พระป่าและวัดป่าของไทย ปัจจัยสี่ของพระป่า กิจวัตรของพระป่า

พระป่าและวัดป่าของไทย ปัจจัยสี่ของพระป่า กิจวัตรของพระป่า

เริ่มโดย c.leewood, 03 กันยายน 2017, 20:27:13

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

c.leewood

พระป่าและวัดป่าของไทย ปัจจัยสี่ของพระป่า กิจวัตรของพระป่า
พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแบ่งออกได้เป็นสองฝ่ายคือ ข้างคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระ เรียนพระปริยัติธรรม คำอบรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้กำเนิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปกระทำปฏิบัติ และก็อบรมคนอื่นๆถัดไป พระภิกษุข้างนี้เมื่อเล่าเรียนแล้วจะเกิดปัญญาที่เรียกว่า สุตตามยสติปัญญา เป็นสติปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้จากภายนอกโดยการฟังการเห็นฯลฯ จำนวนมากพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคันถธุระ ชอบอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสบายสำหรับในการสืบเสาะหาวิชาความรู้เพื่อตัวเองจากแหล่งความรู้ต่างๆและก็ได้ใช้ความรู้นั้นๆสอนคนอื่นได้ง่าย ได้หลายครั้งรวมทั้งได้จำนวนไม่ใช่น้อย ก็เลยเรียกพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นฝ่ายคามวาสี หรือพระบ้าน
อีกข้างหนึ่งเรียกว่าข้างวิปัสสนาธุระ นำเอาพระธรรมคำอบรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตั้งใจจริงโดยย้ำที่การฝึกฝนจิตในด้านสมาธิ เพื่อให้กำเนิดปัญญาในรูปแบบของภาวนามยปัญญา อันเป็นวิชาความรู้ที่แท้จริงตามหลักของพุทธศาสนา เป็นสติปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากด้านในผุดเกิดขึ้นเองเมื่อได้ปฏิบัติสัมมาสมาธิ จนกระทั่งระดับหนึ่งเป็น จเหม็นตุตถฌาน แล้วกระทำในใจให้แยบยลก้มไปไปสู่ที่ใต้ต้นวิชชาสาม ซึ่งจะเป็นความรู้ตามจริงในระดับหนึ่ง ตามกำลังความสามารถของผู้ปฏิบัตินั้นๆอันเป็นหนทางก่อให้เกิดการหมดกิเลสจากสังสารวัตร ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา การกระทำเพื่อบรรลุจุดประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นควรต้องหาที่สงบเงียบเชียบ ไกลห่างต่อการรบกวนจากด้านนอกในลักษณะต่างๆโดยเหตุนี้พระภิกษุฝ่ายนี้ก็เลยออกไปสู่ชายป่า แสวงหาสถานที่ เพื่อกำเนิดสัปขว้างยะแก่ตัวเองที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างเห็นผล จึงเรียกพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายนี้ว่า ฝ่ายอรัญวาสี หรือพระป่า หรือพระธุดงค์
ในยุคพุทธกาล ภิกษุทุกรูปจะเป็นพระป่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงสั่งย้ำให้ภิกษุสาวกของพระองค์ ให้ออกไปสู่โคนไม้ คูหาหรือเรือนร้าง เพื่อปฏิบัติสมาธิภาวนา พระพุทธเจ้าประสูติในป่า คือที่ป่าลุมพินีวันในเขตติดต่อดินแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ หยั่งรู้ที่ใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในป่าริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เขตกรุงสาวัตถี แคว้นมคธ ทรงแสดงพระปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนสัตว์ป่าทายวัน แขวงกรุงพาราณสี และเข้าสู่ตายที่ป่าในเขตกรุงกุสิท้องนาราย ตลอดเวลา ๕๑ ปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงจาริกไปอบรมเวไนยสัตว์ และเสด็จประทับอยู่ในป่า เมื่อมีคนที่เลื่อมใสศรัทธาสร้างวัดมอบให้ก็จะสร้างวัดในป่า ยกตัวอย่างเช่น เชตวัน เวฬุวัน อัมพวัน ลัฏฐิวัน ชีวกัมพวัน มัททกุจฉิสัตว์ป่าทายวัน อันธวัน และก็นันทวัน ฯลฯ คำว่าวันหมายความว่าป่า พระพุทธองค์จะประทับอยู่ในวัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วตอนช่วงปี ปีหนึ่งไม่เกินสี่เดือน นอกจากนั้นจะเสด็จจาริกนอนตามโคนไม้ตามป่า


   
พระป่าของไทย

พระป่าของไทย หมายถึงพระที่อยู่ตามธรรมชาติเหมือนกันกับ พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพระพุทธ แล้วก็พระสาวกตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นคนที่บรรพชาบรรพชาถูกครบถ้วนสมบูรณ์ตามพระธรรมวินัย ไม่ผิดกฏหมายของชาติบ้านเมือง บรรพชาด้วยความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้นแล้วก็จริงใจในบวรพุทธศาสนา เมื่อบวชรวมทั้งจริงจังบำเพ็ญหมั่นเพียร ตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อบรรลุธรรม อันนำมาซึ่งการพ้นจากวัฏสงสาร ทำให้พ้นจากกองทุกข์ อันเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของพุทธศาสนา
ในสมัยสุโขทัยสม่ำเสมอมายังยุคอยุธยา เรามีพระภิกษุสงฆ์ข้างค้างมวาสี เน้นย้ำทางด้านคันถธุระรวมทั้งฝ่ายอรัญวาสีเน้นทางด้านวิปัสสนาธุระ ดังจะเห็นได้ในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่ปฏิบัติการสู้รบยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแม่ทัพพม่า ได้ความมีชัย แต่ว่าแม่ทัพนายกองหลายๆคนกระทำการผิดพลาดได้รับการพิเคราะห์โทษ สมเด็จพระนพรัตน์ที่วัดป่าแก้วแล้วก็ภาควิชา ได้เสด็จมาแสดงธรรมเพื่อทรงให้อภัยประหารแก่ แม่ทัพนายกองพวกนั้น โดยยกเอาเหตุขณะที่พระพุทธองค์ผจญพญามาร ในคืนวันที่ จะทรงตรัสรู้มาเป็นตัวอย่าง สมเด็จพระพระราชามหาราชทรงปิติชื่นชมโสมนัส ซาบซึ้งในพระธรรมที่สมเด็จพระนวรัตน์วัดป่าแก้ว ทรงแสดงยิ่งนักตรัสว่า "พระเจ้าว่านี้ควรหนักหนา" และก็ได้ทรงพระราชทานอภัยโทษประหารแก่แม่ทัพนายกองเหล่านั้น
จะมีความคิดเห็นว่าสมเด็จพระนวรัตน์วัดป่าแก้ว เป็นพระสงฆ์ข้างอรัญวาสี จึงมีชื่อเสียงนี้และอยู่ที่วัดป่า แม้กระนั้นก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกด้านนอก เมื่อมีเรื่องราวสำคัญที่ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์เหมาะสมที่จะออกมาช่วยเหลือข้างบ้านเมือง หรือบางครั้งอาจจะกล่าวโดยรวมว่า ข้างศาสนจักรเกื้อหนุนข้างอาณาจักร ท่านก็สามารถทำกิจนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีผู้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ ควรจะมีวิชาความรู้ทางคันถธุระเป็นอย่างดีมาก่อน จะได้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระได้อย่างแม่นยำตรงทาง คุณสมบัติข้อนี้ได้มีตัวอย่างมาสุดแต่สมัยโบราณ
ในยุครัตนโกสินทร์ มีพระภิกษุที่เป็นแบบอย่างของพระป่าในปัจจุบัน มีชื่อเสียงกันดีคือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส จ.กรุงเทพฯ (สะพานขั้นเส) หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล รวมทั้งหลวงปู่มั่น ภูรีทัตตมหาเถระ สามท่านมีเสียงสรรเสริญเป็นที่เลื่องลือ ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ในประเทศไทย ประเทศลาว และก็ประเทศพม่า สำหรับหลวงปู่มั่น ความฉลาดทัตโคลนตมหาเถระ เป็นพระสงฆ์ที่มีศิษย์เป็นพระป่าสูงที่สุดสืบทอดมาจนถึงตอนนี้ ท่านได้บวชบวชเป็นภิกษุ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ แล้วก็ตาย เมื่อ ปี พุทธศักราช๒๔๙๖ ตั้งแต่แมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐ จนกระทั่งมรณภาพท่านได้ออกสอนลูกศิษย์จำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงขั้นสูงสุด โดยเน้นภาคปฏิบัติที่เป็นจิตภาวนาล้วนๆตามทางพระอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อกล่าวโดยย่อเป็นต้นว่า สิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ปัจจัยสี่ของพระป่า
ต้นสายปลายเหตุที่จำเป็นจะต้องสำหรับภิกษุในพุทธศาสนา เพื่อพอดีแก่การดำรงชีพอยู่สำหรับการเจริญภาวนา พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้สี่อย่าง พระป่าของไทยได้เอามาปฏิบัติตัวปฏิบัติกระทั่งนับว่าเป็นนิสัยเป็น
๑. การออกเที่ยวบิณฑบาตมาดำรงชีพทั้งชีวิต การบิณฑบาตเป็นงานสำคัญประจำชีวิต ในอนุศาศน์ท่านสอนไว้มีข้อรุกขมูลเสนาสนะ และก็ข้อบิณฑบาต การออกบิณฑบาต พระผู้มีพระภาคทรงถือเป็นธุระจำเป็นจะต้องประจำพระองค์ ทรงถือปฏิบัติเพื่อโปรดเวไนยสัตว์อย่างสม่ำเสมอตลอดมาถึงวันปรินิพพาน การบิณฑบาต เป็นประจำที่อำนวยประโยชน์แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกปริยาย พูดอีกนัยหนึ่ง เวลาเดินบิณฑบาตไปในละแวกบ้าน ก็เป็นการบำเพ็ญอุตสาหะไปในตัวตลอดเวลาที่เดิน เหมือนกันกับเดินจงกรมอยู่ในสถานที่พักประการหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนท่าทางณ เวลานั้นประการหนึ่ง คนที่บำเพ็ญทางสติปัญญาโดยสม่ำเสมอ เมื่อเวลาเดินบิณฑบาต เมื่อได้มองเห็นหรือได้ยินสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาสัมผัสทางทวารย่อมเป็นเครื่องเสริมปัญญา รวมทั้งถือเอาผลดีจากสิ่งนั้นๆได้ตามลำดับอย่างหนึ่ง เพื่อตัดความขี้คร้านของตัวเองที่ชอบแต่ผลสิ่งเดียว แต่ขี้เกียจคร้านก่อเรื่องที่คู่ควรแก่กันอย่างหนึ่ง และก็เพื่อตัดทิฏฐิมานะถือตน รังเกียจต่อการโคจรบิณฑบาต อันเป็นลักษณะของการเป็นผู้ขอ เมื่อได้อะไรมาจากบิณฑบาตก็ฉันอย่างนั้น พอยังอัตภาพให้เป็นไป น้อยเกินไปกพูนช่วยเหลือกายให้มากมาย อันจะเป็นศัตรูต่อความพยายามทางใจให้เจริญไปได้ยาก การฉันคราวเดียวในหนึ่งวันก็ควรฉันเถิดแต่พอสมควร ไม่ให้มากจนเกินความจำเป็น แล้วก็ยังจะต้องพิจารณาด้วยว่าอาหารชนิดใดเป็นคุณแก่ร่างกาย และเป็นคุณแก่จิต เพื่อสามารถปฏิบัติสมาธิภาวนาได้ด้วยดี
๒. การถือผ้าบังสุกุลจีวรตลอดชาติ ในยุคพุทธกาล พระผู้มีพระภาคทรงเชิดชูพระมหากัสสปะว่า เป็นผู้ยอดเยี่ยมสำหรับเพื่อการทรงผ้าบังสุกุลเป็นความประพฤติ ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่ถูกละทิ้งไว้ตามป่าช้า ตัวอย่างเช่นผ้าห่อศพ หรือผ้าที่ทิ้งไว้ตามกองขยะ ซึ่งเป็นของเศษเดนทั้งหลายแหล่ ไม่มีใครหวง ภิกษุเอามาเย็บติดต่อกันตามขนาดของผ้าที่จะทำเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ ได้ราวๆแปดนิ้วจัดเป็นผ้ามหาบังสุกุล ผ้าบังสุกุลอีกชนิดหนึ่งที่เป็นรองลงมา ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสนำผ้าที่ตนได้มาด้วยความบริสุทธิ์ไปวางไว้ในสถานที่พระภิกษุสงฆ์เดินจงกรมบ้าง ที่กุฏิบ้าง หรือทางที่ท่านเดินผ่านไปมา แล้วหักกิ่งไม้วางไว้ที่ผ้า หรือจะจุดธูปเทียนไว้ พอให้ท่านทราบดีว่าเป็นผ้าถวายเพื่อบังสุกุลแค่นั้น
๓. รุกขมูลเสนาสนัง ถือการอยู่โคนไม้ในป่าเป็นที่พักอาศัย มหาบุรุษพระโพธิสัตว์ก่อนทรงรู้ในระหว่างที่สืบหาความหลุดพ้นธรรมอยู่หกปี ก็ได้มีชีวิตความเป็นอยู่แบบงี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระพุทธเจ้าจึงทรงเสนอแนะพระสาวกให้เน้นย้ำการอยู่ป่าเป็นส่วนมาก จำทำให้การปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้ากว่าการอยู่ที่อื่น
๔. การฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตลอดชีพ เป็นการฉันยาตามมีตามได้ หรือท่องเที่ยวค้นหายาตามป่าเขา อันกำเนิดตามธรรมชาติเพื่อบรรเทาเวทนาของโรคทางกายเพียงแค่นั้น


   
กิจวัตรของพระป่า

กิจวัตรที่สำคัญในพุทธศาสนา เป็นแนวปฏิบัติของพระป่า ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำมีอยู่สิบประการคือ
๑. ลงโบสถ์ในวัดหรือที่แห่งใดๆมีพระสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป ต้องสัมมนากันลงฟังพระปาฏิความหลุดพ้น ทุก ๑๕ วัน (ครึ่งเดือน)
๒. บิณฑบาตดำรงชีพตลอดชาติ
๓. ทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระ เช้าตรู่ - เย็นวันแล้ววันเล่า เว้นแต่เจ็บไข้ได้ป่วยอาการหนัก พระป่าจะทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระเอง ไม่ได้ประชุมรวมกันทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระเสมือนพระบ้าน
๔. กวาดเสนาสนะ อาวาส ลานพระเจดีย์ ลานวัดแล้วก็รอบๆใต้ต้นมหาโพธิ์ นับว่าเป็นกิจวัตรสำคัญ เป็นเครื่องมือขจัดความขี้คร้านชุ่ยได้เป็นอย่างดี พระวินัยได้แสดงอานิสงค์ไว้ห้าประการ หนึ่งในห้าประการนั้นคือ ผู้กวาดชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินตามคำสั่งสอนของพระศาสดา และถ้าเกิดตายเนื่องจากว่าทำลายขันธ์ก็ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
๕. รักษาผู้สามครอบครองเป็น สังฆาฏิ ผ้าจีวรแล้วก็สบง
๖. อยู่ปริวาสบาป
๗. ปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ
๘. เล่าเรียนสิกขาบทและก็ปฏิบัติคุณครู
๙. แสดงอาบัติคือ การเปิดเผยโทษที่ตนทำผิดพระระเบียบที่เป็นลหุโทษ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งให้รู้และก็ข้อตกลงว่าจะสำรวมระวังมิให้เกิดทำผิดแบบนั้นอีก
๑๐. พิเคราะห์ปัจจเวกขณะสี่ ด้วยความไม่ประมาทเป็นพิเคราะห์สังขาร ร่างกาย จิตใจ ให้เป็นของไม่เที่ยงถาวรที่ดีเลิศได้ยาก ให้มองเห็นเป็นไม่แน่นอน ทุกขัง อนัตตา เพื่อเป็นเล่ห์เหลี่ยมทางสติปัญญาอยู่ตลอดระยะเวลาในท่าทางอีกทั้งสี่หมายถึงยืน เดิน นั่ง นอน
ธุดงค์วัตรของพระป่า
ธุดงค์ที่พระผู้มีพระภาคให้ปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลสที่ฝังอยู่ภายใจจิตใจของปุถุชน มีอยู่ ๑๓ ข้อ ดังนี้

๑. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

๒. เตจีวริกังคะ ถือใช้ผ้าเพียงสามผืนเป็นวัตร

๓. ปิณฑปาติกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร

๔. สปทานจาริกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร เพื่อเป็นความงามในเพศสมณะในทางมรรยาท สำรวมระวังอยู่ในหลักธรรม หลักวินัย

๕. เอกาสนิกังคะ ถือการฉันมื้อเดียวเป็นวัตร เพื่อตัดกังวลในเรื่องการฉันอาหารให้พอเหมาะกับเพศสมณะให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่รบกวนคนอื่นให้ลำบาก

๖. ปัตตปิณฑิกังคะ คือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ฉันเฉพาะในบาตร เพื่อขจัดความเพลิดเพลินในรสอาหาร

๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ถือการห้ามฉันภัตอันนำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร

๘. อารัญญิกังคะ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร

๙. รุกขมูลิกังคะ ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ข้อนี้ตามแต่กาลเวลาและโอกาสจะอำนวยให้

๑๐. อัพโภกาลิกังคะ ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ข้อนี้ก็คงตามแต่โอกาส และเวลาจะอำนวยให้

๑๑. โสสานิกังคะ ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติให้เหมาะกับเวลาและโอกาส

๑๒. ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่เสนาสนะแล้วแต่เข้าจัดให้ มีความยินดีเท่าที่มีอยู่ไม่รบกวนผู้อื่น อยู่ไปพอได้บำเพ็ญสมณธรรม

๑๓. เนสัชชิกังคะ ถือการ ยืน เดิน นั่ง อย่างเดียว ไม่นอนเป็นวัตร โดยกำหนดเป็นคืนๆ ไป

Tags : พระป่า,วัดป่า
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions