Show posts - wat26asta
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - wat26asta

#5
เรื่องจริงของผู้หญิงที่เคยมีน้ำหนักมากสูงถึง 82 กิโลกรัม ปัจจุบันเธอลดน้ำหนักลงมาได้มากถึง 50 กิโลกรัม เธอคนนี้ใช้นามแฝงว่า คุณ Like a Pyramid สมาชิกจาก พันทิพดอทคอมเธอจะมีเคล็ดลดน้ำหนักอย่างไรบ้าง ตามมาดูรีวิวที่เกิดขึ้นจริงของเธอกันเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ คือเราออยากมาแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักของเราที่เชื่อว่าทุกคนต้องทำได้แน่ๆก็เพราะว่า แบบเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์ หรือ อะไรมาก อุปกรณ์ไรก็ไม่มี ใช้ชีวิตอยู่แบบเด็กหอที่ต้องลดน้ำหนัก
คือมันเป็นไรที่จะว่าง่ายก็ง่ายนะ ว่ายากหน่อยก็ได้ 5555555 แต่มันอยู่ที่ใจล้วนๆ
และอีกอย่างที่ไม่รู้ว่าแปลกไหม เราไม่มีแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักจากอะไรทั้งสิ้นเลย คนอื่นชอบถามว่าชอบใครเปล่าเลยพยายามลดน้ำหนักบอกตรงๆ ตอนอ้วนไม่ได้ชอบใครเลย แค่วันนึงถ่ายรูปออกมาละ เห้ย!!? นี่ตัวฉันหรอ ... คือมันแบบ นะ เดี๋ยวตามไปดูรูป
** ขอเล่าเรื่องราวความอ้วนตั้งแต่แรกก่อนนะ **
คือเป็นคนที่อ้วนมาแต่เด็กแล้ว อ้วนจากการกินเยอะเองนี่ละ ก็อ้วนปกติแต่ไม่ถึงขั้นมาก จนเริ่มมีจุดเปลี่ยนตอนเข้ามหาลัย




คือ อ้วนแบบมากๆ เลย ชีวิตเปลี่ยนจากอยู่บ้านไปอยู่หอ กินไรก็อร่อยไปหมด ซื้อกินตอนไหนก็ได้ น้ำหนักช่วงนั้นรู้สึกจะ 75-76 กิโล ก็ยังไม่ได้มีทีท่าจะลดหรอก ก็กินๆๆๆ ต่อไป จนมีช่วงนึงคือปี 2 กินๆๆ เยอะแบบรู้ตัวเลยว่าเยอะ กินข้าวครบทุกมื้อ ขนมก็กิน แต่ดึกก็กินอีก มื้อดึกนะ เช่น โจ๊กคัพ+ไก่ทอด2 ชิ้น+ขนมจีบ คือ รู้ว่าตัวกินเยอะนะแต่หยุดไม่ได้จริงๆ แล้วพอกลับบ้านด้วยสภาพที่อ้วนแบบนั้น เจอใครที่บ้านก็ ทักว่าอ้วนมากกๆๆ คางจะย้อยถึงบ้านละ คือแบบเห้ยย ทำตัวไม่ถูกเลย พอชั่งน้ำหนักที่บ้าน เจอตัวเลข 82.9!! เห๊ยย นี่อ้วนจนขึ้นเลข 8เลยหรอ .....
พอถึงวันกลับหอเลยคิดว่าจะลองลดดู .... ซึ่งก็ไม่ได้คิดจะจริง
เริ่มแรกเลยนะ น้ำหนักที่ชั่งได้คือ 82.9 กิโล (มาลดน้ำหนักกันเถอะ)
สูง 160 เซนติเมตร ความอ้วนที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือหน้าน้ำหนักปัจจุบันคือ 50 เป๊ะ กินเยอะหน่อยก็ 51-52 ระยะเวลาในการลดน้ำหนัก ประมาณ 11 เดือน ได้ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ทำต่อเนื่องนะ มันเลยนานมีช่วงที่แบบว่ารู้สึกลดน้ำหนักมามากพอแล้วก็หยุด กลับมากินปกติ เลิกออกกำลังกาย เป็นแบบนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง รูปที่เห็นแล้วทำให้อยากลดน้ำหนักก็คือ

นั่นแหละ น่าตกใจไหม
วิธีแรกที่เราเริ่มทำเลยนะ คือ การลดน้ำหนักโดยงดข้าวเย็น วันแรกที่เริ่มลดน้ำหนักก็คือในรูปนี่ละ ซัดพิซซ่าไปแล้ว หลังจากนี้ก็รู้สึก เห้ยเราก็ทนได้นี่หว่า ไม่ได้รู้สึกหิวเลยนะ อาจจะเป็นเพราะอ้วนมาก อาหารที่กินแต่ละวันคงยังเหลือให้ใช้พลังงานได้อีกเยอะ 55555
ก็เริ่มทำมาเรื่อย ๆ จำระยะเวลาไม่ได้อะ อ๋อ แล้วพอรู้สึกว่าตัวเองจริงจังกับการลดน้ำหนักแล้ว เลยไปซื้อเครื่องช่างน้ำหนักแบบดิจิตอล เห็นกันเป็นจุดๆ ไปเลย
มันดีมาก เลยนะ เราชั่งทุกวัน จะได้เจียมตัว 5555 แล้วคราวนี้ทำมาเรื่อยจน น้ำหนักลดไป 2 กิโล !! แบบมันดีใจนะ คนไม่เคยคิดจะสนใจน้ำหนักอะ
นี่คือน้ำหนักลดแล้ว 2 โล เย้เย้ คือเหลือ 80 กิโล
คือมันลดน้ำหนักได้ก็จริง แต่เห็นสภาพตัวเองละก็ยังไม่ไหว ก็ยังคงงดมื้อเย็นมาสักพัก แต่คราวนี้ไปออกกำลังกายด้วย การออกกำลังของเราคือการวิ่ง
ไม่ สิ เราไม่ถึงขั้นวิ่ง เราทำแบบเดินเร็วๆ เร็วธรรมดากับเร็วมาก สลับกัน เราไปวิ่งที่ฟิตเนสมหาลัย ความเร็วของเครื่องอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.9 ไรแบบนี้
แล้วก็มีปั่นจักรยานบ้างนะ บ้างจริงๆ เวลารอเครื่องวิ่งตอนไปว่างก็ปั่นๆ รอ
การออกกำลังกายเราไม่ได้มีกำหนดวันนะ คือว่างวันไหนก็ไป ส่วนมากก็จะว่าง ถ้าไม่ต้องทำงาน ไม่มีสอบ ก็จะไป
การออกกำลังกายของเราอีกแบบคือ ตีแบต มันสนุกดีนะ โชคดีที่เพื่อนก็ไปตีด้วย
อ๋อ ลืมบอกตอนลดน้ำหนักนี่ เพื่อนก็เป็นส่วนสำคัญนะ คือปกติเราอยู่หอใช่ปะ ทุกวันคือกินข้าวกับเพื่อน พอถึงคราวที่เราจะลดน้ำหนัก
เรา ต้องบอกมันอย่างจริงจังเลย ว่า ไม่กินนะข้าวเย็น ร้านนมหรือไปกินขนมที่ไหนก็ห้ามชวน แรกๆ ก็ยังมีชวนบ้าง หลังๆ เราไม่ไป เพื่อนนี่เงียบหายไปเลย 555
คราวนี้พอลดมาสักพักเราก็ปรึกษาพี่สาว พี่เราก็แนะนำให้เราไปดู รายการ good shape save cost ซึ่ง มันโอเคมาก !!
จริงนะ คือเราดูแล้วเรามีกำลังใจมากเลย ก็คือจะเน้นควบคุมอาหาร มากกว่าออกกำลังกาย ซึ่งปกติเราก็ออกอยู่แล้วละ
พอ ดูรายการนี้เราก็ กินแบบคำนวณแคลอรี่เลยละ จริงจังมากๆ ถ้าจะกินตอนเย็นคือก็ต้องดูอะไรที่แคลอรี่น้อย ๆ พอช่วงนี้ก็เลยออกกำลังกายไม่ได้สม่ำเสมอ
ออกบ้างไม่ออกบ้าง บางอาทิตย์นี่หยุดไปเลย แต่ น้ำหนักก็ลดนะ ลงมาเหลือประมาณ 75-76 กิโล
คือทุกส่วนนี่มันแน่นไปหมดจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็คุมแคลอรี่มาเรื่อยๆ ตลอดเลย ออกกำลังกายบ้าง แบบว่าอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง
แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ไปก็คือไม่ได้ไปเลยทั้งอาทิตย์นะ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงประมาณเดือนมีนาเราหนัก 71 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มเรียนซัมเมอร์
เราลองใช้สูจรพระเทพ แบบ 7 วัน น้ำหนักก็ลดประมาณ 3 กิโลนะ จำไม่ได้ว่าทำช่วงมีนาหรือเมษา ถือว่าไม่เยอะ เพราะอ่านจากสูตรเค้าบอกลด 7-8 โล
แต่มันเป็นระยะเวลาที่ทำให้เราลงถึงเลข 6!!! แบบ 68-69 เห๊ยยย มันฟินมากกกกก ไม่รู้ว่าทำไม 55555 ดีใจที่ตัวเองพ้นจากเลข7 สักที
แล้วพอเดือนพฤษภาเราจำได้เลยหนัก 65 กิโล ..
ลงรูปใน facebook ช่วง หนัก 65 เพื่อนเริ่มทักเยอะมากขึ้นว่าผอมลงป่าวๆ รู้สึกดีมากเลยนะ
แล้วก็กังวลเบาๆ เพราะ เดือนพฤษภาไปเที่ยวเกาหลี ญี่ปุ่น เกือบเดือนนึงเต็ม กลัวน้ำหนักขึ้นมากๆๆ
แต่ไปแต่ละที่คือกินจัดเต็มนะ รู้สึกแบบ อุตส่าห์มานี่นา ... พอกลับมาไทย ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่า ไม่ขึ้นเลย !!!
ดีใจม้ากกกกก พอกลับมาแล้วอยู่ในจุดอิ่มตัว คือกินปกติ กินเย็นกินดึก กินบุฟเฟ่ จนวันนึงชั่งน้ำหนักแล้ว 68 !!!
เห้ย คือไร ... ที่เราตั้งใจมาทำไปทำไม ? กลับมาจากเที่ยวน้ำหนักก็อุตสาห์ไม่ขึ้น มีเวลาลดทำไมไม่ตั้งใจ?
แบบวนในหัวเรามากกกกกก จำได้ว่าเริ่มลดจริงๆ จังๆ อีกครั้งช่วงกลางเดือน มิถุนา
***คราวนี้เป็นสูตรโหดนะ***
เราลองทำเองแบบไม่ถามใครคือ
มื้อเช้า : โยเกิร์ต
เที่ยง : ไข่ต้ม 2ฟอง
เย็น : ผลไม้ (บางวันไม่กิน)
ตอน เย็นออกไปเดินเร็วๆ รอบสวนสารธารณะ (สระพังทอง) 2-3รอบ ทุกวัน!! เพราะว่าเราว่างมาก อยู่บ้านมีแต่นั่งๆ นอนๆ ออกไปขยับร่างกายซะหน่อย
ช่วงนั้นเราออกอยู่สองแบบคือ ว่ายน้ำกับวิ่งนี่ละ ไม่รู้ออกกำลังกายได้มากไหม แต่ควบคุมอาหารนี่ได้ผลสุดๆๆ
เอ่อ .. แต่เราขอเตือนนะ ช่วงที่เราทำคือเราไม่ได้ทำไรเลยแต่ละวัน แบบงานบ้านหรือทำไรก็ไม่ได้ทำ แล้ว มันเป็นช่วงปิดเทอม เราทำเราโอเค เพื่อนเราเคยลองทำแล้วมันหน้ามืด
คืออาจจะแล้วแต่คนอะ ใชวิจารณญาณแล้วกันเน่อออออ
นั่นละ พอวันที่ 20 กรกฎา เราจำได้แม่น เนื่องจากเรากำลังจะไปค่ายกับเพื่อนๆ สาขา เราเลยพยายามเร่งลดมาก 5555 แบบอยากมีการเปลี่ยนแปลงชัดๆ
น้ำหนักอยู่ที่ 58 กิโล ....... เห้ยมันคือเลข5แล้ว ....... ดีใจอะ
พอเปิดเทอม กลางๆ เดือนสิงหาก็หนัก 58 อยู่ คือแบบ แต่งตัวเด๋อด๋าๆ มากก เพราะว่าเสื้อผ้าเปลี่ยนใหม่หมด เย้
เราก็กลับไปอยู่หอ ใช้ชีวิตปกติ กินข้าวอะไรก็ปกติ แต่มันยังติดนิสัยแบบตอนอยู่บ้านก็คือ กินน้อยอะ คือ ถ้ากินข้าวอิ่มแล้วคือ อิ่ม
ขนม เค้ก นม ถ้าไม่มีความอยากก็ไม่ได้กิน บางวันรู้สึกชิน กลางวันนั่งกินไข่ต้มก็มีบ้าง 555555
ทำให้น้ำหนักเราลดเองมาเหลืออยู่ที่ 55 กิโล .... มันดีอะแก (เปิดเทอมมาแรกๆไม่ได้ออกกำลังกายเลย)
พอ น้ำหนัก 55 แบบคงที่แล้ว เราก็ทำการกินปกติ ออกแนวเริ่มปล่อยตัวด้วยซ้ำ ฮ่าาา ก็กินขนม กินนม กินข้าวเยอะขึ้น แต่ก็ไม่เท่าตอนอ้วนแหละ
แล้วคราว นี้อยู่ๆไปเรื่อยก็รู้สึกว่า 55 ฉันก็ยังอวบๆอยู่เลยนะ เลยพยายามลด เพราะการกลับมาควบคุมการกิน แบบจริงจังขึ้น แต่คราวนี้เราไม่ใช้สูตรโหด
เพราะ เราต้องเรียนหนังสือ ทำนู๊นนี่ เราทำเป็นแบบ กินพวกก๋วยเตี๋ยว สลัดผัก เกาเหลา ผลไม้ ไข่ต้ม วนๆ อยู่แบบนี้ ถ้าต้องกินข้าวจริงๆ ก็กินกับเยอะกว่า ข้าวก็แบ่งๆ ให้เพื่อนไป
ช่วงนี้เราออกกำลังกายด้วยนะ ไปวิ่งตอนเช้า 40 นาที น่าจะอาทิตย์ละสองครั้งได้
นั่นละ ... น้ำหนักเราลดเหลือ 52 !! เย้ บอกตรงๆนะมันเริ่มลดยากแล้วตั้งแต่ 55 กิโล มา
พอ หนัก 52 เราก็ยังไม่ลืมเป้าหมายของเรา เราอยากหนัก 45 !! คือรู้นะว่ามันย้ากกกยาก แต่ก็พยายามกระดึ้บๆ ให้ลดลงๆ ไปเรื่อย คราวนี้มาถึงช่วงสอบ final ก็อยากจะลดน้ำหนักไปด้วยละ แต่มันก็ต้องกินละเน้อะ ก็กินปกติ แต่ละมื้อส่วนมากแบบรีบกินรีบเสร็จจะได้ไปอ่านหนังสือ ก็ยังกินไข่ต้มอีกเช่นเคย มันอิ่มมากเลยนะ ไปลอง ... ก็จะกินแบบปกติ แต่ไม่มีเวลาไปหาขนมมากินอะดิ หรือบางวันขี้เกียจออกไปข้างนอกมากๆ แบบอยากนั่งอยู่กับที่ ก็กินแค่โยเกิร์ต ผลไม้ ขนมเล่นๆ (มันไม่ดีนะ) น้ำหนักก็ลดมาถึง 50 กิโลถ้วนสมบูรณ์
คือดีใจมากกกกกกกกกก อยากลดน้ำหนักต่อ แต่ติดตรงกลับมาบ้านนี่ละ ของกินอร่อย ไม่กิน พ่อแม่ก็ดูเป็นห่วง ฮร่าาาาาาา
ถึงเวลาต้องลงรูป after 30 กิโลที่หายไปแล้วใช่ปะ ? แต่รูปตอนก่อนลดเราเยอะกว่าตอนลดแล้วอีก ดูไหม ? ดูๆๆ เราจะลง 555555
จำไม่ได้นะช่วงไหนเท่าไร ดูสุ่มๆ ไป 55555 ปัญหาหลักสำหรับเราเลยนะ เราเป็นคนหน้าใหญ่ แก้มนี่ใหญ่มาก 555 น้ำหนักลดเท่าไรหน้าก็ยังอ้วนอยู่
หลังจากที่น้ำหนักหายไป 32 กิโล !!! จาก 82.9 ลงมาเหลือ 50 กิโล ..... เฮ้ !!
สรุปน้ำหนักทุกวันนี้คือ 50 กินเยอะๆหน่อยก็สัก51-52 แต่วันถัดมาก็อยู่ช่วง 50 โลแหละ ..
นี่คือการเปลี่ยนแปลง เหมือนชีวิตหลังมรสุมมมมมม ฮ่าาา





ลดน้ำหนัก สไปเลนด์
ลดน้ำหนัก
http://asthaxanthin.com/




http://asthaxanthin.com/
#7
สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เรามารู้จักโรคอัลไซเมอร์กัน (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด โรคนี้ถูกบรรยายไว้ครั้งแรกโดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ Alois Alzheimer ในปี พ.ศ. 2499 ผู้ ป่วยโรคนี้จะมีอาการสำคัญ คือ ความจำเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมและนิสัยเปลี่ยนไป อาการจะดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสีย ชีวิตในที่สุด ไม่มีกรรมวิธีป้องกันหรือวิธีสำหรับรักษาให้หายได้
โรคอัลไซเมอร์จะพบในผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบอัตราการเป็นโรคมากขึ้น โดยในช่วงอายุ 65-69 ปี พบอุบัติการณ์การเกิดผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 3 คนต่อพันคนต่อปี แต่หากเป็นช่วงอายุ 85-89 ปี จะพบสูงถึง 40 คนต่อพันคนต่อปี พบได้ในทุกเชื้อชาติ เพศหญิงพบมากกว่าเพศชายเล็กน้อย อาจเนื่องจากเพศหญิงมีอายุยืนยาวกว่า ในกรุงสยามมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปีหลังอายุ 60 ปี
อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์? (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)(สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
ผู้ป่วยประมาณ 7% มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ และสามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ ตำแหน่งความผิดปกติบนโครโมโซมที่พบชัดเจนแล้วว่าทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์อยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 21, 14, 1, และ 19 ผู้ที่มีความผิดปกติของกรรมพันธุ์เหล่านี้จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่อายุน้อยกว่าคนที่ไม่ได้มีความผิดปกติทางพันธุกรรม นอกจากนี้พบว่าในผู้ป่วยโรคกลุ่มอาการดาวน์ (Down's syndrome) ซึ่งมีความผิดปกติคือมีสารกรรมพันธุ์ของโครโมโซมแท่งที่ 21 เกินมา หากมีชีวิตอยู่เกิน 40 ปี จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เหลือไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่พบเหตุเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ดังนี้ คือ อายุที่มากขึ้น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ เคยประสบอุบัติเหตุที่สมอง หรือสมองได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคอ้วน เป็นโรคเบาหวาน (เพิ่มความเสี่ยงขึ้นประมาณ 3 เท่า) เป็นโรคความดันโลหิตสูง และเป็นโรคไขมันในเลือดสูง แต่ระดับการศึกษาและระดับสติ ปัญญาไม่มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค
นอกจากนี้ มีการศึกษาพบว่าสารเคมีในธรรมชาติบางตัว เช่น อะลูมิเนียม ปรอท รวมทั้งไวรัสบางชนิด อาจเป็นสาเหตุของโรคนี้ แต่หลักฐานก็ยังไม่ชัดเจน
ส่วนปัจจัยที่ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคนี้ลงได้ ได้แก่ การใช้ยาต้านการอักเสบในกลุ่มเอนเสดส์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs, NSAIDs) การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในหญิงวัยหมดรอบเดือน การกินผักและผลไม้เป็นประจำ การดื่มไวน์แดงในปริมาณที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การใช้สมองฝึกคิด ฝึกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเป็นประจำ
อนึ่ง ยาทั้งสองชนิดที่กล่าวถึง ไม่ควรซื้อกินเองเพราะมีผลข้างเคียงสูง เช่น เอนเสดส์อาจก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร (โรคแผลเปบติค) และเอสโตรเจน เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
พยาธิสภาพสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์เป็นอย่างไร? (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
เมื่อนำสมองของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มาตรวจดู จะพบลักษณะดังนี้ สาหร่ายแดง (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
พบกลุ่มแผ่น (Plaque) ที่เกิดจากการรวมตัวของโปรตีนที่ผิดปกติและถูกล้อม รอบด้วยเซลล์ประสาทที่เสื่อม (Dystrophic neuritis) เรียกกลุ่มแผ่นนี้ว่า Amyloid plaques หรือ Neuritic plaques ซึ่งต้องตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยจะพบกลุ่มแผ่นเหล่านี้อยู่ในเนื้อของสมองแต่อยู่นอกเซลล์ประสาท โปรตีนที่ประกอบกันเป็นกลุ่มแผ่นนี้ มีโปรตีนที่ชื่อ Beta-amyloid protein เป็นองค์ประกอบหลัก
ในช่วงระยะแรกของการเป็นโรค บริเวณของสมองที่จะพบ Amyloid plaques คือส่วนของกลีบสมองใหญ่ส่วนลึกที่เรียกว่า Hippocampus และ Entorhinal cortex ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ
ในช่วงระยะหลังของโรค จะพบที่สมองใหญ่บริเวณที่เกี่ยวข้องกับกระบวน การคิดและเหตุผล (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
ส่วนสมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวร่างกาย การรับรู้ความรู้สึก จะไม่ค่อยพบ Amyloid plaques
ในสมองคนสูงอายุทั่วไป สามารถพบ Amyloid plaques ได้ แต่จะมีปริมาณไม่มากเท่ากับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์
พบเส้นใยฝอย (Fibril) ของโปรตีนที่มาพันรวมตัวกันผิดปกติ เรียกว่า Neurofibril lary tangles (NFT) ซึ่งต้องตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยจะพบอยู่ในเซล์ประสาทส่วนที่ไม่ ใช่นิวเคลียส์ โปรตีนที่เกิดความผิดปกตินี้ชื่อว่า Tau protein ตำแหน่งที่พบจะเหมือนกับ Amy loid plaques ซึ่งเซลล์ประสาทที่มี NFT นั้นในที่สุดก็จะตายไป แต่การพบ NFT นี้ไม่ได้เป็นคุณสมบัติเฉพาะของโรคอัลไซเมอร์ เพราะสามารถพบได้ในโรคสมองเสื่อมชนิดอื่นๆด้วย
การตรวจดูสมองด้วยตาเปล่า จะพบการฝ่อลีบของสมอง โดยเฉพาะบริเวณกลีบต่างๆของสมอง
โรคอัลไซเมอร์มีอาการอย่างไร? (สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin)
อาการของโรคนี้จะค่อยเป็นค่อยไป และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเสียชีวิตในที่สุด โดยคร่าวๆ จะแบ่งอาการเป็นระยะต่างๆ ดังนี้
ระยะก่อนสมองเสื่อม ผู้ป่วยจะมีความบกพร่องทางการเรียนรู้เล็กน้อย (Mild cog nitive impairment) มีปัญหาในการจดจำข้อมูลที่เพิ่งเรียนรู้มาไม่นาน หรือไม่สามารถรับข้อ มูลใหม่ๆได้ แต่โดยทั่วไปยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ ยังตัดสินใจทำในสิ่งต่างๆได้ ยกเว้นเรื่องที่วกวน และหากนำผู้ป่วยไปทำการทดสอบทางสมองและสภาพจิต ก็จะยังไม่พบสิ่งผิดปกติ ผู้ป่วยในระยะนี้ก็จะไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ แต่ใน ทางการศึกษา เมื่อตรวจสมองของผู้ป่วยเหล่านี้จะพบความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว เช่นสมองส่วน Entorhinal cortex มีการฝ่อลีบ พบ Amyloid plaques, Neurofibrillary tangles เป็นต้น และสันนิษฐานว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสมองเหล่านี้ น่าจะปรากฏมา 10-20 ปี ก่อนที่ผู้ป่วยจะเกิดอาการต่างๆในระยะต่างๆของโรคนี้ตามมา
สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin คือผลิตภัณฑ์เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ สกัดจากสาหร่ายทะเล  Haematococcus pluvialis โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัย สาหร่ายแดงมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารแอสต้าแซนธิน(astaxanthin), Vitamin A, Vitamin E และ Lutein สาหร่ายแดงมีคุณลักษณะในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมโดยทำงานประสานกัน เพราะสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตได้เองและได้จากการทานผัก ผลไม้ มีไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถป้องกันและกำจัดอนุมูลอิสระที่มีมากมายเนื่องจากร่างกายสร้างขึ้นเอง และได้รับการกระตุ้นจากภายนอกร่างกาย เช่นมลพิษต่างๆจาก อากาศ น้ำ และอาหาร รังสี UV ยา และสารเคมี เป็นต้น ร่างกายมนุษย์เปรียบเหมือนสนามรบที่ต่อสู้กันระหว่างอนุมูลอิสระ และสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าอนุมูลอิสระชนะ เซลล์จะถูกทำลายเกิดการอักเสบเรื้อรังกลายเป็นโรคเสื่อมต่างๆ เช่น หัวใจและหลอดเลือด, มะเร็ง, เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, อัมพฤต, อัมพาต, โรคภูมิแพ้, เกาต์, โรครูมาตอยด์, โรคต้อกระจก, โรคอัลไซม์เมอร์, โรคพาร์กินสัน, โรคชราก่อนวัย ฯลฯ
(สาหร่ายแดง AstaRex Astaxanthin) ผ่านอย. ปลอดภัย 
#8
การลดน้ำหนักเกี่ยวกับมือใหม่ การลดน้ำหนักด้วยเคล็ดต่างๆนานา อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก โหดร้าย ทำลายความรู้สึก ก็เพราะว่ายังคงติดการใช้ชีวิตแบบเดิมๆอยู่ ทาง LOVEFITT จึงได้รวบรวมเทคนิคขั้นพื้นฐานของการลดน้ำหนักสำหรับผู้เริ่มต้นลดน้ำหนักมาให้ใช้กันค่ะ spilend สไปเลนด์
เมื่อรู้แล้วว่าอ้วน เสื้อผ้าคับ เดินไม่สบาย หอบง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง หน้าบาน แก้มห้อย เพื่อนแซว แฟนทิ้ง แม่บ่น ต่างๆนานาที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเราอ้วนจนเกินจะเยียวยา เพราะสุขภาพเริ่มแย่ทำอะไรๆก็ไม่สะดวก ก่อนจะเริ่มวิธีการต่างๆนั้นเราควรเริ่มที่การตั้งใจมุ่งมั่นอย่างจริงจังเสียก่อน ทำความเข้าใจก่อนว่าการจะลดนั้นต้องอาศัยเวลา ความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ความอดทนเพียงอย่างเดียว เมื่อมุ่งมั่นแล้วจงทำให้สุดความสามารถแล้วเริ่มปฏิบัติดังนี้ spilend สไปเลนด์
คำนวน ชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วน และ จดบันทึก spilend สไปเลนด์
ก่อนอื่นเราเราต้องรู้ตัวก่อนว่าเราอ้วนแค่ไหน โดยการชั่งน้ำหนัก หรือ วัดรอบเอว ขนาดรอบเอว(ระดับสะดือ)โดยค่าจะต้องไม่เกิน ส่วนสูงของเรา หารด้วย 2 ถ้าเกินนั้นหมายถึงคุณอ้วนลงพุงแล้ว หรือจะดูจากว่าเราเป็นเพศอะไร มีกิจกรรมการทำงานอย่างไร ต้องใช้พลังงานต่อวันเท่าไหร่ โดยมากค่าเฉลี่ยของชายจะใช้พลังงานอยู่ที่ไม่เกิน 2000 kcal ต่อวัน และผู้หญิงจะใช้ไม่เกิน 1600kcal ต่อวัน และผู้ใช้แรงงานอยู่ที่ 2400 kcal ต่อวัน หรือวัดสัดส่วนของร่างกายที่ตำแหน่ง รอบอก รอบเอว รอบสะโพก รอบต้นแขน และ รอบต้นขา จดบันทึก รายละเอียดต่างๆตอนเริ่มต้นไว้ spilend สไปเลนด์
ตัดอาหารที่ไม่จำเป็นกับเราเสียก่อนgrnjvการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ spilend สไปเลนด์
อาหารที่จำเป็นกับเราคืออาหารหลักที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิต สมัยโบราณแต่เก่าก่อน เราทานข้าวทานอาหารกันเป็นมื้อๆ ไม่มีของว่างจุบจิบระหว่างมื้อ แต่ในปัจจุบันคนมักทานเพื่อความรื่นเริงกันมาก มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจึงทำให้คนมีภาวะโรคอ้วนเฉลี่ยสูงขึ้นทุกๆปี จึงแนะนำให้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกเสียก่อน เช่น ของว่างระหว่างวัน เครื่องดื่ม ของขบเคี้ยวจุบจิบ ของหวานล้างปาก ของกินฆ่าเวลา เพราะความจริงแล้วเมื่อเราตัดหรือลดมื้อย่อยๆเหล่านี้ได้ เราอาจสามารถลดพลังงานที่เหลือใช้ลงได้ถึงวันนึงอย่างน้อย 400 – 500 kcal เลยทีเดียว spilend สไปเลนด์
หลีกเลี่ยง ของทอด ของหวาน ของมัน ของเค็ม วิธีนี้เป็นกระบวนการการลดน้ำหนักที่สำคัญ spilend สไปเลนด์
เมื่อเราตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกได้ซักระยะนึงจนรู้สึกมั่นใจกับการลดน้ำหนักได้แล้ว จึงเริ่มสังเกตุและปรับแก้ที่อาหารหลัก ตรวจเช็คอาหารหลักของเราว่าปรุงด้วยวิธีใด พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด ผัดน้ำมันเยอะ หรืออาหารอบที่ใช้ นม เนย สูงๆ หันมารับประทานอาหารที่ปรุงด้วยการ ต้ม นึ่ง เผา ย่าง และตรวจเช็คว่า สิ่งเราทานนั้นมีรสจัดเกินไปหรือไม่ เพราะอาหารรสจัด ก็มีผลกับน้ำหนักตัวเช่นกัน โดย ลดปริมาณความหวานจากน้ำตาล และ ความเค็มจากซอสต่างๆลง เพียงเท่านี้เราก็สามารถลดน้ำหนักได้แล้วคะ spilend สไปเลนด์
ออกแรง ออกกำลังกาย ขยับตัวให้มาก 
อย่าเข้าใจผิดว่าการออกกำลังกายนั้นจำเป็นจะต้องไปออกที่สนาม ออกไปวิ่ง ไปฟิตเนสเพียงอย่างเดียว แต่การออกกำลังกายนั้นสามารถทำได้ ทุกที่ทุกเวลา เพียงเราใช้การขยับตัวให้มากขึ้น เดินไปไหนมาไหน ทำกิจกรรมต่าง แทนการนั่ง-นอนเฉยๆอยู่กับบ้าน ทุกๆกิจกรรมก็สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้หมด (วิธีการออกกำลังกายเพื่อนการลดน้ำหนัก) สำหรับคนที่จะจริงจังด้านการกายบริหารควรเริ่มทำทีละน้อยตามสภาพร่างกาย อย่าหักโหม ค่อยเป็นค่อยไป โดยคิดถึงหลักการคล่าวๆคือ ถ้าออกแรงน้อยให้ใช้เวลานานหน่อย แต่ถ้าออกแรงมากก็ ขอเป็น 40 นาที นาทีที่ 41 เป็นต้นไปถือเป็นกำไร  ทำไมต้อง 40 นาที spilend สไปเลนด์
เลือกทานอาหารที่มีคุณค่า spilend สไปเลนด์
เมื่อลดของที่ไม่จำเป็น ลดแหล่งความอ้วนได้แล้ว เราควรเพิ่มของที่ประโยชน์แก่ร่างกายเข้ามาแทน ทานผัก ทานผลไม้ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ นม ข้าวแป้งไม่ขัดสีให้มากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นขุมพลังงานสะอาดและสารอาหารที่มีประโยชน์ ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทานเท่าไหร่ถึงพอดี อย่าอดหรือข้ามมื้อ หรือตัดสิ่งใดสิ่งนึงไปเลย แต่ควรเลือกทานในปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่า เพื่อลดอาการเครียด ถ้าอยากก็จงทานอย่างมีสติแล้วกลับมาควบคุมตามแผนอย่างเดิม เพราะการทานมื้อใหญ่เพียงมื้อเดียวไม่ได้ทำให้อ้วนขึ้นอย่างแน่นอน spilend สไปเลนด์
เมื่อทำตามที่กล่าวไปแล้วน้ำหนักจะลดลงอย่างช้าๆ เพราะนั้นคือการปรับสมดุลให้ร่างกายมีอนามัยที่ดี อย่าคาดหวังว่ากับการลดน้ำหนักมากนัก ตัวเลขบนตราชั่งมากนัก ระหว่างทางอาจมีบ้างที่น้ำหนักจะนิ่ง แต่อย่ากังวล ให้เราใช้การวัดสัดส่วน สำรวจรูปร่างตัวเอง จากเสื้อผ้าจากคนรอบข้าง เพราะสิ่งที่เรากำลังทำต้องใช้เวลา เรากำลังเปลี่ยนแปลงพฤิกรรม ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าเปรียบเทียบกะใคร เราแข่งกับตัวเอง เพื่อให้ใด้สุขภาพอนามัยที่ดี ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง หรือกลับมาทบทวนว่าเราขาดหรือหลุดในจุดไหนไปก็ปรับแก้ไป และผลสำเร็จที่ได้มานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขบนตราชั่งเท่านั้น แต่มันจะเห็นผลชัดเจนที่เรามีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ฟิตขึ้น และมีรูปร่างที่ดีเป็นของแถม  นอกจากการลดน้ำหนักจะประสบความสำเร็จแล้ว  การลดน้ำหนักยังทำให้เรามีสุขภาพอนามัยที่ดีด้วย หากเราลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีการ spilend สไปเลนด์ ลดน้ำหนัก
#9
ขอดันประกาศสาหร่ายแดงนะคะhttp://asthaxanthin.com
#10
ขอดันประกาศสาหร่ายแดงนะคะhttp://asthaxanthin.com
#13
ขอดันประกาศสาหร่ายแดงนะคะhttp://asthaxanthin.com
#14
ขอดันประกาศสาหร่ายแดงนะคะhttp://asthaxanthin.com
#15
ธรรมชาติของมนุษย์เราชอบกินหวาน แต่การกินรสชาติหวานที่มากเกินไปและอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้ติดหวานได้ แม้จริงๆ แล้วน้ำตาลไม่ใช่สารเสพติด แต่การวิจัยก็พบว่า สมองของคนที่กินหวานจนชิน จะมีการตอบสนองต่อน้ำตาลด้วยการหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา ทำให้เกิดความพึงพอใจและความอยากกินหวาน เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะการพึ่งพาน้ำตาล (sugar dependency) หรืออาจเรียกว่าเป็นการ "ติดรสหวาน" นั่นเอง การติดรสหวาน เมื่อถึงขั้นติดแล้ว ก็ยากที่จะเลิกหรือลดการกินหวานลง สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินหวานทำให้ติดหวาน และเมื่อติดหวานแล้วก็ยิ่งกินหวานมากขึ้น อันเป็นวังวนที่ไม่แตกต่างจากการเสพติดชนิดหนึ่ง ถ้ากินหวานมากขึ้นเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ฟันผุ และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาต และโรคหัวใจขาดเลือด
   "หวานมาจากไหน" หวานมาจากน้ำตาล ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานจะพบน้ำตาลได้จากเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เป็นต้น ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นต้น
   กลุ่มผลไม้รสหวานจัด เช่น ลำไย องุ่นสับปะรด มะม่วงสุก เป็นต้น รวมถึงผลไม้เชื่อม แช่อิ่มและผลไม้แห้ง เช่น กล้วยตากอินทผลัม ลูกเกด เป็นต้น นอกจากนี้ในกลุ่มข้าว แป้ง และผักก็มีน้ำตาลด้วยเช่นกัน
   จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 พบวัยทำงานอายุระหว่าง 25-59 ปี ดื่มน้ำอัดลม และดื่มน้ำหวาน ร้อยละ 31 เช่นเดียวกันเครื่องดื่มยอดนิยมของเด็กและวัยรุ่นคือน้ำอัดลม จะเห็นได้ว่าอัตราการบริโภคน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก 12.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ใน พ.ศ.2526 เป็น 36.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ใน พ.ศ. 2550 หรือเฉลี่ยวันละ 25 ช้อนชาต่อคน ซึ่งราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อคนต่อวัน สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ได้วิเคราะห์ปริมาณน้ำตาลในกาแฟเย็นยอดนิยมต่างๆ พบว่า คาปูชิโน่ มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 8 ช้อนชามอคค่า มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 6 ช้อนชา และลาเต้ มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 6.5 ช้อนชา นอกจากนี้เครื่องดื่มประเภทชาเขียวและน้ำอัดลมมีความหวานประมาณ 8-15 ช้อนชา
   "ภัยเงียบที่มากับความหวาน"
    การกินอาหารรสหวานมากเป็นประจำ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไปโดยเฉพาะกรดอะมิโนทริปโตฟานถูกเร่งไปสู่สมองมากเกินไป จึงทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อยง่าย ไม่กระฉับกระเฉง ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้ติดเชื้อง่าย และผลของการเผาผลาญน้ำตาลจะเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ ถ้าเด็กกินอาหารหวานมากไป จะทำให้อิ่มและทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
   นอกจากนี้อาจทำให้เกิดฟันผุและเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาตและโรคหัวใจขาดเลือด ยังทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา ตลอดจนเสียโอกาสสร้างรายได้และการดำรงคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยโรคดังกล่าวสูงขึ้นทุกปี ค่าพยาบาลรวมกันกว่าแสนล้านบาทต่อปี
   ถ้าติดรสหวานเลี่ยงไม่กินน้ำตาล แต่มากินสารที่ให้ความหวานแทน ซึ่ง 1 กรัม ให้พลังงาน 1.5 - 3 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี ฉะนั้นขอให้พึงระวังว่าเราจะติดรสหวานแบบไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเรายังไม่สามารถลดความหวานได้เลย เพราะสารเหล่านี้จะไปช่วยเพิ่มความอยากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งลดปริมาณโครเมียมที่ร่างกายเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการดูดซึมน้ำตาลสู่กระแสเลือดอีกด้วย
   "ลดหวาน ลดโรค" ลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคอ้วน ด้วยการดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มรสหวาน กินผลไม้รสไม่หวานจัดเป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน หรือเลือกขนมไทยรสอ่อนหวาน หรือขนมกรุบกรอบลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียม 25 %
   ลดการเติมน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่ม อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งให้สังเกตเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ฉลากระบุว่าน้ำตาลต่ำ หรือน้ำตาลน้อย จำกัดการกินผลไม้รสหวาน และลดการดื่มน้ำผลไม้ทุกชนิด ลดขนาดและปริมาณการกินขนมที่รสหวานหรือแบ่งเก็บไว้กรณีที่กินได้หลายครั้ง
   ที่สำคัญพึงระมัดระวังการกินอาหารประเภทปราศจากไขมัน มักมีความเชื่อผิดๆ ว่าอาหารที่ปราศจากไขมันจะไม่ทำให้คุณอ้วน แต่จริงๆ แล้ว คำว่าปราศจากไขมันหรือไขมัน 0% ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลอรี นอกจากนั้น อาหารปราศจากไขมันยังอุดมไปด้วยน้ำตาลอีกต่างหาก
   การรวมความหวานให้กับชีวิต อาจทำให้สุขภาพจิตสดชื่นแจ่มใส แต่การเติม "น้ำตาล" ในอาหาร การกินผลไม้ที่มีรสหวานจัด รวมถึงการเติมน้ำตาลยิ่งมากยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ลองบอกตัวเองหันมาใช้คำว่า "อ่อนหวานดีกว่า" ในทุกมื้ออาหารจะดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้อ้วน ฟันไม่ผุ ไม่เสี่ยงต่อโรคร้าย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาต และโรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ
   ปรับกิริยาท่าทางในการกินเพื่อลดอาหารรสหวานจัด โดยให้ทำตามข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย เรียกง่ายๆ ว่า โภชนบัญญัติ 9 ข้อ กินอาหารตามธงโภชนาการ และหมั่นบริหารร่างกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที
   เพื่อคุณลักษณะชีวิตที่ดีของทุกคนลดน้ำตาล 1 ช้อนชา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ "ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เติมเต็มผัก ผลไม้ หมั่นออกกำลัง ลดอ้วน ลดโรค
 ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
สไปเลนด์ spilend เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมุนไพร 
สไปเลนด์ spilend สามารถทานได้โดยไม่มีอาการข้างเคียง ไม่โทรม ไม่โยโย่ เรามาดูคุณสมบัติของ
สไปเลนด์ spilend กันคะ
สไป-เลนด์ (Spilend )
คุณสมบัติ :
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยเพิ่มการเผาไขมัน
– สไปเลนด์ Spilend ยับยั้งการดูดซึมไขมันและน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด
– สไปเลนด์ Spilend ลดความอยากอาหาร
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยการขับถ่ายและขับสารพิษออกจากร่างกาย
– สไปเลนด์ กระชับสัดส่วนต่างๆ
– สไปเลนด์ Spilend ลด cholesterol และ triglyceride
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยให้หุ่นดูเพรียวกระชับ
– สไปเลนด์ Spilend หน้าท้อง เอว ต้นแขน และขาเล็กลงอย่างเห็นชัด
– สไปเลนด์ Spilend ไม่อึดอัด รู้สึกสบายตัว
สไปเลนด์ Spilend เพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ ฯลฯ
เลขทะเบียน อย. : 10 – 1 – 13155 – 3001
ขนาดบรรจุ 60 แคปซูล
#16
ทำสเต็กปลาแซลมอนแบบง่ายที่สุด แถมอร่อยด้วย เย็นนี้ว่างๆ อยากกินสเต็กปลาแซลมอน เพราะซื้อเนื้อปลาแซลมอนจากแมคโครมาตุนไว้หลายแพ็ค ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาทำข้าวผัดกิน  แต่เห็นชิ้นเนื้อน่าทานดี สีส้มแป๊ด เลยคิดว่าเอามาทำสเต็กน่าจะเข้าที แต่ในครัวไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะเอามาเสริมหล่อให้สเต็กปลาแซลมอนที่จะทำได้เลย  เนื่องจากไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ปัญหา เรียนวิชาทำอาหารมาจากเชฟสุรินทร์แห่งร้านครัวระเบียงปายมาเกือบครึ่งปีแล้ว ตั้งใจหาสไตล์ตัวเอง คือทำแบบใส่เครื่องปรุงแบบมักน้อยเพราะไม่มีอะไรเลย จริงๆจะบอกว่ามักง่ายก็เกรงใจ คือไม่มีเครื่องเคียงอะไรเลย แต่ก็จะทำสเต็กปลาแซลมอน สุดยอดเมนูอาหารปลาที่หลายคนถวิลหา เปิดดูในครัว เห็นที่จะพอเอามาใช้เพิ่มรสความอร่อยให้สเต็กปลาแซลมอนที่จะทำได้ก็มีแต่เกลือป่นกับพริกไทย เอาละครับ(วะ) มีแต่เกลือ พริกไทย และปลาแซลมอน มีเพียงเท่านี้ก็เอามาทำสเต็กปลาแซลมอนแค่นี้ก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร มาดูกันครับว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่กระซิบนิดนึง ทำ 4 ชิ้น หมดเกลี้ยงไปในพริบตา ขนาดคนใกล้ตัวที่เคยพาไปทานสเต็กปลาแซลมอนที่ร้านอาหารดังในห้าง แล้วบ่นว่าคาวแล้วไม่เคยกินอีกเลย ยังมาขอแบ่งไปลองชิมตั้ง 2 ชิ้น แล้วบอกว่าอร่อยดี ไม่คาวเลย ทำได้อย่างไร ผมก็ตอบไม่ได้ครับ ว่าทำไมไม่มีกลิ่นคาวเหมือนที่ร้านอาหาร มาช่วยกันอ่านรู้แล้วบอกผมด้วยนะครับ
องค์ประกอบและวิธีทำสเต็กปลาแซลมอนแบบง่ายที่สุด แต่การันตีว่าอร่อยแน่นอน
1 ชิ้นเนื้อปลาแซลมอน 2 ชิ้น ชิ้นละ 120-125 กรัม (ทาน 2 คน) ถ้าฟรีซแช่แข็งไว้ ให้เอามาตั้งให้คลายเย็นจนเนื้อปลานิ่มก่อน  ถ้าเนื้อปลาชิ้นใหญ่ให้สังเกตุว่าจะมีส่วนที่ชิ้นเนื้อปลาหนาและบางไม่เท่ากัน ให้ตัดแบ่งแยกส่วนที่หนาและบางออกจากกัน ให้เนื้อปลาในชิ้นเดียวกันมีขนาดเท่าๆ กัน เพราะถ้าเอาไปทำสเต็กทั้งแผ่นโดยไม่แยกส่วนหนาและบางออกจากกัน เวลานำไปทอดส่วนที่เนื้อหนาจะไม่ทันสุก ส่วนที่เนื้อบางก็จะไหม้เสียก่อน
2 เมื่อแบ่งแยกชิ้นปลาเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้เกลือป่นเล็กน้อย และพริกไทยบดตามชอบ โรยบนชิ้นปลา (ถ้าปลามีหนังติดมาด้วยให้โรยเฉพาะด้านที่ไม่มีหนัง) ทิ้งไว้ซักครู่ ประมาณ 5 นาที
3 เอากระทะเหล็กเผาไฟให้ร้อนจัดก่อน สังเกตุมีควันขึ้นเลย ใส่น้ำมันพืชลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ละเลงให้น้ำมันเคลือบกะทะให้ทั่วๆ ใช้ไฟแรงๆ หน่อย สังเกตุน้ำมันในกระทะควันขึ้นเลย ใส่เนื้อปลาแซลมอนลงไปทอดหรือนาบกับกระทะ  ถ้าเป็นชิ้นปลาที่มีหนังอยู่ด้วย ให้เอาด้านที่มีหนังอยู่ลงทอดก่อน หรี่ไฟใช้ไฟกลาง ทิ้งไว้สักครู่ สังเกตุเนื้อปลาจะเริ่มสุกมีสีขาวไล่ขึ้นมาเลย ลองแย้มดูด้านล่างที่ติดกระทะ ถ้าสุกได้ที่ดีแล้วก็ตักพลิกอีกด้านลงทอดนาบกับกระทะ (ถ้ามีหนังปลาพออยู่ข้างบนจะเป็นสีบราวน์ น่าทานดีทีเดียว) ทอดจนสุกดีทั้ง 2 ด้านก็ยกขึ้นใส่จาน ทานได้เลย
 ถ้าจะให้แหล่มอีกนิดจะกินคู่กับซอสพริกก็ได้ แต่ของผมมีแค่นี้ก็กินแค่นี้ แต่เนื้อปลาหอมอร่อยมาก ปกติการทำสเต็กปลาแซลมอนจะไม่นิยมให้เนื้อปลาสุกมาก คือเนื้อด้านในยังคงแดงอยู่  แต่วันนี้ตั้งใจให้คนที่ไม่ชอบกลิ่นปลาแซลมอนกินด้วยเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ ก็เลยให้ปลาสุกเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง ในรูปที่เห็นดำๆ ไม่ได้ไหม้นะครับ เป็นพริกไทยที่ผมตั้งใจโบ๊ะลงไปเยอะๆ เพื่อให้กลบกลิ่นคาวของปลาแซลมอนซึ่งได้ผลดีเสียด้วย จากที่เกลียดกลิ่นปลาแซลมอนคราวนี้ก็กินไปชมไป ตอนแรกผมตั้งใจให้กินชิ้นเดียวผมจะสวาปาม 3 ชิ้น เลยเหลือได้กินเองแค่ 2 ชิ้น  คงเป็นเพราะว่ากลิ่นของสเต็กปลาแซลมอนที่ทำหอมชวนน้ำลายย้อย เอ๊ยน้ำยายไหล เอ้ยน้ำลายไหล ตั้งแต่ตอนเอาเนื้อปลาแซลมอนนาบกระทะร้อนๆ แล้ว อิอิ แหมทำเป็นตลกเชิญยิ้มไปได้ ส่วนภาพมืดไปหน่อยเพราะใช้แฟลชไม่ได้ ไฟในห้องก็สลัว แต่ได้แค่นี้ก็พอจะ โอ แล้ว  เพราะอีกไม่ถึง 2 นาที ก็เหลือแต่จานเปล่าๆ ซะแล้ว
เทคนิคการทำสเต็กปลาแซลมอนแบบง่าย
1 การใส่พริกไทยดำและเกลือลงไป ยกเว้นจะได้กลิ่นหอมของพริกไทยและเกลือช่วยเพิ่มรสชาติที่ไม่ขัดกันแล้ว ยังช่วยดับคาวได้ด้วย
2 การเผากระทะให้ร้อนแล้วใส่น้ำมันลงไป จะทำให้น้ำมันเคลือบติดกับกระทะได้ดี เวลาทอดชิ้นปลา เนื้อปลาก็จะไม่ติดกระทะ แถมได้กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นควันเพิ่มขึ้นด้วย เทคนิคนี้เนื้อปลาจะไม่อมน้ำมัน แต่อย่าให้เนื้อปลาสุกมากไป เอาแค่พอสุกก็พอ ก็แหมปลาฝรั่งทั้งที ก็ต้องกินให้มีกลิ่นฝาหรั่งบ้างซิ จริงไหมครับ
3 เวลาทอดปลาอย่าพลิกปลาบ่อยๆ เนื้อจะเละซะก่อน ให้รอจนได้ที่แล้วพลิกทีเดียวเลย จะใช้วิธีแย้มดูได้ไม่ผิดกติกา
ขอบคุณข้อมูลจากก้าวหน้าดอทคอม
ปลาแซลมอนยกเว้นจะมีรสชาติที่ดีแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมอีกด้วย สารต้านอนุมูลอิสระสารนั้นคือ astaxanthin ซึ่งพบมากในสาหร่ายแดง กุ้งและปลาตัวเล็กๆ ปลาแซลมอลก็กินกุ้งและปลาตัวเล็กๆเป็นอาหาร ทำให้ปลาแซลมอนมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สาร astaxanthin ในสาหร่ายแดง ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด astaxanthin ในสาหร่ายแดงที่ผ่านอย. คือ astaxanthin ของ AstaRex 
astaxanthin ในสาหร่ายแดง คือราชันย์แห่งสารต้านอนุมูลอิสระ  astaxanthin AstaRex
สาหร่ายแดง astaxanthin AstaRex เลขที่ อย. : 10 – 3 – 12750 – 1 – 0008
สาหร่ายแดง astaxanthin AstaRex ขนาดบรรจุ : 60 แคปซูล
สาหร่ายแดง astaxanthin AstaRex แพงแต่ดี ติดตามข้อมูล สาหร่ายแดง astaxanthin AstaRex ได้ที่ http://asthaxanthin.com/
#17
มีบุตรยาก มีลูกยากจะทำเช่นใด สาหร่ายแดงช่วยได้นะจะบอกให้
ภาวะมีลูกยาก (INFERTILITY)
ภาวะมีลูกยากไม่ใช่โรคแต่คู่แต่งงานที่มีลูกยาก มักจะมีความรู้สึกลึกๆ ว่า ตนเองบกพร่องหน้าที่ในการดำรงสายพันธุ์แห่งวงศ์ตระกูล และสืบสาน ถ่ายทอดขนมธรรมเนียม เอกลักษณ์ จิตวิญญาณ และมรดกของปู่ย่าตายายให้คงอยู่ต่อไป
คู่รักที่แต่งงานและอยู่กินกว่า 1 ปี แล้วยังไม่มีลูก เรียกว่าเป็น "คนมีลูกยาก" เพราะจากการสำรวจวิจัย คู่สมรส 100 คู่ ที่อยู่กันครบ 1 ปี มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ จะมีลูกหรือกำลังตั้งครรภ์ถึง 90 คู่หรือ 90% เหลือเพียง 10% เท่านั้น ที่ยังไม่มีลูกคนเหล่านี้ถือว่าเป็น "คนมีลูกยาก" ประเภทเริ่มแรก (Primary infertile)
แต่ยังมีบางคนที่เคยมีลูกมาแล้ว เช่น พวกลูกโต ลูกตายหรือเป็นหม้าย แต่งงานใหม่วันดีคืนดีนึกอยากจะมีลูกและได้พยายามดูอยู่นานเกินกว่า 1 ปี ก็ยังไม่สำเร็จ คนพวกนี้ถือว่ามีลูกยากเช่นกัน แต่เป็น "คนมีลูกยากประเภทที่สอง" (Secondary infertile) เรียกง่ายๆ ว่า "ประเภทกลับใจ"
ไม่ว่าจะเป็น คนมีลูกยากตั้งแต่เริ่มแรก (Primary infertile) หรือกลับใจอยากจะมีอีกสักครั้ง (Secondary infertile) ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องหาสาเหตุให้ได้และแก้ไขรักษา ตามหลักวิชา ซึ่งสมัยนี้วิทยาการและเทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมาก
การที่คนเราจะมีลูกได้นั้น สามีต้องมีเชื้ออสุจิที่แข็งแรง ภรรยาต้องมีไข่ซึ่งเกิดจากรังไข่ที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ทั้งก่อนและหลังไข่ตก "เชื้ออสุจิ" ต้องพบกับ "ไข่" ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติสถานที่นัดพบครั้งแรกจะเป็น "ท่อนำไข่" ดังนั้น "ท่อนำไข่" ต้องสะดวกในการเดินทางและมีบรรยากาศที่ไม่เป็นพิษ เมื่อพบกันอสุจิต้องผสมกับไข่ ให้ได้ เพราะทั้งสองมีอายุการใช้งานที่สั้นเพียง 24-48 ชั่วโมงเท่านั้น การผสม (Fertilization) ต้องพอเหมาะพอดี เร็วเกินไปหรือช้าเกินไปจะได้ "ตัวอ่อน" ที่ไม่ดี
ตัวอ่อนที่ได้จากการผสมจะเดินทางในท่อนำไข่เข้าหาโพรงมดลูกซึ่งในระหว่างทางจะแบ่งตัวและเติบโตแต่ห้ามมีอะไรมาขัดขวาง มิฉะนั้น "ตัวอ่อน" จะตายหรือหยุดลงฝังตัวตรงนั้น "ตัวอ่อน" เดินทางในท่อนำไข่ 5-7 วัน ก็ถึงโพรงมดลูกสักระยะหนึ่ง และฝังตัวในราววันที่ 7-9 นับแต่วันที่ปฏิสนธิ มดลูกของสตรีจึงมีคุณค่าในการรักษาชีวิต "ตัวอ่อน" ต่อแต่นี้ไป หากมดลูกไม่ดี เช่นมีเนื้องอกหรือเยื่อโพรงมดลูกบางเกินไป "ตัวอ่อน" อาจฝังตัวไม่ได้ และตายไปสตรีผู้นั้นก็จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า คนเราจะเกิดมาได้ ต้องมีองค์ประกอบสมบูรณ์ดี อย่างน้อย 5 ประการ
- ฝ่ายชายต้องมี "เชื้ออสุจิ" จำนวนมากพอสมควร แข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ดี 
- ฝ่ายหญิงต้องมี "ไข่" ที่สมบูรณ์ดีและมีการตกไข่ที่สม่ำเสมอ 
- มูกปากมดลูก ต้องมีคุณภาพดีปริมาณพอเหมาะ และเป็นมิตรคอยช่วยเหลือการเดินทางของ "อสุจิ" จนถึงจุดหมายปลายทาง 
- เส้นทาง ตั้งแต่ปากมดลูก, โพรงมดลูกและท่อนำไข่ ต้องดี สะดวกไม่มีอุปสรรคขัดขวางทั้งขาไปและขากลับ 
- มดลูกต้องดี ไม่มีเนื้องอก เยื่อบุโพรงมดลูกต้องหนาพอที่จะรองรับการฝังตัวและเจริญเติบโตของ "ตัวอ่อน" อย่างไม่มีปัญหา จนถึงกำหนดคลอดออกมา
การตรวจหาสาเหตุ ไม่ใช่เป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ที่เป็นปัญหาค่อนข้างมาก คือ สามีไม่ค่อยให้ความร่วมมือ และบางทียังต่อต้านด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองแทบจะไม่ต้องเจ็บตัวเลย ซึ่งต่างจากภรรยาที่จะกระตือรือร้นดั้นด้นเดินทางมารักษา อดทนต่อความเจ็บปวดต่างๆ นานา เพื่อให้ครอบครัวได้ "สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด" อันจะนำมาซึ่ง "ความสุขในครอบครัว" อย่างสมบูรณ์
สาเหตุจากฝ่ายชายเท่าที่มีรายงานจะพบประมาณ 20-30% ฝ่ายหญิงพบประมาณ 40-50 ในกลุ่มที่มีสาเหตุจากทั้งสองฝ่าย และกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ พบพอๆ กัน คือประมาณ 10-20%  สมัยก่อน เมื่อพบว่า สาเหตุมาจากฝ่ายชาย หมอผู้รักษาจะปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีการใดผลสำเร็จจะน้อยมาก ไม่คุ้มค่ากับเวลาและภาษาบ่น จากคนไข้
แต่หลังจากปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) เป็นต้นมา หมอผู้รักษาสามารถคุยโตโอ้อวดได้ว่า ปัญหาจากฝ่ายชาย แก้ได้เกือบทุกกรณี แม้แต่ไม่มี "ตัวอสุจิ" ในน้ำเชื้อ และผลสำเร็จค่อนข้างสูงด้วย เนื่องจากมีการค้นพบเทคโนโลยีที่เรียกว่า "อิ๊กซี่" (เจาะ "ไข่" ใส่ "ตัวอสุจิ" เข้าไปหนึ่งตัว)
การประเมินสภาพของ "คนมีลูกยาก" (Infertility evaluation) 
เราลองมาสำรวจกันทีละฝ่ายเลยนะครับ เริ่มจากฝ่ายว่าที่คุณพ่อก่อน
ปัจจัยจากฝ่ายชาย (Malefactors) สาหร่ายแดงเพิ่มน้ำเชื้อ
ทราบได้ง่าย โดยการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา หรืออาศัยคอมพิวเตอร์ช่วยตรวจหา กรณีที่ผลออกมาผิดปกติ กรรมวิธีการรักษาจะข้ามขั้นตอนไปทำ "อิ๊กซี่" หรือ "เด็กหลอดแก้ว" เลย จึงไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว
กรณีที่ผลออกมาปกติต่างหากที่อาจต้องทดสอบต่อไป ถ้าอยากรู้สาเหตุว่า ทำไมไม่ท้องเสียที วิธีการทดสอบคุณสมบัติของ "ตัวอสุจิ" ที่ทำกันได้แก่
1. การทดสอบหลังมีเพศสัมพันธ์ (Postcoital test)  เป็นการตรวจดูความสามารถของ "ตัวอสุจิ" ในสิ่งแวดล้อมใหม่ (มูกปากมดลูก) ว่าจะอยู่รอดและเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ปกติ มูกปากมดลูก จะทำหน้าที่เป็นมิตรคอยปกป้อง"ตัวอสุจิ" จากสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายภายในช่องคลอด และเป็นสะพานช่วยให้ "อสุจิ" เคลื่อนไหวไปยังท่อนำไข่ได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นตะแกรงคอยกรอง "ตัวอสุจิ" ที่ผิดปกติอีกด้วย
แต่ในบางกรณี มูกปากมดลูก ทำหน้าที่เป็นศัตรูของ "อสุจิ" เสียเอง ทำให้ "อสุจิ" ที่สัมผัสถูก เคลื่อนไหวไม่ได้หรือตายหมด การทดสอบนี้พอจะบอกได้ว่า ปัญหาอยู่ที่ปากมดลูก (Cervical factor)
วิธีการ คือ ตรวจมูกบริเวณปากมดลูกในช่วงระยะเวลา 2-12 ชั่วโมง ภายหลังมีเพศสัมพันธ์กลางรอบเดือน (Midcycle) เพื่อตรวจดูจำนวนและการเคลื่อนไหวของ "ตัวอสุจิ"
ผลที่น่าพอใจ คือ มีจำนวน "ตัวอสุจิ" มากกว่า 10 ตัวต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่กำลังขยายสูง (High power field) ที่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้รวดเร็ว
ผลอันไม่เป็นที่พอใจ คือ  ไม่เห็น "ตัวอสุจิ" เลย หรือพบจำนวนน้อยมากๆ  "อสุจิ" ส่วนใหญ่ไม่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวแบบ "ชักกระตุก"
เมื่อผลที่ปรากฏออกมาว่า "พอใจ" ก็ไม่ต้องทำอะไร กรรมวิธีรักษาธรรมดาน่าจะให้ผลดี แต่ถ้าผลออกมาว่า "ไม่น่าพอใจ" แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ มูกปากมดลูก ต้องแก้ไขหรือข้ามขั้นตอนไปใช้วิธีการที่ไม่ต้องอาศัยมูกบริเวณปากมดลูก
2. การทดสอบคุณสมบัติ "ตัวอสุจิ" อื่น ๆ เช่น การตรวจหาภูมิต้านทาน (Sperm antibodies) หรือ ความสามารถในการปฏิสนธิ (Fertilization capacity) ของ "ตัวอสุจิ"ค่อนข้างยุ่งยาก จะไม่นำมากล่าวในที่นี้
แนวทางการรักษาปัญหาจากฝ่ายชาย
การรักษาทางยาหรือผ่าตัดมักไม่ค่อยได้ผล แต่ในสถานที่ที่ไม่มีเครื่องมือเทคโนโลยีก้าวหน้า ก็ต้องรักษาโรคที่อาจเป็นสาเหตุให้ "เชื้ออ่อน" ไปก่อน เช่น โรคธัยรอยด์ ภาวะฮอร์โมนโปรแลคตินสูงในกระแสเลือด รวมทั้งการผ่าตัดเส้นเลือดขอดบริเวณอัณฑะ หรือตัดต่อท่อนำน้ำเชื้ออสุจิเพื่อแก้หมัน
คุณผู้ชายทั้งหลายก็ลองสำรวจตัวเองดูว่า บกพร่องมาจากพฤติกรรมของตัวคุณหรือเปล่า แต่ถ้าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เสร็จสมอารมณ์หมายมีอุแว้ อุแว้ ไว้เชยชมสักที ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันล่ะ จะได้ตรวจวิเคราะห์กันอย่างละเอียดต่อไป
คราวนี้ลองมาดูปัจจัยจากฝ่ายหญิงกันบ้าง
ปัจจัยจากฝ่ายหญิง (Female Factors) 
1. ปากมดลูก (Cervical Factors)
การเดินทางของ "ตัวอสุจิ" จากปากมดลูกเพื่อไปปฏิสนธิกับ "ไข่" ที่ปีกมดลูกต้องอาศัยมูกปากมดลูกเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะฉะนั้น ปากมดลูกอาจเป็นปัญหาขัดขวางการเดินทางของเชื้ออสุจิได้ หากมีการติดเชื้อเรื้อรังได้รับการผ่าตัดหรือจี้ทำลายด้วยไฟฟ้าและมูกปากมดลุกมีภูมิต้านทานต่อ "อสุจิ" เป็นต้น
การทดสอบส่วนใหญ่เป็นการตรวจคุณสมบัติของมูกปากมดลูก เช่น ตรวจความเป็นกรด-ด่าง (ปกติ pH = 8) , การทดสอบหลังมีเพศสัมพันธ์ (Postcoital Test), ตรวจการตกผลึกเป็นรูปเฟิร์นและการยืดตัวในช่วงไข่ตก (Crystallization & Spinnbakeit) และการเพราะเชื้อ เป็นต้น
แนวทางการรักษา
- ให้ฮอร์โมนโตรเจนต่ำ ๆ ทำให้มูกปากมดลูกใสมากขึ้น 
- รับประทานยาฆ่าเชื้อลดการอักเสบบริเวณปากมดลูก 
- ฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก ทำ "กิ๊ฟ" และ "เด็กหลอดแก้ว" เพื่อหลีเลี่ยงไม่ต้องสัมผัส ผ่าน หรืออาศัยมูกปากมดลูก
2. มดลูก (Uterine Factor)
มีหน้าที่รองรับ "ตัวอ่อน" จากปีกมดลูกมาเจริญเติบโตและฝังตัว ขณะเดียวกันยังปกป้องอันตรายจากสิ่งแวดล้อมภายนอกด้วย
ประเมินสภาพของมดลูก โดยการฉีดเข้าโพรงมดลูก (Hysterosalpingography), การส่องกล้องเข้าไปดูภายในโพรงมดลูก (Hysteroscope), การเจาะท้องส่องกล้องดูพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน (Laparoscope) และการขูดมดลูก เพื่อตรวจสอบการตกไข่และการทำงานของรังไข่ เป็นต้น
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัด ซึ่งจะทำในกรณีมีเนื้องอก (Myomectomy) มดลูกมีรูปร่างผิดปกติมาแต่กำเนิด (Metroplasty) หรือมีพังผืดในโพรงมดลูก (Removal of Intrauterine Synechiae)
ส่วนการรักษาทางยา มักใช้กรณีติดเชื้อภายในโพรงมดลูก (Endometritis) หรือให้ในรูปฮอร์โมนเพื่อฟื้นฟูเยื่อบุโพรงมดลูก หลังจากกำจัดพังผืดภายในมดลูกออกไปแล้ว
3. ปีกมดลูก หรือท่อน้ำไข่ (Tubal Factor)
ทำหน้าที่เป็นทางเดินของเซลล์สืบพันธุ์ (ไข่ และอสุจิ) เป็นจุดกำเนิดแห่งแรกของมนุษย์และฟูมฟัก "ตัวอ่อน" ก่อนล่องลอยเข้าสู่โพรงมดลูก เพราะฉะนั้นปีกมดลูกจึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกตลอดสาย ระหว่างปลายทางทั้งสองข้าง (Fimbria and Ostia)
การตรวจสอบสภาพของปีกมดลูกส่วนใหญ่วิธีการทดสอบจะเน้นว่า มีการอุดตันหรือไม่ (Obstruction or Patency) แต่อาจบอกได้ถึงเนื้องอกในโพรงมดลูก (Polyp or Submucous Myoma), ตำแหน่งการวางตัว (Location) และหน้าที่การทำงาน (Function) ของปีกมดลูกอีกด้วย
วิธีการตรวจสอบปีกมดลูก ประกอบด้วย
การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกและเอกซเรย์ (Hysterosalpingography), การเจาะท้องส่องกล้อง (Laparoscope) ร่วมกับการฉีดสี Methylene Blue เข้าทางปากมดลูก, การฉีดลมผ่านเข้าโพรงมดลูกและให้ผ่านออกทางปีกมดลูก (Tubal Insufflation) และการฉีดของเหลวทางปากมดลูกพร้อมกับตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด ดูการผ่านของของเหลวในปีกมดลูกเข้าไปสะสมที่อุ้งเชิงกรานส่วนต่ำสุด (Hysterosalpingo-Contrast-Sonography)
แนวทางการรักษา
ผ่าตัด ตกแต่งต่อท่อนำไข่ กรณีตีบตันหรือแก้หมันเลาะพังผืดรอบๆ ท่อนำไข่และทำ "เด็กหลอดแก้ว" หยอดทางปากมดลูกกรณีท่อนำไข่อุดตันทั้งสองข้าง
4. รังไข่ (Ovarian Factor)
มีหน้าที่ผลิต "ไข่" และสร้างฮอร์โมนซึ่งมีอิทธิพลต่อโครงสร้างและการทำงานของวัยวะสืบพันธุ์สตรี
การประเมินสภาพของ "รังไข่" โดยการเจาะเลือดตรวจฮอร์โมน (FSH, LH, Estradiol, Progesterone) และติดตามดูอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่า มีการตกไข่ (Ovulation) หรือไม่ การทำงานของรังไข่ก่อนและหลังไข่ตกเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีการตรวจโดยอ้อมอื่นๆ อีก เช่น การวัดอุณหภูมิกายพื้นฐาน (Basal Body Temperature), การขูดเอาเยื่อบุโพรงมดลูกมาตรวจ เพื่อดูการทำงานของรังไข่ภายหลังไข่ตก (Endometrial Biopsy) เป็นต้น
แนวทางการรักษา
กรณีไข่ไม่ตก (Anvulation) ต้องหาสาเหตุให้ได้ เช่น เป็นโรคต่อมธัยรอยด์, โรคพี.ซี.โอ.ดี. (PCOD), เครียดจัด เป็นต้น แก้ไขสาเหตุดังกล่าวแล้วจึงมาทำการกระตุ้นไข่ (Ovulation Induction) ร่วมกับการฉีดเชื้อ (IUI), ทำ "กิ๊ฟ" (GIFT), ทำ "เด็กหลอดแก้ว" (ZIFT) หรือ "อิ๊กซี่" (ICSI) เป็นกรณี ๆ ตามความเหมาะสม
กรณีรังไข่เป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องทำการผ่าตัดรักษา (Cystectomy & Oophorectomy)
กรณีรังไข่ไม่ทำงาน (Ovarian Failure) ต่างว่ายังต้องการมีลูก คงต้องใช้วิธี "อุ้มบุญ" เอา "ไข่" ของคนอื่นมาแทน (Ovum Donation)
5. เพศสัมพันธ์ (Coital Factor)
เป็นปัญหาสำคัญที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเปิดเผยอาจเนื่องด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ทัศนคติ ที่ถ่ายทอดต่อๆ กันมา รวมทั้งเวลาที่มีให้กันและกันก็เหลือน้อยลงทุกที
แนวทางแก้ไข
ทำจิตบำบัด (Psychotherapy) ปรับเปลี่ยนทัศนคติและปรึกษาผู้รู้ในเรื่องเพศศึกษา (Sexual Therapy) บางทีอาจต้องใช้วิธีฉีดนำเชื้อสามีที่คัดแล้วเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรงไปเลย (Intrauterine Insemination)
ภาวะมีลูกยากที่หาสาเหตุไม่พบ (Unexplained Infertility) 
หมายถึง คู่สามีภรรยาที่มีลูกยากนั้น ได้ทดสอบทุกวิธีกระบวนการหาสาเหตุเท่าที่จะทำได้แล้วไม่พบความผิดปกติทั้งสองฝ่าย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุจริงๆ บางทีต่อไปเมื่อมีเครื่องมือทดสอบที่ดีขึ้น ก็มีโอกาสค้นหาสาเหตุได้ 10 ปีผ่านมา อุบัติการนี้จะพบประมาณ 10-20% ปัจจุบันในบางสถาบันอุบัติการได้ลดลงเหลือเพียง 0-5% เท่านั้น เพราะมีเครื่องมือทันสมัย
เทคโนโลยีการช่วยเหลือและรักษาภาวะมีลูกยากเท่าที่มีในปัจจุบัน
5.1 การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก (Intrauterine Insemination ชื่อย่อ "IUI") 5.2 มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 15-20% ต่อรอบเดือน 
5.3 การทำ "กิ๊ฟ" ("GIFT" ย่อมาจาก Gamete Intrafollopian Transfer) มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 30-40% 
5.4การทำ "เด็กหลอดแก้ว" วิธีมาตรฐานและหยอด "ตัวอ่อน" ทางช่องคลอด ("IVF-ET" In Vitro Fertilization Embryo Transfer) มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 20% 
5.5 การทำ "เด็กหลอดแก้ว" แล้วหยอด "ตัวอ่อน" ทางปีกมดลูก ("ZIFT" ย่อมาจาก Zygote Intrafollopian Transfer) มีอัตราการตั้งครรภ์ 30-40% 
การเจาะ "ไข่" ใส่ "ตัวอสุจิ" เข้าไปหนึ่งตัว (Micromanipulation)
   5.5.1 PZD (Partial Zona Dissection) สมัยปัจจุบันไม่นิยมทำอีกต่อไป 
   5.5.2 SUZI (Subzonal Sperm Injection) ปัจจุบันนี้ไม่นิยมทำอีกต่อไปแล้ว 
   5.5.3 "อิ๊กซี่" ("ICSI" ย่อมาจาก Intracytoplasmic Sperm Injection)
5.6 การแช่แข็ง (Cryopreservation) ปัจจุบันยังทำได้เฉพาะ "ตัวอสุจิ" และ "ตัวอ่อน"
5.7 การใช้ "ไข่" บริจาค หรือ "อุ้มบุญ" (Ovum Donation)
5.8 การสกัด "ตัวอสุจิ" ออกมาจากอัณฑะในกรณีไม่มี "ตัวอสุจิ" ในน้ำเชื้อ
   5.8.1 "มีซ่า" ("MESA" ย่อมาจาก Microscopic Epididymal Sperm Aspiration) สกัดจากท่อนำน้ำเชื้อส่วน Epididymis 
   5.8.2 "เทเซ่" ("TESE" ย่อมาจาก Testicular Sperm Extraction) สกัดจากเนื้อัณฑะโดยตรง
ความสำเร็จของการรักษาภาวะนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของหมอ มาตรฐานของสถาบันและตัวคนไข้เอง
จากการวิจัยถึงผลการรักษาภาวะมีลูกยาก เมื่อครบกำหนดเวลา 1 ปี จะมีโอกาสตั้งครรภ์แตกต่างกันตามเหตุปัจจัย ทั้งนี้
- กรณีที่มีสาเหตุมาจาก "ไข่" ไม่ตกหรือตกไม่สม่ำเสมอ (Anovulation) มีโอกาสตั้งครรภ์สูงมากคือ ประมาณ 80-90% 
- กรณีที่หาสาเหตุไม่พบ (Unexplained Infertile) มีโอกาสตั้งครรภ์สูงพอสมควรประมาณ 70% 
- กรณี "เชื้ออสุจิ" ที่มีจำนวนปกติแต่คุณสมบัติบางอย่างบกพร่อง (Sperm Disorders with Normal Counts) จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 30-40% 
- กรณีที่ "ท่อนำไข่" มีปัญหา (Tubal Damage) มีโอกาสสำเร็จ 20% 
- อีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาและเป็นการร้อยมาแต่เดิมคือ "เชื้ออสุจิ" มีจำนวนน้อยมากกว่าปกติ (Sperm Disorders with Low Counts) จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 10% เท่านั้น
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลการดำเนินงานในสถาบันที่ไม่มีการทำ "อิ๊กซี่" แต่หลังจากปี ค.ศ. 1992 ( พ.ศ. 2535) ที่มีการค้นพบเทคโนโลยี "อิ๊กซี่" แล้วทำให้ปัญหาเรื่องมีลูกยากอันเนื่องมาจาก "เชื้ออสุจิ" ผิดปกติหมดไป โดยมีอัตราการตั้งครรภ์สำเร็จในกรณี "เชื้ออ่อน" สูงถึง 30-40% เพิ่มจากเดิม 3-4 เท่า
ภาวะมีลูกยากไม่ใช่โรคจึงควรให้ "เวลา" กับหมอผู้รักษาเพื่อค้นหาสาเหตุ จะได้แก้ไขถูกจุด กรณีที่ไม่พบสาเหตุ (Unexplained) ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ ผลสำเร็จอาจจะดีกว่าบางสาเหตุที่หาพบเสียอีก
ปัจจัยสำคัญสำหรับคู่สมรสมีลูกยากก็คือ ควรรักษาแต่ในสถาบันที่มีมาตรฐาน มีเครื่องมือเทคโนโลยีและวิทยาการก้าวหน้าทันสมัย สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ตัวคนไข้เองต้องให้ความร่วมแรงร่วมใจเป็นอย่างดีและต้องมีสภาพร่างกาย อันหมายถึงเซลล์สืบพันธุ์ในขอบข่ายที่การแพทย์สมัยใหม่ช่วยเหลือได้
ลูก คือ สิ่งที่มีค่าสูงสุดสำหรับทุกครอบครัว อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปในขณะที่ยังมีความหวัง จงขวนขวายไขว่คว้าหาสิ่งมีค่านี้มาให้ได้นะครับ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร และใครจะมาเป็นผู้สืบสานถ่ายทอดความคิด และความดีของเราให้คงอยู่ต่อไปได้ถ้าไม่ใช่ลูกของเราจริงมั้ยครับ
โดย พ.ต.ท. น.พ.เสรี ธีรพงษ์
สาหร่ายแดง สาหร่ายแดงบำรุงสายตา สาหร่ายแดงบำรุงกล้ามเนื้อ สาหร่ายแดงลดการอักเสบของผิวหนัง สาหร่ายแดงป้องกัน UV สาหร่ายแดงช่วยเพิ่มน้ำเชื้ออสุจิ สาหร่ายแดงที่ดีที่สุดคือสาหร่ายแดงจากไซยาโนเทค สาหร่ายแดงช่วยให้การมองเห็นชัดขึ้น สาหร่ายแดง AstaRex สุดยอดสารสกัดจากธรรมชาติ ต้องสาหร่ายแดง
#21




credit by: vichaivej.com
จากผู้มีลูกยาก ถึงวันที่ได้เป็นคุณแม่ลูกสอง
เราไปคลอดลูกชายคนที่สองวันที่ 7 กพ 2555 ค่ะ ตั้งใจจดบันทึกไว้ให้ตัวเองอ่าน ว่าช่วงนึงของชีวิตได้ทำอะไรไปบ้างกว่าจะมีลูกได้ และอาจพอจะมีข้อมูลบางอย่างเป็นค่ากับคนอื่นบ้าง เอาเป็นว่าเล่าสู่กันฟังละกันนะคะ เราเป็นคนนึงที่เป็นผู้มีบุตรยาก ภายหลังนับวันนับเดือนตามตำราแล้วไม่ประสบผลซะที ก็เลยคิดว่าต้องปรึกษาหมอให้เป็นเรื่องเป็นราว เราเริ่มรักษาอย่างจริงจังตอนปี 2551 คร่าว ๆ คือ รักษาอยู่เกือบ 2 ปีต่อเนื่อง หา 3 หมอ ทั้งหมอแผนสมัยนี้ และหมอจีน (หมอแมะ) เรียกว่าตามแบบฉบับที่คนมีลูกยากเค้าทำกัน เราทำการฉีดเชื้อไปทั้งหมด 7 ครั้ง ผ่าตัดส่องกล้องเพื่อรักษาเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ( หรือที่รู้จักกันดีว่าชอกโกแลตซีสต์ ) แล้วฉีดยาระงับการเติบโตของซีสต์อยู่ 6 เข็ม เดือนละเข็ม ( เข็มละ 10,000 บาท...อ่านว่าหนึ่งหมื่นบาท ! ) จนหมอนัดทำเด็กหลอดแก้ว แล้วโชคดีมาท้องเองซะก่อน และท้องที่สองก็ท้องเอง เรียกได้ว่าฝ่าฟันมาพอสมควร มีคนถามเราบ่อยมากว่ารักษาที่ไหน หาหมออะไร ทำอะไรไปบ้าง เจ็บมั๊ย เสียเงินเท่าไหร่ เรารวบรวมมาได้ประมาณนี้ค่ะ
1. เมื่อไหร่ที่เรียกว่าเป็นผู้มีบุตรยาก 
- คำตอบข้อนี้ต้องอ้างอิงกับคำจำกัดความทางการแพทย์ ที่เคยอ่านเจอก็คือ เมื่อคุณไม่ได้คุมกำเนิดแล้วยังไม่ตั้งครรภ์ภายใน 1 ปี แต่สำหรับเราคิดว่าเมื่อเราบอกกับตัวเองว่าพยายามมาระยะเวลานึงแล้วก็ไม่ต้องรอต่อไป ให้ไปปรึกษาหมอเลยดีกว่าค่ะ จะได้เช็คสุขภาพและความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ไปด้วย
2. ไปหาหมอที่ไหนดี
- เดี๋ยวนี้หมอรักษาเรื่องนี้มีเยอะมาก ราคาก็แตกต่างกันไป แนะนำให้เลือกที่เราสะเดินทางไปและราคาที่เรารับได้ค่ะ จากประสบการณ์ ถ้าทำแค่ฉีดเชื้อ ราคาจะไม่ต่างกันมาก จะไปต่างกันมาก ๆ เมื่อทำ ICSI, IVF หรือ อะไรที่ขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนแบบที่ต้องมีการเก็บไข่มาผสมกับเชื้อภายนอก แล้วใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในมดลูก สำหรับการฉีดเชื้อ ถ้าทำการกระตุ้นไข่ด้วยการกินยาอย่างเดียว ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 พันบาท ถ้ากระตุ้นไข่ด้วยยาฉีด ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.3 หมื่นบาท บางที่ราคาอาจจะค่อนข้างถูกกว่าที่อื่น แต่คุณต้องเจอคนเยอะ คิวนาน อาจทำให้หงุดหงิด รับได้รึเปล่า อันนี้ต้องคิดเผื่อบ้าง เพราะต้องไปกันบ่อย บวกลบกับค่าเดินทาง ค่าเสียเวลาด้วย เอาเป็นว่าต้องถามราคาให้ละเอียดก่อนทำ
3. ไปหาหมอครั้งแรกเมื่อไหร่ดี
- อันที่จริงไปวันไหนก็ได้ แต่ถ้าถามเราว่าไปวันไหนแล้วได้เรื่องที่สุด เราขอตอบว่า ไปวันที่เป็นประจำเดือนวันที่สองหรือสาม วิธีนับคือ เห็นมี ปจด มาวันแรกก็นับเป็นวันที่หนึ่งเลย แล้วไปหาหมอวันที่สองหรือวันที่สาม ไม่ต้องตกใจว่า อ้าว...แล้วหมอเค้าตรวจ (ภายใน) แล้วมันจะไม่เลอะเทอะเยอะสิ่งเหรอ !!! คือหมอเค้าไม่ได้ตรวจภายในคุณวันแรกที่เจอกันอยู่แล้ว (อันนี้ตามประสบการณ์เรานะ) แต่เค้าจะเจาะเลือด ตรวจระดับฮอร์โมน ซึ่งจะขึ้นสูงในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่พอจะเห็นภาพว่าทำไมคุณถึงมีบุตรยาก ถ้าคุณไปวันอื่นก็ไม่นับว่าเสียเที่ยวนัก อย่างน้อยก็คุยกับหมอถึงทิศทางสุขภาพ การดำเนินชีวิตของคุณว่ามีสาเหตุที่ทำให้มีบุตรยากรึเปล่า แล้วค่อยนัดมาเจาะเลือดตามวันที่เราว่าอีกทีค่ะ








4. ขอทางลัด ไหน ๆ ก็มีลูกยากแล้ว ไม่อยากเสียเวลารักษาอะไร แบบว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาว่างั้นเถอะ ขอเลือกทำเด็ก หลอดแก้ว ประมาณพวก ICSI , IVF เลยได้มั๊ย
- อาจมีหลายคนคิดแบบนี้ ขอตอบว่า มีเพื่อนสนิทเราคนนึงเลือกทำแบบนี้และประสบความสำเร็จด้วย แต่ในความคิดเราคิดว่าเพื่อนคนนี้โชคดีมาก ซึ่งโอกาสแบบนี้อาจไม่เกิดได้ง่าย ๆ เพื่อนคนนี้ใส่ตัวอ่อนไป 3 สุดท้ายได้ลูก 1 คน แต่พอจะมีคนที่สองเอง ไม่สามารถมีได้ คาดว่าต้องพึ่ง ivf อีกครั้ง
จากประสบการณ์รักษาของเราเอง คิดว่าการค่อย ๆ รักษาไปโดยแก้ปัญหาที่เค้ามูล น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด เช่น การตรวจว่าเป็นซีสต์มั๊ย ถ้าเป็น ก็ทำการผ่าตัดออกเสียก่อน นั่นหมายความว่า ตอนที่ตั้งครรภ์จะไม่ต้องกังวลว่าซีสต์จะมาโตแข่งกับลูกของเรา และโอกาสของการมีลูกคนที่สองก็น่าจะเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องมาตั้งต้นรักษากันใหม่อีก การรักษาโดยแก้ปัญหาที่สาเหตุนี้ต้องใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลามากซักหน่อย แต่คุ้มค่าและเป็นการดูแลสุขภาพเราไปในตัวด้วยค่ะ 
5. ประจำเดือนมาปกติ ตรวจภายในแล้วหมอบอกว่าปกติ แต่ทำไมยังไม่ท้องซะที
- เราเองก็เป็นแบบนี้ค่ะ แต่พอหมอทำการฉีดเชื้อไปได้ 5 ครั้ง ก็เริ่มน่ากลัวว่า น่าจะมีปัญหาอะไรมากกว่านั้นซึ่งการตรวจภายในไม่สามารถบอกได้ เลยต้องทำการผ่าตัดส่องกล้องเข้าที่ทางหน้าท้องเข้าไปดูว่าในมดลูกมีความผิดปกติอะไรรึเปล่า ซึ่งก็พบว่าเป็นเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่หรือที่เรียกว่าชอกโกแลตซีสต์ ขนาดของแผลผ่าตัดประมาณ 1 ซม. พักโรงพยาบาล 1 คืน เราทำที่โรงพยาบาล BNH มีแพคเกจสำหรับผ่าส่องกล้องเรื่องที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาเมื่อปี 2552 อยู่ที่ 28,000 บาท ระดับความเจ็บประมาณปวดประจำเดือนค่ะ
นั่นเป็น การที่เมนส์มาปกติ ตรวจภายในแล้วปกติ อาจมีสาเหตุอื่นที่ทำให้มีบุตรยาก ซึ่งปัจจุบันพบว่า 75% ของผู้หญิงเป็นชอกโกแลตซีสต์ค่ะ ดังนั้นหากหมอแนะนำให้ผ่าตัดส่องกล้อง ก็น่าพิจารณาอยู่นะคะ
6. ฝากไว้ข้อสุดท้ายว่าระหว่างที่ทำการรักษา หรือรอจะมีลูก ควรทำตัวอย่างไร
เรื่องสุขภาพก็อย่างที่ทราบกันว่าทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ เผื่อว่ามีท้องเมื่อไหร่ทั้งลูกทั้งแม่จะได้สมบูรณ์แข็งแรง เรื่องการพักผ่อนก็สำคัญ อย่านอนดึกกันทั้งสามีภรรยา อันนี้สำคัญนะคะ อย่ามัวท่องโลกอินเตอร์เนตหรือดูทีวีกันเพลิน พักผ่อนเพียงพอ ร่างกายจะได้เสริมสร้างเซลล์ดี ๆ ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายบ้างก็เยี่ยมไปเลย  
อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือ ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กปัจจุบันนี้ดูบ้างว่า เดี๋ยวนี้เค้าเรียนกันยังไง ช่วงวัยไหนเค้าทำอะไรกัน ที่ไหน ยังไง แบบไหนจำเป็น แบบไหนไม่จำเป็น สถานศึกษาสมัยนี้ราคาเท่าไหร่ การเรียนการสอนเป็นยังไง พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมทำอะไรบ้าง จะได้รู้แนวทางการจัดการงบประมาณ และวางแผนได้ว่าจะมีลูกกี่คน ถ้าได้ฝาแฝดจะรับมือไหวรึเปล่า มีลูกแล้วใครจะช่วยเลี้ยง (เอาแบบช่วยจริง ๆ นะ) เลี้ยงเองไหวมั๊ย จะลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกคุ้มรึเปล่า ค่าพี่เลี้ยงเดี๋ยวนี้ราคาเท่าไหร่ เรื่องแบบนี้ศึกษาไว้ไม่เสียหลายนะคะ จะได้วางแผนชีวิตไว้เนิ่น ๆ ค่ะ
. . . . . . . . . เพราะเรา ภารกิจการมีลูกจบแล้ว แต่ภารกิจการเลี้ยงดู ฟูมฟัก ให้ลูกอยู่ได้ในโลก ในสังคม ได้อย่างมีความสุข พึ่งตัวเองได้ และมีสมดุลย์ ยังคงดำเนินต่อไปจนชั่วชีวิตของแม่คนนี้ ขอบคุณลูกชาย 2 คนของแม่ที่เป็นกำลังใจสำคัญให้แม่มีแรงกาย กำลังใจ ขยันทำงานเพื่อมาดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา มีลูกแล้วเราทำอะไรได้มากกว่าก่อนมีลูกเยอะมาก ๆ ทั้งที่เวลาน้อยลง เรียกได้ว่าบริหารจัดการเวลาได้มีประสิทธิภาพขึ้นมาก ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราก็มนุษย์เงินเดือนนี่ะค่ะ ยังอยากมีงานทำ อยากมีรายได้ โดยที่ไม่เคยลืมว่าตัวเราเองนี่ะเป็นคนสำคัญที่จะคอยสั่งสอน อบรม ให้ลูกเป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น
Credit by:  knitting bakery 
สาหร่ายแดง ปรับปรุงคุณภาพน้ำเชื้ออสุจิ ทำให้มีบุตรง่ายขึ้น สาหร่ายแดง แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) สาหร่ายแดงบำรุงสายตาดีเยี่ยม สาหร่ายแดงสกัดจากสาหร่ายเซลล์เดียว Haematococcus pluvialis โดย บ. ไซยาโนเทค (มหาชน) ประเทศสหรัฐอเมริกา สาหร่ายแดงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด สาหร่ายแดงชะลอความแก่ สาหร่ายแดงลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ สาหร่ายแดงช่วยปกป้องผิวพรรณจากรังสี UV สาหร่ายแดงบำรุงสายตาดีเยี่ยม  ลองศึกษาข่าวสารของสาหร่ายแดงดูคะ
สาหร่ายแดง
http://astaxanthin-spirulina-cellfood.lnwshop.com/
http://asthaxanthin.com/




สาหร่ายแดง
#22
เทคนิคลบริ้วรอย ที่จะช่วยคืนความสดใสอ่อนเยาว์อยู่เสมอให้แก่ผู้หญิง มีอะไรบ้างเราลองมาดูกันเลยค่ะ
 
1. สารเติมเต็มผิว
 หนึ่งในวิทยาการไฮเทคที่เห็นผลทันตาในการกำจัดริ้วรอยและร่องลึกบนผิวก็คือ การฉีดสารเติมเต็มผิวอย่างเช่น กรดไฮยาลูรอนิค ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือ มันช่วยให้การทำงานของเซลล์ผิวหนังดีขึ้นรวมทั้งยังทำให้สิ่งที่ครีมทำไม่ได้ก็คือ แทรกลึกลงไปในผิวชั้นล่างและเปลี่ยนความเสียหายของเซลล์ผิวให้กลับดีดังเดิม ผลการฉีดจะยืดยาวราว 4-5 เดือน ซึ่งนอกจากมีความสามารถสูงแล้ว ยังไม่มีอันตราย
2. คลื่นวิทยุจนถึงขณะนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันว่า การใช้คลื่นวิทยุ หรือ เทอร์มาจ เป็นวิธีการอย่างเดียวที่ช่วยยกคิ้ว แนวกราม และทำให้ผิวดึงขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักพื้น มันเป็นการใช้คลื่นวิทยุเข้าไปกระตุ้นการเติบโตและปรับโครงสร้างของคอลลาเจนในผิวเสียใหม่ ซึ่งการใช้แสงชนิดเข้มข้นอย่าง IPL อาจจะกระตุ้นคอลลาเจนได้แต่เทอร์มาจทำงานลึกลงไปในผิวหนังชั้นในทำให้คุณดูดีทันทีหลังทำ และยิ่งดูดีขึ้นเรื่อง ๆ ในช่วง 6 เดือนถัดไป เนื่องด้วยคอลลาเจนสร้างตัวขึ้นมามันอาจไม่ใช่คู่แข่งของการผ่าตัดยกหน้าแต่สำหรับในการรักษาความหย่อนคล้อยของผิวโดยเจ็บตัวน้อยที่สุดล่ะก็มันถือเป็นปรากฎการณ์สำคัญเลยทีเดียว
 3. เป็ปไทด์
 ปัจจัยสำคัญของการเกิดริ้วรอยก็คือ คอลลาเจนในผิวลดน้อยลงไม่ต้องสงสัยว่า วิชาวิทยาศาสตร์จะต้องมองหาวิธีแก้ไขโครงสร้างที่จะช่วยพยุงผิวหน้าและก็พบว่า เมื่อคอลลาเจนเรื่มเสื่อมสลายลงเป็ปไทด์จะถูกปล่อยเข้ามาแทนมากขึ้น ครีมที่มีเป็ปไทด์จะเป็นการส่งสัญญาณเตือนผิวหลอก ๆ ให้ชดเชยการสร้างคอลลาเจนเพื่อจะให้ผิวกระชับและริ้วรอยลดน้อยลง
 4. ความเครียดของผิว
งานวิจัยชี้ว่า ผิวร่วงโรยได้เร็วขึ้นในช่วงที่มีความเครียดทางอารมณ์ แต่นอกเหนือการบำบัดทางจิตใจและการผ่อนคลาย อย่างเช่น การเล่นโยคะ แล้วหนทางช่วยเหลืออื่นอย่างสำหรับผิวก็คือ การควบคุมไม่ให้ผิวมีการอักเสบด้วยการเพิ่มการป้องกันรังสียูวี การให้ความชุ่มชื่น การบริโภคแอนตี้ออกซิแดนซ์และการหลีกเลี่ยงการให้ผิวเครียด เช่น การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี หรือการลอกหน้าด้วยเคมี
 5. อาหารผิว
ไม่จำเป็นว่าการชะลอความร่วงโรยของผิวจะเป็นไฮเทคเสมอไป งานวิจัยล่าสุดพบว่า น้ำมันโรสฮิป เป็นสารที่ช่วยต่อต้านความร่วงโรยตามธรรมชาติที่ทรงประสิทธิภาพและบำรุงผิวอย่างน่าประทับใจด้วย ราวการรับประทานน้ำมันดอกอิฟนิ่งพริมโรสเป็นอาหารเสริมซึ่งอาจไม่ใช่หน้าใหม่ของวงการต่อต้านริ้วรอย หากในการศึกษาวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน The international Journat of Cosmetic Science ได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรสเม็ดละ 500 มก. จำนวน 6 เม็ด ทุกวัน สามารถช่วยหยุดการร่วงโรยของผิวได้ใน 3 เดือน
6.ขัดลอกผิว
 การทรีตเมนต์อย่างการลอกผิวด้วยสารเคมีและการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณีเป็นการดูแลความงามที่แพร่หลายกระจายไปอย่างรวดเร็วในร้านเสริมสวย แต่งานวิจัยชี้ว่า การขัดลอกผิวเช่นนี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายนักมันยิ่งอาจทำให้ผิวชั้นบนบางลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งเป็นการรบกวนการป้องกันผิวและต้องใช้เวลาหลายวันในการซ่อมแซมตัวเอง มันอาจนำไปสู่อาการระคายเคืองผิวหนังและไวต่อแสงอีกด้วย ใช้การขัดลอกผิวอย่างอ่อนโยนเป็นประจำทุกวันด้วยตัวเองดีกว่า มันจะทำให้ผิวชั้นบนดีขึ้นให้ความชุ่มชื่น และยังลดเลือนริ้วรอยได้
7. ไลฟ์สไตล์ของคุณ 
การเผชิญหน้ากับรังสียูวี มลภาวะ และการสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยสำคัญ 3 อันดับแรกของการทำให้ผิวร่วงโรย อย่างไรก็ดีการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้เกินไปก็ทำให้ใบหน้าเสี่ยงต่อการร่วงโรยได้เร็วขึ้นเช่นกัน เพราะรังสีไอโอนิกที่จะสะท้อนออกมจากหน้าจอนั่นเอง เว้นแต่ว่านี้คุณอาจเคยได้ยินว่า การนอนตะแคงข้างทำให้คุณมีริ้วรอยแพทย์ผิวหนังยังให้คำอธิบายว่า คุณไม่มีวันมีริ้วรอยในแนวตั้งได้เนื่องจากแรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติจะทำให้เกิดริ้วรอยในแนวนอน พูดอีกอย่างหนึ่งคือ กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวตัวขึ้นและลงไม่ใช่เคลื่อนที่ไปข้าง ๆ ริ้วรอยที่เกิดจากการนอนตะแคงข้างนั้นปกติจะจางหายไปเอง เว้นแต่มันจะถูกทำให้ผิวย่นซ้ำแล้วซ้ำอีกริ้วรอยพวกนั้นจะเกิดขึ้นอีกเป็นการถาวร ดังนั้น ถ้าการนอนหงายไม่ใช่ทางเลือกของคุณลองใช้หมอนผ้าไหมหรือซาตินมักจะลดริ้วรอยจากการนอนให้น้อยลงได้
8.ความลับของขิงและมะนาว
เป็นที่รู้กันว่าขิงมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและยังเสริมสร้างสุขภาพและจากการทดลองในห้องแล็ปพบว่า สารสกัดจากขิงนั้นสามารถลดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิวหนังได้ด้วย จึงช่วยคลายริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้นได้และยกกระชับผิวให้เนียนเรียบ ส่วนมะนาวก็มีคุณค่าในการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและลดการผลิตเมลานิน เมื่อนำมาร่วมกันแล้วขิงและมะนาวก็เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งในการช่วยคุณต่อสู้ริ้วรอยอย่างได้ผล
9.ไวน์แดง โรสแมรี่ และข้าวโอ๊ต
ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์จะพบแหล่งใหม่ของอนุมูลอิสระที่ทำให้ร่วงโรย พวกเขาก็ค้นพบแอนตี้ออกซิแดนซ์ชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย อย่างเช่น Reaveratral ในไวน์แดง กรดโรสมารินิกจากโรสแมรี่และกรดแฟรูลิกจากข้าวและข้าวโอ๊ตซึ่งเป็นอนาคตสำคัญของแอนตี้ออกซิแดนซ์ ยิ่งไปกว่านี้แพทย์ยังแนะนำในการผสมผสานวิตามินเอ ซี และ อี ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพของการต้านอนุมูลอิสระให้มากขึ้นด้วย
10.ความเสียหายจากน้ำตาล
 โดยทั่วไปคนเรารับประทานน้ำตาลเฉลี่ยแล้ว 2 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งเป็นบริมาณที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามากเกินไป การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกาย ซึ่งจะทำร้ายเซลล์และนำไปสู่การแก่ก่อนวัย ฉะนั้น จงระวังเรื่องน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารต่าง ๆ อย่างเช่น แปลกใจไหมว่าถ้าเราจะบอกว่า ไอศครีมวานิลลาขนาดปกติ (112 กรัม) มีน้ำตาล (4.5 กรัม) มากกว่าน้ำส้มหนึ่งแก้วเสียอีก
 
Cr: Lisa
สาหร่ายแดง AstaRex
- สาหร่ายแดง ผลิตจากสาหร่ายแดง Haematococcus pluvialis โดยสาหร่ายแดง  บ. ไซยาโนเทค (มหาชน) สหรัฐอเมริกา
- สาหร่ายแดงมีสรรพคุณเป็นสุดยอดของสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ
- สาหร่ายแดงช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับ การอักเสบของอวัยวะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหร่ายแดงสามารถแก้โรค สมอง ตา หัวใจและหลอดเลือด ข้อ เอ็น กล้ามเนื้อ และผิวหนัง เป็นต้น
- สาหร่ายแดงช่วยชะลอความชรา
- สาหร่ายแดงช่วยให้ผิวพรรณงดงาม
- สาหร่ายแดงช่วยให้แข็งแรงและทรหด
ฯลฯ
#23




ปลาดิบเป็นอาหารประเทศญี่ปุ่นประเภทหนึ่งที่คนไทยหันมาบริโภคมากขึ้นตามกระแสนิยม คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยรูปลักษณ์ รส และความแปลกใหม่ของอาหารญี่ปุ่น ทำให้หลายคนไม่ละโอกาสที่จะได้ลิ้มลองความสดใหม่ของปลาดิบ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าปลาทะเลมีคุณค่าทางอาหารสูงและมีความปลอดภัยสูงในการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อว่าไม่พบพยาธิในปลาซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำเค็มเค็มๆ อย่างแน่นอน จะพบพยาธิก็แต่เฉพาะปลาน้ำจืดเท่านั้น ดังนี้จึงรับประทานปลาดิบได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น (นอกจากราคาที่อาจจะแพงอยู่สักหน่อย) แต่หลังจากอ่านบทความนี้แล้วคงต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ปลาน้ำเค็ม ที่นำมาทำปลาดิบนั้น ก็อาจมีพยาธิได้!!!!! ดังข่าวที่แพร่ไปในสังคมออนไลน์เมืองไทยช่วงเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมาว่าพบพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งในปลาดิบที่ขายอยู่ตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป โดยเจ้าพยาธิที่ว่านี้มีชื่อว่า อะนิซาคิส หรือ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anisakis simplex เจ้าพยาธิชนิดนี้คืออะไร?? มาจากไหน?? และจะมีอันตรายแค่ไหน?? บางคนอาจจะคุ้นๆ หลายคนอาจเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เราไปทำความรู้จักกับพยาธิ Anisakis simplex กันดีกว่า
ลักษณะและวงจรชีวิตของพยาธิอะนิซาคิส
หนอนพยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) พบในปลาทะเลที่วางขายในประเทศ โดยตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลาหลายชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ลักษณะของมันเป็นพยาธิตัวกลม สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวโตเต็มวัยมีความยาวถึงประมาณ 2-5 ซม. พบอยู่ในกระเพาะของปลาโลมา ปลาวาฬ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่นๆ ไข่ของพยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ เจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ในทะเล มีพาหะเป็นพวกกุ้ง ปลาน้ำเค็มตัวเล็กๆ และเมื่อสัตว์กลุ่มนี้ถูกกินด้วยปลาตัวอื่น พยาธิก็จะฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อของปลาเหล่านั้น ซึ่งคนที่รับประทานปลาดิบที่มีพยาธินี้อยู่ก็จะติดเชื้อพยาธิได้ จากนั้นพยาธิจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อปลาที่รับประทานเข้าไป โดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารเสียก่อนโดยการอาเจียน ซึ่งก็จะไม่ทำให้เกิดโรค แต่ในกรณีที่พยาธิไม่ถูกขับออกไป พยาธิอาจจะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร แล้วอยู่ในลำไส้ และอยู่นอกลำไส้ภายในช่องท้องก็ได้ 
ในระหว่างปี พ.ศ. 2508-2530 มีรายงานว่าพบคนป่วยในประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 4000 ราย ซึ่งพบการเกิดก้อนทูมในกระเพาะอาหารมากที่สุด พบก้อนทูมบางที่ที่ลำไส้และในช่องท้อง ถ้าตัดก้อนทูม จะพบพยาธิอยู่ภายในก้อนทูม การรักษาทำได้โดยการผ่าตัด พ.ศ. 2538 มีรายงานพบผู้ป่วยในญี่ปุ่นประมาณ 2000 ราย ในสหรัฐอเมริกามีรายงานการพบผู้ป่วยประมาณ 500 รายต่อปี ในยุโรปมีประมาณ 500 ราย เพราะว่าประเทศไทยก็มีรายงานการพบผู้ป่วยครั้งแรกจากพยาธิชนิดนี้ในชาวประมงทางภาคใต้ และยังมีรายงานว่าพบผู้ที่เกิดอาการแพ้ต่อพยาธิตัวนี้ทำให้เกิดผื่นลมพิษ ซึ่งในประเทศสเปนมีรายงานว่าบางรายเกิดอาการแพ้ชนิดเฉียบพลันด้วย แต่ประการใดก็ตามก็พบผู้ป่วยจากพยาธิชนิดนี้เป็นจำนวนน้อยมากต่อปี
หากเราต้องการสารที่ทำให้กล้ามเนื้อปลาแซลมอลแข็งแรง เราต้องกินปลาแซลมอนจำนวนหลายร้อยกรัมต่อวัน จึงมีอีกทางเลือกหนึ่งนั้นคือสาหร่ายแดง เพราะเหตุที่ปลาแซลมอลมีสีสันสวยงามและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เนื่องด้วยปลาแซลมอลกินพวกกุ้ง และกุ้งเล็กๆพวกนี้ก็กินสาหร่ายแดงเป็นอาหาร และสาหร่ายแดงยังมีสรรพคุณมากมาย สาหร่ายแดงที่ดีที่สุดคือ สาหร่ายแดงจากบริษัทไซยาโนเทคสหรัฐอเมริกา สาหร่ายแดงทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ลดการอักเสบของผิวหนังกล้ามเนื้อ สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อต่างๆ สาหร่ายแดงทำให้การมองเห็นคมชัด สาหร่ายแดงคือราชันแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ สาหร่ายแดงเป็นที่สนใจอย่างมากสำหรับคนรักสุขภาพ สามารถติดตามข้อมูลสาหร่ายแดงได้ที่  http://astaxanthin-spirulina-cellfood.lnwshop.com/  สาหร่ายแดง AstaRex
#24
ขออัพเดทประกาศสาหร่ายแดงคะ
#25
ขออัพเดทประกาศสาหร่ายแดงคะ
#27
ขออัพเดทประกาศสาหร่ายแดงคะ
#28
ขออัพเดทประกาศสาหร่ายแดงคะ
#34
สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน (glaucoma) เป็นโรคตาซึ่งคนที่เป็นโดยมากมักไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะในระยะแรกๆ พอทราบว่าเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ตาก็มักจะใกล้บอดแล้ว ที่อันตรายที่สุดคือ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตาจะบอดในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละบุคคล
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคต้อ ตามที่คนเรียกกันปกติ ที่พบบ่อยๆ มีต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม และสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน แต่ สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นต้อเพียงชนิดที่ไม่มีตัวต้อให้เห็น ก็เพราะว่า สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นกลุ่มโรคที่มีการทำลายขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นตัวนำกระแสการมองเห็นไปสู่สมอง ซึ่งเมื่อขั้วประสาทตาถูกทำลายจะมีผลทำให้สูญเสียลานสายตา เมื่อเป็นมากๆ ก็สูญเสียการมองเห็นในที่สุด ซึ่งเป็นการสูญเสียชนิดถาวร ไม่สามารถรักษาให้กลับคืนมามองเห็นได้
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เกิดจากการทำลายขั้วประสาทตา อาจมีขึ้นโดยไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรืออาจพบร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ ที่แทรกซ้อนมาจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดรักษาโรคอื่นๆ ในดวงตา หรือแม้แต่เกี่ยวข้องกับโรคทางกายอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในตัวบุคคลนั้นๆ ที่ทำให้เกิดการเสื่อมของขั้วประสาทตา
       ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน และเป็นปัจจัยอย่างเดียวที่ควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ แรงดันในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังที่ความเสื่อมข้างในลูกตา หรือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยาที่ใช้ จากอุบัติเหตุ หรือจากการผ่าตัด น้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา
       ธรรมดาลูกตาจะมีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงภายใน ซึ่งสร้างจากบริเวณด้านหลังของม่านตา แล้วไหลออกมาทาง
ช่องด้านหน้า ก่อนที่จะระบายออกไปทางท่อระบายบริเวณมุมตา ในภาวะปกติ ปริมาณของน้ำหล่อเลี้ยงที่สร้างขึ้นจะสมดุลกับปริมาณที่ไหลออกจากลูกตา ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำภายในลูกตา ความดันภายในก็ปกติ แต่ถ้าหากมีการอุดตันบริเวณที่ท่อระบาย จะทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้นได้
ชนิดของ โรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิด พบได้ร้อยละ 10 ของทั้งหมด เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ทำให้เกิดการอุดกั้นของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา กรณีที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เมื่อมองไปที่ดวงไฟจะเห็นเป็นวงกลมจ้ารอบดวงไฟ อาการอาจรุนแรงมากจนเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และมักไม่หายด้วยการรับประทานยาแก้ปวด ถ้าไม่รักษาตาจะบอดอย่างรวดเร็วภายในเวลาเป็นวันๆ ส่วนชนิดเรื้อรังผู้ป่วยมักไม่ทราบและไม่มีอาการ บางคนอาจมีอาการปวดเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เป็นๆ หายๆ อยู่หลายปี และได้รับการรักษาแบบโรคปวดศีรษะโดยไม่ทราบว่าเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิด พบได้ร้อยละ 60-70 ของทั้งหมด เกิดจากเนื้อเยื่อส่วนที่ทำหน้าที่กรองน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาผิดปกติ ทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้น และทำลายขั้วประสาทตาในที่สุด แบ่งเป็นชนิดความดันตาสูง และชนิดความดันตาปกติ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการปวดตาหรือตาแดง สังเกตพบว่าสายตาค่อยๆ มัวลง อาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเป็นเดือนหรือเป็นปี หากไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษาทันท่วงทีจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด แต่ถ้าได้รับการวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วก็มักจะรักษาสายตาไว้ได้
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดแทรกซ้อน เกิดเนื่องจากมีความผิดปกติอย่างอื่นของดวงตา เช่นการอักเสบ ต้อกระจกที่สุกมาก อุบัติเหตุต่อดวงตา เนื่องจากการใช้ยาหยอดตาบางชนิด และภายหลังการผ่าตัดตา เช่นเปลี่ยนกระจกตา หรือการผ่าตัดต้อกระจก
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ในทารกและเด็กเล็ก พบเกิดร่วมกับความผิดปกติตั้งแต่แรกคลอดของดวงตา อาจมีความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย โรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบลักษณะด้อย (autosomal recessive) หากทั้งพ่อ และแม่เป็นพาหะ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ร้อยละ 25 สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ในเด็กทารกมักพบตั้งแต่แรกเกิด แม่อาจสังเกตว่าลูกมีขนาดลูกตาใหญ่กว่าเด็กปกติ กลัวแสง กระจกตาหรือส่วนของตาดำจะไม่ใสจนถึงขุ่นขาว และมีน้ำตาไหลมาก หากพบต้องรีบพาเด็กเข้ารับการรักษา สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดเม็ดสี เป็นสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินชนิดมุมเปิดที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พบในคนสายตาสั้นอายุ 20-30 ปี
การที่สายตาสั้นทำให้ม่านตาเกิดเป็นส่วนโค้ง เนื้อเยื่อชั้นสร้างเม็ดสีกระทบกับเลนส์ ทำให้เม็ดสีอุดตัน การไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาติดขัด และความดันตาเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       อายุ คนที่มีอายุมากจะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน มากกว่าคนที่มีอายุน้อย สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน บางชนิดเกิดในเด็กแรกเกิด หรือกลุ่มเด็กเล็กได้เช่นกัน แต่พบไม่บ่อยเท่าผู้สูงอายุ สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิดพบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
       ความดันในลูกตา คนที่มีความดันในลูกตาสูงจะมีโอกาสเกิดโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ได้มาก
       ประวัติครอบครัว หากมีสมาชิกภายในครอบครัว หรือบรรพบุรุษเป็นสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินก็จะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน มากขึ้น และควรได้รับการตรวจเป็นระยะๆ
       สายตาสั้นมากหรือยาวมาก พบว่าคนที่มีสายตาสั้นมากๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิดมากกว่าคนปกติ และในคนที่สายตายาวมากๆ โดยมีขนาดของลูกตาเล็กกว่าปกติ ก็จะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิด
       โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปกติทางเลือดและเส้นเลือด ปัจจุบันมีหลักฐานชี้บ่งว่าความเข้มข้นของเลือดที่ผิดปกติอาจสัมพันธ์กับโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน โรคของเส้นเลือดที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคลูปัส ก็เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่จะมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงขั้วประสาทตา และทำให้เกิดเป็นโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินได้
       ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
       การได้รับอุบัติเหตุที่ลูกตามาก่อน และโรคตาบางชนิด
อาการของ สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       โรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ส่วนใหญ่เป็นชนิดไม่มีอาการ การดำเนินของโรคจากเริ่มเป็น จนถึงการสูญเสียการมองเห็น ใช้เวลานานเป็นปีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินที่เกิดจากความเสื่อม ซึ่งไม่มีอาการใดๆ จนกระทั่งสูญเสียการมองเห็น ซึ่งใช้เวลา 5 - 10 ปี จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าจะตรวจพบสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินระยะใด เช่น พบตั้งแต่ระยะเพิ่งเริ่มเป็น จะสามารถคุมไว้ได้ และอาจจะไม่สูญเสียการมองเห็น แต่ถ้าตรวจพบสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินระยะที่เป็นมากแล้วหรือระยะท้ายๆ ก็อาจสูญเสียการมองเห็นได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นภายในเวลาเป็นเดือน ก็จะตาบอดได้
ส่วน สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิดที่มีอาการเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้
          อาการปวดตา
          เมื่อมองไปที่ดวงไฟจะเห็นเป็นวงกลมจ้ารอบดวงไฟ
          ตาแดงทันทีทันใด
          ปวดมากจนคลื่นไส้อ๊วกต้องมาโรงพยาบาล
          ปวดศีรษะมากในตอนเช้า
          ความดันตาเพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด
          กระจกตาบวมหรือขุ่น
        อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปจะไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเริ่มเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน งดเว้นต้องมาให้จักษุแพทย์ตรวจ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในกลุ่ม สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ที่เป็นระยะเรื้อรังจากความเสื่อมที่ค่อย เป็นค่อยไป
การวินิจฉัยโรค
         การตรวจโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน หมอตาจะทำการตรวจเช็คตาโดยละเอียดรวมทั้งการซักประวัติทางร่างกาย ประวัติทางครอบครัว
         ทำการวัดสายตา วิธีการการตรวจหาสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินเริ่มแรกจะต้องวัดการมองเห็นก่อนว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่
         วัดความดันภายในลูกตา สิ่งที่เน้นสำหรับการตรวจสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน คือการวัดความดันลูกตา ซึ่งเป็นการตรวจที่สำคัญมากของการตรวจสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงเพียง อย่างเดียวที่ควบคุมได้
         ตรวจดูขั้วประสาทตา และจอตา เป็นการตรวจการทำงาน และรูปร่างลักษณะของขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่กระทบกระเทือนโดยตรงจากสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
         การตรวจพิเศษโดยเฉพาะสำหรับโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน คือการตรวจดูมุมตาด้วยเครื่องตรวจลานสายตาอัตโนมัติ เพราะให้ข้อมูลละเอียดกว่าและการตรวจดูการกระจายของเส้นใยประสาท
         การตรวจขั้วประสาทตาด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถถ่ายภาพและวิเคราะห์ขั้วประสาทตาได้ด้วย
คอมพิวเตอร์ โดยถ่ายรูปขั้วประสาทตาได้มุมเฉพาะ แล้วส่งสัญญาณจากกล้องไปที่คอมพิวเตอร์ จากนั้นแสดงออกทางจอภาพได้ทันเวลา ด้วยเครื่องมือนี้ จักษุแพทย์สามารถจะวัดความกว้าง ยาว และลึก ของขั้วประสาทตา ได้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ และใช้ในการติดตามผู้ป่วยโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินได้อย่างใกล้ชิด และละเอียดละออ
สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน (glaucoma) เป็นโรคตาซึ่งคนที่เป็นส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะในระยะแรกๆ พอทราบว่าเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ตาก็มักจะใกล้บอดแล้ว ที่อันตรายที่สุดคือ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตาจะบอดในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละบุคคล
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคต้อ ตามที่คนเรียกกันโดยทั่วๆ ไป ที่พบบ่อยๆ มีต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม และสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน แต่ สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นต้อเพียงชนิดที่ไม่มีตัวต้อให้เห็น เพราะ สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เป็นกลุ่มโรคที่มีการทำลายขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นตัวนำกระแสการมองเห็นไปสู่สมอง ซึ่งเมื่อขั้วประสาทตาถูกทำลายจะมีผลทำให้สูญเสียลานสายตา เมื่อเป็นมากๆ ก็สูญเสียการมองเห็นในที่สุด ซึ่งเป็นการสูญเสียชนิดถาวร ไม่สามารถรักษาให้กลับคืนมาสังเกตเห็นได้
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เกิดจากการทำลายขั้วประสาทตา อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรืออาจพบร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ ที่แทรกซ้อนมาจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดรักษาโรคอื่นๆ ในดวงตา หรือแม้แต่เกี่ยวพันกับโรคทางกายอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในตัวบุคคลนั้นๆ ที่ทำให้เกิดการเสื่อมของขั้วประสาทตา
       ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน และเป็นปัจจัยอย่างเดียวที่ควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ ความดันในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากความเสื่อมข้างในลูกตา หรือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยาที่ใช้ จากอุบัติเหตุ หรือจากการผ่าตัด น้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา
       โดยปกติลูกตาจะมีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงภายใน ซึ่งสร้างจากบริเวณด้านหลังของม่านตา แล้วไหลออกมาทาง
ช่องด้านหน้า ก่อนที่จะระบายออกไปทางท่อระบายบริเวณมุมตา ในภาวะปกติ ปริมาณของน้ำหล่อเลี้ยงที่สร้างขึ้นจะสมดุลกับปริมาณที่ไหลออกจากลูกตา ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำภายในลูกตา ความดันภายในก็ปกติ แต่ถ้าหากมีการอุดตันบริเวณที่ท่อระบาย จะทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้นได้
ชนิดของ โรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิด พบได้ร้อยละ 10 ของทั้งหมด เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ทำให้เกิดการอุดกั้นของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา กรณีที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เมื่อมองไปที่ดวงไฟจะเห็นเป็นวงกลมจ้ารอบดวงไฟ อาการอาจรุนแรงมากจนเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และมักไม่หายด้วยการรับประทานยาแก้ปวด ถ้าไม่รักษาตาจะบอดอย่างรวดเร็วภายในเวลาเป็นวันๆ ส่วนชนิดเรื้อรังผู้ป่วยมักไม่ทราบและไม่มีอาการ บางคนอาจมีอาการปวดเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เป็นๆ หายๆ อยู่หลายปี และได้รับการรักษาแบบโรคปวดศีรษะโดยไม่ทราบว่าเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิด พบได้ร้อยละ 60-70 ของทั้งหมด เกิดจากเนื้อเยื่อส่วนที่ทำหน้าที่กรองน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาผิดปกติ ทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้น และทำลายขั้วประสาทตาในที่สุด แบ่งเป็นชนิดความดันตาสูง และชนิดความดันตาปกติ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการปวดตาหรือตาแดง สังเกตพบว่าสายตาค่อยๆ มัวลง อาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเป็นเดือนหรือเป็นปี หากไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษาทันท่วงทีจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด แต่ถ้าได้รับการวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วก็มักจะรักษาสายตาไว้ได้
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดแทรกซ้อน เกิดเนื่องจากมีความผิดปกติอย่างอื่นของดวงตา เช่นการอักเสบ ต้อกระจกที่สุกมาก อุบัติเหตุต่อดวงตา เนื่องจากการใช้ยาหยอดตาบางชนิด และภายหลังการผ่าตัดตา เช่นเปลี่ยนกระจกตา หรือการผ่าตัดต้อกระจก
       สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ในทารกและเด็กเล็ก พบเกิดร่วมกับความผิดปกติตั้งแต่แรกคลอดของดวงตา อาจมีความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย โรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบลักษณะด้อย (autosomal recessive) หากทั้งพ่อ และแม่เป็นพาหะ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ร้อยละ 25 สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ในเด็กทารกมักพบตั้งแต่แรกเกิด แม่อาจสังเกตว่าลูกมีขนาดลูกตาใหญ่กว่าเด็กปกติ กลัวแสง กระจกตาหรือส่วนของตาดำจะไม่ใสจนถึงขุ่นขาว และมีน้ำตาไหลมาก หากพบต้องรีบพาเด็กเข้ารับการรักษา สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดเม็ดสี เป็นสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินชนิดมุมเปิดที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พบในคนสายตาสั้นอายุ 20-30 ปี
การที่สายตาสั้นทำให้ม่านตาเกิดเป็นส่วนโค้ง เนื้อเยื่อชั้นสร้างเม็ดสีกระทบกับเลนส์ ทำให้เม็ดสีอุดตัน การไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาติดขัด และความดันตาเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       อายุ คนที่มีอายุมากจะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน มากกว่าคนที่มีอายุน้อย สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน บางชนิดเกิดในเด็กแรกเกิด หรือกลุ่มเด็กเล็กได้เช่นกัน แต่พบไม่บ่อยเท่าผู้สูงอายุ สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิดพบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
       ความดันในลูกตา คนที่มีความดันในลูกตาสูงจะมีโอกาสเกิดโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ได้มาก
       ประวัติครอบครัว หากมีสมาชิกภายในครอบครัว หรือบรรพบุรุษเป็นสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินก็จะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน มากขึ้น และควรได้รับการตรวจเป็นระยะๆ
       สายตาสั้นมากหรือยาวมาก พบว่าคนที่มีสายตาสั้นมากๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมเปิดมากกว่าคนปกติ และในคนที่สายตายาวมากๆ โดยมีขนาดของลูกตาเล็กกว่าปกติ ก็จะมีโอกาสเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิด
       โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปกติทางเลือดและเส้นเลือด ปัจจุบันมีหลักฐานชี้บ่งว่าความเข้มข้นของเลือดที่ผิดปกติอาจสัมพันธ์กับโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน โรคของเส้นเลือดที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคลูปัส ก็เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่จะมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงขั้วประสาทตา และทำให้เกิดเป็นโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินได้
       ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
       การได้รับอุบัติเหตุที่ลูกตามาก่อน และโรคตาบางชนิด
อาการของ สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
       โรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ส่วนใหญ่เป็นชนิดไม่มีอาการ การดำเนินของโรคจากเริ่มเป็น จนถึงการสูญเสียการมองเห็น ใช้เวลานานเป็นปีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินที่เกิดจากความเสื่อม ซึ่งไม่มีอาการใดๆ จนกระทั่งสูญเสียการมองเห็น ซึ่งใช้เวลา 5 - 10 ปี จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าจะตรวจพบสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินระยะใด เช่น พบตั้งแต่ระยะเพิ่งเริ่มเป็น จะสามารถคุมไว้ได้ และอาจจะไม่สูญเสียการมองเห็น แต่ถ้าตรวจพบสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินระยะที่เป็นมากแล้วหรือระยะท้ายๆ ก็อาจสูญเสียการมองเห็นได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นภายในเวลาเป็นเดือน ก็จะตาบอดได้
ส่วน สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ชนิดมุมปิดที่มีอาการเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้
          อาการปวดตา
          เมื่อมองไปที่ดวงไฟจะเห็นเป็นวงกลมจ้ารอบดวงไฟ
          ตาแดงทันทีทันใด
          ปวดมากจนคลื่นไส้อาเจียนต้องมาโรงพยาบาล
          ปวดศีรษะมากในตอนเช้า
          ความดันตาเพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด
          กระจกตาบวมหรือขุ่น
        อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปจะไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเริ่มเป็น สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน เว้นแต่ต้องมาให้จักษุแพทย์ตรวจ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในกลุ่ม สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน ที่เป็นระยะเรื้อรังจากความเสื่อมที่ค่อย เป็นค่อยไป
การวินิจฉัยโรค
         การตรวจโรค สาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน จักษุแพทย์จะทำการตรวจเช็คตาโดยละเอียดรวมทั้งการซักประวัติทางร่างกาย ประวัติทางครอบครัว
         ทำการวัดสายตา ขั้นตอนการตรวจหาสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินเริ่มแรกจะต้องวัดการมองเห็นก่อนว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่
         วัดความดันภายในลูกตา สิ่งที่เน้นสำหรับการตรวจสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน คือการวัดความดันลูกตา ซึ่งเป็นการตรวจที่สำคัญมากของการตรวจสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงเพียง อย่างเดียวที่ควบคุมได้
         ตรวจดูขั้วประสาทตา และจอตา เป็นการตรวจการทำงาน และรูปร่างลักษณะของขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่กระทบกระเทือนโดยตรงจากสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน
         การตรวจพิเศษโดยเฉพาะสำหรับโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหิน คือการตรวจดูมุมตาด้วยเครื่องตรวจลานสายตาโดยอัตโนมัติ เพราะให้ข้อมูลละเอียดกว่าและการตรวจดูการกระจายของเส้นใยประสาท
         การตรวจขั้วประสาทตาด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถถ่ายภาพและวิเคราะห์ขั้วประสาทตาได้ด้วย
คอมพิวเตอร์ โดยถ่ายรูปขั้วประสาทตาได้มุมเฉพาะ แล้วส่งสัญญาณจากกล้องไปที่คอมพิวเตอร์ จากนั้นแสดงออกทางจอภาพได้ทันที ด้วยเครื่องมือนี้ จักษุแพทย์สามารถจะวัดความกว้าง ยาว และลึก ของขั้วประสาทตา ได้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ และใช้ในการติดตามผู้ป่วยโรคสาหร่ายแดงฟื้นฟูสาหร่ายแดงฟื้นฟูต้อหินได้อย่างใกล้ชิด และละเอียด
#35
สไปเลนด์หลักการลดน้ำหนัก คือว่า ต้องลดไขมันที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ... อย่าหยุดกินอาหาร แต่ต้องเลือกกินสารอาหารที่ให้พลังงานซึ่งมีอยู่ ๓ กลุ่มเท่านั้นคือ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และสารโปรตีน
    ถ้าหยุดกินอาหารจะทำให้ ร่างกายเสียทั้งสารโปรตีน (กล้ามเนื้อ) ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต แป้งมีอยู่ในปริมาณจำกัดคือ อยู่ในรูปแบบของไกลโคเจน ที่ตับ ๑๐๐ กรัม ที่กล้ามเนื้ออีก ๔๐๐ กรัม หรือรวมแล้วเป็นพลังงานเพียง ๒,๐๐๐ กิโล-แคลอรี (๕๐๐ กรัม x ๔) ร่างกายมีไขมันเป็นพลังงานถึงแสนกิโลแคลอรี
    สไปเลนด์วิธีการลดน้ำหนักจึงต้องเลือกกินอาหาร มุ่งเน้นหนัก ไปทางสไปเลนด์ พืช ผัก ถั่ว เห็ด เต้าหู้ ปลา พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ หนังสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ของทอด น้ำหวาน ของหวาน กะทิ น้ำตาล เพราะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมาก แม้แต่ข้าวหรือขนมปัง ถ้ากินมากเกินไป เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน
   สไปเลนด์วิธีการกินอาหารจึงต้องค่อยๆ กิน ดื่มน้ำมากๆ ก่อนหรือระหว่างกินอาหาร เริ่มต้นเกี่ยวกับการกินสไปเลนด์ ซุปผัก ๑-๒ จาน เคี้ยวช้าๆ พูดคุยบ้าง หลังจากนั้นกินสลัดผักมากๆ อย่าใช้น้ำสลัดที่หวาน กินผักหลายๆ ชนิด เช่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หัวหอม เพราะพืช ผัก เป็นแหล่งอาหารที่ดี มีไขมันประเภทดีและมีพลังงานน้อย สไปเลนด์กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
    ภายหลังนั้นจึงกินสไปเลนด์ (ถ้ายังไม่อิ่ม) ปลาทะเล (แต่พยายามหลีกเลี่ยงไข่ปลา) พยายามกินปลาที่ต้ม นึ่ง ลวก แทนที่จะทอด ถ้าเบื่อปลา จะเปลี่ยนเป็นสไปเลนด์เนื้อสัตว์อื่นก็ต้องเลือกไก่ที่เอาหนังออก (หนังมีไขมันมาก)
    คนที่ชอบกินข้าวก็อาจกินข้าวได้บ้าง (๑ จาน) กับปลาหรือไก่ ควรค่อยๆ ขบเคี้ยว ค่อยๆ กิน กินไปพูดคุยไป ดื่ม น้ำไป ที่แนะนำให้ทำแบบนี้เพราะร่างกายมนุษย์ก็แปลก กว่าจะรู้ตัวว่าอิ่มจะต้องใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ด้วยเหตุนี้เองถ้ารีบกินเร็วไป จะกินได้มากภายใน ๒๐ นาที ก่อนที่จะรู้ตัวว่าอิ่ม แต่ถ้าค่อยๆ กินจะพบว่าภายใน ๒๐ นาทีเรายังไม่ค่อยได้กินอะไรมากปรากฏว่าอิ่มแล้ว
    หลังอาหารไม่น่าจะกินอาหารหวาน ถ้าจะกินของหวานให้เลือกกินผลไม้ที่ไม่หวานจัด การกินอาหารแต่ละวันจะต้องแบ่งออกเป็น ๓ มื้อ แทนที่จะกินมื้อเดียว จะช่วยทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเบากว่า เพราะการกินอาหารแต่ละมื้อร่างกายใช้พลังงานเผาผลาญ ดูดอาหารมาก นั่นคือ มื้อเช้าร้อยละ ๒๕ ของพลังงานทั้งหมดที่จะกินต่อวัน มื้อกลางวันร้อยละ ๕๐ และมื้อเย็นร้อยละ ๒๕ (อย่างน้อย ๓-๔ ชั่วโมงก่อนนอน) และพยายามออกกำลังกายภายใน ๒ ชั่วโมงก่อนอาหารมื้อเย็น
การคุมอาหารอย่างเดียวพบว่าลดน้ำหนักได้ยาก แต่ถ้าออกกำลังกายด้วยจะสามารถช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการสูญเสียกล้าม และยังช่วยทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเก่าด้วย ฉะนั้นควรคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ถ้าออกกำลังกายโดยไม่คุมอาหาร ออกกำลังกาย เท่าไหร่ก็จะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ เพราะขนมปัง ๑ แผ่น หรือไข่ไก่ ๑ ฟอง จะให้พลังงาน ๑๐๐ กิโลแคลอรี ซึ่งถ้าร่างกายจะเผาผลาญ ๑๐๐ กิโลแคลอรี เราจะต้องเดินหรือวิ่ง ๑ ไมล์!
    สไปเลนด์ฉะนั้น ถ้ากินเต็มที่อาจจะต้องวิ่งถึง ๒๐ ไมล์ เพื่อที่จะเผาผลาญพลังงานที่กินหรือดื่มเข้าไปจากการกินสไปเลนด์อาหารเพียงมื้อเดียว! พยายามลดน้ำหนักตัวเพียงครึ่งถึง ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และชั่งน้ำหนักทุกวันในเวลาเดียวกัน เช่น ชั่งช่วงเช้าหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะดูว่าน้ำหนักไม่เพิ่มหรือลดเกินไป
    ถึงแม้ฮิปโพเครตีสบิดาของวงการแพทย์ชาวกรีกได้กล่าวไว้หลายพันปีแล้ว เฉพาะยังเป็นคำกล่าวที่ยังเป็นความจริงอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเป็นการแนะนำที่ดีที่สุด ถ้าทุกๆ คนทำตามนี้ได้จะป้องกัน ลดการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ความดันเลือดสูง เบาหวาน เนื้องอก กระดูกพรุน อ้วน และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อาจจะตามมา
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าจะกินก็ควรจะกินให้เป็น และถ้าจะเป็นโรคต้องเป็นโรคที่ยังป้องกันไม่ได้
#36
สาหร่ายแดง ราชันแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ วิธีกิน สาหร่ายแดง Astaxanthin Astarex
รับประทานสาหร่ายแดงครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า - เย็น 
สาหร่ายแดง  Astaxanthin Astarex พืชน่าพิศวง สุดยอดสรรพคุณทางยารักษาโรค
ที่น้อยคนนักที่รู้
ข้อเขียนโดย ไมค์อดัมส์ บรรณาธิการของ NaturalNews.com
การพบสาหร่ายแดง Astaxanthin Astarex ที่น่าแปลกประหลาดที่สุด กับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา  สมุนไพรพิเศษ "สาหร่ายแดง" ที่อุดมไปด้วยสาร " แอสตาแซนทิน" ที่ถูกแฝงในระบบนิเวศน้ำมานานกว่าพันล้านปี ซึ่งมีคุณลักษณะและสรรพคุณเป็นยาวิเศษ ที่ได้ธรรมชาติและสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งการรักษาด้วยสารธรรมชาติชนิดนี้ส่งผลดีต่อสุขภาพอนามัยในระยะยาว ซึ่งมีความแตกต่างจากการรักษาทางชีวเคมีอย่างสิ้นเชิง และเพียงครั้งเดียวที่ท่านใดได้รับ สมุนไพรพิเศษ นี้เพียงอย่างเดียว ก็จะส่งผลลัพธ์ในทิศทางที่ดีต่ออนามัย โดยมีคุณสมบัติที่สามารถจะอธิบายได้ดังต่อไปนี้
·     สาหร่ายแดงปกป้องสมอง จากภาวะสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์
·     สาหร่ายแดงช่วยลด การอักเสบ พร้อมกับอาการปวดตามข้อ ปวดเข่า ปวดหลัง ปวดเอ็น 
·     สาหร่ายแดงลดความเสียหายที่เกิดจากภาวการณ์  ออกซิเดชันของคุณ ดีเอ็นเอ ได้ถึง 40%
·     สาหร่ายแดงฟื้นฟูกล้ามเนื้อและสมรรถนะการออกกำลังกาย เหมาะสำหรับนักกีฬา
·     สาหร่ายแดงเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ทำให้โอกาสในการเกิดโรคร้ายแรงลดลง
·     สาหร่ายแดงลด ระดับน้ำตาลในเลือด 
·     สาหร่ายแดงส่งเสริมสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด, ลดไขมันในเลือด หรือโปรตีนชนิด C-Reactive (CRP)
·     สาหร่ายแดงลดหรือทำลาย โรคการกดทับเส้นประสาท ( arpal tunnel syndrome ) บริเวณข้อมือ สันหลัง และบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย
·     สาหร่ายแดงช่วยให้ร่างกายมีการทำงานของภูมิต้านทานได้ดีขึ้น และช่วยให้ร่างกายต่อต้านการติดเชื้อ
·     สาหร่ายแดงช่วยให้โรคกรดไหลย้อนดีขึ้น ปกป้องกระเพาะอาหารจากแผล และแบคทีเรียแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
·     สาหร่ายแดงปกป้องไตจากความเสียหายอันเนื่องมาจาก ไขมัน หรือ น้ำตาลในเลือดสูง ลดคลดเรสโตรอล
·     สาหร่ายแดงกำจัดตัวก่อเกิดที่เป็นสาเหตุเซลล์โรคมะเร็ง (apoptosis)
·     ช่วยเพิ่ม สเปิร์ม ให้มีปริมาณทีมากขึ้น แข็งแรงขึ้น ที่มีคุณภาพ, การเคลื่อนที่, และจำนวนน้ำเชื้อ
·     สาหร่ายแดงป้องกันและรักษาการเกิดหอบหืด โรคภูมิแพ้
·     สาหร่ายแดงปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ  ที่ได้รับจากอาหารได้สูง เช่นอาหารทอด ไขมันย่าง ไหม้
·     สาหร่ายแดงช่วยปกป้องสุขภาพตา, ต้อกระจกช่วยลด และ ป้องกันความเสียหาย UV ต่อตา ได้อย่างมาก
·     สาหร่ายแดงเป็นอาหารเสริมพลานามัยและความงาม แอสตาแซนธิน ช่วยลดริ้วรอย กระ จุดด่างดำ และผิวขาวใส แอสตาแซนธิน มีสารต้านอนุมูลอิสระได้
-  สาหร่ายแดงแรงกว่าวิตามินซี  6,000 เท่า
-  สาหร่ายแดงมากกว่าวิตามินอี   1,000 เท่า
-  สาหร่ายแดงแรงกว่า โคเอนไซม์คิวเท็น  150 เท่า
-  สาหร่ายแดงมากกว่าเบต้าแคโรทีนอย 40 เท่า
 
*คำเตือนในการเลือกรับประทานอาหารเสริมก่อนตัดสินใจ: 
1. ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มิใช่ยา ไม่มีฤทธิ์ในการรักษาโรคใด ๆ 
ให้หายขาดผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล 
2. ควรกินอาหารให้ต่างๆนาๆครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ
3. ควรเก็บไว้ในที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่วางในที่อับชื้น เก็บให้พ้นแดดและความร้อน 
4. กรุณาอ่านคำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์หรือเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ นั้นๆก่อนใช้
5.เด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทาน
#37
update post
#41
สาหร่ายแดงยับยั้งโรคต้อกระจก 
เนื่องด้วยแก้วตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่ร่วมกับ กระจกตา ในการหักเหแสงให้ตกโฟกัสที่จอประสาทตา จึงทำให้เกิดการมองเห็น สาหร่ายแดงช่วยใช้การจุดโฟกัสภาพชัดขึ้น สาหร่ายแดงป้องกันรังสี UV  ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตาด้อยคุณภาพ
ต้อกระจกหรือที่เรียกว่า Cataract เกิดจากเลนส์แก้วตาชำรุด ทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นมัวทำให้มองไม่ชัด อ่านหนังสือไม่ชัด แก้วตาที่ขุ่นลงนี้ ส่งผลให้กำลังหักเหของแสงผิดไป ตลอดจนขัดขวางไม่ให้แสงเข้าตา ผู้นั้นจึงมองภาพเห็นภาพไม่ชัด นั่นคือโรคที่เรียกกันว่า "ต้อกระจก" 
แสงจะผ่านจากภายนอกเข้าสู่เลนส์กระจกตา ม่านตาและเลนส์ตา เลนส์ตาทำหน้าที่ปรับให้แสงตกที่จอรับภาพทำให้ภาพชัด คนที่เป็นต้อกระจกเลนส์ตาจะขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านไปยังจอรับภาพได้อย่างสะดวกทำให้ภาพไม่ชัด สาหร่ายแดงช่วยได้
สาหร่ายแดงป้องกันปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ อายุพบว่าผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีต้อกระจกอยู่แล้วบางส่วน มักพบแก้วตาขุ่นเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นต้อกระจกระยะต้นๆ อาจพบจากที่มาอื่นที่ไม่ใช่จากวัยแก่ เช่น
• เบาหวาน
• ประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
• เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา
• การใช้ยาบางชนิดเช่น steroid 
• ติดเหล้า
• เจอแสงแดดมาก
• ต้องสัมผัสรังสีปริมาณมาก
• สูบบุหรี่
• เด็กที่ขาดอาหาร
• เลนส์ตาได้รับการกระทบกระเทืนอย่างแรง เช่นถูกกระแทก
• การใช้ยา steroid เพื่อรักษาโรค
การคัดกรอง
• อายุ 40-65 ปีให้ตรวจตาทุก 2-4 ปี
• อายุมากกว่า 65 ปี ให้ตรวจทุก 1-2 ปี
• ตรวจตาจนกระทั่งมีอาการเปลี่ยนแปลง
การรักษา
การรักษาขึ้นกับสภาพของต้อกระจกกล่าวคือ (หากรับประทานสาหร่ายแดงเป็นประจำจะลดความเสี่ยงการเกิดต้อ)
• ต้อที่เพิ่งจะเริ่มเป็นและเป็นไม่มาก ต้องรอให้ต้อสุกเสียก่อน ระหว่างนี้ก็ให้ตรวจตาตามแพทย์นัด
• ต้อที่แก่หรือสุกก็ผ่าตัดซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากเตรียมตัวพร้อมก็ผ่าตัด
• ต้อที่สุกและเริ่มมีโรคแทรกซ้อนให้ทำการผ่าตัด 
การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นมัวออก วิธีการผ่าตัดทำได้ 2 วิธี
• Phacoemulsification เป็นวิธีที่นิยมทีสุดโดยการเจาะรูเล็กๆแล้วใช้เครื่อง ultrasound สลายเลนส์และดูดออก
• Extracapsular โดยการผ่าตัดเป็นแผลเล็กๆแล้วเอาเลนส์ที่เสียออก
ภายหลังเอาเลนส์ออกแล้วแพทย์ก็จะใส่แก้วตาเทียมเข้าแทนที่อันเดิม หลังผ่าตัดอาจจะมีอาการระคายเคืองตา อาจจะต้องใส่เครื่องป้องกันการขยี้ตา 1-2 วัน หลังผ่าตัก 1 วันก็จะเห็นชัดขึ้นแต่จะชัดที่สุดคือหลังผ่า 4 สัปดาห์และมีความจำเป็นต้องสวมแว่นตา หลังผ่าตัด นอกจากนี้หลังผ่าตัดหากรับประทานสาหร่ายแดงจะทำให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากมีอาการเหล่านี้ให้พบแพทย์
• ตามองไม่เห็น
• ปวดตาตลอด
• ตาแดงมากขึ้น
• เห็นแสงแปล็บๆ
• คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะและไอ
การป้องกันโรคต้อกระจกด้วยการดูแลตัวเองและรับประทานสาหร่ายแดง
• งดสูบบุหรี่
• หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์
• รับประทานสาหร่ายแดงคู่กับออกซิเจนน้ำเป็นประจำ สาหร่ายแดงมีผลต่อร่างกายอย่างมาก สาหร่ายแดงที่ได้มาตรฐานต้องผลิตจากบริษัทไซยาโนเทค อเมริกา
#43
สาหร่ายแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ดีเยี่ยม สาหร่ายแดง เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ มีลักษณะเป็นสารสีแดง พบมากใน ปลาแซลมอน  ไข่ปลาคาร์เวียร์ เปลือกปู กุ้งและสาหร่ายชนิด Microalgae Haematococus Pluvialis สาหร่ายแดง จากการศึกษาวิจัยทางวิชาวิทยาศาสตร์พบว่า แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูลอิสระได้แรงกว่า วิตามิน ซี 6,000 เท่า, CoQ10 800 เท่า, วิตามิน อี 550 เท่า, Green tea catechins 550 เท่า, Alpha lipoic acid 75 เท่า, เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า
สาหร่ายแดง บำรุงสายตา  และชะลอความเสื่อมของ ดวงตา สาหร่ายแดง ปกปักรักษาและแก้ไขจอตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งจอตาจะเป็นจุดรับภาพของลูกตา สาหร่ายแดง ลดอาการอ่อนล้าของสายตา
สาหร่ายแดง ปกป้องดวงตาจากรังสีอุลต้าไวโอเลต  สาหร่ายแดง ป้องกันและแก้โรคในผู้ป่วยความจำเสื่อมและพาร์กินสัน 
สาหร่ายแดง ช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย  ลดริ้วรอย  ความหย่อนคล้อยและจุดด่างดำ  สาหร่ายแดง ดูแลอนามัยกระเพาะอาหาร  สาหร่ายแดง เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกาย  ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีสุขภาพอนามัยดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น  สาหร่ายแดง ปรับสมดุลความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ 
สาหร่ายแดง ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเนื้อร้าย โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และเส้นเลือดในสมองแตก  สาหร่ายแดง ลดภาวะอักเสบในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรัง เช่น กลุ่มผู้ป่วย AIDS ผู้ติดเชื้อไวรัสงูสวัด และ เริม สาหร่ายแดง ช่วยการปรับปรุง และฟื้นฟูเซลล์สมองและหลอดเลือดในผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก หรือว่า ผู้ป่วยที่ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง  สาหร่ายแดง บรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ  ควรอ่านและศึกษาตามคำปรึกษาบนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือทานตามคำแนะนำของแพทย์ / เภสัชกร หรือนักโภชนาการ  หลังจากเปิดฝาผลิตภัณฑ์แล้ว ควรทานให้หมดภายใน 3-6 เดือน (เพื่อป้องกันการเสื่อมคุณภาพที่อาจเกิดจากกการเก็บรักษาและอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะยังไม่หมดอายุก็ตาม) *
คำเตือน เหมาะเก็บไว้ในที่ร่มและพ้นแสง - ควรเก็บให้พ้นมือลูก
• การได้รับสารอาหารต่างๆ ควรได้รับจากการบริโภคอาหารหลักหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่และเป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ
• ควรรับประทานตามความเข้มข้นที่เหมาะสม กรุณาอ่านข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยละเอียด
• ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวไม่ใช่ยา จึงไม่มีผลในการบำบัดรักษาและบรรเทาอาการของโรค เป็นเพียงสารอาหารที่ออกฤทธิ์ตามคุณค่าอย่างเดียว
   Health Tips
• ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะผัก ลูกไม้ และธัญพืช
• ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
• ควรนอนหลับหยุดพักให้พอเพียง อย่างน้อยวันละ 6-8 ชม. จะช่วยให้ผิวแลดูสดใส
• ทำความรู้สึกให้งามอยู่เสมอ เพื่อชะลอวัย
• ควรออกกำลังกายเสมอๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
https://www.facebook.com/cellfood.astaxanthin.spirulina
#44
เรื่องราวของสาหร่ายแดงแอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
ปลาแซลมอนโตเต็มวัยจะหากินในทะเลลึก แต่จนถึงถึงฤดูวางไข่มันจะกลับไปสู่แหล่งน้ำที่มันเกิด ซึ่งต้องว่ายถึง 7 วัน ระยะทาง 1,000 กม. และต้องไต่หน้าผาสูงชัน 7,000 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล โดยว่ายสวนทางน้ำตก นักวิทยาศาสตร์พบว่าเหตุที่ปลาแซลมอนแข็งแรง และทรหดเช่นนี้ เพราะในกล้ามเนื้อมีสาร Astaxanthin สูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับกับสัตว์ชนิดอื่น
สาหร่ายแดง Astaxanthin เป็นผลิตภัณฑ์เสริม สารต้านอนุมูลอิสระ ผลิตจากสาหร่ายขนาดเล็ก Haematococcus pluvial lis โดยบริษัทมหาชนไซยาโนเทค มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา สารสีแดงที่สกัดได้จากสาหร่ายแดงนี้มีชื่อว่า Astaxanthin เป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุดในโลกเหนือกว่าวิตามินอี 550 เท่า เหนือกว่า Beta-caretene 11 เท่า ค่า
1.   สาหร่ายแดงช่วยลดการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย
2.   สาหร่ายแดงให้พลังและความทนทาน (เหมาะสำหรับคนทำงานหนัก, นักกีฬา, นักเรียน)
3.   สาหร่ายแดงปกป้องรังสียูวีจากภายในร่างกายและเพิ่มความงามให้ กับผิวพรรณ คือลบรอยเหี่ยวย่น เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสีผิว เพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มความนิ่มนวล ลดจุดด่างดำ (เหมาะกับคนรักสวยรักงาม วัยรุ่น กลางคน ถึงวัยชราที่กลัวความแก่)
4.   สาหร่ายแดงบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น เพราะสาร astaxanthin ในสาหร่ายแดง สามารถผ่านตัวกรองเลือดที่ไปเลี้ยงลูกตาที่สารต้านอนุมูลอิสระอื่นไม่สามารถผ่านได้
สาหร่ายแดง แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
   เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ / ตระกูลแคโรทีนอยด์ (Xanthophyll group / Carotenoid family) พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้งปูและ Microalgae Haematococcus Pluvialis ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมีแอสตาแซนธิน เพียง 1 มิลลิกรัม เป็นอาทิ
   มีข่าวสารจากวารสารทางวิชาวิทยาศาสตร์ต่างๆ ว่ามีการนำ Microalgae Haematococcus Pluvialisซึ่งมีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) อยู่เป็นจำนวนมาก นำมาสกัดเป็นอาหารเสริมและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่แถบสแกนดิเน เวีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 และสารแอสตาแซนธินของสาหร่ายแดงมีการวางจำหน่ายอย่างแพร่สะพัดในตลาดตั้งแต่ปีค.ศ. 1999 จนถึงช่วงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาศักยภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดต่างๆ ค้นพบว่า แอสตาแซนธินของสาหร่ายแดงมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้แรงกว่า วิตามิน ซี 6,000 เท่า, CoQ10 800 เท่า, วิตามิน อี 550 เท่า, Green tea catechins 550 เท่า, Alpha lipoic acid 75 เท่า, เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า