ระยะเวลาของ 1 กัป

ระยะเวลาของ 1 กัป

เริ่มโดย GOWA, 20 สิงหาคม 2008, 09:05:04

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

GOWA

วิธีนับกัป กำหนดกาลว่านานกัปหนึ่งนั้น พึงรู้ด้วยอุปมาประมาณว่า มีขุนเขากว้างใหญ่สูงโยชน์หนึ่ง (16 กิโลเมตร) ถึง 100 ปีมีเทพยดาเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดลงมาเช็ดถูบนยอดขุนเขานั้นหนหนึ่งแล้วก็ไป ถึงอีก 100 ปีจึงเอาผ้าลงมาเช็ดถูอีก นิยมอย่างนี้นานมาจนตราบเท่าขุนเขานั้นสึกเกรียนเหี้ยนลงมาราบเสมอพื้นพสุธาแล้ว กำหนดเป็น 1 กัป เมื่อนั้น

อีกนัยหนึ่ง กำหนดด้วยประมาณว่า มีกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสโดยกว้างลึกกำหนดหนึ่งโยชน์ ถึง 100 ปีมีเทพยดานำเมล็ดผักกาดมาหยอดลง 1 เม็ด เมล็ดผักกาดเต็มเสมอปากกำแพงนั้นนานเท่าใด จึงกำหนดว่าเป็น 1 กัป


ผู้ที่ทำความิดร้ายแรง เช่น ฆ่าบิดา มารดา พระสงฆ์
จะต้องชดใช้กรรมในนรกขุมที่ 8 คือ อเวจีมหานรก เป็นเวลา 1 กัป
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.7.html

       ถาม :   ผมอ่านหนังสือของหลวงพ่อเจอเรื่องที่ว่าพรหม  เทวดาที่ท่านจะหมดบุญท่านจะมาเลือกเกิด   อันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านเลือก....?
       ตอบ :   จริง  ๆ แล้วมีเยอะจ้ะ   แต่ไม่ใช่ว่าก่อนจะหมดบุญแล้วเลือกลงมา   ถ้าหากว่าตัวเองจะหมดบุญแล้วโอกาสเลือกมันน้อย   ส่วนใหญ่จะลงมาก่อน   ลักษณะลงมาก่อนนี่จะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่ให้การรับรองด้วย  การรับรองนั้นก็คือรับรองว่าถ้าลงมาเกิดแล้วอย่างน้อยต้องกลับไปดีเท่าเดิมหรือว่าดีกว่าเดิมถึงยอมให้ลงมา   
              คราวนี้บรรดาท่านที่ลงมาเกิดลักษณะอย่างนี้ท่านจะเลือกที่ของท่านได้ แต่ว่ากติกามันจะบังคับอยู่เพราะฉะนั้นบางคนนี่อยากจะทำชั่วใจแทบขาดมันทำ ไม่ได้หรอก มีอะไรบางอย่างคอยบีบคอยกันคอยกีดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็คือท่านข้างบนซึ่งรับรองอยู่นั้นท่านต้องคอยบังคับให้เราอยู่ในช่อง ออกนอกเมื่อไหร่ท่านเดือดร้อนด้วยเพราะท่านเป็นคนรับรองให้ เพราะฉะนั้นบางทีเขาด่าเราว่าชิงหมาเกิดนี่จริง ๆ แย่งเขาเกิดจริง ๆ ไม่ใช่คิวของตัวเองหรอก แต่ถ้าหากว่ารอจนหมดบุญแล้วส่วนใหญ่จะลงอบายภูมิไปเลย เพราะฉะนั้นก็ลงมาก่อนหมดบุญดีกว่า
       ถาม :    ส่วนใหญ่นี่รวยหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :   ไม่แน่   เพราะว่าส่วนใหญ่จะเลือกในสถานที่ ๆ ว่าเมื่อถึงวาระหนึ่งในชีวิตนั้น ๆ จะมีโอกาสได้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมบุญของตนให้กลับไปในที่เดิม หรือว่าได้ที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นบางทีถึงแม้จะลำบากหน่อยแต่ถ้าหากว่าลงมาแล้วจะมีความเจริญก้าว หน้าในการปฎิบัติสามารถส่งตนให้ขึ้นสู่ภพภูมิขึ้นไปท่านก็ยอมลำบาก แต่จะรู้ล่วงหน้าเลย....
              ตอนนั้นก็จะสัญญิงสัญญากันดิบดีประเภทเหนื่อยแค่ไหนลำบากแค่ไหนก็จะทน...ลง มาลำบากหน่อยบ่นฉิบหายเลย (หัวเราะ) ใครบ่นมั่ง ? ลำบากแค่ไหนก็จะทน .. ลำบากหน่อยบ่นกันจัง น่ารักไหม ? ตอนที่จะลงมายังไงก็ได้ใช่ไหม ? รับปากได้ทุกเรื่อง พอลงมาหน่อยนี่แหม... บ่นซะไม่มี
       ถาม :   แล้วอย่างถ้าเรากำหนดว่าจะลงมาตำแน่งของคน  ๆ นี้นี่ครับ  คือมันต้องคงลงอยู่แล้วหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ตำแหน่ง  ?
       ถาม :    คือใครจะเป็นใครอย่างนี้น่ะครับ  ?
       ตอบ :  อ๋อ...ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ คือตัวเราลงมาเกิดก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากคนอื่นมาเกิดก็จะเป็นไปตามบุญตามบาปของเขาน่ะ ผลกรรมที่เขาทำมาแต่ว่าอย่างน้อยส่วนดีคือผลของศีลห้าเก่าอย่างน้อยต้องมี     ถ้าหากว่าไม่มีนี่เกิดเป็นคนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคนต้นทุนของเราพอแล้ว คืออย่างน้อยต้องเคยมีศีลห้าทรงตัวมาก่อน แล้วผลของศีลห้าก็ส่งผลไห้เราเกิดมาเป็นคน คราวนี้ว่าเกิดมาชาตินี้เราจะขาดทุนหรือว่าจะกำไรอยู่ที่ว่าเราจะรักษามัน ต่อได้แล้วทำดีได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็กำไร ถ้าทำไม่ได้ก็ขาดทุน
       ถาม :    แล้วที่เขาลงมารู้ไหมครับ  ?
       ตอบ ที่ลงมาส่วนใหญ่จะลืม แต่ว่าลงมาแล้วทำไปทำมาถึงวาระหนึ่งถึงเวลาหนึ่งก็ได้ทำหน้าที่ ๆ ตัวเองต้องการบางทีก็ไปรู้เอาตอนข้างบน    แต่ว่ามีบางราย   อย่างนางปติปูชิกาที่เป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร   ลงมาจุติแล้วท่านจำได้    ในเมื่อท่านจำได้ท่านทำความดีทุกครั้งท่านจะอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดในสำนักของสามีตนเอง   
              ในเมื่ออธิษฐานอย่างนี้แฟนก็คิดว่า แหม... มันรักเราจังเลยกี่ครั้ง ๆ ก็อธิษฐานขอให้เกิดด้วยกัน ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านตั้งใจจะไปเกิดกับมาลาพาลีเทพบุตร แล้วพออายุ ๕๐ กว่าก็ป่วยตายไปเกิดที่เดิม อันนั้นเขารู้....แต่ท่านที่ไม่รู้ จนถึงวาระสุดท้ายก็มี พอกลับไป อ๋อ.... ที่แท้เราลงไปเพื่ออย่างนี้ ๆ แต่ทำไปซะเต็มที่แล้วล่ะ
       ถาม :    .......................................
       ตอบ :   ไม่เหมือนกัน   บางทีเขาใช้คำว่า อสงไขยกัป (หัวเราะ) ยิ่งหนักเข้าไปอีก หนึ่งกัปนี่ระยะเวลาตามอรรถกถาท่านเปรียบเอาไว้ ท่านบอกว่ามีภูเขาหินล้วนลูกหนึ่ง กว้างหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์มัน ๔๐๐ เส้น ๔๐๐ เส้นก็ ๘,๐๐๐ วา เส้นหนึ่งเท่ากับ ๒๐ ว่า เท่ากับหนึ่งหมื่นหกพันเมตร เท่ากับสิบหกกิโลเมตร กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑๖ กิโลเมตร
              ร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดทีหนึ่ง หนึ่งร้อยปีมาเช็ดทีหนึ่ง... จนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งกัป ไหวไหม ? เมื่อไหร่มันจะสึกสักคืบหนึ่งเราก็รอไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ถูทุกวันมันยังไม่อยากจะสึกเลย หรือไม่ท่านก็เปรียบว่ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ยาว สูง ด้านละ หนึ่งโยชน์เหมือนกัน เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไว้จนเต็ม ใครเคยเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดบ้าง มันยังกับผงดำ ๆ น่ะ ร้อยปีหยิบออกเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผัดกาดหมดถังเมื่อไหร่ได้เวลาหนึ่งกัป นับอยากจัง
       ถาม :    อย่างเทวดา...  สมมุติว่าเทวดาท่านอยู่หลายกัปแล้ว   การที่ท่านจะลงมาเกิดอย่างนี้   หมดบุญมันก็นานมาก  ?
       ตอบ :  ที่อยู่กันหลายปกัปจริง ๆ ต้องพรหมน่ะจ้ะ ถ้าเทวดาทั่ว ๆ ไป อายุท่านราว ๆ อย่างเช่น ๑๐๐ ปีทิพย์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ๔๐๐ ปีทิพย์อย่างนี้เป็น ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ทำบุญในลักษณะที่ว่าอยู่มานาน เช่นบุญบวชพระ อานิสงค์การบวชพระจะอยู่ได้ ๖๐ กัปนะ พอครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ท่านก็จุติ คือเคลื่อนจากจุดนั้นแล้วก็เกิดใหม่ซ้ำที่เดิมเลยจนกว่าจะครบ ๖๐ กัป หมดบุญอันนั้นถึงจะต้องไปตามภพภูมิของบุญของบาปที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าอย่างนั้นน่ะได้
                ถ้าจะนับอายุเทวดาจริง  ๆ  ที่ถึงขนาดกัปนี่ส่วนใหญ่จะเป็นอรูปพรหม    โดยเฉพาะเนวะสัญญานาสัญญายตนพรหม คือชั้นที่ ๒๐ เขาเรียกชั้นที่ ๒๐ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ อันนั้นอายุจะแปดหมื่นมหากัป... อยู่กันลืมไปเลย แบบเดียวกับท้าวผกาพรหมท่าน สร้างบุญไว้มาก พอจุติแล้วท่านก็เกิดเป็นพรหมใหม่ จุติแล้วเกิดเป็นพรหมใหม่จนกระทั่งท่านเองสัญญาวิปลาส คือเข้าใจผิดคิดว่าพรหมน่ะสูงสุดไม่มีวันตาย
              ความจริงแล้วก็คือท่านหมดอายุของความเป็นพรหมในช่วงนั้นพอดีจุติใหม่ท่านก็ เป็นพรหมใหม่ อานุภาพบุญมันยังเหลืออยู่มาก ก็ซ้ำที่เดิมไปเรื่อย ๆ จนพระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปแก้ให้ถึงกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ ไม่อย่างนั้นท่านก็ยังเชื่อว่าพรหมสูงสุด


http://grathonbook.net/book/13.8.html

      ถาม :  แล้ว ๑๐๐ ปีทิพย์นี่เที่ยบกับปีมุนษย์ยังไงครับ ?
      ตอบ :  แต่ละชั้นละเอียดประณีตต่างกัน อย่างจาตุมหาราชนี่วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ แล้วก็คูณไปเป็นเดือน เป็นปี ของชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งเท่ากับ ๑๐๐ ปีมนุษย์ ก็ใช้เวลาวัน เดือน ปีคูณไปเหมือนกันนะ ของชั้นยามาก็ ๒๐๐ ปีมนุษย์ ชั้นดุสิต ๔๐๐ ปีมนุษย์ อย่างนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวไปเรื่อย ทำไมมันนานแท้ ...ความจริงแป๊บเดียว มันหนึ่ง ๑๐๐ ปีมนุษย์ใช่ไหม ?
              ส่วนนรกนี้สัญชีพนรกที่ ถือว่าเป็นขุมที่ตื้นที่สุด ๑ วันนี่ ๙ ล้านปีมนุษย์ ที่ทนทุกข์ทรมานก็เลยทำให้รู้สึกว่าระยะเวลามันนาน ตอนเราทุกข์มาก ๆ เวลามันไม่ผ่านไปสักทีใช่ไหม ? แต่ขณะเดียวกัน ตอนที่เรามีความสุข .. แหม...แป๊บเดียวเอง มันก็ลักษณะเดียวกัน ที่ ๆ มีความสุขอายุก็เลยสั้นกว่า ทั้ง ๆ มีความทุกข์รู้สึกว่าอายุมันยาวเหลือเกิน
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/46.html

ถาม:  ..............(คุยเรื่องพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐม)...................
       ตอบพระองค์ที่ ๑๑ ก็คือ พระสมเด็จองค์ปฐมในกายพระสงฆ์ โยมเขาประเภท เจอพระดีที่ไหนก็ยัดใส่มือให้ท่านเสกท่าเดียว ไปเจอพระที่ท่านรู้จริง ท่านรับได้ก็ใส่หัวไปเลย บอกไม่ต้องเสกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า จะเอาใครมีอานุภาพกว่า พระสมเด็จองค์ปฐม ท่านคงหาไม่ได้ พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ จะมีหลักสูตรประเภท ปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ศรัทธาธิกะนี่ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป วิริยาธิกะสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่สมเด็จองค์ปฐม ท่าน ไม่มีแบบอย่างให้ศึกษา หลักสูตรยังไม่กำหนด ท่านต้องค้นคว้าเอง ฟาดเสีย ๔๐ อสงไขย ถ้าอยากรู้ว่าอสงไขยหนึ่งนานแค่ไหน ก็ต้องเริ่มที่อสงไขยปี อสงไขยปีนี้เขาเริ่มต้นตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายไป ๑๔๐ ตัว เป็นตัวเลข ๑๔๑ หลัก นี้แค่อสงไขย 
                พอเป็นต้นกัปที่ อาภัสราพรหมท่านลงอาภัสราพรหม ที่หมดบุญ พอไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก แล้วฝนตก กลิ่นดินมันหอม ท่านจะลงมากินดิน พอกินของหยาบเข้าไปกายหนัก เหาะกลับไม่ได้ คราวนี้รัศมีกายท่านยังมีอยู่ ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ไม่มีอะไรก็กินง้วนดินไปเรื่อย คราวนี้พอกินมากเข้า ความหยาบมันมีมากขึ้น จากกายทิพย์ก็กลายเป็นกายหยาบ รัศมีกายก็หมดไป เมื่อรัศมีกายหมดไปก็ต้องมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการรองรับ
              คราวนี้พืชพรรณธัญญาหารก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ คนก็ปรากฏเพศขึ้น ก็แบ่งเป็นเพศหญิงเพศชาย ก็เริ่มมีลูกหลานไปเรื่อย ๆ คราวนี้คนที่อยู่ต้นกัปนี้ บารมีเขาคือ พรหมลงมาเกิด อายุมันก็เลยมาก อายุจะได้อสงไขยปี คือตั้งตัวเลข ๑ แล้วเขียนเลขศูนย์ไป ๑๔๐ ตัว กลายเป็น ๑๔๑ หลัก คืออายุขัยตอนนั้น
              ตอนนี้พออยู่ไปเรื่อย ๆ กิเลสมันเริ่มเข้า รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มมีทีละน้อย ๆ อายุขัยก็จะลดลง ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยก็จะลดลงปีหนึ่งไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จากอสงไขยปีหนึ่ง ลดลงเหลือจนเหลือ ๑๐ ปี อย่างสมัยของเรานี้เกณฑ์อายุสมัยพุทธกาลจะ ๑๐๐ ปี เป็นประมาณ ผ่านไป ๑๐๐ ปี ลดลงปี คราวนี้ผ่านไป ๒๕๐๐ ปีเศษ ลดลง ๒๕ ปีเศษ ๆ เพราะฉะนั้น คนในช่วงนี้จะเหลืออายุ ๗๔ ปีเศษ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งถึงอายุ ๑๐ ปี จะเป็นจุดต่ำสุด แล้วลองคิดดูว่านานแค่ไหน ๑๐๐ ปี ลดหนึ่ง จากเลข ๑๔๑ ตัวมา มันนานจนประมาณเป็นตัวเลขได้ยาก แล้วพอถึงเวลานั้น มันก็เกิดที่เรียกว่า มิคสัญญี ประเภทที่ว่าพี่น้องก็ฆ่ากันเอง ครอบครัวก็ฆ่ากันเอง เพราะจำหน้ากันไม่ได้ คนที่เกิดสลดใจเพราเริ่มระลึกถึงความดีได้อะไรได้ ก็เริ่มตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาใหม่ คุณความดีที่ทำก็จะส่งให้อายุสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ ๑๐๐ ปี เพิ่มปี เหมือนกัน ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
                จนกระทั่งความดีสูงสุดก็จะส่งผลให้อายุอสงไขยปี เป็นประมาณเท่าเดิม จากอสงไขย ปี ลดลงมาเหลือ ๑๐ แล้วจาก ๑๐ ขึ้นไปจนถึงอสงไขยปีเรียกว่า ๑ รอบอันตรกัป ตามอรรถกถาท่านเปรียบไว้ว่า มีภูเขาหินยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ กว้างยาวสูงด้านละ ๑ โยชน์ คือ ๑๖ กิโล ๑ โยชน์ มี ๔๐๐ เส้น ๑ เส้น ๒๐ วา ก็เท่ากับ ๑ โยชน์ ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร คือ ๑๖ กิโล ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนมาเช็ดทีหนึ่ง ร้อยปีเช็ดทีหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นได้เวลา ๑ รอบอันตรกัป คือจาก ๑๔๐ ตัว ลงมาเหลือ ๑๐ และจาก ๑๐ ขึ้นไป ๑๔๐ อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือภูเขาหินลูกหนึ่ง ร้อยปีปัดทีหนึ่งจนกระทั่งสึกเสมอพื้น คราวนี้ ๖๔ รอบอัตรกัป เท่ากับหนึ่งอสงไขยกัป แล้ว ๔ อสงไขยกัปถึงจะเท่ากับ ๑ มหากัป   
                แล้วลองคิดดูพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป หน้ามืดไหมล่ะ ? มันนานเท่าไร ในรอบอสงไขยกัป จะประกอบด้วย ๔ อสงไขยกัป มันจะมีสังวัฏฏะอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกโดนทำลายเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรหลงเหลือเลย แล้วก็จะเริ่มรอบใหม่เป็นวิวัฏฏะอสงไขยกัป โลกกำลังเริ่มกลับฟื้นคืนขึ้นมาแล้วก็วิวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกเราเจริญเรียบร้อยขึ้นมาแล้ว ประเภท ๑๔๐ ลง ๑๔๐ ขึ้น ๖๔ รอบอัตรกัปเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป เพราะฉะนั้น ๑ อสงไขยกัปจะเท่ากับ ๖๔ อัตรกัป ถ้า ๔ อสงไขยกัปก็เท่ากับ ๒๕๖ อัตรกัปใช่ไหม ? แล้ว ๒๕๖ อัตรกัปเท่ากับ ๑ มหากัป พระพุทธเจ้าท่านต้องสร้างบารมีต่ำสุด ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เครื่องคิดเลขใช้ไม่ได้จ้ะ มัน ๑๔๑ หลัก   
              แต่คราวนี้ว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระบนนิพพานก็ดี หรือว่ามนุษย์ที่ได้อภิญญาสมาบัติระดับที่เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ความที่เรียกว่า ความผ่องใสของจิต ความละเอียดของจิต จะคำนวณตัวเลขนี้ออกมาง่ายมากเลย แต่ของเราจะคำนวณไม่ได้เพราะว่า มันละเอียดเกินไป ฟังแล้วยังอยากเกิดอีกไหม ?
                สุด ๆ นี่หมายเฉพาะที่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อจะ เป็นพระพุทธเจ้านะ จริง ๆ แล้วท่านต้องทำอย่างน้อย ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะว่าจะต้องคิดว่าตัวเองจะเป็นพระพุทธเจ้า คิดอย่างเดียวตลอด ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป แล้วเอ่ยปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนั้นเป็นการคิดของศรัทธาธิกะพระโพธิสัตว์ 
              คราวนี้คิดว่าจะเป็น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าจะเป็น ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้เป็น ดังนั้นคุณเจอไป ๒๐ ถ้าเป็นศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ก็เท่าตัว ๔๐ วิริยาธิกะโพธิสัตว์ เจอไปอีกเท่าหนึ่งก็ ๘๐ หน้ามืด  เขาบอกว่าในจักรวาลอันไพศาล มนุษย์ของเราก็เหมือนกับสะเก็ดฝุ่นเม็ดเดียวเท่านั้นเอง   
              แต่ตราวนี้ส่วนใหญ่แล้วว่า สายตาและปัญญาไม่ได้กว้างไกลขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นความมานะ ถือตัว ถือตน กูดี กูเก่ง กูใหญ่ ตัวกู ของกู ก็เลยแน่นหนาไปหน่อย แต่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะมองได้กว้างไกลขนาดนั้น จะเห็นว่าตัวเราเอง จริง ๆ แล้วเป็นธุลีเดียวของจักรวาลนี้เท่านั้น ท่านบอกว่าใครอยากรู้ว่าตัวเองเล็กแค่ไหนนะ เอาเรือลำเล็ก ๆ ออกไปกลางทะเล ถึงอีตอนที่ไม่เห็นฝั่งแล้วจะรู้เองว่าตัวเองแค่ไหน ...เคยเห็นพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวชไหม ?
       ถาม :  แล้วตรงนี้ ผมเชื่อว่า คนทุกคนเกิดมา มันจะมีส่วนของชาติที่แล้วที่สร้างเอาไว้ เช่นว่า จะต้องประสบกับเหตุการณ์อะไร ที่ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไปในทางว่าเลื่อมใสแล้วเดินทางเข้าสู่หลักศาสนา มันจะมีตัวนั้นเป็นตัว...?
       ตอบมันจะต้องสะสมมาด้วย ถ้าหากว่าไม่มีของเก่าส่งมา ก็อาจจะเข้ามาได้ยาก เข้ามาได้ช้า หรือไม่ก็บางคนถึงมีของเก่าสร้างสมมา แต่ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ ก็อาจจะถูกสิ่งที่ไม่ดีมาคอยขัดขวาง ทำให้เข้ามาได้ช้าเหมือนกัน แต่ว่าท้ายสุดแล้วทั้งหมดก็ต้องไปนิพพานเพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น 
              คนหนึ่งอาจจะ ๒๐-๓๐ อสงไขยกัปข้างหน้า ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจจะไปชาตินี้เลย ท้ายสุดไปนิพพานหมด เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็ว แล้วแต่บุญกรรมที่ตัวเองสร้างสมเอาไว้ พวกเรา ?ว่าที่พระอรหันต์? ทุกคนเลย เพียงแต่ใครจะเลิก ?ว่าที่? เป็นจริง ๆ ซะทีเท่านั้น
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

GOWA

ข้อมูลแน่นจริงๆครับ
เสียคาราวะแล้ว
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

เรียนท่าน Gowa
ธรรมะเป็นของครูบาอาจารย์ครับ
ผมเป็นพวกลักจดลักจำเท่านั้นเองครับ


http://grathonbook.net/book/19.6.html

ถาม :   ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ แล้วนาทีที่กำลังจะตายอารมณ์ทรงตัวมีร่างกายไปนิพพานมันกำลังจะตายอยู่แล้ว ถ้าตายตอนนั้นจะไปนิพพานมั้ยคะ ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าเป็นอารมณ์ของพุทธภูมิจริง ๆ มันจะไม่ตัดอารมณ์ใจของความดีเขาเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้แต่ไม่ได้ตัดนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าคิดว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์จริง ๆ ไปยากเต็มที ถีบไปยังไม่อยากจะไปเลย
       ถาม :    อย่างนี้หมายความว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกจะเอาอารมณ์ตั้งไว้ที่ไหน ถ้าไม่ตั้งขึ้นไปนิพพาน ?
       ตอบ :    ก็ตั้งไว้ที่ดุสิตหรือที่พรหมก็ได้ เพราะว่าที่อยู่ของพระโพธิสัตว์นี่ ถ้าไม่ประจำอยู่ดุสิตก็ไปพรหม จริง ๆ แล้วพระโพธิสัตว์ไม่ใช่ว่าไม่เกาะนิพพาน เกาะได้เต็มที่เลยเแต่เพียงแต่ว่าเกาะขนาดไหน อารมณ์ใจมันก็ไม่ตัดทีเดียว
       ถาม :    ถ้างั้นก็คิด ตอนนั้นคิดไปแบบนั้นถ้าตายตอนนั้นมันก็ไม่นิพพาน ?
       ตอบ :    ยกเว้นว่าเราเองเลิกแล้ว
       ถาม :   แต่มันไม่เลิก ?
       ตอบ :     ไม่เลิกก็เป็นต่อสิ กติกาพระโพธิสัตว์เขาเยอะ ถ้าเกิดเป็นคนหรือสัตว์อัตภาพร่างกายจะไม่โตกว่าช้างและไม่เล็กกว่านกกระจาบ ไดโนเสาร์เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ห้ามลงโลกันตนรก ที่เหลืออีก ๔๕๖ ขุมเชิญลงตามสบาย ห้ามเป็นอรูปพรหม บังคับเลยนะต่อให้เป็นสมาบัติแปดคล่องตัวขนาดไหนก็ตามถึงเวลาอารมณ์ใจมันจะ เลื่ือนลงมามันจะไม่เกาะตัวอรูปฌาน เพราะว่ามันเป็นกติกาบังคับของพระโพธิสัตว์เขา โลกันตนรกไม่มีอายุนี่ กว่าจะได้โผล่ขึ้นมาอีกทีไม่รู้นานเท่าไหร่ มันเสียเวลาสร้างบารมี อรูปพรหมก็เหมือนกัน อรูปพรหมนี่ก็หนึ่งหมื่นมหากัปสองหมื่นมหากัป สี่หมื่นมหากัป แปดหมื่นมหากัป อยู่ไหวมั้ย ? ยิ่งไปเจอขั้นสุดท้าย แปดหมื่นมหากัปนี่อยู่กันลืมไปเลย เห็นเขาว่าหนึ่งมหากัปมี ๖๔ กัป เจริญมั้ย ? ลูบภูเขาสึกไป ๖๔ ลูก
       ถาม :    ด้วยแพรเบาบาง ?
       ตอบ :  ผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีลูบภูเขากว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ร้อยปีลูบครั้งหนึ่ง สึกเสมอพื้นเมื่อไหร่ก็ ๑ กัป ลูบไปได้ ๖๔ ลูก เพิ่งได้ ๑ มหากัป
       ถาม :   แล้วกติกาของพระโพธิสัตว์นี่จะเริ่มตั้งแต่อธิษฐานชาติแรกเลยหรือเปล่า ?
       ตอบ :  ตั้งใจเลยก็เป็นเอาว่าตามนั้นเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วชาติแรก ๆ มักจะลงนรกด้วยความที่ว่ากำลังใจของตัวเองเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้ว ลำบากแค่ไหนก็ยอม เพราะฉะนั้นบางอย่างที่ต้องละเมิดศีลละเมิดธรรมเพื่อความสุขของผู้อื่นเขาก็ ยอมทำก็ลงเท่านั้นเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

pass07

 :-X ข้อมูลท่านแน่น จริงๆ ครับ  ;khhg ;khhg
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

cmman573

อิๆๆ ตามมาขอบคุณสำหรับข้อมูลอีกคนครับท่าน
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

shinpe uhah

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ใครคิดจะทำอะไรก็คิดดีๆนะครับ อิอิอิ แต่ผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นแล้วแต่ความเชื่อเหมือนกันนะครับ เพราะบางคนเสียชีวิตแล้วกลับมาเกิดเป็นลูกของลูกอีกทีก็มี ก็น่าคิดเหมือนกันครับว่าเวลามันจะเร็วหรือช้ากว่าบนโลกมนุษย์เรื่องนี้ไม่มีใครรู้แบบจริงจังแน่นอนครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions