ความหมายของสมุนไพรโกษฐ

ความหมายของสมุนไพรโกษฐ

เริ่มโดย Tawatchai1212, 14 พฤศจิกายน 2017, 09:08:06

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Tawatchai1212


สมุนไพรพิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย ตำราโบราณเขียนชื่อพิกัดยาพวกนี้ไม่เหมือนกันออกไปหลายแบบ ในแผ่นจารึกหนังสือเรียนที่วัดราชลูกชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แม้กระนั้นครั้งพระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระผู้เป็นเจ้าลูกยาคุณ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ได้โปรดเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมแซมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ ถวายเป็นพระราชบุญกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งผอง อาทิเช่น (พิมพ์ตาอักขระที่ปรากฏในศิลาจารึก) ถ้าหากบุทคลคนไหนจับไข้เพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานก็ดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงไม่ได้ ให้ระลอตเตอรี่ไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังมิได้  ถ้าหากจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน ดอกจัน แขนวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี หญ้าแห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด สักขี ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเช็ด พิมเสน เอาเท่าเทียมทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลก็ได้ น้ำแรมคืนก็ได้ รับประทานแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งปวง ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลบำรุงกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนแผ่นจารึกตำราเรียนที่วัดพระเชตุๆพนบริสุทธิ์มังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงซ่อมปฏิสังขรณ์ใหญ่เมื่อปี พุทธศักราช ๒๓๗๕ และก็คณะอาจารย์สถานที่เรียนหมอแผนโบราณได้เก็บพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕  ในหนังสือเรียนยาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในพักนี้เป็น โกฐ ทั้งปวง ดังเช่นว่าแผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ เกี่ยวกับลักษณะสันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะมีขึ้นแก่บุคคลใดก็ดี ก็ทำให้ลงดุจรับประทานยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิบเคลิ้มไปพบสติไม่ได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคของกินไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นอันมาก ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจไม่ได้ขาด ถ้าหากเเลลักษณะเป็นดังที่กล่าวมาข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมอทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลจู๋ม จันทน์ ๒ โกญสอ โกฐเขมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กา ๒ ใบสันพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทแขนก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมกันต้มตามแนวทางให้รับประทาน แก้สันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวอีกนัยหนึ่งดีรั่วนั้นหายวิเศษนักฯสำหรับ หนังสือหมอแผนไทยแผนโบราณ ซึ่งรวบรวมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำเลื่องลือแพร่) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมดทั้งปวง อาทิเช่นยาแก้คอแห้งในคู่มือเล่ม ๓ ในเวลาที่กล่าวถึงเสมหะทุพพลภาพรวมทั้งยาแก้ ดังต่อไปนี้ ยาแก้คอแห้ง แก้เสมหะเหนียว แก้อ้วก เอาโกฏอีกทั้ง ๕ เทียน ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ พรมไม่ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อ้วกละลายน้ำลูกยอต้มรับประทาน
                     
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณที่นา – หนังสือเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจกว้างขวาง ตามตำราของพระยาประเสริฐศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นบิดา บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งสิ้น ดังเช่นว่า ยาเทพนิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ ถ้าจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ สักขี ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นประพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมสมุทร ๑๖ ส่วน เบ็ญจฉันล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาหญ้าแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำเนื้อไม้ต้มแทรกพิมเสนให้รับประทาน แก้เลือดธรรมดาโทษอันเกิดขึ้นแม้กระนั้นกระดูกนั้นหายดีเลิศนักแล
จึงมองเห็นได้ว่าแบบเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ ไม่เหมือนกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกชนิดเป็นของที่มีกำเนิดในต่างประเทศ แล้วก็มีพ่อค้าฝรั่งนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานแล้ว อย่างต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากว่าในตำราเรียนแพทย์แผนไทยซึ่ง ตำราเรียนพระโอสถพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม เป็นคัมภีร์โรคนิทาน รวมทั้งคัมภีร์มหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากหลายขนาน แล้วก็ใหหลายขนานในตำราเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์เอง แต่ว่าชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นอย่างไร มีที่มาแล้วก็ความหมายเช่นไร นอกเหนือจากนั้นเครื่องยาหมู่นี้บางจำพวกเป็นยังไง มีมูลเหตุเช่นไรอย่างเป็นข้อโต้แย้งที่ยังหาบทสรุปมิได้
ที่มาของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังต่อไปนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรประเภทหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลากหลายประเภท หนังสือเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยนักปราชญ์ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรประเภทหนึ่งซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) จึงน่าจะเป็นต้นเหตุของการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แต่ คำ โกฐ นี้มีความหมายว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีมีความหมายว่า ไส้ พุง คำทั้งยัง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร นอกนั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ว่าก็บอกคำจำกัดความที่แตกต่างกัน เป็นต้นว่า
โกส มีความหมายว่า ผอบ; หมายความว่าซูบผอมมาตราวัดความยาวเท่ากับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ แปลว่า ๑๐ ล้าน
โกษ แปลว่า อัณฑะ
โกศแสดงว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลังเก็บของ คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อรวมทั้งพิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรจะเขียนยังไงนั้น คงจะสืบสาวราวเรื่องหาสิ่งที่ทำให้เกิดคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้มากที่สุด เพื่อคงความหมายเดิมให้สูงที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งหมดเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีแล้วก็ใช้กันมาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนและก็ประเทศใกล้เคียง แล้วก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่สื่อความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้จึงน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปและการแพทย์แผนจีนมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาการแพทย์ทางด้านการแพทย์แล้วก็การปรุงยาแผนแพทย์แผนไทยมาแม้กระนั้นโบราณ แต่ว่าคำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ด้วยเหตุผลดังกล่าว คำที่ออกเสียง โกด จึงคงจะมีที่มาจากภาษาพื้นบ้านใดในอินเดียหรือเปอร์เซียในหนังสืออายุรเวทของประเทศอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาในภาษาพื้นบ้านของประเทศกัษไม่ระ แล้วก็ตำราเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาอิหร่านหรืออิหร่าน ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีรวมทั้งเบงกาลีเป็น kut ภาษาดุร้ายเป็น kostum หรือ goshtam ตำราเรียนยาไทยเรียกเครื่องยาประเภทนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) จึงได้บทสรุปในชั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน รวมทั้งคำนี้มีความหมายเช่นไร
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ก็เลยจะต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำในภาษาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) หมอโอนามิภายหลังที่ได้เพียรพยายามค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี เร็วๆนี้เองจึงได้พบคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ หนังสือเรียนยาแห่งการแพทย์ตะวันออกของหมูแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงข้อเสนอของที่ประชุมที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่หมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือมิได้กำหนดปีที่พิมพ์และก็สำนักพิมพ์) ในแบบเรียนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังต่อไปนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
ก็เลยสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย แสดงว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เปรียบเทียบเสียงเป็น kushta แล้วก็ควรเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ จึงจะตรงกับคำในภาษาเดิมสูงที่สุด และให้คำจำกัดความที่ไม่บางทีอาจเป็นอันอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้คงจะเข้ามาสู่ราชอาณาจักรไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน แล้วก็การแพทย์โบราณแห่งประเทศไทยคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลากหลายประเภท ซึ่งแม้ว่าจะใช้เพลงปริมาณเล็กน้อย แม้กระนั้นก็ทรงประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการบำบัดรักษาโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
แพทย์แผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนรวมทั้งเครื่องยาเทศหลากหลายประเภทในยาไทย การแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดหลักแหลมของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างชาติในยาไทย เครื่องยาเหล่านี้หลายประเภทเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ ๕ โกษฐ์ ทั้งยัง ๗ โกษฐ์ ทั้งยัง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกดอีกหลายอย่างที่มิได้จะเข้าไว้ภายในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของมูลเหตุ สกุล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เฉมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากรวมทั้งเหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เมล็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากและก็เหง้าแห้ง
โกฐอีกทั้ง  ๕ (เบญจโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่ายาหมู่นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แล้วก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้ง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแต่โบราณ นอกนั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากมายอีกทั้งในอดีตแล้วก็ยาไทย
โกษฐ์ อีกทั้ง  ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ ชนิด เป็นโกษฐ์ทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว รวมทั้ง โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ชนิด ตำราโมคุณประโยชน์ยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และก็บำรุงกระดูก
โกษฐ์ทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา มีโกษฐ์๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา รวมทั้งโกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีรวมทั้งโกษฐ์ท้อง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ประเภท ยกตัวอย่างเช่น โกษฐ์กะเกลือก โกษฐ์กักกรา แล้วก็โกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอว่ากล่าวสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในลำไส้ แก้หนองใน ขับระดูร้าย เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนวิชาการปรุงยาแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งสิ้นได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ประเภทต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงตามลำดับดังนี้
เชียงสอขอหัวบัว เขมาชั่วช้าลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกภายในชฎา
กะกลิ้งและกรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามที่มา
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels ตระกูล Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายสิ่งหลายอย่าง อาทิเช่น แปลว่าคนที่มาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ชายน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าในที่นี้มีความหมายว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างอวบดก รูปทรงกระบอก แยกเป็นรากกิ้งก้านหลายราก มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ ซม. ยาว ๓๐ ซม. แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก ปนรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒-๒.๓ เซนติเมตร ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่สม่ำเสมอ มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (เว้นเสียแต่บริเวณเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ เซนติเมตร โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ เซนติเมตร ใบตกแต่งมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดแตกต่างกัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบประดับประดาย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางทีสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลเป็นปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ข้างล่างแบนข้าง รูปขอบขนานแกมรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ ไม่ลลิเมคร ยาว ๔-๖ มม. สันด้านล่างครึ้มแคบ ข้างๆมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชจำพวกนี้มีเขตผู้กระทำระจายประเภทในป่าดิบ ตามภูเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของเมืองจีน เป็นบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชิญ (เสฉวน) และก็หยุนดกน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร มีดอกในมิ.ย.ถึงเดือนกรกฎาคม เป็นผลในเดือนกรกฎาคมถึงกันคุณยายน พืชจำพวกนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกในเมืองจีนมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี แล้วก็เวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง รูปแบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นกิ่งก้านสาขา ๓-๕ กิ่งก้านสาขา หรือมากกว่า ยาว ๑๕-๒๕ ซม. ผิวนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนแล้วก็กลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นรวมทั้งจากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากแขนง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ เซนติเมตร ตอนบนดกตอนล่างเรียวเล็ก โดยมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากหนา มีร่องแลกเปลี่ยนจุดเยอะๆ ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจแรง รสหวาน ฉุน แล้วก็ขมน้อย
คนจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆจำนวนหลายชิ้น ด้อยกว่าก็แม้กระนั้นชะเอม (licorice) เพียงแค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงไม่เหมือนกันคือ รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากแขนงน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับเมนส์ หมอแผนจีนใช้เครื่องยาประเภทนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ตัวอย่างเช่น ยาขับระดู ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกชนิด แก้หวัด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้คือ ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น อวัยวะเพศ เพื่อปฏิบัติสามีได้ดีและเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย แบบเรียนสมบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมสดชื่น รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้ทิ่มแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ประเภทหนึ่งในพิกัดโกษฐ์ ๕ โกษฐ์อีกทั้ง ๗ รวมทั้งโกษฐ์ทั้ง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาคคอยล (carvacrol) เป็นต้น เว้นแต่น้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายประเภท ดังเช่นว่า สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกสิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในตระกูล Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรมีความหมายว่าขาว ตำราโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก พ่อยจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจักจี้ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓-๕ ซม. อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากยิ่งกว่า บางทีอาจแยกแขนงตรงปลาย มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน เจ้าเนื้อสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๕ ซม. (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มนิดหน่อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่แกมสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ ซม. ยาวถึง ๕๐ เซนติเมตร แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ เซนติเมตร ปลายแหลม โคนเป็นครีบบางส่วน ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบข้างบนรถยนต์รูปเหลือเพียงแค่กาบที่แทบไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ เซนติเมตร สีขาว ใบประดับมี
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions