ เขายังประหารชีวิตผู้นำฟาสซิสต์ที่ทิ้งเขาไป
รวมทั้งบุตรเขยของเขาเอง
ภริยาลับชาวยิวของมุสโสลินี
(http://image.ohozaa.com/i/gba/PAL33v.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmHV2nonEAOL3BI)
มาร์เกรีตา สาร์ฟัตตี ( Margher Sarfatti ) ลูกสาวของทนายความชาวยิวที่มั่งคั่ง นางถูกยึดมั่นในความคิดสังคมนิยม และหนีจากบ้านบิดามารดา
ตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยการแต่งงานกับเชสาเร สาร์ฟัตตี ทนายความจากปาดูอา ซึ่งอายุแก่กว่านางมาก ปี 1902 ทั้งคู่ได้ย้ายไปอยู่ที่มิแลนหรือมีลาโน
ปี 1911 สาร์ฟัตตีเริ่มมีความสัมพันธ์แนวชู้สาวกับมุสโสลินี จากสภานะของปัญญาชนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดอันปฏิวัติอันชัดเจน
นางมีความสำคัญอันโดดเด่นต่อความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์อิตาลี โดยเป็นผู้สนับสนุนและเพิ่มความคิดและนโยบายของมุสโสลินีหลายประการ
ปี 1938 สาร์ฟัตตีทิ้งอิตาลีฟาสซิสต์ไปอยู่อาร์เจนตินาและกลับมาอีกครั้งในปี 1947 หลังจากอิตาลีพ่ายสงคราม
ความจริงแล้วมุสโสลินีและสาร์ฟัตตีต่างก็เป็นคนถือคติเชื้อชาติต่อชาวแอฟริกันและชาวเอเชีย ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่มีอะไรติดข้องอยู่ภายในฟาสซิสต์ของอิตาลี
โดยเฉพาะการต่อต้านชาวยิว อย่างไรก็ตาม เมื่ออิตาลีฟาสซิสต์พิชิตแอเบอสีเนีย(เอธิโอเปีย) ก็ถูกสันนิบาตชาติ ตำหนิอย่างรุนแรง แต่มุสโสลินี
ได้รับการบรรเทาและการสนับสนุนจากอาดอล์ฟ ฮิทเลอร์และประเทศยุโรปที่ต่อต้านชาวยิว เพื่อประจบสอพลอต่อฮิทเลอร์ กฎหมายเชื้อชาติทั้งหลาย
ของอิตาลีจึงผ่านอย่างรวดเร็วในปี 1938 สาร์ฟัตตีจึงจำเป็นต้องหย่าร้างห่างเตียงของมุสโสลินีในที่สุด
มตกรรม
(http://image.ohozaa.com/i/216/2IrOrj.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAuc0NKqRl9Oxj)
บ่ายวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1945 ใกล้หมู่บ้านดอนโก (ทะเลสาบโกมา) ก่อนที่กองทัพพันธมิตรเคลื่อนทัพถึงมีลาโน ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าสู่กีอาเวนนา
เพื่อขึ้นเครื่องบินหนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์ มุสโสลีนีกับภริยาลับของเขา กลาเรตตา หรือแคลรา เปทัชชี ถูกพลพรรคคอมมิวนิสต์อิตาเลียนจับตัวได้
หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวหลายครั้งในการนำตัวไปยังโกโม พวกเขาจึงถูกนำตัวไปยังเมซเซกรา พวกเขาใช้เวลาคืนสุดท้ายในบ้านของตระกูลเด มารีอา
วันต่อมา 28 เมษายน มุสโสลินีกับภริยาลับของเขาถูกประหารชีวิตพร้อมกับอีกสิบห้าคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ
สาธารณรัฐสังคมอิตาเลียน
(http://image.ohozaa.com/i/527/M8dBUm.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xnmAvfWQBaGzEVC6)
วันถัดมา สาธารณะต่างพบกับร่างของมุสโสลินีกับภริยาลับถูกแขวนด้วยการมัดเท้า ให้ศีรษะห้อยลงบนที่แขวนเนื้อสัตว์ที่จัตุรัสโลเรโตในเมืองมิแลนหรือมีลาโน
พร้อมกับพลพรรคฟาสซิสต์คนอื่นๆ โดยเฉพาะรัฐมนตรีคนสำคัญในรัฐบาลของเขา เพื่อแสดงให้ชาวอาณาประชาราษฎร์เห็นว่าจอมเผด็จผู้นี้เสียชีวิตแล้ว
การณ์นี้ยังเป็นทั้งการปราบมิให้บรรดาพลพรรคฟาสซิสต์ต่อสู้อีกต่อไป และเป็นปฏิบัติการแก้แค้นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของฝ่ายอักษะที่แขวนคอ
พลพรรคกู้ชาติจำนวนมากในสถานที่เดียวกันนี้
credit : Chuta Singhakham
eta06 eta06 มีสาระมากครับผม