8 ตำนานพื้นเมืองที่บอกว่าทรานซิลเวเนียมีมากกว่าแค่แดรกคูล่า

8 ตำนานพื้นเมืองที่บอกว่าทรานซิลเวเนียมีมากกว่าแค่แดรกคูล่า

เริ่มโดย etatae333, 29 ตุลาคม 2016, 16:04:18

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

8 ตำนานพื้นเมืองที่บอกว่าทรานซิลเวเนียมีมากกว่าแค่แดรกคูล่า




ถ้าพูดถึงทรานซิลเวเนียแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงแดรกคูล่ากันเนอะ เพราะที่นี่คือฉากตามท้องเรื่องของ Bram Stoker's Dracula
ทำให้คนทั่วไปรู้จักชื่อทรานซิลเวเนียและประเทศโรมาเนีย แต่ชาวบ้านที่นี่บอกว่าจริงๆ แล้วที่ทรานซิลเวเนียมีตำนานน่ากลัวกว่าแดรกคูล่า
มากมายหลายเรื่องเลย

ตำนานนักเป่าขลุ่ยกับการลักพาตัวเด็ก



หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับตำนานนักเป่าขลุ่ยที่สามารถสะกดใจคนได้ เพราะฮอลลีวู้ดสร้างหนังที่มีตัวละครนี้มาแล้วหลายครั้ง
เนื้อเรื่องโดยย่อคือ ที่เมืองเฮมลินมีปัญหาหนูรบกวนชาวเมืองจนเกิดความเสียหายมากมาย จนวันหนึ่งมีนักเป่าขลุ่ยมารับจ้างไล่หนู
ซึ่งบทเพลงที่เขาเป่ามีพลังบางอย่างสะกดจิตพวกหนูให้ออกไปจากเมืองได้ ซึ่งหนูก็ออกไปเกือบหมด เหลือเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อนักเป่าขลุ่ยไปขอรับค่าจ้าง ชาวเมืองกลับไม่ยอมจ่าย นักเป่าขลุ่ยโมโหจึงเปลี่ยนทำนองที่ใช้เล่น คราวนี้กลับเป็นการสะกดจิตเด็กๆ
ทั้งเมืองให้ออกเดินทางตามเขาไป แต่จะไปที่ไหนนั้นก็มีการเล่าที่หลากหลายค่ะ บ้างก็ว่าพาไปกระโดดน้ำตาย
บ้างก็ว่าพาไปกระโดดหน้าผา บางฉบับก็จบลงดื้อๆ ให้ผู้ฟังเดาต่อเอง

แต่มีเวอร์ชั่นหนึ่งที่บังเอิญตรงกับตำนานการตั้งถิ่นฐานของชาวทรานซิลเวเนียพอดี นั่นคือชาวทรานซิลเวเนียหลายตระกูลในปัจจุบัน
สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองเฮมลินในประเทศเยอรมนีพอดี แถมยังย้ายมาในช่วงเดียวกับที่เริ่มมีตำนานนี้ด้วย
พวกเขาเชื่อกันว่าเรื่องเล่านี้ต้องอิงมาจากประวัติศาสตร์ต้นตระกูล






ตำนานแห่งปราสาทฮันยาด



ปราสาทฮันยาดขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ในปราสาทที่หลอนที่สุดในยุโรป เพราะแม้ย่านนี้จะผ่านสงครามมาหลายครั้งจนปราสาทหลายหลังพังไป
แต่ที่นี่กลับแทบไม่มีแม้แต่รอยขีดช่วน และไม่ค่อยมีกองทัพไหนกล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ตำนานที่เกี่ยวข้องกับที่นี่มีมากมาย ทั้งตำนานที่ว่า
วลาดจอมเสียบ (ที่เชื่อกันว่าเป็นแดรกคูล่า) เคยถูกจองจำในคุกใต้ดินที่นี่ถึง 7 ปี จนพวกรายการล่าท้าผีจากหลายประเทศต่างไปเฝ้ารอ
ที่จะพบแดรกคูล่าที่นี่

ส่วนอีกตำนานหนึ่งที่คนทรานซิลเวเนียรู้จักกันดีคือเรื่องของนักโทษ 3 คน ตามตำนานเล่าว่าในสมัยที่เอียนคูเป็นเจ้าของปราสาทนี้
เขาได้สัญญากับนักโทษชาวตุรกี 3 คนว่าจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระหากพวกเขาสามารถขุดพื้นดินลงไปจนเจอน้ำได้ นักโทษทั้งสาม
ก็เพียรขุดเป็นเวลาถึง 28 ปีกว่าจะเจอน้ำใต้ชั้นหินได้ ทว่าตอนนั้นเอียนคูเสียชีวิตไปแล้ว และภรรยาของเขาก็ไม่สนใจทำตามสัญญา
ของสามี แต่กลับสั่งให้ตัดคอนักโทษทั้งสามแทน ด้วยความแค้นพวกเขาถึงเขียนชื่อของตนพร้อมข้อความว่า

"พวกแกมีน้ำแต่พวกแกไม่มีหัวใจ" ไว้ข้างบ่อน้ำ ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเห็นข้อความนี้ได้อยู่จริง






ตำนานเด็กชายผู้ร่วงหล่น



โบสถ์แบล็คเชิร์ช (Black Church) เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในประเทศ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14
แต่เดิมมีชื่อว่าโบสถ์เซนต์แมรี่ จนกระทั่งถูกไฟไหม้ในปี 1689 จนโบสถ์กลายเป็นสีดำ ทำให้เปลี่ยนชื่อมาเป็นแบล็คเชิร์ช
แต่เรื่องที่เป็นปริศนาที่สุดของโบสถ์นี้ก็คือรูปปั้นเด็กผู้ชายที่อยู่บนยอดเสาด้านนอกของโบสถ์ รูปปั้นนี้มีลักษณะเป็น
เด็กผู้ชายที่กำลังเกาะยอดเสาอยู่ แต่ก็เสียวว่าจะต้องตกลงมาแน่

ตำนานเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้มีมากมาย แต่เวอร์ชั่นที่ดังสุดๆ มีอยู่ 2 เวอร์ชั่น อันแรกคือเด็กชายคนนี้ตกลงมาจากยอดโบสถ์
หลังช่างก่อสร้างสั่งให้ขึ้นไปเช็คว่ากำแพงตรงหรือยัง ด้วยความเสียใจนายช่างจึงสร้างรูปปั้นนี้เพื่อระลึกถึงเด็กคนนั้น

ส่วนอีกเวอร์ชั่นที่ดราม่ากว่าคือเด็กคนนี้เป็นผู้ช่วยช่างที่มีฝีมือดีมากจนแม้แต่ครูฝึกเขายังหมั่นไส้ในความสามารถเลย
ครูฝึกจึงหลอกผลักเด็กคนนี้ให้ตกลงมาตาย แม้จะไม่มีใครรู้เรื่องแต่ว่ากันว่าครูทนอยู่กับความผิดไม่ไหว
จนวันนึงก็ออกมาบอกคนอื่นเอง ช่างก่อสร้างคนอื่นๆ จึงสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเด็กเก่งคนนี้






ตำนานสะพานแห่งการโกหก




สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซิบิวและขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานที่สวยมาก แถมวิวที่มองจากสะพานก็สวยสุดๆ ในเมืองด้วย
ช่างภาพคนไหนถ้าได้มาเมืองนี้ต้องถ่ายรูปบริเวณสะพานนี้กลับไปด้วยทุกคน แต่สะพานนี้ก็มีตำนานที่น่าสนใจเช่นกัน
ชาวพื้นเมืองเชื่อกันว่าสะพานนี้สามารถจับโกหกได้ หากใครพูดเรื่องโกหกตอนยืนอยู่บนสะพานนี้

สะพานจะส่งเสียงลั่นออกมา

หรืออาจถึงขั้นมีหินร่วง ความรุนแรงจะเพิ่มตามระดับความร้ายแรงของการโกหกค่ะ ถ้าโกหกรุนแรงสุดๆ
สะพานก็พังลงไปเลยได้เช่นกัน

ส่วนที่มาของความเชื่อนี้มีเล่าไว้หลายฉบับ ฉบับมาตรฐานสุดก็คือสะพานนี้เคยใช้เป็นจุดโยนพ่อค้าที่โกงลูกค้า
จับได้เมื่อไหร่ก็จับโยนลงน้ำเลย (ดีเนอะ) ส่วนอีกเวอร์ชั่นที่ดราม่าขึ้นคือตำนานของคู่รัก ว่ากันว่าถ้าผู้หญิงคนไหนโกหก
เรื่องความบริสุทธิ์ของตนเอง เมื่อถูกจับได้หลังแต่งงานก็จะถูกโยนลงน้ำจากสะพานนี้

 
นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นเรียกน้ำตาอีกฉบับหนึ่งนั่นคือสะพานนี้เป็นที่ที่เหล่าทหารหนุ่มทั้งหลายมาสาบานความรักของตน
ต่อหญิงสาวผู้เป็นที่รักว่าจะกลับมา แต่เมื่อไปรบแล้วบ้างก็ตายจากไป บ้างก็ไปมีคนใหม่ ทำให้หญิงสาวที่ยังรออยู่ตายไป
ด้วยความผิดหวังที่ทหารหนุ่มผิดสัญญา จึงทำให้สะพานนี้มีพลังในการจับโกหก






ตำนานผีที่เกลียดทหารรัสเซีย



มีคฤหาสน์เก่าๆ พังๆ แห่งหนึ่งในเมือง ผู้คนทั่วไปต่างหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณนี้ แม้แต่ลูกหลานของตระกูลที่เคยเป็น
เจ้าของคฤหาสน์นี้ยังไม่กล้าเข้ามาอยู่แม้ต่างฝ่ายต่างต้องการโฉนดที่ดินผืนนี้ไปเป็นของตนก็ตาม นั่นเพราะคฤหาสน์เทเลกิ
แห่งนี้เป็นจุดกำเนิดตำนานหลอนที่เพิ่งเริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง

ตำนานนี้เริ่มขึ้นจากข่าวลือของชาวบ้านที่ว่ามีผีอาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้ กองทัพแดงของรัสเซียที่บุกเข้ามาในเมือง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยินเรื่องนี้เข้าก็อยากลองท้าทายดู พวกเขาบุกเข้าไปพักในคฤหาสน์นี้และเจอห้องเก็บไวน์ในชั้นใต้ดิน
ทหารทุกคนดื่มไวน์จนเมามายและชักปืนขึ้นมากราดยิงใส่ถังไวน์จนไวน์ท่วมห้องทำให้ตายแทบทั้งหมด (เป็นการตายที่อนาถมาก)
แต่ชาวบ้านในยุคนั้นเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของผีที่เคยเห็นกันบ่อยๆ แน่นอน ผีคงโกรธที่ทหารรัสเซียเข้ามาวุ่นวายและทำลาย
ทรัพย์สินในบ้าน ปัจจุบันนี้ยังมีข่าวว่ามีคนเห็นผีในคฤหาสน์นี้อยู่เนืองๆ แต่ปกติแล้ววิญญาณที่เห็นในบ้านนี้ไม่เคยทำร้ายใคร
มีก็แต่ทหารรัสเซียกลุ่มนั้นนั่นแหละ





ตำนานทะเลสาบแห่งมารามูเรส



ในเมืองมารามูเลสมีทะเลสาบอยู่หลายแห่ง คนเฒ่าคนแก่ในเมืองเชื่อว่าน้ำในทะเลสาบเหล่านี้ มีชีวิตและต้องการชีวิตคน
ซึ่งแต่ละทะเลสาบก็มีตำนานของตัวเองแตกต่างกันไป

ทะเลสาบหนึ่งมีตำนานว่าเกิดจากน้ำท่วมฉับพลันที่ท่วมโบสถ์และบ้านหลายหลังจนมิดโดยไม่ทันตั้งตัว และชาวบ้าน
ที่รอดจากน้ำท่วมครั้งนั้นยังคงได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ที่จมน้ำทุกวันอีสเตอร์

อีกทะเลสาบหนึ่งว่ากันว่าเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหญิงสาว โดยเชื่อว่าถ้าสาวแรกรุ่นลงอาบน้ำที่นี่แล้วจะได้
แต่งงานภายใน 1 ปี แต่ในที่สุดหญิงสาวคนหนึ่งก็โดนดึงลงใต้น้ำหายไปทั้งที่ผูกเชือกไว้กับฝั่งอย่างแน่นหนา ทำให้ต้องยกเลิก
พิธีกรรมนี้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายทะเลสาบที่เล่าว่ามีคนเห็นชิ้นเนื้อและเลือดลอยอยู่บนผิวน้ำบ่อยๆ





ตำนานรักแสนเศร้า



ทุกชุมชนต้องมีเรื่องเล่าของความรักที่ไม่สมหวัง รักต้องห้าม หรือรักต่างชนชั้นเป็นของตัวเองทั้งนั้น ที่ทรานซิลเวเนียก็มีเช่นกัน
เป็นเรื่องของผู้หญิงที่สวยที่สุดในหมู่บ้านยุคนั้น มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาจีบเธอ แต่พ่อของเธอคิดว่าจะยกลูกสาวให้กับคนที่
รวยเท่ากันเท่านั้น ทว่าคนที่หญิงสาวหลงรักกลับเป็นคนรับใช้ที่ไม่มีอะไรเลย วันหนึ่งคนใช้ผู้นั้นก็ลาออกไปเพื่อสร้างฐานะให้ตัวเอง
ในที่อื่นและหวังว่าจะกลับมาขอคุณหนูแต่งงานหลังจากที่รวยแล้ว

แต่ไม่นานหลังจากนั้นพ่อก็บังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับคนที่พ่อเลือกให้ หญิงสาวเสียใจมากจนเสียชีวิตบนแท่นทำพิธีในโบสถ์
และช่อดอกไม้ของเธอก็กลายเป็นไม้กางเขนหิน ชาวเมืองเชื่อว่าไม้กางเขนหินที่เห็นในปัจจุบันของโบสถ์นี้คือไม้กางเขน
อันที่ว่านั่นแหละ เรื่องนี้เป็นตำนานรักชื่อดังของเมืองที่ถูกนำมาทำเป็นบทละครและกลอนมากมาย






ตำนาน 9 วันที่หนาวเหน็บ

ช่วงวันที่ 1 - 9 มีนาคมของทุกปีที่โรมาเนียจะมีสภาพอากาศที่เลวร้ายเป็นพิเศษ โดยมักเกิดพายุหิมะและอากาศหนาวผิดปกติ
ในช่วงนี้ทั้งที่กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้ว มีธรรมเนียมที่ว่าผู้หญิงในโรมาเนียต้องเลือกวันที่จาก 1-9 มีนาคมไว้ล่วงหน้า
ถ้าวันที่ที่เลือกนั้นมาถึงและมีอากาศดีทั้งวัน แปลว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอนาคตที่ดี มีบั้นปลายที่มีความสุข แต่ถ้าวันที่เลือกไว้
กลายเป็นวันที่อากาศแย่ แปลว่าช่วงบั้นปลายชีวิตเธอจะต้องเจอกับความขมขื่น

ส่วนต้นกำเนิดความเชื่อนี้มาจากตำนานของ บาบา โดเชีย



บาบา โดเชีย อาศัยอยู่กับลูกชายชื่อ ดราโกบีต เธอหวงลูกชายของเธอมาก แต่อยู่ๆ ลูกชายของเธอก็แอบไปแต่งงานกับสาวคนรัก
โดยไม่บอกเธอ เธอโกรธมากและรังแกลูกสะใภ้สารพัด วันหนึ่งเธอสั่งให้ลูกสะใภ้เอาขนแกะดำไปซักที่แม่น้ำและห้ามกลับมา
จนกว่าขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว แม้ลูกสะใภ้จะซักจนมือโดนน้ำเย็นกัดเป็นแผลแล้วขนก็ยังไม่เปลี่ยนสี เธอร้องไห้เสียใจว่าคง
ไม่ได้กลับไปเจอหน้าดราโกบีตอีกแล้ว ทันในนั้นพระเจ้าก็มองลงมาเห็นและสงสารเธอ จึงปลอมตัวมาเป็นคนธรรมดาและมอบ
ดอกไม้สีแดงให้เธอดอกหนึ่ง เมื่อลูกสะใภ้ซักขนแกะกับดอกไม้นี้มันก็กลายเป็นขนสีขาว เธอจึงรีบกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เมื่อบาบาได้ฟังเรื่องของลูกสะใภ้ก็คิดว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงแล้วเพราะผู้ชายคนนั้นมีดอกไม้ เธอจึงออกจากบ้านไปขึ้นเขา
โดยใส่เสื้อโค้ท 9 ชั้น อากาศบนภูเขาค่อยๆ อุ่นขึ้นในแต่ละวันเธอจึงถอดเสื้อโค้ททิ้งทีละตัว แต่เมื่อครบทั้ง 9 ตัวแล้ว
อากาศก็กลับมาเย็นจัดในทันที และบาบาก็หนาวตายอยู่บนภูเขา วิญญาณของเธอโกรธแค้นมากจึงออกมาหลอกหลอน
ผู้คนในช่วงวันที่ 1-9 มีนาคมโดยทำให้อากาศแปรปรวนนั่นเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่