สัตววัตถุ ตะพาบน้ำ

สัตววัตถุ ตะพาบน้ำ

เริ่มโดย กาลครั้งหนึ่ง2560, 20 ธันวาคม 2017, 17:07:02

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

กาลครั้งหนึ่ง2560


ตะพาบ
ตะพาบ (mud turtle หรือ soft-shelled turtle) เป็นสัตว์คลานชนิดหนึ่งจัดอยู่ในตระกูล Trionychidae มีลักษณะเหมือนเหมือนเต่าน้ำจืด แตกต่างกันตรงที่กระดองบน (carapace) และกระดองล่าง (pastron) ไม่มีกระดูกเป็นแผ่นใหญ่ๆแต่มีหนังหุ้มห่อแทน มีนิ้วยาว ตีนข้างหน้ามีแผ่นพังผืดกว้าง ใช้สำหรับพุ้ยน้ำ มีเล็บเพียง ๒-๓เล็บ คอหดในกระดองได้มิด แต่ว่าสามารถยืดคอออกได้ยาวมากมายเมื่อจะงับเหยื่อหรือกัดศัตรู ตะพาบทุกชนิดเป็นสัตว์น้ำจืดชืด พบได้มากอยู่ตามห้วย บึง หนอง และก็ตาม แม่น้ำลำคลอง ตะพาบสามารถขุดรูเป็นโพรงสำหรับอาศัย รวมทั้งยืดคอขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ หรือยืดคอออกไปฮุบกุ้งปลาที่ว่ายน้ำผ่าน โดยที่ตัวไม่ต้องออกมาจากโพรงเมื่อน้ำในสระหนองแห้งลงในหน้าแล้ง ตะพาบจะทำโพรงอยู่ใต้ดินได้นาน ตราบจนกระทั่งฝนตกจึงออกมาจากโพรงและก็เริ่มหาสัตว์น้ำต่างๆกินเป็นอาหาร ตะพาบกินทั้งยังกุ้งแล้วก็ปลาสดๆและก็เนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อย สามารถว่ายน้ำไปหากินไกลๆในการใช้มือจับตะพาบนั้นจับได้เฉพาะตรงที่ขอบกระดองตรงหน้าของโคนขาข้างหลัง ถ้าจับผิดตำแหน่งตะพาบน้ำซึ่งมีคอยาวจะยืดคอออกมาแว้งกัดมือได้
ตะพาบในประเทศไทย
ตะพาบที่เจอในประเทศไทยมีอย่างน้อง ๖ ประเภท คือ
๑.ตะพาบธรรมดา
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amyda cartilaginea (Boddart)
สมุนไพร จำพวกนี้กระดองบนค่อนข้างจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม เมื่อโตสุดกำลังกระดองบนอาจยาวได้ถึง ๘๓ เซนติเมตร ขอบด้านหน้าของกระดองบนเป็นปุ่มขรุขระ ขอบกระดองด้านล่างไม่มีสีเด่น ปากค่อนข้างแหลม ที่หนังบนข้างหลังเป็นริ้วเล็กๆนูนขึ้นมาทั่วทั้งยังข้างหลัง ตัวอ่อนมีสีเขียวขี้ม้าปนเทา บางตัวมีจุดเหลืองๆหรือจุดดำๆขอบเหลือง หัวมีจุดเหลืองๆเป็นจุดใหญ่ทางข้างๆ พอสมควรแก่ จุดเหลืองบนหลังมักหายไป จุดที่หัวก็เลือนไป ที่ใต้ท้องของเพศผู้มีสีขาว แม้กระนั้นที่ใต้ท้องของตัวเมียเป็นสีเทา ตะพาบชนิดนี้มีมากมาย พบทั่วๆไปในแม่น้ำลำคลอง หนอง บ่อน้ำ ในภาคกึ่งกลางของประเทศไทย บางทีอาจเจอตามสายธารและห้วยที่ตีนเขา นอกเหนือจากนั้นยังเจอในภาคใต้ของประเทศพม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย และตามหมู่เกาะมลายู
๒.ตะพาบน้ำหัวทื่อ หรือ ตะพาบน้ำหัวกบ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni Owen
ประเภทนี้กระดองบนออกจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๐ ซม. จมูกสั้น หัวค่อนข้างแบนแล้วก็เล็กเมื่อเทียบกับลำตัว ความยาวของหัวกะโหลกหัวใกล้เคียงกับความกว้าง ปากไม่แหลม ขาหน้าสั้น ตีนกว้าง กระดองข้างหลังมีสีเขียวขี้ม้าอมเทามีรูบุ๋มเล็กๆทั่วๆไป มีจุดเหลืองๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กระดองล่างสีขาว ในประเทศไทยพบอยู่ทางด้านใตน ยิ่งไปกว่านี้ยังพบที่ประเทศ ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งภาคใต้ของจีน
๓.ตะพาบข้างหลังลายกะรัง หรือ ตะพาบน้ำม่านลาย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitra chitra Gray
ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตสุดกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๒ ซม. เป็นจำพวกที่มีตัวโตที่สุดของประเทศไทยและของโลก จมูกสั้น หัวออกจะแบนรวมทั้งเล็ก ความยาวของหัวกะโหลกหัวเป็น ๒ เท่าของความกว้าง มีลวดลายบนหนังข้างบน เมื่อยังอายุยงน้อย กระดองบนมีสีเขียวอมเทา มีจุดลายดำเลอะเทอะๆพอแก่มากยิ่งขึ้น บริเวณคอรวมทั้งกระดองบนจะมีลวดลายสีเหลืองหรือสีน้ำตาลราวกับหินกะรังแม้กระนั้นพอตัวแก่มาก ลายสีนี้กลับจางลงไปอีก พบบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในประเทศไทยลุ่มน้ำอิระวดีในประเทศพม่า ลุ่มแม่น้ำคงคารวมทั้งแม่น้ำสินธุในประเทศประเทศอินเดีย
๔.ตะพาบขี้เกียจมาก หรือ ตะพาบน้ำแก้มแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dogania subplana Geoffrey
ชนิดนี้กระดองบนออกจะแบน ยาว ขอบสองข้างค่อนข้างจะขนานกัน สีเขียวหม่นแกมน้ำตาล ไม่กลมอย่างตะพาบน้ำชนิดอื่นๆขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบเมื่อโตเต็มกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๖ เซนติเมตร หัวค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ปากแหลม กระดองข้างล่างไม่มีจุดสีดำกระจ่างแจ้ง ที่ข้างคอแล้วก็แก้มมีสีแดงเรื่อๆพบได้ตามแหล่งน้ำลำน้ำบนที่สูงทางภาคตะวันตกรวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทยนอกเหนือจากนั้นยังบางทีอาจพบในประเทศพม่ามาเลเซีย แล้วก็ฟิลิปปินส์
๕.ตะพาบไต้หวัน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelodiscus sinensis sinensis Wiegmann
ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบนขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่กระดองบนยาวได้ถึง ๒๕ ซม. กระดองบนมีสีเขียวขี้ม้าหรือสีน้ำตาล กระดองด้านล่างมีจุดสีดำแจ่มกระจ่าง และก็มีสีส้มในระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ ที่รอบตามีเส้นเล็กๆเป็นรัศมีเป็นตะพาบประเภทประจำถิ่นของจีน เอามาเลี้ยงเป็นสัตว์อาสิน บางส่วนหลุดมาขยายพันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
๖.ตะพาบน้ำหับ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys punctate scutata (Peters)
เป็นตะพาบที่พบใหม่รวมทั้งมีขนาดเล็กที่สุดของเมืองไทย เมื่อโตเต็มที่กระดองหลังอาจยาวได้ถึง  ๑๖  เซนติเมตร  กระดองข้างหลังโค้ง นูน สีเขียวหม่นหมองหรือสีน้ำตาล  สามารถหับหรือปิดกระดองได้ทั้งสิ้น เจอครั้งแรกบริเวณชายแดนไทยเมียนมาร์ แถบจังหวัดตาก  เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มีปริมาณน้อยและก็หายาก
ผลดีทางยา
ตะพาบน้ำที่เจอในยาไทยมักหมายคือตะพาบธรรมดา แพทย์แผนไทยใช้ดีตะพาบ เป็นเครื่องยา ตำราเรียนยาสรรพคุณโบราณว่า ดีตะพาบน้ำมีรสขม  คาวมีสรรพคุณแก้ไข้สันนิบาต แก้พิษกาฬ แก้โรคตา  และแก้ลมกองละเอียด  (ลมวิงเวียน   หน้ามืดลายตา) ในแบบเรียนพระยาพระนารายณ์มียาขนานหนึ่งเข้า "ดีตะพาบ" เป็นเครื่องยาด้วยดังนี้น้ำมันภาลาธิไตล ให้เอารากต้นหญ้าขัดหมอน รากขี้เหล็ก รากปะคำไก่ รากปะคำควาย รากเลี่ยน รากรักขาว รากลำโพงอีกทั้ง ๒ รากชุมเห็ด รากฝักส้มป่อย ขมิ้นอ้อย ขิง ข่า ยาดังนี้ควรต้มให้ต้ม ควรตำให้ตำ เอาน้ำสิ่งละทนาน   น้ำมันพรรณผักกาด  น้ำมันพิมเสน น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา สิ่งละทนาน หุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน แล้วจึงเอา ดีตะพาบน้ำ  ดีงูเหลือม พริกหอม พริกหาง พริกล่อน  ฝิ่น  สิ่งละสลึง เทียนทั้งยัง ๕  สิ่งละบาท ๑ บดปรุงลงในน้ำมันไว้ ๓ วัน ก็เลยทาแลนวดแก้พระเส้นอันทพฤกให้หย่อน  แลฟกบวม เป็นขั้วเป็นหน่วยแข็งอยู่นั้นให้ละลายออกเป็นประจำแลฯ
พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาแก้ซางเด็กขนานหนึ่งที่เขา  "ดีตะพาบ" เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้
ขนานหนึ่ง ท่านให้เอาฟันกรามแรด ๑  กรามช้าง ๑  งาช้าง  นอแรด ๑  เขี้ยวเสือ ๑  เขี้ยวไอ้เข้  ๑  เขี้ยวหมู  ๑  กระดูกงูทับทาง ๑ โกฏทั้ง  ๕  ขมิ้นอ้อย  ๑ ไพลดีตะพาบ ๑  ดีงูเหลือม ๑ พิมเสน ๑  รวมยา  ๑๘  สิ่งนี้เอาส่วนเสมอกัน ตำเป็นผุยผงบดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำเหล้า กินแก้ทรางทั้งสิ้น  หาย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions