cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => หัวข้อที่ตั้งโดย: etatae333 เมื่อ 08 สิงหาคม 2014, 17:28:02

ชื่อ: ตำนานผีญี่ปุ่น Part13
โดย: etatae333 เมื่อ 08 สิงหาคม 2014, 17:28:02
1 ซาโตริ หรือ ปีศาจอ่านใจ「さとり」 (Satori) 

(http://image.ohozaa.com/i/547/0wvF8r.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLDM68uqNYjV7XZQ)

โยว์ไคที่ว่ากันว่าอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาของฮิดะโนะคุนิ「ひだのくに」 และมิโนะโนะคุนิ 「みののくに」
รู้จักกันว่าเป็นโยว์ไคที่สามารถอ่านใจมนุษย์ได้


ว่ากันว่า "ซาโตริ" นั้นเป็นโยว์ไคที่ถึงแม้จะมีรูปร่างแบบมนุษย์แต่ความจริงแล้วไม่มีร่างจริงหรือไม่ก็มีรูปร่าง
เป็นลิงยักษ์เดินสองขา มักจะพบเจอได้ยามเดินหรือพักอยู่ในภูเขามันจะอ่านสิ่งที่เราคิดทั้งหมด และพูดออกมา
ก่อนเราจะเอ่ยปาก ว่ากันว่า...ถ้าในหัวไม่คิดอะไรเลยซาโตริก็จะเบื่อแล้วหายตัวไปเอง ไม่ก็กลัวคนที่ไม่คิดอะไร
หรืออาจจะทรมานจนตายก็ได้ ว่ากันว่าซาโตริมาปรากฏตัวต่อหน้าคนที่อยู่ในกระท่อมบนเขาพอเผลอก็จะจับไปกิน
และถ้ามีวัตถุไปชนซาโตริเข้า มันจะกลัวว่าเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นแล้วหนีไป 

ขณะเดียวกันก็มีเรื่องเล่าว่า ซาโตริจะไม่ทำอันตรายมนุษย์ คนที่ทำงานบนเขาก็จะไม่ต่อต้านซาโตริ
และอยู่ร่วมกันได้  มีภาพของซาโตริปรากฏอยู่ใน "ภาพร้อยอสูรจากอดีตถึงปัจจุบัน"ของ "โทริยามะ เซกิเอ็น"
[ไม่ใช่ขบวนร้อยอสูรของนูระนะจ้า คึคึคึ]แต่ก็เป็นการเอาแบบมาจากยามาโกะในหนังสือ
"วะคังซันไซซุเอะ(รวมภาพชายญี่ปุ่นอายุสามปี ?)" และในคำอธิบายก็กล่าวไว้ว่าเป็น
"ยามาโกะในภูเขาลึกของฮิดะโนะคุนิและมิโนะโนะคุนิ"ซึ่งเซกิเอ็นได้ตั้งชื่อให้ว่า "ซาโตริ"
เนื่องมาจากความสามารถอ่านใจคน (ซาโตรุ)ได้ ปีศาจที่ชื่อโอโมอิ 「おもい」 ที่อาศัยอยู่ในป่า
ของภูเขาโอวาดะยามะเชิงภูเขาไปฟูจิเองก็มีความสามารถอ่านใจมนุษย์ได้เช่นกันจึงคาดว่าน่าจะเป็น
ตัวเดียวกับ "ซาโตริ" นี้

เคยมีซาโตริมาปรากฏตัวต่อหน้าช่างทำตะกร้าที่กำลังซ่อมตะกร้าอยู่หมายอ่านใจของเขาเพื่อปั่นหัวเล่น แต่ช่างทำ
ตะกร้าที่หวาดกลัวได้ทำห่วงสานตะกร้าหลุดมือไปกระแทกหน้าของซาโตริเข้าทำให้มันตกใจและรีบร้อนหนีไปเนื่องจาก
"มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวทำได้กระทั่งสิ่งที่ตนเองไม่ได้คิดไว้" [เอิ่ม...เจ้าซาโตริมันคิดอย่างนี้ซินะ = =" ]
นอกจากนี้ ซาโตริยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคาฉะอีกด้วย



2 คาฉะ「かしゃ」 (Kasha) 

(http://image.ohozaa.com/i/20b/zbxaHq.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLDM7cqtEwTn3ML8)

คาฉะเป็นปีศาจชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นว่ากันว่าจะมาชิงเอาศพของผู้ที่ทำบาปทำกรรมเอาไว้มากในขณะที่ยังมีชีวิต
คาฉะนั้นไม่มีถิ่นพบเห็นที่แน่นอนจึงอาจสันนิษฐานได้ว่ามีการปรากฏตัวไปทั่วประเทศ เมื่อมีคนบาปตาย คาฉะ
จะปรากฏตัวขึ้นจากนรกพร้อมกับเมฆดำมืดและพายุฝนเพื่อชิงเอาศพของผู้นั้นไปจากงานศพหรือสุสาน


บางครั้งก็กล่าวว่าจะมีมือยื่นออกมาจากในเมฆมาคว้าเอาไป ศพที่ถูกชิงไปจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆและนำไปทิ้งไว้ในภูเขา
มักจะกล่าวกันว่าตัวจริงของคาฉะนั้นเป็นปีศาจแมว หรือกลายร่างมาจากแมวที่แก่ตัวลง การปรากฏตัวของคาฉะ
เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ตายเป็นคนบาปจึงเป็นที่หวาดกลัวและอับอายของผู้คนทั่วไป  บริเวณวัดที่ว่ากันว่าคาฉะ
อาศัยอยู่จะมีการแยกจัดงานศพเป็น2 ครั้ง งานศพครั้งแรกจะเอาหินใส่ไว้ในโลงศพเพื่อป้องกันคาฉะมาชิงเอาศพไป

ในช่วงกลางของสมัยเอโดะมีเรื่องเล่าของคาฉะเล่าว่าในสมัยเคียวโฮ ที่เมืองทัตสึโนะในอิโบะกุน ฮาริมะโนะคุนิ
(ปัจจุบันคือจังหวัดเฮียวโง) ในระหว่างที่ยายของลูกสาวลูกจ้างร้านโชยุชื่อ"ร้านฮายาชิดะ" มาพักค้างแรมด้วยนั้น
ได้เกิดล้มป่วย และเมื่อเสียชีวิตลงคาฉะก็ได้ปรากฏตัวขึ้นทั้งที่ไม่มีใครในร้านมองเห็นเลยแม้แต่คนเดียวแต่ตัวลูกสาว
กลับมองเห็นคาฉะ อยู่นอกบ้าน ว่าเป็นยักษ์นรกหน้าตาน่าขยะแขยงลากรถที่มีไฟลุกท่วมมาแล้วเอาคุณยาย
ใส่รถจะพาตัวไป เจ้าหล่อนก็พยายามจะไปเอากลับมาจึงออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกลูกจ้างคนอื่นดึงตัวกลับมา
ซึ่งเธอก็โดนไฟไหม้ที่แขนเสื้อและมีแผลไฟไหม้ด้วย  นอกจากคนตายแล้วบางครั้งคาฉะยังเล่นงานคนเป็นอีกด้วย

วันหนึ่งในมุซาชิโนะคุนิ (ปัจจุบันคือไซตามะ)มีชายชื่ออาบุรายะ ยาสุเบะร้องออกมาว่า "มีคาฉะมา" แล้วก็ล้มลงไป
หลังจากนั้น 10วันเขาก็ตายเนื่องจากร่างกายท่อนล่างเน่าเปื่อย  นอกจากนั้น คาฉะยังแปลงร่างเป็นคนได้
เช่นที่บ้านของเจ้าพนักงานชื่อชิบาตะมีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์อยู่คนหนึ่งอยู่มาคืนหนึ่งเขาก็มาขอลาออก เมื่อชิบาตะ
ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์และต้องไปชิงศพมนุษย์ พอวันรุ่งขึ้นชิบาตะก็ได้ยินข่าวว่าที่หมู่บ้าน
ใกล้ๆมีคาฉะปรากฏตัวขึ้น

ในญี่ปุ่นโบราณเชื่อกันว่าแมวมีคุณลักษณะของปีศาจอยู่ในตัวจึงมีตำนานเล่ากันว่า
"ห้ามแมวเข้าใกล้คนตาย ถ้าแมวกระโดดข้ามโลงศพ ศพในโลงจะฟื้นขึ้นมา"

นอกจากนั้นในญี่ปุ่นยุคกลางยังมีเรื่องเล่าว่านายนิรยมบาลจะลากรถที่มีไฟลุกท่วมมาชิงเอาศพหรือคนบาป
ที่ยังมีชีวิตอยู่ไป ตำนานของคาฉะนั้นก็เกิดมาจากตำนานความเกี่ยวข้องระหว่างแมวกับคนตายและตำนาน
ของรถเพลิงที่มาชิงตัวคนบาปนี้เอง  นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่าแมวที่เลี้ยงไว้นานๆและแมวแก่จะกลาย
เป็นคาฉะเมื่อมีงานศพก็จะมาชิงเอาศพไปควักตับกิน


3. ต้นคาเมลเลียสีเลือด

(http://image.ohozaa.com/i/49e/ClYFTj.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLDM2AHBYdpfuv05)

โดยทั่วไปแล้ว...เราจะพบเจอกับดอกของต้นคาเมลเลียเป็นสีขาว สีชมพูแต่ตำนานอาถรรพ์บทนี้ กล่าวถึง
ดอกคาเมลเลียสีเลือด!!! โดยต้นคาเมลเลียเองเป็นที่นิยมปลูกไว้เป็นต้นไม้ประดับตามโรงเรียนส่วนมากในญี่ปุ่น
เมื่อมีตำนานต้นคาเมลเลียสีเลือดขึ้นมาก็ชวนสยองมิใช่น้อยแต่เดิมนั้นต้นคาเมลเลียจะออกดอกเป็นสีขาวหรือ
ชมพูอย่างที่บอกอาจจะมีบ้างที่เป็นสีแดง แต่สีเลือดนั้น...เป็นความหมายของความเศร้าอันสลด


ตำนานอาถรรพ์นั้นเล่าถึง...ในสมัยญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงมีจารีตศักดินาเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งหนีสงครามทางกานเมือง
ถูกฝ่ายศัตรูจับได้เจ้าหญิงตกเป็นเฉลยสงครามถูกจับมัดกับต้นคาเมลเลีย และทำการทรมานต่างๆ นานาเพื่อจะให้
เจ้าหญิงเปิดเผยความลับของราชสำนักเจ้าหญิงมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จึงมิปริปากบอกความลับอันใดเลย
จนเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์จากการถูกทรมานร่างของเจ้าหญิงถูกฝังไว้ใต้ต้นคาเมลเลียต้นนั้นต้นคาเมลเลียสูบเลือด
ของเจ้าหญิงแทนน้ำวิญญาณแค้นของเจ้าหญิงผู้น่าสงสารจึงทำให้ดอกคาเมเลียเป็น "สีเลือด"

เรื่องเล่านี้กล่าวเป็นตำนานเล่าขานอันน่าเศร้า แต่ก็มิอาจจะมีใครทราบว่าต้นคาเมลเลียต้นใดเป็นต้นที่ฝังศพของ
เจ้าหญิงผู้น่าสงสารเด็กๆจึงรอคอยและเชื่อว่าต้นคาเมลเลียในโรงเรียนนั้นเป็นต้นที่สูบเลือดของเจ้าหญิงจึงเป็น
ต้นที่มีอายุมากกว่า 100ปีนี้จึงเชื่อกันใหญ่ว่า ต้นคาเมลเลียจะออกดอกกลายเป็นดอกสีเลือดทุกวันที่ 15 มิถุนา
ของทุกปี เพื่อเป็นการลำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบทหนึ่งในอดีต

แต่ตำนานอาถรรพ์เรื่องนี้ยังมิอาจเชื่อได้เพราะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงเจ้าหญิงพระองค์นี้และแถมยังว่า
เป็นเรื่องเล่าที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขความสงสัยถึงการเกิดดอกคาเมลเลียสีเลือดก็ได้เพราะดอกคาเมลเลียสีเลือด
ก็คือดอกคาเมลเลียสีดอกนั้นเองตำนานต้นไม้ที่ดูดเลือดคนกินเป็นน้ำเลี้ยงก็มีอยู่หลายตำนานอย่างที่เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องราวของเจ้าจุโบะกะ  ปีศาจต้นไม้ดูดเลือดคนนั่นเอง...



4. รูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่ เดินตอนกลางคืน

(http://image.ohozaa.com/i/6f4/IcWtek.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLDM54ynXa2NEP5l)

ต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องเล่าอาถรรพ์ในโรงเรียนเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาถึง รูปปั้นของนิโนมิยะ คินจิโร่
ซึ่งรูปปั้นนี้จะมีอยู่ทุกโรงเรียน ทำไมเป็นเช่นนั้น ตามคำบอกเล่าหรือประวัติศาสตร์กล่าวว่า นิโนมิยะ คินจิโร่นั้น
เป็นบุคคลสำคัญทางด้านการศึกษาของญี่ปุ่น คือ เป็นบุคคลตัวอย่างที่สำคัญเลยทีเดียว


มีเรื่องเล่ากันมาว่า นิโนมิยะ คินจิโร่นั้น เป็นบุตรชาวนา เกิดที่ อาชิการามิกามิกุน จังหวัดซากามิ เมื่อปี ค.ศ.1787 
นิโนมิยะเป็นเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจน เขาจึงต้องทำงานหนักทุกวัน แต่เขาเป็นคนรักในการเรียนมาก นิโนมิยะ
จึงมักพบหนังสือติดตัวเสมอ เวลาเดินเข้าป่าไปแบกฟืนนั้นก็มักจะอ่านหนังสือไปด้วยถึงตนเองจะแบกฟืนไว้บนหลัง
ก็ตามไม่เคยที่จะละทิ้งการศึกษา ด้วยความขยันที่เล่าขานกันมาเป็นตำนานของนิโนมิยะ คินจิโร่ เด็กผู้ใฝ่เรียน
ด้วยเหตุนี้เองนิโนมิยะ คินจิโร่จึงถูกยกย่องให้เป็นบุคคลเป็นแบบอย่างที่เห็นความสำคัญของการศึกษา คงไม่ผิด
ที่ทุกโรงเรียนในญี่ปุ่นจะมีรูปปั้นของเขาอยู่ด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างให้นักเรียนเอาอย่างนิโนมิยะ คินจิโร่
ที่ไม่ยอมทิ้งการเรียน

(http://image.ohozaa.com/i/10d/yFW6Il.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLDM4IzHFDO6KNgC)

แต่เรื่องเล่ากันที่สยองของนิโนมิยะ คินจิโร่ก็มีอยู่ว่า ค่ำคืนเวลาดึกๆของโรงเรียนที่สงบเงียบขนวังเวง นักเรียนทุกคน
ต่างก็เชื่อตรงกันว่า รูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่จะหายไป ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าว่า มีครูเวรท่านหนึ่งที่มีหน้าที่ตรวจตราที่โรงเรียน
ตอนกลางคืน เรื่องมันคงจะนานมาแล้วแน่เลย เพราะหากเป็นสมัยนี้คงไม่มีครูเวรแล้วล่ะ ซึ่งครูเวรคนนั้นกำลังเดินตรวจ
ไปตามอาคารต่างๆ ก็ต้องตกใจที่พบว่า รูปปั้นนิโนนิยะ คินจิโร่หายไป เหลือแต่แท่นฐานเท่านั้น!

ตอนแรกครูเวรคิดว่ามีคนมาขโมยรูปปั้นไป คิดจะแจ้งตำรวจหรือไม่ก็ครูใหญ่ แต่คิดไปคิดมาอีกที รูปปั้นก็หนักอยู่
หากมีคนมาขโมยจริง เราต้องรู้สึกหรือได้ยินเสียงความผิดปกติอะไรบ้าง ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาด
พอครูเวรลงไปที่ดูใกล้ๆกลับปรากฏว่ารูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่กลับไม่ได้หายไปไหน

กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งแอบเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืน เพื่อมาลองของเรื่องอาถรรพ์ก็ต้องพบกับรูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่
ที่เดินผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนไปต่อหน้าต่อตา ! หนีกลับบ้านกันแทบไม่ทัน ต่อมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้รักษาความปลอดภัย (ยาม)
ผู้มีน่าที่ตรวจตราโรงเรียนก็พบว่า เห็นรูปปั้นนิโนมิยะเดินได้ไปมาในโรงเรียนซึ่งสร้างความสยองและกลัวเป็นอันมาก 

ความจริงเรื่องอาถรรพ์เกี่ยวกับรูปปั้นที่ว่าพอตกกลางคืนแล้วจะเกิดว่ารูปปั้นมีชีวิตและมาเดินหรือทำอะไรตอนกลางคืน
ก็มีอยู่มาก อย่างบ้านเราก็ใช่ย่อย มีเรื่องเล่าตามโรงเรียนต่างๆมากมายที่รูปปนุสาวรีย์อนุสรณ์ต่างๆก็ขยับได้และหายไป
ในตอนกลางคืน หรืออะไรแบบนี้ อย่างที่โรงเรียนเก่าก็เลยมีเรื่องเล่าของรูปเคารพหรือรูปปั้นของผู้ก่อตั้งโรงเรียนว่า
พอตกกลางคืนก็จะเดินไปมาในโรงเรียนจำได้ว่า ครูเวร หรือภารโภรจะเห็นเป็นประจำเลยทีเดียว น่ากลัวอยู่เหมือนกัน - -"