สัตววัตถุ มดเเดง

สัตววัตถุ มดเเดง

เริ่มโดย teareborn, 11 ธันวาคม 2017, 19:31:45

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

teareborn


มดแดง
มดแดงเป็นมดประเภทหนึ่ง มีสีแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)
จัดอยู่ในวงศ์ Formicidae
ชีววิทยาของมด
มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น  รอบๆส่วนท้องคอดกิ่วในระหว่างที่ตืดกับอกทางด้านหลังของส่วนท้องบ้องที่ ๑  หรือในมดบางจำพวกศูนย์รวมไปถึงปล้องที่  มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงขึ้น โหนกนี้อาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกลุ่มแมลงที่มองคล้ายคลึงกัน  เช่น  พวกต่อและแตน หรือแตกต่างไปจากปลวกที่คนทั่วไปมักงงมากกัน โดยมองเห็นมดกับปลวกแบบเดียวกันไปหมด เว้นแต่ไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะบ้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีประเภทใดอยู่สันโดษ ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ และเพศแตกต่างกัน พูดอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง เพศผู้เป็นพ่อรัง และมดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง และเฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันออกไปอีก
อาทิเช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็อาจทำหน้าที่สร้างรังและเลี้ยงรัง เหล่านี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก รวมทั้งท้องได้สัดส่วนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่เฝ้ารัง มดพวกนี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่ามดงานปกติอย่างยิ่งแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ ไม่ได้รูปทรงกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดเพศผู้และก็มดตังเมียซึ่งเป็นบิดารังแล้วก็แม่รังนั้น บางทีอาจพบได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดพอๆกับมดงานก็มี อย่างไรก็ดีมดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน อาจสังเกตมดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังแล้วก็มดงานลูกรัง ซึ่งพวกหลังนี้มักมีตาเล็ก จนบางครั้งบางคราวเกือบจะไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดบิดารังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น รูปแบบของปีกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมาก รูปร่างของปีกคู่หน้าและก็ปีกคู่หลังก็แตกต่าง รวมทั้งที่สำคัญเป็นมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่ข้างหลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน แล้วก็รูปร่างของปีกก็คล้ายคลึงกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี

สมุนไพร ในขณะนี้มีการประมาณกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ชนิด ชาวไทยต่างรู้จักดีกับมดเป็นอย่างดี เพราะมีมดหลายอย่างอาศัยตามบ้านที่พัก หรือในรอบๆใกล้เคียงกัยอาคารบ้านเรือน การเรียกชื่อมดของคนประเทศไทยบางทีอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก "มด" นำหน้า ดังเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) เพราะเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งสติไม่ดีไปเป็นมด เป็นต้น มดบางชนิดพวกเราเรียกชื่อตามอาการอันมีเหตุมาจากถูกมดนั้นกัด ดังเช่นว่า มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะก่อให้รู้สึกคันในรอบๆแผลที่กัด  หรือผูกคันไฟ  (Solenopsis  geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด นอกเหนือจากมีลักษณะอาการคันแล้ว ยังมีลักษณะแสบร้อนราวกับถูกไฟลวก
บางประเภทก็เรียกตามกิริยาท่าทางที่มดแสดงออก ยกตัวอย่างเช่น มดลนลาน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ถูกใจวิ่งเร็วแล้วก็วิ่งพล่านไป เปรียบเสมือนผู้ที่วิ่งดัวยความตกอกตกใจ  มดประเภทนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน  ที่บ้าเป็นมดตาลานก็มี หรือมดตูดงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักยกท้องขึ้นท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น  ทำให้มองดูเหมือนตูดงอล  เป็นต้น
มดบางจำพวกเป็นมดที่พสกนิกรตามท้องถิ่นใช้บริโภค  จึงเรียกไปตามรสอย่างเช่น  ทางภาคเหนือ  อันได้แก่  ชาวจังหวัดแพร่  น่าน  ลำพูน  เชียงราย  จังหวัดเชียงใหม่  ฯลฯ  นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม  ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน  ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเพราะมีรสชาติมันและอร่อย  จึงเรียกชื่อตามรสชาตินั้น อย่างไรก็แล้วแต่  มีมดบางจำพวกที่ราษฎรไม่ได้รัชูชื่อโดยใข้คำ "มด" นำหน้าตัวอย่างเช่น เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis  Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดกินฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกับแมลงจำพวกอื่นที่อาจมีการรัยกชื่อเพี้ยนไปตามท้องภิ่นเป็นต้นว่า  แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนบ้านนอกในแคว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  อันดังเช่น  ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในขณะคนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง  ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้  เช่น  จังหวัดชุมพร  สุราษฎร์ธานี  สงขา  นครศรีธรรมราช  ภูเก็ต  เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังและก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังแล้วก็ผสมพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว  มดตัวผู้มักตาย  มดตัวเมียซึ่งตระเตรียมสร้างรังใหม่ก็จะหาที่พักพิงอันมิดชิด  แล้วสลัดปีกทิ้ง  รอตราบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนจนกว่าเข้าดักแด้  รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตสุดกำลังกลายเป็นมดงานที่เลี้ยงแม่ต่อไป  เมื่อมดงานปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว  แม่รังก็ทำ
หน้าที่วางไข่เพียงอย่างเดียว  การควบคุมวรรณะของรังอาจปฏิบัติโดยการวางไข่ที่แตกต่าง  ยกตัวอย่างเช่น  ขนาดแตกต่างกัน  ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังและมดงาน  ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดเพศผู้หรือมดบิดารัง  รูปแบบของวงจรชีวิตแบบนี้ต่างจากปลวก  ด้วยเหตุว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า  ซึ่งประกอบดัสยบิดาและแม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้  พ่อรังมักมีชืวิโคนยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งตระเตรียมวางไข่  เมื่อไข่ฟักเป็นตัว  ก็จะเป็นปลวกงานซึ่งสามารถดำเนินการอุปถัมภ์พ่อแม่ได้โดยไม่ต้องคอยให้โตสุดกำลังเสียก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน  บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง  เช่นมดแดง  หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังใกล้กับไม้ที่อาศัย  ได้แก่มดลี่หรือมดก้นงอล  บางพวกสร้างรังในดินมีลักษณะเป็นช่องสลับซับซ้อนเหมือนรังปวก  ได้แก่มดมันหรือแมลงมัน  รังของมดจึงมัลักษณะของอุปกรณ์ที่สร้าง  โครงสร้าง  แล้วก็รูปร่างนานับประการล้นหลามให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดง
เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  ครั้นไข่แก่ก็จะวางไข่  ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น  จะถูกวางเป็นกระจุกใกล้กับใบไม้ด้านในรัง   ไข่ที่ได้รับการผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดงานแล้วก็มดแม่รังส่วนไข่ที่ไม่ได้รับผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดเพศผู้  เมื่อไข่ก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในระยะนี้อาจทานอาหารและก็ขยับเขยื้อนตัวได้บางส่วน  จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยทุกๆอย่าง ขารวมทั้งปีกเป็นอิสระจากลำตัว  และก็หยุดรับประทานอาหาร  แล้วหลังจากนั้นก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย  และก็ที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัยทั้ง๓ วรรณะได้แก่
๑. มดแม่รัง มีความยาว  ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร  สีเขียวใสจนกระทั่งสีน้ำตาลแดงหัวรวมทั้งอกสีน้ำตาลคล้ายมดงาน  แม้กระนั้นหัวกว้างว่า  ส่วนนอกสั้น  อกข้อแรกตรงอกบ้องที่ ๓ ทื่อ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง  ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน  ส่วนท้องเป็นรูปไข่  เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว  ทำหน้าที่เพาะพันธุ์  รังหนึ่งบางทีอาจพบมดแม่รังหลายตัว  แม้กระนั้นจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะสืบพันธุ์ได้
๒. มดเพศผู้  มีความยาว ๖-๗ มิลลิเมตร  ลำตัวสีดำ  หัวเล็ก  ฟันกรามแคบตาลุก  หนวดเป็นแบบด้าย  มี ๑๓ บ้อง  ฐานหนวดยาว  ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก  อกปล้องที่ ๓ ใหญ่  ข้อต่อหนวดยาว  ท้องรูปไข่  ปีกสีนวลใสมีหน้าที่สืบพันธุ์พียงอปิ้งเดียว  อายุสั้นมาก  เมื่อสืบพันธุ์แล้วจะตาย
๓.  มดงาน  มีความยาว ๗-๑๑ มม.  กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร  สีแดงหัวแล้วก็อกมีขนสั้นๆ หัวกลม  ด้านล่างแคบ  ฟันกรามขัดกัน  ปลายแหลมโค้งตอนต่อไปแคบ  อกข้อที่  ๒  กลม  โค้งขึ้น  อกข้อที่ ๓ คอด  คล้ายอาน  ขายาวเรียว  ข้อต่อหนวดรูปไข่  ส่วนท้องสั้น  เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก  มีบทบาทหาร  ทำรัง  รวมทั้งคุ้มครองศัตรู
ประโยชน์ทางยา
แบบเรียนคุณประโยชน์ยาบาราณว่า  น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว  ฉุน  สูดดมแก้ลมแก้พิษเสมหะโลหิต ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงถอนพิษ  โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูมีพิษกัด  ให้มดต่อยที่รอบๆนั้น  ไม่นานมดแดงก็จะตาย  ใช้มือปาดเอามดแดงเอาไป  แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่  ทำอีกครั้งๆไปเรื่อยๆจยกว่ากำลังจะถึงมือแพทพ์  บางคราวบางทีอาจจำเป็นต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกจาก  ประชาชนบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำเนิดบาดแผลขึ้น  และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะชำระล้างบาดแผลหรือหายาใส่แผลได้  เป็นต้นว่า  เมือ่อยู่ในป่าหรือในท้องนา  ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล)  วางไว้รอบๆปากแผล  ให้ปวดแสบปวดร้อนมากมาย
พระตำราธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ "วัณโรค ๗ ประการ"  อันเกิดอาจ "หนองพิการหรือแตก" ซึ่งนำมาซึ่งอาการไอ  ผ่ายผอม  เบื่ออาหารยาขนานนี้เข้า "รังมดแดง" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ ปุพ์โพ  เป็นหนองทุพพลภาพหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง  ให้กายผอมแห้งหนัก  ให้กินอาหารไม่จักรส  มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ  ถ้าจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง  หัวหอม ๑ ตำลึง ๑ บาท ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี  ยาทั้งยัง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักแล้วก็ธาตุเบาชำระบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้

Tags : สมุนไพร
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions