วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!

วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!

เริ่มโดย etatae333, 17 พฤษภาคม 2013, 17:30:33

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!



พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ"มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
ทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะเป็นเชื้อพระวงค์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ
และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์


พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ
หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับ
อย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ
ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณ
ที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ดังนี้...


ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดิน
มากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก
สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
เป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตา


เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทาง
ซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้
ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดินจำนวนเท่าไร?
โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับ
เพื่อฝังทรัพย์สมบัติอันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็
จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่

แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อน
ไปเป็นเชลยจนหมดเมืองเจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทาง
พวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้
จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืม
หรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุดเอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้
เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลานญาติของตน
ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคล
ที่เจ้าของทรัพย์เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้น


พระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง
ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษาอยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้
ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่านจึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯ
ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง



ลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วย
รงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้
ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมาย
เป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่าสูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็น
ผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!


ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง
หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบเห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!


หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ
อักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด
ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!!

พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่น
ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติ
ไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆ
จะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงาน
ในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)
เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตรมีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆ
ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่
โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก


หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา
มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหา
สมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น
เพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!

คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหาย
ลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา
เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน



วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหา
ไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่
เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม
ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือ
เครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุด
พักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้



คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์โดยประทับอยู่วังเลขที่ ๓๒
ซอยสุภางค์ ถนนสุขุมวิท อำเภอพระขโนงกรุงเทพมหานคร พระองค์เจ้าพีระฯตรัสเล่าว่า...

"พอกลับมาคืนวันนั้นตอนดึกประมาณ ๒๔.๐๐ น.ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดิน
ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กันแต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดิน
เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก"


พระองค์เจ้าพีระฯสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงนั้นไปรอบๆบ้าน
โดยที่เสียงประหลาดนั้นยังคงดังอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดังตรงโน้นที เดี๋ยวดังตรงนี้ที ย้ายที่ไปเรื่อยๆ เดินตามไป
ตรงที่เกิดเสียง ก็ย้ายหนีไปขุดดังตรงที่อื่นอีก!หากเป็นคนทั่วไปก็คงจับไข้ห้วโกร๋ไปแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระฯ
ไม่ทรงเชื่อเรื่องผี ท่านจึงเดินตามเสียงประหลาดอย่างไม่หวั่นกลัวอะไร

เมื่อหาสาเหตุไม่พบว่าเสียงที่ได้ยินมีที่มาอย่างไรพระองค์เจ้าพีระฯ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียง
ที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า ตอนเช้าพระองค์เจ้าพีระฯเสด็จไปดูตรงจุดที่
เกิดเสียงประหลาด ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร ไม่มีสิ่งใดสูญหายแม้แต่ดินก้อนเดียว พระองค์ตรัสเล่าว่า


"เขามาอาละวาดเต็มที่ตามมาถึงบ้าน เขาคงมาท้วงเรา เพราะเราไม่ได้ไปแสดงความเคารพหรือขอขมาเขา
เสียก่อนขุด ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องผีจึงไม่ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทั้งที่วันนั้นก็มีคนทักท้วงว่าควรจะทำ"


เรื่องนี้พระองค์เจ้าพีระฯได้ตรัสเล่าให้พระญาติพระวงค์ และพระสหาย ตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหา
ขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎ
ให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง และทุกคนต่างขอร้องให้พระองค์ทรงล้มเลิกการ
ขุดหาขุมทรัพย์ในคราครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่พระองค์และพระสหายไม่ยอมเลิกล้มโครงการ
ตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดต่อไป

วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่า
มีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุม
ให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมายพบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย
วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก วันนี้ได้พระพุทธรูปองค์เล็กๆสององค์ ไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น
ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นมากมาย และหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ว



วันต่อๆมาก็ยังขุดต่อไปอีก กระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.ขณะพระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงวางเครื่อง
ไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมาเป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมา
จากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขน
กระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสอุทานออกมาว่า ...


"ผีนี่นา!"

ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสถามพระชายา และพระสหาย
ทั้งสองว่าเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลีและพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า...

"ฉันเห็นแล้วฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์
ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่
ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป"


พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่า
เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่า
พระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผี
ที่เฝ้าขุมทรัพย์ กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อ

พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทาง
หลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่
พุ่มไม้เช่นเดียวกัน! เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระฯจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด
ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่
พระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้นผู้ใดค้นพบผู้นั้น
ย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่าผีมีจริงวิญญาณมีจริงนั้นเอง

แม้วิญญาณเจ้าของสมบัติหรือปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะมาแสดงตนประหนึ่งห้ามปราม ทว่า พระองค์เจ้าพีระฯ
หาได้สนพระทัยไม่ ยังคงตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดค้นหาต่อไปอีก วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงาน
ได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้
พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น...

แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรง
สุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้
เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุม
ด้วยความกลัวตาย


เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบ
ที่ก้นหลุมอีกแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ นั้นคือ
สัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก และยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่า
ขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!

แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงย่อท้อพระทัย จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ ซึ่งเครื่องได้ชี้จุดห่างออกไป
ประมาณ ๓๐ เมตรแต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่
ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป!

เป็นเวลาสองวันเต็มๆที่ชุดตามล่าหาขุมทรัพย์ ได้พยายามขุดตามมหาสมบัติที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา
ชนิดที่เรียกว่าหวุดหวิดจวนเจียนมันก็หนีไปจากที่เดิมอีก!เป็นที่น่าสังเกตุว่าบริเวณที่ขุมทรัพย์เคลื่อนย้ายหนี
ไปรวมตัว ณ ที่แห่งใหม่นั้น บางครั้งจะมีลักษณะเรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ทรงกลมบ้าง เมื่อขุดตามไป
ก็ได้แต่ดินโกยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่เศษทองให้พบเห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว!




เมื่อพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นชัดเช่นนั้นจึงตรัสสั่งให้หยุดการขุดเอาไว้ก่อน และเริ่มหันมาสนพระทัย
เรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ บังเอิญได้รู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงทางไสย์เวทพุทธาคม
เมื่อท่านรับทราบเรื่องการขุดหาขุมทรัพย์ที่วัดร้างกุฎีดาวว่ามีอาถรรพณ์ลึกลับก็รับว่าจะทำพิธีบวงสรวง
ขออนุญาติขุด เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ท่านนี้ได้ตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่หลังโบสถ์


แล้วท่านก็นำเอาไข่ลมมาเสกให้ดูปรากฎว่าไข่มีสีเขียวบ้างสีแดงบ้าง จากนั้นท่านก็ยืนยันว่า
สถานที่แห่งนี้มีทองคำจำนวนมากฝังอยู่จริงๆ และทำพิธีอยู่ ๓-๔ สัปดาห์ แต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน
การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไปแม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า
วิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...

"เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยาฉันได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟัง
พระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก เป็นยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านสำเร็จได้อภิญญาหลายอย่าง
ท่านก็หลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะที่ฉันเห็นท่านว่าเห็นแล้ว ท่านว่าคนนี้มีจริงๆ
เป็นปีศาจเฝ้าทรัพย์ชื่อ ผาด เป็นอดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง ปีศาจตนนั้นได้บอกกับพระอาจารย์

หลวงพ่อว่า...ฉันไปรบกวนเขาโดยไปขุดทรัพย์แล้วไม่ทำตามแบบแผน เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่
ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของเราอย่างไรก็ตาม เขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว ว่าไม่ให้ทำมาค้าขึ้น
ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในเวลาต่อมาทั้งสามคนที่ร่วมกันขุดก็แย่ฉันก็แย่..."


คำสาปจากวิญญาณผู้เฝ้าขุมทรัพย์ปรากฎเป็นความจริงในเวลาต่อมา นั่นคือธุรกิจที่พระองค์เจ้าพีระฯ
ทรงร่วมกับพระสหายอีกสองคนก็มีอันต้องล้มเลิกกิจการล่มจมลง ต่อมา มร.แฮริสัน ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร!
พระสหายลูกครึ่งก็หายสาปสูญไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้!

ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯในเวลาต่อมาได้ดำเนินธุระกิจอีกหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ การดำเนินงาน
ขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง
โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วย
พระองค์เอง ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป

พระองค์เจ้าพีระฯกับประสบการณ์เผชิญวิญญาณหวงสมบัติที่วัดกุฎีดาวนี้ พระองค์เคยเสด็จไปประทานสัมภาษณ์
ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์
ผู้กำกับการสันติบาลกอง ๕ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และนายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ ๒๕๐๔

ที่นั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงยอมรับต่อที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยว่า แต่เดิมพระองค์
ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเลยแต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ทรงประสบเรื่องวิญญาณลี้ลับ
มาแล้วด้วยพระองค์เอง.

วัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด
รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง "วัดมเหยงค์" นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง
ของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐ แดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต

วัดมเหยงค์แห่งนี้ เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ
เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้น
ในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...




คำว่าปู่โสมนี้ ได้ยินมาบ่อยๆ ที่เรียกว่าปู่นี้คงเพราะมักมาเป็นรูปอย่างคนเฒ่าคนแก่ คงเป็นชายเสียส่วนมาก
จึงได้เรียกว่าปู่ ไม่เคยได้ยินว่ามีย่าโสมที่ไหน ส่วนคำว่าโสมนั้นคงเป็นคำโบราณ แปลว่าอะไรไม่แน่ใจ
โดยรวมปู่โสมก็เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่ามีหน้าที่คอยเฝ้าสมบัติต่างๆที่คนโบราณแอบเอาไว้ตามถ้ำหรือกรุ สมบัติ
ที่จริงเรื่องปู่โสมนี้เป็นเรื่องที่ดูยังคาบเกี่ยวกับวิชามาร ยาศาตร์(ฝังอาถรรพ์)อยู่มากในที่นี้เป็นการกล่าวถึง
แต่คติเรื่องผีจึงขอคัด เอาแต่คติที่ดูจะเกี่ยวกับผีๆสางๆสักหน่อย


การอุบัติของปู่โสมนี้อาจ แยกเป็นสองอย่างหลักคือ เกิดจากอำนาจทางมารยาศาสตร์ ผูกขึ้นมาให้เป็นตัวตน
คงคล้ายๆกับการผูกหุ่นพยน กับอีกอย่างหนึ่งคือเกิดจากคนตายคือผีตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งอย่างหลังนี้
ดูจะเกี่ยวกับปู่โสมที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่หน่อย ปู่โสมที่เกิดจากอำนาจคนตายนี้ ก็ยังแยกออกเป็นแบบอีกคือ
เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกับเขาทำให้เกิด


อย่างแรกที่ว่าเกิดกันตาม ธรรมชาตินี้คือเกิดจากคนที่เป็นจ้าวสมบัติเมื่อตาย ลงจิตยังคงหลงยึดมั่นในสมบัตินั้น
เลยทำให้ไม่ได้ไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ เรื่องอย่างนี้ได้ยินกันบ่อยไป เช่นเคยได้ยินว่ามีนักเล่นของเก่า
ไปหาซื้อเตียงโบราณมาพอจะเอาเตียงมานอน เข้าจริงๆก็โดนเจ้าของเตียง(ผี)มาเล่นงานตั้งแต่คืนแรก
อย่างนี้คงเป็นเพราะวิญญาณยังคงหวงเตียงนั้นอยู่เลยไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ฟังดูอาจตลกดีแค่เตียงเก่าๆ
ยังหวงอะไรหนักหนา แต่มาคิดดูเรื่องการหวงข้าวของนี้เป็นอัตตาที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เช่น ของของเราๆก็ไม่อยากให้
ใครมาแอบใช้ คนรักของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ แต่อย่างนี้ยังดูไกลจากผีปู่โสมของเราอยู่สักหน่อย


การเกิดผีปู่โสม อีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นการกระทำให้เกิดคือเจ้าตัวก็ไม่ได้ อยากเกิดเป็นผีปู่โสมแต่มีใครบางคน
ทำให้เป็น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้เองจึงเป็นผีปู่โสมเฝ้าสมบัติของแท้ เรื่องเอาคนมาฆ่าแล้ว
ตรึงวิญาณให้เฝ้าสมบัตินี้มักได้ยินบ่อยๆ เป็นความเชื่อของลัทธิมารยาศาสตร์

credit :: wunjun.com / นิตยสารภูตผีวิญญาณ ฉบับที่ ๕ พ.ศ ๒๕๔๕
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

theowwb

ขอบคณมากครับบ สนุกดี ผมก็เปนคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกันครับ  .,mn .,mn
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

OsamaB

ขอบคุณครับ ผมสังเกตเวลาไปเที่ยวตามถ้ำต่าง ๆ จะมีฤาษีแล้วก็เหมือนมีของฤาษี ไม่รู้ว่าแนว ๆ เดียวกันรึเปล่า แต่ดูน่ากลัวพิลึก
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions