Show posts - kdidd
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kdidd

#1

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย
ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
 ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
 ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
 ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae
ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง[/url]
เจออยู่มากมายในรอบๆที่ราบตีนเขา และก็ ตีนเขาป่าเต็งรัง  เทือกเขาหินปูน  ในรอบๆที่มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นนัก  พบได้มากอยู่เป็นกลุ่มๆข้างในป่า  อาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นสายปลายเหตุ  คือ  ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ระบาดตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มเอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง
กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่คล้ายใบต้นทองกวาว  แม้กระนั้นใบใหญ่กว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่เหมือนดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าเหมือนดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง คล้ายเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปบริเวณหลายเมตร

    การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเมล็ด โดยการเพาะเมล็ดในกระบะเถ้าถ่านแกลบโดยประมาณ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ราว 5.5 เมื่อต้นกล้าเติบโตได้ 60 วัน จึงนำลงแปลงปลูกกลางแจ้ง  โดยทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในกระบวนการเกษตร เป็นต้นว่า ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรอยู่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่บรรจุเถ้าถ่านแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและยอดแข็งแรงก็ดี ก็เลยนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกฯลฯใหม่  จำเป็นที่จะต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามกรรมวิธีขยายพันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุโดยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป  และต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปหลังการเก็บเกี่ยวมาแพร่พันธุ์ได้ ข้างหลังการต่อต้นราวๆ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ รวมทั้งมีจุดเด่นคือสามารถต่อต้นกับหัวข้ามสายพันธุ์ได้

    องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง
                ส่วนหัวของกวาวเครือแดงประกอบด้วยสารไฟโตแอนโดรเจน และก็ไอโซฟลาโวลิกแนน 2 ชนิด ได้แก่ Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ อย่างเช่น butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone
    แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีการเปลี่ยนแปลงสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงแล้วก็เมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีดเซียว

    สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มน้ำเชื้อ เป็นยาอายุวัฒนะ

    แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงเลือด  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ชนิดเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ทำลายพิษไข้  สมานลำไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

    ผลดีกวาวเครือแดง
    ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์  การเรียนรู้ในอาสาสมัครผู้ชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะหย่อนยานความสามารถทางเพศอย่างน้อย 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มก./แคปซูล วันละ 4 แคปซูล ตรงเวลา 3 เดือน ผลวิจัยพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มควบคุม  แต่ว่าผลจาการตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดียิ่งขึ้น  82.4 % ด้วยเหตุผลดังกล่าว กวาวเครือแดงจึงช่วยฟื้นฟูคนป่วยโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ
    รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง
    หน่วยงานอาหารรวมทั้งยาของไทย  เจาะจงขนาดและก็การใช้สำหรับในการรับประทานกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มิลลิกรัม  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม  ต่อวัน
    การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง
    ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์  การทดสอบป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  และก็สารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และก็ 5 มก./มิลลิลิตร  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 และก็ 5 มก./มล. ตรงเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  และก็ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  รวมทั้งหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มิลลิกรัม/มล. 224 ชั่วโมง มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  และความยาวขององคชาติ  นำมาซึ่งการทำให้หนูแรทมีพฤติกรรมการสิบพันธุ์เยอะขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก รวมทั้งความยาวขององคชาติ  และความประพฤติปฏิบัติการสืบพันธุ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่หนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ลดลง  การศึกษาผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  แล้วก็ในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทน้อยลง  และปริมาณโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับสูงมากขึ้น  ด้วยเหตุนี้การรับประทานกวาวเครือแดงมากจนเกินไป อาจจะทำให้กำเนิดพิษต่อตับได้

    การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง
    การศึกษาพิษครึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 และ 200  มิลลิกรัม/กก/วัน  เป็นเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามมากขึ้น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alkalinephosphatase (ALP) รวมทั้ง aspartate aminotransferase (AST) มากขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มก./กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil น้อยลง ส่วนเม็ดเลือดขาวประเภท eosinophil ระดับ serum creatinine  ลดลงระดับฮอร์โมน testosterone น้อยลง ดังนั้นจะต้องระมัดระวังการใช้ในขนาดสูงเนื่องด้วยอาจส่งผลให้กำเนิดอาการอันไม่พึงปรารถนาต่างๆได้
    ข้อแนะนำข้อควรระวัง
    พืชประเภทนี้มีฤทธิ์เป็นยา เช่นเดียวกับกวาวเครือขาว แต่เป็นพิษมากยิ่งกว่า  ถ้ารับประทานมากมายบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อาจทำให้เมาอ้วกอ้วก.และเป็นพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

    Tags : กวาวเครือเเดง,ประโยชน์กวาวเครือเเดง
#2
มะรุมอาหารบ้านๆมีสรรพคุณเป็นยา
#3

มะขามป้อมน่ากิน
#4

เห็ดหลินจือ
#5

มารุมรู้จักมะรุมกันดีกว่า
            หากกล่าวถึงมะค้อนก้อม ผักอีฮุม  กาแน้งเดิง เชื่อว่าหลายๆคนคงงงกันเป็นไก่ตาแตก ว่าที่กล่าวมานั้นคืออะไร หรือเป็นภาษาต่างดาวกันแน่ ซึ่งความจริงแล้วชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็คือ "มะรุม" ผักพื้นบ้านของไทยที่ทุกท่านคงคุ้นเคยและได้ลองลิ้มชิมรสอันโอชาของพืชชนิดนี้มาแล้ว วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของมะรุมอาหารและสมุนไพรพื้นบ้านของไทยอีกชนิดหนึ่ง  โดยมะรุมนั้นเป็นที่รู้จักของมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว ซึ่งถือว่าพืชสมุนไพรที่มีการค้นพบยาวนาน (พอๆกับแปะก๊วยของจีน)ส่วนถิ่นกำเนิดนั้น มะรุมมีถิ่นกำเนิดแถบใต้เทือกเขาหิมาลัย แถบอินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย รวมถึงแถบเอเชียไมเนอร์และแอฟริกา (ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันหลายทวีปเพราะมะรุมมีสารพันธุ์มากถึง 13 สายพันธุ์) สำหรับในประเทศไทยนั้นสามารถพบต้นมะรุมได้ทั่วทุกภาคโดยสายพันธุ์ที่ชอบขยายพันธุ์ในไทยคือ พันธุ์ข้าวเหนียว (Moring Oleifera) และพันธุ์กระดูก (Moringa Stenopetala) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ชอบใช้ในการบริโภคและวิจัยทดลองมากที่สุดอีกด้วย และสำหรับในประเทศไทยเรานั้นถือกันว่ามะรุมนั้นถูกจัดเป็นพืชผัก สมุนไพรพื้นบ้านของไทยเรามาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งคนในสมัยโบราณชอบเพาะมะรุมไว้ในละแวกบ้าน เพื่อไว้ทำเป็นอาหารเพราะสามารถบริโภคได้หลายๆส่วนไม่ว่าจะเป็นยอด ดอก และผัก แต่โดยส่วนมากจะชอบอุปโภคผักมากกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งเมนูยอดฮิตที่ใช้มะรุมทำเป็นอาหารก็คือ แกงส้ม (ว่ากันว่ามะรุมเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด เช่นทางใต้จะชอบนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยใส่ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวและใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขามเปียกเพื่อให้รสเปรี้ยว และเป็นเมนูยอดฮิตของร้านอาหารใต้อีกด้วย) ส่วนในต่างประเทศก็ใช้ใบมะรุมมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเช่นกัน โดยปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรือราดอาหารที่เป็นแป้งอื่นๆ รวมถึงใช้ใบอบแห้งป่นเก็บไว้โรยอาหารได้อีกด้วย ส่วนมะรุมในด้านสมุนไพรนั้นคนในสมัยโบราณก็นำส่วนต่างๆของมะรุมมาทำเป็นสมุนไพรบำบัดอาการเจ็บป่วยเช่นกัน เช่น แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ ขับลม แก้อักเสบ ข้อปัสสาวะ ลดไข้ บำรุงร่างกาย ฯลฯ และด้วยเหตุผลเหล่านี้ที่มะรุมเป็นได้ทั้งอาหารและยาผู้คนในอดีตจึงชอบเพาะไว้ใกล้บ้านซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามะรุมเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตมาจนถึงปัจจุบันและในบทความหน้าเราจะมากล่าวถึงชนิดทางกายภาพของมะรุมกันว่าจะเป็นแบบไหนมีชนิดแบบใด
#6


การศึกษาและวิจัยเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ [Ganoderma lucidum (Fr.) Karst.] หรือที่รู้จักกันดีในประเทศไทย "เห็ดหมื่นปี เห็ดจวักงู" ชื่ออังกฤษ "Lacquered mushroom" ชื่อญี่ปุ่น "Mannantake" เห็ดหลินจือ จัดเป็นราชาแห่งสมุนไพรจีน ที่มีการใช้มานานกว่า 4,000 ปี เป็นยาอายุวัฒนะและ รักษาโรคต่าง ๆ ในเภสัชตำรับของ สาธารณรัฐประชาชนจีนระบุ สรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง เยียวยาโรคหัวใจ และช่วยให้นอนหลับ(1)  มีรายงานการ ค้นคว้าทางคลินิกพบว่า เห็ดหลินจือมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยมะเร็งปอด(2) ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่(3) และผู้ป่วยมะเร็งขั้นลุกลาม(4) มีฤทธิ์ต้านปวดและมีความปลอดภัยในการใช้ในผู้ป่วยโรค rheumatoid arthritis(5) เยียวยาโรค neurasthenia(6) โรคทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง(7,8) อาการปวดหลังจากการติดเชื้องูสวัด(9)  นอกจากนี้ยังพบว่าเห็ดหลินจือมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมาย เช่น ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน(10-13)  ฤทธิ์ต้านเนื้องอกและมะเร็ง(10,14-16)  ฤทธิ์ป้องกันเส้นประสาทเสื่อม(17-20)  ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด(21-22) ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด(23-24) ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน(25-27) ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammation)(28-29) เป็นต้น ซึ่งสารสำคัญคือ สารกลุ่ม polysaccharides(10,11,13) สารกลุ่ม triterpenoids(30-33) สารกลุ่ม sterols(34-36) สารกลุ่ม fatty acids(37) สารกลุ่มโปรตีน(38-41) เป็นต้น ซึ่งสารสำคัญดังกล่าวจะพบได้ในส่วนสปอร์มากกว่าส่วนดอก(42) และสปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งได้ดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม และส่วนดอก(43-45)  มีการ วิจัยเกี่ยวกับพิษวิทยาของเห็ดหลินจือทั้งพิษแบบเฉียบพลันและพิษแบบเรื้อรังพบว่ามีความเป็นพิษต่ำมาก และมีความปลอดภัยสำหรับการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ประเทศไทยมีการ ขยายพันธุ์เห็ดหลินจือในเชิงพาณิชย์มาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี โดยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปดอกเห็ดหั่นเป็นแผ่น น้ำเห็ดหลินจือ เครื่องดื่มชาเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจือ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีการ วิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้ง คุณสมบัติในการ รักษาโรคภัยต่าง ๆ หรือการ ศึกษาการ เพาะตามหลักเกณฑ์ที่ดีในการ เพาะ (Good agricultural Practice; GAP) หรือการเก็บสปอร์เห็ดหลินจือมาใช้ สรรพคุณ เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้เนื่องจากขาดการประสานงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีองค์ความรู้แต่ไม่มีการบูรณาการใน ค้นพบและพัฒนาอย่างจริงจัง
ปี 2551-2554 สถาบันการแพทย์แผนไทย-จีน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นองค์หลักในการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ โครงการพิเศษสวนเกษตรเมืองงาย ในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สถาบันบริการตรวจสอบ จำนวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะแพทยศาสตร์ และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการ ค้นหาและพัฒนาเห็ดหลินจือตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงการใช้ สรรพคุณ  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นคณะทำงานการ วิจัยเห็ดหลินจือและสปอร์เห็ดหลินจือในระดับพรีคลินิก และคณะทำงานการพัฒนาผลงานการ ค้นพบเห็ดหลินจือและสปอร์เห็ดหลินจือสู่การใช้ สรรพคุณ
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ ค้นคว้า "ปริมาณและ จำนวนสารสำคัญของดอกเห็ดและสปอร์เห็ดหลินจือที่ เพาะปลูกในประเทศไทย"(46)  โดยตรวจวิเคราะห์ คุณภาพสารสำคัญกลุ่ม terpenoids(47) และสารกลุ่ม polysaccharides(48,49)   การ วิจัยนี้จะเป็นข้อมูลบ่งชี้พันธุ์เห็ดหลินจือที่เหมาะสมในการ เพาะปลูกในประเทศไทย อายุในการเก็บเกี่ยวสปอร์และดอกเห็ด คุณสมบัติของท่อนไม้ที่เหมาะสมในการ ขยายพันธุ์เลี้ยงเห็ด และและได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสปอร์เห็ดหลินจือ ก่อนนำไปใช้ทางยาจะต้องกะเทาะผนังหุ้ม(50)  ผลการ ค้นหา คุณภาพและสารสำคัญของดอกเห็ดและสปอร์เห็ดหลินจือพันธุ์ MG1, MG2, MG5 พบว่า ระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ 110 วัน และพันธุ์เห็ดที่มี คุณภาพสารกลุ่ม polysaccharides สูงคือ พันธุ์ MG2 โดยพบในสปอร์ที่กระเทาะผนังหุ้ม (4.77%) มากกว่าดอกเห็ด (3.06%) ส่วนพันธุ์ที่มี คุณภาพสารกลุ่ม triterpenoids สูง คือ พันธุ์ MG5 โดยพบในก้านดอก (0.55%) มากที่สุด รองลงมาคือดอกเห็ด (0.40%) และสปอร์ (0.27%) ตามลำดับ และพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมในการ เพาะเลี้ยงเห็ด คือ ไม้ลำไย และไม้สะเดา และงาน ศึกษานี้ได้พิสูจน์ว่าสปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีสารสำคัญและฤทธิ์ทางยาดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม ทั้งนี้เพราะว่าผนังหุ้มสปอร์มีผนังหนา 2 ชั้น ผนังชั้นนอกเรียบ ผนังชั้นในยื่น เหมือนหนามไปชนผนังชั้นนอก ซึ่งผลการ ค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าตัวทำละลายแอลกอฮอล์ หรือ dichloromethane ไม่ อาจสกัดสารสำคัญกลุ่ม triterpenoids ออกจากสปอร์เห็ดหลินจือที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม แต่การต้มสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้มด้วยน้ำจะสกัดสารกลุ่ม polysaccharides ได้บ้าง แต่ จำนวนน้อยกว่าสปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้ม นอกจากนี้ในสภาวะที่เป็นกรด หรือเป็นด่าง เลียนแบบสภาวะของกระเพาะและลำไส้ ตามลำดับ ก็ไม่ สามารถทำลายผนังหุ้มของสปอร์ได้ ซึ่งพิสูจน์ได้จากการ วิจัยภายใต้กล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอน และ TLC chromatogram ซึ่งจะสอดคล้องกับกรณี ค้นหาที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล เมื่อผู้ป่วยคนหนึ่งที่ รับประทานผงเห็ดหลินจือแล้วมีอาการท้องเสีย เมื่อตรวจอุจจาระพบว่ามีสปอร์เห็ดหลินจือที่มีขนาดและรูปร่างคล้ายกับไข่พยาธิ ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าอาการท้องเสียเกิดจากพยาธิ หลังจากหยุดการ บริโภคผงเห็ดหลินจือ อาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้น(51) กรณี ค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าการ รับประทานสปอร์เห็ดหลินจือที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม ร่างกายคนไม่ สามารถย่อยผนังหุ้มได้ ทำให้จึงยังคงพบสปอร์ในอุจจาระ ฉะนั้นการ อุปโภคสปอร์เห็ดหลินจือจึงต้องทำการกะเทาะผนังหุ้มก่อน เพื่อให้สารสำคัญถูกสกัดออกจากสปอร์และดูดซึมเข้าร่างกายได้ ซึ่งจะมีคุณค่าทางยาตามรายงานการ ค้นคว้าทางคลินิกหรือพรีคลินิก
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์เห็ดหลินจือ
#8

มะขามป้อมกับข้อมูลการศึกษาทดลอง
            มะขามป้อมนับเป็นสมุนไพรอีกลักษณะหนึ่งในหลายๆคุณสมบัติ เช่น มะรุม กระชายดำ กวาวเครือขาว ที่มีการวิจัยและวิจัยกันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ นั่นอาจจะเป็นเพราะสารออกฤทธิ์และสรรพคุณของมะขามป้อมที่มีอย่างมากล้น จึงทำให้นักค้นคว้าและนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้สนใจที่จะค้นคว้าวิจัยและทดลองเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของมะขามป้อม โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ที่กำลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะขามป้อมหรือผู้ที่สนใจเกี่ยวกับมะขามป้อม เช่นองค์ประกอบทางเคมีของมะขามป้อม หรือแม้แต่ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และการลองเกี่ยวกับพิษวิทยาของมะขามป้อม แต่ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีนั้นผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ จึงเหลืองานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาในมะขามป้อมที่จะนำเสนอในบทความนี้ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ฤทธิ์แก้ไอในมะขามป้อม มีการทดสอบโดยให้แมวที่ถูกทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่หลอดลมและปอด กินสารสกัดเอทานอลจากผลมะขามป้อมในขนาด 200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถช่วยลดความถี่ในการไอและลดความแรกในการไอ และเมื่อเปรียบเทียบกับยาแก้ไอ dropoizine ขนาด 100 มิลลิกรัมแล้วมีผลดีกว่า ฤทธิ์ในการลดการอักเสบ พบว่าสารสกัดใบมะขามป้อมด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบของอุ้งเท่าหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนนโดยการไม่ยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว และอีกการวิจัยหนึ่งคือ ให้หนูทดลองกินสารสกัดรากมะขามป้อมด้วยเมทานอลที่ทำให้แห้งขนาด 5 มิลลิกรัมแล้วละลายด้วน้ำเกลือก่อนจะถูกทำให้อุ้งเท้าบวมด้วยพิษงู พบว่าสารสกัดไปทำให้พิษงูหมดฤทธิ์มีผลทำให้อุ้งเท้าหนูทดลองมีการอักเสบลดลง ฤทธิ์ในการขับเสมหะ มีการลองในกระต่ายคือ ป้อนสารสกัดผลมะขามป้อมด้วยอีเทอร์เอทานอล ขนาด 4 กรัม /ตัว พบว่ามีฤทธิ์ขับเสมหะได้ เช่นเดียวกับการฉีดสารสสกัดผลมะขามป้อมด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/ตัว ทางหลอดเลือดดำ ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารพวกแทนมินในมะขามป้อม เช่น เอมบลิกานิน 10 ,  เอมบลิกานินบี , พูนิกลูโคนิน ฯลฯ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เช่นเดียวกับวิตามินซีในผลของมะขามป้อม ส่วนในด้านการวิจัยความเป็นพิษนั้นมีดังนี้ ในการลองพิษเฉียบพลัน โดยการให้สารสกัดผลมะขามป้อมด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) โดยการป้อน ในขนาด 100 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษ แต่เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังพบว่า ค่าที่ทำให้สัตว์ทดลองตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD₅₀) เท่ากับ 4.8 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. และมีการทดลองพิษถึงเฉียบพลัน โดยให้หนูลองแต่พบการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักอวัยวะภายในเช่น ปอด ตับ หัวใจ แต่ไม่เกิดอาการเป็นพิษในสัตว์วิจัย  จากการที่ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาทดลองของนักวิจัยในมะขามป้อมแล้ว และได้นำเสนอมาทั้งหมดนั้น ผู้รับประทานหรือผู้ใช้มะขามป้อมก็สามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่ามะขามป้อมนั้นยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงติดอันดับต้นๆของสมุนไพรไทยเลยก็ว่าได้
#10
มะขามป้อมสดๆ มีวิตมินซีสูงมากๆ
#12
ส้มแขก
#13
มะรุมอัพเดท
#15
กวาวเครืองแดง
            "กวาวเครือแดง" สมุนไพรที่มีประวัติและที่มาอย่างยาวนานหลายสิบปี  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน "กวาวเครือแดง" ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ บำรุงเลือด เช่นเดียวกับ กำลังพญาเสือโคร่ง โดยถูกใช้สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น  จนถึงปัจจุบันจึงมีผลลับใหม่ๆ มาแปรรูปสมุนไพรชนิดนี้ มีการทดสอบ การวิจัยต่างๆ และผลการทดสอบและวิจัยเหล่านั้น บ่งบอกและชี้ชัดว่า กวาวเครือแดง เป็นสุดยอดสมุนไพรสำหรับท่านชายอย่างไม่มีข้อกังขา โดยหากพูดถึงสรรพคุณของกวาวเครือแดงนั้นมีมากมายหลายประการและทุกส่วนสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น หัว , ราก , เปลือกเถา โดยสรรพคุณหลักๆ ของ "กวาวเครือแดง" คือ บำรุงธาตุ , บำรุงเลือด , เป็นยาอายุวัฒนะ , บำรุงผิวให้เต่งตึง , ถอนพิษไข้ , แก้พิษงู ฯลฯ แต่สรรพคุณของกวาวเครือแดงที่จะขาดไม่ได้สำหรับท่านชาย คือ เพิ่มจำนวนอสุจิ , เพิ่มสมรรถนะทางเพศ  ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องนี้ "มโน" ไปเอง กล่าวคือ สำหรับเรื่องสรรพคุณ|ประโยชน์}ของกวาวเครือแดง ต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ มีการวิจัยต่างๆ อย่างมากมาย ทั้งในคนและสัตว์ทดลอง โดยมีผลการทดลองในคนชิ้นหนึ่ง ที่จะเห็นได้ชัดว่า กวาวเครือแดง มีสรรพคุณในด้านนี้ คือ ทดลองกับผู้ชายอายุ 30 – 70 ปี 17 คน ที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มาให้กิน "กวาวเครือแดง" 250 มก/แคปซูล โดยให้กินวันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นกว่า 80% ของผู้ทดลอง และในส่วนของความปลอดภัยในการใช้ กวาวเครือแดง นั้น ทาง อย.ของไทย ได้ออกมาระบุไว้ว่าสามารถใช้ กวาวเครือแดง ได้ ต่อวัน ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คือหากคนที่ใช้มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม สามารถใช้กวาวเครือแดง ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน) และในตำรับยาไทยได้กล่าวไว้ว่า กวาวเครือแดง มีฤทธิ์เหมือนกวาวเครือขาว แต่มีฤทธิ์แรงว่า
            จากที่กล่าวมา แสดงให้เห็นถึง สรรพคุณและประโยชน์ของ กวาวเครือแดง โดยเฉพาะสรรพคุณสำหรับท่านชาย และยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าหากใช้ไม่เกินที่กำหนดก็ไม่เกิดผลเสียกับร่างกาย กวาวเครือแดงจึงเป็นสมุนไพรที่มาแรงแซงทางโค้ง ในทศวรรษนี้เลยก็ว่าได้.

Tags : กวาวเครือแดง,กวาวเครือ,หัวกวาวเครือ
#16
มะรุมอัพเดท
#17
ส้มแขก
#18
1.กระชายดำฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ สาร 5,7 – ได้เมธอกซีฟลาโวน (5,7-DMF) ที่แยกได้จากเหง้ากระชายดำ มีฤทธิ์ช่วยต้านการการอักเสบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายชนิด คือ แอสไพริน , อินโดเมธาซิน , ไฮไดรคอร์ติโซน และเพรดนิโซโลน จากการศึกษาฤทธิ์ป้องกันอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ พบว่าสาร 5,7-DMF สามารถช่วยต้านการการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง โดยกระชายดำแสดงฤทธิ์ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารคาราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ พบว่า สาร 5,7-DMF ของกระชายดำยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด exudation และการสร้างสาร prostaglandin อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศึกษาฤทธิ์ช่วยต้านการการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
2.กระชายดำฤทธิ์ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และ 5,7,3' ,4' –tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ช่วยต้านการเชื้อ Plasmodium falciparum  ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone และ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ช่วยต้านการเชื้อ Candida albicans และแสดงฤทธิ์ช่วยต้านการเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
3.กระชายดำพิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดสอบผลของฟลาโวนอยด์ 9 ชนิดของกระชายดำต่อเซลล์มะเร็ง เช่น KB , BC หรือ  NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดทำให้เกิดพิษต่อเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
4.กระชายดำฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง มีรายงานการวิจัย ค้นพบว่า สารสกัดกระชายดำด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ละลดการหดเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

Tags : กระชายดำ,เหง้ากระชายดำ,กระชาย
#19

งานวิจัยต้านฤทธิ์ทางยา ของมะรุม
            แม้ว่าในอดีตนั้นผู้คนจะใช้มะรุมมาทำเป็นยาสมุนไพรป้องกัน และบำบัดเยียวยาโรคต่างๆมาเนินนานและยังใช้ได้ผลดีมาตลอดจนถึงปัจจุบันนั้น แต่เมื่อมีการพัฒนาทางด้านวิทยาการสมัยใหม่ในด้านต่างๆ ในยุคปัจจุบันแล้ว จึงจำเป็นจะต้องมีการค้นหาและลองเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีและมีการรับรองคุณภาพและมาตรฐานในสรรพคุณของมะรุม อันเป็นการสร้างความปลอดภัยต่อผู้กินรวมถึงยกระดับความน่าเชื่อถือของสมุนไพรไทยในระดับสากล สำหรับงานทดลองและงานวิจัยของมะรุมนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นงานงานวิจัยในสัตว์ทดลอง ส่วนงานวิจัยในมนุษย์นั้นมีเพียงชิ้นเดียวและยังเป็นเพียงงานวิจัยร่วมกับสมุนไพรลักษณะอื่นๆ โดยงานทดลองทางด้านฤทธิ์ทางยาของมะรุมที่น่าสนใจมีดังนี้ 1.งานวิจัยในสัตว์ทดลอง  งานวิจัยฤทธิ์ในการลดระดับคลอเรสเตอรอล มีการลองให้กระต่ายกินฝักมะรุมวันละ 200 กรัม/กก. (น้ำหนักตัว)นาน 120 วัน โดยเปรียบเทียบกับกระต่ายกลุ่มที่ให้อุปโภคอาหารไขมันมากและกินยา โลวาสเตทิน 6 มก./กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)ต่อวัน พบว่ามีผลทำให้ระดับคลอเรสเตอรอล ฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL  LDL ลดลง ทั้งสองกลุ่ม จึงเชื่อได้ว่า มะรุมอาจลดระดับคลอเรสเตอรอลได้เช่นเดียวกับยาโลวาสเตทิน  ฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็ง มีการลองในหนูโดยให้หนูที่ถูกกระตุ้นโดยสาร ฟอบอลเอสเทอร์แล้วแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานมะรุมเป็นอาหาร อีกกลุ่มกินอาหารตามปกติเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทดสอบ พบว่าหนูกลุ่มที่รับประทานมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารปกติ โดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้องกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง จากการทดลองนี้คณะผู้ทดลอง เชื่อว่าสารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่ง และสารไนอาซิไมชิน จากมะรุมเป็นสาระสำคัญที่สามารถต้านการเกิดมะเร็งจากการกระตุ้นได้ ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด มีงานวิจัยในหนูลองว่า ผงใบแห้งและสารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งหนูทดลองที่ปกติและหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน ฤทธิ์ป้องกันตับถูกทำลาย มีการลองในหนูทดลองโดยให้ยาไรแฟนไพซิน แล้วแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้สารสกัดแอลกอฮอลล์ของใบมะรุม กลุ่มที่สองให้สารซิลิมารีน (พบได้ในชาเขียว โกจิเบอร์รี่) กลุ่มที่สามไม่ให้ยาใดๆเลย เมื่อจบการทดลองและดูผลจากการตรวจชิ้นเนื้อตับทั้ง 3 กลุ่มพบว่า กลุ่มที่ให้สารสกัดมะรุม และกลุ่มที่ให้สารซิลิมารีน มีผลช่วยในการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาได้ 2.งานวิจัยในคน สำหรับงานวิจัยในคนของมะรุมมีเพียงชิ้นเดียวคือ งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ยา Septillin เป็นยาที่สกัดจากพืช 6 ประเภท คือ มะรุม บอระเพ็ด มะขามป้อม ชะเอมเทศ Balsamoderdron.mukul (สมุนไพรอินเดีย) และเปลือกหอยสังข์ ซึ่งยา Septillin มีสรรพคุณที่ดี ในเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และการติดเชื้อที่ผิวหนัง จะเห็นได้ว่ามะรุมเป็นพืชผักที่มีประโยชน์มากมายนานับประการ แต่โดยส่วนมากคือการทดลองในสัตว์ทดลองดังนั้นหากอย่าได้ประโยชน์ของมะรุมควรบริโภคในชนิดการนำไปประกอบอาหารจะดีกว่า และหากมีการศึกษาทดลองในมนุษย์มากขึ้นและมีการรับรองผลที่แน่ชัดจึงค่อยหันมาใช้มะรุมในแบบอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
#20

ส้มแขกในตำรายาแผนไทย
            ในการใช้สมุนไพรต่างๆของไทยในอดีตนั้น มีการใช้กันมาเนิ่นนานตกทองกันมาหลายรุ่นจนเกิดการพัฒนาขึ้นเป็นแบบแผนและได้มีการเขียนเป็นตำรับตำรายาสมุนไพร(ปัจจุบันเรียกว่าตำรับยาแผนไทย โดยหมายรวมถึงตำรายาพื้นบ้านในทุกภาคด้วย) ที่ใช้เยียวยาโรคต่างๆทั้งโดยการใช้สมุนไพรชนิดเดียวโดดๆ เพื่อใช้เยียวยา เช่น ขมิ้นชัน ใช้เหง้าตำให้ละเอียดผสมกับน้ำดื่ม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจตมูลเพลิงแดง นำรากมาอบให้แห้งแล้วต้มกันน้ำดื่มกินรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ เยียวยาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร แก้ธาตุพิการ ฯลฯ และใช้ผสมกันหลายจำพวก เช่น มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ใช้รวมกันเป็นพิกัดตรีผลา ช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกาย แก้ปิตตะ  วาตะ  เสมหะ ในกายธาตุกองฤดู กองอายุ กองสมุฎฐาน ฯลฯ และได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้การใช้ยาสมุนไพรนั้นเป็นทางเลือกในการบำบัดเยียวยาโรคต่างๆ ตามภูมิปัญญาไทย โดยเข้ามาให้ความรู้แก่ผู้ใช้และผู้ผลิต รวมถึงแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตที่จะยังคงปริมาณของสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรอย่างนั้นๆไว้ได้อย่างมีสมรรถนะ ซึ่งในบรรดาสมุนไพรในตำรับยาแผนไทยทั้งหมดทั้งมวลนั้น "ส้มแขก" ก็เป็นสมุนไพรที่การระบุไว้ในตำราดังกล่าวเช่นกัน โดย ส้มแขกนั้นได้มีการระบุสรรพคุณไว้ในตำราพื้นบ้านดังนี้ ใช้คลายอาการปวดท้องในผู้หญิง มีครรภ์  ช่วยในการเยียวยาโรคเบาหวานด้วยการใช้ดอกตัวผู้ของส้มแขกที่แห้งแล้ว 7 ดอกมาต้มกับน้ำ 1 ลิตร แล้วนำมากินแก้กษัยและเยียวยานิ่วด้วยการนำรากส้มแขกมาตากแห้งมาต้มกับรากมังคุดและรากจูบูนำใบสดของส้มแขกคั้นเอาน้ำมารับประทานแก้อาการท้องผูก รวมถึงในตำรายาไทย ก็ยังระบุคุณสมบัติไว้อีกว่าส้มแขกสามารถใช้คลายอาการไอ ขับเสมหะ ลดความดัน ฟอกโลหิต รวมถึงส้มแขกยังเป็นยาระบายที่มีฤทธิ์อ่อนๆ นอกจากนี้ ส้มแขกยังอาจนำมาใช้ในเรื่องการประกอบอาหารได้อีก เช่น นำผลของส้มแขกมาทำเป็นเครื่องปรุงรสในอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติเปรี้ยว หรือ นำใบอ่อนของส้มแขกมารองในการนึ่งปลา รวมถึงใบแก่ของส้มแขกยังอาจนำมาทำใบชาได้อีกด้วย(แต่ไม่เป็นที่ชอบเพราะมีกลิ่นเหม็นเขียว) ส่วนต้นของส้มแขกที่แก่เต็มที่แล้วยังสามารถนำมาทำเครื่องใช้ไม้สอย ทำโต๊ะเก้าอี้หรือเครื่องเรือนอื่นๆได้ จะเห็นได้ว่าประโยชน์ทางยาตามตำรายาแผนไทยของส้มแขกนั้นไม่ได้เป็นรองสมุนไพรอย่างอื่นๆเลย รวมถึงยังอาจนำส่วนต่างๆ มาใช่คุณสมบัติในด้านอื่นที่ไม่ใช้สมุนไพรได้อีกด้วย แต่ในระยะ 4 – 5 ปีมานี้ส้มแขกได้รับความชอบและได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอันมาก ในเรื่อง" สรรพคุณที่ช่วยลดความอ้วน" และยังได้มีผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ลดความอ้วนจากส้มแขกหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น แบบผง แบบเผ็ด ชาส้มแขก ส้มแขกแคปซูล หรือสารสกัดส้มแขก มาวางจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจเลือกใช้ และยังได้รับกาตอบรับจากผู้ทานอย่างล้นหลาม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีความปลอดภัยสูง ส่วนในรายละเอียดและกลไกของสารออกฤทธิ์ที่มีผลทำให้ส้มแขกอาจลดความอ้วนได้นั้น ผู้เขียนจะของอธิบายในบทความหน้าครับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์ส้มเเขก

Tags : ส้มแขก
#21
มะขามป้อมสดๆ มีวิตมินซีสูงมากๆ
#22
มะขามป้อมสดๆ มีวิตมินซีสูงมากๆ
#23
มะรุม อัพเดท
#24
สมอไทย
#25

มะขามป้อมมาจากไหน และอย่างไรถึงเรียกว่ามะขามป้อม
            โดยทั่วไปแล้วหากพูดถึง มะขามป้อม น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก สมุนไพรประเภทนี้ด้วยความฝาดเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวลิ้มรสกันมาแล้วหลายคนถึงกับ ลิ้มรสชาติของมะขามป้อมกินไม่ลงกันเลยก็มี แต่ในรสชาติที่แสบสันต์ถึงทรวงนั้นกลับมีสิ่งดีๆ สรรพคุณดีๆ ซ่อนอยู่อีกเป็นปริมาณมาก แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้นทุกท่านทราบกันหรือไม่ว่ามะขามป้อมนั้นมาจากไหน และลักษณะและรูปลักษณ์ของต้น ใบ ดอก ของมะขามป้อมนั้นเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าเราจะมาไขข้อข้องใจเหล่านี้พร้อมๆก่อนนะครับ โดยมะขามป้อมนี้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus  emblica Linn. อยู่ในวงศ์เดียวกับยางพาราและมะไฟ มีชื่อเรียกต่างๆกันไปตามพื้นถิ่นต่างๆ เช่น ชาวฮินดู (อินเดีย บังกาลาเทศ ศรีลังกา) เรียกว่า อัมรา ชาวอารบิคเรียกว่า อามัณฑะ ส่วนในไทยก็เรียกกันไปตามท้องถิ่น ภาคต่างๆเช่น กันโตน (จันทบุรี)   กำทวด (ราชบุรี)  มังลู่(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) ส่วนถิ่นกำเนิดของมะขามป้อมนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไทย พม่า ลาว กัมพูชา ไล่ไปจนถึงเอเชียใต้ในอินเดียใต้ ในอินเดียปากีสถาน ศรีสังกา บังคลาเทศ และ จีนตอนใต้ สำหรับในประเทศไทยเรานั้นจะพบในทุกภาคของประเทศ แต่ส่วนมากจะพบมากในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในธรรมชาติจะพบในป่า เบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าแดง มะขามป้อมมักขึ้นได้ดีในสภาพดินทุกประเภทแต่ต้องมีการระบายน้ำที่ดี และต้องการแสงมาก ทนแล้งได้ดี ส่วนลักษณะทั่วไปของมะขามป้อม คือ เป็นไม้ยืนต้น เช่นเดียวกับสมอไทย มะรุม ขี้เหล็ก ฯลฯ สูงประมาณ 8 – 20 เมตร ลำต้นคดงอเปลือกเรียบสีน้ำตาลอมเทา เปลือกในชมพู ถึงน้ำตาลแดง ปลายถึงมักลู่ลง ใบแบบขนนกเรียงสลัดระนาบเดียวมักเรียงตัวหนาแน่นตามกิ่งก้าน ใบอ่อนมีขนละเอียดใบแก่ไม่มีขน ใบมีขนาดเล็กปลายมนโค้งรูปหัวใจเบี้ยว ดอกเป็นดอกขนาดเล็กแยกเพศโดยดอกเพศผู้ออกตามโคนกิ่งเป็นกระจุกๆ 3 – 5 ดอก ด้านบนเป็นดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยวๆ โดยดอกทั้งเพศผู้และเพศเมียมีสีเหลืองนวล และดอกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นผิวมะนาว ผล เป็นผลกลมเกลี้ยงเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 -3 ซม. มีรอยแยกแบ่งเป็น 6 กลีบ ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวอ่อนค่อนข้างใส เนื้อผลมีรสฝาดเปรี้ยวอมขม เมื่อกินได้สักพักจะมีรสหวานตามมา โดยมะขามป้อมอาจเก็บผลใน ช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ คือ ภาคเหนือ เก็บผลมะขามป้อมได้ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ภาคใต้เก็บในช่วงเดือน กรกฎาคม – สิงหาคม ภาคกลางและภาคอีสานเก็บได้ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ซึ่งจากที่กล่าวมานี้อาจจะเรียกได้ว่า มะขามป้อมก็เป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทย อีกคุณสมบัติหนึ่งได้เช่นกันเพราะไทยก็เป็นพื้นที่ในแถบที่ถูกระบุว่าเป็นถิ่นกำเนิดของมะขามป้อมและยังพบได้ทุกภาคในประเทศอีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันพัฒนาและแปรรูป รวมถึงส่งเสริมการอุปโภคสมุนไพรอันทรงคุณค่าคุณสมบัตินี้ในประเทศไทยของเราให้แพร่หลายมากกว่าเดิมดีกว่า วันหน้าคนไทยจะไปนำเข้าผลิตภัณฑ์มะขามป้อมที่มีการจดสิทธิบัตรของต่างชาติ
#26
มะรุม อัพเดท
#27
สมอไทย
#28

ประโยชน์มากมี สรรพคุณมากมายในมะรุม
            หากกล่าวถึงพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณในทุกๆส่วนแล้ว หลายท่านคงนึกถึงพืชผักสมุนไพรหลายๆคุณสมบัติ เช่น กล้วย ขิง กระชาย ข่า ฯลฯ ที่กล่าวมานี้สามารถมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกๆส่วนไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอาหารหรือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ รวมถึงยังมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากไม่มีชื่อ "มะรุม" รวมอยู่ในนั้นด้วยก็คงจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับพืชสมุนไพรลักษณะนี้เพราะว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่มีความหัศจรรย์ กล่าวคือมะรุมสามารถนำมาใช้ทำอาหารและยังมีคุณสมบัติทางยาอาจใช้รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค อีกทั้งเป็นที่ชอบใช้ในหลายๆประเทศส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของมะรุมนั้นก็ยังอาจขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพและทนทานต่อความแห้งแล้งตามที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น ในที่นี้เราจะกล่าวถึง ประโยชน์และสรรพคุณของมะรุมพืชผักสมุนไพรใกล้บ้านกันนะครับ แน่นอนว่ามะรุมนั้นคนไทยนิยมนำมาใช้สรรพคุณโดยเรานำมาเป็นอาหารกันตั้งแต่ช้านานแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามะรุมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยในใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า และยังมีธาตุอาหารที่อาจป้องกันโรคต่างๆในปริมาณที่สูง เช่น มิวิตามินเอ มากกว่าแครอทถึง 3 เท่า มีวิตามินซี 7 เท่าของส้ม  มีแคลเซียมมากว่า 3 เท่าของนมสด มีโพแทสเซียม 3 เท่าของกล้วย รวมถึงเป็นอาหารที่มีพลังงานไม่มาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ส่วนสรรพคุณในด้านอื่นๆคือ เมล็ดของมะรุมใช้ทำน้ำมันมะรุมเพื่อใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืช ช่วยบำรุงเยียวยาผิวชะลอความเหี่ยวย่นของผิว ลดอาการผื่นผ้าอ้อมในเด็ก ลดอาการอักเสบของรูขุมขนและสิว ช่วยชะลอจุดด่างดำบนใบหน้า รักษาอาการผมร่วง คันศีรษะ ส่วนคุณสมบัติทางยาของมะรุมนั้นก็มีมากมายโดยแยกตามส่วนต่างๆของมะรุมได้ดังนี้ รากของมะรุมมีประโยชน์แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคไขข้อ เปลือกลำต้นมีคุณสมบัติใช้แก้โรคปวดหลังปวดเอว ปวดกล้ามเนื้อ ใบของมะรุมมีคุณสมบัติเยียวยาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ เยียวยาโรคตาต่างๆ ดอกมีประโยชน์แก้ไข้หัวลม  ใช้เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ฝักมีสรรพคุณแก้ไข้ ป้องกันมะเร็ว ลกความดันโลหิต เมล็ดมีสรรพคุณใช้แก้ไอ เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และใช้ทำน้ำมันมะรุมโดยมีสรรพคุณต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว รวมถึงมีการศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล ได้พบว่าสารสกัดน้ำของมะรุมน่าจะเป็นสมุนไพรที่ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนในต่างประเทศนั้นก็มีการใช้สรรพคุณจากมะรุมเช่นกัน เช่น ชาวญี่ปุ่นผลิตใบชาจากใบมะรุมออกจำหน่าย โดยระบุว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคปากนกกระจอก หอบหืด ปวดศีรษะ บำรุงสายตา และระบบทางเดินอาหาร และในอินเดีย ผู้หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ส่วนฟิลิปปินส์ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรจะกินแกงจืดใบมะรุมเพื่อเพิ่มแคลเซียมในน้ำนมและเพิ่มปริมาณน้ำนมอีกด้วย
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณมะรุม

Tags : มะรุม
#29

ประโยชน์มากมี สรรพคุณมากมายในมะรุม
            หากกล่าวถึงพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณในทุกๆส่วนแล้ว หลายท่านคงนึกถึงพืชผักสมุนไพรหลายๆคุณสมบัติ เช่น กล้วย ขิง กระชาย ข่า ฯลฯ ที่กล่าวมานี้อาจมาใช้สรรพคุณได้ในทุกๆส่วนไม่ว่าจะนำมาใช้คุณสมบัติในด้านอาหารหรือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ รวมถึงยังมีคุณสมบัติทางยาอีกด้วย แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากไม่มีชื่อ "มะรุม" รวมอยู่ในนั้นด้วยก็คงจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับพืชสมุนไพรลักษณะนี้เพราะว่ามะรุมนั้นเป็นพืชที่มีความหัศจรรย์ กล่าวคือมะรุมสามารถนำมาใช้ทำอาหารและยังมีประโยชน์ทางยาอาจใช้รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค อีกทั้งเป็นที่ชอบใช้ในหลายๆประเทศส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของมะรุมนั้นก็ยังอาจขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพและทนทานต่อความแห้งแล้งตามที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น ในที่นี้เราจะกล่าวถึง ประโยชน์และสรรพคุณของมะรุมพืชผักสมุนไพรใกล้บ้านกันนะครับ แน่นอนว่ามะรุมนั้นคนไทยชอบนำมาใช้คุณสมบัติโดยเรานำมาเป็นอาหารกันตั้งแต่ช้านานแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามะรุมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยในใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า และยังมีธาตุอาหารที่สามารถป้องกันโรคต่างๆในจำนวนที่สูง เช่น มิวิตามินเอ มากกว่าแครอทถึง 3 เท่า มีวิตามินซี 7 เท่าของส้ม  มีแคลเซียมมากว่า 3 เท่าของนมสด มีโพแทสเซียม 3 เท่าของกล้วย รวมถึงเป็นอาหารที่มีพลังงานไม่มาก เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ส่วนประโยชน์ในด้านอื่นๆคือ เมล็ดของมะรุมใช้ทำน้ำมันมะรุมเพื่อใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืช ช่วยบำรุงรักษาผิวชะลอความเหี่ยวย่นของผิว ลดอาการผื่นผ้าอ้อมในเด็ก ลดอาการอักเสบของรูขุมขนและสิว ช่วยชะลอจุดด่างดำบนใบหน้า รักษาอาการผมร่วง คันศีรษะ ส่วนคุณสมบัติทางยาของมะรุมนั้นก็มีมากมายโดยแยกตามส่วนต่างๆของมะรุมได้ดังนี้ รากของมะรุมมีสรรพคุณแก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เยียวยาโรคไขข้อ เปลือกลำต้นมีคุณสมบัติใช้แก้โรคปวดหลังปวดเอว ปวดกล้ามเนื้อ ใบของมะรุมมีประโยชน์รักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย โรคทางเดินหายใจ เยียวยาโรคตาต่างๆ ดอกมีคุณสมบัติแก้ไข้หัวลม  ใช้เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ฝักมีสรรพคุณแก้ไข้ ป้องกันมะเร็ว ลกความดันโลหิต เมล็ดมีคุณสมบัติใช้แก้ไอ เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และใช้ทำน้ำมันมะรุมโดยมีประโยชน์ต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว รวมถึงมีการศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล ได้พบว่าสารสกัดน้ำของมะรุมน่าจะเป็นสมุนไพรที่ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนในต่างประเทศนั้นก็มีการใช้ประโยชน์จากมะรุมเช่นกัน เช่น ชาวญี่ปุ่นผลิตใบชาจากใบมะรุมออกจำหน่าย โดยระบุว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคปากนกกระจอก หอบหืด ปวดศีรษะ บำรุงสายตา และระบบทางเดินอาหาร และในอินเดีย ผู้หญิงตั้งครรภ์จะอุปโภคใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ส่วนฟิลิปปินส์สตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรจะกินแกงจืดใบมะรุมเพื่อเพิ่มแคลเซียมในน้ำนมและเพิ่มจำนวนน้ำนมอีกด้วย
#30

ถังเช่าหรือ ตังถังเช่า สุดยอดยาโดปในปัจจุบัน
#31


กวาวเครือแดง
#32


ประโยชน์ของเจียวกู่หลานมีเยอะมากๆ
#33
สมอไทย
#35
ใช้คู่กวาวเครือแดงเวิร์คสุดๆ
#36

ส้มแขก ดีต่อหุ่นสวยๆ
#37
ส

ส้มแขกต้องคู่กับกระบองเพชร
#38

ถังเช่าหรือ ตังถังเช่า สุดยอดยาโดปในปัจจุบัน
#40

สมอไทย ใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง
            เมื่อกล่าวถึง "สมุนไพร"แล้วเชื่อได้ว่าแวปแรกที่ทุกคนคิดถึงก็คือ คุณสมบัติและคุณประโยชน์ทางยาของสมุนไพรแต่ยังมีสมุนไพรหลายๆ คุณสมบัติที่ไม่ได้มีแค่คุณสรรพคุณทางยา เพียงอย่างเดียวเพราะสมุนไพรเหล่านี้ยังมีส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเปลือก ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ที่อาจนำมาทำสรรพคุณในด้านต่างๆได้อีก ดังเช่น ขิงที่สามารถดับกลิ่นคาวของอาหารได้ มะรุมอาจนำมาประกอบอาหารได้ ดอกดาวเรืองสามารถนำมาสกัดสีออกมาเพื่อใช้ย้อมผ้าได้ ทั้งนี้ รวมไปถึงสมอไทยด้วย โดยเจ้าสมอไทยนี้นอกจากสรรพคุณทางยาดังที่ได้กล่าวมาในบทความก่อนหน้านี้มาแล้ว(ถ้าได้ติดตามมาตั้งแต่ต้น) ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าสมอไทยมีสรรพคุณต่างๆ มากมายมหาศาลแต่ในอีกมุมหนึ่งของสมอไทยนั้นยังมีประโยชน์อื่นๆนอกจากใช้เป็นสมุนไพรแฝงอยู่ในตัวของมันอีกมากมายเช่นกัน เพราะฉะนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจึงจะนำเสนอเกี่ยวกับคุณสมบัติในด้านอื่นๆของสมอไทย ดังนี้ผลของสมอไทยผลสดของสมอไทยอาจนำมาทางสดหรือใช้จิ้มกับพริกน้ำปลาเพื่อเป็นของว่าหรือจะนำไปดองหรือแช่อิ่ม เพื่อเก็บไว้กินเป็นของว่างก็ได้เช่นกัน ใบของสมอไทย ใบอ่อนของสมอไทยอาจนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆแล้วตากแห้งทำเป็นชากินได้ ส่วนใบแก่นำมาต้มย่อมผ้าได้โดยจะให้สีเหลืองอมน้ำตาล และใบอ่อนให้สีเขียวขี้ม้า เปลือกลำต้นของสมอไทย อาจนำมาทำสรรพคุณได้คือ ใช้มีดถากเปลือกลำต้นมาย้อมผ้าโดยจะให้สีดำอมแดงเรื่อๆ ลำต้นของสมอไทย ส่วนลำต้นนี้ก็สามารถนำมาคุณสมบัติได้เพราะเนื่องจากว่าสมอไทยเป็นไม้เนื้อแข็งดังนั้น จึงอาจนำมาเลื่อยและแปรรูปใช้สำหรับงานไม้ทุกคุณสมบัติ เช่น ทำเสาบ้าน ทำวงกบประตู หน้าต่าง เครื่องเรือนรวมถึงใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้อีกด้วย รวมถึงเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอีกด้วย และด้วยสารประโยชน์ของสมอไทยอันเอกอุดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องช่วยกันอนุรักษ์และช่วยกันขยายพันธุ์สมอไทยไว้เพื่อให้ต้นไม้สารพัดสรรพคุณลักษณะนี้มีใช้ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา
#41


แปะก๊วย อัพเดท
#42

ส้มแขก ดีต่อหุ่นสวยๆ
#43


เจียวกู่หลาน ของดีสรรพคุณเพียบ
#44
ส

ส้มแขกต้องคู่กับกระบองเพชร
#46

ข้อแนะนำที่ควรทราบก่อนจะใช้มะรุมรักษาโรค
            จากบทความแรกมาจนถึงบทความนี้ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "มะรุม" สมุนไพรมหัศจรรย์ของไทยเราคาดว่าคงเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ที่นิยม บริโภคมะรุมทั้งในแง่ของการกินเป็นอาหารและในแง่ของการใช้เป็นยาเพื่อป้องกันและรักษาโรคต่างๆ แต่ก่อนที่เราจะนำมะรุมมาใช้สรรพคุณในด้านต่างๆนั้นก็ควรที่จะได้ทราบถึงข้อแนะนำหรือข้อที่ควรระวังในการใช้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มักจะมีข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเองเสมอ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับข้อแนะนำและผลข้างเคียงที่ควรทราบก่อนจะใช้มะรุม โดยในวิถีชีวิตของคนไทยนั้น จะมีการอุปโภคเนื้อในฝัก ใบและดอกของมะรุมเป็นอาหารมาตั้งแต่อดีตแล้ว ซึ่งก็ไม่มีรายงานของอาการการเกิดพิษหรืออาการข้างเคียงเลย นั้นอาจเป็นเพราะในการกินเพื่อเป็นอาหารนั้น เราจะมักบริโภคกันครั้งละไม่มากและไม่รับประทานติดต่อกันหลายๆมื้อจึงทำให้สารบางลักษณะที่มีผลต่อร่างกายมนุษย์ยังไม่ไปสะสมในร่างกายมากพอที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้นหากเราจะใช้ประโยชน์จากมะรุมเพื่อเป็นยาป้องกันและรักษาโรคแล้วจึงไม่ควรอุปโภคในปริมาณที่มากและใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป รวมถึงในรายที่เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด เช่น G6PD ไข้เลือดออก ก็ไม่ควรกินมะรุมไม่ว่าจะเป็นการรับประทานเป็นอาหารหรือยาเยียวยาโรคเพราะอาจทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะและแตกง่ายอันจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรือไตวายได้ และยังมีการวิจัยความเป็นพิษในหนูทดลองพบว่า สารสกัดมะรุมทำให้สัตว์ทดสอบเกิดอาการแท้ง จึงควรระมัดระวังในการใช้มะรุมในสตรีมีครรภ์ด้วยเช่นกัน รวมถึงในตำรายาไทยได้ระบุว่า "มะรุมจัดอยู่ในยารสร้อน มีฤทธิ์ขับลม(เช่นเดียวกับกระชายและข่า) หากทานมากและไม่มีการขับออก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตร้อนได้" แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ใช่ว่ามะรุมจะมีความเป็นพิษมากจนไม่สามารถอุปโภคได้ เนื่องจากมีรายงานการลองความเป็นพิษของมะรุมในหนูทดลองที่ระบุว่า ให้หนูลองกินส่วนรากของมะรุม และให้สารสกัดจากส่วนรากของมะรุมโดยการฉีดใต้ผิวหนังในขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว)ปรากฏว่า ไม่พบความเป็นพิษในหนูทดลอง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ามะรุมนั้นมีคุณประโยชน์ทั้งด้านอาหารและด้านสมุนไพร แต่เราต้องค้นพบถึงข้อกำหนดและข้อแนะนำก่อนการใช้เพราะอีกด้านหนึ่งมะรุมยังคงมีสารบางคุณสมบัติที่ก็พร้อมที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อมนุษย์(หากใช้ไม่ถูกวิธี ใช้นานจนเกินไปหรือใช้ในปริมาณมากเกินกำหนด)ได้เช่นกัน
#47


แปะก๊วย อัพเดท
#48


เจียวกู่หลาน ของดีสรรพคุณเพียบ
#49
ส

ส้มแขกต้องคู่กับกระบองเพชร
#50


แปะก๊วย อัพเดท