Norse Mythology: Episode 10 – เหตุแห่งความเกลียดชัง

Norse Mythology: Episode 10 – เหตุแห่งความเกลียดชัง

เริ่มโดย etatae333, 04 เมษายน 2014, 14:52:33

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

Norse Mythology: Episode 10 – เหตุแห่งความเกลียดชัง

ความชิงชังในสวรรค์เริ่มก่อตัวมากขึ้น ไม่ใช่ในระหว่างชาวสวรรค์ด้วยกันเองหรอกนะครับ แต่เป็นระหว่างเทพส่วนใหญ่กับโลกิเพียงคนเดียว
ถึงกระนั้นโลกิก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจว่าจะมีใครเกลียดมากมายขนาดไหน โลกิเสียอย่างอยากจะทำแต่ความชั่วเพื่อสะใจอย่างเดียวอยู่แล้ว
ชาวแอสการ์ดก็ได้แต่นิ่งละครับ ยุ่งกับโลกิก็มีแต่ความรำคาญใจ ส่วนโลกิเมื่อไม่มีใครอยากยุ่งเขาก็ยิ่งสำราญหาทางก่อกวนไปเรื่อย
จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่โลกิเล่นแรงเกินเหตุจนทำให้ตัวเองต้องถูกเนรเทศ เรื่องมันเริ่มขึ้นที่บาลเดอร์ครับท่านผู้อ่าน


บาลเดอร์และโฮเดอร์



เรามาพูดถึงเขากันสักหน่อย ... บาลเดอร์-เทพแห่งแสงสว่างและความจริง เป็นลูกของโอดินกับฟริกก้าครับ เขาคนนี้เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า
เป็นเทพรูปงามที่สุดในบรรดาทวยเทพทั้งหมดของแอสการ์ด บาลเดอร์มีผมสีบลอนด์ทอง ซึ่งเปรียบได้ดั่งรังสีแห่งดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง
ท้องทุ่งยามหน้าร้อน ใบหน้าของเขาได้รูปงดงามราวกับเป็นรูปสลัก ร่างกายก็สูงสมาร์ทสมส่วน รวมความแล้วหล่อบาดใจทั้งเทพี
และยักษ์เชียวละครับ นอกเหนือจากความเป็นคนรูปหล่อแล้ว บาลเดอร์เป็นคนที่ทรงภูมิรู้มากองค์หนึ่ง เขารู้เรื่องอักษรรูนและเรื่องสมุนไพร
เยียวยาความป่วยไข้ ทำให้เขากลายเป็นเทพหลักของมนุษย์ในช่วงที่มีโรคภัยเบียดเบียนมิดการ์ด ที่สุดของที่สุด
... บาลเดอร์เป็นเทพที่ใครๆ ก็รัก ซึ่งถ้าจะมีข้อยกเว้นก็คงเป็นโลกิคนเดียวเท่านั้น ก็เขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับความดีนี่ครับ




วังของบาลเดอร์ชื่อว่า เบรดาบลิค (Breidablik) เป็นที่ๆ เทพอยู่กับชายาชื่อนันนา (Nanna) เทพีแห่งการเพาะปลูก วังเบรดาบลิคแห่งนี้
ขึ้นชื่อว่าเป็นวังที่สวยงามหลังคาบุด้วยทองคำและมีเสาค้ำทำด้วยเงิน ทรงความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งความเท็จใดๆ ก็ไม่อาจผ่านเข้าวังแห่งนี้ได้
สิ่งเดียวที่ผิดพลาดในชีวิตของบาลเดอร์ก็คือน้องชายฝาแฝด โฮเดอร์ (Hodur) ผู้เป็นเงาบาปของพี่ เช่นเดียวกับการมองว่าทุกสิ่งมีสองด้าน
หากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งแสงสว่าง โฮเดอร์คือเทพแห่งความมืด หากบาลเดอร์เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ โฮเดอร์คือก็เป็นตัวแทนของบาป
บาลเดอร์สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน โฮเดอร์ก็ตาบอดสนิท และโฮเดอร์นี่ละครับที่เป็นชนวนหนึ่งของความเกลียดชังนำไปสู่
ความพินาศในแร็กนาร็อค



เรื่องมันเริ่มขึ้นจากการที่บาลเดอร์ฝัน เป็นฝันร้ายเห็นตัวเองเดินอยู่ในความมืด รอบข้างทางเดินเป็นศพคนตายและวิญญาณคนตายในรูปร่าง
น่าสยดสยองนับพันนับหมื่น ที่ต่างชูมือออกมาไขว่คว้ายื้อแย่งตัวเขา มันเป็นฝันที่ทำให้บาลเดอร์ตกใจตื่นทุกครั้ง บาลเดอร์เริ่มฝันแบบเดียวกัน
อย่างเดียวกันซ้ำๆ บ่อยขึ้นๆ กระทั่งเวลางีบหลับสั้นๆ ฝันร้ายก็เข้ามาจู่โจม จนเขากลายเป็นคนหวาดกลัวการนอน เทวาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรื่นเริง
มากที่สุดและสง่างามที่สุดกลับกลายเป็นเทวาที่มีแต่ความทุกข์ ใบหน้าของเขาอิดโรยกะปลกกะเปลี้ย เที่ยวเดินท่อมๆ ไปทั่วแอสการ์ด
ไม่พูดไม่จากับใคร


ความเปลี่ยนแปลงของบาลเดอร์ไม่รอดสายตาผู้คนในสวรรค์ เมื่อถามเข้าบาลเดอร์ก็ว่าเขาฝันร้าย ความฝันที่บาลเดอร์เล่าให้ฟังพาให้ทวยเทพ
ต่างวิตก เนื่องจากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งความจริง ซ้ำในกำแพงวังเบรดาบบิคของเขาด้วยแล้ว ไม่มีใครเห็นเรื่องไม่จริง ความฝันของบาลเดอร์
ทำท่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงจนบรรดาเทพตระหนักว่า ชีวิตของบาลเดอร์น่าจะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว เห็นทีจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าอะไร
จะเกิดขึ้นกันแน่ เทพเทวาต่างไปรวมตัวกันที่แกลดสไฮล์ม ทูลปรึกษากับโอดิน จอมเทพตกใจ ท่านรีบขึ้นม้าสไลป์เนอร์ลงไปหาเทพีนอร์น
ยังโลกบาดาล คำตอบที่ได้รับทำเอาโอดินแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ท่านรู้ว่าบาลเดอร์กำลังจะตาย

โอดินกลับสวรรค์ บอกกล่าวคำทำนายของเทพีนอร์น แต่ก็ตามประสาผู้เป็นแม่ละครับ ฟริกก้าไม่ยอมเชื่อ หล่อนไม่ยอมแพ้พาเอาเรื่องไปปรึกษา
บรรดาเทพในแกลดสไฮล์มอีกครั้ง คราวนี้เทพเทวาทั้งหลายต่างช่วยกันคิดว่าทางใดบ้างที่จะทำให้บาลเดอร์ประสบชะตากรรม ต่างคนต่างช่วยกัน
สมมุติสถานการณ์ อาวุธ เชื้อโรคหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะสามารถฆ่าเทพอันเป็นที่รักที่สุดได้ เมื่อหารือกันเสร็จสรุปเนื้อความแล้ว ฟริกก้าก็ถือเป็นหน้าที่
ของเธอที่จะต้องออกเดินทางไปยังเก้าโลกขอคำสาบานจากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ก้อนหิน กรวด ทราย คมหอกคมดาบ นุ่น ใบไม้ จากสิ่งที่แข็ง
ที่สุดถึงสิ่งที่อ่อนที่สุดว่าจะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง



ฟริกก้าเสร็จภารกิจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่นางก็เบาใจขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า อย่างน้อยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกจะทำร้ายบาลเดอร์ได้ การกลับมา
ของราชินีสวรรค์ทำให้ทวยเทพในแอสการ์ดมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็เลยจัดงานฉลองสามวันสามคืนไม่เลิกรา ยิ่งบาลเดอร์มีสีหน้าดีขึ้นเทพแอสการ์ด
ก็ยิ่งพากันยินดี เหล้าถูกนำมาเสิร์ฟกันทั่วๆ ดื่มไปคุยไป ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ เทพเริ่มเมา เมาแล้วห่าม
เริ่มอยากทดลองว่าคำสาบานที่ฟริกก้าออกเดินทางไปขอมาจากสิ่งต่างๆ นั้นได้ผลจริงหรือไม่ เขาให้บาลเดอร์ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบรรดาเทพ
ก็ทยอยเอาอะไรต่อมิอะไรมาปาใส่ เริ่มด้วยหินก้อนเล็กๆ ปาไปถูกหน้าผาก แต่บาลเดอร์ไม่เจ็บเพราะหินจำคำสาบาน มันยั้งน้ำหนักตัวเองก่อน
ถึงตัวเทพและร่วงลงพื้นไปก่อน

ชาวฟ้าแน่ใจมากขึ้น เริ่มทดลองด้วยอาวุธประเภทต่างๆ ของที่เอามาขว้างใส่บาลเดอร์กลายเป็นหินก้อนใหญ่ขึ้น มีดสั้น ดาบและเรื่อยๆ ไป
จนกระทั่งธอร์เองก็เล่นกับเขาด้วย เอาขวานจามเทพแห่งแสงสว่าง แต่สิ่งเหล่านี้กลับเด้งจากผิวของบาลเดอร์ ไม่ระคายเขาแม้แต่น้อย
ทั่วทั้งห้องประชุมต่างเต็มไปด้วยความยินดี ยกเว้นที่ซอกมุมหนึ่งของท้องพระโรงที่โลกิหลบเร้นอยู่


ความยินดีของเทพเป็นเหตุให้โลกิหมั่นไส้ กลายเป็นความหงุดหงิดตามประสาโลกิ แบบนี้ต้องมีการแกล้ง เทพจอมโกงพยายามนึกๆ
นึกว่ามันน่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เล็ดรอดสายตาของฟริกก้า อะไรสักอย่างที่ไม่ได้กล่าวคำสาบาน ดวงตาของโลกิลุกโพลงด้วยความชั่วร้าย
เขาหายตัวไปจากแกลดสไฮล์มหาหนทางที่จะเป็นไปได้

สอง-สามวันต่อมา โลกิคิดแผนออก เขาแปลงตัวเป็นหญิงแก่ผอมโซหน้าตาน่ารังเกียจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสกใบหน้าให้เหี่ยวย่นหนังยาน
จมูกใหญ่ยื่นยาวเป็นปุ่มปมเพื่อให้เสียงพูดฟังเหมือนคำราม กระย่องกระแย่งเข้าไปในเฟนซาเลียร์วังของฟริกก้า เขารู้ว่าเธอหลบมานั่งพักหนี
ความวุ่นวายของท้องพระโรงอยู่ที่นี่ โลกิแปลงเดินเข้าไปหา ถามว่ามีงานอะไรในแกลดสไฮล์มจึงได้ส่งเสียงน่ารำคาญลอยลมมาเช่นนี้
ราชินีฟริกก้ามองผู้มาเยือนอย่างนึกรำคาญ เธอยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางไกลทั่วเก้าโลก จึงตอบยายเฒ่าว่า

"นั่นเป็นงานฉลองสวัสดิภาพของบาลเดอร์เทพแห่งสัจจะ"

"เช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทนมานด้วยการถูกอาวุธทำร้าย"

ยายเฒ่าแสดงท่าฉงน

ควีนฟริกก้าอธิบายว่า เธอได้เดินทางไปทั่วทั้ง 9 โลก ขอคำสาบานจากสิ่งต่างๆ ว่าจะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง ... โลกิแปลงจี้ลงตรงจุด
ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถามมาแล้วทุกอย่างจริง เสียงของนางเฒ่า ตลอดจนความจู้จี้จุกจิกยิ่งทำให้พระนางฟริกก้ารำคาญมากขึ้นอยากให้
ยายแก่ไปพ้นหูพ้นตา จึงตอบโดยไม่ทันคิด



"ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) ตอนที่ข้าไปถึงมันยังเป็นไม้อ่อนเกินไป ข้าว่านอกจากมันจะฟังข้าไม่เข้าใจ
มันคงไม่รู้จะทำอันตรายบาลเดอร์ได้ยังไงด้วย"


คำตอบของฟริกก้าทำให้โลกิเห็นทางสว่าง แต่ยังแสร้งถามโน่นถามนี่จนนางรำคาญสุดขีดออกปากไล่ยายแก่ โลกิเดินออกมาจากวังเฟนซาเลียร์
ด้วยความลิงโลดที่เก็บไว้แทบไม่มิด เมื่อถึงราวป่าโลกิคืนร่าง เขามุ่งหน้าไปยังแถวที่ต้นมิสเซิลโทขึ้น หักกิ่งของมันขนาดพอเหมาะแล้วเสี้ยมปลาย
เดินถือเข้าไปในท้องพระโรงแกลดสไฮล์มที่ยังเต็มไปด้วยความรื่นเริง

โลกิมองหาคนที่จะยืมมือได้ ทันทีนั้นเขาเห็นโฮเดอร์เทพตาบอดซึ่งถูกกีดกันจากเทพด้วยกันเองเสมอๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังคลำงุ่มง่าม
เปะปะไปตามผนัง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมขว้างปาบาลเดอร์เพราะมองไม่เห็น โลกิเดินเข้าไปโอบไหล่โฮเดอร์ ทำเป็นมีความเมตตา
แล้วเริ่มกล่อม


"ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาขว้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า"

"ก็ข้า...ข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย"

โฮเดอร์ว่า

โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิลโทใส่มือบาลเดอร์ "เอาของข้าก่อนก็ได้"

"แต่ข้าก็ไม่เห็นอยู่ดีแหละ"

"ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง



"เอาละ ... ยิง" โลกิสั่ง เทพองค์นั้นยิงออกไปเต็มกำลัง ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบาลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก
ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคนต่างช๊อกกับภาพตรงหน้า
แต่วินาทีนั้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยืนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็ง
ยังค้างอยู่ เทพอีเซอร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปล่อยเทพ
ตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว




ตอนนั้นความโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไหนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่
เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความเศร้าของโอดิน นอกจากบาลเดอร์
จะจากไป เขาเป็นคนเดียวที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อไรก็ตามที่แสงสว่างและสัจจะธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา
ต่อแต่นี้ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกองขี้เถ้า

ในท่ามกลางความเศร้านั้น ฟริกก้าพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผู้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรก ไปนำวิญญาณบาลเดอร์กลับขึ้นมา
สู่โลกแห่งชีวิต ปรากฏว่าเฮอร์มอด (Hermod, Hermóðr) ลูกของนางอีกคนหนึ่งอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
ทันทีที่เสียงฝีเท้าม้าจากไป โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบาลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดาบลิควังของตน ขณะเดียวกันต้นไม้
จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบาลเดอร์ (คนเหนือก่อนจะรับศาสนาคริสเตียน นิยมการเผาศพเหมือนเราครับ พิธีศพของชาวเหนือ
ก็ดูได้จากงานศพบาลเดอร์นี่ละ) ไม้ฟืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาดฟ้าเรือริงฮอร์น (Ringhorn) เรือหัวมังกรของเขาเอง
จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงสว่างก็ได้รับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้น


เทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน ไม่ว่าจะเป็นพรมสวยๆ อาวุธดีๆ หรือเครื่องทองสุกปลั่งมาวางไว้ข้างศพบาลเดอร์
ในเรือเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย โอดินวางแหวนเดราป์เนียร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกลูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบาลเดอร์
ฟื้นหลังช่วงแร็กนาร็อค) ก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูศพ จนทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเป็น
คำศักดิ์สิทธิ์สั่งให้บาลเดอร์ "คืนชีพ" โอดินเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกครั้งหลังแร็กนาร็อคทำลายโลกไปหมดสิ้น

นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกเศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นลมไปหลายพับ
แต่คราวนี้ความเสียใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้างศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไว้ข้างเขา
เพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้น ขั้นตอนที่น่าเศร้าที่สุดก็คือปล่อยเรือลงน้ำ แต่ว่าริงฮอร์นในขณะนี้เพียบแปร้
ไปด้วยน้ำหนักของฟืนและน้ำหนักของสมบัติจนขยับไม่ได้ โอดินสั่งคนสื่อสารไปโจตันไฮล์มขอความช่วยเหลือจากยักษีภูเขานาม
เฮอร์โรคิน (Hyrrokin) มาช่วยนำเรือลงน้ำ



เฮอร์โรคินมาตามคำขอของโอดิน แต่การปรากฏตัวของนางเล่นเอาชาวแอสการ์ดขวัญหนีดีฝ่อ ก็นอกจากนางจะใหญ่โตมโหฬาร
ยังดันขี่หลังหมาป่ายักษ์เดินทางมาเสียอีกนี่ครับ หนำซ้ำสายบังเหียนของนางยังน่ากลัวพิลึก แทนที่จะเป็นหนังธรรมดาๆ
กลับเป็นงูกำลังบิดรัดกันเป็นเกลียว เฮอร์โรคินมาถึงนางก็ลงจากหลังหมาร้องเรียกเทพให้ช่วยหาคนมาจับพาหนะระหว่างที่นางเข็นเรือลงน้ำ
โอดินรีบเรียกเอนเฮเรียร์ที่เป็นนักรบเบอร์เซิค ซึ่งกล้าแข็งที่สุดสี่คนมาช่วยกันดึงบังเหียนไว้ แต่นักรบทั้งสี่ก็ไม่อาจทานกำลังมหาศาล
ของหมาป่ายักษ์ได้พากันล้มระเนระนาด นางยักษ์ต้องมาจัดการผูกหมาเองด้วยความรำคาญ



เฮอร์โรคินหันกลับไปสู่เรือของบาลเดอร์ นางใช้มือข้างเดียวดันเรือออกจากท่า เสียงเรือริงฮอร์นลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียดประสาทหู
ไปทั่วทั้ง 9 พิภพ กองไฟถูกจุดขึ้น ธอร์กระโดดขึ้นบนดาดฟ้าด้วยหัวใจที่เศร้าหนักหน่วง เขายกค้อนมจอลเนียร์ขึ้นสูงแล้วร่ายเวทย์ป้องกัน
ให้บาลเดอร์เดินทางสู่นิฟล์ไฮล์ม ริงฮอร์นลอยไปสู่ขอบฟ้า เพลิงที่จุดกลางลำเรือเผาทั้งศพของบาลเดอร์และนันนาไปกับตัวเรือ
ซากที่เหลือไม่มากจมลงใต้ท้องทะเลเวลาเดียวกับที่อาทิตย์ตก การจากไปของเทพทั้งสองทำให้ภาพตะวันตกดินเป็นภาพงาม
ที่เศร้าที่สุดที่ชาวแอสการ์ดเคยเห็น ระหว่างที่เสียงร่ำไห้ระงมทั่วแอสการ์ด เฮอร์มอดก็เข้าใกล้นิฟล์ไฮล์มเข้าไปทุกที เขาขี่ม้าแปดขา
ข้ามสะพานจิอัลลา (Giallar) สะพานที่ทอดข้ามจิอัล (Giall) แม่น้ำแห่งความตาย ม้าพาคนขี่กระโดดไกลเข้าประตูนรกไปสู่วังของเฮล
กลางใจแผ่นดินนิฟล์ไฮล์มอย่างรวดเร็ว



ในการเข้าถึงโถงเลี้ยงอาหารของเฮลนี่เอง เฮอร์มอดเห็นบาลเดอร์และนันนานั่งพักอยู่บนเก้าอี้ อาหารเบื้องหน้าไม่ได้รับการแตะต้อง
เช่นเดียวกับเหล้าที่วางไว้เคียงกัน วิญญาณของสองเทพดูจะตายเช่นเดียวกับร่าง เฮอร์มอดพยายามให้กำลังใจผลักดันบาลเดอร์ว่า
เขาควรกลับไปอยู่แดนของสิ่งมีชีวิต แต่วิญญาณของเทพตอบด้วยความเศร้าว่า มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว


เฮอร์มอดพบเฮล บอกคำอ้อนวอนของพระนางฟริกก้า เฮลจ้องหน้าเทพด้วยดวงตาเย็นชา นางตอบว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ทั้ง 9 ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ร้องไห้ให้กับการจากไปของบาลเดอร์ นางจะยอมปล่อยให้เทพกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แค่เพียงนี้
ก็เป็นการต่อรองที่ดูจะมีหวัง เฮอร์มอดรีบกลับแอสการ์ด แจ้งเรื่องที่เฮลบอกให้โอดินทราบ

ข่าวของเทพบุตรหนุ่มสร้างความหวังริบหรี่ให้โอดิน เขาส่งทูตทั้งสี่ออกไปบอกข่าวแก่สิ่งต่างๆ ในโลกชนิดปูพรม แน่ใจว่าบาลเดอร์
เป็นที่รักของทุกคนและทุกสิ่ง ไม่ยากเลยที่คนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นจะร่ำไห้และทูตก็ทำงานได้ดีจริงๆ ครับกระทั่งฝุ่นและหิน
ก็ยังหลั่งน้ำตาของมันแก่เทพผู้ล้มลงตาย ทูตทั้งสี่กลับแอสการ์ด ระหว่างทางกลับนั่นละครับที่พวกเขาบังเอิญเห็นถ้ำแห่งหนึ่ง
ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทูตสวรรค์ก็เลยลองเดินไปข้างใน พบนางยักษ์ธรอค (Thokk, Þökk) จึงแจ้งข่าวการตายของบาลเดอร์แก่นาง
แต่นางยักษ์ธรอคฟังแล้วก็นิ่งเฉย ทูตถามย้ำว่าไม่เสียใจเรื่องความตายของเทพแห่งแสงสว่างบ้างเลยเชียวหรือ ยักษ์ธรอคมองหน้าทูตแล้วว่า
นางไม่รู้สึกอะไรเลยคำตอบของยักษ์ตนนี้คนเดียวเท่านั้นละครับ ทำให้บาลเดอร์ตกอยู่ในเงื้อมมือของเฮลตลอดไป



ทูตสวรรค์กลับแอสการ์ดพร้อมกับข่าวร้าย แจ้งแก่เทพว่าทุกสิ่งทุกอย่างร่ำไห้แก่บาลเดอร์ ยกเว้นสิ่งเดียวคือยักษ์ธรอค ยักษ์ที่ไม่เคย
มีใครได้ยินชื่อมาก่อน ความนิ่งเฉยของยักษ์ตนนี้ทำให้บาลเดอร์ไม่มีทางฟื้นกลับมาสู่สวรรค์อีกแล้ว ท้องพระโรงแอสการ์ดเต็มไปด้วย
ความเศร้าอีกครั้ง ไม่มีใครทันสังเกตแววตาสะใจวะวับของโลกิ ที่ยังคงแกล้งทำเป็นเสียใจ มันเป็นแววตาเดียวกับนางยักษ์ผู้ไม่ร่ำไห้
ท่านผู้อ่านทายออกไหมครับว่ายักษ์ธรอคเป็นใคร ใช่แล้วละครับ ... ยักษ์ตนนี้ก็คือโลกิ เขาทำเรื่องชั่วสำเร็จไปอีกหนึ่ง

ความตายของโฮเดอร์

ความตายของบาลเดอร์นับเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังสำคัญระหว่างเทพและโลก แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นโฮเดอร์
ซึ่งถูกยืมมือมาฆ่าโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกที่นั่งกลายเป็นเทพที่ถูกชังมากเข้าไปอีก ครั้นเมื่อความโศกเศร้าจางหายไป
จากแอสการ์ด เทพโอดินสมสู่กับรินด้า เมียคนที่สามให้กำเนิดวาลี (Vali, Váli) ขึ้นเท่านั้น เทพองค์นี้ก็เป็นผู้ถามหาความยุติธรรม
แก่บาลเดอร์หลังจากเขาเกิดไม่กี่วัน วาลีถือคันศรและแล่งบรรจุลูกธนูติดตัวตลอดเวลาจนวันหนึ่งสบโอกาสก็ยิงโฮเดอร์ตาย ความตาย
ของโฮเดอร์เป็นการแก้แค้นที่สาสมในความเห็นของคนเหนือ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ คือโลกิ เลยกลายเป็นว่าทั้งบาลเดอร์และโฮเดอร์
ต่างหนีตายไปก่อนจะเจอความพินาศในแร็กนาร็อค


การคุมขังและความทรมานครั้งสุดท้ายอันนำไปสู่ความพินาศของสามภพ

เล่ามาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านจะต้องคาใจแน่ใจเลยว่า แล้วชาวสวรรค์ไม่รู้สึกอะไรกับความร้ายกาจของโลกิบางหรือ !? อันนี้ของแน่ครับ
ใครๆ บนแอสการ์ดไม่ได้คิดแต่จะอยากลงโทษโฮเดอร์ฝ่ายเดียว แผนชั่วของโลกิคราวนี้ทำให้ชาวสวรรค์เศร้าโศกเสียใจเกินกว่า
จะอภัยแก่โลกิอีกต่อไป พวกเทพรวมตัวกันเนรเทศโลกิห้ามไม่ให้ย่างเหยียบเข้ามาในแอสการ์ดไม่ว่าส่วนไหนๆ ทั้งสิ้น โลกิไม่เข้าใจ
ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นความผิดร้ายแรง เขาไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ตรงกันข้ามโลกิยิ่งโกรธเกรี้ยวหาหนทางแก้เผ็ด
เรื่องการเนรเทศเข้าน่ะหรือเมินเสียเถิดทำไมจะต้องสนใจด้วย


สบโอกาสเหมาะเข้าวันหนึ่งขณะที่มีการเลี้ยงใหญ่ที่ท้องพระโรงแกลดสไฮล์ม โอดินและธอร์ไม่อยู่ โลกิก็เดินส่ายอาดๆ เข้าไปในห้องเลี้ยง
เริ่มชี้หน้าด่าเทพแต่ละองค์รายตัว ขุดเอาความบกพร่องน่าอับอายของเทพองค์นั้นขึ้นมาประจาน ทวยเทพต่างอ้าปากค้าง ไม่มีใครห้ามโลกิอยู่
เขายังสามหาวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงซิฟ โลกิขุดเอาเรื่องของเธอขึ้นมาพูด เสียงของเขาดังขึ้นๆ จึงไม่ทันสังเกตว่า ธอร์ซึ่งไม่ได้อยู่
ในที่ประชุมเมื่อครู่ บัดนี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังจอมโกงอย่างเงียบๆ เขาย่อมต้องได้ยินคำพูดที่โลกิกำลังประจานเมียรักเต็มสองหู
ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาในหัวของธอร์ เทพแห่งสายฟ้าเหวี่ยงค้อนหมุนบนหัว คราวนี้กะว่าโลกิต้องตายคาห้องประชุม แต่เทพจอมโกงก็ไหวดี
เขารู้สึกว่าเทพที่ส่งเสียงด่าทออยู่เมื่อครู่จู่ๆ ก็เงียบเสียง หันขวับไปเห็นธอร์อยู่เบื้องหลัง โลกิเผ่นออกไปจากห้องทันก่อนที่ค้อนจะปลิวมาถึงตัว
ความอดทนของเทพที่มีต่อโลกิขาดผึง แทนที่จะแค่เนรเทศแล้วเลิกสนใจเจ้าจอมแสบคนนี้ ทวยเทพต่างตกลงกันว่า เห็นท่าเขา
จะต้องรับโทษให้สาสม โอดินสั่งให้จับโลกิเอาตัวมาทรมาน

การจับกุม



ฝ่ายโลกิ เมื่อออกมาจากห้องประชุมเทพ เขาก็รู้แล้วว่าครั้งนี้คงถูกไล่ล่า เขาพยายามป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง โลกิเลือกทำเลที่ซ่อนใหม่
เขาขึ้นไปสร้างกระท่อมสี่เหลี่ยมบนยอดเขา ฝาทั้งสี่ด้านของกระท่อมหลังนี้มีประตูเปิดไว้ตลอดเวลาเพื่อจะได้รู้หากมีใครสักคนมาถึง
ต่อลงไปจากกระท่อมมีลำธารไหลแรง โลกิกะว่าถ้าถูกต้อนจนมุมเขาจะแปลงร่างเป็นปลาแซลมอนโดดหนีลงน้ำ


ธอร์พยายามติดตามโลกิจนรู้ตำแหน่งแหล่งที่ซ่อน ด้วยความที่เขาเป็นคนรู้จักโลกิมากที่สุดจากการผจญภัยด้วยกันหลายครั้ง ธอร์พอจะเดาออก
ว่าโลกิคิดอะไร เมื่อวิเคราะห์ชัยภูมิที่โลกิซ่อน ธอร์เห็นจุดอ่อน เขารู้ทันความคิดของโลกิว่า ถ้าจวนตัวมีหวังเทพองค์นั้นจะแปลงตัวเป็น
ปลากระโดดลงน้ำหนีไปแน่ ธอร์จึงไปปรึกษาโอดินเตรียมแหวิเศษไปด้วย คราวนี้โอดินและธอร์ตามไปถึงรัง จับตัวโลกิมาได้
เทวาอีเซอร์ช่วยกันคิดหาวิธีที่เหมาะสม แต่แน่ที่สุดคือโลกิต้องถูกจองจำไว้ที่มิดการ์ด พวกเขาไม่ต้องการให้สวรรค์ของพวกตนเปื้อนเลือด
ไปมากกว่านี้ เลือดของบาลเดอร์ที่นองพื้นสวรรค์น่าจะพอแล้ว แต่ก่อนที่จะพาโลกิลงไป เขาต้องการสร้างความเจ็บปวดให้โลกิมากที่สุด
จึงตามล่าลูกชายสองคนของจอมแสบ วาลีและนาวี สาปวาลีให้กลายเป็นหมาป่าที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธคลุ้มคลั่ง วาลีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
อะไรกับพ่อต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย สมองของเขาขณะนั้นไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่แถมยังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง เหลียวซ้ายแลขวา
เห็นนาวียืนตัวสั่นด้วยความตกใจก็เข้าทำร้าย หมาป่าแปลงกัดพี่ชายของตนจนไส้ไหลถึงแก่ความตาย ก่อนจะหนีเตลิดหายไปยังดินแดนโจตันไฮล์ม

เทพเก็บเอาไส้ของนาวีมาทำโซ่มัดตรึงโลกิเข้ากับแผ่นหินใหญ่สามแผ่น สกาดียักษ์สาวที่ได้รับความอับอายเพราะโลกิ อาสานำงูพิษมาสาป
ตรึงไว้เหนือหัว ให้งูนั้นพ่นพิษใส่หน้าจอมแสบตลอดเวลา แล้วเทพก็จากไป โชคที่เหลืออย่างเดียวของโลกิในเวลานั้นคือซิยินเมียยอดจงรักภักดี
หล่อนแอบตามมา เมื่อเห็นบรรดาเทพไปกันหมดแล้วก็ออกจากที่ซ่อน นั่งเฝ้าสามีคอยเอาถ้วยรองพิษงูไว้ไม่ให้ถูกใบหน้าโลกิ นางนั่งเคียงข้าง
สามีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงเวลาแร็กนาร็อค ช่วงเดียวที่หล่อนไม่อยู่กับเขา ก็คือตอนที่เอาถ้วยรองพิษงูไปทิ้ง เป็นตอนเดียวที่โลกิ
เจ็บแสบแปลบปวดกับน้ำพิษที่ร้อนเหมือนไฟ ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงกับแผ่นหินด้วยไส้ของลูกตัวเอง กับความร้อนจากพิษทำให้ความฝังใจ
เจ็บกับเทพทวีขึ้นเรื่อยๆ มันหมักบ่มจนสุกงอม จนกระทั่งเมื่อถึงทีของเขา โลกิก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจบสิ้นสลายไปกับโทสะของเขา



ที่มา: ต้นข้าว. http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=10
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

meaw_meow

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions