ชิมหวานอันตรายสไปเลนด์spilendช่วยได้

ชิมหวานอันตรายสไปเลนด์spilendช่วยได้

เริ่มโดย wat26asta, 12 สิงหาคม 2015, 12:38:40

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

wat26asta

ธรรมชาติของมนุษย์เราชอบกินหวาน แต่การกินรสชาติหวานที่มากเกินไปและอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้ติดหวานได้ แม้จริงๆ แล้วน้ำตาลไม่ใช่สารเสพติด แต่การวิจัยก็พบว่า สมองของคนที่กินหวานจนชิน จะมีการตอบสนองต่อน้ำตาลด้วยการหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา ทำให้เกิดความพึงพอใจและความอยากกินหวาน เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะการพึ่งพาน้ำตาล (sugar dependency) หรืออาจเรียกว่าเป็นการ "ติดรสหวาน" นั่นเอง การติดรสหวาน เมื่อถึงขั้นติดแล้ว ก็ยากที่จะเลิกหรือลดการกินหวานลง สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินหวานทำให้ติดหวาน และเมื่อติดหวานแล้วก็ยิ่งกินหวานมากขึ้น อันเป็นวังวนที่ไม่แตกต่างจากการเสพติดชนิดหนึ่ง ถ้ากินหวานมากขึ้นเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ฟันผุ และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาต และโรคหัวใจขาดเลือด
   "หวานมาจากไหน" หวานมาจากน้ำตาล ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานจะพบน้ำตาลได้จากเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เป็นต้น ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นต้น
   กลุ่มผลไม้รสหวานจัด เช่น ลำไย องุ่นสับปะรด มะม่วงสุก เป็นต้น รวมถึงผลไม้เชื่อม แช่อิ่มและผลไม้แห้ง เช่น กล้วยตากอินทผลัม ลูกเกด เป็นต้น นอกจากนี้ในกลุ่มข้าว แป้ง และผักก็มีน้ำตาลด้วยเช่นกัน
   จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 พบวัยทำงานอายุระหว่าง 25-59 ปี ดื่มน้ำอัดลม และดื่มน้ำหวาน ร้อยละ 31 เช่นเดียวกันเครื่องดื่มยอดนิยมของเด็กและวัยรุ่นคือน้ำอัดลม จะเห็นได้ว่าอัตราการบริโภคน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก 12.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ใน พ.ศ.2526 เป็น 36.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ใน พ.ศ. 2550 หรือเฉลี่ยวันละ 25 ช้อนชาต่อคน ซึ่งราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อคนต่อวัน สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ได้วิเคราะห์ปริมาณน้ำตาลในกาแฟเย็นยอดนิยมต่างๆ พบว่า คาปูชิโน่ มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 8 ช้อนชามอคค่า มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 6 ช้อนชา และลาเต้ มีความหวานเท่ากับน้ำตาลประมาณ 6.5 ช้อนชา นอกจากนี้เครื่องดื่มประเภทชาเขียวและน้ำอัดลมมีความหวานประมาณ 8-15 ช้อนชา
   "ภัยเงียบที่มากับความหวาน"
    การกินอาหารรสหวานมากเป็นประจำ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไปโดยเฉพาะกรดอะมิโนทริปโตฟานถูกเร่งไปสู่สมองมากเกินไป จึงทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อยง่าย ไม่กระฉับกระเฉง ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้ติดเชื้อง่าย และผลของการเผาผลาญน้ำตาลจะเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ ถ้าเด็กกินอาหารหวานมากไป จะทำให้อิ่มและทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
   นอกจากนี้อาจทำให้เกิดฟันผุและเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาตและโรคหัวใจขาดเลือด ยังทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา ตลอดจนเสียโอกาสสร้างรายได้และการดำรงคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยโรคดังกล่าวสูงขึ้นทุกปี ค่าพยาบาลรวมกันกว่าแสนล้านบาทต่อปี
   ถ้าติดรสหวานเลี่ยงไม่กินน้ำตาล แต่มากินสารที่ให้ความหวานแทน ซึ่ง 1 กรัม ให้พลังงาน 1.5 - 3 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี ฉะนั้นขอให้พึงระวังว่าเราจะติดรสหวานแบบไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเรายังไม่สามารถลดความหวานได้เลย เพราะสารเหล่านี้จะไปช่วยเพิ่มความอยากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งลดปริมาณโครเมียมที่ร่างกายเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการดูดซึมน้ำตาลสู่กระแสเลือดอีกด้วย
   "ลดหวาน ลดโรค" ลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคอ้วน ด้วยการดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มรสหวาน กินผลไม้รสไม่หวานจัดเป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน หรือเลือกขนมไทยรสอ่อนหวาน หรือขนมกรุบกรอบลดน้ำตาล ไขมัน โซเดียม 25 %
   ลดการเติมน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่ม อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งให้สังเกตเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ฉลากระบุว่าน้ำตาลต่ำ หรือน้ำตาลน้อย จำกัดการกินผลไม้รสหวาน และลดการดื่มน้ำผลไม้ทุกชนิด ลดขนาดและปริมาณการกินขนมที่รสหวานหรือแบ่งเก็บไว้กรณีที่กินได้หลายครั้ง
   ที่สำคัญพึงระมัดระวังการกินอาหารประเภทปราศจากไขมัน มักมีความเชื่อผิดๆ ว่าอาหารที่ปราศจากไขมันจะไม่ทำให้คุณอ้วน แต่จริงๆ แล้ว คำว่าปราศจากไขมันหรือไขมัน 0% ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลอรี นอกจากนั้น อาหารปราศจากไขมันยังอุดมไปด้วยน้ำตาลอีกต่างหาก
   การรวมความหวานให้กับชีวิต อาจทำให้สุขภาพจิตสดชื่นแจ่มใส แต่การเติม "น้ำตาล" ในอาหาร การกินผลไม้ที่มีรสหวานจัด รวมถึงการเติมน้ำตาลยิ่งมากยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ลองบอกตัวเองหันมาใช้คำว่า "อ่อนหวานดีกว่า" ในทุกมื้ออาหารจะดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้อ้วน ฟันไม่ผุ ไม่เสี่ยงต่อโรคร้าย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัมพาต และโรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ
   ปรับกิริยาท่าทางในการกินเพื่อลดอาหารรสหวานจัด โดยให้ทำตามข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย เรียกง่ายๆ ว่า โภชนบัญญัติ 9 ข้อ กินอาหารตามธงโภชนาการ และหมั่นบริหารร่างกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที
   เพื่อคุณลักษณะชีวิตที่ดีของทุกคนลดน้ำตาล 1 ช้อนชา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ "ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เติมเต็มผัก ผลไม้ หมั่นออกกำลัง ลดอ้วน ลดโรค
 ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
สไปเลนด์ spilend เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมุนไพร 
สไปเลนด์ spilend สามารถทานได้โดยไม่มีอาการข้างเคียง ไม่โทรม ไม่โยโย่ เรามาดูคุณสมบัติของ
สไปเลนด์ spilend กันคะ
สไป-เลนด์ (Spilend )
คุณสมบัติ :
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยเพิ่มการเผาไขมัน
– สไปเลนด์ Spilend ยับยั้งการดูดซึมไขมันและน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด
– สไปเลนด์ Spilend ลดความอยากอาหาร
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยการขับถ่ายและขับสารพิษออกจากร่างกาย
– สไปเลนด์ กระชับสัดส่วนต่างๆ
– สไปเลนด์ Spilend ลด cholesterol และ triglyceride
– สไปเลนด์ Spilend ช่วยให้หุ่นดูเพรียวกระชับ
– สไปเลนด์ Spilend หน้าท้อง เอว ต้นแขน และขาเล็กลงอย่างเห็นชัด
– สไปเลนด์ Spilend ไม่อึดอัด รู้สึกสบายตัว
สไปเลนด์ Spilend เพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ ฯลฯ
เลขทะเบียน อย. : 10 – 1 – 13155 – 3001
ขนาดบรรจุ 60 แคปซูล
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions