โครงการประหลาดของ CIA

โครงการประหลาดของ CIA

เริ่มโดย etatae333, 30 สิงหาคม 2018, 16:11:29

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

โครงการประหลาดของ CIA
cr.Cammy@dek-d



หน่วยข่าวกรองกลาง ซีไอเอ (The Central lntelligence Agency-CIA) เป็นองค์การที่รัฐบาลกลางของ
สหรัฐอเมริกาสถาปนาขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1947 มีหน้าที่แสวงหาข่าวสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา
เสนอประธานาธิบดีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐสภา เพื่อให้รัฐบาลกลางมองเห็นสถานการณ์ของโลกทั้งภายใน
และภายนอกประเทศได้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางนโยบายต่างประเทศที่ให้ผลถูกต้องแน่นอน


ในหลายปีที่ผ่านมา CIA เป็นองค์กรที่ได้ยอมรับว่ามีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากในหน่วยงานของรัฐบาลของโลก
ด้วยความซับซ้อนและมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างง่ายดาย 

แต่กระนั้นซีไอเอก็ยังเป็นที่รู้จักว่าเป็นองค์กรที่มีความคิดโครงการที่หลุดโลก โรคจิต จนไม่น่าเชื่อว่านี้คือความคิด
ของคนฉลาดที่คิดกัน ผลคือบางโรงการนั้นล้มเหลวและสูญเงินนับล้าน และบางโครงการผิดกฎหมายและไร้สาระ
และนี้คือ เหล่าสุดยอดโครงการไร้สาระของซีไอเอดังกล่าว



Acoustic Kitty



   
ในปี 1960 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของซีไอเอได้เปิดตัวโครงการที่จะใช้สัตว์มาเป็นสายลับ
โดยพยายามที่จะใช้แมวในภารกิจสอดแนม โดยใช้แบตเตอรี่และไมโครโฟนขนาดเล็กผ่าตัดฝังลงไปในแมว
และเสาอากาศฝังเข้าไปในหางของแมวเพื่อสามารถบันทึกเสียง


นอกจากนั้นยังฝึกนิสัยของแมวใหม่เพื่อสามารถปฏิบัติภารกิจได้เช่นความรู้สึกของแมวต่อความหิวโดยถูกแก้ไข
ในการดำเนินการอย่างอื่น โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณถึง 20,000,000 ดอลลาร์ โดยภารกิจแรกคือการ
แอบฟังสถานทูตโซเวียต ถนนวิสคอนซิน

ในกรุงวอชิงตันดีซีเพื่อฟังพวกคอมมิวนิสต์พูดคุยกัน ผลปรากฏว่าภารกิจนี้ล้มเหลว เพราะแมวถูกตี
และถูกแท็กซี่ทับตายทันที ผลสรุปคือโครงการไม่มีใครเอามาพูดถึงอีกเลย




Operation Northwoods



ในช่วงศตวรรษที่ 1960 เมื่อสงครามเย็นก่อตัวขึ้นความหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ได้อาละวาดไปทุกหย่อมหญ้าทั่วโลก
ทำให้ซีไอเอมีแผนลับขึ้นนั้นคือ "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์"


โดยการใช้ข้อมูลลวงเพื่อให้ประชาชนชาวอเมริกันหวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์?

สร้างภาพว่าเป็นฝีมือจากการก่อการร้ายของคิวบาภายใต้การนำของคาสโตร โดยการดำเนินงานคือการสร้างความ
หวาดกลัวต่อคอมมิวนิสต์ในเขต ไมอามี่ ฟลอริดา และเมืองอื่นๆ แม้แต่ในวอชิงตัน ความน่ากลัวของแผนนี้ก็คือการใช้
ประชาชนมารับเคราะห์นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวลือ, วางระเบิด, จลาจลปลอมๆ เพื่อนำไปสู่การดำเนินการ
ทหารเพื่อสร้างความเกลียดชังรัฐบาลคิวบา และสร้างเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกันให้ใช้ กำลังทหารโจมตีคิวบา
นี่คือตัวอย่างของแผนการ



-การวางระเบิดเครื่องบินพาณิชย์ที่บินจากอเมริกา สู่ประเทศในแถบอเมริกาใต้ โดยมีเส้นทางใกล้น่านฟ้าประเทศคิวบา
ผู้โดยสารบนเครื่องบินลำที่ถูกเลือกจะเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เดินทางไปพักผ่อน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นเยาวชน ไม่ยุ่ง
เกี่ยวกับการเมือง เพื่อตอกย้ำว่าคาสโตรสามารถสังหารได้แม้กระทั่งประชาชนผู้บริสุทธิ์

- การนำชาวคิวบาขึ้นเรือทำทีว่าลักลอบออกนอกประเทศเพื่อขอลี้ภัยในอเมริกา ระหว่างที่เรือลอยกลางทะเลก็จัดการ
ยิงให้จมแล้วป้ายความผิดให้กับคิวบาว่าเป็นผู้ไล่ล่าเรือลี้ภัย

- วางระเบิดจุดสำคัญๆบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และฟลอริดา จากนั้นจับตัวชาวคิวบาที่ลี้ภัย
มาอยู่ในอเมริกา ป้ายความผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

- สร้างเหตุการณ์โจมตีเรือรบหลวง โดยนำเรือรบไปล่องในอ่าวใกล้กับเมืองฮาวาน่าแล้วระเบิดทิ้ง เลียนแบบเหตุการณ์
ในปี 1898 เรือรบอเมริกาถูกจมโดยไม่ทราบสาเหตุ เพื่อสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอเมริกันนับล้านให้มาสมัคร
เป็นทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามสเปนิช-อเมริกัน


แผนการดังกล่าวถูกร่างและลงนามโดยหัวหน้าร่วมแล้วนำไปเสนอให้ประธานาธิบดีจอห์นเอฟ เคนนาดี
ผลปรากฏว่าเขาปฏิเสธและถูกยกเลิกแผนนี้ในภายหลัง หากแต่หลังจากนั้นมีความเชื่อว่าแผนดังกล่าวนั้น
มีการทำอย่างลับๆ และหนึ่งในเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้คือการลอบสังหารเคนนาดี




Project Pigeon


   
มันอาจเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้วสำหรับโครงการที่เรียกว่า "จรวดนำวิถี นกพิราบ" มันเป็นหนึ่งใน
โครงการทางทหารที่ดูเหมือนจะประหลาดที่สุดอีกโครงการในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเริ่มมีความคิดมาจาก
นายบี. เอฟ. สกินเนอร์( Burrhus Frederic Skinner) เป็นนักจิตวิทยาพฤติกรรมที่มีความคิดแหวกแนวว่า
รัฐน่าจะลองฝึกนกพิราบให้ควบคุมจรวดนำวิถีจรวดเข้าสู่เป้าหมาย(นกพิราบกามิกาเซ)


โดยโครงการดังกล่าวถูกพัฒนาภายใต้โครงการ organic control หรือ "ควบคุมโดยสิ่งมีชีวิต" โดยกองทัพ
สหรัฐอเมริกา โดยโครงการดังกล่าวจะใช้จรวดที่ออกแบบโดยข้างในจรวดจะมีห้องควบคุมจรวดโดยนกพิราบ
ซึ่งนกพิราบดังกล่าวจะมาฝึกให้จดจำเป้าหมาย โดยถ้าเห็นภาพเป้าหมายให้ทำการจิก ที่ตรงกลางแผงควบคุม
จรวดนำวิถีจะพุ่งตรงไปด้านหน้าและนกพิราบจะไม่หยุดเป้าหมายจนกวาดตรวดจะระเบิดหรือมันจะตายเสียก่อน
ซึ่งตอนแรกโครงการนี้ได้งบการวิจัย 25,000 เหรียญสหรัฐในสมัยนั้น

หากแต่ต่อมาไม่นานโครงการนี้ก็เลิกล้มเพราะว่ามีการใช้จรวดแบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาแทนที่
และจรวดนำวิถีนกพิราบก็ไม่เคยถูกนำมาใช้ในสงครามนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว




Operation Gold


 
หนึ่งในโครงการที่ดำเนินงานบ้าบิ่นที่สุดในช่วงสงครามเย็น โดยตั้งชื่อว่า "แผนทองคำ" ในช่วงปี 1953 ซึ่งเป็นการ
ร่วมมือระหว่างซีไอเอและอังกฤษ Secret Intelligence Service โดยการดักฟังสายโทรศัพท์ของสำนักงานใหญ่
ของโซเวียตที่กรุงเบอร์ลิน โดยขุดอุโมงค์ยาวกว่า 450 เมตรตัดกับทางแยกโทรศัพท์ใต้ดิน


โดยเริ่มต้นขุดในวันที่ 2 กันยายน 1954 ถึง 25 กุมภาพันธ์ปีถัดไป โดยซีไอเอสามารถดักจับบันทึกการสนทนา
มากถึง 50,000 การสนทนาทางโทรศัพท์ในช่วงเวลาหนึ่งปี

หากแต่ต่อมาในปี 1956 โซเวียตก็ได้พบอุโมงค์ดังกล่าวและปิดลง ซีไอเอสิ้นงบประมาณแบบไร้ค่า
แถมโดนด่าไปทั่วโลกด้วย





Project MKULTRA


 
โครงการเอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นชื่อรหัสลับที่เป็นการ
ทดลองลับๆ ที่ผิดกฎหมายของหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้น
ไม่ให้ประชาชนรู้ โดยโครงการนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ที่ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของ รัฐบาลสหรัฐ
โดยเริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษที่ 1950 โดยดำเนินถึงปลายปี 1960 โดยใช้ชาวอเมริกันและแคนาดาเป็นตัวทดลอง


จุดประสงค์ของโครงการเอ็มเคอัลทราคือ การศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมี
และสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้
พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและ ชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึง
ต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่ สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้

การทดลองนี้ไม่ใช่มีแต่ซีไอเอเท่านั้น หากแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสำนักงานอื่นๆ
ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอด
ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่
นายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น



สำหรับวิโครงการนี้การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation
Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้
เป็นนักโทษอาสาสมัคร คดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของ
พวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด

จากหลักฐานที่เผยแพร่พบว่าโครงการนี้ใช้วิธีต่างๆ มากมายที่จะจัดการสภาพจิตใจของบุคคลและปรับเปลี่ยน
การทำงานของสมองโดยการใช้ ยาหลายประเภทรวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลง
จิตใจและสมอง เช่น การใช้ยาเสพติด สารเคมีอื่นๆ การละเมิดทางวาจาและทางเพศ โดยไม่สนจะว่าอาสา
สมัครเต็มใจหรือไม่



ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD (Lysergic acid diethylamide) ให้กับลูกจ้างซีไอเอ, ทหาร, แพทย์,
ข้าราชการ,โสเภณี, ผู้ ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับ
ไฮโซ มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหา
การทดลอง และบางคนไม่ยอมให้ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิ
สมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว

และแล้วโครงการนี้ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนในปี 1975 สภาคองเกรสสหรัฐได้แต่งตั้งคนเพื่อสืบสวนคดีนี้
หากแต่ในปี 1973 ผู้มีอำนาจสูงสุดซีไอเอ ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูก
ทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่ามีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงในซีไอเอ




The Stargate Project



โครงการสตาร์เกทจะเรียกว่าโครงการสายรับพลังจิตคงไม่ผิดนัก โดยเป็นชื่อรหัสของโครงการย่อยที่จัดตั้งโดยรัฐบาลสหรัฐ
เพื่อการศึกษาการมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing) เพื่อนำมาใช้จริงโดยประยุกต์ทางการทหารและ
งานสืบราชการลับ เช่น สามารถใช้พลังจิตในการมองเห็นระยะไกลเพื่อบอกตำแหน่งสิ่งก่อสร้าง หรือสิ่งที่ซุกซ่อนในตัวอาคารได้


นอกจากนี้ยังรวมถึงการศึกษาเรื่องเหนือธรรมชาติ(ประมาณว่าถอดจิต)และญาณทิพย์ โดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1970
ถึง 1995 (ซีไอเอยกเลิกเอง) โดยมีข่าวลือที่มาโครงการว่าทางโซเวียตได้มีการวิจัยอาวุธพลังจิต ทำให้สหรัฐตัดสินใจ
เพื่อศึกษาหาความเป็นไปได้นั้นโดนตอนแรกใช้งบประมาณถึง 20,000,000 ดอลลาร์



ในการศึกษาพวกที่มีความสามารถพลังพิเศษดังกล่าว และครั้งหนึ่งก็เคยมีการทดลองพลังจิตนี้มาใช้งานจริงๆด้วย
เช่นในสงครามเวียดนามมีการใช้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man)ทำหน้าที่นำกองทหารระหว่างที่อยู่ใน
เขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี 





Operation Mongoose


 
ในยุค 60 ต้น คอมมัวนิสต์คิวบากลายเป็นหนึ่งในกำลังรบสำคัญของสงครามเย็น และนายพลฟิเดล คาสโตรกลายเป็นนักการเมือง
ที่อันตรายที่สุดในโลกในขณะนั้น ทำให้การสหรัฐมีแผนที่จะล้มล้างคาสโตรแต่ก็ล้มเหลวหลายโครงการ จนกระทั้งมาถึงสมัย
จอห์น เอฟ เคนนาดี้ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1961(หลังล้มเหลวจากแผนบุกอ่าวหมู) ก็ปฏิบัติการเชิงรุกลับๆ

โดยดำเนินการโดยเอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล(Edward Lansdale)หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ
ภายใต้ชื่อ "ปฏิบัติพังพอน" โดนโครงการนี้เป็นสงครามลับที่จะโฆษณาชวนเชื่อ สงครามจิตวิทยาและก่อวินาศกรรม
เพื่อให้คาสโตรลงจากอำนาจ เช่นการปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์



จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์
เพื่อกำจัดคนนอกศาสนาโดยยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ตามความเชื่อ
ของคนท้องถิ่น  หรือการทำลายพืชผลผลิตอ้อยของประเทศคิวบา นอกจากนี้ยังมีการลอบสังหารแบบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น
เข็มฉีดยาในรูปของปากกา ใส่แบคทีเรียวัณโรค ในผ้าเช็ดหน้าหรือกาแฟของเขา ใส่ยาพิษในปากกาหมึกซึมหรือไอศกรีม


แต่ที่บ้าที่สุด คงจะเป็นแผนสังหารคาสโตรโดยการทำซิการ์ระเบิด(หรือใส่ยาพิษ) ในยี่ห้อที่เขาชื่นชอบ
และแผนนี้ถูกยกเลิกจากการตกลงระหว่างเคนนาดี้กับโซเวียตในเวลาต่อมา





The Bay of Pigs Invasion


   
นี้คือแผนที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์น่าอับอายขายหน้ามากที่สุด ของซีไอเอ "การบุกอ่าวหมู" มันเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่
พวกเขาพยายามจะโค่นล้ม นายพลคัสโตรแห่งคิวบา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จและขายหน้าที่สุด


มันเริ่มต้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ (พฤษภาคม ค.ศ.1960) แต่ได้มาปฏิบัติการจริงในสมัยประธานาธิบดีเคนเนดี
เนื่องจากประธานาธิบดีไม่อนุญาตให้มีการทิ้งระเบิดแบบปูพรม  เมื่อซีไอเอภายใต้การอนุมัติได้พยายามโค่นล้มรัฐบาลคิวบา
โดยหนุนหลังผู้ลี้ภัยชาวคิวบาจำนวนหลายคนมาฝึกอบรมพิเศษโดยซีไอเอ จากนั้นวันที่ 17 เมษายน 1961 ทางการสหรัฐ
ได้ขนส่งกองกำลังสะเทินน้ำสะเทินบกที่บาเฮีย เดอ โคชิโนสในฝั่งทะเลตอนใต้ของคิวบา และเริ่มขนถ่ายสินค้าของพวกเขา
ก็คือชาวคิวบาที่ถูกลี้ภัยที่ฝึกพิเศษจำนวนกว่า 1,300 คนเข้าประเทศคิวบา




แต่แผนการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่กะผิดจังหวะอย่างน่าอนาถ เริ่มจากข่าวกรองของคิวบารู้การบุกรุกนี้มานานแล้ว
และเริ่มตอบโต้ อีกทั้งแผนนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ทำให้ถูกทหารของนายพลคัสโตรปราบปรามอย่างรวดเร็ว
เพียง 3 วัน (ฝ่ายสหรัฐตาย 118 คน ถูกจับ 1202 คน) นายพลคัสโตรจับฝ่ายกบฎได้ทั้งหมด และส่งทหารอเมริกัน
กลับสหรัฐเพื่อแลกกับอาหารและยา (ค.ศ.1962) ทำให้เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ในสมัยประธานาธิบดีสหรัฐ
จอห์น เอฟ เคนเนดีและนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์คิวบา (Cuban Missile Crisis: 1962) ในเวลาต่อมา


https://www.youtube.com/watch?v=XbKCyQn5oTc&t=11s

เนื้อหาบางส่วนจาก Top 10 Weirdest CIA Programs
http://www.toptenz.net/top-10-weirdest-cia-programs.php
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่