เบื้องหลังการตายและการเรียกวิญญาณของฮูดินี (ฮาโลวีน)

เบื้องหลังการตายและการเรียกวิญญาณของฮูดินี (ฮาโลวีน)

เริ่มโดย etatae333, 02 พฤศจิกายน 2013, 10:52:14

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

เบื้องหลังการตายและการเรียกวิญญาณของฮูดินี (ฮาโลวีน)



แม้เขาจะเสียชีวิตไปเกือบ 150 ปีแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่และโด่งดังในฐานะจอมมายากลของ "ฮูดินี" ยังคงไม่มีใครเทียบเคียงได้

ฮูดินีถือกำเนิดวันที่ 24 มีนาคม 1874 ที่กรุงบูดาเพสต์ในนามจริงว่า อีริค ไวศ์(Erik Weisz) เป็นบุตรชายคนที่ 4ในจำนวนลูก 7 คน
ของแรมไบ(Rabbi-นักบวชชาวยิว)เชื้อสายฮังกาเรียนผู้ซึ่งต่อมาได้อพยพมาอยู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.1878 และสุดท้าย
ก็ปักหลักที่นครนิวยอร์ค




สมัยเด็ก เจ้าหนูอีริกก็ชอบแสดงตัวออกสู่สาธารณะแล้ว โดยแค่9ขวบก็ได้เข้าแข่งขันการห้อยโหนตัวกลางอากาศ
ได้เป็นแชมป์ในการวิ่งมาราธอนข้ามรัฐ แล้วก็เลยมายึดอาชีพเป็นนักแสดงมายากลโดยขนานนามตัวเองว่า "ฮาร์รี่ ฮูดินี(Harry Houdini)
เพราะเขาชื่นชมการแสดงของมายากลฝรั่งเศสนามว่า ยูยีน โรแบรต์-อูแดง(Eugene Robert-Houdin)ส่วนชื่อแรกคือ "ฮาร์รี"
นั้นก็เอามาจาก ฮาร์รี เคลเลอร์(Harry Keller)มายากลที่ยกย่องเช่นกัน

ฮูดินีเปิดฉากการแสดงกลในปี 1891และก็เหมือนกับนักแสดงทั่วๆไปที่ไม่สู้จะประสบความสำเร็จสำหรับมายากลธรรมดาๆเช่น
การใช้ไพ่ (Card Tricks)แล้วเขาก็ได้พบกับ วิลเฮลมินา บีทริศ ราเนอร์ หรือ "เบสส์(Bess)" ผู้ต่อมาก็ได้เป็นคู่ชีวิต
และเป็นผู้ช่วยการแสดงบนเวทีการแสดงของฮูดินีตลอดมา



ความโด่งดังของฮูดินีเริ่มต้นขึ้นในปี 1899 เมื่อมาร์ติน เบค(Matin Beck) นักธุรกิจการแสดงได้เห็นและประทับใจในมายากลของฮูดินี
ที่วูดสก็ค,อิลินอยส์ และหนุนให้ฮูดินีเน้นหนักในด้านโชว์การหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ ปี 1900 เบค พาฮูดินีออกทัวแสดงในยุโรป
และที่ลอนดอน ฮูดินีก็ได้สร้างความฮือฮาต่อบรรดาสื่อ เมื่อเขาท้าทายและสามารถสะเดาะกุญแจข้อมือที่สวมใส่โดยตำรวจแห่งสก็อตแลนด์
ยาร์คอันลือลั่นในด้านการสืบสวนผลจาการนี้ทำให้ฮูดินีได้รับสัญญาว่าจ้างแสดงที่โรงละครอัลฮัมบราแห่งลอนดอนยาวนานถึงหกเดือน



ถึงตอนนี้ฮูดินีก็ได้รับสมญานามว่า "เจ้าแห่งกุญแจข้อมือ (The Handcuff King)" เขาตระเวนโชว์ไปทั่วยุโรป ไม่ว่าที่เนเธอร์แลนด์
เยอรมัน ฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ โดยฮูดินีจะท้าทายให้โปลิศท้องถิ่นจับเขาสวมกุญแจมือแล้วใส่กรงขัง ทั้งนี้ด้วยการถอดเสื้อผ้าทุกชิ้น
และตรวจทั่วตัวก่อน ที่กรุงมอสโคว์ ฮูดินีหนีหลุดออกมาได้จากรถขนนักโทษไปไซบีเรียทั้งนี้เขาเล่าว่าหากไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้
ก็ต้องติดรถไปถึงไซบีเรียโน่นเพราะกุญแจที่มีเพียงดอกเดียวได้เก็บรักษาไว้ที่นั่น


ตลอดระยะปี 1907 ถึง 1910 ฮูดินีได้สร้างความเกรียวกราวทั่วอเมริกาด้วยการแสดงการหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลายแหล่ ทั้งกรงขัง
กุญแจมือ โซ่ตรวน เชือก ตลอดจนเสื้อแจ๊คเก็ตที่ใช้สวมรัดตัวคนบ้า(Straitjacket) ล้วนไม่สามารถยึดกักเขาไว้ได้ นอกจากนี้เขายังค้นคิด
วิธีการที่ตื่นเต้นโลดโผนขึ้นไปอีก เช่น การใส่กุญแจมือแล้วยัดตัวเข้าไปในถังน้ำ  ในหม้อต้ม ในถุงเมล์ แม้กระทั่งในท้องปลาวาฬที่มาเกยตื้น
ตายบนชายหาดเมืองบอสตัน การแสดงเช่นนี้อาจล้มเหลวและเสี่ยงต่อความตาย สร้างความระทึกใจแก่ผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง และทุกครั้ง
ของการแสดงฮูดินีก็จะใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ด้วยการท้าทายเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งสื่อก็จะแพร่ข่าวสู่สาธารณะ นับว่าได้ผลดีกว่าการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ทั่วๆไปหลายเท่า



และในปี 1912 ฮูดินีก็ได้นำเอาโชว์ที่เรียกได้ว่าดังสุดๆของเขาออกแสดง นั่นคือการหลุดออกจาก
"ถังน้ำทรมานของจีน (The Chinese Water Torture Cell)"


ด้วยการถูกมัดตัวแล้วหย่อนห้อยหัวลงไปในถังที่ใส่น้ำเต็มปรี่ ซึ่งการนี้เขาต้องกลั้นลมหายใจนานกว่าสามนาทีแต่เขาก็หลุดเป็นอิสระออกมา
ได้ในวินาทีสุดท้ายทุกครั้งในระหว่างที่ผู้ดูใจหายใจคว่ำ


หลายคนคาดคะเนถึงวิธีการต่างๆที่ฮูดินีใช้ในการหลุดรอดจากพันธนาการ บ้างว่าใช้วิธีไสยศาสตร์ ใช้ในการถอดจิตวิญญาณ แอบซุกซ่อนกุญแจ ฯลฯ
แต่ฮูดินีก็ปฏิเสธวิธีการเหล่านี้ ตลอดอาชีพการแสดงฮูดินีได้เขียนอธิบายถึงกลวิธีต่างๆเป็นหนังสือหลายเล่ม เช่น "ความลับของกุญแจมือ (Handcuff Secrets)"
ซึ่งพิมพ์ในปี 1909 เขาได้เปิดเผยถึงการหลุดจากกุญแจมือและกุญแจล็อคตลอดจนโซ่ตรวน ว่าทั้งหมดล้วนเปิดออกมาได้ด้วยการใช้พลังที่เหมาะสม
หรืออุปกรณ์แม้กระทั่งเชือกผูกรองเท้า และอีกวิธีหนึ่งเมื่อถูกมัดด้วยเชือกหรือแจ๊คเก็ตคนวิกลจริต เขาจะเบ่งขยายกล้ามเนื้อไหล่และอก ขยับแขน
ให้ถ่างจากตัวก่อนจะถูกมัด ซึ่งทำให้เชือกหรือแจ๊คเก็ตหลวมหลังจากนั้นเขาก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้หดลงและหลุดออกมาได้


แต่ก็มีบางคราวเหมือนกันที่เขาต้องเผชิญกับความยากวิบากในการแสดง โดยเฉพาะครั้งที่ นสพ.เดลี่มิร์เรอร์ ของลอนดอนได้ท้าทายให้ฮูดินี
แก้กุญแจมือที่ทำขึ้นพิเศษโดยนาธาเนียล ฮาร์ท(Nathaniel Hart) ช่างกุญแจแห่งเบอร์มิ่งแฮมซึ่งฮาร์ทใช้เวลาประดิษฐ์ขึ้นถึงเจ็ดปีฮูดินีรับคำท้า
และการประลองก็มีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 1904 ณ โรงมหรสพฮิปโปโดรม มีผู้เข้าชมถึง 4,000 คนกับสื่อมวลชนอีกราวร้อยกว่า
นับเป็นรายการที่ตื่นเต้นและทรหดยิ่งยวดเพราะกินเวลานานนับชั่วโมง ช่วงเวลาดังกล่าวฮูดินีได้ออกมาจากฉากหรือม่านเล็กๆที่เขาเรียกว่า
"บ้านผี(Ghost House)" หลายหน



หนหนึ่งเขาได้ออกมาขอให้ช่วยถอดกุญแจมือออกชั่วคราวเพื่อที่เขาจะได้ถอดเสื้อคลุมออก แต่ตัวแทนของเดลี่มิร์เรอร์ปฏิเสธ โดยอ้างว่า
ฮูดินีอาจฉวยโอกาสดูวิธีการปลดกุญแจมือ ดังนั้นจอมมายากลจึงงัดเอาปากกามีดออกมา ใช้ฟันขบมีดไว้แล้วตัดเสื้อโค้ทขาดและปลดมันออกจากตัว
หลังจากนั้น 56 นาทีเบสส์ภริยาก็ขึ้นไปบนเวทีและจูบให้กำลังใจแก่เขา เชื่อกันว่าในปากของเธอมีลูกกุญแจซ่อนอยู่และเธอคายใส่ปากเขา
ฮูดินีกลับเข้าไปหลังฉากอีกครั้ง กระทั่งเมื่อเวลาทั้งสิ้นล่วงไปหนึ่งชั่วโมงกับสิบห้านาที เขาก็โผล่ออกมาอย่างเป็นอิสระ
ผู้ดูที่เอาใจช่วยต่างก็ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและแบกเขาขึ้นบ่าแห่แหนเอิกเกริกจนฮูดินีน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ


เขากล่าวในภายหลังว่าครั้งนี้เป็นการหลุดพ้นจากพันธนาการที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตมายากลของเขา ในเรื่องนี้เมื่อฮูดินีเสียชีวิตไปแล้วได้มีหนังสือ
เล่มหนึ่งชื่อ "เรื่องสั่นสะเทือนขวัญของบุคคลผู้ลึกลับ" เขียนโดย วิลล์ โกลด์สโตน มีข้อความตอนหนึ่งว่า มาร์ติน เบค ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮูดินี
ได้เล่าว่า การแสดงครั้งนั้นอูดินีหมดท่าจนต้องให้เบสส์ช่วย ซึ่งโกลด์สโตนก็ยังอ้างอีกว่าเบสส์ได้ไปขอลูกกุญแจจากตัวแทนของเดลี่มิร์เร่อร์
จากนั้นก็เอาลุกกุญแจใส่ในแก้วน้ำยื่นให้ฮูดินีดื่ม อย่างไรก็ตามในหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ "ชีวิตลับของฮูดินี" ได้กล่าวว่าลูกกุญแจดอกสำคัญนั้น
มีความยายถึง 6 นิ้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแอบใส่ในแก้วน้ำ และก็ยังมีข่าวลืออีกอย่างว่า แท้จริงแล้วเรื่องนรี้ฮูดินีได้เป็นผู้วางแผนแต่ต้นเองแหละ
ด้วยว่าเขาเป็นนักแสดงและนักประชาสัมพันธ์ชั้นเยี่ยมอยู่แล้ว ก็ว่ากันไป



ฮูดินีนั้นมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงและแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา เขามีความมั่นใจขนาดกล้าท้าทายให้ใครก็ได้ต่อยท้องเขาแบบว่า
สุดแรงเกิด ทั้งนี้เขาเตรียมตั้งรับโดยเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและยืดหยุ่นรับน้ำหนักหมัด หากทว่าการท้าทายนี้ได้นำซึ่งจุดจบแห่งชีวิตของฮูดินี


เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงมหรสพปรินเซสส์ในมอลทรีอัล,แคนาดา ซึ่งผู้ที่รู้เห็นคือ แจ๊คไพรซ์ กับ แซม สไมลีย์ สองนักศึกษา
แห่งมหาวิทยาลัยแม็คกิล(Mcgill University) ทั้งคู่ได้เล่าว่า ในตอนนั้นฮูดินีได้นั่งพักอยู่บนม้ายาวภายหลังจากเสร็จสิ้นการแสดง
และมีนักศึกษาศิลปะคนหนึ่งกำลังสเก็ตช์รูปของเขา



ทันใดนั้นเองก็ได้มีนักศึกษาชายนามว่า เจ กอร์ดอน ไวท์เฮด(J Gordon Whitehead) ได้พรวดพราดเข้ามาถามฮูดินีว่า จริงหรือที่เขา
สามารถรับหมัดที่ชกใส่พุงกะทิได้ ซึ่งฮูดินีพยักหน้ารับอย่างเพลียๆ และโดยที่ไม่คาดคิด ฉับพลันนั้นไวท์เฮดก็ได้อัดกำปั้นเข้าใส่ท้อง
ของฮูดินีเต็มเหนี่ยวถึงสามครั้งซ้อนๆ ก่อนที่ฮูดินีจะทันเกร็งหน้าท้องรับน้ำหนักหมัด เท่านั้นยังไม่พอไวท์เฮดยังกระหน่ำหมัดใส่อีกหลายครั้ง
ซึ่งทั้งสองนักศึกษากล่าวว่าฮูดินีมีอาการเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด


ฮูดินีได้บอกภายหลังว่าถ้าหากเขามีเวลาเตรียมตัวให้พร้อม เขาก็จะอยู่ในสภาพที่สามารถรองรับน้ำหนักหมัดได้อย่างดีกว่านี้ ทว่าก่อนหน้านั้น
เขาก็มีอาการเจ็บป่วยจากอาการไส้ติ่งอักเสบเป็นเวลาหลายวัน ที่สำคัญคือฮูดินีไม่สนใจในการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหลาย
อย่างจริงจัง ด้วยเขาเชื่อมั่นในสภาพร่างกายของตนเองเกินไป และก็ยังคงออกตระเวนแสดงอยู่ต่อไป

เมื่อฮูดินีไปเปิดการแสดงที่การ์ริคเธียเตอร์ในดีทรอยต์,รัฐมิชิแกน ในวันที่ 24 ตุลาคม 1926 นั่นคือการแสดงมายากลครั้งสุดท้ายของเขา
ตอนนั้นฮูดินีมีไข้ขึ้นสูงถึง 40 c เขาไม่สนใจว่าตนเองกำลังเป็นไส้ติ่งอักเสบอย่างรุนแรงและขึ้นเวทีแสดง มีบางรายงานอ้างว่าเขาได้เสียชีวิต
บนเวทีไปแล้ว หากทว่าฟื้นขึ้นได้และแสดงต่อไปอีก กระทั่งในที่สุดก็ต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลเกรซ(Grace Hospital)แห่งดีทรอยต์




ฮูดินีเสียชีวิตด้วยเยื่อกระเพาะอักเสบอันเนื่องมาจากไส้ติ่งแตก เมื่อเวลา 01:26 น. ในห้องเลขที่ 401 ในวันที่ 31 ตุลาคม 1926 รวมอายุได้ 52 ปี
อีกกระแสหนึ่งกล่าวว่า ฮูดินีเสียชีวิตจากการวางยาพิษโดยเหล่าผู้มีอาชีพทรงเจ้าเข้าผีและเชิญวิญญาณของผู้ตายให้มาพบปะสนทนากับญาติสนิท
มิตรสหาย ทั้งนี้เพราะในช่วงระยะหลังของชีวิต ฮูดินีได้ต่อสู้รณรงค์กับผู้ดำเนินการทรงเจ้าเหล่านี้ เขาประณามว่าเป็นการกระทำที่หลอกลวงชาวบ้าน
โดยไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของวิทยาศาสตร์ที่จะมีวิญญาณใดๆฮูดินีจะไปจับผิดและประกาศเปิดโปงเบื้องหลังของคนเหล่านั้น
ซึ่งสร้างความโกรธแค้นเคืองให้แก่เหล่าผู้เชิญวิญญาณทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่โด่งดังและมีผู้เชื่อถือมากมาย



โดยเฉพาะกับสาวงามนาม มินา แครนดอน หรือที่รู้จักในชื่อ "มาร์เจอรี่ (Margery) ผู้เป็นนักเชิญวิญญาณ (Spiritualists)และเป็นสาวสังคมชั้นสูง
ของบอสตัน(แถมสามียังเป็นอาจารย์สอนแพทย์อีกด้วย)เธอทำพิธีเข้าทรงวิญญาณโดยไม่เรียกร้องเงินทองจากญาติของผู้ตายแต่อย่างใด
ระหว่างวิญญาณปรากฏนั้นโต๊ะจะขยับขึ้นลง สรรพสิ่งเคลื่อนไหว และยังมีเสียงพูดของวิญญาณโต้ตอบกับญาติที่มาร่วมพิธี ซึ่งเหล่านี้ฮูดินีได้เปิดเผย
ถึงเบื้องหลังวิธีการและท้าทายให้มาเจอรี่มาเผชิญหน้าโดยเสนอรางวัลให้หนึ่งหมื่นดอลลาร์แต่ทว่าเธอไม่ยอมมาปรากฏตัว

เมื่อเขาสร้างศัตรูไว้มากมาย จึงเป็นไปได้เหมือนกันที่ฮูดินีจะถูกวางยาพิษ ศพของฮูดินีมีพิธีฝังในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1926
ที่สุสานมักเพลาห์(Machpelah),นิวยอร์ค โดยมีผู้มาร่วมไว้อาลัยอย่างเศร้าสร้อยกว่า 2,000 คน
มีศิลาจารึกของสมาคมมายากลแห่งอเมริกาประดับอยู่ที่หลุมศพของเขา




แม้ว่าเขาจะปฏิเสธเรื่องเข้าทรง แต่ฮูดินีก็ต้องการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ดังนั้นก่อนเสียชีวิตเขาจึงได้ทำข้อตกลงกับเบสส์ภริยาว่าถ้าหากวิญญาณ
ของเขาได้กลับมาหาเธอ เขาจะเปล่งเสียงออกมาเป็นรหัสลับที่รู้กันเพียงเขากับเธอว่า "Rosabelle believe" ซึ่งคำคำนี้เป็นวลีที่เบสส์
เคยใช้ในการแสดงของเธอสมัยที่ทั้งสองได้พบกันวันแรกๆ

เบสส์ได้พยายามทำพิธีเชิญวิญญาณของฮูดินีมาพบในวันฮาโลวีนของทุกๆปีติดต่อกันนานถึงสิบปี หากทว่าก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด
กระทั่งใน ค.ศ.1936 เบสส์ได้ทำพิธีเชิญวิญญาณเป็นครั้งสุดท้ายที่โฮเตลนิคเกอร์บอคเกอร์ จากนั้นเธอก็เป่าเทียนที่จุดสว่างตลอดมา
นับแต่เขาเสียชีวิตให้ดับลง และได้เอ่ยในเวลาต่อมาว่า

"สิบปีนั้นยาวนานเพียงพอแล้วสำหรับการรอคอยใครก็ตาม"

ถึงกระนั้น บรรดามายากรทั้งหลายที่ชื่นชมในตัวฮูดินีก็ยังคงหวังที่จะได้พบวิญญาณของเขา และมีพิธีเชิญวิญญาณฮูดินีในวัน ฮาโลวีน
ในหลายสถานที่สืบเนื่องติดต่อกันมาแม้ในทุกวันนี้

http://www.youtube.com/v/72IBUiXJogc

ใครจะรู้ว่าซักวันดวงวิญญาณของฮูดินี อาจปรากฏให้พวกเขามีโอกาสสัมผัสก็เป็นได้ติดตามชมรายละเอียดและภาพต่างๆ
ของจอมมายากลฮูดินีได้ในรายการโทรทัศน์ ทรู วิชั่น ช่องHistory(   ) เรื่อง "Houdini : Unlocking The Mystery"
ตามวันและเวลาที่ระบุในวารสารประจำเดือนของ PREMIER ครับผม




credit :: tuaytoon
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

pheebar

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

First_1st

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

piryat

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Daran

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions