แม่นาคญี่ปุ่น และ พม่า

แม่นาคญี่ปุ่น และ พม่า

เริ่มโดย etatae333, 08 มิถุนายน 2013, 11:29:48

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

แม่นาคญี่ปุ่น และ พม่า



ถ้าพูดถึงผีไทย ที่มีตำนานความเฮี้ยนมายาวนาน หลายๆท่าน(รวมทั้งจขกท.)คงยกให้
ผีแม่นาค
ที่มีตำนานความอาถรรพ์และความน่ากลัว ลำดับต้นๆ และถ้าใครอยากจะไปไหว้แม่นาค
ก็จะนึกถึงวัดมหาบุศย์ ที่มีคนชอบไปขอเลขเด็ด ไปบนบานศาลกล่าว ทั้งเรื่องความรัก และการเกณฑ์ทหาร
จับใบดำใบแดง ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่สมหวังและผิดหวังกันไปตามเรื่อง




ที่ญี่ปุ่นก็มีตำนานผีที่มีความคล้ายคลึงกับแม่นาคของไทยเรา เหมือนกัน ความน่ากลัวความเฮี้ยนก็สูสีกันด้วย
แถมยังมีวัดที่ให้ไปไหว้ขอพรเหมือนกันอีกต่างหาก อย่าเสียเวลาไปดูกันเลยดีกว่า วัดนี้มีชื่อว่า


お岩稲荷 (おいわいなり) โออิวะ อินาริ




ที่วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่โตเกียว เขตชินจูกุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำนานผี 四谷怪談 โยะสึยะไคดัน
(เป็นเรื่องเล่าชวนขนลุกของโทไกโด โยสึยะ ไคดัน) 




มีเรื่องเล่ากันว่า ช่วงสมัยเอโดะ มีผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และจิตใจดี และเป็นที่โจษขานกัน
ถึงความงามของเธอ เธอ คือ"โออิวะ"


"โออิวะ" มีชายหนุ่มมากมายที่หมายปองเธอ แต่เธอก็เลือกซามูไรหนุ่มที่ชื่อ อิเอม่อน ทามิยะ มาเป็นคู่ครอง
แต่การตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ "เธอคิดผิด" สามีของเธอรักเธอในช่วงแรก ๆ เท่านั้น
หลังจากที่สภาพทางการเงินของครอบครัวไม่สู้ดีนัก อิเอม่อน ก็ไปตกหลุมรักกับลูกสาวเศรษฐีเข้า


ในขณะเดียวกัน "โออิวะ" ก็เพิ่งคลอดลูก ลูกสาวเศรษฐีและสามีของเธอจึงคิดจะกำจัด "โออิวะ"
หญิงชู้ได้ใช้ให้ อิเอม่อน เอายาพิษที่กินแล้วจะทำให้เสียโฉมให้ "โออิวะ" กิน แล้วหลอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดลูก
"โออิวะ" ได้ดื่มยาพิษนั่นและทำให้หน้าของเธอเสียโฉม ตาของเธอปูดโปนขึ้น เมื่อเธอรู้ถึงแผนชั่วของหญิงชายคู่นั้น

เธอก็แค้นมากและฆ่าตัวตายในบึงน้ำ "โออิวะ"(บางตำนานบอกว่า อิเอม่อน เป็นคนฆ่าเธอแล้วโยนลงไปในบึง)



หลังจากนั้น อิเอม่อนก็ย้ายไปอยู่บ้านของเศรษฐี แต่แล้ววันหนึ่ง วิญญาณของ"โออิวะ" ได้โผล่ขึ้นมากลางบ้าน
พร้อมกับเสียงอันโหยหวน และคร่ำครวญของเธอ ซึ่งเป็นที่น่าขนลุก อิเอม่อน ก็คว้าดาบซามูไรประจำกายแทงเข้าไป
ที่เงาของ "โออิวะ"แต่แล้วเมื่อร่างนั้นล้มลง กลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐีชู้รักของตน เมื่อเศรษฐีวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์
ทันใดนั้น ร่างของเศรษฐีก็กลายร่างเป็น "โออิวะ" ที่มีหน้าตาน่าเกลียด อิเอม่อน ก็คว้าดาบฟันเข้าไปที่ร่างนั้น
แต่แล้วร่างนั้นก็กลายเป็นร่างของเศรษฐีดังเดิม



ต่อมาอิเอม่อน ได้หนีกลับไปอยู่บ้านของตัวเอง แต่แล้วก็โดนเชือกที่ห้อยอยู่กลางบ้านพัน เข้าที่คอ
เขาได้คว้าดาบขึ้นมาพยายามตัดเชือกแต่พลาดไปโดนคอของตัวเองและสิ้นใจตายใน ที่สุด
เรื่องเล่าขานของ "โออิวะ" มีมานานและมีเรื่องราวหลายตำนาน บางตำนานบอกว่า"โออิวะ" 
นั้นเกิดมาก็มีหน้าตาอัปลักษณ์ และเป็นลูกสาวเศรษฐี แต่พอแต่งงานกับ"โออิวะ"เธอก็ได้รับชะตากรรม
อย่างเดียวกับเรื่องที่ได้เล่าไป




ส่วนอีกตำนานก็กล่าวไว้ว่า "โออิวะ" หญิงสาวผู้น่าสงสารที่ถูกอิเอม่อนสามีของเธอฆ่า เพราะต้องการที่จะแต่งงาน
กับผู้หญิงคนใหม่ เค้าจึงวางแผนฆ่าเธอ  (บ้างก็ว่าโออิวะฆ่าตัวตายเอง  เพราะรับเหตุการณ์ที่สามีจะไปแต่งงานกับหญิงอื่นไม่ได้)
และเมื่อโออิวะตายไปกลายเป็นผี วิญญาณของเธอมีจึงมีแต่ความเครียดแค้น เพราะผิดหวังในเรื่องของความรัก


มีเรื่องเล่าอยู่ว่าในคืนที่สามีของเธอได้แต่งงานใหม่ ในช่วงกลางดึกที่กำลังส่งตัวเข้าหอนั้น ภาพที่อิเอม่อนเห็นในห้องหอมันไม่ใช่เจ้าสาว
แสนสวยของเค้าที่นั่งรอเค้าอยู่ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ เป็นใบหน้าของโออิวะอันน่าสยดสยองกำลังนั่งรอเค้าอยู่ อิเอม่อนเห็นในตอนนั้น
ก็ตกใจสุดขีดและลุกหยิบดาบมาฟันในทันที  หญิงสาวร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดและล้มลงสิ้นใจตายในที่สุด 

แต่ร่างหญิงสาวที่นอนสิ้นใจนั้นคือเจ้าสาวของอิเอม่อนเอง เมื่ออิเอม่อนเห็นก็ตกใจและวิ่งหนีราวกับคนบ้าเสียสติ แต่ไม่ว่าเค้าจะหนี
ไปทางไหนก็พบแต่ใบหน้าของโออิวะ ที่น่าเกลียดน่ากลัวตามหลอกหลอนเค้าไปทุกที่ จนในที่สุดเค้าก็ตัดสินใจฆ่าตัวเองตายตาม
และเป็นที่เชื่อกันว่า เพื่อให้วิญญาณของโออิวะสงบสุข จึงสร้างวัดโออิวะ อินาริ แห่งนี้ขึ้นมานั่นเอง



สำหรับวัดโออิวะ อินาริ ตั้งอยู่ที่โตเกียว เขตชินจูกุ ในวัดจะมีที่ตั้งของศาลเจ้าทะมิยะ โออิวะ อินานิ จินจะ
ซึ่งเป็นที่อัญเชิญดวงวิญญาณของโออิวะ มาอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่ง ถ้ามองจากภายนอกแทบจะดูไม่ออกเลยว่า
ที่ตรงนี้คือศาลเจ้า ด้านหน้าของศาลเจ้าจะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกที่ประดิษฐานอยู่ 2 ตัว ทำให้ดูมีความขลังมากขึ้น
และภายในศาลนี้ได้เขียนวันเสียชีวิตของโออิวะ อินาริ ไว้ด้วย ซึ่งเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1636


http://www.youtube.com/v/5PZXwDHWEYk

http://www.youtube.com/v/L9Hs-kvSSb0

ตำนานโออิวะ อินาริ แม้ว่าขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนแบบสุด ๆ แต่ตำนานนี้ก็ถูกนำไปทำเป็นละครเวทีและภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงบทหรือแม้กระทั้งทีมงานที่จะสร้างเรื่องนี้ จะต้องมาบูชากราบไหว้กราบไหว้ที่วัดแห่งนี้ก่อนที่
จะทำการแสดง เพราะเชื่อว่าถ้าไม่มีการบูชากราบไหว้ ก็จะพบอาถรรพ์ หรือเคราะห์ร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หรือไม่ก็อาจพบเห็นวิญญาณ โออิวะ อินาริ ไปเยี่ยมที่กองถ่ายก็เป็นได้


จากข้อมูลที่กล่าวมาเบื้องต้นทั้งหมด ทั้งรูปถ่ายและข้อมูลต่างๆ นั้น อาจจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง
จะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนญี่ปุ่น





แม่นาคพม่า



ณ หมู่บ้านเล็กๆในเขตเมืองมะละแหม่งแห่งหนึ่ง (เมืองมะละแหม่งนี่บางแห่งบอกว่าเป็นเมืองมอญ)
มีพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "หม่องวิน" ผู้สืบทอดอาชีพพ่อค้ามาจากบิดา หม่องวินมีภรรยาสาวสวย
ที่ชายอื่นในหมู่บ้านยังอิจฉา ชื่อ "มะขิ่น"


มารดาของหม่องวินอาศัยอยู่ต่างหมู่บ้านกับหม่องวินและมะขิ่น เป็นผู้มีฐานะค่อนข้างดี ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน

งานของหม่องวินคือ พ่อค้า ต้องเดินทางเป็นคาราวานไปต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านว่างั้น
มะขิ่นเองก็ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอยู่เฝ้าบ้านระหว่างที่สามีไม่อยู่เป็นอย่างดีสภาพครอบครัวแบบนี้จัดว่า
มีความสุขไม่น้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งทุกสิ่งก็ผันแปรไปสิ้น


คราวหนึ่ง เมื่อหม่องวินต้องเดินทางไปต่างเมืองเป็นระยะเวลานาน ทางหมู่บ้านก็เกิดโรคระบาดขึ้น มะขิ่นก็ล้มเจ็บ
ไปกับเขาด้วย ทางบ้านแม่สามีก็ไม่ได้มาดูแล นี่ถ้าหม่องวินไม่ได้ไปต่างเมือง ก็คงจะได้อยู่ดูแลมะขิ่นไปแล้ว
แต่ในเมื่อไม่อยู่ มะขิ่นก็ล้มเจ็บลงเรื่อยๆ

จนเสียชีวิตในที่สุด โดยที่หม่องวินที่อยู่ต่างเมืองไม่รู้ข่าวอะไรเลย ว่าที่หมู่บ้านเกิดโรคระบาดขึ้น
และภรรยาก็เสียชีวิตลงแล้วเมื่อมะขิ่นเสียชีวิต เพื่อนบ้านญาติสนิทรวมทั้งแม่สามีก็ต่างพากันเศร้าโศรก
สงสารทั้งมะขิ่นและหม่องวินเป็นอย่างมาก

พอมะขิ่นตายไป เพื่อนบ้านของทั้งหมู่บ้านของมะขิ่น และหมู่บ้านของสามี (ที่แม่สามีอาศัยอยู่) ต่างก็เจอ
ความเฮี้ยนของผีนางมะขิ่นกันเป็นแถบ




รายแรกเลย เพื่อนของมะขิ่น กำลังนั่งพับผ้าอยู่ในบ้านคนเดียวกลางดึก (ลองนึกภาพไปเรื่อยๆนะครับ)
บ้านเป็นกระท่อมมุงฟาง ไฟฟ้ายังไม่มี มีแค่เทียนเล่มเดียวให้แสสลัวๆ หญิงคนนั้นนั่งพับผ้าไปใจก็พะวงไป
ว่ามะขิ่นกับเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่ ไม่แน่ว่าดึกๆแบบนี้เขาอาจจะมาหาเราก็ได้ ดังนั้นรีบพับผ้าให้เสร็จ
แล้วรีบเข้านอนดีกว่า

ที่ไหนได้ พับกำลังจะเสร็จแล้วแท้ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากข้างๆฝาบ้าน เสียงมาจากข้างนอก
แต่ฝาบ้านเป็นฝาง ได้ยินเสียงชัดแจ๋ว

เสียงนั้นเย็นมากๆ พูดว่า
"เพื่อนเอ๋ย... เปิดประตูให้เราเข้าไปหน่อยสิ"

หญิงคนนั้นรู้แล้วว่าเจออะไร แต่ก็พยายามหวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด
ก็เลยถามกลับไปว่า "นั่นใครเล่า" เสียงนั้นตอบกลับมาว่า "เรา...มะขิ่นไง"
เจอเข้าไปอย่างนี้ ใครเล่าจะทนไหว หญิงคนนั้นรีบตะโกนตอบไปว่า

"มะขิ่นเหรอ เรากลัวแล้ว อย่ามารบกวนเราเลย"

แล้วรีบคลุมโปงเป็นการใหญ่ พอรุ่งเช้าก็ย้ายออกจากมู่บ้านไปเลยรายอื่นๆ (หนังสือไม่ได้กล่าวโดยละเอียด)
ก็เช่น เดินผ่านหน้าบ้านมะขิ่น ก็เจอมะขิ่นนั่งอยู่บนบ้าน


เพื่อนบ้านข้างเปิดหน้าต่างออกมาตอนกลางคืนเพราะร้อน (เป็นผม ทนร้อนดีกว่า) ก็เจอเข้ากับมะขิ่นเต็มๆ
ยืนอยู่ที่หน้าตางบ้านมะขิ่น แสยะยิ้มให้อีกแนะ ฯลฯ เรียกว่าทั้งคนทั้งหมู่บ้านมะขิ่นและหมู่บ้านสามีเจอหลอก
กันถ้วนหน้า จนไม่มีใครทนได้ พากันย้ายออกไปหมดหมู่บ้านของมะขิ่นนั้นร้างไปเลย


ส่วนหมู่บ้านของหม่องวิน เหลืออยู่เพียงครอบครัวของแม่หม่องวินเท่านั้นที่ยังอดทนกับการหลอกหลอน
ต่างๆนาๆของผีนางมะขิ่นต่อไป เพราะต้องรอการกลับมาของลูกชายที่ขณะนี้กำลังค้าขายอยู่ต่างเมือง
และยังไม่ได้รู้ข่าวว่าเมียตายกลายเป็นผีเที่ยวหลอกชาวบ้านไปแล้ว


เมื่อได้ข่าวว่าขบวนคาราวานของลูกชายจะกลับมาแล้ว

และตามเส้นทางนั้นต้องแวะหมู่บ้านของมะขิ่นก่อนที่จะมายังหมู่บ้านของตน ทางบ้านแม่สามีก็ตกลงกันว่า
จะไปดักรออยู่ที่ต้นทางเพื่อไม่ให้หม่องวินได้พบเจอกับมะขิ่นได้ และจะได้ย้ายบ้านไปเมืองหลวงด้วยกัน
ทั้งครอบครัวไม่กลับมาที่แถบนี้อีกเลย



แต่ปรากฏว่า...ผีนางมะขิ่นเองก็ดูเหมือนจะรู้แผนการของแม่สามี จึงไปดักที่ต้นทางยิ่งกว่าที่พวกแม่สามี
ไปดักรออยู่ เมื่อขบวนคาราวานผ่านมา ขบวนคาราวานทั้งหมดรวมทั้งหม่องวินต่างก็เห็นนางมะขิ่น
(แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นผี) หม่องวินเห็นเมียรักออกจากหมู่บ้านมารับไกลถึงนี่ก็ดีใจ(ความจริงน่าจะเอะใจนะ)
เมื่อมะขิ่นชวนกลับบ้าน หม่องวินก็ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง รีบตามภรรยากลับไปบ้านทันที


เมื่อขบวนคาราวานเดินทางต่อมาจนถึงจุดที่พวกแม่หม่องวินดักรออยู่ แม่หม่องวินตกใจมาก
ที่ขบวนคาราวานไม่มีลูกชายของตน จึงถามนายกองคาราวานว่า หม่องวินไปไหนเสียแล้ว
ก็ได้รับคำตอบที่ตนไม่อยากฟังที่สุด ก็คือ

"นังมะขิ่นก็คว้าตัวกลับเรือนไปแล้วเมื่อตะกี้"

แม่หม่องวินจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายกองฟัง และขอให้นายกองไปตามตัวลูกชายกลับมาให้ที
นายกองก็รีบวิ่งแจ้นไปยังเรือนของมะขิ่น เมื่อไปถึงก็พบหม่องวินกำลังนั่งคุยกับมะขิ่นอยู่
(เป็นผมเผ่นแน่บไปแล้ว)

นายกองจึงรีบตะโกนตั้งแต่ยังไม่ขึ้นบ้านเลยว่า "นายๆ แม่นายบอกให้นายไปหาโดยด่วนแนะ"
หม่องวินที่ยังไม่รู้ว่ามะขิ่นเป็นผี ก็บอกว่า "กำลังอยู่กับหญิงคนรักอยู่ ไปบอกแม่นะว่าเดี๋ยวไป"
นายกองจึงซุบซิบกับหูหม่องวินว่า "ฟังก่อนนะนาย นังมะขิ่นมันเป็นผี"
หม่องวินได้ฟังดังนั้นก็ตวาดนายกองว่าบ้าหรือไง แล้วไล่นายกองก็ไปแต่โดยดี
(เพราะไม่อยากอยู่เหมือนกัน อยู่ห่างกับผีชนิดที่เรียกว่าจับตัวกันได้เลยนะนั่น)

คืนนั้นเอง หม่องวินก็กินข้าวกับเมีย ที่ไม่รู้ว่าเป็นผี ตอนกำลังกินแรกๆก็ไม่มีอะไร
แต่พอเอื้อมมือไปจับมือเมียก็พบว่ามือเมียเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมาก

ทีนี้พอกินไปสักพัก หม่องวินก็ได้กลิ่นสาบแปลกมาจากตัวเมีย พอกำลังจะถามเมียว่ากลิ่นอะไร เทียนดับครับ
พอจุดไฟขึ้นมาอีกรอบ หม่องวินถึงกับผงะ เพราะสภาพของเมียดูแปลกๆไป จากที่เคยสวยใส ใยตอนนี้
ตากลับโปนโตปานว่าจะถลนออกมานอกเป้า แก้มอวบเหมือนคนอ้วน ปากก็เผยอออกมาจนเห็นฝัน
น้ำลายไหลติ๋งๆเลย ผิวหน้าผิวกายดำเหมือนศพเน่า แต่หม่องวินก็ยังไม่ได้เผ่น

ถามเมียว่า ทำไมเอ็งดูแปลกๆไป มะขิ่นก็ถามกลับมาว่าแปลกตรงไหน แต่ยังไม่ทันที่หม่องวินจะพูดอะไรต่อ
ก็ทำช้อนตกลงไปใต้ถุน (มือคงสั่นมั้ง) ก็เลยจะลงไปเก็บ แต่มะขิ่นกลับพูดว่า


"พี่วินไม่ต้องไปเก็บหรอก เดี๋ยวมะขิ่นเก็บให้"

และก็ปล่อยลิ้นยาวๆผิดมนุษย์ จากชั้นสองลงไปตวัดช้อนที่ใต้ถุนกลับมาให้สามี เท่านั้นแหละ
หม่องวินตะโกนเลยว่า "โอ้ย นี่มะขิ่นเป็นผีอย่างที่เขาว่าจริงๆนี่"

แล้วกระโดดลงจากเรือน เร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อไปให้ถึงบ้านมารดาซึ่งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
โดยมีเสียงมะขิ่นตะโกนไล่หลังมาอย่างเย็น

"พี่วินจะไปไหน... รอมะขิ่นด้วย..."

เท่านั้นไม่พอ ยังใช้พลังวาร์ปมาดักหน้าสามีอยู่เป็นระยะๆ จนสามารถต้องโดดหลบหลายรอบต่อหลายรอบ
จนวิ่งมาถึงหน้าบ้านแม่ ก็รีบตะโกนเรียกแม่ให้ออกมาเปิดประตูให้ แม่หม่องวินก็ได้ยินเสียงลูกชายเรียก
แต่ขณะเดียวกับก็ได้ยินเสียงมะขิ่นด้วย


"กูจะตายกับผัวกูตรงนี้ ใครกล้าออกมาช่วยก็ลองดู"

บ้านหม่องวินมีคนอยู่เกือบสิบคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเลย แม่หม่องวินได้ยินเสียงลูกเรียกอีกหลายครั้ง
จนเงียบไป พอรุ่งเช้าทุกคนถึงกล้าออกมาดู และพบว่าหม่องวินเสียชีวิตเป็นศพนอนแข็งทื่อแล้ว
ทางบ้านหม่องวินจึงต่างพากันเศร้าโศกเสียใจ และรีบย้ายไปอยู่เสียในเมืองหลวง โดยไม่กลับมาพื้นที่แถบนั้นอีกเลย
หมู่บ้านของทั้งหม่องวินและมะขิ่นจึงถูกทิ้งร้างอยู่อย่างนั้น วันดีคืนดีมีคนผ่านไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังออกมา
จากในหมู่บ้านว่า


"พี่วินออกมาเถอะ มะขิ่นไม่ทำร้ายท่านหรอก"

และได้ยินเสียงผู้ชายตอบเสียงผู้หญิงนั้นว่า "ไปให้พ้น ข้าเกลียดเอ็ง"

ในหนังสือบอกว่า เรื่องนี้ยังมีการเล่าปากต่อปากอยู่ในพม่าอยู่ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแล้ว
แต่ผู้คนก็ยังคงเกรงกลัวผีนางมะขิ่นกันอยู่ หนังสือบอกไว้อย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าครับ


credit :: palungjit.com
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

OsamaB

ผ่านมา 400 ปียังมีชื่อถึงทุกวันนี้ ท่าจะมีฮั่นอย่าง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Benz_googel_chiangmai

มีฉากคล้ายแม่นาถไทยด้วยอะคุณแนส ก็อปเราไปป่าวนี่พม่าอะ jljhl ยังไงขอบคุณมากครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

del38196

น่ากลัวทุกประเทศอ่ะครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
Post By Soccer Box Office SBO