ซอมบี้ Zombie : เมื่อเหล่าผีดิบกลับฟื้นคืนชีพ และ แฟรงเก็นสไตน์ ผีดิบผู้เดียวดาย

ซอมบี้ Zombie : เมื่อเหล่าผีดิบกลับฟื้นคืนชีพ และ แฟรงเก็นสไตน์ ผีดิบผู้เดียวดาย

เริ่มโดย etatae333, 07 มิถุนายน 2011, 13:22:59

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333



ซอมบี้ (อังกฤษ: zombie) เป็นคำเรียกของคนที่ตายไปแล้วแต่กลับมาเดินเหินได้ราวกับมีชีวิตอีกครั้งตามความเชื่อของลัทธิวูดู
เรื่องราวในลัทธิวูดูนั้นกล่าวถึงซอมบี้ว่าถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์ให้ทำงานใช้แรงงานให้พ่อมด แต่ภาพลักษณ์ของซอมบี้ในวัฒนธรรมสมัยใหม่ซึ่งปรากฏผ่านสื่อต่างๆนั้น
ต่างจากในลัทธิวูดูมาก โดยสาเหตุสำคัญนั้นมาจากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Night of the Living Dead ของจอร์จ โรเม




ซอมบี้ในลัทธิวูดู



ในลัทธิวูดูนั้น ซอมบี้เป็นศพที่ถูกปลุกให้กลับมาอีกครั้งโดยพ่อมดที่เรียกว่าบอคอร์ (bokor) ซอมบี้นั้นไม่มีความคิดของตนเองและจะทำงานรับใช้ตามที่เจ้านายต้องการ
เชื่อกันว่าถ้าให้ซอมบี้กินเกลือแล้ว ซอมบี้ก็จะกลับไปตายที่หลุมศพของตนอีกครั้ง

ในปีพ.ศ. 2480 โซรา เนียล เฮิร์สตัน (Zora Neale Hurston) ซึ่งกำลังศึกษาเรื่องคติชนวิทยาของประเทศเฮติได้พบกับสตรีที่ครอบครัว
อ้างว่าเป็นซอมบี้ของ เฟลิเซีย เฟลิกซ์ เมนเทอร์ ซึ่งเสียชีวิตและได้รับการฝังเมื่อสามสิบปีก่อนหน้านั้น

เฮิร์สตันได้ตามสืบข่าวลือเรื่องของคนที่ถูกยาที่มีผลทางจิตเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถหาผู้ที่ยอมให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้
เธอเชื่อว่ารากฐานของลัทธิวูดูนั้นน่าจะเป็นแพทยศาสตร์ที่มีการใช้ยาซึ่งวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จักมากกว่าจะเป็นพิธีกรรม



เวท ดาวิสได้เขียนถึงเรื่องซอมบี้ในทางแพทยศาสตร์จากประสพการณ์ที่เดินทางไปเฮติในปีพ.ศ. 2525 ไว้ในหนังสือสองเล่มคือ
The Serpent and the Rainbow และ Passage of Darkness: The Ethnobiology of the Haitian Zombie



ดาวิสระบุว่าซอมบี้นั้นเกิดจากผงแป้งสองชนิดเข้าไปในกระแสเลือด โดยแป้งชนิดแรกคือ coup de poudre ซึ่งมีพิษที่เรียกว่า tetrodotoxin
ซึ่งเป็นพิษกับระบบประสาทและพบได้ในเนื้อของปลาปักเป้า ส่วนแป้งประเภทที่สองนั้นเป็นยากล่อมประสาท เมื่อใช้รวมกันแล้ว
บอคอร์จะสามารถควบคุมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้

ดาวิสบรรยายถึงกระบวนการนี้ว่า ก่อนอื่นนั้นผู้เป็นซอมบี้จะอยู่ในสภาพเหมือนตาย จากนั้นก็จะตื่นขึ้นมาด้วยสภาพจิตใจที่สับสน
และบอคอร์ก็จะใช้ยาและการสะกดจิตซึ่งเสริมโดยความเชื่อของเฮติให้คิดว่าตนตายไปแล้วและกลายเป็นซอมบี้

ซอมบิ (Zombi) ยังเป็นชื่อหนึ่งของโลอา งูดัมบาลา (Damballah) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากแถบไนเจอร์-คองโก ลัทธิวูดูในแอฟริกาตะวันตก
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

etatae333



ซอมบี้ ผีดิบหรือฝังทั้งเป็น

ซอมบี้หรือเรียกว่า"ซัมบิ" (zumbi) ..เชื่อกันว่า ซอมบีเป็นศพที่เดินได้ เนื่องจากเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้
ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบิดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา
และจะทำตามคำสั่งของนักบวช

ซอมบี้นั้นในภาษาพื้นเมืองไฮติเขาเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "โบโกร์" (Bokor).. ซอมบี้เป็นทาสผีดิบของหมอผี หรือผู้ทรงไสยดำ ผู้ที่มีอำนาจ(เชื่อว่าเป็นอำนาจจากนรก)

เรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพ..ซอมบี้เป็นเพียงศพที่เดินได้มันกินอาหารได้ อาหารที่กินเป็นอาหารพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้ มันมีลมหายใจคล้ายคน
มันต้องขับถ่าย มันพูดได้ แต่ส่วนมาไม่ได้พูดภาษาคน และมันสามารถได้ยินเสียงหรือรับรู้คำสั่งของหมอผีได้แสดงว่ามันมีชีวิต แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจาก
ความทรงจำใด ๆ ทั้งสิ้น มันไม่รู้จักชีวิตของตัวมันเอง มันไม่มีความรำลึกของอดีตใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่เคยเข้าใจสภาพ หรือสถานภาพใด ๆ
เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว..พูดง่าย ๆ ซอมบี้ เป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนเครื่องจักรชีวอย่างไงอย่างนั้นนั่นเอง



ชนเผ่าชาไฮติแทบทุกคนรู้จักความชั่วร้ายแห่งไสยดำวูดูเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักซอมบี้ว่ามันมีจริง มันเป็นศพคืนชีพ ทาสรับใช้ของหมอผีหรือผู้มีอำนาจ
ทางไสยดำวูดู พวกชาวบ้านธรรมดาจะสามารถแยกซอมบี้ออกจากหมู่คนธรรมดาได้ทันทีที่ได้เห็น

กล่าวกันว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกล
ที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็ว
ต่างกับคนธรรมดา

ชาวบ้านธรรมดาในไฮติโดยทั่วไปไม่มีใครกลัวซอมบี้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า ซอมบี้ทำอันตรายได้เลย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวข้องกับซอมบี้
ถ้าเผอิญไปเจอมันเข้า สิ่งที่พวกเข้าทุกคนกลัวที่สุดไม่ใช่ซอมบี้ แต่พวกเขากลัวเป็นซอมบี้ กลัวว่าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนที่รู้จัก และตัวเองเมื่อตายไปแล้ว
จะกลายเป็นซอมบี้ พวกเขาไม่กล้ารับหน้าหรือให้การต้อนรับซอมบี้ผู้มาเยือน ไม่ว่าซอมบี้นั้นจะเคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง หรือ ใครที่เคยรู้จักสนิทสนมด้วยในตอน
ที่ยังมีชีวิตอยู่



ในการทำพิธีฝังศพญาติพี่น้องของตน ชาวไฮติมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "ทำให้ตายครั้งที่สอง" เพื่อป้องกันมิให้ศพกลับลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้

แม้แต่คนที่ยากจนไม่มีเงินจะทำพิธีศพญาติของตน ยังต้องไปนำก้อนหินขนาดใหญ่ ๆ มาทับหลุมฝังศพเพื่อป้องกันมิให้ศพญาติที่ฝังไว้ลุกกลับขึ้นมา

บางครั้งญาติผู้ตายต้องผลัดกันนั่งเฝ้าอยู่ปากหลุมศพ เฝ้ากัน 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้คลาดสายตา เป็นเวลานับเดือน ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าศพในหลุมที่ฝัง
ไว้นั้นเน่าสลายไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าศพอาจคืนชีพเป็นซอมบี้กลับขึ้นมาใหม่นั่นเอง

ในพิธีฝังศพของผู้มีเงินหน่อย จะต้องนำสิ่งของต่าง ๆ เช่นลูกปัดหินหลากสี ด้ายสีต่าง ๆ หลายหลอด พร้อมกับเข็มเย็บผ้าหลายโหล และเมล็ดพืชเล็ก ๆ
บางชนิดอีกหลายร้อยหลายพันเม็ดใส่ไว้ในโลงศพของผู้ตายด้วย สิ่งของต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกลงของเสียก่อน
โดยผู้ทรงคุณทางไสยขาว (white magic ) วิชาลึกลับใช้เวทมนต์ในทางที่ดีทำเครื่องรางของขลังป้องกันภัยอันตรายหรือปลุกเสกเมตรามหานิยม ฯลฯ
ก่อนการปิดปากโลงศพ และฝังกลบไว้ในป่าช้า เชื่อกันว่า ถ้าศพคืนชีพขึ้นมามันจะไม่ลุกออกมาจากโลง เพราะมัวแต่เล่นสิ่งของเหล่านั้นจนเพลินนั้นเอง

บางครั้งมีการใส่มีดที่ลงของลงคาถาไว้ในโลงด้วยหลายเล่ม เพื่อว่าศพคืนชีพเกิดเซ็งขึ้นมาเพราะออกจากโลงไม่ได้ จะได้ฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง
นอนตายอย่างสงบอยู่ในโลงนั้น พิธีกรรมที่หนักข้อขึ้นไปอีกก็ยังมี กล่าวคือ ก่อนปิดฝาโลง จะจัดการตัดคอศพแยกใส่หีบฝังต่างหาก หรือไม่ก็เอหมุดลง
คาถาตอกหน้าอกฝังไว้กับโลงเพื่อป้องกันศพคืนชีพเป็นซอมบี้ พวกไฮติไม่นิยมการเผาศพ แต่ก็มีการเผาศพอยู่เหมือนกัน



เชื่อว่าการเผาศพมิได้ช่วยป้องกันซอมบี้แต่อย่างใด เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า คนตายที่ถูกเผาไปแล้ว บางทียังกลายเป็นซอมบี้ได้
ขณะกำลังเผา ๆ อยู่ดันลุกพรวดพราดออกมาจากโลงก็มี ไอ้ตัวซอมบี้แบบนี้น่ากลัวน่าสยดสยองกว่าซอมบี้ธรรมดา ร่างกายมันดำไหม้เฟอะ
เป็นศพพิการแต่ยังเดินได้

พวกหมอผีวูดู หรือ พวกจอมคาถาอาคมแห่งวูดู บางคนมีลูกสมุน- ซอมบี้ เป็นกองทัพเลยก็มี นับว่าเป็นทาสผีดิบที่สัตย์ซื่อมาก เรื่องราวต่าง ๆ
เกี่ยวกับซอมบี้มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวตะวันตกที่เดินทางไปอยู่ในแถบไฮติ นับตั้งแต่สมัย ล่าอาณานิคมโน้น วิลเลียม ซีบรุ๊ก ผู้จัดการ
ฝ่ายผลิตและส่งออกของบริษัท ผลิตน้ำตาลจากอ้อย (Hailian American Sugar Corporation" เคยเขียนบันทึกไว้ว่า

"..มีพวกกรรมกรไร่อ้อยหลายร้อยคนเป็นคนงานอยู่ในความดูแลของหมอผีวูดู ซึ่งทำหน้าที่คุมคนงานและจัดหาคนงานมาเข้าทำงานอย่างไม่รู้
จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนมนุษย์จักรกล.. มีอยู่หลายสิบคนที่มีพวกญาติพี่น้องมาขอตัวกลับเพื่อนำไปฆ่าให้ตายเป็นครั้งที่สอง .. ทำให้เกิดปัญหามาก
เพราะพวกญาติพี่น้องมาพบว่า คนงานบางคนเป็นญาติหรือ คนที่เข่ารู้จักดีซึ่งตายไปแล้ว และกลายเป็นซอมบี้อยู่ในอาณัติคาถาของหมอผีวูดู
ใช้ให้มาทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย..."




ซอมบี้คือศพเดินได้จริงหรือ !?

ถ้าเราสังเกตพวกซอมบี้ จะพบว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา
คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง
และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา และสูญเสียความทรงจำ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

etatae333

แฟรงเก็นสไตน์ : ผีดิบผู้เดียวดาย



ในจำนวนผีแนวหน้า หรือระดับอินเตอร์ ดูเหมือนว่าบารอน แฟรงเก็นสไตน์ จะสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผีตัวอื่นๆ ได้อย่างไร้ความขวยเขิน
ไม่ว่าจะเป็น ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือแม้แต่มัมมี่แห่งอียิปต์

ประวัติความเป็นมา

- ความจริง แฟรงเก็นสไตน์ไม่ใช่เป็นชื่อของเจ้าผีดิบรูปไม่หล่อ มีน็อตโผล่ออกมาจาก ขมับทั้งสองข้างนี่แต่อย่างใด แต่เป็นนามกรของนายแพทย์นักวิทยาศาสตร์
ผู้สร้างมันขึ้นมา คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ในหนังสือที่แมรี่ เชลลี่ย์ แต่งเอาไว้นั้น เธอเรียกเจ้าผีดิบสุดขี้เหร่ตัวนี้ว่า "มอนสเตอร์" ( Monster ) หรือ อสูรกาย
และเจ้าแฟรงเก็นสไตน์แต่เดิมก็ไม่ได้มีฐานะเป็น บารอน ตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้มาภายหลังเมื่อนิยายสยองขวัญเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์
เพื่อให้ท่านบารอน แฟรงเก็นสไตน์ เป็นคู่ปรับที่สมศักดิ์ศรีกับ ท่านเคาท์แดร๊คคูล่า และเนื้อเรื่องเดิมนั้นก็ได้ถูกดัดแปลงต่อเติมซะจนเจ้าของตำราเอง
เห็นแล้วอาจจะอยากร้องไห้หือผูกคอตายให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย

- เจ้าผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสมองและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วน ของอวัยวะต่างๆ แต่ก็ต้องเย็บปะทั้งตัว
ที่เห็นได้ชัดเจนคือรอยเย็บตามใบหน้าและอวัยวะต่างๆ ด้วยเหตุนี้เจ้าผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ จึงแทบจะหาความหล่อไม่เจอ และไม่รู้ว่าทำไม ด็อกเตอร์แฟรงฯ
ผู้ลงมือสร้าง แกจึงไม่เอาวิธีเกี่ยวกับศัลยกรรมเข้าช่วย อาจเป็นเพราะวิชาการแพทย์ด้านนี้ในสมัยก่อนไม่เจริญมากนัก หรือเป็นสาเหตุหนึ่งคนเขียนคงเกรงว่า
ถ้าขืนดึงหน้าให้มันหล่อผิดปกติ เจ้าผีดิบที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่น่ากลัว หวาดเสียวสยดสยองเท่าที่ควรก็เป็นได้

จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์



- ผู้ให้กำเนิดเจ้าผีดิบไร้ความหล่อตัวนี้ คือนักประพันธ์สาวสวยชื่อว่า แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งจะมีอายุเพียง 20 เศษๆ และเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์
ยอดกวีโรแมนติกผู้เป็นสหายของท่าน ลอร์ด ไบรอน ยอดกวีนักรักผู้ลือนาม

- เรื่องราวของผีดิบตนนี้ เกิดนขึ้นเมื่อศิลปินทั้งสามที่เอ่ยนามมานั้น ได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่ง สวรรค์อันงดงาม
แต่ดันไปในช่วงที่กำลังเกิดอากาศเลวร้ายจนสามศิลปินต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านพัก

- และเพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็ง ทั้งสามจึงชักชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันคนละเรื่อง แต่แมรี่เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่เขียนได้จบ
ก็คือเรื่อง จอมผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์นั่นเอง ซึ่งดังกระฉ่อนไปทั่วโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นั่นเอง

อิทฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์



เจ้าผีดิบตัวนี้ก็เหมือนกับผีดิบ ทั่ว ไปคือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งาน ตาม คำสั่งของเจ้านาย มีพละกำลัง มหาศาล ทำงานได้ไม่รู้จักเหนื่อย และไม่มีการอู้
อาวุธธรรมดายิง แทงหรือฟันไม่เข้า และมันก็ไม่ต้องกินอาหารหรือเลือด เพิ่มพลังเลย

วิธีสู้และป้องกันกับเจ้า แฟรงเกนนสไตน์



- เจ้าตัวนี้เป็นตัวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีของวิทยาศาสตร์ จึงไม่น่าจะกลัวไม้กางเขน หรือสิ่งศักสิทธิ์ใดๆ อต่ถ้าโดนอาวุธใหญ่ๆ อย่างจรวด
หรือขีปนาวุธเข้าไปแล้วก็คงไม่เหลือซากเหมือนกัน

การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์



- เนื่องจากถูกสร้างมาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หากใครมีความรู้แขนงนี้แล้วนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะก็คงมีเจ้าผีดิบ แบบแฟรงเก็นสไตน์ อีกหลายตัว
แต่ยังไม่เคยมีการรับรองอย่างเป้ฯทางการว่าจะใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะแล้ว จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่คาดว่ายังคงมีการทดลองและวิจัยกันอยู่อย่าลับๆ
และต่อเนื่อง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

etatae333

แค่ฟังชื่อหลายคนอาจจะรู้สึกสังสัยว่า แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein) เป็นผีดิบผู้เดียวดายจริงหรือ?
น่าจะเป็นผีดิบผู้โหดร้ายหรือผู้ดุร้ายมากกว่าเพราะพฤติกรรมอันแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับผีดิบแฟรงเกนสไตน์
กลับกลายมาเป็นตำนานเล่าขานกันอย่างแพร่หลาย



จริง ๆ แล้วนั้นผีดิบผู้น่าสงสารตัวนี้ไม่ได้มีชื่อว่า แฟรงเกนสไตน์ แต่อย่างใดชื่อที่เรียกกันมานานนี้เป็นชื่อที่ถูกตั้งตามผู้ที่สร้างมันขึ้นมา เรื่องราวโกลหลและวุ่นวาย
ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นที่กรุงเจนีวา เมื่อราว 200ปีก่อน เจ้าของเรื่องราวอันพิลึกพิลั่นดังกล่าวนี้มานามว่า นายวิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ (Victor Frankenstein)
เขาเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย ทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความสุขสบาย เรียกว่า ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก ก็ได้ทั้งนั้น

ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปในพริบตา ในชีวิตของเขาจึงไม่มีอะไรที่ชวนท้าทายความคิดหรือความสามารถของเขาเลย
เพราะหากต้องการอะไรก็จะมีคนคอยหาให้อยู่เสมอ

จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม และมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย อินโกลด์สตัดต์ (Ingoldstadt university) วิคเตอร์มีโอกาสได้พบกับ
เฮนรี่ เคลวอล (Henri Clerval) เพื่อนผู้หักเหชีวิตของเขาให้เปลี่ยนแปลงไป เฮนรี่ได้ชักจูง วิคเตอร์ ให้หันเหความสนใจมาสู่เรื่องราวเหนือธรรมชาติ
ทั้งสองต้องการที่จะไขปริศนาลับเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ความเร้นลับที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถที่จะไขความลับดังกล่าวได้ พวกเขามีความปรารถนาว่า
สักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งให้ได้

ด้วยแรงจูงใจและความใคร่รู้ทำให้ วิคเตอร์ และเฮนรี่ ตกลงใจที่จะทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง พวกเขาเริ่มต้นด้วยการรวบรวมศพของผู้ตายเอาไว้
เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็คัดเลือกเอาอวัยวะที่สวยที่สุดของศพแต่ละศพมาเย็บเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ชีวิตใหม่ที่เขาเนมิตขึ้นมา
เป็นชีวิตใหม่ที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพราะอวัยวะทุกชิ้นถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี



ภายหลังจากได้เย็บอวัยวะทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน จนกระทั่งมีรูปร่างสมบูรณ์แบบเหมือนมนุษย์ทุกประการ พวกเขาก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษบางอย่างทำให้
มนุษย์ทดลองของเขาสามารถฟื้นฟูคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ผลงานชิ้นนี้กลับไปได้สร้างความยินดีปรีดาให้แก วิคเตอร์ และเฮนรี่ เลย
มนุษย์จำลองค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆ แต่อนิจจา ผิวพรรณที่เหลือซีดของมัน ทำให้มันกลายเป็นซากศพเดินได้ที่มีสภาพน่ากลัว
เป็นอย่างยิ่งร่างกายที่ปราศจากเลือดฝาด ทำให้ปลายเล็บซีดคล้ำ ดวงตาที่ลึกโบ๋ยิ่งเสริมให้ใบหน้าของมันน่ากลัวมากยิ่งขึ้น มันพยายามที่จะยิ้ม
ให้แก่ วิคเตอร์ และเฮนรี่ แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่ามันกำลังแสยะยิ้มให้แก่เขา ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจของเขาทั้งสอง



ทั้งคู่ต่างวิ่งเตลิดออกจากห้องลับที่ที่ใช้เป็นสถานที่ในการศึกษาทดลองในครั้งนี้ทั้งคู่วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต และไม่รู้ว่าตนเองจะทำอย่างไรกับมนุษย์จำลองนี้ดี
จะทำลายก็เสียดาย แต่จะเก็บเอาไว้ก็ดูน่าเกลียดน่ากลัว พวกเขาตัดสินใจอยู่นานกว่าที่จะกลับเข้ามาในห้องลับอีกครั้ง แต่สิ่งประดิษฐ์อันแสนพิลึกของพวกเขา
ไม่รู้ว่ามันไปแอบอยู่ที่ใด หากยังอยู่ ในสายตาของพวกเขา เขาก็ยังทราบว่ามันทำอะไรบ้าง แต่นี่ก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่อีกใจหนึ่งพวกเขารู้สึกใจที่มันหายไปได้
เพราะมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน

หลังจากนั้นไม่นานนัก วิคเตอร์ ก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อวิลเลี่ยม แฟรงเกนสไตน์ (William Frankenstein) น้องชายของเขาถูกฆ่าด้วยการบีบคอจนตายผู้คนต่าง
กล่าวโทษ จัสติน มอริทซ์ (Justine Morite) พี่เลี้ยงที่อยู่ใกล้ชิด วิลเลี่ยมมากที่สุด จัสติน กลายเป็นนักโทษที่ต้องตรับความผิดที่ตนเองไม่ได้กระทำ
เพราะไม่มีหลักฐานใดมายืนยันได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่วิคเตอร์ รู้ว่าคนที่สังหารน้องชายของเขานั้นไม่ใช่คนอื่นเลย มันต้องเป็นเจ้าชายซากศพเดินได้ตัวนั้น
อย่างแน่นอน มันคงจะโกรธแค้นที่เขาสร้างมันขึ้นมาและไม่ได้ดูดำดูดีมัน มันจึงกลับมาลงโทษเขา



1 ปีผ่านไป วิคเตอร์ ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของเขาภายหลังจากที่วิลเลี่ยมตาย แต่แล้ววันหนึ่ง
ในขณะที่เขาไปพักผ่อนแถวเชิงเขา มองท์ บลังค์ (Mont Blanc) มันก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ วิคเตอร์ ไม่ได้หนีไปไหน
เขาพยายามตั้งสติพูดคุยกับมัน เพื่อให้รู้ถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของมันภายใน 1 ปี หลังจากที่เขาได้ชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เจ้าผีดิบได้เล่าให้นายผู้ให้กำเนิดมันฟังว่าภายหลังจากที่ วิคเตอร์ และเพื่อนได้วิ่งหนีมันออกไปแล้วนั้น มันก็ได้เดินโซซัดโซเซออกมาข้างนอก
แต่เดินไปทางใดผู้คนก็แตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งมันก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดทุกคนจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับมัน
แม้ว่ามันจะช่วยชีวิตเด็กน้อยผู้หนึ่งเอาไว้จากการจมน้ำ แต่อดทนที่จะได้รับคำขอบคุณเป็นการตอบแทน พ่อของเด็กผู้นั้นกับยิงปืนขับไล่มัน
เพราะกลับว่ามันจะไปทำอันตรายต่อลูกของเขา



ก็นับว่าเป็นความช่วยของเจ้าผีดิบที่มีหน้าตาแปลกประหลาดจากคนธรรมดา ทำให้ผู้คนหวาดกลัวโดยที่มันก็ไม่รู้เลยว่า ตนเองนั้นมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้น
ภายหลังจากถูกยิงขับไล่ มันก็ไดหนีกระเชอะกระเชิงไปจนกระทั่งไปเจิกับเด็น้อยผู้หนึค่งที่มีหน้าตาน่ารัก มันรู้สึกว่าอยากจะกอดแสดงความรักใคร่ต่อเด็กคนนั้น
แต่เนื่องจากการควบคุมแรงของมือยังไม่ดีพอ ทำให้แรงกดของมันกลายเป็นแรงบีบรัด ส่งผลให้หนูน้อยที่น่ารักคนนั้สิ้นใจตายและเป็นที่มาของการสิ้นชีวิตของ
วิลเลี่ยม น้อยชายของวิคเตอร์นั่นเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

etatae333

จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างเป็นผีดิบที่น่าสงสารเอาการ เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ที่เลือกจะมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่กลับมีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัว ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ประกอบกับร่างกายที่สูงใหญ่ผิดมนุษย์มนา ก็ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่พบเห็น
ความหวาดกลัวของผู้คนทำให้มันต้องมีชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครต้องการพบเจอหรือคบค้าสมาคมด้วย

เจ้าผีดิบได้เล่าชีวิตความเป็นอยู่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมาให้แก่ วิคเตอร์ นายของมันหลักจากนั้นมันก็ได้ขอร้องให้ วิคเตอร์ สร้างเพื่อนหญิงให้ในอีกสักตัว
แล้วมันจะพาคู่รักของมันไปอาศัยอยุ่ในป่าทึบที่ไม่มีใครสามรถขเาไปได้มันให้สัญญากับนายมันว่า จะไม่มีใครได้เห็นหน้าของมันอีก ขอแค่เพื่อให้มีสักคน
หลังจากที่วิคเตอร์ ฟังเรื่องราวอันยืดยาวของมันจนจบ เขาก็ตัดสินใจตกลงที่จะกระทำตามคำของของมัน



เพราะเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายจะได้จบสิ้นเสียทีอีกทั้งสงสารที่มันต้องอาศัยอยู่อย่างโดเดี่ยว วิคเตอร์ และเฮนรี่ จึงได้กลับไปรวบรวมซากศพของผู้ที่เสียชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่การทดลองในครั้งที่สองดำเนินไปได้ไม่ถึงไหน ทั้งสองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? เพราะเข้าอาจจะสร้างครอบครัวผีดิบขึ้นมาใหม่
ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาให้มากขึ้น อดทนที่จะแก้ไขปัญหาให้เสร็จลุล่วงไปได้ พวกเขาจึงหยุดสร้างผีดิบตัวที่สอง

การหยุดทำงานของ วิคเตอร์ และ เฮนรี่ อย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าผีดิบรู้สึกงุนงงมาก มันจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้นายของมันสร้างคู่รักแสนสวยให้เสร็จ
แต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล พวกเขาไม่ยอมที่จะทำงานต่อ ทำให้ผีดิบรู้สึกโกรธแค้นมากที่คำขอร้องของมันไม่เป็นผล
มันจึงได้กล่าวอาฆาตแค้นเขาเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เขาแต่งงาน มันจะกลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นมันก็หลบหนีไป

วิคเตอร์ และ เฮนรี่ ได้ย้ายหนีเจ้าผีดิบไปที่ไอร์แลนด์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหนีมันพ้น เฮนรี่ เป็นผู้เคราะห์ร้ายคนแรก เขาถูกเจ้าผีดิบสังหารจนกระทั่งเสียชีวิต
เจ้าผีดิบได้ให้บทเรียนบทแรกแก่ วิคเตอร์ เพราะเมื่อมันต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว นายของมันก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน
แต่การแก้แค้นของมันก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก เพราะหลังจากที่ทนความเหงาไม่ไหว วิคเตอร์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงคนรัก

ในคืนวันแต่งงานที่ควรจะเป็นคืนแห่งความสุขในชีวิตของ วิคเตอร์ เขากลับพบกับความทุกข์ทรมานในอย่างที่สุด เมื่อเจ้าสาวสุดที่รักของเขาถูกเจ้าผีดิบสังหาร
จนเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง เจ้าผีดิบได้จองล้างจองผลาญ วิคเตอร์ ตามที่มันลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ เรียกว่ากงกรรมกงเกวียนก็คงจะไม่ผิดเทาใดนักเพราะเมื่อสร้าง
ขึ้นมาแล้วไม่ดุแลรับผิดชอบให้ดี มันก็ย่อมก่อปัญหาตามมาอย่างไม่รู้จักจบรู้จักสิ้น



ความทุกข์และความหวาดกลัวเริ่มโถมเข้าสู่จิตใจของ วิคเตอร์ เขาพยายามที่จะหลบหนีเจ้าอสูรกายทุกวิถีทาง แต่ยิ่งหนีก็เหมือนกับว่ามันก็ยิ่งตามเหมือนตัวเรา
และเงาที่ต้องติดกันไปตลอดเวลา ซึ่งในตอนนี้ วิคเตอร์ รู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก เหตุใดเจ้าผีร้ายมันจึงไม่หนีไปที่อื่น
ทำไมต้องตามมาจองล้างจองผลาญเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด มันก็ตามเขาไปถูกทั้งสิ้นเขาคิดใครครวญอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี



ยาวมากมาย แต่ก็จบละครับ ljhgf



จนกระทั่งวันหนึ่ง วิคเตอร์ จึงตัดสินใจที่จะเล่นเรือหนีไปยังขั้วโลกเหนือด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า เจ้าผีร้ายจะไม่มีทางตามหาเขาเจออย่างแน่นอนแต่แล้ว
ดินแดนแห่งใหม่นี้กลับกลายเป็นสุสานสำหรับตัวของเขา อากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้ร่างกายของ วิคเตอร์ ที่อ่อนแออยู่แล้วกลับล้มเจ็บลง
สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับธรรมชาติที่หนาวเหน็บ วิคเตอร์ เสียชีวิตอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากญาติพี่น้อง เขาเสียชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวและเหงาหงอย

หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปไม่นาน เจ้าผีดิบก็ได้ตามมาถึงตัวนายของมันแต่ไม่ทันเสียแล้ว มันไม่สามารถที่จะตาม วิคเตอร์ ไดอีกแล้ว เพราะวิคเตอร์ได้ด่วนลาหนี
มันไปยังปรโลกเสียแล้ว การตายของวิคเตอร์ ทำให้เจ้าผีดิบเสียใจเป็นอย่างมาก เหตุใดนายที่มันเฝ้าจงรักภักดีถึงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งมันให้ใช้ชีวิตอยู่อย่าง
โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ ทำไมเขาจึงไม่มีความรับผิดชอบ สร้างมันขึ้นมาแต่กลับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เมื่อเห็นว่าหน้าตาของมันอัปลักษณ์ ไม่สวยงามอย่างที่เขาเคยคิดหรือ
หวังเอาไว้ มันทำความผิดอะไรเอาไว้ถึงต้องทำกับมันเช่นนี้



การที่มันเฝ้าติดตามเขานั้น มันต้องการเพียงแค่ให้เขารักและปรานีแก่มันบ้าง เพราะในโลกนี้ก็คงมีเพียงแค่นายของมันเท่านั้นที่ไม่กลัวมันและรู้จักมันเป็นอย่างดี
มันไม่หวังให้คนอื่นมารักใคร่มัน ขอเพียงแค่นายของันรักและเข้าใจมันก็พอ แต่ก็ดูเหมือนว่าความหวังสุดท้ายของมันก็เป็นหมันเสียแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ทำไมบนโลกใบนี้ เจ้าผีร้ายจึงได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายทันที คงเหลือไว้เพียงความงงงันของลูกเรือที่พบเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาด

เรื่องราวเหล่านี้จึงกลายเป็นตำนานของผีดิบ แฟรงเกนสไตน์ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรเลย แต่คนเล่าไม่รู้จะเรียกว่ามันอะไรดี
จึงเรียกชื่อผู้ที่สร้างมันแทน เรียกไปเรียกมาก็เลยกลายเป็นชื่อของมันไปเสียเลยก็นับว่าเป็นผีดิบที่น่าสงสาร เพราะหากเรามีโอกาสฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่กลับไม่สามารถใช้ชิวิตอยู่ในสังคมได้ เพราะเดินไปทางไหนผู้คนต่างก็หวาดกลัวและคอยหลบหนีหน้าเราไปนั้น เราก็คงไม่อยากที่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

บทเรียนครั้งหนึ่งถ้าหากจะกล่าวโทษก็คงต้องโทษ วิคเตอร์ และเฮนรี่ ที่แอบไปเล่นพิเรนทร์ สร้างมนุษย์ให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนธรรมชาติ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตาม
ที่ใจของตนเองวาดหวังเอาไว้ ก็ไม่รับผิดชอบหรือหาหนทางแก้ไขกลับทิ้งให้เป็นปัญหาคาราคาซัง สุดท้ายตนเองก็ต้องกลายเป็นคนที่รับเคราะห์ร้ายเสียเอง
ไม่แน่ใจว่าในอนาคตอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์ขี้เล่นสามารถชุบชีวิตมนุษย์ขึ้นมาใหม่ ได้เหมือน วิคเตอร์ คราวนี้เราอาจจะมีเรื่องราวตื่นเต้นในชีวิตเกิดมากขึ้น
ก็เป็นได้ ผีดิบอาจจะเดินสวนกับมนุษย์โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ได้
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions