Show posts - katip
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - katip

#1




แดดร่มลมตกในวันที่อากาศร้อนจัด หากมีใครแวะเวียนมาแถวประดิพัทธ์อาจจะเจอเข้ากับร้านกาแฟริมถนนที่บอกตรงๆ เลยว่า ดูเท่ห์และชิลน่ารักมาก ซึ่งร้านที่กำลังพูดถึงก็คือร้าน Coffee Model นี่เองค่ะ

ร้าน Coffee Model เป็นร้านกาแฟที่บอกเล่าบรรยากาศความรู้สึกในยุคเรโทรได้เป็นอย่างดี เริ่มกันตั้งแต่เพลงเก่าหายากที่เปิดคลออยู่ตลอด เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้และของสะสมเก่าที่จัดวางอย่างลงตัวในมุมต่างๆ ของร้านซึ่งมีกันตั้งแต่ภาพวาดสีน้ำมัน ตู้เพลง โคมไฟ กล้องฟิล์ม โคมไฟ ยันแผ่นเสียงที่นักฟังเพลงรุ่นเก่าสามารถมาค้นหรือซื้อหาแผ่นเสียงกันที่นี่ได้ ที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนด้านในเป็นห้องแอร์ที่เหมาะกับคนต้องการความเป็นส่วนตัว และ ส่วนด้านนอกที่เป็นลานกว้างมีต้นไม้ใหญ่ และสวนกำแพงยาวอยู่ด้านหลังร้านดูร่มรื่น มีโต๊ะ เก้าอี้เหล็กดัด และงานไม้ แถมยังจัดมุมวางของสะสมต่างๆ ได้เท่ห์ไม่แพ้ด้านในซึ่งพื้นที่ตรงนี้ทางร้านอนุญาติให้คนภายนอกเข้ามาใช้พื้นที่จัดกิจกรรมหรือแสดงผลงานศิลปะ แถมช่วงเย็นๆ ยังมีคอนเสิร์ตเล็กของศิลปินวงนั่งเล่น และ วงอินดี้อื่นๆ ให้รื่นรมย์ด้วย


ช็อกหน้านิ่ม


เครปเค้ก


ชาเขียวแก้วใหญ่

มาดูที่ขนมเค้กกันค่ะ ที่นี่มีเค้กให้เลือกหลากหลายทั้ง "ช็อกโกแลตหน้านิ่ม" ที่ชิมเพียงคำแรกก็รับรู้ได้ถึงความเข้มข้นของช็อกโกแลต รสชาติหวานกำลังดีไม่เลี่ยน อีกชิ้นเป็นเค้กที่ทุกร้านกาแฟต้องมี "เครปเค้กราดสตรอว์เบอร์รี่ซอส (65 บาท)" เครปเค้กเนื้อบางเบากับชั้นครีมวานิลลาที่ให้มากำลังดีราดซอสสตอเบอรี่เข้มข้มรสชาติอร่อยถูกใจ จิบพร้อมกับ "ชาเขียว"(60 บาท) แก้วใหญ่ที่รสชาติหวานกำลังดีให้วิปปิ้งครีมมาเยอะแบบไม่หวงทำเราอ้วนกันเลยทีเดียว



หน้าร้อนแบบนี้ถ้าใครกำลังมองหาร้านกาแฟสไตล์เท่ห์ ฟังเพลงเก่าในบรรยากาศชิลๆ มีขนม เครื่องดื่ม อาหารให้อิ่มในราคาย่อมเยา แถมบางทีที่นี่ยังมีจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและศิลปะให้เราได้เข้าชม แวะมาที่นี่ไม่แน่ร้านนี้อาจจะกลายเป็นร้านกาแฟที่คุณนิยมที่สุดก็ได้

ร้าน Coffee Model : http://www.wongnai.com/r/12511Yk

ขอบคุณรีวิวและที่มาจาก :
www.wongnai.com
http://www.wongnai.com/users/d976b6858e0c44dc858a31e0d8f9074d
http://www.wongnai.com/reviews/87351367764f40218828e34849eb0ea5
#2

"สลัดผักโขมหน้ากุ้งทอด"

และปิดท้ายสำหรับคนที่มองหาผักใบเขียว มาช่วยเพิ่มวิตามินและไฟเบอร์ให้กับร่างกาย ต้องไม่พลาด "สลัดผักโขมหน้ากุ้งทอด" (ราคา 85 บาท) ที่ใช้ผักโขมสดๆ ราดด้วยน้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่นสูตรเฉพาะของร้าน ที่ให้รสเปรี้ยวหวานเค็มกลมกล่อม และช่วยทำให้ผักใบเขียวที่ดูน่ากลัวจะขม ไม่เหลือความขมเลยแม้แต่น้อย กินเล่นเพลินๆ จนหมดไปได้โดยไม่รู้ตัว



"Sushi Den" เป็นร้านซูชิคุณภาพที่ราคาเข้าถึงง่าย และตัวร้านก็เข้าถึงง่ายด้วยเช่นกัน เพราะมีอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง ไม่ต้องดั้นด้นไปไหนไกลๆ ให้ลำบาก....ครั้งหน้าถ้านึกถึงซูชิ อย่าลืมนึกถึง "Sushi Den"


Shushi Den

ที่อยู่ : Siam Paragon (ชั้น 4 โซน Food Passage) ถนนพระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

โทร : 02-610 9667

https://www.facebook.com/SushiDen.Japanese.Restaurant

http://www.wongnai.com/chains/sushi-den

ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจาก http://www.wongnai.com/articles/sushiden/http://www.wongnai.com
#3

"กุงกังมากิไข่ปลาอาคิโมะ"


"นิงิริหอยปีกนก"


"Botan Ebi"

เมนูเด็ดๆ ของ "Sushi Den" ที่น่าลองสุดๆ และห้ามพลาด คือ "กุงกังมากิไข่ปลาอาคิโมะ" (คำละ 94 บาท) ที่บอกว่าห้ามพลาด เพราะตับปลาอาคิโมะนี้ได้ชื่อว่าเป็น "ตับนแห่งท้องทะเล" เลยทีเดียว เพราะรสชาติและความนุ่มของตับปลาชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับตับนจริงๆ และไม่ขมเลยสักนิด จากที่เรามักจะเคยชินกันว่าตับปลาจะต้องขม แต่ตับปลาอาคิโมะไม่ขมเลย

อีกเมนูที่บ่งบอกได้ถึงความสดของวัตถุดิบ คือนิงิริ "หอยมือเสือ" หรือ "Tori Gai" (คำละ 120 บาท) หอยปีกนกเนื้อเหนียวนุ่มมากๆ สด และไม่มีกลิ่นคาวให้รำคาญใจเลยตามด้วยซูชิ"กุ้งหวานใหญ่" หรือ "Botan Ebi" กุ้งโบตันที่หลายคนชื่นชอบ ส่งตรงมาจากฮอกไกโด ในราคาแค่คำละ 140 บาทเท่านั้น เนื้อกุ้งหวานกรอบอร่อยสุดใจ


"Sushi Den Set" (แถวหลังจากซ้าย) โอโทโร่, ปลาอาคามิ และเนื้อปูซาวาอิ (แถวหน้าจากซ้าย) เอนงาวะย่างไฟ, เนื้อโกเบ และไข่หอยเม่นสด

ส่วนคนที่อยากได้วัตถุดิบระดับพรีเมียมสุดๆ และจัดมาให้เป็นเซ็ตๆ เรียบร้อยไม่ต้องรอบนสายพาน ก็สั่ง "Sushi Den Set" (ราคา 890 บาท) มากินได้เลย ในเซ็ตมีแต่ซูชิหน้าของทะเลในฝันที่หากสั่งมากินพร้อมกันกับเพื่อนๆ ก็อาจจะมีการแย่งกันกินเกิดขึ้นก็ได้ เพราะแต่ละอย่างล้วนอร่อยขั้นเทพทั้งนั้น ทั้ง "ไข่หอยเม่นสด" ที่รสชาติและกลิ่นต่างกับไข่หอยเม่นทั่วไป เพราะไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวบางอย่างของไข่หอยเม่นที่ทำให้บางคนไม่ชอบวัตถุดิบชนิดนี้ แต่ถ้าได้มาลองไข่หอยเม่นสดของ "Sushi Den" แล้วล่ะก็ จะต้องเปลี่ยนใจมาชอบไข่หอยเม่นแน่นอน

และพลาดไม่ได้กับสองวัตถุดิบในการทำซูชิรสเลิศที่หากใครได้ลอง แล้วต้องบอกว่า "ขออีก!!" สองสิ่งนี้คือ "โอโทโร่" หรือส่วนท้องของปลาทูน่า และ "เนื้อโกเบ" ที่มีไขมันแทรกจนทั่วชิ้นทั้งเนื้อโกเบและท้องปลาทูน่า ทำให้เนื้อทั้งสองชนิดนี้เป็นเนื้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความนุ่มละลายในปากสุดๆ


ส่วนคนที่ชอบ "เอนงาวะ" หรือครีบปลาตาเดียวย่าง (Aburi Engawa) ที่ "Sushi Den" ก็จะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะครีบปลาตาเดียวสด เด้ง หวาน และนุ่มลื่นสุดๆ และยังมีอีกซูชิอีกสองชนิดที่ใช้วัตถุดิบที่ไม่ค่อยมีให้กินที่ไหนในร้านซูชิระดับราคาเป็นมิตรอย่างนี้ นั่นคือ "ปูซาวาอิ" ชิ้นใหญ่ เนื้อใส หวาน และสดเด้ง กับ "ปลาอาคามิ" เนื้อสีแดงสดนุ่มละมุนไม่แพ้ปลาชนิดไหน ลำพังแค่สั่ง "Sushi Den Set" มาหนึ่งเซ็ต ก็เหมือนยกตลาดปลาสึคิจิมาไว้บนจานแล้วล่ะ ถ้ากินครบทุกอย่างในร้าน คงเหมือนลงไปอยู่ในทะเลกันเลยทีเดียว

http://www.wongnai.com/articles/sushiden
http://www.wongnai.com/chains/sushi-den
#4






หากเป็นคอซูชิตัวจริงเสียงจริง ก็จะต้องคอยสรรหาร้านซูชิอร่อยๆ ไปกินกันอยู่เรื่อยๆ ใช่ไหม บางทีก็ไปซูชิ บาร์ นั่งดูเชฟปั้นข้าว หั่นปลาให้กินกันเดี๋ยวนั้น หรือบางทีก็ลองไปซูชิสายพานดูบ้าง เพราะได้ทั้งความเพลินเวลานั่งดูเชฟทำซูชิให้กินกันสดๆ และได้ทั้งความสนุกในการรอเลือกซูชิที่ชอบจากสายพานหมุนๆ ที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็คงต้องเลือกร้านกันหน่อย ถ้าจะไปกินซูชิสายพานในเมืองไทย เพราะซูชิสายพานมักตั้งราคาไว้ไม่แพงมาก ดังนั้นวัตถุดิบที่ใช้ก็อาจจะไม่สดใหม่เท่าไหร่นัก

แต่ถ้ามาที่ "Sushi Den" แล้วล่ะก็ หายห่วงในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ได้เลย เพราะที่นี่เป็นซูชิสายพาน หรือไคเต็นที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ เหมือนไปนั่งกินอยู่กลางตลาดปลาสึคิจินั่นเลยทีเดียว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในร้านส่งตรงมาจากตลาดปลาสึคิจิ และจากฮอกไกโดกันแบบชนิดที่ว่า ไปเลือกปลาตอนเช้าตรู่ แล้วรีบแพ็คขึ้นเครื่องส่งตรงมาเมืองไทยทันที เพื่อให้ได้ปลาและอาหารทะเลสดๆ แบบกลิ่นไอทะเลยังไม่ทันจางจากตัวปลากันเลยทีเดียว



วัตถุเด็ดๆ ก็มีทั้งหอยเม่นสดๆ โอโทโร่เนื้อนุ่มละลายในปาก หรือหอยปีกนกเหนียวนุ่ม ที่สำคัญแม้จะเป็นของดีมีคุณภาพก็จริง แต่ราคาที่ตั้งไว้ก็ไม่แพงเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง เพราะราคาซูชิของ "Sushi Den" เริ่มต้นที่จานละ 37-140 บาทเท่านั้น ส่วนเมนูพิเศษๆ อย่างโอโทโร่ ก็ราคาชิ้นละ 230 เท่านั้น เวลากินก็แค่ต้องจำให้ได้ และคำนวณให้ดีว่าหยิบมากี่จานแล้ว และแต่ละจานที่หยิบมานั้นราคาเท่าไหร่ จะได้ไม่เกินงบ

http://www.wongnai.com/articles/sushiden
http://www.wongnai.com/chains/sushi-den
#5
Grill Mii สเต็กราคาเบาๆ แต่คุณภาพไม่เบา อร่อยชุ่มฉ่ำเนื้อๆ เน้นๆ

"ร้าน Grill Mii สเต็ก"

เคยไหม ที่บางทีนึกอยากกินสเต็กอร่อยๆ สักหน่อย อยากกินเนื้อชุ่มๆ ผักสลัดฉ่ำๆ แต่ครั้นจะไปกินร้านแพงๆ ก็สงสารกระเป๋า แต่ถ้าไปร้่านราคาเบาๆ คุณภาพของเนื้อและอาหารในร้านก็อาจจะเบาๆ ตามราคาไปด้วย แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ?...จริงๆ แล้วไม่ยากเลยที่จะหาร้านสเต็กอร่อยๆ ราคาไม่แพงสักร้าน ถ้าลองเสาะแสวงหาดูสักหน่อย รับรองต้องเจอแน่นอน และร้าน Grill Mii สยามสแควร์ซอย 2 ก็เป็นหนึ่งในร้านสเต็กที่อร่อยและราคาไม่แพง แบบมีตังค์แค่ 200 บาทก็อิ่มอร่อยได้แล้ว

และนอกจากจะเป็นร้านที่ขายสเต็กในราคาน่าสนใจแล้ว ทำเลที่ตั้งของร้าน Grill Mii ที่อยู่ใจกลางสยามสแควร์ ยังทำให้สะดวก และเป็นตัวเลือกที่ดีเวลาไปเดินช้อปปิ้งหรือเดินเล่นแถวสยามจนเหนื่อย แล้วไม่อยากข้ามกลับไปฝั่งห้างใหญ่ ไปเบียดเสียดกับผู้คนในร้านอาหารทั้งหลาย ก็เพียงแค่เดินมาที่สยามสแควร์ซอย 2 แล้วมองหาทางเข้าเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ธนาคารธนชาติ จะเห็นบันไดเก๋ๆ ที่บนขั้นบันไดมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนชื่อร้าน Griil Mii มิกซ์รวมกับชื่อเพลงฝรั่งดังๆ  โดยให้คำว่า "Mii" ในชื่อของร้าน แทนคำว่า "Me"  เช่น "Grill Mii Up When September End"  ที่่เอาชื่อเพลง "Wake Me Up When September End" ของวง Green Day มาเล่นคำ เป็นกิมมิคเล็กๆ ที่เห็นแล้วโดนใจจริงๆ แต่อย่ามัวเผลออ่านชื่อเพลงบนขั้นบันไดจนเดินสะดุดกันล่ะ

"บรรยากาศร้าน Grill Mii สเต็ก"

"ที่นั่งริมหน้าต่างร้าน Grill Mii สเต็ก"

เมื่อเดินขึ้นบันไดมาบนชั้น 2 แล้ว ก็จะเจอกับร้าน Griil Mii กับที่นั่งสีเหลืองสดใส และกระจกบานใหญ่เต็มผนังด้านนอกของร้าน ที่มองออกไปจะเห็นหญ้าเทียมสีเขียวชอุ่มอยู่บนกันสาด เป็นจุดพักสายตาได้ดีทีเดียว

ส่วนเมนูของร้าน Grill Mii เน้นไปที่สเต็กหลากหลายชนิดเป็นหลัก มีทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และซีฟู้ดชุบเกล็ดขนมปังทอด และเสริมด้วยเมนูข้างเคียงอีกหลายอย่าง เช่น สปาเก็ตตี้ ซุป สลัด เบอร์เกอร์ ลาซานญ่า Roll & ยากิโทริ และ Rice Set ในราคาเริ่มต้นที่ 49 บาท

"เมี่ยงหมูย่าง ร้าน Grill Mii สเต็ก"

เรามาเริ่มต้นกันที่อาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อนดีกว่า ขอบอกว่าที่นี่เน้นผักกันสุดๆ แทบทุกจานจะต้องเห็นมีผักวางมาด้วย ในปริมาณที่ไม่น้อยเลย อย่างเมนู "เมี่ยงหมูย่าง"  (ราคา 169 บาท) ที่จัดมาสวยๆ ในถ้วยแก้วขนาดเล็ก ซึ่งในถ้วยเล็กๆ นี้ก็มีเหมูย่างขนาดพอดีคำ ม้วนผักเรด โอ๊ค กรีนโอ๊คอยู่ด้านใน ราดน้ำซอสที่เป็นส่วนผสมของโชยุกับน้ำมันงาหอมๆ มาด้วย ซึ่งถ้าใครยังไม่สะใจกับน้ำซอสที่เขาราดมาให้ ในจานก็ยังมีถ้วยซอสมาให้อีก จะได้จิ้มซอสให้ชุ่มฉ่ำสะใจกันไปเลย เป็นจานเรียกน้ำย่อยเบาๆ ที่อิ่มกำลังดี เพราะเน้นไปที่ผักสดๆ

"ซุปครีมเห็ด ร้าน Grill Mii สเต็ก"

แต่ถ้าใครอยากจะเรียกน้ำย่อยกันด้วยอะไรที่เบาลงมากว่านี้อีกหน่อย "ซุปครีมเห็ด" (ราคา 49 บาท) ก็เป็นอะไรที่ใช่เลย เพราะตัวครีมซุปไม่ข้นครีมมากจนเกินไป แถมยังเน้นใส่เห็ดแชมปิญองมาให้อย่างเยอะอีกด้วย ซดซุปถ้วยนี้ เพื่อกระตุ้นให้น้ำย่อยทำงานก่อนอาหารจานหลักจะมา ก็จะไม่เปลืองพื้นที่ในกระเพาะอาหารมากเกินไปนัก ซึ่งซุปครีมนี่ ถ้าใครไม่ชอบเห็ด ก็ยังมีซุปข้าวโพด และซุปแฮมมาให้เลือกอีกนะ แต่ถ้าใครรู้สึกว่า อะไรที่เป็นครีมมันดูไม่เฮลท์ตี้ จะสั่งซุปผักโขมที่เอาผักโขมไปปั่นรวมกันครีม ซึ่งจะดีต่อสุขภาพขึ้นมาอีกหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็สั่งซุปใสไปเลยก็อร่อยไม่แพ้กัน มีทั้งซุปหัวหอม และซุปไก่ให้เลือก

"สลัดกุ้งทอด ร้าน Grill Mii สเต็ก"

"สลัดยำทูน่า ร้าน Grill Mii สเต็ก"

จานหลักก็มีให้เลือกทั้งของเบาๆ และของหนักๆ เลย ถ้าใครชอบกินผักเยอะๆ ไม่ค่อยชอบเนื้อสัตว์เท่าไหร่ แนะนำให้สั่ง "สลัดกุ้งทอด" (ราคา 129 บาท) กุ้งเทมปุระกรอบๆ ไม่อมน้ำมัน วางมาบนผักสลัด และมะเขือเทศเชอร์รี่ ราดด้วยน้ำสลัดวาซาบิรสเผ็ดฉุนนิดๆ ดับเลี่ยนได้เป็นอย่างดี แต้ถ้าชอบรสจัดๆ ก็ต้องสั่ง "สลัดยำทูน่า" (ราคา 99 บาท) ซึ่งเป็นจานที่รสจัดจ้านเกินคาดนะจะบอกให้ เหมาะกับการดับเลี่ยนจากอาหารจานอื่น และเหมาะกับคนที่ชอบรสจัดสุดๆ เพราะทั้งเผ็ด เค็ม เปรี้ยว ครบทุกรส เป็นจานท่ี่กินได้เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวอ้วนเลย

"สเต็กไก่สไปซี่กับสเต็กหมูพริกไทยดำ ร้าน Grill Mii สเต็ก"

ส่วนของหนักๆ ที่สั่งมากินทีเดียวแล้วอยู่ท้องแน่นอน คือ "สเต็กไก่สไปซี่กับสเต็กหมูพริกไทยดำ" (ราคา 129 บาท) เนื้อไก่ไม่มันเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ติดหนังมาด้วย เพราะว่าใช้สะโพกไก่และหมักให้มีรสเผ็ดนิดๆ ส่วนเนื้อหมูพริกไทยดำก็หมักจนนุ่มเข้าเนื้อ แค่จรดปลายมีดลงไป ก็หั่นออกได้อย่างง่ายดายแล้ว เพราะว่าใช้สันคอหมูที่มีไขมันแทรกซึมเจือปนอยู่ในเนื้อด้วย จึงทำให้เนื้อหมูนุ่มไม่แห้งแข้งกระด้าง แต่ก็ไม่ได้มีมันติดมาจนเยอะเกินไป และในราคาเท่านี้ แต่ทั้งหมูและไก่ได้มาชิ้นใหญ่ไม่แพ้ร้านแพงๆ เลย สั่งจานนี้จานเดียว แล้วสั่ง Onion Ring (ราคา 49 บาท) กรอบๆ หวานๆ มาแกล้มด้วยอีกจาน รับรองอิ่มไปถึงมื้อหน้าเลยทีเดียว

"Onion Ring ร้าน Grill Mii สเต็ก"

แต่ถ้าอยากได้คาร์โบไฮเดรตให้หนักท้องขึ้นมาอีกหน่อย ก็ต้องสั่งสปาเก็ตตี้มาสักจาน สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล  (ราคา 119 บาท) น่าสนใจที่สุด เพราะใส่ซีฟู้ดมาอย่างครบเซ็ต ทั้งปลาดอลลี่ ปลาหมึก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ กุ้ง และยังหอมกลิ่นเครื่องเทศสมุนไพรมากๆ ด้วย แค่ยกจานมาวางเท่านั้นแหละ กลิ่นของพริกไทยสดและใบกะเพราก็หอมเตะจมูกขึ้นมาทีเดียว แถมรสชาติยังเข้มข้นไม่แพ้กลิ่นอีกด้วย เผ็ดนิดๆ หวานหน่อยๆ เค็มปะแล่มๆ กลมกล่อมกำลังดี รสชาติไทยๆ ไม่เลี่ยน

"สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล ร้าน Grill Mii สเต็ก"

"เครื่องดื่มกรีนฮาวาย ฟรุตพันช์ และ บลูเลมอนร้าน Grill Mii สเต็ก"

และแน่นอนว่าเมื่อต้องสั่งเครื่องดื่ม จะให้สั่งแค่น้ำเปล่าก็คงไม่ช่วยเสริมรสชาติอาหารเท่าไหร่ ต้องนี่เลย กรีนฮาวาย หวานหอมกลิ่นมะพร้าว เปรี้ยวนวลๆ จากสับปะรด และจากส่วนผสมทั้งหมดแล้ว แก้วนี้เลยถือเป็นฮาวายสมชื่อจริงๆ  แต่ถ้าอยากได้อะไรที่เปรี้ยวปรี๊ดกว่านั้น ต้องสั่ง ฟรุตพันช์หรือบลูเลมอน แก้วแรกให้รสชาติเปรี้ยวซ่อนหวาน ส่วนแก้วที่สองออกรสมะนาวชัดเจน แก้เลี่ยนจากอาหารย่างๆ ทอดๆ ได้เป็นอย่างดี แถมยังให้ความสดชื่นอีกด้วย เพราะทั้ง 3 แก้วนี้รสชาติไม่หวานเข้มเกินไปจนแสบคอ ที่สำคัญราคายังไม่แพงอีกด้วย เพราะราคาแค่แก้วละ 39 บาทเท่านั้นเองครั้งหน้าถ้าไปเดินสยาม แล้วเกิดหิวขึ้นมา ก็ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนในห้าง ลองเดินมาสยามสเเควร์ซอย 2  แล้วมองหาทางเข้าเล็กๆ ของร้าน Grill Mii แล้วจะพบว่าของดีมีคุณภาพราคาสมเหตุสมผลนั้นมีอยู่จริง

ข้อมูลร้าน Grill Mii
ที่อยู่ : สยามสแควร์ 2, ปทุมวัน, กรุงเทพมหานคร (ร้านอยู่สยามสแควร์ซอย 2 อยู่บนชั้น 2 ข้างธนาคารธนชาติ) ปทุมวัน , ปทุมวัน , กรุงเทพมหานคร
เบอร์ติดต่อ : 02-658-1951

ข้อมูลจาก - http://www.wongnai.com/articles/grill-mii
ขอบคุณ - wongnai.com
#6




แล้วจบด้วย "Seafood Black Pepper" (ราคา 300 บาท) พาสต้าซีฟู้ดผัดซอสพริกไทยดำ รสชาติเข้มข้นเผ็ดร้อนไม่มียั้งเครื่องเทศ กับซีฟู้ดสดๆ ที่มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ หากใครเริ่มเต็มที่กับเมนูรสชาติอออกแนวฝรั่งๆ จากหลายๆ เมนูข้างบน ลองเมนูรสจัดๆ ดูสักจาน ก็จะทำให้อาหารมื้อนี้ครบรส ครบเครื่องมากยิ่งขึ้น

แล้วปิดท้ายด้วยการค่อยๆ จิบ "Stiletto" เครื่องดื่มที่หน้าตาและรสชาติเหมือนขนม เพราะมีการใส่ไอศกรีมลงไปผสมกับเหล้า เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างของหวานกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แถมด้วยคิทแคทแท่งเล็กๆ เป็นกิมมิคมาให้อร่อยขึ้น เป็นการจบมื้อคำนี้ไปแบบหวานๆ แต่ร้อนแรง

Fire & Dine Bar n' Bistro by Wine Republic Asiatique

ที่อยู่ : 2194 เจริญกรุง 72-74 (อยู่โกดัง 10 ) Asiatique ,บางคอแหลม , บางคอแหลม , กรุงเทพมหานคร 10140

โทร  : 02-108-4388

http://www.facebook.com/fireanddine

http://www.wongnai.com/articles/fire-and-dine
#7


จานต่อมาก็ถือว่าเป็นเมนูที่พิถีพิถัน และใช้เวลาในการเตรียมนานมากๆ เมนูนึงเลยก็ว่าได้ กับ "Classic Slow Grill BBQ Pork Spare Ribs (Full)"(ราคา 480 บาท) ซี่โครงหมูย่างซอสบาร์บีคิว ที่ต้องใช้เวลาในการลอกผังพืดและดีงเลือดออกจากเนื้อซี่โครงหมูไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ต้องเอาไปทำให้เปื่อยนุ่มอีก 3 ชั่วโมง แล้วจึงเอาไปย่าง เมื่อมีลูกค้าสั่งอีก 15 นาที จนได้ซี่โครงหมูที่เนื้อเปื่อยนุ่ม หลุดร่อนออกมาจากกระดูกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ใช้ส้อมสะกิด ส่วนตัวซอสบาร์บีคิวก็หวานๆ เค็มๆ เอาเครื่องเคียงอย่างเฟรนช์ฟรายกรอบๆ มาจิ้ม ก็อร่อยเข้ากันได้ดี



ต่อกันด้วยอีกจานที่ต้นตอของการสร้างสรรค์มาจากน้ำซอสราสพ์เบอร์รี่ที่ไร้คู่ ซึ่งเชฟก้องคิดค้นขึ้นมา แล้วหาอาหารมาเข้าคู่กันกับซอสชนิดนี้ไม่ได้ จนกระทั่งมาเจออกเป็ดรมควันแบรนด์ไทยทำยี่ห้อหนี่งเข้า เลยลองเอามาแมทช์กับซอสราสพ์เบอร์รี่ที่ทำไว้ แล้วก็พบว่าทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ ด้วยเหตุนี้เมนู "Smoked Duck Salad Raspberry Vinaigrette"  (ราคา 260 บาท) หรือ สลัดอกเป็ดรมควัน ราดราสพ์เบอร์รี่ซอส จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นเมนูให้รสชาติเบาๆ เหมาะกับคนที่กลัวอ้วน หรือไม่ชอบเนื้อสัตว์ใหญ่





ส่วนคนที่ชอบกินซีฟู้ด และอยากได้เมนูที่ไขมันน้อยๆ "Black Mussel Spicy Tomato Sauce" (ราคา 350 บาท) หรือหอยแมลงภู่ดำออสเตรเลียผัดซอสมะเขือเทศแบบเผ็ด เป็นเมนูอาหารทเะเลแนวเมดิเตอร์เนียนรสชาติเข้มข้น ที่ควรสั่งมากินแกล้มกับ "Tokyo Apple Jely" ค็อกเทลเก๋ๆ ที่ผสมเจลลี่ลงไปเพิ่มผิวสัมผัสในการดื่มให้แตกต่างและน่าตื่นเต้น

http://www.wongnai.com/articles/fire-and-dine
#8


เริ่มกันที่เมนูที่มีรายละเอียดในการปรุง และขั้นตอนในการปรุงที่เยอะมาก อย่าง "Wagyu Rump Steak" (ราคา 520 บาท) สเต็กเนื้อส่วนแก้มก้นของวัว ราดราตาตูย หรือสตูว์ผักแบบฝรั่งเศส ที่เชฟพิถีพิถันในขั้นตอนการทำมากๆ เพราะใช้ทั้งราตาตูยสีเขียว และราตาตูยสีแดงผสมกัน ซึ่งต่างจากร้านอื่นที่จะมีเพียงราตาตูยชนิดเดียวเท่านั้น



ที่เชฟก้องเลือกใช้ราตาตูยถึงสองแบบมาผสมกัน เพราะว่าราตาตูยสีเขียวซึ่งประกอบด้วยมะเขือม่วงและซุกินี่จะมีกลิ่นเฉพาะตัวของมัน ส่วนราตาตูยสีแดงที่ประกอบด้วยหอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ และพริกหวาน ซึ่งพริกหวานนี้ เชฟก็มีขั้นตอนการทำที่ละเอียดมากๆ ด้วยการนำพริกไปเผาไฟเสียก่อน แล้วจึงเอามาปอกเปลือกออก ที่ต้องพิถีพิถันกับพริกหวานขนาดนั้น เพราะเปลือกของพริกหวานกินมากๆ แล้วจะท้องอืด และความพิถีพิถีนอีกอย่างของราตาตูยสูตรเชฟก้องก็คือ การแยกทำราตาตูยทั้งสองสีคนละกระทะ และจะเอามาผสมกันต่อเมื่อมีลูกค้าสั่งเท่านั้น ซึ่งจะช่วยคงรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของวัตถุดิบแต่ละชนิดได้ดีกว่า

ส่วนเนื้อวากิวที่เลือกใช้เนื้อส่วนแก้มก้น หรือ "Rump Cap" ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้งานหนักที่สุด จึงมีเลือดเยอะ กลิ่นแรง มีสีแดงเข้ม และเหนียว แต่ก็มีรสชาติที่เข้มข้นกว่าเนื้อส่วนอื่นๆ ทว่าต้องใช้ทักษพะในการแล่ขั้นเทพ จึงจะได้เนื้อส่วนที่เรียกว่า  "D Rump" หรือ  ส่วนที่ดีที่สุดของเนื้อแก้มก้น ซึ่งวัวทั้งตัว จะได้เนื้อส่วนนี้แค่ 10 กิโลกรัมเท่านั้น และถ้าแล่ผิดองศาไปนิดเดียว เนื้อที่ได้มาก็จะเหนียวทันที และกินไม่ได้

และแน่นอนว่าเมื่อพิถีพิถันกับการแล่เนื้อขนาดนี้  Rump Steak ที่ได้ จึงออกมานุ่มละมุนมากๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีความเหนียวในระดับที่เคี้ยวเพลินๆ แถมส่วนที่ติดมันยังช่วยทำให้ราตาตูยที่ออกเปรี้ยวๆ อร่อยยิ่งขึ้น จานนี้ถ้ากินคู่กับค็อกเทลสุดร้อนแรงที่เป็น Signature ของร้าน อย่าง "Fire & Dine"  (ราคา 280 บาท) จะยิ่งซาบซ่านในรสชาติมากยิ่งขึ้น แต่เห็นสีสวยของเครื่องดื่มแก้วนี้แล้ว ขอบอกว่าอย่าได้ประมาทเชียว จิบเดียวถึงกับเมาได้ เพราะระดมใส่เหล้าไว้มากมายหลายชนิดเหลือเกินในแก้วเดียว เหมือนสาวสวยที่ซ่อนอันตรายไว้ภายใน

http://www.wongnai.com/articles/fire-and-dine
#9




บางครั้งการออกไปกินอาหารนอกบ้าน ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเลือกเฟ้นไม่ต่างอะไรกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตเหมือนกัน เพราะการได้กินอาหารอร่อยๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งในชีวิตเชียวนะ และเมื่อไหร่ที่เราได้ไปเจอร้านที่มีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบ และพิถีพิถันในกรรมวิธีการปรุง อาหารมื้อนั้นก็จะพิเศษขึ้นมาทันที และหากเราได้รู้ที่มาที่ไปของอาหารที่เรากินเข้าไปกันบ้าง เราจะได้เห็นความใส่ใจของเชฟ และเข้าใจอาหารมากขึ้น มันก็จะยิ่งพิเศษขึ้น

ที่  Fire & Dine เป็นร้านหนึ่งที่ใส่ใจและพิถีพิถันในการทำอาหารแต่ละจานออกมาเสิร์ฟลูกค้ามากๆ ถึงขึ้นทำครัวเปิดเอาไว้ ให้ลูกค้ามองเห็นการทำงานของเชฟได้อย่างใกล้ชิด แถมยังมีกฎว่าเชฟที่อยู่ในครัวจะต้องอารมณ์ดีเท่านั้น ห้ามมูดดี้ เพราะเมื่อเชฟอารมณ์ดี ก็จะสามารถใส่ความสุขลงไปในอาหารได้อย่างเต็มที่ แล้วอาหารก็จะออกมาอร่อยถูกใจลูกค้า

และสิ่งที่สำคัญมาก ในร้านอาหารทุกๆ ร้าน คือ การลองผิดลองถูกกับเมนูที่จะทำออกมาขาย ซึ่งที่ Fire & Dine มี "เชฟก้อง" ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร Executive Chef หนุ่มหล่อวัยเพียง 25 เป็นผู้ครีเอตเมนูต่างๆ และควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน และยังไม่หยุดยั้งที่จะสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ออกมาให้ได้ชิมกันอยู่เรื่อยๆ แถมบางเมนู เชฟก้องยังใช้เวลาทดลองหาสูตรที่ลงตัวอยู่นานอีกด้วย เพราะเขาถือคติว่า "อาหารไม่มีถูกหรือผิด แต่เป็นเรื่องของจินตนาการและความชอบ"

ถ้าอย่างนั้น ลองมาดูกันหน่อยสิว่า จินตนาการของเชฟหนุ่มหล่อคนนี้ จะสร้างสรรค์ออกมาเป็นอะไรให้เราได้กินกันบ้าง

http://www.wongnai.com/articles/fire-and-dine