Norse Mythology: Episode 3 – วงศ์วารแห่งเทพ

Norse Mythology: Episode 3 – วงศ์วารแห่งเทพ

เริ่มโดย etatae333, 20 ธันวาคม 2013, 14:12:32

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

Norse Mythology: Episode 3 – วงศ์วารแห่งเทพ



สงครามของเทพทั้งสองวงศ์

ในบทที่แล้วผมได้เล่าเรื่องของวงศ์อีเซอร์เอาไว้มากทีเดียวครับ ทว่าชาวเหนือไม่ได้มีเทพวงศ์อีเซอร์แค่วงศ์เดียว ยังมีอีกวงศ์หนึ่งเรียกว่า วาเนอร์ (Vanir)
เทพทั้งสองวงศ์ต่างกันตรงที่วงศ์แรกเป็นเทพหลัก มีบทบาทมากหน่อยนั่นแหละ ส่วนวงศ์หลังเป็นเทพประจำธรรมชาติ ลมฟ้าอากาศหรือท้องทะเล
ถึงจะเก่ากว่า มีอายุมากกว่า แต่ก็ไม่ค่อยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิเลสมากนัก ท่านก็อยู่ของท่านตามปกติในอาณาเขตวานาเฮม (Vanaheim, Vanaheimr)
ไกลออกไปจากแอสการ์ด จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ทั้งสองวงศ์ต้องรบกัน

ตัวต้นเหตุนั้นก็คือนางแม่มดขมังเวทย์ชื่อ กัลเวก (Gullveig) นางแม่มดคนนี้ชอบขึ้นไปเที่ยวที่แอสการ์ด อาจเป็นเพราะนางเป็นคนมีเวทย์มนต์พอๆ
กับเทพ บรรดาสมาชิกแอสการ์ดทั้งหลายเลยไม่ค่อยอยากยุ่งกับนางเท่าไหร่ คงปล่อยให้เจ้าหล่อนเดินเพ่นพ่านและพล่ามขอทองคำ-แร่อัญมณี
ที่นางชอบเหลือหลายไปตามประสา เรื่องที่กัลเวกพูดเพ้อเจ้อนี้เป็นเรื่องความโลภที่ชาวแอสการ์ดขยะแขยงสิ้นดี ต่างคนต่างเดินหนี แต่การหนีๆ
ไปนานวันเข้าความอดทนก็ขาดผึง วันที่เกิดเรื่องนางกัลเวกก็พูดถึงความอยากได้ทองของนางอีก คราวนี้เป็นความอยากชนิดเข้าขั้นวิกฤต
เทพทั้งห้องชุมนุมต่างพร้อมใจกันลุกขึ้น แล้วรุมทำร้ายนางแม่มดจนตายเอาศพโยนขึ้นไปบนกองไฟที่ก่อขึ้นกลางห้องโถงแกลดเฮมนั่นเอง




แต่พลังเวทย์ของกัลเวกมีมากเกินกว่าที่เทพจะนึกออก ปรากฏว่าร่างนางแม่มดที่มอดไหม้ไปแล้ว กลับก่อร่างใหม่ขึ้นและก้าวลงมาหาบรรดาเทพ
นางเยาะเย้ยถากถาง เทพก็อดรนทนไม่ไหว ฆ่านางแล้วเอาศพโยนขึ้นบนกองไฟ เป็นเช่นนี้วนไปวนมาถึงสามครั้ง หนสุดท้ายเมื่อรู้ว่าทำอะไร
นางแม่มดไม่ได้ พวกเทพเลยเลิกยุ่งกับนางโดยเด็ดขาด แต่เริ่มเรียกนางว่า เฮด (Heid) "ผู้ลุกโชน" เฮดกลายเป็นเทพีแห่งมนต์ดำของปีศาจ
แพร่ความน่าขยะแขยงไปทั่วจักรวาล


การกระทำของเทพอีเซอร์ต่อนางแม่มดกัลเวกรู้ไปถึงหูเทพวงศ์วาเนอร์ สิ่งที่ทำให้เทพพวกนี้ทนไม่ไหว คือการที่อีเซอร์มีส่วนสร้างเทพีแห่งความดำมืด
ตนใหม่ขึ้นจนเป็นที่เดือดร้อนของคนทั่วไป พวกวาเนอร์ขุ่นเคืองถึงขั้นประกาศสงครามกันเลยทีเดียว

และแล้วสงครามระหว่างเทพทั้งสองวงศ์ก็เริ่มขึ้น เป็นสงครามที่กินเวลาเนิ่นนานแทบไม่จบสิ้น แม้เทพอีเซอร์จะหาทางทุบกำแพงอาณาจักรวานาเฮม
ของวาเนอร์ลงได้ แต่พวกวาเนอร์ก็สามารถร่ายมนต์พังกำแพงแอสการ์ดได้เช่นกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบซึ่งกันและกัน
ต่างคนต่างก็ตระหนักว่างานนี้ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงต่างฝ่ายจึงตกลงกันว่าน่าจะการเซ็นสัญญาสงบศึกกันได้แล้ว

ในที่สุดก็มีการตกลงกันว่า ทั้งเทพอีเซอร์และเทพวาเนอร์น่าจะอยู่ในความสงบสันติกันได้แล้ว แต่เพื่อให้เกิดความมั่นคงแน่นอนในข้อสัญญาดังกล่าว
จึงต้องมีการแลกตัวเทพกันหน่อย (เหมือนแลกตัวประกันเลยวุ้ย) โดยจะให้เทพที่มีความสำคัญของแต่ละข้างไปอยู่ในที่ของอีกฝ่าย พวกอีเซอร์
ส่งวิลีและไมเมอร์ไปอยู่ที่วานาเฮม วิลีเป็นเทพที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นผู้ที่เกิดมาเป็นผู้นำ มีความแข็งแกร่งทั้งในด้านความคิดและการกระทำ
ส่วนไมเมอร์อารักษ์บ่อน้ำแห่งปัญญาก็เป็นสัญญลักษณ์ของความฉลาดเช่นเดียวกับบ่อน้ำที่เขาทำหน้าที่รักษาอยู่


(เรื่องต่อมาของไมเมอร์ค่อนข้างน่าสงสารครับท่านผู้อ่าน จะด้วยความเข้าใจผิดของเทพวาเนอร์ว่าโดนหลอกเอาไมเมอร์-เทพที่ไม่มีความสำคัญ
มาให้หรืออย่างไรก็ไม่รู้ครับ แต่ปรากฏว่าเทพวาเนอร์โกรธกันมากถึงขนาดตัดหัวไมเมอร์ส่งกลับคืนมาที่แอส การ์ด ทำให้โอดินเสียใจมาก
เขาถึงขนาดหาสมุนไพรมาทารอยถูกตัดและตลอดทั้งหัวเพื่อไม่ให้เน่า ร่ายมนต์คืนความสามารถในการพูดให้แก่หัวไมเมอร์ แล้วนำไปวางไว้
ที่บ่อน้ำใต้รากต้นไม้แห่งจักรวาลซึ่งเคยรักษามาแต่เดิม เพื่อความรู้ของไมเมอร์จะได้ไม่สูญหาย ใครมาถามอะไร หัวไมเมอร์ก็ยังตอบปัญหาได้)



ข้างฝ่ายวาเนอร์ก็ส่ง นจอร์ดเทพแห่งฤดูร้อนกับลูกทั้งสอง คือเฟรย์ (Frey) เทพแห่งแสงอาทิตย์ฉายและฤดูใบไม้ผลิ กับเฟรยา (Freya, Freyr)
น้องสาวของเฟรย์ องค์นี้เป็นเทพแห่งความงามและความรัก (ตอนหลังกลายเป็นราชินีแห่งวัลคีรี ทูตสตรีผู้เลือกสรรวิญญาณนักรบ) แล้วยังมี
ที่แถมมาอีกหนึ่งคือควาเซอร์ (Kvasir) องค์นี้เป็นเทพแถมครับท่านผู้อ่าน เพราะว่าไม่ได้เป็นเทพวงศ์ใดโดยเฉพาะ เป็นเทพกลาง เกิดจากน้ำลาย
ของเทพทั้งฝ่ายถ่มใส่โถ เป็นเครื่องหมายการยุติศึกทั้งสองฝ่าย ผสมผเสกลายเป็นควาเซอร์
(องค์นี้เป็นเทพที่มีความรู้มากอีกองค์หนึ่ง ซึ่งก็อาจเป็นเพราะน้ำลายของเทพทั้งสองฝ่ายมีการเก็บกักส่วนดีๆ เอาไว้ พอผสมกันเลยได้เทพพันธุ์ดี
แต่ชะตาของควาเซอร์ค่อนข้างน่าสงสารครับ แต่จะยังไงหาอ่านต่อในบทของคนแคระ)



สร้างกำแพงสวรรค์ใหม่อีกหน




หลังสงครามระหว่างเทพด้วยกันเสร็จสิ้นลง ต่างฝ่ายต่างต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสถานที่ของตนกันเป็นพัลวันซึ่งก็ใช้เวลาไม่น้อยทีเดียวครับ
พวกวาเนอร์ดูเหมือนจะไม่ค่อยเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ ต่างจากพวกแอสการ์ดที่กลัวมากกว่า กำแพงอันพังทลายของพวกเขานี่ละจะเป็นช่องทาง
ให้ยักษ์น้ำแข็งเข้ามาโจมตีอย่างง่ายดาย การซ่อมกำแพงจึงดำเนินไปอย่างเร่งร้อน ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นงานโหดหินสำหรับเทพอยู่ดี


วันหนึ่ง เฮมดาล-เทพสังเกตการณ์ของแอสการ์ดได้เข้ามาบอกโอดินว่า มียักษ์แปลกหน้าตนหนึ่งจะขอพบเทพอีเซอร์ ถึงแม้จะฉงนใจบ้าง
แต่โอดินก็ยอมตามแขกแปลกหน้าขอ เรียกประชุมทวยเทพในห้องแกลดเฮมทันที


แขกแปลกหน้าของเฮมดาล เดินอาดๆ เข้ามาในห้อง แล้วประกาศว่าเขาอาสาจะก่อกำแพงแอสการ์ดเองคนเดียว โดยมีข้อแลกเปลี่ยน
ที่ชาวแอสการ์ดให้เขาได้ เทพต่างคนต่างมองหน้ากันและต่างคนต่างรู้สึกว่าค่าจ้างที่ช่างก่อหินเสนอจะต้องแพงแสนแพงแน่ๆ การเสนอ
ที่ก่อกำแพงหินคนเดียวในเวลา 18 เดือนเป็นงานที่เกินกว่าคำว่าสำเร็จไปไกล หากทำได้เจ้าคนแปลกหน้าคนนี้ต้องเป็นคนที่พิเศษอย่างยิ่ง
และก็เป็นจริงตามที่เทพคิด เมื่อช่างก่อหินคนนั้นขอแลกกำแพงกับเทพีเฟรยา-เทพีแห่งความรักและขอครอบครองดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์

ทวยเทพได้ยินข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าวก็แทบจะดีดเจ้าคนแปลกหน้าออกจากสวรรค์ไปในนาทีนั้นละครับท่านผู้อ่าน ค่าที่มันเปรียบเทียบ
ราคากันไม่ได้เลย แต่โลกินั่นซิครับ โลกิสีสันอันฉ้อฉลแห่งสวรรค์คนนั้นละที่ยับยั้งเอาไว้ แล้วว่าควรไตร่ตรองข้อเสนอให้รอบคอบเสียก่อน
ช่างแปลกหน้าถูกเชิญออกจากห้องเพื่อให้เทพคุยกันอย่างเปิดอก เปรียบเทียบผลได้ผลเสีย

ก็โลกิอีกนั่นแหละครับที่กระซิบกระซาบบรรดาเทพว่าเขามีแผน ก็คือให้ต่อรองเวลาเหลือหกเดือน เวลาสั้นมากซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่งานจะเสร็จ
โลกิว่าเมื่อถึงหกเดือน กำแพงจะเสร็จประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น เทพไม่ต้องจ่ายอะไรเป็นค่าจ้าง ส่วนงานที่เหลือเทพทำต่อได้ แผนของโลกิทำเอา
เทพอึกอักไปตามๆ กัน ดูมันไม่ค่อยจะใช่วิธีของเทพเขาทำกันเท่าไหร่ แต่เอาละเมื่อเจ้าคนไม่เจียมตัวอาจหาญขอเทพีไปเป็นเมีย ก็ต้องลิ้มรส
ความผิดหวังดูเสียบ้างเป็นไร คิดได้ดังนั้นเทพก็เรียกช่างเข้ามา แล้วต่อรองเวลา




น่าประหลาดใจที่เขาตกลงทันที แต่มีเงื่อนไขขอใช้ม้าสวาดิฟารี (Svadifari, Svaðilfari) โอดินปฏิเสธ โลกิอีกนั่นแหละครับที่กล่อมให้
จอมเทพยอมความ ช่างก่อหินแปลกหน้าจึงได้ม้าวิเศษไว้ใช้ ช่างก่อหินเริ่มงานในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ทว่าสิ่งที่ทำให้ทวยเทพแปลกใจมากกว่านั้น
ก็คือกำลังของม้าสวาดิฟารี ซึ่งมีมากเกินกว่าที่ใครจะนึกออก ไม่ว่าช่างก่อหินจะเทียมหินมากมายขนาดไหนให้มันลาก มันก็สามารถลากมาได้
ข้างฝ่ายช่างก่อหินก็เร็วพอกันไม่ว่าหินที่ม้าลากมาได้จะต่อเนื่องรวดเร็วปานไหน เขาก็สามารถใช้สิ่วสลักให้เข้ารูปแล้วผลักเข้าไปตามแนวกำแพง
ที่พังลงได้ทันกัน งานที่เทพคิดว่ายังไงก็ไม่เสร็จพอจวนเจียนจะครบหกเดือน มันก็เหลือแค่ช่วงประตูเท่านั้น ถึงตาเทพเป็นทุกข์แล้วละครับ
ต่างคนต่างร้อนๆ หนาวๆ จนไม่เป็นอันทำอะไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรยา เทพีที่ถูกกำหนดให้เป็นรางวัลนั่นแหละ เหตุการณ์คงปล่อยไว้ช้าไม่ได้
โอดินจึงต้องเรียกประชุมเทพเป็นการด่วนอีก

มติในที่ประชุมเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อแผนของโลกิทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในห้วงหายนะ โลกิก็เป็นคนที่จะต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยตรง
ดวงตาของเทพทุกดวงจ้องเขม็งมาที่โลกิ แต่เขากลับไม่สะดุ้งสะเทือน เพียงแค่นิ่งเงียบไปอึดใจเดียวเขาก็คิดแผน (อีกแล้ว) แก้ลำออก
คืนนั้นโลกิแปลงกายเป็นม้าสาว ไปยืนอยู่แถวหน้าคอกม้าสวาดิฟารี เจ้าม้าหนุ่มเห็นสาวมายืนรอท่าแถมยังส่งเสียงร้องแนวเชิญชวน
มันลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าภาระหน้าที่หรือนายวิ่งแหกคอกไปหานางม้าแปลงแล้วทั้งคู่ก็หายไปในแนวป่าตั้งแต่นั้น

ช่างก่อหินแปลกหน้าตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า ม้าวิเศษหายไป เขาต้องทำงานต่อด้วยกำลังของเขาเอง แต่การที่จะต้องขนหินเอง
และต้องใช้แรงสลักให้เข้ารูปเอง ทำให้ไม่สามารถจัดการกำแพงเสร็จตามเวลากำหนด ช่างก่อหินนึกออกว่าเทพคงเล่นตลกเข้าให้แล้ว
เขาแล่นเข้าไปในท้องพระโรงแกลดสเฮมทันที จะด้วยความโกรธที่ความหวังจะได้เทพีเฟรยาเป็นอันต้องล่มหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ
แต่เสียงของเขาที่ต่อว่าต่อขานเทพเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งความโกรธทวีมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมร่างแปลงของตนให้เหมือนเดิม
ในที่สุดความก็แตก ช่างก่อหินแปลกหน้าที่แท้คือยักษ์หินที่ชาวสวรรค์ไม่ชอบขี้หน้า โอดินเรียกธอร์ผู้เป็นลูกและเป็นเทพแห่งสายฟ้าเข้ามา
เทพองค์หลังจัดการกับยักษ์หินด้วยการใช้ค้อนมจอร์ลเนอร์ (Mjorlnir, Mjǫllnir, Mjölner, Mjöllnir) ทุบแค่ครั้งเดียว



และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปนับเดือน เทพอีเซอร์ช่วยกันสร้างกำแพงที่เหลือค้างจนเสร็จ แต่ตั้งแต่ม้าสวาดิฟารีหายไป จนยักษ์หินตายกระทั่งกำแพงเสร็จ
กลับไม่มีใครได้ข่าวโลกิไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร


กระทั่งวันหนึ่งข่าวที่เทพรอคอยก็มาถึง โลกิเดินโผเผขึ้นมาตามสะพานรุ้งน้ำแข็งจูงลูกม้าแปดขาตัวหนึ่งมาด้วย ท่ามกลางความสงสัยของเทพโลกิเล่าว่า
เขาแปลงเป็นม้าตัวเมียไปหลอกล่อสวาดิฟารีจนมันตามไป แต่ด้วยความดุและเร็วของมันเขาไม่สามารถหนีการผสมพันธุ์ของม้าวิเศษพ้น
ม้าแปลงโลกิจำเป็นต้องยอมและเพื่อหลอกล่อให้สวาดิฟารีอยู่กับตนนานที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือเขาซึ่งอยู่ในร่างม้าแปลงเกิดตั้งท้องเพราะการผสมครั้งนี้
ผลพวงก็คือเจ้าม้าแปดขาตัวที่เห็น

scary



ท้องพระโรงเงียบกริบ ทั้งขำทั้งสงสาร แต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรตอกย้ำ โลกิยื่นเชือกผูกม้าให้แก่โอดินทำนองยกให้ ลูกม้าตัวนี้ได้ชื่อว่า สไลป์เนอร์ (Sleipnir)
มันกลายเป็นม้าประจำตัวของโอดินที่เร็วที่สุดในเก้าโลก ตั้งแต่นั้นมาสวรรค์ของแอสการ์ดก็สมบูรณ์และปลอดภัยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง




credit : ต้นข้าว @dek-d.com
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่