เรื่องวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพร"เถาวัลย์"เเละทางคลินิก

เรื่องวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพร"เถาวัลย์"เเละทางคลินิก

เริ่มโดย teareborn, 07 มิถุนายน 2017, 05:41:28

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

teareborn


การศึกษาทางคลินิกของเถาวัลย์
            คลายอาการปวดหลังส่วนล่าง  การเปรียบเทียบ ประโยชน์ของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงกับยาไดโคลฟีแนค ในการเป็นยา ลดอาการปวดหลังส่วนล่าง พบว่าเมื่อให้ผู้ป่วย กินสารสกัดเถาวัลย์เปรียงบรรจุแคปซูลขนาด 200 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่ กินยาไดโคลฟีแนคขนาด 25 มิลลิกรัม  วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ผลพบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงสามารถลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ไม่แตกต่างจากการใช้ยาไดโคลฟีแนค
           กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย   การค้นพบประสิทธิผลของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี เมื่อได้รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงทีสกัดด้วย 50% เอทานอล ขนาดวันละ 400 มก. นาน 2 เดือน ไม่พบความไม่ปกติของระบบต่างๆของร่างกาย และพบว่าสารสกัดเพิ่มการหลั่งของ IL-2 และ gamma–IFN แสดงว่าสารสกัดมีฤทธิ์เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
             การวิจัยประสิทธิผล และความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการเยียวยาอาการอักเสบจากข้อเข่าเสื่อมนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมการวิจัยทางคลินิกกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเข้าร่วมโครงการจำนวน 125 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันนาโพรเซน (Naproxen) ขนาด 250 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 400 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ ผลการค้นคว้าพบว่า ยาแผนปัจจุบันนาโพรเซนและสารสกัดเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลและความปลอดภัยไม่แตกต่างกัน และผู้ป่วยที่ได้รับยาทั้ง 2 กลุ่มมีความพึงพอใจต่อการรักษาร้อยละ80การค้นคว้าความปลอดภัยของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสถาบันลองสมุนไกรมวิทยาศาสการแพทย์ได้วิจัยความปลอดภัยของสสารสกัดเอทานอล 50 % ของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 12 ราย โดยให้ทานแคปซูลสารสกัดขนาด 200 มก./แคปซูล ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และเจาะเลือดทุก 2 สัปดาห์ พบว่าไม่มีอาการไม่ปกติใดๆ ระหว่างรับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง และเมื่อเทียบกับก่อนได้รับสารสกัด  ค่าทางโลหิตวิทยาบางค่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น ค่าร้อยละของเม็ดเลือดขาวลักษณะ basophil เพิ่มขึ้น ค่า hemoglobin และค่าร้อยละของ hematocrit ลดลงในบางสัปดาห์
การศึกษาทางพิษวิทยาของเถาวัลย์ 
             สำหรับด้านความเป็นพิษของสารสสกัดเถาวัลย์เปรียงนั้นจากการค้นคว้าสารสกัดเอธานอล 50% โดยป้องให้หนูขาวในขนาดสูงถึงวันละ 600 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 1 กก. ซึ่งเท่ากับ 75 – 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน ไม่พบอาการแสดงความเป็นพิษต่ออวัยวะและการทำงานผิดปกติของระบบต่างๆ ของหนูขาวเลย
             การทดลองพิษเฉียบพลัน  ของสารสกัดลำต้นด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 6,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
             มีรายงานการค้นหาพิษเรื้อรัง ( 6 เดือน ) ของสารสกัด 50 % เอทานอลของเถาวัลย์เปรียงในหนูขาว 4 กลุ่มๆ ละ 20 ตัว/เพศ  กลุ่มควบคุมได้รับน้ำ 10 มล. / กก. / วัน กลุ่มทดสอบได้รับสารสกัดขนาด 6 , 60 และ 600 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม / วัน หรือ เทียบเท่าผงเถาวัลย์เปรียง 0.03 , 0.3 และ 3 กรัม / กก. / วัน หรือ 1 , 10 และ 100 เท่าของขนาดใช้ในคนต่อวัน  พบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยา  ชีวเคมีของเซรั่ม หรือจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน ที่มีความสัมพันธ์กับขนาดของสารสกัด และไม่พบความผิดปกติใดๆ

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณของเถาวัลย์
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

teareborn

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions