ออมสินออกซอฟท์โลนให้กู้ 3 หมื่น ล.

[xcepter2016]

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนจัดหาตลาดเพื่อเป็นช่องทางจำหน่าย 
        
ล่าสุดทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) วงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการปล่อยสินเชื่อให้ทั่วถึง โดยเฉพาะไม่ให้รีไฟแนนซ์หนี้เดิม
       
สำหรับสาระสำคัญของโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) ให้แก่ผู้ประกอบกิจการเอสเอ็มอี SMEs ใช้ในการลงทุน หรือการต่อเติมเปลี่ยนแปลงขยายหรือทำให้ดีขึ้น ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม และต้องเป็นทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรืออาคารถาวร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของเครื่องจักร แต่ไม่รวมถึงที่ดินและอาคารที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศ ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน 
        
นายชาติชาย กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ออมสินได้ทำสินเชื่อซอฟท์โลนออกมาแล้ว 2 ระยะ โดยระยะแรกวงเงิน 1 แสนล้านบาท ระยะที่ 2 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท กระจายสินเชื่อได้ 2 หมื่นราย เมื่อรวมระยะที่ 3 รวมเป็นวงเงินซอฟท์โลน 1.8 แสนล้านบาท
        
ทั้งนี้ระยะเวลากู้ 7 ปี ดอกเบี้ย 4% ต่อปี และมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยประมาณ 1 ปี ในระยะที่ 3 วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อให้เวลาในการสร้างโรงงาน โดยปล่อยกู้ผ่านสถาบันการเงินทั้งหมด 18 แห่ง ในอัตราดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ประมาณ 2,000 ราย
        
"เอสเอ็มอีที่สนใจสามารถขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 31 ธ.ค.59 หรือจนกว่าวงเงินจะถูกจัดสรรหมดแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยหลังจากอนุมัติเงินกู้มีระยะเวลาเบิกเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.59-วันที่ 30 มิ.ย.60 เพื่อให้เวลาในการก่อสร้างโรงงาน ซึ่งการพิจารณาสินเชื่อนั้นจะใช้ลักษณะใครยื่นมาก่อนได้สิทธิ์ก่อน โดยการดำเนินการตรงนี้ถือเป็นซอฟท์โลนสำหรับเอสเอ็มอีระยะที่ 3 ก่อนหน้านี้มีซอฟท์โลนช่วยเอสเอ็มอีไปแล้วรวม 150,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยเอสเอ็มอีได้กว่า 30,000 ราย"