บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔

บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔

เริ่มโดย Nobody, 15 มีนาคม 2009, 20:19:01

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฏาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ
        ถาม :  ถ้าในกรณีที่เกิดว่าหนูสอบได้ทีนี้หนูจะต้องไปอยู่ป่าละอู ๓ เดือน คือตั้งแต่ปีที่แล้วตั้งใจว่าจะอยู่ธุดงค์ที่วัดท่าซุงในช่วงเดือนธันวากรณี ที่เกิดว่า.....
       ตอบ :   เราก็รอให้เลยธันวาก่อน   เลยธันวาแล้วค่อยไปป่าละอู
       ถาม :   คิดว่าถ้าไปตุลาแล้วพอธันวาเราพักเราค่อยไปต่ออย่างนั้นได้ไหมคะ  ?
       ตอบ :  อย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องให้มันครบ ๓ เดือนจริง ๆ ประเภทที่ว่าตุลาเดือนหนึ่ง พฤศจิกาเดือนหนึ่ง จะได้ ๒ เดือนแล้ว ธันวาเราไปอยู่วัดใช่มั้ย ? มกราก็ไปอยู่ป่าละอูต่อนั่นแหละ เอาให้มันครบแล้วกัน
       ถาม :   ที่เราไปอยู่ธุดงค์ให้ครบตรงนั้น  ๓  เดือน   เรียกว่าตัดไปเลยใช่มั้ยคะ  ?
       ตอบ :  ตัดในช่วงธุดงค์ทั้งไปเลยเอาเฉพาะเราอยู่ป่าละอูเท่าไหร่เอาให้ได้ครบ ๓ เดือน หรือไม่ก็ถ้าต้องการให้ต่อเนื่องก็ให้เลยธันวาแล้วค่อยไป ป่าละอูสมัยที่อาตมาไปนะมันป่าทึบจริง ๆ จากหัวหินไปตลอดผ่านหนองพลับเข้าไปนี่ทางฝุ่นท่วมข้อเท้า มาระยะหลังถึงมีทางลูกรัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ลาดยางหรือยัง ?
       ถาม :   ลาดยางแล้วค่ะ
       ตอบ :    ลาดยางแล้วก็สบายไป   จากตลาดหัวหินไปมันตก   ๖๐   กว่าโลได้
       ถาม :   ประมาณ  ๗๐  ค่ะ
       ตอบ :    ประมาณ  ๗๐   ถึงสำนักใช่มั้ย
       ถาม :   จากที่ลาดยางไปจนถึงอีก   ๑๐  กิโลได้    ตอนนั้นไปที่สำนักที่หลวงพ่อ...ให้ทำ
       ตอบ :   อาตมาสมัยนั้นไปย่ำต๊อกตลอด   ก็ป่ามันใหญ่แล้วบรรดาสัตว์ป่าเยอะมาก    ไปเจอตัวจงโคร่งก็ป่านั้นแหละ    ครั้งแรกก็ไม่รู้จักหรอก     จงโคร่งนี่มันเป็นคางคกชนิดหนึ่งบางทีเขาเรียกคางคกไฟ จะมีอานุภาพแปลก ๆ บางอย่างคือว่า ถ้าเขาหมอบอยู่สัตว์อะไรบินผ่านเขาจะตกลงไปให้เขากินเอง ตอนแรก ๆ เราก็นึกถ้านกตกลงไปมันจะกินได้รึ ? พอไปเจอตัวมันเข้าจริง ๆ เจ้าพระคุณเอ๋ยตัวเบ้อเร่อเลย อย่างนั้นอย่าว่าแต่นกเลยแม่ไก่มันยังกินไหว
              แล้วพวกตัดช่องย่องเบาเขาจะชอบมาก เขาจะถลกหนังจงโคร่งไปตากแดดให้แห้งแล้วป่นเป็นผงไปผสมกับธูปปั้นเป็นธูป ขึ้นมา เวลาจะเข้าบ้านไหนพอตกค่ำก็ไปจุดเหนือลม รับรองได้ว่าหลับชนิดลากรอบบ้านไม่ตื่นหรอก มันเมาด้วย วิธีแก้มีวิธีเดียวคือใช้ว่านแสงอาทิตย์ ว่านแสงอาทิตย์โยมอาจเคยเห็น มันเป็นก้านเขียว ๆ แทงพ้นพื้นขึ้นมาแล้วดอกมันจะฟู ๆ แดง ๆ นั่นแหละใช้หัวว่านแสงอาทิตย์ตำผสมกับแอลกอฮอล์หรือว่าเหล้าโรงทาจมูกถึงจะ ฟื้น คนที่ไปจุดถ้าไม่ทาไว้ก่อนลมหวนก็หลับเหมือนกัน กว่าจะตื่นอีกเป็นวัน ๆ วิธีแก้ก็แก้วิธีนี้ แต่ว่าขณะเดียวกันว่านแสงอาทิตย์ถ้าเราไปทาส่งเดชโดยที่เขาไม่ได้จุดอันนี้ นะ ตาค้างยิ่งกว่าม้าดีดอีก (หัวเราะ) ต้องระวังไว้หน่อย
       ถาม :   แล้วที่ตำนี่เอาสด  ๆ  อย่างนั้นเลยหรือคะ  ?
       ตอบ :  ตำสด ๆ เลย ว่านสด ๆ ตำกับเหล้าโรงนะ ของพวกนี้มันมีกันมีแก้ มันต้องใช้คู่กัน ไปใช้อันเดียวมันอันตราย จงโคร่งทางปักใต้เขาเรียกว่ากง    คางคกยักษ์ตัวเบ้อเร่อเลย   
               เมื่อเดือนก่อนที่ลงไปปักษ์ใต้    เจ้าชาญมันเอาใส่ตะกล้ามาให้ดูตัวหนึ่งเต็มตะกล้าพอดี    นึกเอาดูก็เเล้วกันว่าตัวใหญ่แค่ไหน    อาตมาเจอครั้งต่อไปที่ถ้ำกระแซงที่ยะลา กำลังปีนถ้ำอยู่เห็นโขดหินก็เหนี่ยวเต็มที่เลย โขดหินมันลอยตามมือเรามา ขนาดเห็นมันเป็นโขดหินตัวมันต้องใหญ่มากเลยนะ เหนี่ยวปุ๊บมันโดดเลยหัวลงน้ำตูมไปเลย รู้จักไว้ก็ดี สัตว์แปลก ๆ มันเยอะ
       ถาม :   แล้ววันนั้นพอดีท่านเล่าว่าวันดีคืนดีพอดีเจอเสือดำมั่ง   เสือโคร่งมั่ง   ช้างมั่ง   ถ้าหนูไปอยู่หนูจะเจออะไร  ?
       ตอบ :  ของพรรค์นี้ไม่ต้องไปกลัวหรอก อาตมายืนยันว่าถ้าโยมกำลังใจมั่นคงนะ บารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มได้แน่นอน เพราะว่าเดินป่ามามากต่อมากด้วยกันจนกระทั่งเชื่อว่าในทุกที่เราก็อยู่ได้ ถ้าเราอาศัยบารมีพระไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ส่วนใหญ่เขากลัวเราซะด้วยซ้ำไป
              ให้ตั้งใจเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เราแก่เขาก็แก่ เราเจ็บเขาก็เจ็บ เราตายเขาก็ตาย เราหิวเขาก็หิว เรากระหายเขาก็กระหาย เราเป็นคนเรายังไปเสาะได้ หาได้สะดวกสบายแต่ว่าเขาเป็นสัตว์ อาหารการกินก็หาไม่ได้อย่างใจ เขาทุกข์กว่าเราเยอะ เขาเดินทางมาบางทีเป็นวันไม่เจออะไรที่กินได้เลย ของเราอยากกินเดินเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว....เขาทุกข์กว่าเรามากทำอะไรก็ไม่ได้ ดังใจ น่าสงสารมากไม่ใช่น่ากลัว มีใครรู้จักป่าละอูบ้างมั้ย ?
       ถาม :  ก็นี่แหละค่ะไปตอนบุกเบิก
       ตอบ :    ทางด้านใต้ของไทยถ้าหากนับเป็นกลางตอนล่างก็ต้องป่าละอู  มันต่อเนื่องกันเป็นผืนเดียวกับเเก่งกระจาน แก่งกระจานถ้าโยมเคยเข้าไปพ่อเจ้าพระคุณรุนช่องเถอะ ! ป่ามันมโหฬารติดไปถึงประเทศพม่าเลยผืนเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นสัตว์ป่าเยอะมากวันดีคืนดีช้างมันโผล่มาเยี่ยมก็ยืนยิ้มให้มันนะ
       ถาม :   ตอนไปครั้งแรกที่ไปถางป่าเห็นไก่ป่า
       ตอบ :  ที่วัดอาตมาปัจจุบันมีไก่ป่าเป็นกุรุสเลย ตอนแรก ๆ ได้มาตัวเดียว มันหลอกอีท่าไหนไม่รู้นะหลอกสาวมาได้ตัวหนึ่ง ทีนี้ก็เป็นเรื่องล่ะเพราะว่าตอนแรก ๆ ไก่ป่าในป่ามันก็มีลูกแค่ ๕ ตัว ๖ ตัว ๓ ตัว ๔ ตัว พอมมาอยู่กับเรากินดีอยู่ดี โอ้โห... มันไข่ออกมา ๒๐ กว่าฟองแล้วมันฟักออกมาทีละ ๑๗- ๑๘ ตัว พักเดียวก็โตเต็มไปหมด เอาไปให้วัดท่าขนุนซะ เกือบ ๓๐๐ ตัว วัดอื่นก็ให้เขาเอาไปเยอะ อยู่ที่โน่นพักเดียวก็มาสังเกตง่ายขาเขาจะสีดำหรือไม่ก็สีออกเขียวคราม ขาไก่บ้านจะสีเหลือง
       ถาม :  พอดีเมื่อวานไปวัดท่าซุงเจอหลวงพี่ตี๋ ก็เลยถามท่านว่าตอนนี้มีพระกี่องค์ ท่านบอกว่าพระที่ไปจากวัดเรา ๗ แล้วที่โน่น ๓
       ตอบ :    ที่โน่นก็คงท่านบัญญัติมั่ง   ท่านบัญญัติ เขาอยู่กับหลวงพี่นิภัทร อยู่ไปอยู่มาหลวงพี่นิภัทรคงจะแปรเจตนาท่านบัญญัติท่านเลยไม่อยู่ด้วย ลำบากหน่อย ... อยากรู้หวยไปถามหมอเพชร หมอเพชรเขามีพรสวรรค์ไม่ว่าหมอเพชรไปที่ไหนพวกผีเขาจะโผล่มา ส่วนใหญ่เขาจะบอกเรื่องหวย แล้วมันแปลกว่าถ้าหมอแกซื้อเองแล้วซื้อน้อยแกถูก แล้วถ้าหากประเภทที่เรียกว่าบอกคนอื่นแล้วคนอื่นไม่โลภก็ถูก แต่ถ้าทุ่มเทงวดไหนงวดนั้นจะผิด เพราะฉะนั้นอย่าไปซื้อเยอะเจ๊งเอาง่าย ๆ แกไปนั่งกรรมฐานที่ไหนผีก็มักจะมาบอกตรงนั้นแหละ
               ป่าละอูมันจะผ่านหนองพลับมันจะมีหน่วยจัดการต้นน้ำหนองพลับ สังกัดศูนย์ที่ ๑๖ ที่อาตมาอยู่ เวลาอบรมชาวบ้านอะไรถ้าเขาขอตัวมาก็ต้องไป เพราะฉะนั้นแถวนั้นจะชำนาญพื้นที่ โยมบอกมาหลับตานึกออกหมด
       ถาม :    ที่ผีมาหานี่    ทำไมถึงมีผีอยู่   ทำไมเขาถึงไม่ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ครับ ?
       ตอบ :  (หัวเราะ) ผีในความหมายของเรา อะไรมันก๊อกแก๊กมาเราเหมาเป็นผีหมด ไล่ตั้งแต่เปรตจำพวก ๑๒ อสุรกาย สัมภเวสี (คนตายก่อนหมดอายุ) จนกระทั่งเทวดา มาร พรหม พระบนนิพพาน ของเราอะไรก๊อกแก๊กเราเหมาเป็นผีหมด ทีนี้ผีในความหมายของอาตมาว่านี่นะส่วนใหญ่เขาจะเป็นเทวดา เป็นเจ้าที่ในที่นั้น หรือไม่ก็บรรดาผีประเภทที่ว่ายังไม่ไปนรกไปสวรรค์ คือพวกสัมภเวสีพวกนี้จะตายก่อนหมดอายุ
              ในเมื่อที่ตายก่อนหมดอายุจะไปรับความดีความชั่วอะไรก็ไม่ได้ ต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหมดอายุขัยความเป็นมุนษย์ ซึ่งมันเวลาแป๊บเดียวของเขา สมมุติว่าในระยะนี้อายุขัยของมนุษย์เป็น ๗๕ ปี เกิดเขาตายตอนอายุ ๓๐ เหลือเวลา ๔๕ ปีใช่มั้ย ? มันก็ไม่ถึงวันหนึ่งของเขาแต่อย่าลืมว่าถึงจะแป๊บเดียวของเขาก็ตาม ถ้าเขาทำความดีมาน้อยอยู่ในลักษณะอดอยากหิวโหยเขาก็ลำบากมาก ของเราลองหิวข้าวซักวันหนึ่งดูซิ เป็นลมใช่มั้ย ? ของเขาเองเขาก็ลำบากเหมือนกัน อยู่ในสถานะไหนล้วนแล้วแต่มีทุกข์ทั้งสิ้น ไปนิพพานเถอะ...
       ถาม :    แล้วที่ว่าเขาเห็น   ๆ   กันล่ะครับ ?
       ตอบ :  ไอ้ที่เขาเห็น ๆ กันมันมีได้หลายอย่าง อาจจะมีทั้งเปรตจำพวกที่ ๑๒ มีทั้งอสุรกาย มีทั้งสัมภเวสี มีทั้งเทวดา แล้วแต่ว่าใครจะมาถ้าหากว่าเป็นพวกระดับต่ำอยู่ในอบายภูมิอย่างเปรตจำพวกที่ ๑๒ หรืออสุรกายหรือสัมภเวสีพวกนี้ ถ้าที่บารมีน้อย ๆ บางทีก็มาได้แต่กลิ่น บางทีก็มาได้เฉพาะเสียง บางทีก็มาให้เห็นได้แต่รูปได้แต่บอกอะไรเราไม่ได้
              ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่พวกเราเองก็มักไปกลัวเขา เขาบุญน้อยบารมีน้อย ที่เขาทำได้สวยที่สุดก็คือพวกเราวิ่งอ้าวกันนั่นน่ะสวยสุดฝีมือมันแล้ว บุญเขาน้อยจริง ๆ เขาทำได้แค่นั้น
              เพราะฉะนั้นต่อไปไม่ต้องกลัวผีแล้ว ส่วนใหญ่ผีมันน่าสงสาร อาตมาเองเด็ก ๆ นี่กลัวผี ห้องน้ำมันอยู่นอกบ้าน โอ๋.... อั้นกันจนหน้าเขียวกว่าจะสว่างไม่กล้าไป พอหลังจากฝึกมโนมยิทธิรู้จักผีดีแล้ว มันเลิกกลัวไปตอนไหนบอกไม่ถูก คือเห็นแล้วว่าเขาน่าสงสารมาก ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาลำบากมากเลย ถ้าไม่ลำบากเขาไม่มาหาเราหรอก เขาเพลินกับความสุขของเขาอยู่ ดังนั้นหากว่าคราวหน้าคราวหลังผีมาไม่ต้องกลัวนะ เขาทำได้สวยที่สุดแค่นั้นแหละรีบ ๆ อุทิศกุศลให้เขาแล้วกัน เขาจะได้สวยขึ้น
       ถาม :   แล้วอย่างพวกนางไม้ล่ะคะ  ?
       ตอบ :    พวกนางไม้ ถ้าบารมีน้อยหน่อยบางทีเจอพระเขาก็ขอมาทำบุญใส่บาตร อาตมาเองก็เจอนะ ก่อนจะออกบิณฑบาตก็มักจะซ้อมมโนมยิทธิ กำหนดใจดูก่อนว่าคนที่จะใส่บาตรเราคนแรกวันนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรเหล่านี้เป็นต้น แล้วพอไปถึงก็ไปตรวจสอบว่าตรงมั้ย ?
              วันนั้นก็กำหนดใจดูแล้วว่า เออ...คนทีจะทำบุญให้เขาจะใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าเก่า ๆ เสื้อแขนยาวแบบเสื้อเชิ้ตแต่ว่าเป็นผู้หญิง คราวนี้ พอไปถึงปุ๊บพอเห็นก็เออเรารู้ถูก ก้มหน้าลงเปิดบาตร ตอนก้มลงเปิดบาตรความลับมันแตกคือเขาเองก็คงบังเราไม่หมด ชายผ้ามันแลบออกมามันไม่ใช่สีฟ้าเก่า ๆ นะซิ มันเป็นผ้าประดับทองด้วยนะ เราก็ปิดโครมไม่ต้องใส่ถามก่อนว่าเป็นใคร ? (หัวเราะ) เขาก็เลยต้องแสดงตัวจริงให้เห็นเป็นรุขเทวดาที่อยู่ใกล้ ๆ นั่น ผู้หญิงสวยมากเลยแต่ว่าเนื้อเขาคล้าย ๆ เนื้อเราแสดงว่าบุญน้อยมาก เทวดายิ่งบุญสูงเท่าไหร่ เนื้อเขาจะใสมากเท่านั้นนะ
              อันนี้เนื้อเขาคล้าย ๆ เราก็แสดงว่าเป็นเทวดาที่จนหน่อย แต่ขนาดจน ๆ ที่เข็มขัดทองเส้นขนาดเท่าฝ่ามือ ถามว่าเขามาทำอะไร เขาบอกขอทำบุญหน่อยเถอะค่ะ อยากได้บุญก็เลยบอกเขาบอกว่าผลบุญใดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอ โมทนานะ เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย เขาก็โมทนากลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปแนบบาตรเบิดไม่ใส่เลย (หัวเราะ) อดแดก..... นี่จำจนขึ้นใจเลย ต่อไปต้องให้เขาใส่ก่อนนะ (หัวเราะ) งวดนั้นเสียท่ารีบให้เขา เขาได้แล้วเขาเลยไม่ต้องใส่บาตร ไปดีกว่า...แหม...
       ถาม :  ที่บ้านพักที่โรงเรียนนะคะ มีอยู่ ๔ คืนด้วยกัน คือนอนตอนตี ๒ กำลังหลับก็มาเรียกชื่อ ๆ ก็สะดุ้ง เอ๊ะผีหรือเปล่า ก็ไม่ได้ขานนะคะ พออยู่อีก ๒ คืนมาเรียกอีก เรียกอยู่ประมาณ ๔ คืนแน่ะค่ะ เอ๊ะ...มันผีอะไร หนูสวดยันทุนไล่ (หัวเราะ)
       ตอบ :    ไม่ใช่ยันทุนหรอก   ยันจนหมดทุนเขาก็ไม่ไปหรอกเพราะว่าถ้าเป็นพวกเทวดาเขาไม่กลัว
       ถาม :  เสร็จแล้วบังเอิญก่อนวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหะ ก็ขับรถไปแล้วก็ไปแวะร้านอีกร้านหนึ่งก็ถาม เจ๊ลม มันเป็นยังไงนี่มีคนมาเรียกอยู่ ๔ คืนติด ๆ กันแล้ว พอดีคน ๆ นี้เขาค่อนข้างจะปฎิบัติใช้ได้นะคะ เขานับถือเสด็จเตี่ย เสด็จพ่อ ร. ๕ ด้วย เขาก็บอก เอ๊ะคุณมันมีอะไร พวงมาลัยเหลือง ๆ ลอยนะ เอ้า! ดูให้ดี ดูให้หน่อยนะ เขาบอกมีพวงมาลัยแบบคล้าย ๆ พวงมาลัยดอกดาวเรืองน่ะคะ ใจหนูก็บอกว่าดูใหม่ซิ เขาก็บอกว่านี่ไงเดินผ่านไปแล้ว นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแล้วก็ใส่สไบสีเหลือง หนูก็ถามว่า ถามซิ เขาก็หันไปพูดที่โรงเรียนครูมีเสาที่แบบสีเหมือนเสาอันนี้มั้ย ? พอเขาพูดถึงเสา หนูก็นึกถึงนางไม้ที่โรงเรียนเลยคือท่านอยู่มาเป็นคิดว่าเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ปีแล้ว เสร็จแล้วหนูก็เอ๊ะ...จะทำยังไงดี
              พอดีคืนนั้นนอนสวดมนต์เสร็จแล้วก็ทำสมาธิกว่าจะสร็จประมาณตี ๒ เอ๊ะ...ทำไมเรานอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับหนูก็ลุกขึ้นมาทำสมาธิ ฟันเฟินไม่ต้องแปรงเอาตามหลวงพ่อเราน่ะค่ะ พอทำไปสักพักพ่อก็มา พ่อมาหาก็ถือไม้เท้านั่งอยู่ก็กราบท่าน ท่านก็ไม่พูดอะไร เสร็จแล้วเหมือนกับท่านหรี่ไฟ บังเอิญมีภาพเป็นนางไม้น่ะค่ะ ท่านเดินมา เดินมาก็ปรึกษาท่านว่าจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าให้ไปซื้อผ้าสไบ จะเห็นหมดเลยคือองค์แรกจะเป็นแบบเห็นผมยาว ๆ ค่อนข้างหยักศก นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแบบมัน ๆ หนูก็เรียกไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน แล้วก็สไบสีเหลือง องค์ที่ ๒ ก็ผ้าโจงกระเบนสีเหลือง ผ้าสไบออกสีโอรส องค์ที่ ๓ ก็ผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงินแล้วสไบเป็นสีเหลือง แล้วก็กุมาร ๆ ใส่ชุดสีชมพู
              ทีนี้หนูก็มานั่งคิด โอ้โห... จะให้ซื้อถวายขนาดนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหน คือผ้าโจงกระเบนผืนหนึ่งก็หลายร้อยใช่มั้ย ? มีเงินอยู่แค่ ๓ พันกว่าบาท เลยทำยังไงดี ท่านก็เลยทำเป็นหุ่น ๆ จิตก็บอกว่า เอ้า...ไม่เป็นไร เป็นหุ่นก็ยังพอได้
              พอเช้าขึ้นมาแล้วหนูก็ไปถามว่าทำไมต้องทำให้หนูทำอย่างนี้ ท่านก็บอกว่าจะเข้าพรรษาแล้วท่านอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า คือท่านตอนทำให้เห็นว่าผ้าท่านเก่ามากแล้ว ท่านบอกว่าอยากเปลี่ยนเครื่องทรง หนูก็เลยบอกว่าจะให้ทำยังไงต่ออีกทำไม่เป็นนะ ท่านก็บอกว่าให้ถวายผลไม้ ๕ อย่างแล้วท่านก็จำเพาะมา ท่านบอกว่า ๒ อย่าง สับปะรดกับชมพู่นะอีก ๓ อย่างจะเอาอะไรก็ได้ แล้วหนูถามว่าธูปล่ะจุดยังไงถวายยังไง ท่านก็บอกว่า...(ไม่ชัด) ... เช้าหนูไปหาพี่ถามพี่หนูทำอย่างนี้จะผิดมั้ย เออ...ไม่เป็นไร
              ก่อนจะไปหนูไปไหว้ท่านแล้วบอกว่าหนูจะไปดูหุ่นแล้วก็ตามไปเลือกเอาเองแล้ว กัน ไปถึงก็ได้ตามนั้นทุกอย่างเลย ท่านบอกให้ทำวันนี้ หนูกลับมาประมาณบ่ายโมงได้หนูก็ทำวันนั้นเลย วันนั้นวันอาสาฬหะ พอทำเสร็จก็ไปวัด ทีนี้อยากจะเรียนถามว่าตรงนี้ท่านได้มั้ยคะ ที่หนูทำไปนี่ ?
       ตอบ :  ถ้าทำตามที่ท่านต้องการท่านได้แน่ คือว่าเขามาขอเองนี่ในเมื่อขอเอง เขาบอกอย่างไรทำอย่างนั้นก็เป็นอันว่าดีตามที่ท่านบอก อาตมาเองไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ นะ เจ้าที่เขาขึ้นมาบอกว่าภายใน ๒ ปีสร้างศาลให้ผมหลังหนึ่งนะครับ ก็ถามท่านว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าผมเป็นเจ้าที่อยู่แถวนี้แหละ เป็นอากาศเทวดาด้วยนะ ชาวบ้านเขาเรียก ?พ่อปู่ดำ? ถามว่าแล้วจะเอาศาลแบบไหน เขาก็บอกว่าเอาศาลแบบหลังคาเขียว ๆ เราก็นึกว่ามันเป็นศาลที่เขาทำด้วยไม้แล้วมีหลังคาเป็นสังกะสีเขียว ๆ ปรากฏว่ามันไม่ใช่อย่างที่ท่านต้องการ
              พอรุ่งขึ้นก็ถามหัวหน้าป่าไม้ว่าเจ้าที่ที่นี่ชื่ออะไร บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยขับรถไปดูด้วยกันปราฏกว่าเขาติดป้ายไว้ว่า ?ศาลพ่อปู่ดำ? เมื่อเป็นอย่างนั้นก็บอกท่านว่าถ้าอย่างนั้นจะตั้งศาลให้เลย มีข้อแม้หน่อยว่าในเมื่อถ้ามันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจแล้วช่วยบอกทีเหอะว่า จะเอาแบบไหน เขาก็ตกลง เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนั่งรถมันไปเรื่อยเปื่อย
              พอไปถึงที่หนึ่งท่านสะกิดบอกเอาศาลแบบนี้ เรากำลังเพลิน ๆ อยู่ลืมตาขึ้นหันไปดู มันผ่านโรงงานขายวัสดุก่อสร้างมีศาลตั้งอยู่เป็นแถวเลย ปรากฏว่าเป็นศาล ๖ เสาหลังเบ้อเร่อเลยนะ แล้วก็มีหลังคาเขียว ๆ เหลือบทอง อ๋อ....หลังคาเขียวแบบนี้เอง ไปถามเขาดูว่าราคาเท่าไรนะ ตอนนั้นปี ๒๕๓๖ เจ้าของร้านเขาบอกว่าตอนนี้มันเป็นช่วงจะเข้าพรรษาไม่มีใครเขาตั้งศาลกันเลย เหลือแค่ราคา ๙ พัน ถ้าออกพรรษาแล้วก็หมื่นกว่าครับ เลยรีบยกไปเลยขืนช้ารอออกพรรษาหมดอีกเยอะ (หัวเราะ)
              ผลปรากฏว่ารถปิ๊กอัพคันหนึ่งขนไม่หมดหรอกมันใหญ่เกินปิ๊กอัพ ตรงนอกชานล้นขอบปิ๊กอัพออกมาเลย ลองนึกดูเถอะศาลมันใหญ่แค่ไหนคนงาน ๘ คนแบกไม่ขึ้นเราก็นึกว่าเป็นศาลไม้เล็ก ๆ หลังเขียว ๆ พวกเราคงเคยเห็นใช่มั้ย ? เขาทำด้วยสังกะสีแล้วตัวศาลเป็นไม้ นั่นแหละ ต้องให้เขาเลือกเอง ถูกใจท่านแน่
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

suphap

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.2.html

ถาม :    แล้วอย่างนี้  สมมุติเกิดจะไหว้จะบูชาท่านจริง  ๆ  นี่ธูปกี่ดอกค่ะ  ?
       ตอบ :   อยู่เราถนัดนะจ้ะ   ท่านไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว   ท่านต้องการแต่ความเคารพของเรา ถ้าเราทำบุญอย่างเช่นว่า เลี้ยงพระให้เขาหรือว่าถวายสังฆทานให้เขา เวลาขอความช่วยหลือเขาก็จะสงเคราะห์ได้ไปจุดธูปบอกเลย บอกตอนนี้ต้องการเออลี่รีไทร์มาก รีบยัดเรื่องให้ไว ๆ หน่อยเดี๋ยวดีไม่ดีเขาดึงขึ้นมาแผ่นแรกให้เจ้านายเซ็นซะเลย
       ถาม :  ตอนแรกหนูไหว้พระอะไร หนูก็บอกว่า...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พักที่นี่นะ หนูอยู่มาตั้ง ๒๐ กว่าปีแล้ว หนูก็อยากจะไปที่อื่นมั่ง (หัวเราะ) อาจจะไปสร้างบารมีทาง (หัวเราะ) หนูบอกว่า ทางโลกทางประเทศชาติหนูก็ช่วย เพราะฉะนั้นให้หนูไปช่วยทางศาสนาบ้าง แล้วหลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเรียกแล้วก็...
       ตอบ :   ก็ได้โอกาสเลยถ้าท่านอยู่แถวนั้นด้วยยิ่งดี   ถือว่าเป็นงานโดยตรง
       ถาม :   เขาเห็นกันนะคะ   แค่หนูบอกว่าอย่าให้หนูเห็นนะคะ   หนูกลัว
       ตอบ :   ส่วนใหญ่เขามาสวยนะ   พวกนี้ไม่ต้องห่วงอาตมาเจอเอง   อีกที่หนึ่ง  ตอนนั้นธุดงค์ไป   ตรงนั้นเขาเรียกบ้านลิ่นถิ่นเป็น บ้านกะเหรี่ยง ตอนเย็นใกล้ค่ำแล้วเราไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น มันมีกระต๊อบอยู่ได้ ก็ปิดประตูสวดมนต์ทำวัตรเย็นปรากฏว่าเขาเดินเข้ามาหาเราเห็นเป็นผู้หญิงใส่ เสื้อแขนยาวสีกากี แขนเสื้อมันถึงตรงนี้อย่างกับเอาของพ่อมาใส่ แล้วกางแกงยีนส์เก่า ๆ ด้วย ก็หยุดสวดมนต์ถามว่าอีหนูมีธุระอะไรลูก ? พอถามเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่าประตูเราล็อคอยู่มันเข้ามาได้ยังไงวะ ? (หัวเราะ)
                เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าที่อยู่ตรงนั้นชาวบ้านเรียกเขาว่า  ?เจ้าแม่เบิกไพร? เรามาทำความดีอะไรเขายินดีและโมทนาด้วย ในเรื่องอันตรายต่าง ๆ ไม่ต้องห่วงเขารับประกันความปลอดภัยให้ พอเขารับประกันให้อาตมาก็สบายใจ กลางค่ำกลางคืนมันป่าเสือป่าช้างแท้ ๆ เดินมันไปเรื่อยเปื่อยแล้วมันอัศจรรย์มากนะเวลาเราเดินไปมันเหมือนมันเห็น ทางสว่าง ๆ ตรงหน้าจะไปไหนก็ไป พอเราไม่มั่นใจจะไปถูกหรือเปล่าจะมีเงาดำ ๆ มากวักมือเรียกเขากวักมือทางด้านไหนเราไปทางด้านนั้น ไปถูกตลอดทั้ง ๆ ที่กลางคืน ไปไหนก็ไปได้ ก็เลยข้องใจมากออกมาถามคนงานแถวนั้นบอกว่าแถวนี้มีศาลเจ้าที่มั้ย ? บอกว่ามีครับศาลเจ้าแม่เบิกไพรอยู่ทางด้านโน้น ก็เดินไปหาเดินวนอยู่ไม่เจอ ไม่เจอก็ไม่ว่าก็เดินกลับ พอเดินกลับมาที่พักสวดมนต์ทำวัตรของเราเสร็จก็นอนภาวนาไป
              พอรุ่งเช้าทำวัตรเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้มันฟ้าเริ่มสว่าง ทางพวกชาวบ้านเขาจะมาเลี้ยง เราก็เลยไม่ห่วงการบิณฑบาตก็เดินออกไปดูอีกทีหนึ่ง ปรากฏว่าศาลเจ้านั่นตั้งเด่นอยู่เลยล่ะ แล้วมีแต่รอยตีนเราเดินเหยียบเต็มไปหมด แต่ว่าตอนนั้นมองไม่เห็น เขาทำได้ถึงขนาดนั้น แล้วปรากฏว่าเจ้าแม่แกให้หวยไว้ ๒ ตัว เราเองก็กลุ้มใจ หลวงพ่อท่านห้ามให้หวยนะ
              สมัยก่อนชอบร้อนวิชาให้หวยเขาไปเรื่อย หลวงพ่อท่านด่าเอา บอกว่ารู้ ๆ แล้วไปบอกเขาก็เท่ากับไปปล้นเขาดี ๆ นี่เอง ต่อไปห้ามให้หวยเด็ดขาด คราวนี้แกให้มาก็ไม่รู้จะทำยังไงคิดว่ารู้แล้วก็แล้วกัน แต่ปรากฏว่าตอนฉันเช้าดันมีคนเขาถาม คนมันจะเอาหวยซะอย่างกลางป่ากลางดงมันยังไถพระเลย เราก็เลยถามกลับไปว่าแล้วอยู่กันอย่างนี้จะไปเล่นอีท่าไหน ? เขาบอกว่าฝากครูไปแทง ตกลงครูแทนที่จะสอนให้เขาเลิกเล่นหวยกลับเป็นคนเดินโพยซะเอง ก็เลยบอกว่าเออ... ไอ้ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ว่าฝันเห็นเจ้าที่ เจ้าที่เขาบอกว่าอย่างนี้ ๆ บอกผิดบอกถูกไม่เกี่ยวกับเราแล้วอาตมาฉันเสร็จก็ไปแล้ว เล่นผิดก็เรื่องของมึง (หัวเราะ)
              ปรากฏว่างวดต่อไปผ่านไปตรงนั้นชาวบ้านมันเกือบจะอุ้มไปเลย มันถูกกันเยอะ แล้วก็เหมือนเดิมอีกแหละเจ้าแม่แกให้อีก ตั้งแต่นั้นมาไม่กล้าผ่านไปเลย ขืนผ่านไปเดี๋ยวมันจับปิดทองแน่ แล้วมันมีอยู่ครั้งหนึ่งครั้งที่ ๒ ผ่านไปตรงนั้น บังเอิญว่าเป็นปอดอักเสบ มันเป็นมากถึงขนาดขยับตัวมันก็ไอ ทีนี้บริเวณที่พักอยู่มันเป็นน้ำตกเป็นลำห้วย น้ำมันก็เย็นมากเย็นชนิดที่ว่าเราราดใส่นี่ผิวหนังชาเลย พระธุดงค์ตอนช่วงออกพรรษามันจะเป็นหน้าหนาวพอดี ราดใส่ผิวหนังชาเลย เราก็เออล่ะวะไม่ต้องไปอาบมันแล้วหมกมันซะเลย
              ปรากฏว่าเจ้าแม่แกมา แกมาถามว่าอยากหายมั้ยล่ะ บอกอยากซิ แกบอกว่าอาบน้ำเย็นแล้วจะหาย (หัวเราะ) เราก็บอกว่าบ้ารึเปล่าวะ คนเป็นปอดบวมปอดอักเสบขนาดนี้บอกให้อาบน้ำเย็นแล้วหาย ก็ไม่ได้สนใจ พอถึงเวลาตอนเย็นจะไปล้างหน้าล้างเท้า พอไปปุ๊บเขาตามมาย้ำอีก ว่าอาบน้ำเย็นแล้วจะหาย เราก็เลยนึกถึงคำหลวงพ่อบอกว่าเทวดาเขาไม่โกหกนะ ก็เลยกัดฟันอาบก็อาบวะ หลับหูหลับตาราดโครม ๆ โอ้โห.... มันชาทั้งตัวเลย คราวนี้ว่าหมกมานาน กลัวอาการไข้มันจะหนักไม่ได้อาบน้ำ พอราดลงไปไอตัวมันออกควันขึ้นโขมงเลย แล้วมันก็หายใจโล่ง จมูกเลิกไอไปเลย
              ตอนเช้าแม่เจ้าพระคุณก็เลยตามมาซ้ำอีกรอบหนึ่งหายจริง ๆ แปลกมาก นึกไปนึกมามันหลอกเรานี่หว่า ถ้าเทวดาเขาจะให้เราหายเขาแค่นึกก็หายแล้ว มันหลอกเราอาบน้ำเย็นชัด ๆ เลย (หัวเราะ) คงเคยมีอะไรสัมพันธ์กันมาล่ะ ไปถึงโน่นแกเกล้งสนุกไปเลย
       ถาม :  หนูไม่ทราบว่าจะเป็นการปรามาสรึเปล่า ? พอดีเมื่อวานกลับมาจากวัดท่าซุงค่ะ ก็มีพี่อยู่คนหนึ่งเขาไม่สบายเขาก็ชวนไปค้างที่บ้านเขาชื่อสมพิศค่ะ คือที่บ้านเขาจะมีหิ้งพระทุกห้องเลย บอกว่าเขาเคยนิมนต์หลวงพี่อนันต์มาเขาจะถวายหลวงพี่อนันต์ คือเขาไม่มีลูกค่ะแล้วสามีเขาก็เสียแล้ว
              พอดีเมื่อคืนก่อนประมาณ ๒ ทุ่มกว่า ๆ ดูข่าวเสร็จก็สวดมนต์ทำสมาธิกัน ทีนี้พอทำสมาธิเสร็จก็ ...มันมีอยู่.. จะพูดยังไงดี คือพอช่วงจิตมันถึงที่หนูก็เห็นพระ พระนี่ก็เป็นแบบจีวรสีกรักนะคะแต่ว่าท่านค่อนข้างแก่หน่อย พอมองหน้าเอ...หลวงพ่อองค์นี้หนูไม่เคยเห็น แล้วหนูก็ไม่ได้ถามว่าท่านชื่ออะไร ความโง่ของตัวเอง ท่านก็บอกว่าเข้าพรรษาแล้วให้หนูถือศีล ๘ ทำนองว่า... คือหนูเคยอาราธนาว่าเข้าพรรษาแล้วหนูจะพยายามรักษาศีล ๘ ให้ครบทีนี้จิตก็บอกว่า ... คือเป็นห่วงตรงนางไม้น่ะค่ะว่าถ้าสมมุติว่าถ้าเรามีโชคมาเนี่ยก็จะทำให้ท่าน ดีหน่อยก่อนที่เราจะไป ทีนี้เกิดหลวงตาหลวงปู่องค์นี้ท่านก็มาบอกว่าหนูงวดวันที่ ๑๖ นี่ก็ให้เป็นงวดสุดท้ายนะลูก ท่านว่าอย่างนี้แล้วก็บอกว่าอย่าซื้อให้เกิน ๕๐๐
       ตอบ :   ท่านสั่งไว้เท่าไหร่ก็เท่านั้นเลย   แล้วถ้าจะให้ดี....
       ถาม :    ไม่บอกเลขคะ   ไม่บอกเลขแต่จิตบอกว่าก็ตรงที่เราทำตรงนั้นแหละ   แล้วทีนี้พอมานั่งคิด  เอ๊ะ...
       ตอบ :  อันนี้คือความรู้สึกบอกอย่างไรก็ให้ทำอย่างนั้นให้ถือซะว่า ๕๐๐ นี่เราตั้งใจทิ้งน้ำไปเลย แต่ถ้ามันได้มา ส่วนหนึ่งก็ทำให้เขาอีกส่วนหนึ่งเราก็ทำบุญทำกุศลตามใจของเรา แล้วที่เหลือจะใช้จ่ายยังไงก็ไช้ไป แต่ว่าสุดท้ายนี้ต้องสุดท้ายจริง ๆ นะเรื่องของพระเรื่องของเทวดานี่เขาตรงไปตรงมา   ว่าอย่างไรต้องตามนั้นเลย   โอ้โหให้ตั้ง   ๕๐๐
       ถาม :    ท่านบอกไม่ให้เกิน  ๕๐๐  ค่ะ
       ตอบ :  เท่าที่อาตมาเจอมา บางคนให้เล่น ๓ บาท บุญมันน้อยจริง ๆ ให้เล่นแค่ ๓ บาทถ้าเล่นเกินผิด ถ้าเล่นตามนั้นแล้วจะถูก นั่นแหละให้ ๕๐๐ นี่เยอะมากเลยนะ เขาจะดูว่าโยมจะฟุ้งซ่านมากมั้ย
       ถาม :    หนูก็กลัว...(ไม่ชัด) ....แต่จริง ๆ ....(ไม่ชัด)...
       ตอบ :   ไม่ใช่  เขาต้องการทดสอบว่าเราจะฟุ้งซ่านมากมั้ยก่อนหวยมันจะออกมันหลายวัน   เราเองเราจะคิดพล่านไปหมด   ได้เงินมาจะทำอะไรบ้าง 
       ถาม :    หนูคิดว่าเรากำลังถือศีล   ๘   อยู่  เราจะผิดมั้ยคะ  ?
       ตอบ :   ศีล   ๘   ไม่เกี่ยวกับหวยอะไรเลย   ไม่มีข้อไหนห้ามซื้อหวย   แต่ขณะเดียวกันอาตมาเองสมัยก่อนเป็นฆราวาสเคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับเล่นหวยผิดศีลมั้ย  ?    ท่านบอกว่าไม่ผิดหรอกลูก    แต่มันร้อน โอ้โห... ได้ยินแล้วสะดุ้งเลย ร้อนจริง ๆ ก่อนหวยออกคิดพล่านไปหมด ถ้าได้เงินจะเอาไปทำอะไร ตอนนี้จะรอดูว่าโยมจะฟุ้งซ่านแค่ไหน
       ถาม :   ตอนนี้ถ้าคิดก็คือ  คิดว่าคงจะทำให้ท่านตรงนั้นค่ะ   แล้วส่วนหนึ่งก็ช่วยซื้อที่สร้างป่าละอู
       ตอบ :  ทำตามนั้นแหละคิดซะว่า ๕๐๐ นี่เราทิ้งน้ำไปได้เลย ได้ถือว่ากำไรไม่ได้ก็แล้วไปนะ แล้วคราวหน้าไปถามชื่อท่านด้วย ถึงเวลาจะได้ไหว้ถูก (หัวเราะ) ถ้าหมดท่าจริง ๆ นึกถึงหน้าท่าน ก็หลวงปู่องค์นั้นนั่นแหละ
       ถาม :   ก็พยายามทำความรู้สึก   แต่ท่านก็ไม่ให้เห็นชัด   ๆ  เท่าไหร่นะคะ  ท่านค่อนข้างแก่
       ตอบ :   ถ้าขนาดนั้นไม่ใช่ค่อนข้างแก่หรอก   แก่เยอะเลย (หัวเราะ)
       ถาม :   แล้วหลวงปู่อะไรค่ะ  ?
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ โยมเจอฉันไม่ได้เจอนี่ (หัวเราะ) เอาไว้คราวหน้าไปนอนบ้านนั้นใหม่ ถ้าท่านมาแล้วถามชื่อท่าน แต่จริง ๆ แล้วเรียกหลวงปู่ล่ะดีแล้วนะ การถามชื่อเรียกชื่อนี่เป็นการปรามาสเหมือนกัน    ยิ่งเทวดายิ่งเจ้าที่เจ้าทางเรียกพ่อปู่  แม่ย่า  ไปเลย   ไปเรียกชื่อเรียกเสียงอะไรถ้าท่านไม่ได้บอกไปเรียกตามนั้น  บางทีมันเป็นล่วงเกินผู้ใหญ่ซะด้วยซ้ำ การที่เราจะไปเรียกชื่อเสียงเรียงนามอะไรเราต้องเป็นผู้ใหญ่กว่า ทีนี้ใครจะใหญ่กว่าเทวดา ใครจะใหญ่กว่าพระล่ะ โดยเฉพาะเราเป็นมันเล็กกว่าอยู่แล้ว ยังงั้นเรียก พ่อปู แม่ย่า หลวงปู่ หลวงตาอะไรไปเลยก็ได้ ฮึ ! เดี๋ยวคอยดูนะเขาซื้อตัวไหน ๕๐๐ ก็ตามแล้วกัน (หัวเราะ)
       ถาม :   ถามซิว่า...  ซื้อตัวไหนถึงจะไม่กินล่ะคะ ?  (หัวเราะ)
       ตอบ :  ถามได้ แต่ตอบไม่ถูก เรื่องที่หลวงพ่อห้ามกระทุ้งแค่ไหนก็ไม่เผลอหรอก เพราะถ้าเผลอล่ะแหม.... ท่านตีสะเด็ดเลย ยิ่งตายแล้วนี่ยิ่งเคาะหัวถนัดเลย ตอนมีชีวิตอยู่ยังหลบกันทัน ตอนตายนี่หลบไม่พ้นอยู่ที่ไหนท่านก็ตามได้
       ถาม :   ถามเรื่องที่ว่าที่เขามาให้เห็นนะครับ   คนที่เห็นบ่อย ๆ  นี่เขาเลือกที่จะมาหาหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :   ไม่แน่   บางคนสภาพจิตเขาอยู่ในระดับนั้นพอดีก็สามารถรู้เห็นได้ง่าย   แต่ว่าขณะเดียวกันบางทีก็มีกรรมบางอย่างเนื่องกันมาเขาถึงติดต่อมา ถ้าหากมีกรรมเนื่องกันมานี่เวลาทำบุญทำบาปอะไรเขาเองถ้าเขาโมทนา ส่วนของเขาก็จะมีอยู่นะ ส่วนใหญ่เขามาก็ต้องการบุญ อย่างเช่นว่าเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร ขนาดไปหาพระพุทธเจ้าในอดีต ๓ องค์มาแล้วนะ คือตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันโธ   พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคม พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ  ไม่มีพระองค์ไหนช่วยได้เลยเพราะไม่มีกรรมเนื่องกันมาก่อนให้โมทนาบุญเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะโมทนา   
                จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ   ท่านบอกว่าอีกไม่นานสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสมณะโคดม    ญาติของเธอจะเกิดขึ้นเป็นพระราชาชื่อว่าพิมพิสาร    ท่านจะได้ถวายทานในพระพุทธศาสนา  ถึงเวลานั้นก็ไปโมทนาเอา    รอกันจนเงกไปเลยนะ  โมทนาของคนอื่นไม่ได้     
              ดังนั้นว่าที่เขามาปรากฏนั้นมันมีได้ทั้งที่ว่าบุคคลผู้นั้นกำลังใจของเขา อยู่ในจุดที่จะรับรู้ติดต่อได้พอดี คือคลื่นมันบังเอิญตรงพอดีกับอีกอย่างหนึ่งว่าเขามีกรรมเนื่องกันมาเขาเลยทำ ให้เห็น ถ้าลักษณะนั้นควรจะสอบถามเขาว่ามาทำอะไรต้องการอะไร แล้วเขาบอกอย่างถ้าไม่เกินวิสัยก็ทำให้เขาด้วย
       ถาม :   แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับ ?
       ตอบ :   ตอนนั้นถ้าถามเขาความเป็นทิพย์ของใจจะบอกได้เลย   เขาบอกมาอย่างไรให้เชื่ออารมณ์   ความรู้สึกแรกอันนั้น
       ถาม :   เราไม่เห็นเขานี่คะ  ?
       ตอบ :  ไม่เห็นไม่เป็นไร เอาความรู้สึกอันนั้น เพราะบางอย่างเขาไม่มาให้เห็น ได้กลิ่นอย่างเดียว เพราะบารมีน้อยรูปยังปรากฏไม่ได้เลย บางทีได้ยินเสียงอย่างเดียวให้ตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำให้เจ้าของกลิ่นนั้น ผลบุญที่เราทำให้เจ้าของเสียงนั้น ผลบุญที่เราให้เจ้าของรูปร่างนั้น ไม่ต้องรู้ชื่อก็ได้แค่เรานึกถึงเขาก็มีส่วนโมทนาได้แล้ว
       ถาม :   สมมุติว่าเราจะทำบุญเราตั้งไว้เลยว่า   ไม่จำเป็นต้องก่อนที่เราจะทำบุญถ้าเราทำบุญให้มาโมทนาบุญเขาจะได้มั้ยครับ  ?
       ตอบ :   ได้ อนุญาตล่วงหน้าไว้เลยก็ได้ว่าถ้าเราทำบุญเมื่อไหร่ให้โมทนาบุญได้เลยไม่ต้อง รอเราบอกเราเรียกอย่างนี้ไม่เช่นนั้น บางทีเราก็ลืมเหมือนกันนะ แต่เทวดาท่านไม่ลืมอยู่แล้วความเป็นทิพย์ของท่านเป็นร้อย ๆ เรื่องเลยท่านก็สามารถที่จะจำได้พร้อม ๆ กัน ทำได้พร้อม ๆ กันอนุญาตเอาไว้ล่วงหน้าได้ยิ่งดี (หัวเราะ)
       ถาม :   ความเป็นทิพย์    อย่างเจ้ากรรมนายเวรนี่ความเป็นทิพย์เขามี...(ไม่ชัด)...
       ตอบ :   ก็ไม่แน่   ท่านที่เป็นเทวดาก็มีความเป็นทิพย์เสมอเทวดา   ถ้าไม่ได้เป็นมันก็ต้องต่ำกว่าใช่มั้ย   หรือถ้าเป็นพรหมก็สูงกว่า
       ถาม :   งั้นเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นสัมภเวสี  ?
       ตอบ :  ไม่จำกัด คือส่วนใหญ่แล้วหมายถึงบุคคลที่เราล่วงเกินเขาเอาไว้ แล้วก็มักจะหมายถึงว่าเราฆ่าเขาด้วย อย่างนี้ท่านที่ตายแล้ว ท่านไปรับบุญรับบาปตามกรรมที่ท่านทำมา แต่ผลของการกระทำนั่นต่างหากล่ะที่คอยตามสนองเรา     กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรไป
       ถาม :   แล้วเทวดา ....(ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :  ได้ ยิ่งทำได้ดีเลย โดยเฉพาะชั้นยามา ชั้นยามานี่กรรมฐานยอดมากเลย ใครขึ้นชั้นยามาไปนี่จะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเรานี่บางทีสมาธิไม่ดีใช่มั้ย กลับไปชวนเทวดาคุยเขาก็คุยด้วย แต่พอคุยไปคุยมาเอาเผลอสมาธิไม่ดีทิ้งช่วงหน่อยเดียวหันไป อ้าว.. พ่อเจ้าพระคุณนั่งสมาธิไปเสียแล้ว
       ถาม :   ถ้างั้นเขาสามารถมาต่ออายุของตัวเองได้มั้ยครับ ?
       ตอบ ได้  ถ้าหากว่าทำบุญอยู่เสมอก็ต่อได้   แต่ว่าบุญใหญ่ในลักษณะของบุญกรรมฐาน   ส่วนใหญ่ดีไม่ดีมันจะเป็นการเลื่อนภูมิให้สูงขึ้นไปเลย   ต่ออายุมันเรื่องเล็กล่ะ    ทำบุญใหญ่ขนาดนั้นได้แน่  ๆ  อยู่แล้ว
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.3.html

ถาม :    อย่างงั้น   อรูปพรหมก็.....(ฟังไม่ชัด)....
       ตอบ :   อรูปพรหมนั้นไม่มีสิทธิ์  เพราะท่านเหลือแต่จิตแล้ว   ในเมื่อเหลือแต่จิตแล้วทุนเดิมมีเท่าไหร่ก็ใช้แค่นั้น คือท่านไม่ต้องการอย่างอื่นนอกจากความมีจิตอย่างเดียว ไปยึดเอาความว่างของอากาศ ไปยึดเอาความไร้ขอบเขตของวิญญาณ ไปยึดเอาความไม่มีอะไรเลย มันก็เลยทำให้ท่านไม่สามารถรับรู้อย่างอื่นได้   นอกจากสิ่งที่ตัวเองยึดอยู่    มีทุนเท่าไหร่ก็ใช้แค่นั้น     
              ถ้าทุนหมดแล้วทำชั่วไว้เยอะก็ลงยาวไปเลย ถ้าพอมีความดีอยู่บ้างก็เกาะอยู่ในขอบเขตของสถานที่ ๆ พอที่จะทำความดีต่อได้ อรูปพรหมอย่างหนึ่ง อสัญญีอสันตาพรหมอย่างหนึ่ง ๒ อย่างนี้บอกให้โมทนาบุญเท่าไหร่ท่านไม่เอากะเราหรอก
       ถาม :    แสดงว่าท่านเสร็จแล้วซิครับก็ต้องลงนรก ?
       ตอบ :   ก็ไม่แน่   เพราะบางทีเศษบุญของบุญก็ยังมีเหลืออยู่อาจจะลงมาเป็นมุนษย์ก็ได้  บางทีเศษของเทวดาแต่ว่ามันเป็นของเหลือเฟือของมนุษย์ มากกว่าที่เราคิด อาจจะเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์เป็นผู้นำคนอะไรไปเลย แต่ถ้าหากว่าทำบาปเอาไว้เยอะ ผลบุญที่เป็นเทวดาขาดช่วงลงปั๊บกำลังบาปมันสูงกว่ามันก็ดึงยาวลงไปเลย
       ถาม :    ...........................
       ตอบ :  ถ้าหากว่ายังเป็นพรหมอยู่ พรหมมี ๑๖ ชั้น ที่เป็นรูปพรหมคือยังมีร่างกายอยู่ ส่วนอรูปพรหมที่มีแต่จิตอีก ๔ ชั้นรวมแล้ว ๒๐ นะถ้าลงท้ายด้วยพรหมก็คือต้องเป็นพรหม ๑ ใน ๒๐ นี้ แต่ว่าพระวิสุทธิเทพหมายถึงผู้ที่เข้าพระนิพพานได้แล้ว ไปอยู่พระนิพพานแล้ว มีตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเรียกว่าวิสุทธิเทพ คำว่าเทพคือเทวดามี ๓ ประเภทคือ
               ๑. สมมติเทพ    แปลว่าเป็นเทวดาโดยการนับถือยกย่องกันขึ้นมาเอง   อย่างเช่น   พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ์ 
               ๒.  อุปัติเทพ   เกิดเป็นเทวดาโดยตรงคือ   บรรดาอากาศเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา  ภูมิเทวดา   ตลอดจนถึงพรหมทั้งหมด 
               ๓.  วิสุทธิเทพ   เทวดาที่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว     หมายถึงตั้งแต่พระอรหันต์   พระปัจเจกพระพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้า
       ถาม :  ที่ท่านทำสมาธิและทำกรรมฐานแล้วสามารถสอนตัวเองได้เลย พรหมท่านจะมาทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ทำไมตรงนั้นไม่สามารถจะต่ออายุของท่านได้ ?
       ตอบ :  ตรงนั้นข้อจำกัดมันมีอยู่ว่าถ้าหากเป็นโลกียพรหมยังไม่ได้อยู่ในชั้นสุทธาวาส ก็จำเป็นที่จะต้องลงมาเกิดอีก   แต่ถ้าเราอยู่ในชั้นสุทธาวาสท่านเป็นพระอนาคามีขึ้นไปแล้ว การลงมาเกิดก็ไร้ความหมายสำหรับท่าน ท่านก็อยู่ข้างบนต่อไปนิพพานเลย แต่ว่าท่านที่ทำความดีถ้าหากว่ายึดฌานโลกีย์อย่างเดียวมันไปนิพพานไม่ได้ อยู่แล้วใช่มั้ย ? มันยังไม่เข้าถึงความบริสุทธิ์โดยแท้จริง
               อย่างสมัยพุทธกาลท้าวผกาพรหมพอท่านหมดอายุ ปุ๊บท่านก็เกิดเป็นพรหม หมดอายุปุ๊บท่านก็เกิดใหม่เป็นพรหม หมดอายุปุ๊บท่านก็เกิดใหม่เป็นพรหม จนกระทั่งท่านเชื่อว่าพรหมเลิศที่สุดแล้วเป็นอมตะแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เพราะความเข้าใจผิดอันนี้เป็นมิจฉาทิฐิ พระพุทธเจ้าถึงต้องเสด็จไปโปรด ถ้าไม่ไปสงเคราะห์ท่านก็แหงแก๋อยู่แค่นั้นแหละเป็นมิจฉาทิฐิไป
       ถาม :    .........(ไม่ชัด)....จิตของท่านก็จะอยู่ที่นั้นจุดเดียวเลย   ความเสื่อมของจิตจะเกิดจากอะไร  ?
       ตอบ :  มันอยู่ตรงที่ว่าหมดบุญ หมดกำลังบุญที่ทำมา ในเมื่อหมดกำลังบุญที่ทำมาก็ต้องจุติ ถ้าทำชั่วเอาไว้เยอะบางทีก็ลงยาว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วถึงระดับนั้นแล้วความดีของท่านมาก เพราะฉะนั้นเศษของความดีที่เหลืออยู่ก็เกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ทำบุญกันใหม่หรือว่าถ้าทำบาปอีกคราวนี้ก็พักเป็นมนุษย์หน่อยก็ลงยาวเหมือน กัน
       ถาม :    .........................
       ตอบ :  เขาทำหน้าที่ของเขาถึงที่สุดแล้วเดี๋ยวหาตัวใหม่ หาตัวใหม่อย่างน้อย ๆ จะได้มีเพื่อน พวกนี้หู ตาเขาไวนะ จมูกหมาดีกว่าคน ๔๐ เท่า สายตาหมาดีกว่าคนประมาณไม่ถูก หลวงพ่อท่านบอกเคยไปเทศน์ที่สมุทรสาคร กลางคืนหมามันมองออกไปทางนอกศาลา ท่านเองท่านนอนศาลาริมน้ำมองออกไปนอกศาลาไปทางในน้ำแล้วเห่าใหญ่ ท่านเองท่านก็แปลกใจ ส่องไฟไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นอะไร
              พออีกตั้งพักใหญ่ ๆ ถึงได้ยินเสียงแจวกระทบน้ำแล้วก็มีเรือพายเข้ามา ส่งไฟตอนนั้นถึงเห็น ขนาดสุดแสงไฟนะเรามองไม่เห็น หมามันเห็นตั้งแต่ไกลกว่าแสงไฟอีก แล้วท่านบอกว่าท่านทดสอบจมูกหมาดู โดยการใช้น้ำผึ้งห่อผ้าใบ ทดสอบระหว่างหมากับมดว่าใครจะจมูกดีกว่ากัน ท่านเอาน้ำผึ้งเทใส่ผ้าใบแล้วห่อมัดไว้ชั้นที่ ๑ มดก็ตอมนะ ชั้นที่ ๒ มดก็ตอมพอชั้นที่ ๓ นี่มดเลิกสนใจมันไม่ได้กลิ่นแล้ว
              แต่ว่าท่านบอกว่าห่อเนื้อแล้วก็แขวนไว้ชั้นที่ ๑ หมาก็ตะกายเสา ชั้นที่ ๒ ก็ตะกาย ๓ ก็ตะกาย ๔ ก็ตะกาย ๕ ตะกาย ๖ ก็ตะกาย ชั้นที่ ๗ โน่น ผ้าใบมันหนานะ ๗ ชั้นโน่นหมามันถึงไม่ได้กลิ่น แต่ว่ามดนี่แค่ ๓ ชั้นบ้อท่านะ ฉะนั้นจมูก ตาของเขาดีกว่าเราเยอะ โดยเฉพาะสายตาของเขานี่เห็นผีได้โดยไม่ต้องฝึกทิพจักขุญาณเลย อันนี้มันเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบากของเขา วิบากกรรมทำให้เขาเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ก็มีความพิเศษตรงที่ว่าเขาสามารถเห็น ผีได้เป็นปกติ ไม่ต้องเสียเวลาฝึกอย่างเรา เขาเรียกว่าฤทธิ์ที่เกิดโดยกรรมวิบาก บาลีเรียกกัมมวิปากชาฤทธิ์    
       ถาม :   แล้วอย่างข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงที่ว่าเด็กคนนั้นตายแล้ววิญญาณเขาเข้าตัวเงินตัวทองนั้น  ? 
       ตอบ :   อันนั้นน่าจะเป็นเปรตจ้ะ   เปรต   ๑๒   จำพวก   มีอยู่จำพวกหนึ่งเป็นเปรตในร่างสัตว์เดรัจฉานเรียกว่า อชรังคเปรต พวกนี้จะเป็นโอปปาติกะคือเกิดปุ๊บก็โตเลย ไม่อย่างนั้นไม่มีทางหรอก ตัวเงินตัวทองอายุมันก็นานกว่าจะโตได้ขนาดนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นเปรตเขาเป็นโอปปาติกะ เกิดขึ้นก็โตเลย
              ทีนี้เขายังจำได้อยู่ว่าตัวเองเป็นใครเขาก็ย้อนกลับไปที่เดิม ลักษณะนี้เคยเจอมาทีหนึ่งเป็นงูเหลือมใหญ่ พ่อตายยังไม่ครบ ๗ วันเลยงูเหลือมใหญ่เลื้อยมา มันมานอนใต้โลง คนก็แตกตื่นกันหมดลูกเมียก็จุดธูปบอกบอกว่าถ้าเป็นพ่อกลับมาจริง ๆ ต้องการจะบอกเรื่องอะไรก็ขอให้แสดงออก งูเหลือมมันเลื้อยขึ้นไปบนขื่อแล้วก็เลื้อยกลับลงมา แล้วมันก็เลื้อยขึ้นไปบนขื่อแล้วก็เลื้อยกลับลงมา ๒-๓ วาระด้วยกัน
              เขาแปลกใจเอาบันไดพาดปีนขึ้นไปดูปรากฏว่าตานั่นเขาเจาะขื่อที่มันเป็นกระบอก ไม้ไผ่ เขาเลื่อยแล้วเอาสิ่วตอกมันออกเอาทองใส่ไว้ในนั้นแล้วก็ครอบปิดเอาไว้ ใจมันห่วงก็เลยไปเสวยความดีไม่ได้เลยกลายเป็นเปรตมา แต่เป็นเปรตในร่างของงูเหลือมใหญ่เขาเรียกอชรังคเปรต   เปรตจำพวกนี้อยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานนะ 
       ถาม :   แล้วอย่างนี้ทำไมพ่อแม่เขาไม่ถามพระที่ท่านรู้  ?
       ตอบ :  บางทีของเขาเองเขามั่นใจแล้วนี่ ทุกอย่างมันเป็นอาการของลูกชายเขา แต่เสียท่าอยู่อย่างเดียวโดนรูดซะหนังถลอกเลย (หัวเราะ) มันจะขัดเอาตัวเลขอย่างเดียว น่าสงสารจัง (หัวเราะ)
       ถาม :    อย่างนี้ก็แสดงว่า   เขามีบุญในตอนที่เป็นมนุษย์เล็กน้อยแต่ตอนหมดบุญ....?
       ตอบผลบุญเขาอาจจะเยอะแต่ตอนตายจิตไม่ได้เกาะบุญอาจจะเศร้าหมองไปนึกถึงความไม่ดีอะไรบางอย่างเอาไว้ ก็เลยไปเกิด แต่ว่าเกิดเป็นเปรตเสียนี่ ในสายตาของอาตมาถือว่าโชคดีแล้ว กรรมมันน้อย ถ้าลงนรกนี่ซิมันนานกว่าจะหลุดขึ้นมาได้ อันนี้อย่าถือเป็นข้อยุตินะมันอาจจะกลายเป็นตัวเงินตัวทองดวงเฮงก็ได้ มาเจอชาวบ้านขัดซะจนดังไปทั่วประเทศเลย
       ถาม :   แต่มันก็แปลกนะคะคือพอเขาเรียกชื่อลูกเขา   มันก็ตาม.... 
       ตอบ :  ลักษณะนั้นถ้าเป็นตัวเขาเองเขาจำได้   ก็แบบเดียวกับตานั่นที่เป็นงูเหลือมน่ะ 
       ถาม :   เพราะปกติตัวเงินตัวทองนี่เห็นคนเขาวิ่ง....
       ตอบ :  ของอาตมานี่มันเดินส่ายตะโพกข้ามถนน (หัวเราะ) เจ้าพวกนี้ถ้ามันไม่ส่ายตะโพกมันเดินไม่ออก แปลกมาก บางทีมานี่ตัวหยั่งกับตะเข้ สมัยที่อยู่ชายแดนตาพระยาบางตัวยาว ๖ ฟูต ตะเข้ดี ๆ นี่เอง มันใหญ่ขนาดนั้น
               เพราะว่าช่วงอาตมาอยู่ชายแดนนั่นไทยยังรบกับเขมรย่อย  ๆ  เหตุการณ์โนนหมากมุ่นตาย กันที ๑๐๐ ศพก็มี เจ้าพวกนี้มันกินศพมันก็ใหญ่เป้งเลย อีกาตัวใหญ่กว่าแม่ไก่อีกขนมันวับเลย (หัวเราะ) เจ้าพวกนี้มันคุ้ยศพขึ้นมากิน บางทีมันทุเรศลูกกะตาทนไม่ได้ก็ลากพลั่วไปกลับให้มันที ตายเกลื่อนกลาดไปหมด บางศพก็ผูกติดกับต้นไม้ ยิงทิ้งเสร็จก็ปล่อยอยู่อย่างนั้น เน่าเหลือแต่กระดูกมั่ง หนังติดอยู่หน่อยหนึ่งแห้งแหงแก๋อยู่อย่างนั้นก็มี คราวนี้มันเกลื่อนกลาดไปหมด
              มีอยู่คืนหนึ่งกำลังอยู่เวรหน้าด่านมันราว ๆ ๕ ทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแปลกมาก เวลานี้เป็นเวลาที่อาตมาโดนผีหลอกประจำช่วง ๕ ทุ่มกว่าช่วงหนึ่งกับช่วงใกล้ตี ๒ กว่าช่วงหนึ่ง ช่วงนี้จะโดนผีหลอกประจำเลย อยู่ ๆ มันมีเสียงประหลาดบอกไม่ถูก มันโหยหวนบาดลึกเข้าไปในหัวใจ เหมือนใครเป็นหมื่นเป็นแสนมันร้องเข้ามาแน่นไปหมดทุกด้าน แล้วหมาในหมู่บ้านทับเซียมที่ ห่างไปซัก ๒ กิโลมันหอนประสานกันทั้งหมู่บ้านเลย ไอ้เราก็ตายแล้วหว่ากูวันนี้เจอกองทัพผีเข้าแล้ว บอกกับเพื่อนที่อยู่เวรด้วยกันเขารุ่นพี่ เอ้าเฮ้ย! เอ็งฉายไฟข้าจะยิง ลองกับผีมันดูหน่อยเราก็เตรียมเอ็ม ๑๖ พร้อมเลย
              พอเพื่อนมันฉายไฟปุ๊บ ลักษณะเสียงที่มันร้องเข้ามาคือไม่น่าจะเกิน ๒ เมตรแล้ว มันไม่มีอะไรเลยมันเป็นทุ่งนาโล่ง ๆ นั่นแหละ ไอ้เจ้านั่นเขาคงอยากจะมาขอส่วนบุญแต่บังเอิญเจอเขาอุทิศส่วนกุศลด้วยกระสุน เอ็ม ๑๖ เลยเปิดกันหมด ถือถ้ามาขอดี ๆ ไม่เป็นไร อาตมาประเภทใจดี แต่หากว่ามาในลักษณะนั้นมักจะสู้ เป็นคนที่กลัวนะ แต่กลัวลักษณะกลัวแล้วไม่หนี กลัวแล้วสู้ เจอบ่อยอีกทีหนึ่งนั้นช่วงประมาณตี ๒ อยู่เวรกับรายเดิมนั่นแหละ เขาจัดเวรเป็นคู่ ๆ กันประมาณตี ๒ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาใส่เสื้อแขนกระบอกสีดำยาวถึงนี่ แล้วก็ผ้าถุงสีดำ ไว้ผมยาวเกือบถึงก้น แกใส่ชุดดำปี๊ดปี๋เลยนะ แต่แปลก
       ถาม :    .......................
       ตอบ :  คราวนี้ก็คิดว่าเป็นพวกชาวบ้านเขามาหาหมอทหาร เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยฉุกเฉินเขาจะวิ่งมาหาหมอทหาร ก็ถามว่า อีหนู... มีธุระอะไร? มันไม่ตอบ มันเอื้อมมือจะคว้าคอเราเลย เราก็ผงะหลบ คราวนี้ตัวเองนั่งอยู่ แท่นที่เข้าเวรน่ะมันเป็นป้อมสูง โห.... ตกลงไปก็คอหักสิ มันเป็นเนินเขานะ พอผงะหลบตั้งใจมองหน้ามันคราวนี้ใจแป้วเลย ลูกตามันยังกับลูกแก้วใส ๆ เลย เราก็ตกใจ ยายนั่นก็เดินทื่อเข้ามาจะทำไงดีหว่า ? มันเดินเข้ามามันกั้นตัวเรากับปืนเอาไว้เอื้อมมือก็ไม่ถึง (หัวเราะ) ฉุกเฉินนึกอะไรไม่ทัน
               ตอนนั้นภาวนาคาถาอยู่หลายบท  นึกถึงคาถาชินบัญชรก็ตั้งใจนึกถึงหลวงพ่อโตวัดระฆังว่า   ชะยาสะนาคะตาพุทธา...  ยัง ไม่ทันจะครบประโยค มันหายวับไปยังกับหนังขาดโดนกระชาก เคยดูหนังที่ถึงเวลาแล้วฟิล์มมันขาดใหม ? วึ๊บเดียวภาพหายเกลี้ยงเลยหรือไม่ก็เหมือนโดนใครกระชากหายไป เราก็มานั่งอกสั่นขวัญแขวนทบทวนแล้ ทบทวนอีก ใครวะ ? เราอยู่ที่นี่ทหารที่ปะทะกันมันยิงฆ่ากันก็เรื่องปกติ แต่เราไม่เคยยิงผู้หญิงนี่หว่า ?... แล้วทำไมผีผู้หญิงถึงจะมาหักคอเรา นึกไปนึกมานึกได้
              ตอนช่วงบ่ายเป็นช่วงว่างของเราไปซ้อมขว้างมีดปลายปืนกัน มีดปลายปืนจะยาวสักคืบน่ะ แล้วด้ามหนัก ๆ จะสวมติดกับลำกล้องปืนเอาไว้เวลาถ้ายิงกับจนหมดแล้วมันจะเป็นอาวุธยาวได้ ซ้อมกับต้นไม้ ขว้างซะพรุนไปเลย นึกขึ้นมาได้ปุ๊บก็ อ๋อ...สงสัยว่าจะเป็นนางไม้ที่ต้นนั้นแหละ แม่เจ้าประคุณคงยั๊วะเต็มที่แล้ว ต้นนั้นอยู่บนจอมปลวกใหญ่ด้วย เป้าเด่นดีใช่ไหม ? ซ้อมขว้างซะพรุนไปเลย ตั้งใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าจะไปขอโทษ
              ตอนเช้าก็เลยจัดอาหารหน่อยหนึ่ง ไม่เยอะหรอก มีข้าวหน่อยหนึ่ง น้ำหน่อยหนึ่ง กับหน่อยหนึ่ง ไปถึงก็จุดธูปปักเลย บอกว่าสิ่งที่ล่วงเกินเธอโดยไม่ได้เจตนานั้นขอโทษด้วยนะเพราะว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าเธออยู่ตรงนั้น ถ้าหากว่าโกรธแค้นอะไรก็ขอให้อภัยกันด้วย ต่อไปถ้าทำบุญอะไรแล้วจะอุทิศให้ เรื่องมันก็เงียบไปเฉย ๆ คือคืนต่อมาก็ไม่มารบกวนอีก อยู่ที่นั่นผีหลอกประจำจ้ะ มันหลอกทั้งเห็นตัวหลอกทั้งได้ยินแต่เสียง หลอกมาตั้งแต่กลิ่นอะไรสารพัดสารเพ เพราะว่ามันตายซับตายซ้อนนับกันไม่ถ้วน
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งเขาวิทยุมากลางดึกบอกว่าฝ่ายตรงข้ามมันเคลื่อนไหวกัน คึกคัก ดูท่ามันเข้าตีเราคืนนี้แน่ ผบ. ร้อยสั่งการให้ทหารเคลื่อนกำลังออกไปยันไว้ก่อน พอไปถึงเข้าจัดวางกำลังกัน คนอื่นเขาต้องไปวางกำลังตามจุดของตัวเอง ของเราประจำอยู่กองบัญชาการกองร้อยไปไหนไม่ได้ เขาบอกเอ็งเฝ้ารถไว้ เรามองดูรถมันจอดอยู่บนคันคูยุทธศาสตร์
              คนไทยเราฉลาด พื้นที่ข้างหน้าของเราน่ะแผ่นดินไทยนะ แต่เรายอมร่นพื้นที่ลงมา ๒ กิโลเมตร แล้วขุดเป็นคูยาวตลอดเลย บนคันคูก็เอาดินขึ้นมาถม ต้องถมเป็นคันใหญ่เบ้อเร่อเป็นถนนให้พวกเขมรเขาอาศัยอยู่ได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรนี่เรายิงเขาได้ทันทีเลย เพราะว่าเขาบุกรุกอยู่ในพื้นที่เรา ๒ กิโลเมตร เขาเคลื่อนไหวผิดปกติดูท่าว่าจะเข้าตีก็เลยต้องทำวิธีนั้น
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.4.html

คราวนี้เจ้ารถคันนั้นมันจอดอยู่บนคันคูยุทธศาสตร์เรามองไปแล้วมันเป็นทุ่ง โล่ง ๆ พอตัดกับขอบฟ้ากลางคืนนี่ อะไรที่มันเด่นขึ้นมามันเห็นชัดมากเลย มองเสร็จเรียบร้อย... ตูขืนอยู่เป็นเป้าอาร์พีจีแน่นอนเลย มันต้องยินรถก่อน พอมันยิงรถเสร็จแล้วหนียากแล้วใช่ไหม? ไม่มีไอ้เคลื่อนที่ได้เร็วมันก็ล้อมเราได้ ถ้าขืนอยู่ตูเป็นเป้าอาร์พีจีแน่แผ่นดีกว่า เราก็หลบเข้าไปชายป่า พอหลบเข้าไปในชายป่าหมอบไปใต้ต้นไม้ใหญ่มันมีพายุหมุน ลมหัวด้วนที่เราเรียกว่าลมบ้าหมูน่ะ มันหมุนวน ฮือ ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ยังไงก็ไม่ไป วนไปวนมา วนมาวนไป เราก็... มันจะวนไปทำอะไรของมันวะ ? แล้วพายุกลางค่ำกลางคืนก็ไม่เคยเห็นเพิ่งจะเคยเห็นเนี้ย มันวนไปวนมาสักพักนึกขึ้นมาได้ เอ๊ะ ! ดูท่าจะมีใครมาขอส่วนกุศลเรามั้งหว่า ? ก็เลยตั้งใจว่า เออ... ใครก็ตามนะที่เธอต้องการส่วนกุศลนี้ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตลอดจนกระทั่งบุญที่เราปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอให้เธอทั้งหลายโมทนานะ เราได้รับประโยชน์ ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย พอคิดแค่นั้นแหละพายุมันก็สลายตัววึ๊บ คราวนี้สิขอรับ ยุงมาเป็นหอบ ๆ เลย ตอนลมพัดอยู่ยุงมันไม่มี (หัวเราะ) โอ้โห ทนให้ยุงมันกินจนคันไปทั้งตัว
              จนกระทั่งผ่านไปสักค่อนชั่วโมงได้ก็มีเสียงสัญญาณบอกผ่านของฝ่ายเรามา เขาจะทำเป็นเสียงนกกลางคืนมา เราก็ตะโกนถามรหัสผ่าน มันต้องมีสัญญาณซ้อนสัญญานนะ ถ้าบอกผิดขึ้นมานี่พ่อยิงกระจายเลย ถ้าไม่งั้นขืนปล่อยไว้ฝ่ายตรงข้ามมันแทรกเข้ามาได้ใช่ไหม ? ตะโกนถามเขาบอกรหัสผ่านถูก ถามปลาร้า ตอบ แซ่บอีหลี (หัวเราะ)
              พวกรหัสนี้เราจะตั้งเป็นคืน ๆ แล้วกระซิบบอกกัน ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามถ้ามันรู้แล้วมันแทรกเข้ามาได้ ตะโกนตอบเสร็จเรียบร้อยก็โผล่หัวออกไป เจ้านายเขาบอกมึงหายหายไปไหนมาวะ? ก็บอกว่าผมเห็นว่าถ้าขืนอยู่ตรงนั้นเป็นเป้าอาร์พีจีแน่ ผมก็หลบ แต่ว่ารถมันอยู่ในสายตาผมครับไม่มีใครขโมยได้แน่ ลูกน้องก็ถามพี่ ๆ หลบอยู่ใต้ต้นไม้นี่นะเหรอ ? บอกว่า เออ...มีอะไรล่ะ ? อาทิตย์ก่อนผมฝังไว้ ๓ ศพ (หัวเรา) ไว้เวร ! แล้วมันก็ไม่บอกเรา ให้เราอยู่บนหลุมฝังศพตั้งครึ่งคืน
              ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าเขาฝังศพไว้ตรงนั้น คือมันปะทะกับบ่อยแล้วก็ตายกับบ่อย ๓ ศพ ๕ ศพนี่ถือว่าขอกันกิน แต่ไม่มีข่าวหรอกจนแต่ว่าครบปีพระราชทานเพลิงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุก็ ๔๐๐-๕๐๐ ศพล่ะกว่าจะรู้กันทีหนึ่ง แต่ถ้าเสียพื้นที่เมื่อไหร่ต้องรีบออกข่าวเพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินวิธีตามการทูต ถ้าประเภทปะทะกันตาย ๓ ศพ ๕ ศพ ถือว่าขอกันกิน บังเอิญบางทีมันขอเรามากเราก็เจ๊งเยอะเพราะว่าตอนช่วงที่อยู่นั่นถ้าทหารตาย ศพหนึ่งเขาหักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๒ บาท
              ถ้าอยู่ ๆ จ่ากองร้อยมาบอกงวดนี้ ๒ บาทนะครับก็แปลว่าเพื่อนตายอีกศพแล้ว ถ้า ๔ บาทก็ ๒ ศพ อยู่ตรงนั้น ๕ เดือน ปกติแล้วจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน รวมแล้ว ๓ ฐานปีนั้น จะเป็น ๑ ฐาน ในแนวหน้า แล้วก็ ๒ ฐานที่เป็นกองหนุน ฐานที่อยู่แนวหน้าจะอยู่บ้านหนองเสม็ด  ฐานที่แนวหลังจะอยู่บ้านโคกสูงกับบ้านแซร์ออ     บ้านหนองเสม็ดจะอยู่ในเขตตาพระยา   บ้านแซร์อออยู่ในเขตวัฒนานคร     บ้านโคกสูงก็เขตอรัญประเทศ     มันคนละอำเภอกัน     
              แต่ว่าของเรากำหลังหนุนมันพร้อมที่จะขึ้นไปได้ทุกเวลา ปกติจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน อาตมาโชคดีไปหน่อยมันปะทะติดพันอยู่ถอยไม่ได้ เราเคลื่อนย้ายกำลังฝ่ายตรงข้ามเสียบเข้ามาก็บรรลัยแล้ว ช่องว่างมันเกิด ใช่ไหม ? เลยติดแหง็กอยู่ฐานหน้า ๕ เดือนกว่า รวมเวลาภาระกิจเขาปีหนึ่ง เราล่อไปปีกว่า ช่วงอยู่ข้างหน้า ๕ เดือนปะทะทุกวัน เพื่อน ๆ กองร้อยเดียวกันตายไป ๒๖ ศพ ร้อยเอกหนึ่งศพ ร้อยตรี ๑ ศพ นายสิบ ๘ ที่เหลือพลทหาร แค่ ๕ เดือนนะ..... แต่ว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้กลัวอะไรเลย เพราะว่ามีธงมหาพิชัยสงครามหลวงพ่อติดตัวอยู่   หลวงพ่อขึ้นไปแจกให้ด้วยตัวเอง     
              สมัยก่อนธงมหาพิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อหวงมากเพราะว่าทำยากทำ เย็นเหลือเกิน สมัยก่อนนี่เขาเขียนด้วยมือ ผืนหนึ่งเขียนเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หลวงพ่อท่านศึกษาตำราเสร็จบอกชอบใจแต่ว่าทำไม่ไหว ไม่มีเวลา ท้าวมหาชมภูที่ เป็นเจ้าของธงท่านเคยเกิดเป็นพระร่วงมาก่อนเป็นเจ้าของธงมาบอกว่าให้ทำ หลวงพ่อบอกว่าทำไม่ไหวท่านก็เลยผ่อนผันให้ บอกว่าให้ไปปั๊มขึ้นมาก็ได้แล้วก็นำมาเสก เอามาแสกหลวงพ่อก็บอกว่าเสกไม่ไหว มันยาวเหลือเกินคาถา ท่านก็เลยบอกว่าแกทำมาข้าเสกเอง หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่างั้นเออ..พอไหว ท่านบอกถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่งไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานเดี๋ยวจะอัดให้ร่วงเลย.. ว่างั้น อะไรที่ลำบากหลวงพ่อไม่เอา ท่านเอาแต่สบาย ๆ
              คราวนี้การเสกธงมหาพิชัยสงครามตอนนั้นน่ะทำที่ไหนโยมรู้ไหม ? วัดบวรจ้ะ เหลือเชื่อไหม ? เพราะตอนนั้นสถานการณ์ชายเเดนไม่ดีมากเลยต้องมีการทำวัตถุมงคลสำหรับส่งไป ให้ทหารที่ชายแดน งวดนั้นเสกธงมหาพิชัยสงครามที่วัดบวรประมาณ ๑ คันรถปิ๊กอัพ แต่ว่าหลวงพ่อหวงมากใครมาขอธงถามว่าเป็นทหารตำรวจชายแดนหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่แนวหน้าก็ไม่ให้ด้วย
               ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อออกเยี่ยมชายแดนเป็นว่าเล่นเลย    มีรายที่ประเภทเขี้ยวลากดินที่สุดก็คือผู้การประจักษ์    ผู้การประจักษ์ก็คือ    พันเอกประจักษ์  สว่างจิต   ยังเติร์กดัง    ตอนนั้นน่ะเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าที่  ๒    อยู่  ....   เขาเรียกบูรพาพยัคฆ์ คือค่ายมันอยู่ทางตะวันออกวัฒนานคร แกเล่นเอารถถังทุกคันมาให้หลวงพ่อติดธงมหาพิชัยสงคราม เจิมให้ด้วย กะเอาชนิดที่ว่ายังไง ๆ กูต้องรอดแน่
              ส่วนตัวแกเองเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่เย็บเหรียญหลวงพ่อติดซะแน่นพึ่บ คนมันศรัทธามากขนาดนั้นจริง ๆ ของ ๆ หลวงพ่อนี่ชอบมากเลยอยู่ชายแดน ของยิงไม่ออกไม่ชอบหรอก ยิงออกไม่ถูกอย่างหลวงพ่อนี่ชอบมากมันตรงกับนิสัยเรา ได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วมันส์ไง พอได้ยินแล้วมันอยากวิ่งใส่อย่างเดียว เพราะงั้นอยู่ที่ชายแดนนี่ปลอดภัยมาก ถึงที่เรียกว่าโดนหนัก ๆ
               ขนาดมีอยู่ครั้งหนึ่งทหารญวนเฮงสัมริน เฮงสัมรินนี่มันเป็นเขมรแต่ญวนสนับสนุนจะถอนกำลัง มันใช้วิธีรุกอำพรางการถอย ปืนใหญ่ ๓ กระบอกมันระดมใส่เราตั้งแต่ตี ๒ กว่า ๆ หมู่ปืนใหญ่ที่คล่อง ๆ นะ ๓ วินาทียิงได้นัดหนึ่ง เราตีว่ามันห่วยแตก ๖ วินาทียิงได้นัดหนึ่งเลยเอ้า มันยิงอยู่ ๑๕ นาทีเต็ม ๆ แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย ๓ กระบอกมันล่อไป ๔๐๐-๕๐๐ นัด แผ่นดินไหวยังไม่พอบังเกอร์มันทรุดหมดน่ะ บังเกอร์เขาเรียกสั้น ๆ ว่า ?เบิม? มันทรุดลงมาท่อนไม้แต่ละท่อนใหญ่ประมาณขาอ่อนไม่ต้องห่วงหรอกเท่า ๆ กันหมด เพราะว่าตอนที่อาตมาขึ้นไปสั่งลูกน้องมันตัดไม้ เราก็ชี้ที่ให้ขุดหลุมทำบังเกอร์ กว่าจะรู้มันขนมา ๒ คันรถยีเอ็มซี ไม้สักทองล้วน ๆ มันไปตัดจากสวนป่าไม้เขา (หัวเราะ) งวดนั้นเคลียร์กันแทบตายกว่าป่าไม้เขาจะเชื่อว่าเราไม่ได้เจตนา ลูกน้องมันมักง่าย มันเจอสวนไม้สักทองมันก็ลุยเข้าไปเอาเลย ต้นเท่า ๆ กันดีด้วย ขนาดเจ้านายต้องการพอดีเลยใช่ไหม โห...มันล่อมา ๒ ยีเอ็มซีนั่นแหละ เบิมทรุดหมดเลย เรานึกถึงคำพูดหลวงพ่อท่านว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน
              คราวนี้เราใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบของเราอยู่จะไปกลัวอะไรนอนตีพุง คนอื่นอพยพกันให้เจี้ยวไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นแหละ นอนฟังดูว่าเสียงปืนมันเพราะดี ปรากฏว่าปืนใหญ่นี่เขาจะมีผู้ตรวจการหน้า เขาเรียก ผ.ต.น. ผู้ตรวจการหน้านี่เป็นตัวแสบที่สุด มันจะบอกเป้าหมาย ไม่เกิน ๓ นัดจะลงกลางเป้า ปรากฏว่างวดนั้น ๔-๕๐๐ นัดนี่มันตกมาแค่หน้าฐาน ข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย มันเหมือนยังกับชนกำแพงตกลงมายังหน้าฐานหมด
              หลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐานครั้งนั้นเห็นคาตาเลยจริง ๆ คุ้มได้จริง ๆ ปืนใหญ่นี่รัศมีฉกรรจ์มัน ๕๐๐ เมตร ครึ่งกิโลนะ รัศมีฉกรรจ์หมายถึงโดนนี่ตายแน่ รัศมีฉกรรจ์มันครึ่งกิโลสมัยที่ฝึกใหม่ ๆ เราก็อยากดังใช่ไหม ? บอกมันประเภทซ้าย ๒๐ ลด ๒๐๐ มันด่าว่าลดหาพ่อมึงเหรอ ๒๐๐ ลด ๒๐๐ คือ ๒๐๐ เมตร รัศมีมัน ๕๐๐ เมตรสั่งลด ๒๐๐ เมตรลดไปทำไมมันด่ามาเลยคือมันเชื่อขนาดที่ว่าแค่นั้นเองโดนแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เกิน ๓ นัดลงแหง ๆ เลย ๓ กระบอกมันยิงกับประมาณ ๑๕ นาที คงไม่ต่ำกว่า ๔-๕๐๐ นัด
              กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ บอกมอบกายถวายชีวิตเลยหลวงพ่อ... ของดีขนาดนี้ และตั้งแต่นั้นมาไม่กลัวอะไรเลย ถูกใจมาก ยิงไม่ออกนี่ไม่ชอบมันไม่ได้ยินอะไร ยิงออกไม่ถูกนี่ชอบจริง ๆ มันส์มาก ได้ยินเสียงปืนมันอยากวิ่งใส่ตอนนั้นเลย วัตถุมงคลทุกอย่างหลวงพ่อบอกฉันไม่รับรองว่าจะเหนียวเพราะว่าบางคนมันถึงที่ ตายนะ ถ้าถึงที่ตายเหนียวก็เข้า
              ดังนั้นท่านบอกว่าท่านไม่รับรองให้ใคร แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมาท้าวมหาราชท่านรับรองว่าถ้าเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้หมดอายุจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน ท่านเอาขนาดนั้น ตอนแรก ๆ ที่ท่านทำท่านบอกว่าหนังแตกได้แต่ห้ามกระดูกหัก ไป ๆ มา ๆ ท่านให้ถึงขนาดว่าหมดอายุขัยจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน แสดงว่าเทวดาจริง ๆ เหนื่อยกว่าเราเยอะใช่ไหม ? ทหารออกรบ ๑ กองร้อยพกพระไป ๑ กองพล แต่ละคนพวงเบ้อเริ่มเลย มีเราพกธงอยู่ผืนเดียวคนอื่นเขาไม่เชื่อถือกันหรอก เขาคลำคอแล้วไม่มีพระสักองค์มีธงหลวงพ่อผืนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่ธงเปล่า ๆ อย่างนี้ จะติดธงชาติเล็ก ๆ อยู่ด้วย พอพับ ๆ เสร็จแล้วก็จะคล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่กระเป๋าอยู่ คนอื่นเขาก็รู้แค่เรามีของดีไม่รู้ว่ามีอะไร
              มีอยู่งวดหนึ่งเบิกเบี้ยเลี้ยง อยู่ชายแดนนี่รวยมากมันจะมีเบี้ยเลี้ยงปกติ เบี้ยเลี้ยงสนาม เบี้ยกันดารแล้วก็เงินเดือน โห... รวยอย่าบอกใครเลย แต่ว่าพอถึงเวลาไม่การปะทะเซ็งไง มหรสพทุกอย่างไม่มีมันก็เขย่าไฮโล เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่มันก็หมดใช่ไหม ? ของเราเองเราไม่ค่อยเบิกมันไม่ได้ใช้อะไรนี่ ถึงเวลาคนอื่นเขามันไม่มีการมีงานเราก็นั่งภาวนาของเรา
              ปรากฏว่าวันนั้นเบิกมาพอดีถึงงวดออกเบิกมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่มากระเป๋าตุง เผลอถอดเสื้อไปอาบน้ำหน่อยเดียวกลับมาหายเกลี้ยงทั้ง ๘,๐๐๐ กูไม่ว่าแต่ถ้าเอาธงพ่อจะตามล่าจนกว่าจะได้คืน คือคนอื่นเขาไม่รู้ว่าธงดียังไงใช่ไหม ? เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาจะเอาเงิน ก็ ๘,๐๐๐ บาทให้มันไป ไม่ว่ากัน นึกว่าขอกันกิน
       ถาม :   พระแต่ละองค์วัดท่าซุงนี่ส่วนมากเป็นทหารกันเยอะนะครับ ?
       ตอบ :  ของอาตมาเองไม่ได้คิดจะเป็นทหารหรอก มันจับพลัดจับผลูเข้าไปอีท่าไหนก็ไม่รู้มันเป็นจนได้ เสร็จแล้วมันก้าวหน้าผิดปกติชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย แต่ว่าไป ๆ มา ๆ แล้วมันก็เบื่อ มันเบื่อตรงไกลหลวงพ่อ ไกลหลวงพ่อมันเซ็งขึ้นมาก็ลาออกเลย ของทหารเขาเรียนมาต้องใช้ให้ครบอายุราชการ ถ้าไม่ใช้ให้ครบต้องควักเงินคืนเขา พอใช้อายุราชการครบก็เปิดดีกว่า
               ตรงจุดนี้จุดหนึ่งที่เห็นคุณหลวงพ่อจะได้เห็นว่า  ?สังโฆอัปมาโณ?     เป็นยังไง   พระที่วัดท่าซุงแต่ละองค์ไปถามประวัติดูเถิด   กระทั่งตำราจยังหนาว    หลวงพี่ทีปใจ ดีอย่างที่โยมเห็นนั่นน่ะ ก่อนบวชยกเค้าตำราจ ๓ บ้านรวดเลือกเฉพาะตำรวจด้วย อย่างอื่นไม่มันต้องยกเค้าตำรวจถึงจะสะใจ แล้วหลวงพี่นันต์เราเห็นยิ้ม  ๆ  อยู่ทั้งวัน    บวชตอนอายุ  ๒๕   บอกว่าก่อนจะบวชไม่รู้รอดตายมาได่ยังไง   เพราะว่าไม่ว่าจะมีงานที่ไหน   
              สมัยก่อนเขาเรียกหนังกลางแปลง มีงานที่ไหนก็เจอกันที่นั่น ตีกันแหลกราญชนิดที่เรียกว่าวิ่งกันข้ามทุ่ง หลวงพี่นันต์จนทุกวันนี้ยังติดนิสัยนะ ถ้านอนต้องไปเรียกไกล ๆ อย่าไปเรียกใกล้ ท่านลุกปุ๊บท่านจะควานหาอาวุธข้างตัวก่อนเลย ครั้งแรกไม่รู้ไปเรียกท่านใกล้ ๆ ท่านลุกพรวดพราดขึ้นมาเตรียมคว้าอะไรตีแล้ว นั่นแหละหลวงพี่อนันต์ที่เห็นนั่งยิ้มเย็น ๆ อยู่แหละท่านบอกว่าก่อนจะครบบวช ๒๕ ก่อนมาบวชนี่ไม่รู้รอดตายมาได้ยังไง เดี๋ยวตีกันเดี๋ยวแทงกันประจำเลยทุกงาน คือวัยรุ่นมันเลือดร้อน ข้ามถิ่นไปเห็นสาวสวยไปจีบเข้าเจ้าถิ่นเขม่นก็ตีกันแล้ว ไปถามประวัติดูเถอะแต่ละคนตำรวจหนาวทั้งนั้นแหละ
              หลวงพี่ทีปเขาบอกกูไม่คิดจะทำหรอกแต่มันเสือกจับกูบ่อย แกเป็นนักเรียนช่างกลปทุมวันนี่ จับกูบ่อยกูหมั่นไส้กูก็เอาสิ ทำทั้งที่ต้องทำให้ดัง คราวนี้คงหมดอายุราชการไปแล้วล่ะ คือ คดีอาญามัน ๒๐ ปีใช่ไหม ? พี่แกบวชเกิน ๒๐ ปีแล้ว ไม่เป็นไร...เล่าได้ (หัวเราะ)
              คราวนี้เราจะได้เห็นว่าเสือสิงห์กระทิงแรดขนาดนั้นมันมารวมกันอยู่ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อเป็นคนคุมทีมมันไม่กัดกันแหลกเหรอ เราจะได้เห็นคำว่าสังโฆอัปมาโณ คุณของสงฆ์ไม่มีประมาณนี่เป็นยังไง ขนาดหลวงพี่นันต์ยิ้มเย็น ๆ อยู่ทั้งวันนั่นล่ะเข้าไปเรียกดูเถอะ ลุกขึ้นมานี่น่ะต้องคว้าอะไรข้างตัวไว้ก่อน ความเคยชิน การระวังตัวจนชิน พอเจอเข้าครั้งเดียวตั้งแต่นั้นมา โน่น...เปิดประตูยื่นแต่หน้าเข้าไป หลวงพี่ครับ หลวงพี่.. (หัวเราะ) ขืนเข้าไปเรียกใกล้ ๆ นี่หัวร้างข้างแตกไม่รู้ตัว เป็นไง...คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นจะเอาลูกหลวงพ่อกลุ่มนี้อยู่เหรอ มันถึงได้ไม่ยอมรับนับถือใครง่าย ๆ ถ้าพ่อเราไม่แน่จริงไม่มีสิ่งที่ดีจริง  เอาไอ้ลูกกลุ่มนี้ไม่อยู่หรอก แต่ละคนเจ้าประคุณรุนช่องเถอะใครอยากได้ประวัติพระมันส์ ๆ นี่แคะพระวัดท่าซุงองค์ไหนไปก็ได้ ประวัติมันส์ทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) ถึงเวลามีอะไรนะ เกิดมีชื่อเสียงขึ้นมาตอนแก่ ๆ มานั่งคุยกันคงหัวเราะกันซะไม่มี ตอนนั้นคุณเล่นผมอย่างนั้น ตอนนั้นผมเล่นอย่างนี้ มันสนุกอย่าบอกใครเลย สมัยก่อนเห็นหลวงปู่หลวงพ่อ ๑๐ กว่าองค์ อย่างหลวงปู่ชุ่ม   หลวงปู่คำแสน   หลวงปู่บุดดา ฯลฯ ท่านนั่งมองหน้ากันแล้วยิ้มกันไปยิ้มกันมา เรานึก ๆ ดูมานึกถึงตอนนี้ก็คงลักษณะนั้นแหละ นึกถึงสมัยก่อนเคยทำอย่างนั้นมา สมัยนี้หมดกิเลสแล้วนั่งยิ้มได้ใช่ไหม ? ตอนเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบยิ้มไม่ออกหรอกมันทุกข์นี่ ตอนนี้หมดทุกข์แล้วท่านก็ยิ้มของท่านได้
              หลวงปู่คำแสนนี่ยิ้มทีชาวบ้านร้องไห้โฮเลย หลวงปู่ทำไมยิ้มสวยขนาดนี้ ท่านตอบยังไงรู้ไหม ? คนหมดกิเลสแล้วยิ้มสวยหมดทุกคนแหละลูก (หัวเราะ) บอกชัดเลยนะงานนั้น คนหมดกิเลสแล้วยิ้มสวยหมดทุกคน ฟัง ๆ อย่างนี้แล้วได้เปรียบนะ ไปหลอกให้พระคุยบ่อย ๆ กำลังใจเราได้ทรงตัวใช่ไหม ?
               พูดถึงหลวงพ่อนึกถึงหลวงพ่อก็สังฆานุสสติ   พูดถึงธรรมะก็น้อมใจไปธัมมานุสสติ    พูดถึงพระพุทธเจ้าก็น้อมใจไปพุทธานุสสติ   พูดถึงนิพพานน้อมใจไปอุปมานุสสติ    พูดถึงเทวดาพรหมน้อมใจไปเทวตานุสสติ นั่งภาวนาเท่าไหร่อารมณ์ใจมันก็ไม่ทรงตัวง่ายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นมีโอกาสหรอกให้พระพูดบ่อย ๆ แต่ว่าหาน้ำไว้ให้ด้วยนะ ไม่หาน้ำไว้ให้เสียงแห้งหมด
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.5.html

ถาม :      หลวงพี่กับหลวงพี่หยัด  ( พระบัญญัติ)    นี่บวชพร้อมกันไหมเจ้าคะ  ?
       ตอบ :   ไม่ล่ะจ้ะ    อาตมาบวชก่อนหลายพรรษาเลย
       ตอบ :   ท่านก็บวชที่วัดท่าซุงเหรอคะ ?
       ตอบ :    หลวงพี่หยัดนี่อยู่ที่วัดพุทธไชโยแล้ว ก็ไปเป็นนาคที่ท่าซุง บวชจากวัดท่าซุงเสร็จค่อยย้ายไปพุทธไชโย คือ ที่วัดท่าซุงมีระเบียบว่าถ้าเป็นพระวัดอื่นจะไปบวชต้องไปเป็นนาคที่วัดท่า ซุงก่อน เพื่อจะได้ศึกษาระเบียบแบบแผนอะไรต่าง ๆ ให้ครบ พอบวชเสร็จแล้วถึงจะกลับไปอยู่วัดตัวเองได้ สมัยนั้นทางด้านพุทธไชโยก็ส่งพระมาบวชที่ท่าซุงประจำล่ะ ท่านเป็นรุ่นน้องหลายปีแต่ว่าท่านเอาจริงเอาจังมากนะ
       ตอบ :    ......................
       ตอบ :    เวลาตื่นนอนน่ะรีบปั๊มสมาธิให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  มันจะเป็นกำลังให้เราได้ทั้งวัน     ถ้าสมาธิไม่ดีนี่ทำงานมาก  ๆ   มันเหนื่อยมันเพลียบางทีเอนตัวลงยังไม่ทันตั้งท่าเลยมันน็อคไปแล้ว     ฟิวส์ขาด
              เพราะฉะนั้นตอนช่วงเช้าเอาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เสร็จแล้วสังเกต อารมณ์ใจตัวเองดูให้ตลอดเวลา พอใกล้เพลนี่พอดีมันชนโน่นชนนี่เข้ากำลังมันเริ่มลดลง หาเวลาว่างหลบซะนิดหนึ่งเข้าส้วมก็ได้เอานานหน่อยใช่ไหม ? แกล้งบอกเขาว่าท้องผูกไปอะไรไปเลยแล้วไปภาวนาต่อในส้วมนะ พออารมณ์ใจมันทรงตัวออกมาชนกันมันต่อ คราวนี้ก็จะประคับประคองอยู่ได้ถึงไม่เย็นก็ใกล้ ๆ เย็นแหละ กลับบ้านมาเราก็ทำของเราต่อให้อารมณ์ใจมันต่อเนื่องกันในลักษณะนี้
              สมัยอาตมาหัดใหม่ ๆ น่ะใช้วิธีนี้นะ ตื่นตั้งแต่ตี ๓ ภาวนาจน ๖ โมงเช้า ๖ โมงเช้าเริ่มทำงานต่อ....ลูกจ้างเขานี่เขาใช้งานตั้งแต่ ๖ โมงเช้านั่นแหละ พอพักเที่ยงปุ๊บรีบกินข้าวมีเวลากินข้าวแค่ ๑๐ กว่านาทีแค่นั้นแหละแล้วที่เหลือก็มุดผลับหลับเลย เวลาพักของเราไม่ถึงบ่ายโมงห้ามเรียกอยู่แล้วใช่ไหม ? ภาวนาของเราเต็มที่คนอื่นเขาคิดว่าเรานอนพักความจริงนอนภาวนา นอนภาวนาถึงบ่ายโมงทำงานต่อ ๕ โมงเย็นเลิก คราวนี้โลกเป็นของเราจะทำอะไรอยู่ที่เราใช่ไหม ? อารมณ์ใจมันต่อเนื่องอยู่ตลอดกำลังสมาธิดีงานหนักแต่ไหนก็สู้ได้
       ตอบ :    ......คุยเรื่องสอบ.........
       ตอบ :    อย่าลืมคาถาท่านปู่พระอินทร์แล้วกัน   ใช้ให้ประจำ  ๆ   ไว้จะได้เคยชิน    มีคุณมหาศาลมากเลยล่ะ
       ตอบ :    ถ้าใช้มาก  ๆ   ถือว่าใช้ท่านไหมคะ  ?
       ตอบ :  ไม่เกี่ยวจ้ะ ท่านเองท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์อยู่แล้วถ้าใครบอกคาถานี้ก็คือลูกหลานของ ท่าน ท่านอนุญาตเอาไว้แล้ว ในเมื่ออนุญาตเอาไว้แล้วก็รีบ ๆ ใช้เยอะ ๆ
       ตอบ :   ...................
       ตอบ :    ถ้าหากว่าเราภาวนาแรก ๆ นี่มันเป็นสมถภาวนาอยู่แล้ว เมื่อไปถึงจนกำลังใจเต็มมันจะถอนออกเองโดยอัตโนมัติ มันเหมือนเราเดินชนที่ตันไปต่อไม่ได้ ตอนมันถอนออกมานี่แหละถ้าเราไม่ควบคุมให้มันคิดโดยการใช้ปัญญาอย่างที่เรียก ว่าวิปัสสนา คือ คิดให้รู้เห็นตามความเป็นจริงมันก็จะไปฟุ้งซ่านหารัก โลภ โกรธ หลง ของมัน   
               คราวนี้วิธีคิดมีหลายวิธี   วิธีแรกดูตามไตรลักษณ์คือ ลักษณะความเป็นจริงสามอย่างว่าสภาพของเราก็ดี คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทุกอย่างก็ดี มันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด มันเป็นทุกข์ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ต้องมีสภาพจะทนอยู่เสมอ มันเป็นอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นตามใจของเราไม่ได้ มันเป็นสภาพที่แท้จริงของมัน เขาเรียกว่าไตรลักษณ์ ลักษณะความเป็นจริง ๓ อย่าง ดูให้เห็นให้จิตยอมรับให้ได้ วิธีที่ ๒ เรียกว่าดูตามอริยสัจ คือ ความเป็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จริง ๆ แล้วเขาให้เราดูทุกข์กับสมุทัยเท่านั้นเพราะว่าสมุทัยคือสาเหตุที่ทำให้เกิด ทุกข์ ว่าเราทุกข์อยู่นี่เกิดขึ้นเพราะอะไร
              อย่างเช่นว่า ตอนนี้เราเมื่อย เมื่อยเกิดจากอะไร เมื่อยเพราะเรานั่ง ถ้าเราเปลี่ยนอิริยาบถเสียมันก็หายเมื่อย อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้ว่าเขาดูไป ๆ จนกระทั่งเห็นชัดว่าสาเหตุที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะว่าเราเกิดมาตัว เดียว ถ้าเราไม่เกิดอีกความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอีก
              ดังนั้นเราจะดับต้นเหตุก็คือว่าต้องไม่เกิดอีกนะ จริง ๆ แล้วดูทุกอย่างรอบตัวของเราว่าเป็นทุกข์มันก็พอแล้วเพราะอะไร แต่ว่าถ้าหากขยันหน่อยขยับไปหาเหตุมันซะนิดหนึ่งว่ามันทุกข์เพราะอะไร แล้วก็ดับตรงจุดนั้นเขารียกว่าดูตามอริยสัจ
                วิธีต่อไปเรียกว่าดูตามวิปัสสนาญาณ   ๙    อย่างในวิสุทธิมรรค   เขาแยกไปชัดเจนเลย    ตั้งแต่อุทยัพยานุปัสสนาญาณ    เห็นการเกิดและดับของทุกสิ่งทุกอย่าง     เกิดขึ้นในเบื้องต้น  เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง   สลายไปในที่สุด   ภังคานุปัสสนาญาณเห็นว่าทุกอย่างต้องดับหมดทั้งสิ้น สลายหมดทั้งสิ้น ภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของที่น่ากลัวกระทั่งร่างกายของเรานี่ก็น่ากลัว มันเหมือนกับเลี้ยงเสือเอาไว้ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็หิว เดี๋ยวมันก็กระหาย เดี๋ยวมันร้อน เดี๋ยวมันหนาว เดี๋ยวมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องคอยหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม ต้องไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ต้องรักษาพยาบาล เป็นต้น ต้องหาน้ำให้มันอาบ หาผ้าให้มันห่ม เหมือนกับเลี้ยงเสือไว้เผลอเมื่อไหร่ มันกัดเรา
              สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องหัดคิดให้เป็น พิจารณาให้เป็น พอเราพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนสภาพจิตมันยอมรับ หรือว่าไม่ยอมรับแต่กำลังดำเนินไป ตามปัญญาและสติเฉพาะหน้านั้นก็ตาม มันจะค่อย ๆ เป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัว พอมันเป็นสมาธิมันทรงตัวเต็มที่ถ้ามันอยากเป็นสมาธิก็ให้มันเป็นสมาธิทรงตัว ไปเลย พอมันทรงตัวเต็มที่เดี๋ยวมันคลายออกมาอีกเราก็ต้อนเข้ามาหาวิธีการคิดเหล่า นี้อีกสลับกันไปเรื่อย   
              สมถภาวนาคือการทำใจให้สงบ วิปัสสนาคือการสร้างความรู้จริงเห็นจริงให้เกิดขึ้นในใจของเรา มันเหมือนอย่างกับคนผูกขาติดกันนะต้องสลับกันเดิน เราจะไปสมถะอย่างเดียวคือการภาวนาอย่างเดียวพอไปเต็มที่แล้วมันโดนกระตุก กลับมันไปต่อไม่ได้ มันจะโดนกระตุกกลับคือมันคลายตัวกลับมา
              เราต้องใช้วิปัสสนาญาณคือต้องคิดต่อเท่ากับว่าก้าวต่อไป พอคิดจนเต็มที่แล้วมันจะทรงเป็นสมาธิภาวนาต่อไปคือ เป็นสมถะต่อเราก็ก้าวทางด้านนี้ต่อ ต้องสลับกันไปถึงจะก้าวหน้า การกระทำทั้งสองอย่างนี้ถ้าเป็นวิปัสสนามันจะได้เปรียบตรงที่ว่ามันภาวนาไป แล้ว พอพิจารณาไปแล้วมันจะเป็นภาวนาไปด้วย แต่ว่าสมถภาวนาถ้าทำอย่างเดียวทำไปแล้วไม่ถอนกำลังใจออกมาเพื่อคิด ถึงเวลาแล้วมันจะฟุ้งซ่าน สองอย่างต้องทำรวมกันแต่ว่าถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เลือกทำวิปัสสนากำลัง ใจให้ทรงตัว 
       ตอบ :   จะทำวิปัสสนาต่อเมื่อจิตสงบหรือครับ  ?
       ตอบ :    ก็พอมันเต็มที่ของมันน่ะ   จะใช้คำว่านิ่งบางคนมันก็ยังไม่นิ่งดีหรอก
       ตอบ :    คือ...ไม่รับรู้  ได้ยินเสียงแต่ไม่แขว ?
       ตอบ :  อาการเหล่านั้นมันเป็นขั้นตอนแรก ๆ ของการปฎิบัติเท่านั้น บางคนก็สามารถเข้าไปถึงขนาดที่เรียกว่าฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน แล้วถึงเวลามันคลายตัวออกมาก็มาใช้วิปัสสนาญาณพิจารณาต่อ
       ถาม :     การออกจากวิปัสสนาแล้ว  ทำไมกินของแล้วไม่รู้สึกอะไร  ?
       ตอบ :  ลักษณะนั้นบางทีเป็นกำลังของสมาธิมันคุมอยู่ เป็นลักษณะของกำลังฌานยังคุมอยู่ เมื่อกำลังฌานยังคุมอยู่จิตกับประสาทมันจะแยกกันเป็นคนละส่วนกัน ที่ว่าตาเห็นแต่ไม่ค่อยอยากจะสนใจ หูได้ยินก็เบาลงขาดความสนใจในมัน นี่ลิ้นได้รส ในเมื่อจิตกับประสาทแยกจากกันมันก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรประเภทเดินตากแดด ก็ไม่ร้อน เดินตามลมก็ไม่หนาว ลักษณะนั้นถ้าทำได้ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้
                ส่วนใหญ่พวกเราทำไปแล้วพอถึงเวลาเลิกแล้วเลิกเลย ปฎิบัติมันจะไม่ก้าวหน้าเพราะเราเลิกแล้วทิ้งเลย เหมื่อนกับว่าเราว่ายน้ำทวนน้ำมา พอถึงเวลาก็ปล่อยมือให้มันลอยตามน้ำไปอีก ถึงเวลาว่ายน้ำใหม่มันก็ได้แต่งาน ผลงานมันไม่ได้มีเพิ่มขึ้น ต้องรู้จักรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ให้อยู่กับเรานานที่สุดเพื่อความสุขความ เย็นใจของเราให้มากที่สุด แล้วพอความเคยชินของการรักษาอารมณ์มันจะทำให้เรารักษาได้ยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา เมื่อยาวนานขึ้นเรื่อยจนกระทั่งบางทีติดต่อกันเป็นเดือนเป็นปี นี่กำลังจิตมันทรงตัวตลอด กิเลสต่าง ๆ มันก็เหมือนหญ้าที่ถูกหินทับเอาไว้ พอทับนาน ๆ ไม่ได้อากาศไม่ได้แสงแดดมันก็เฉาตายไปเอง
       ถาม :    ................................
       ตอบ :  อย่าเพิ่งเชื่อมันสิ ต้องฝืนมันบ้าง แต่ว่าบางคนถนัดในการนอนภาวนา ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถนี้ อิริยาบถไหนก็ภาวนาได้ แต่อิริยาบถนอนต้องฝึกให้ชินก่อนถ้าไม่ชินขาดสติปุ๊บมันจะตัดหลับไปเลย
               เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามันอยากจะนอนทั้ง  ๆ  ที่เรานั่งอยู่ให้คิดไว้ก่อนว่าเป็นตัวนิวรณ์    คือ   ถีนมิทธะนิวรณ์ มากวน ตัวนี้มันชวนให้ง่วงนอนแล้วก็ขี้เกียจ ต้องลองฝืนมันดูถ้าเราไม่ได้ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันมาถึงเวลาปุ๊บแล้วมาชวน นอนเลย อย่างนั้นให้ถือว่าตัวนิวรณ์ตัวนี้มันกำลังรังแกเราอยู่ ให้ฝืนใจเอาไว้ทำต่ออีกหน่อยเดียวพอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไปมันก็จะสว่างโพลง อยู่แล้วก็จะไม่อยากนอนอีก
              บางคนภาวนาไป พอถึงระดับจิตมันโพรงตื่นอยู่ตลอดเวลา จะไปบังคับให้มันหลับแทบจะคลุ้มคลั่งบังคับกันทั้งคืนมันก็ไม่หลับ ตอนนั้นให้รับรู้อาการไว้เฉย ๆ นะตัวมันนอนมันได้รับการพักผ่อนอยู่แล้ว สภาพ จิตจริง ๆ นี่ถ้าผ่องใสจริง ๆ นี่เขาไม่นอนหรอก เขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับทั้งตื่นจิตจะดำเนินไปในลักษณะของการระมัด ระวังไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราภาวนาเฉพาะตอนตื่นสติสมบูรณ์รู้อยู่เราสู้กิเลสได้ระวัง กิเลสทัน แต่ว่าถ้าหากเผลอหลับ หลับเมื่อไหร่มันก็เอาทั้งหลับ ๆ นั่นแหละ      
              บางคนนี่ดิ้นรอบห้องเลยบังคับตัวเองไม่ได้ บางคนก็ฝันว่าไล่ตีไล่ฆ่าเขาไปซะไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่...สนุกสนานกัน ถ้าหากว่าจิตมันตื่นอยู่ ทั้งหลับทั้งตื่นเราจะควบคุมได้ ระวังไม่ให้กิเลสเกิดกับเราได้ สภาพของจิตจริง ๆ แล้วมันตื่นพอเราไปทำมันตื่นขึ้นมาปุ๊บจะไปบังคับให้มันหลับบังคับเท่าไหร่ ก็ไม่หลับ
              บางคนลุกขึ้นมากินยานอนหลับหน้าตาเฉย ความจริงมันนอนอยู่แล้ว มันได้รับการพักผ่อนพออยู่แล้ว ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าถึงจะรู้สึกว่าไม่ได้หลับเลยแต่ตื่นขึ้นมาแล้วมัน ไม่เพลียก็ว่าซะเต็มที่แล้ว บางทีได้ยินเสียงของตัวเองกรนซะด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าจิตมันตื่นอยู่ก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้หลับ
       ถาม :    อรูปฌานน่ะครับ   เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำได้แล้ว  ?
       ตอบ :   ต้องทรงกสิณให้คล่องตัวเลย    คล่องตัวนี่มันต้องให้ผลของกสิณได้ถ้าหากว่าไม่สามารถใช้ผลของกสิณได้คล่องตัวอรูปฌานไปไม่รอด เพราะอรูปฌานต้องตั้งต้นด้วยกสิณ ตั้งภาพกสิณกองใดกองหนึ่งขึ้นมาแล้วก็กำหนดใจเพิกภาพกสิณนั้นเสียให้เห็นว่า แม้แต่ภาพกสิณมันยังเป็นส่วนหยาบ มันยังมีรูปอยู่ เราไม่ต้องการรูปนี้เราต้องการความว่างเปล่าของอากาศ กำหนดใจจับความว่างของอากาศไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นวงสว่างแจ่มใสอยู่ตรงหน้าใหญ่ก็ได้เล็กก็ได้กำหนดความว่างของ อากาศไป
               พอมันเต็มที่เสร็จแล้วคลายอารมณ์ขึ้นมาแล้วก็ว่าอรูปฌานที่  ๒   ต่อว่าตั้งภาพนิมิตของอากาสานัญจายตนขึ้น มา กำหนดแล้วว่าถึงมันจะเป็นอากาศแต่มันก็ยังมีความหยาบอยู่ จับความว่างไม่มีขอบเขตของวิญญาณแทน เพราะฉะนั้นต้องเริ่มด้วยกสิณก่อนถ้ากสิณไม่คล่องทำอรูปฌานไม่รอด
       ถาม :    แล้วอย่างมโนมยิทธิถือเป็นการใช้ผลของกสิณไหมครับ   ?
       ตอบ :   มโนมยิทธิถือเป็นผลของกสิณอยู่แล้ว   เพราะว่ากสิณ   ๓   กอง    คือ  อาโลกกสิณการกำหนดแสงสว่าง   โอทาตกสิณการกำหนดสีขาว   เตโซกสิณการกำหนดไฟ   เหล่านี้   ผลของมันจะทำให้เกิดทิพจักขุญาณแล้วขณะเดียวกันถ้าหากว่าเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังก็เป็นอภิญญาด้วยเพราะว่าสามารถถอดจิตไปได้    อันนี้เป็นการใช้ผลของกสิณอยู่แล้ว   
       ถาม :    ถ้าอย่างนั้นทรงมโนมยิทธิก็ได้เหมือนกัน  ?
       ตอบ :  ได้อยู่ แต่ว่ากติกาของอรูปฌานต้องตั้งรูปขึ้นมาก่อน ถ้าจะทรงมโนมยิทธิก็ต้องกำหนดรูปที่เราถนัดขึ้นมาก่อนเช่นว่าภาพพระก็ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจะเล่นอรูปฌานนี่ต้องได้ฌาน ๔ ก่อน
       ถาม :    วิธีการปฎิบัติมหาสติปัฏฐานเป็นอย่างไรครับ  ?
       ตอบ :   วิธีการปฎิบัติมันหนักอยู่อันเดียว   สติปัฏฐาน   ๔   หนักอยู่อันเดียว   บรรพแรกก็คืออานาปานสติเพราะว่าอันอื่นเป็นการคิดการพิจารณาซะส่วนมาก   โดยเฉพาะอันท้าย  ๆ   นี่จะละเอียดมากคือ   พิจารณาเห็นจิตในจิต    ธรรมในธรรม จิตในจิตคืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ธรรมในธรรมก็คือว่าดูความงอกงามของอารมณ์ทั้งกำลังการปฎิบัติของเราทั้งดี และทั้งชั่วอะไรเหล่านี้เป็นต้น
              สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเป็นการอาศัยกำลังของอานาปานสติ คือ การภาวนา จับบรรพ คือตอนแรกมาใช้ ถ้าสามารถทำตอนแรกได้คล่องตัวตอนอื่นก็ง่าย ถ้าตอนแรกไม่ผ่านตอนอื่นก็ยากหน่อย
       ถาม :   วิปัสสนาคือช่วงตอนไหนครับ ?
       ตอบ วิปัสสนานี่จริง  ๆ  แล้วท่านจะต่อท้ายไว้ทุกบรรพ   คือ  ทุกตอน บางทีเราก็ไม่ได้พิจารณา ท่านบอกว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราอย่าได้ยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ นั่นน่ะวิปัสสนาญาณชัด ๆ เลยเพียงแต่ว่าท่านแทรกเอาไว้บางทีเราขาดการพิจารณาอ่านแล้วเผลอลืมไป มองข้ามไป
       ถาม :    ถ้าวิปัสสนาเรายังไม่ไปถึงไหนแล้วเราไปเพ่งกสิณนี่ถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอนไหมครับ ?
       ตอบ :  ไม่ถือว่าเป็นการข้ามขั้นเพราะว่ากสิณนี่นับเป็นเริ่มต้นก็ได้ คือเรากำหนดภาพพร้อมกับลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว การกำหนดภาพพร้อมลมหายใจเข้าออกพอภาพพระติดตาติดใจนี่ก็เท่ากับอุปจารสมาธิ    พอภาพเริ่มเปลี่ยนสีเริ่มอะไรก็เท่ากับว่าเป็นฌานจน กระทั่งภาพสว่างเจิดจ้าเต็มที่บังคับให้ใหญ่ได้เล็กได้ ให้มาได้ให้หายได้ นั่นเท่ากับเป็นฌาน ๔ เท่ากับว่าเราค่อย ๆ ฝึกกำลังสมาธิของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกเหมือนกันเเพียงแต่เพิ่มตัวกสิณเข้ามาประกอบแล้วใช้คำ ภาวนาเฉพาะเท่านั้นเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.6.html

ถาม :   นั่งสมาธิเห็นนิมิตกับไม่เห็นอันไหนดีกว่ากันครับ ?
       ถาม :    ไม่รู้ไม่เห็นเลยดีกว่า   รู้เห็นมากเท่าไหร่โอกาสที่จะไปยึดติดและโดนหลอกมีมากเท่านั้นส่วนใหญ่แล้วมันจะไปยึดอยู่ตรงนั้นน่ะ     
              พอครั้งแรกเห็นครั้งที่สองก็จะเห็นซะให้ได้ พอจะไปเห็นซะให้ได้ตรงนั้นน่ะมันเป็นอุทธัจจะคือฟุ้งซ่าน พอไม่เห็นก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากเข้าไปใหญ่ เป็นอันว่าการปฎิบัติไม่ก้าวหน้าไปไหนติดอยู่แค่นั้นเอง น้อยคนที่เห็นนิมิตแล้วจะทำให้ละได้อย่างง่าย ๆ และสะดวก ส่วนใหญ่จะอดไปยึดติดอยู่กับมันไม่ได้ ยิ่งประเภทเขาแสดงให้รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้เข้า พอเหตุการณ์เป็นไปตามที่รู้จริง ๆ ก็ยิ่งไปยึดมั่นถือมั่นตรงนั้นใหญ่ มันจะไปติดหนักเข้าไปอีก   
                ถ้าเป็นไปได้ไม่รู้ไม่เห็นน่ะปลอดภัยดี   ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งแจ่มใสมากเท่าไหร่โอกาสโดนหลอกยิ่งมากเท่านั้น ส่วนใหญ่เราจะเผลอไง ไม่ได้กำหนดใจถามพระว่าสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างไร ถ้ากำหนดใจถามพระอยู่ เรื่อย ๆ ไม่เผลอซะก่อนโอกาสพลาดก็น้อย
       ถาม :    โดนหลอก...  มารเข้าแทรกเหรอครับ  ?
       ถาม :    จะเรียกว่ามารก็ได้จ้ะ   ถ้าเป็นมารเรียกว่าอภิสังขารมาร   มารก็คือสิ่งที่ประเภทเหนือสังขารเหนือการปรุงแต่งต่าง  ๆ  ก็คือจะเป็นเรื่องของฌาน   เรื่องของสมาบัติ   เรื่องของทิพจักขุญาณ
       ถาม :    ไม่เกิดการหลง  ?
       ถาม :  มันหลงแหง ๆ เลยล่ะ ส่วนใหญ่ก็จะไปคิดว่า เออ.. เราก็เก่งนี่หว่า เรื่องนี้รู้ถูกนี่ พอคนชมเข้าหน่อย แหม....เก่งจังเลย ทำไมรู้ได้ชัดเจนอย่างนี้ ก็ไปพองติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลกธรรม เข้าไปอีก
       ถาม :    อย่างเราฝึกมโนมยิทธิ   การที่เรานิมิต...(ไม่ชัด)...?
       ถาม :    มโนมยิทธินี่ใช้กำลังของสมาธิ แล้วขณะเดียวกันบวกการสงเคราะห์ขององค์เทวดาด้วย เพราะจะสามารถรู้เรื่องได้ตลอดตามกำลังนั้น ถ้ายิ่งขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ยิ่งรู้ได้ชัดเจน แต่นิมิตที่เกิดขึ้นมันจะไม่มีต้นไม่มีปลายอยู่ ๆ มันโผล่ขึ้นมาอยู่ ๆ มันก็หายไป กว่าเราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรกว่าเราจะตีความได้เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว พอเกิดขึ้นแล้ว อ๋อ ... เรารู้มาแล้วนี่หว่า แก้ไขไม่ทันแล้วจ้ะมโนมยิทธินี่รู้ล่วงหน้าแล้วสามารถแก้ไขได้ทัน
       ถาม :   ฝึกกสิณอันตรายไหมคะ  ?
       ถาม :    ก็ดูว่าเราเองนี่สติสัมปชัญญะบกพร่องหรือเปล่า   ถ้าบกพร่องไปได้กสิณไฟเดี๋ยวไปไล่เผาชาวบ้านเขาสนุกสนาน  จริง  ๆ  แล้วคนที่ทำได้ถ้าไปใช้ผิดมันจะเสื่อม   แต่ว่าในการเสื่อมลักษณะนี้ไม่นานหรอกพอเรารวบรวมกำลังใจได้มันก็ได้ใหม่    แต่ถ้าใช้ผิดอีกมันก็พังอีก   
                เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าฝึกกสิณอันตรายไหม  ?    ก็ต้องดูอย่างหลวงพ่อท่านฝึกปฐวีกสิณ คือ กสิณดินแล้วก็ไปหัดเดินในน้ำ ปรากฏว่าก้าวลงไปร่วงตูมเลย อธิษฐานใช้ผิด ตอนนั้นถ้าว่ายน้ำไม่เป็นก็อันตราย (หัวเราะ) ถ้าว่ายน้ำเป็นก็ไม่เท่าไหร่ ท่านไปอธิษฐานว่าให้แม่น้ำทั้งสายแข็งตัว มันผิด เพราะว่าเรือแพต่าง ๆ สัญจรไม่ได้ ต้องอธิษฐานว่าน้ำทุกจุดที่เราเหยียบเท้าลงไปให้แข็งเหมือนแผ่นดินถ้าอย่าง นั้นน่ะได้ ใช้ผิดหน่อยเดียวอาบน้ำเที่ยงคืนเลย (หัวเราะ) หนาวแทบแย่ ฤดูหนาวด้วย
               หรือไม่ก็อย่างเจ้าจ๊อบเจ้าเมล์ลูกสาวพี่สามารถเขา ตอนนี้คงจะโตเป็นสาวแล้ว ตอนนั้นเรียนมัธยมอยู่มันแกล้งเพื่อน เข้าห้องน้ำได้ห้องน้ำของวัดเขาจะทำรางน้ำยาว ๆ ทะลุถึงกันทุกห้องเลย เจ้านั่นเข้าไปถึงก็เพิ่งน้ำ เพื่อนจ้วงลงไปเสียงดัง ก๊อง! แทนที่จะเป็นน้ำกลายเป็นน้ำเเข็งไปเลย เด็ก ๆ มันเล่นกันสนุก จะตักน้ำล้างก้นมันไม่ให้ล้างน่ะ (หัวเราะ) แกล้งทำให้น้ำแข็งซะ
       ถาม :   ฝึกกสิณกับฝึกอานาปานสติอย่างไหนเร็วกว่ากันครับ ?
       ถาม :  จริง ๆ แล้วฝึกกสิณมันมีภาพเป็นเครื่องจูงใจจะกำหนดได้ง่ายกว่า อานาปานสติเรากำหนดรู้ตามลมไปใช่ไหม ? บางทีรู้สึกว่ามันไม่เห็นภาพไม่เห็นอะไร สำหรับบางคนแล้วมันจะไม่ตรงกำลังใจเขา เพราะฉะนั้นต้องดูว่าตัวเองถนัดอย่างไหน   ถ้าเราถนัดอย่างไหนอย่างนั้นเราจะได้เร็ว    ดังนั้นถามว่าอันไหนมันจะได้ผลเร็วกว่ากันหรือว่าคล่องตัวกว่ากัน   ก็ต้องลองดูว่าเราชอบเราถนัดแบบไหน
       ถาม :    สมมุติว่าได้มาแล้วเสื่อมเร็ว  ? 
       ถาม :   ได้มาแล้วเสื่อมเร็วก็ต้องหัดให้ให้คล่องตัว  ถ้าใช้จนคล่องตัวนึกเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น  โอกาสเสื่อมยากยกเว้นเราไปใช้ผิด    ใช้ผิดประเภทโดนลงโทษคิดอยากจะช่วยเขาอยู่เรื่อย     
              พวกเราส่วนใหญ่แล้วมันติด ...ใช่ไหม ? นิสัยเห็นเขาแล้วอดสงสารไม่ได้ เห็นเขาลำบากโดยไม่ได้ดูซะก่อนว่าเขาลำบากเพราะทำกรรมอะไรมา ถึงเวลาก็ลุยไปช่วยเลยมันก็เป็นการฝืนกฏของกรรม ถ้าฝืนกฏของกรรมวิชาเสื่อมไปจนกว่าจะรวบรวมกำลังใจได้ใหม่อีก การใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาสำคัญตรงต้องยอมรับกฏของกรรม ตราบใดที่จิตยังไม่ยอมรับกฏของกรรมจริง ๆ มันจะต้องไปฝืนนี้เราไม่สามารถใช้ได้เต็มที่หรอก
              บางคนก็แปลกใจขนาดฝึกกสิณมาแท้ ๆ แต่ใช้ได้นิดเดียว คือ ถ้ายังไม่ยอมรับกฏของกรรมจริง ๆ ใช้ยาก โดยเฉพาะพวกฤทธิ์พวกอภิญญาสำหรับนักปฎิบัติแล้วนะ ท่านให้ใช้ส่วนของธรรมะเท่านั้นไม่ใช่สำหรับตัวเอง ตัวเองต้องยอมรับกฏของกรรมเป็นปกติจึงสามารถเข้าถึงมรรคผลได้
       ถาม :    แสดงว่าใช้กรรม ...?
       ถาม :    จริง   ๆ  แล้วก็คือว่า มีหรือไม่มีมันก็เท่ากันนั่นแหละ มีมันดีตรงที่กำลังใจมันเข้มแข็งทำให้อาศัยกำลังตัวนั้นตัดกิเลสได้ง่ายแต่ ถ้าเผลอก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น 
       ถาม :    เทวดาที่แปลงร่างเป็นคน...  ผมได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าถ้าเกิดเทวดาแปลงร่างเป็นคนจะไม่กะพริบตา  ?
       ตอบ :  อย่าเพิ่งไปเชื่อตามนั้น เขาจะตามทันความคิดของเราทั้งหมด เคยเห็นแล้วนั่งคุยดันอยู่ด้วย แต่ว่าเราคิดจะไปจ้องตาเขา เขารู้ทันความคิดของเราบางทีเขากะพริบตาล้อเอาซะด้วย แต่ถ้าเผลอจริง ๆ นี่เขาไม่ได้กะพริบตาหรอก หลวงพ่อท่านบอกพอเขาไปกันหมดแล้ว ท่านบอกเอ็งโง่ดีมาก มันนั่งจ้องเป๋งไม่ได้กะพริบตาสักคนเสือกไม่ดูอยู่ด้วยกันวันหนึ่งกับคืน หนึ่ง ตอนที่พระองค์ที่   ๑๐ เขามาในลักษณะองครักษ์คือคอยป้องกันอันตราย เสร็จแล้วพออยู่ในเหตุการณ์มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะพูดจะคุยจะสนุกสนานอะไรก็เห็นท่านแค่ยิ้ม ๆ หน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยก็คิดว่าอีตา ๒ องค์นี่เส้นมันลึกจัง มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่
              แล้วก็มีบางช่วงที่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านถูกคนรายล้อมมาก ๆ ท่านก็หลบไป หลบไปในลักษณะที่ว่าอย่างกับหายไปจากที่นั่นน่ะ แล้วบางทีพอท่านเรียกก็โผล่มาจากหลังต้นไม้เหมือนอย่างกับตัวเองอยู่หลัง ต้นไม้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี ๆ เพิ่งจะโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อหลักสูตรนี้ว่าจะไม่ กะพริบตา เขารู้ทันความคิดของเรา ถ้าตั้งใจไปจ้องว่ากะพริบตาหรือเปล่า ? เดี๋ยวก็กะพริบตาให้ดูหรอก เทวดาเก่งหลอกสนิทแท้เลย พ่อก็โดนหลอก ลูกไม่โดนหลอกก็เกินไปเนอะ บางทีเจอแล้วไม่รู้เป็นส่วนใหญ่
              ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะใช้กำลังของท่านนี่บังคับคล้าย ๆ กับว่าบล็อกให้เราเป็นไปตามความต้องการของท่าน นั่งคุยกันอยู่เป็นวันไม่ได้นึกสงสัยเลยน่ะ แต่ตอนไปนี่สงสัย แต่ของอาตมาเองนี่ขนาดเขาไปยังไม่สงสัยเลยน่ะ คือว่าตอนกลับนี่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านนั่งคู่กับคนขับ อาจารย์ประเสริฐ  เกษตรเอี่ยม   ท่านขับรถให้   รถก็เป็นโตโยต้า   RT ๑๐๐  เล็กกระเปี๊ยกเดียว   แล้วก็หลวงพี่สมานใหญ่ท่าน นั่งอยู่ตรงกลางเบาะหลัง อีก ๓ ท่านก็ยัดกันอยู่เบาะหลังเหมือนกัน นั่งเข้าไปได้ยังไงเบาะหลัง ๒ คนก็แน่นแล้ว มันยัดเข้าไป ๔ คนน่ะ เราเห็นหลวงพี่สมานนั่งอยู่องค์เดียวปรากฏว่ายายติ๋วเพื่อนกันเขาบอกว่าก็ นั่งด้วยกันนั่นแหละ ๔ คน เอากับพ่อสิ เลยแปลกใจก็ถามหลวงพ่อทีหลัง หลวงพ่อบอกว่าเขาเห็นเอ็งโง่มากก็พยายามแสดงให้รู้ยังเสือกไม่สงสัยอีก ข้องใจมากไปถามหลวงพี่สมานใหญ่บอกหลวงพี่ครับทั้ง ๓ คนนั่นเขานั่งไปกับหลวงพี่จริง ๆ เหรอครับ บอกเออจริงว่ะ บอกหลวงพี่คิดให้ดี ๆ นะครับ รถของอาจารย์ประเสริฐมันคันกะเปี๊ยกเดียวนั่ง ๒ คนก็แน่นแล้วมันยัดเข้าไปได้ยังไงตั้ง ๔ คน ท่านบอก เออ จริงว่ะ นั่งหลวม ๆ สบาย ๆ มันจะไม่สบายยังไงเห็นนั่งอยู่คนเดียว
              นั่นน่ะหลอกได้สนิทดีแท้ ๆ เลย ทุกวันนี้ยายติ๋วเขาคุยได้เต็มปากเต็มคำว่าเทวดานะเหรอ ฉันนั่งคุยได้เป็นวัน ๆ เลย เอากับแม่สิ จริงของมันเถียงไม่ได้ด้วยมันนั่งคุยเป็นวันเลย เราเองก็ทะเลาะกับพระองค์ที่ ๑๐ ใช่ไหม ? ของเขานั่งคุยกับลูกศิษย์พระองค์ที่ ๑๐ ยังดีไม่เผลอขอลายเซ็นมา
                ก็ตอนแรกคนขออนุญาตถ่ายรูปแล้วพระองค์ที่  ๑๐  ท่านไม่ให้ถ่าย     พอเจ้าเพิร์ล    ชื่อจริงเขาชื่อสรัญญา   แสงหิรัญ    ลูกของพี่อ้อย    ปาริชาต  แสงหิรัญ  ที่ใช้นามปากกาว่า   สุนิสา   วงศ์ราม   เขียนในโลกทิพย์ เจ้าเพิร์ลเขาขอถ่ายไอ้เราก็สงสารน้องผู้หญิงตัวเล็กของเราขอถ่ายทั้งที เดี๋ยวมันหน้าแตกก็เลยช่วย พอท่านถามว่าถ่ายไปทำอะไรส่วนใหญ่คนอื่นตอบไม่ได้ก็เลยตอบแทน ขออนุญาตตอบแทนน้องนะครับ ถ่ายไปเป็นอนุสสติครับ ท่านบอกเออ .. ถ้าอย่างนั้นถ่ายได้ ติดแต่หลวงพ่อท่านห้ามเผยแพร่ ท่านบอกว่าถ้าคนเห็นแล้วเคารพแล้วเชื่อก็เสมอตัว ถ้าเขาปรามาสแม้แต่คำเดียวมันเท่ากับว่าหานรกให้เขาน่ะ ใครมันจะไปเชื่อคนหนุ่ม ๆ อย่างนั้นอายุจะเป็นร้อย ๆ ปี
       ถาม :    ป่าหิมพานต์มีจริงหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :   มีจริง  ๆ   หิมะ   แปลว่า  หมอก  วานะ   คือ  ป่า  ป่าที่มีหมอกลง ป่าไหนที่มีหมอกลงถือว่าเป็นป่าหิมพานต์ทั้งนั้น    ป่าหิมพานต์ในความหมายของเราก็คือป่าที่เชิงเขาพระสุเมรุ นั่นมันเป็นสถานที่กึ่งแดนเทวดาแล้ว มีจริง ๆ จ้ะ คือ คล้าย ๆ กับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้คล้าย ๆ กับวนอุทยานของโลกมนุษย์เรานี่แหละ ประกอบไปด้วยสิ่งพิลึกพิลั่นอะไรต่าง ๆ ซึ่งเป็นทั้งเทวดาหรือว่าเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ก็มี พวกเดรัจฉานกึ่งทิพย์นี่เขาสร้างบุญใหญ่มาแต่ว่ากรรมหนักก็ยังมีอยู่เลยยัง อยู่ในเขตของเทวดาจริง ๆ ไม่ได้ เขาจะมีเขตเฉพาะของเขาอยู่ ถ้านับภพภูมิของเราแล้วก็เป็นภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าเนื่องจากความเป็นทิพย์สามารถบิดเบือนแปลงกายอะไรก็ได้หลายอย่าง อย่างพวก ครุฑ พวกนาค เหล่านี้เป็นต้น บางทีของเราเองยังอยากเห็นอะไรพิลึกพิลั่นท่านก็แสดงให้เห็น
       ถาม :    แล้วเดินไปได้ไหมครับ ?
       ตอบ :  ได้อยู่ แต่ว่ามันมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือต้องหาคนนำทางที่พาไปได้ อย่างที่ ๒ ต้องได้อภิญญาห้า ถ้าได้ไม่ถึงก็เสร็จ
       ถาม :    ถ้าได้ทั้ง  ๒  อย่าง  ?
       ตอบ :  อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปได้แล้ว คือถ้าหากมีผู้นำทางก็เจ้าของถิ่น ไม่ต้องมากหรอกเอาแค่แถว ๆ กลางเขาพระสุเมรุหรือยอดเขาก็ได้เขาพาเราไปได้แล้ว จะไปเอามักกะลีผลหรือไง ? ถามหาเขาหิมพานต์
       ถาม :    คือพอดีผมฟังเรื่องพระเวสสันดรนะครับ     ในเรื่องบอกว่าท่านเดินไปที่...
       ตอบ :    นั่นเขาวงกต    ไม่ใช่หิมพานต์   คนละที่กัน   พระเวสสันดร   ๑๓   กัณฑ์   จะมีอยู่ที่เขาวงกตเรียกมหาพน   จุลพน    คือ   ป่าใหญ่กับป่าเล็กไง     จะบรรยายสภาพป่า
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.7.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ
          ถาม :   แล้วเอาสิ่งของอะไรไปนี่จะตกนรกไหมครับ ?
       ตอบ :  ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ คราวนี้มันมีวิธีคือว่าไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้หรือว่าไม่มั่นใจว่าจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าให้ตั้งใจทำการชำระ หนี้สงฆ์ การชำราหนี้สงฆ์ทำในลักษณะที่ว่าเมื่อถึงเวลาครบปีก็นำเงินจำนวนหนึ่งจะเป็น ร้อยบาท สองร้อยบาท เท่าไหร่ก็ได้ไปหาพระที่อยู่วัดใกล้ที่สุดจะได้สะดวกในการทำบุญ บอกกับท่านว่าอันนี้เป็นการชำระหนี้สงฆ์เช่าที่ เราถือว่าเราเช่าที่นั้นอยู่เราขอชำระหนี้ด้วยเงินจำนวนนี้ ทำอย่างนั้นทุกปี บางทีที่อยู่แล้วหาความเจริญไม่ได้ทีหลายที่นะ
              ทางด้านหลังวัดท่าซุงไม่ทราบว่าโยมเคยไปกันไหม ? หลังวัดท่าซุงก่อนหน้านั้นมันเป็นที่วัดทั้งหมด แต่ว่าเจ้าอาวาสรุ่นเก่า รุ่นหลวงหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ มานี่ท่านขายที่กันครึกครื้นไปเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้คลองยางฝั่งตรงข้ามที่ลุงมาโบสถ์อยู่กลางนาเลย โบสถ์เก่าแล้วสถานที่เหล่านี้นั่นน่ะเขาทำนากัน แต่ละปี ๆ ถามเขาว่าได้ผลไหม ? เขาบอกว่าไร่หนึ่งได้ไม่ถึง ๒๐ ปี๊บ ปี๊บนี้ไม่ใช่ข้าวสารนะ ... ข้าวเปลือกแล้วคิดดูว่าสีเป็นข้าวสารมันจะเหลือสักเท่าไหร่ ? ทำยังไงก็ไม่พอกิน คือว่าเอาที่สงฆ์ไปทำกิน แล้วอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าทำประโยชน์เพื่อตนเอง โดยไม่มีส่วนของสงฆ์เลย ไม่ได้ทำการชำระหนี้สงฆ์อย่างนี้มันไม่เจริญ หลวงพ่อท่านแนะนำให้ทำอย่างนี้ว่าถ้าหากเราไม่มั่นใจหรือว่าเชื่อแน่ว่าที่ นั้นเป็นที่สงฆ์แน่นอนให้ทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ทุกปีนะ ถ้าอย่างนี้จะปลอดภัย
              ส่วนใหญ่แล้วบางทีนี่วัดวาอารามจมหายไปเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั้นเป็นที่วัดมาก่อน อย่างนี้ถ้าเราไม่มั่นใจทำกินเท่าไหร่มันก็ไม่เจริญ ลองทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ดู มันปลูกข้าวต้นสูงไม่ถึงคืบเราเดินไปบิณฑบาตทางด้านหลังวัด ... สายหลังวัดวีรกรรมในการบิณฑบาตเยอะมากเลย พาพระใหม่ ๆ ไป บางทีพระท่านก็เอาแต่ภาวนา บอกให้ระวังงู พอบอกระวังงูมันก็เลี้ยวฟึ่บ ! หลบ นึกว่างูอยู่บนถนน งูเขียวหางไหม้มันพันอยู่บนต้นไม้เบียดงูซะเกือบร่วง เราบอกให้ระวังแทนที่จะหลบมันเดินชนเลย สายหลังวัดไปดู ๆ เขาทำไร่นาแล้วน่าสงสาร
       ถาม :    แล้วไม่มีใครบอกเขาหรือครับ  ?
       ตอบ :  บอกเขาก็คงไม่เชื่อเพราะว่าคนแถวนั้นมันกินวัดเป็นปกติ สมัยหลวงพ่อไปอยู่ใหม่ ๆ นี่ศาลาเหลือแต่ไม้พื้นกับเสา ข้างฝามันแงะขายหมด เป็นการร่วมมือกันดีมากเลยระหว่างผู้ที่ครองวัดกับผู้ที่อยู่นอกวัดไปกันได้ ลื่นมาก ขนาดไม้ฝามันแงะหมดลำบากมาก
               มาตอนหลังหลวงพ่อพยายามซื้อที่ขยายไปเพื่อที่จะเอาวัดเก่าคืนมา     คราวนี้ซื้อไปซื้อมาแล้วถ้าหากว่าโยมไปสังเกตจะเห็นว่าระหว่างตรงที่สวนไผ่  ๖   ไร่ครึ่งกับพระจุฬามณีจะ มีที่หนึ่งที่เป็นเวิ้ง ที่หลวงพ่อท่านทำทางเดินทำห้องพักล้อมเอาไว้ทิ้งเอาไว้ ด้านนั้นติดอยู่ด้านหน้าที่แถวนั้น จริง ๆ เขาขายไร่หนึ่งประมาณ ๘,๐๐๐ บาท ตรงนั้นพอเห็นหลวงพ่อซื้อที่ตรงโน้นซื่อที่ตรงนี้มันโก่งราคาเอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านก็เลยอ้อมหลบมันทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้มันลงนรกให้พอ (หัวเราะ) ไร่ละ ๘,๐๐๐ เอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ มันบอกว่าหลวงพ่อรวย....มันว่างั้น น่ารักไหม ?
               ขนาดที่ฝั่งตรงกันข้ามที่โรงเรียนอยู่ต้องให้นายดาบตระกูลไป ซื้อ นายดาบตระกูลเป็นคนพื้นที่นั้น แล้วซื้อนี่เขาก็ถามว่าหลวงพ่อซื้อหรือว่าดาบซื้อ ดาบก็ยืนยัน เฮ้ย!ผมซื้อเอง ผมเกษียณแล้วผมจะได้ทำกินบ้างอะไรบ้างนั่นน่ะค่อยถูกหน่อย บอกว่าหลวงพ่อซื้อหลังแอ่นเหมือนกัน อุตสาห์สร้างโรงเรียนจนเสร็จนั่นน่ะ นายดาบตระกูลช่วยซื้อให้ คนแถวนั้นแปลกมากเลยเรื่องจะทำบุญไม่มีหรอก มีแต่กินวัด
       ถาม :    ตอนนี้ยังมีไหมครับ ...  อย่างพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิด  ?
       ตอบ :   แบ่งภาคคงไม่ต้องแบ่งหรอกจ้ะ    ถ้ามาคงมาเลย    คำว่าพระนารายณ์ที่เป็นตำแหน่งไม่ใช่เป็นชื่อเฉพาะ   ดังนั้นใครมากินตำแหน่งนั้นเขาเรียกว่าพระนารายณ์    ปัจจุบันเขาเรียกท่านพี่มเหสักข์ นอกจากท่านจะทำหน้าที่พระนารายณ์แล้วท่านยังเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณีด้วย ถ้าหากท่านพ้นตำแหน่งไปองค์อื่นก็มาเป็นเขาเรียกพระนารายณ์เหมือนกัน ถ้ามาเกิดคงมาเกิดเลยเรื่องแบ่งภาคไม่มีหรอก แบ่งไม่ออก (หัวเราะ)
              พราหมณ์เขาเก่งเขาตั้งเทวดาได้ คือเขาจะกำหนดว่าเทวดาชื่อนั้นมีความสามารถอย่างนั้น ๆ เสร็จแล้วทางข้างบนเขาก็ลำบากกันเพราะว่าการเคารพเทวดาตรงตามคำสอนของพระ พุทธเจ้าคือเป็นเทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาท่าน แต่ว่าพรหามณ์เขาไม่ระลึกถึงความดีในลักษณะที่ว่าเทวดาดีอย่างไรแล้วทำตาม เช่น เทวดาต้องมี หิ ริ รู้จักละอายชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล หรือว่าอย่างน้อยต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นพรหมซึ่งถือว่าอากาศเทวดา ชั้นสูงขึ้นไปอย่างน้อยต้องได้ฌานสมาบัติเขาไม่ได้ดูตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำตามตรงจุดนี้ เขาใช้วิธีอ้อนวอนร้องขออย่างเดียว แต่ว่าก็ยังเป็นการยึดในเทวตานุสสติ ในเมื่อเป็นการยึดความดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
              พระอินทร์ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าเทวดาก็เลยต้องหาผู้มารับตำแหน่งรับหน้าที่ ตามนั้น ผู้ใดมีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขากำหนดไว้ เอ้า ! เขาว่าไว้ต้องเก่งอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น มีความสามารถด้านนั้นก็หามารับตำแหน่งไป
               อย่างพระศิวะของเขาในปัจจุบันก็คือท่านปู่พระอินทร์รับไปอย่างนั้น      พระแม่อุมาเทวี ก็ท่านย่ารับไป แต่ว่าประวัติเทวดาของเขาแต่ละอย่างพิลึกพิลั่นบางทีกิเลสท่วมหัวยิ่งกว่า มนุษย์อีก เช่นพระอินทร์ไปเป็นชู้กับเมียพระฤๅษีก็มี....อะไรอย่างนี้ ของเขาสนุกมากประวัติเทวดาแขกลองไปอ่านดู
       ถาม :    พระพิฆเณศวร์ล่ะครับ ?
       ตอบ :   พระพิฆเณศวร์ก็มีจ้ะ   ปัจจุบันนี้ก็คือท่านปิยะสิกขะรับ ตำแหน่งอยู่ เป็นตำแหน่งเฉย ๆ ใครมารับตำแหน่งก็เรียกพระพิฆเณศวร์ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้มีเศียรเป็นช้างอย่างที่เห็นนะ ที่เป็นช้างนั่นตามตำราพราหมณ์เขาว่าไว้ จริง ๆ แล้วท่านหล่อกว่าชายงามจักรวาลอีก เรื่องนี้โกหกหรือเปล่าพระก็เล่าไปเรื่อยนะ จับผิดไม่ได้โกหกมันไปเรื่อยอย่างนั้นพูดหน้าตาเฉยอย่างกับรู้จักกันดี (หัวเราะ) ว่าไปเรื่อยเปื่อย... มันเป็นตำแหน่งของเขา
       ถาม :   ผมอ่านหนังสือของหลวงพ่อเจอเรื่องที่ว่าพรหม  เทวดาที่ท่านจะหมดบุญท่านจะมาเลือกเกิด   อันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านเลือก....?
       ตอบ :   จริง  ๆ แล้วมีเยอะจ้ะ   แต่ไม่ใช่ว่าก่อนจะหมดบุญแล้วเลือกลงมา   ถ้าหากว่าตัวเองจะหมดบุญแล้วโอกาสเลือกมันน้อย   ส่วนใหญ่จะลงมาก่อน   ลักษณะลงมาก่อนนี่จะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่ให้การรับรองด้วย  การรับรองนั้นก็คือรับรองว่าถ้าลงมาเกิดแล้วอย่างน้อยต้องกลับไปดีเท่าเดิมหรือว่าดีกว่าเดิมถึงยอมให้ลงมา   
              คราวนี้บรรดาท่านที่ลงมาเกิดลักษณะอย่างนี้ท่านจะเลือกที่ของท่านได้ แต่ว่ากติกามันจะบังคับอยู่เพราะฉะนั้นบางคนนี่อยากจะทำชั่วใจแทบขาดมันทำ ไม่ได้หรอก มีอะไรบางอย่างคอยบีบคอยกันคอยกีดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็คือท่านข้างบนซึ่งรับรองอยู่นั้นท่านต้องคอยบังคับให้เราอยู่ในช่อง ออกนอกเมื่อไหร่ท่านเดือดร้อนด้วยเพราะท่านเป็นคนรับรองให้ เพราะฉะนั้นบางทีเขาด่าเราว่าชิงหมาเกิดนี่จริง ๆ แย่งเขาเกิดจริง ๆ ไม่ใช่คิวของตัวเองหรอก แต่ถ้าหากว่ารอจนหมดบุญแล้วส่วนใหญ่จะลงอบายภูมิไปเลย เพราะฉะนั้นก็ลงมาก่อนหมดบุญดีกว่า
       ถาม :    ส่วนใหญ่นี่รวยหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :   ไม่แน่   เพราะว่าส่วนใหญ่จะเลือกในสถานที่ ๆ ว่าเมื่อถึงวาระหนึ่งในชีวิตนั้น ๆ จะมีโอกาสได้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมบุญของตนให้กลับไปในที่เดิม หรือว่าได้ที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นบางทีถึงแม้จะลำบากหน่อยแต่ถ้าหากว่าลงมาแล้วจะมีความเจริญก้าว หน้าในการปฎิบัติสามารถส่งตนให้ขึ้นสู่ภพภูมิขึ้นไปท่านก็ยอมลำบาก แต่จะรู้ล่วงหน้าเลย....
              ตอนนั้นก็จะสัญญิงสัญญากันดิบดีประเภทเหนื่อยแค่ไหนลำบากแค่ไหนก็จะทน...ลง มาลำบากหน่อยบ่นฉิบหายเลย (หัวเราะ) ใครบ่นมั่ง ? ลำบากแค่ไหนก็จะทน .. ลำบากหน่อยบ่นกันจัง น่ารักไหม ? ตอนที่จะลงมายังไงก็ได้ใช่ไหม ? รับปากได้ทุกเรื่อง พอลงมาหน่อยนี่แหม... บ่นซะไม่มี
       ถาม :   แล้วอย่างถ้าเรากำหนดว่าจะลงมาตำแน่งของคน  ๆ นี้นี่ครับ  คือมันต้องคงลงอยู่แล้วหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ตำแหน่ง  ?
       ถาม :    คือใครจะเป็นใครอย่างนี้น่ะครับ  ?
       ตอบ :  อ๋อ...ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ คือตัวเราลงมาเกิดก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากคนอื่นมาเกิดก็จะเป็นไปตามบุญตามบาปของเขาน่ะ ผลกรรมที่เขาทำมาแต่ว่าอย่างน้อยส่วนดีคือผลของศีลห้าเก่าอย่างน้อยต้องมี     ถ้าหากว่าไม่มีนี่เกิดเป็นคนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคนต้นทุนของเราพอแล้ว คืออย่างน้อยต้องเคยมีศีลห้าทรงตัวมาก่อน แล้วผลของศีลห้าก็ส่งผลไห้เราเกิดมาเป็นคน คราวนี้ว่าเกิดมาชาตินี้เราจะขาดทุนหรือว่าจะกำไรอยู่ที่ว่าเราจะรักษามัน ต่อได้แล้วทำดีได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็กำไร ถ้าทำไม่ได้ก็ขาดทุน
       ถาม :    แล้วที่เขาลงมารู้ไหมครับ  ?
       ตอบ ที่ลงมาส่วนใหญ่จะลืม แต่ว่าลงมาแล้วทำไปทำมาถึงวาระหนึ่งถึงเวลาหนึ่งก็ได้ทำหน้าที่ ๆ ตัวเองต้องการบางทีก็ไปรู้เอาตอนข้างบน    แต่ว่ามีบางราย   อย่างนางปติปูชิกาที่เป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร   ลงมาจุติแล้วท่านจำได้    ในเมื่อท่านจำได้ท่านทำความดีทุกครั้งท่านจะอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดในสำนักของสามีตนเอง   
              ในเมื่ออธิษฐานอย่างนี้แฟนก็คิดว่า แหม... มันรักเราจังเลยกี่ครั้ง ๆ ก็อธิษฐานขอให้เกิดด้วยกัน ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านตั้งใจจะไปเกิดกับมาลาพาลีเทพบุตร แล้วพออายุ ๕๐ กว่าก็ป่วยตายไปเกิดที่เดิม อันนั้นเขารู้....แต่ท่านที่ไม่รู้ จนถึงวาระสุดท้ายก็มี พอกลับไป อ๋อ.... ที่แท้เราลงไปเพื่ออย่างนี้ ๆ แต่ทำไปซะเต็มที่แล้วล่ะ
       ถาม :    .......................................
       ตอบ :   ไม่เหมือนกัน   บางทีเขาใช้คำว่า อสงไขยกัป (หัวเราะ) ยิ่งหนักเข้าไปอีก หนึ่งกัปนี่ระยะเวลาตามอรรถกถาท่านเปรียบเอาไว้ ท่านบอกว่ามีภูเขาหินล้วนลูกหนึ่ง กว้างหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์มัน ๔๐๐ เส้น ๔๐๐ เส้นก็ ๘,๐๐๐ วา เส้นหนึ่งเท่ากับ ๒๐ ว่า เท่ากับหนึ่งหมื่นหกพันเมตร เท่ากับสิบหกกิโลเมตร กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑๖ กิโลเมตร
              ร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดทีหนึ่ง หนึ่งร้อยปีมาเช็ดทีหนึ่ง... จนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งกัป ไหวไหม ? เมื่อไหร่มันจะสึกสักคืบหนึ่งเราก็รอไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ถูทุกวันมันยังไม่อยากจะสึกเลย หรือไม่ท่านก็เปรียบว่ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ยาว สูง ด้านละ หนึ่งโยชน์เหมือนกัน เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไว้จนเต็ม ใครเคยเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดบ้าง มันยังกับผงดำ ๆ น่ะ ร้อยปีหยิบออกเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผัดกาดหมดถังเมื่อไหร่ได้เวลาหนึ่งกัป นับอยากจัง
       ถาม :    อย่างเทวดา...  สมมุติว่าเทวดาท่านอยู่หลายกัปแล้ว   การที่ท่านจะลงมาเกิดอย่างนี้   หมดบุญมันก็นานมาก  ?
       ตอบ :  ที่อยู่กันหลายปกัปจริง ๆ ต้องพรหมน่ะจ้ะ ถ้าเทวดาทั่ว ๆ ไป อายุท่านราว ๆ อย่างเช่น ๑๐๐ ปีทิพย์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ๔๐๐ ปีทิพย์อย่างนี้เป็น ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ทำบุญในลักษณะที่ว่าอยู่มานาน เช่นบุญบวชพระ อานิสงค์การบวชพระจะอยู่ได้ ๖๐ กัปนะ พอครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ท่านก็จุติ คือเคลื่อนจากจุดนั้นแล้วก็เกิดใหม่ซ้ำที่เดิมเลยจนกว่าจะครบ ๖๐ กัป หมดบุญอันนั้นถึงจะต้องไปตามภพภูมิของบุญของบาปที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าอย่างนั้นน่ะได้
                ถ้าจะนับอายุเทวดาจริง  ๆ  ที่ถึงขนาดกัปนี่ส่วนใหญ่จะเป็นอรูปพรหม    โดยเฉพาะเนวะสัญญานาสัญญายตนพรหม คือชั้นที่ ๒๐ เขาเรียกชั้นที่ ๒๐ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ อันนั้นอายุจะแปดหมื่นมหากัป... อยู่กันลืมไปเลย แบบเดียวกับท้าวผกาพรหมท่าน สร้างบุญไว้มาก พอจุติแล้วท่านก็เกิดเป็นพรหมใหม่ จุติแล้วเกิดเป็นพรหมใหม่จนกระทั่งท่านเองสัญญาวิปลาส คือเข้าใจผิดคิดว่าพรหมน่ะสูงสุดไม่มีวันตาย
              ความจริงแล้วก็คือท่านหมดอายุของความเป็นพรหมในช่วงนั้นพอดีจุติใหม่ท่านก็ เป็นพรหมใหม่ อานุภาพบุญมันยังเหลืออยู่มาก ก็ซ้ำที่เดิมไปเรื่อย ๆ จนพระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปแก้ให้ถึงกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ ไม่อย่างนั้นท่านก็ยังเชื่อว่าพรหมสูงสุด
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/13.8.html

ถาม :   แล้ว  ๑๐๐  ปีทิพย์นี่เที่ยบกับปีมุนษย์ยังไงครับ  ?
       ตอบ :   แต่ละชั้นละเอียดประณีตต่างกัน     อย่างจาตุมหาราชนี่วันหนึ่งของเขาเท่ากับ   ๕๐   ปีมนุษย์     แล้วก็คูณไปเป็นเดือน   เป็นปี   ของชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งเท่ากับ   ๑๐๐  ปีมนุษย์   ก็ใช้เวลาวัน  เดือน  ปีคูณไปเหมือนกันนะ    ของชั้นยามาก็  ๒๐๐  ปีมนุษย์   ชั้นดุสิต   ๔๐๐   ปีมนุษย์   อย่างนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวไปเรื่อย    ทำไมมันนานแท้  ...ความจริงแป๊บเดียว   มันหนึ่ง  ๑๐๐  ปีมนุษย์ใช่ไหม  ?   
                ส่วนนรกนี้สัญชีพนรกที่ ถือว่าเป็นขุมที่ตื้นที่สุด ๑ วันนี่ ๙ ล้านปีมนุษย์ ที่ทนทุกข์ทรมานก็เลยทำให้รู้สึกว่าระยะเวลามันนาน ตอนเราทุกข์มาก ๆ เวลามันไม่ผ่านไปสักทีใช่ไหม ? แต่ขณะเดียวกัน ตอนที่เรามีความสุข .. แหม...แป๊บเดียวเอง มันก็ลักษณะเดียวกัน ที่ ๆ มีความสุขอายุก็เลยสั้นกว่า ทั้ง ๆ มีความทุกข์รู้สึกว่าอายุมันยาวเหลือเกิน
       ถาม :  ตอนเช้านี่เราใส่บาตรให้กับพระสงฆ์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในอารมณ์ แต่เราเป็นคนใส่บาตรแล้วตั้งอารมณ์อยู่ในวิปัสสนานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้ พระภิกษุสงฆ์รูปนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  จะเป็นอะไร เขาก็เป็นพระเหมือนเดิม (หัวเราะ) อันนี้พูดเล่นนะ พระที่จะออกบิณฑบาตจริง ๆ แล้วถ้าตามแบบหลวงพ่อนี่ตอนเช้าท่านให้ทำกรรมฐานให้เต็มที่สูงสุดเท่าที่ตัว เองทำได้ แล้วออกบิณฑบาต
                 โดยเฉพาะตอนอยู่วัดท่าซุง วันไหนพออารมณ์ใจรักษาไม่ดีแทบไม่อยากจะออกบิณฑบาตเลย เนื่องจากว่าบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ใส่บาตรบางทีท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มี เยอะ เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี อย่างนี้ถ้าเราตั้งอารมณ์ไม่ดีนี่ไม่อยากจะไปรับบาตร ... อายโยมเขา! เพราะฉะนั้นถ้าทำตามแบบหลวงพ่อก็คือต้องตั้งอารมณ์ให้สูงสุดเท่าที่ตัวเองทำ ได้
              แต่ถ้าในลักษณะที่ว่าเราตั้งอารมณ์ของเราสูงสุดเอาไว้แล้วพระองค์นั้นท่าน ไม่ได้ตั้งใจอะไรมาเลย ตั้งท่าจะมากินจริง ๆ คือจะมารับบาตรจากเราอย่างเดียวจริง ๆ นี่ สิ่งที่จะเป็นโทษกับท่านก็คือตรงที่ว่าของที่เราตั้งใจเจตนาไว้บริสุทธิ์ วัตถุทานที่ได้มาบริสุทธิ์ ตัวเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วผู้รับไม่บริสุทธิ์ นั่นแหละโทษจะเกิดขึ้นกับท่าน ขณะเดียวกันบุญของเราก็พร่องไปส่วนหนึ่ง เพราะว่ามันต้องครบทั้ง ๔ ส่วนถึงจะได้บุญ ๑๐๐ % เต็ม
              คราวนี้บุญของเราพร่องไปส่วนหนึ่งของท่านเองก็เกิดโทษขึ้น ที่หลวงพ่อท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่ากินก้อนเหล็กแดง ๆ ซะยังดีกว่า กลืนลงไปแล้วมันร้อนมันก็ตายไปเลย มันหมดเรื่องหมดทุกข์แป๊บเดียว แต่ที่ทำตัวประเภทนั้นน่ะลงอเวจีมหานรกท่านบอกว่ามันต้องทนทรมานนานเหลือ เกิน ท่านถึงได้สอนพระไว้ว่ากินก้อนเหล็กเเดงซะยังดีกว่าไปกินข้าวของโยมทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังใจไม่ไดี ตอนนั้นท่านยังคงไม่เป็นอะไรหรอก มันต้องรอตอนตายก่อนนะ
       ถาม :  หลวงพ่อฤๅษี ท่านเล่าว่ามีนักปฎิบัติท่านหนึ่งมาปฎิบัติไม่กี่ครั้งแล้วก็มีครอบครัวแล้ว มีบุตรแล้ว ท่านบอกว่าอารมณ์ของท่านไม่มีอารมณ์ห่วงสามีและลูก และหลวงพ่อท่านก็บอกอารมณ์เฉยตรงนี้เลยสังขารุเปกขาญาณมาแล้ว อยากถามว่าอารมณ์นี้อยู่ในขั้นไหนครับ ?
       ตอบ :  บอกไม่ถูกถ้องถามคนปฎิบัติเอง นี่เขายังไม่ตายมั้งมีใครได้ข่าวบ้างมั้ย ? พี่รัชนีเจอครั้งสุดท้าย ๑๐ กว่าปีมาแล้ว พี่เขายังไม่ตายหรอกต้องถามเขาเอง (หัวเราะ) เรื่องของการปฎิบัตินี่เราพยากรณ์ไม่ได้ โดยมารยาทแล้วเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์เดียวหลวงพ่อเตือนนักเตือนหนา ฉะนั้นเรื่องของอารมณ์ปฎิบัติอันนี้บอกไม่ถูก ถ้าหลวงพ่อไม่บอกก็แปลว่าไม่ต้องรู้ต่อไป
       ถาม :  แล้วมีเรื่องเล่าว่ามีคนหนึ่งครับ ไปติดอยู่ในเกาะแห่งหนึ่งแล้วได้พบกับผู้หญิงทุกคืน แล้วก็ได้เสพสมกันทุกคืนแล้วตอนเช้าก็หายไป จนวันหนึ่งชายคนนั้นก็ได้พบว่าตอนกลางวันหลังเขาลูกนั้นผู้หญิงคนนั้นได้ กลายร่างและถูกสุนัขกัดกินเนื้อและเป็นอย่างนี้ทุกวัน อยากถามว่าผู้หญิงคนนั้นได้ทำกรรมอะไรจึงต้องเป็นอย่างนี้ครับ ?
       ตอบ :    กรรมอย่างนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทำอะไรไว้นะ   แต่ว่าตัวท่านเองนะเป็นเปรตเรียก เวมานิกเปรต เวมานิกเปรตนี่มันจะมีเวลาหนึ่งที่ตัวของตัวเองจะอยู่ในลักษณะเหมือนกับ เทวดาแต่ขณะเดียวพออีกช่วงหนึ่งก็ต้องได้รับการทุกข์ทรมานกันตามสภาพของเปรต เขา คน ๆ นั้น บังเอิญเขาได้ทำความแต่ว่าเขาทำโดยไม่เจตนาไม่ได้เต็มใจ จิตใจที่ตั้งอยู่ในบุญของเขาก็ไม่มี
              แต่เนื่องจากความดีที่เขาทำมามันมีอยู่ก็เลยทำให้เขาได้ไปลักษณะที่ว่ามี เมียเป็นเวนิกเปรต คืออย่างน้อย ๆ ก็คือในสภาพความเป็นทิพย์ในความเป็นเทวดาเป็นอะไรของเขานี่มันก็จะดีกว่า เป็นมนุษย์ปกติอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งคืออย่างที่ว่ากลางคืนจะมา แต่ว่ากลางวันต้องกลับไปกลายเป็นเปรตโดนลงโทษอยู่ในลักษณะเดิมของเขา
              อันนั้นจะเป็นพวกที่อยู่ในเปติวิสัยภูมิจำพวกหนึ่งเขาเรียกเวมานิกเปรต เปรตพวกนี้ถ้าหากว่าสร้างบารมีไว้ดี ๆ นะอย่างเช่นว่าเลี้ยงสัตว์อะไร แต่ว่าต้องไปกักขังเขา ถึงจะประกอบไปด้วยความเมตตาก็จริงท่านทั้งหลายเหล่านี้สวยเหมือนเทวดาเลย มีวิมานทองมีอะไรอยู่ แต่ออกจากวิมานไม่ได้ เพราะว่าโทษที่ไปกักขังเขาไว้ถึงจะทำด้วยความเมตตาก็เหอะ
              แต่ว่าถ้าหากว่าเคยทำบุญอื่นไว้ไอ้ผลบุญจากการที่เมตตาสงเคราะห์สัตว์นี่ก็ จะส่งผลให้เขาได้รับบุญของเขาไปเลย แต่ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นไว้เลยนอกจากการเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังอย่างเดียวจะ เกิดเป็นเวมานิกเปรต จะเป็นจำพวกเดียวกับเวมานิกเปรตบางพวกก็ลงโทษตัวเองอย่างเช่นว่ามีสภาพร่าง กายสวยงามอย่างกับเทวดาแต่ท่านใช้คำว่ายังไง.... ตามที่บรรยายไว้มีเล็บเหมือนกับเคียวอันแหลมคมเกี่ยวเนื้อตัวเองกินลักษณะ นั้นเหมือนกัน อันนี้เขาเป็นเปรต ถ้าหากว่าถามว่าทำบาปอะไรบอกไม่รู้เหมือนกัน ต้องถามคนทำเขา
              สมัยหนึ่งที่พระโมคคัลลาน์ในวิมานวัตถุ ท่านไปเจอเปรตไปเจอเทวดาท่านจะถามเขาที่ละคน ๆ ไปเลยว่าไปทำอะไรมา ดูก่อนเทพธิดาเธอมีรัศมีกายอันงามโสภายิ่งนัก ประกอบไปด้วยวิมานแก้วสามประการ ห้าประการ เจ็ดประการ ก่อนหน้านี้ที่เธอเป็นมนุษย์เธอได้ทำบุญอะไรไว้ ? เขาถึงจะบรรยายให้ฟังทีละอย่าง ๆ ฉะนั้นพวกนี้ต้องไปเจอเองแล้วต้องถามเอง
              มีรายหนึ่งเป็นต้องใช้คำว่าเป็นเปรตเกิดจากความขี้เหนียวหวงที่ พระธุดงค์ไปเจอ พระธุดงค์หลงป่าอยู่ตั้ง ๓-๔ วันไปเจอเข้า เจอชายคนนั้นไถนาอยู่ ไถไปไถมาก็แปลกใจ เอ้! อยู่ในป่าลึกขนาดนี้มีคนมาทำนาหรือ... ก็ถามเขาว่าทำไมถึงมาไถนาอยู่ที่นี่ เขาบอกเขาไม่ได้อยากทำอยากทำหรอกเขาโดนบังคับ เพราะว่าเขาเป็นเปรต ในเมื่อเขาเป็นเปรตแล้วเขาหวงที่เขาไปไหนไม่ได้เขาเลยต้องเดินวนไถนาอยู่ อย่างนั้น แล้วพระท่านก็ถามว่าแล้วจะออกไปทางไหนทางของท่าน ๆ หลง เขาก็อุตสาห์ชี้ทางให้คงจะได้บุญส่วนนั้นช่วยไปสักหน่อยละมั้ง ต้องถามเขาเองเลย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :  สมัยก่อนมีพระภิกษุณีรูปหนึ่งนะครับได้ถูกข่มขืนตามเนื้อเรื่องกล่าวว่า หลังจากที่ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว ถูกธรณีสูบแผ่นดินแยกออกแล้วตกลงในอเวจีมหานรก อยากจะถามว่านรกจริง ๆ อยู่ใต้ดินหรือเปล่า ?
       ตอบ :   ไม่ได้อยู่ใต้ดินนะ   อันนั้นคือนันทมานพ   นันทมานพนี่จริง  ๆ แล้วเขาเป็นคนที่แอบรักนางอุบลวรรรณาเถรีมา ก่อน คราวนี้นางอุบลวรรณาเถรีท่านสร้างบารีมีเอาไว้มาก ในเมื่อท่านสร้างบารมีเอาไว้มาก ท่านเบื่อหน่ายในวัฎสงสารก็ไปบวชจนกลายเป็นภิกษุณีอรหันต์ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ด้วย
              แล้ววันหนึ่งนันทมานพนี่แอบซ่อนอยู่ใต้เตียงเวลาท่านออกบิณฑบาต พอกลับเข้ามาก็ข่มขื่นท่านลักษณะกฎของกรรมนี่บทมันจะบดบังขึ้นมาถึงมีฤทธิ์ มีอะไรขนาดนั้นก็ตามมันก็เรียกว่าเผลอได้ ไม่ได้ดูไม่ได้อะไรอันตรายก็เกิดขึ้น ตรงนี้เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ข้อหนึ่งว่าห้ามภิกษุณีอยู่ใน เสนาสนะที่ปราศจากภิกษุในขณะเดียวกันก็ห้ามร่วมอยู่กับภิกษุณีคืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีพระอยู่ด้วย อยู่ในเขตบริเวณวัดเดียวกันแต่ว่ากันเป็นส่วนหนึ่งต่างหากออกไป เพื่อว่าคนจะได้ไม่ได้แอบทำร้ายได้
              คราวนี้ที่นันทมานพพอทำเขาทำกรรมหนักขนาดนั้นพอเขาก้าวลงเตียงมาแผ่นดินมัน แยกออกแล้วหนีบเขาตาย ไม่ได้ตกนรกในลักษณะที่ว่าลงไปนรกอยู่ใต้ดิน แต่ว่าพอเขาตายจิตเขาลงอเวจีมหานรกไป
       ถาม :  ที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่อเมริกาครับ มีเครื่องบินหรือว่าเรือหายไปหลายลำแล้วเขาบอกว่าบางคนก็กลับมาก็บอกว่าหลุด ไปอีกมิติหนึ่งอันนี้จริงเท็จแค่ไหน ?
       ตอบ :  จริงแท้อย่างไรไม่รู้ แต่ที่รู้มาส่วนหนึ่งก็คือว่าตรงจุดนั้นมันจะมีมนุษย์ต่างดาวมาทดลองอาวุธ ของเขา หรือว่ามาจับคนไปเพื่อที่จะเอาไปตรวจสอบเอาเอาไปทดลองเหมือนกับเอาสัตว์ไป ทดลองอย่างนั้นน่ะ แต่ว่ามีหลายครั้งที่เขาทดลองเสร็จแล้วเขารีบเอามาคืน วิทยาการเขาก้าวหน้ามาก บางดวงนี่ล่วงหน้าเราเป็นแสน ๆ ปี เขาถึงขนาดเครื่องเขาตรวจสอบได้ว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความโลภ เขาเลยต้องรีบเอามาคืน สะใจมาก
              แล้วขณะเดียวกันบางพวกที่เขามาน่ะเขามาทดลองอาวุธของเขา ไอ้พวกทดลองอาวุธนี่โหดไปหน่อยเพราะว่าอาวุธรังสีของมันนี่อย่างเรือสร้าง ด้วยโลหะลำโต ๆ มันฉายเเว็บเดียวกลายเป็นไอเลย ไอ้พวกนั้นไม่ได้แต่เรือหายไปอย่างเดียวคนตายด้วย แต่ถ้าพวกที่โดนจับไปทดลองถึงเวลาแล้วเขาเอามาคืน ถ้าถึงเวลาเอามาคืนเขาคิดว่าเขาหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง
       ถาม :  หลวงพ่อฤๅษีได้อธิบายถึงปฎิปทาเรื่องปฎิปทาท่านผู้เฒ่า ท่านบอกว่าได้พบหลวงพ่อเนียม เมื่อวันแรกที่ได้ทำการสอนกรรมฐานท่านบอกว่าได้พบหลวงพ่อเนียมในห้องและมี แสงสว่างเหมือนเปิดไฟเป็นสิบสิบดวง แล้วหน้าตาของหลวงพ่อเนียมเปลี่ยนไปเหมือนคนหนุ่มวัยกว่าที่พบครั้งแรกเป็น เพราะอะไรครับ ?
       ตอบ :  พระท่านสงเคราะห์ลักษณะนั้นแปลว่าพระท่านคุมอยู่ เวลาพระท่านคุมลงมานี่บางทีเปลี่ยนหมดของหลวงพ่อนี่สังเกตได้เลย ใครถ่ายรูปไว้บ่อย ๆ จะเห็น บางทีก็สีหนึ่ง บางทีก็แก่เชียว บางทีก็หนุ่มฟ้อเลยนะ แต่ละครั้งไม่เหมือนกันลักษณะเดียวกันนะ อีกองค์หนึ่งที่ชัด ๆ แต่ตอนนี้มรณะภาพไปแล้วคือหลวงพ่อดาบส หลวงพ่อดาบสที่พบท่านครั้งสุดท้ายนี่ห้องไม่ได้เปิดไฟไม่ได้อะไรกุฎิของท่าน ก็เล็ก ๆ นะสว่างยังกับไฟอย่างนี้ เรามอง ๆ เสร็จบอกโยมรีบไปทำบุญเถอะลักษณะนี้จะไปแล้ว วันที่พระสวยที่สุดมีอยู่   ๒   วัน   วันที่บรรลุมรรคผลกับวันที่นิพพาน
       ถาม :  คำว่าบุพเพสันนิวาส ที่ท่านบอกว่าประกอบด้วย ๒ ประการคือเคยเกื้อกูลกันในชาติปางก่อน และได้เกื้อกูลกันในชาตินี้ อยากจะถามว่าคนที่ต้องแต่งงานกันนั้นได้ถูกกำหนดแล้วด้วยกฎของกรรมหรือเปล่า ครับ ?
       ตอบ :   มีทั้งเก่าแล้วก็ใหม่  ของเราคำถามเมื่อกี้นี่มันผิดนะคำว่า บุพเพสันนิวาส ปุบพะปุพเพคือแต่ปางก่อน สันนิวาสคืออยู่ร่วมกัน ลักษณะนี้ตัวบุญบารมีที่สร้างรวมกันมา ถ้าหากมันหลายชาติต่อหลายชาติรวมกันเวลาเจอกันปุ๊บสัญญาเก่ามันจะกลับมา มันจะวิ่งเข้าหากันอย่างกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็กเลย ที่เขาเรียกว่ารักแรกพบอะไรนั่นนะ
                ถ้าเป็นพวกนี้นี่หลีกกันไม่พ้นถึงเวลาต้องแต่งกันแน่   แต่ว่าอีกประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่าเกื้อกูลกันในปัจจุบันนั้นก็คือว่าสงเคราะห์ช่วยเหลือกันในชาตินี้   มันเป็นการสร้างกรรมใหม่   บุพเพสันนิวาสนั่นกรรมเก่า ว่าทั้ง ๒ ประเภทถ้าหากว่าเกื้อกูลกันในปัจจุบันพอเห็นอกเห็นใจก็แต่งกันเป็นเนื้อคู่ กันไป ทั้ง ๒ ประการมันมีทั้งเก่าแล้วก็ใหม่ถ้าบุพเพสันนิวาสนี่เป็นเก่า ถ้าเกื้อกูลกันในปัจจุบันนี้ใหม่เริ่มต้นนับหนึ่ง
       ถาม :    ก็คือเปลี่ยนแปลงได้  ?
       ตอบ :   เปลี่ยนแปลงได้ไม่มีปัญหาอะไร  เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกไม่มีคู่อย่าไปเชื่อมันนะไอ้หมอดู   ไม่มีคู่ก็หาในชาตินี้สิ
       ถาม :    ถ้าเกิดว่าเราไปชอบเขาแล้วเขาไม่ชอบเรา ?
       ตอบ :   ก็อย่าไปยุ่งกับมันก็หมดเรื่อง  (หัวเราะ)
       ถาม :    ถือว่าไม่ได้มีเวรต่อกันใช่ไหมคะ  ?
       ตอบ :   ก็จะไปมีอะไรล่ะ   ไม่ไปผูกพยาบาทคาดพยาเวรไม่ได้ไปสร้างกรรมใหม่อะไรมันก็ไม่มีปัญหา 
       ถาม :   การใช้ลูกประคำในการทำกรรมฐานใช้อย่างไรครับแล้วภาวนาว่าอย่างไร ?
       ตอบ :   ใช้นับ (หัวเราะ)
       ถาม :   คนทั่วไปทำได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :  คือถ้าหากว่าเอาตามตำรานะ ตามตำรานี่เขาจะตั้งนะโม ๓ จบใช่มะ แล้วก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระนังคัจฉามิ อิติปิโส สวากขาโต สุปฎิปันโน คือ เป็นการถวายบูชาต่อพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วจะใช้คาถาหรือคำภาวนาอย่างไรใช้ตาม นั้นแล้วแต่ อันนี้เท่าที่เคยใช้มานี่สารพัดคาถา ๑๐๘ เลย
              คือมีอยู่สมัยหนึ่งหลวงพ่อท่านสงเคราะห์คล้าย ๆ กับว่าจะตึงกำลังใจของเราให้ต้องภาวนาท่านก็จะบอกคาถาบทโน้นดีนะไอ้หนู คาถาบทนี้ดีนะไอ้หนู เอาไปภาวนานะลูกนะให้เวลา ๓ เดือน อย่าลืมรักษาศีล ๕ ด้วยนะ ถ้าไม่รักษาศีล ๕ คาถาจะไม่มีผล เราเองก็จำเป็นต้องรักษาศีล ๕ ไปนั่งภาวนา ท่านก็ยังอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงนะลูก ไม่งั้นมันจะเกิดผลช้า กว่าเราจะรู้ท่านหลอกให้เราภาวนาก็ติดไปแล้ว พอทำ ๆ ได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานไปรายงานท่าน ๆ ก็ เอ้อ ๆ ดี ๆ ลูกเดี๋ยวเอาบทนี้ไปบทนี้มันเป็นอย่างนี้ไปลองทำดู เพราะฉะนั้นที่ใช้มามันใช้มาเยอะ สารพัดคาถาเลย
       ถาม :  คือท่องทีละคำแล้วก็นับ ?
       ตอบ :   แล้วแต่เราบางทีก็ใช้ทั้งบทต่อเม็ดหนึ่ง บางทีก็ใช้คำละเม็ดก็ได้ แล้วแต่เราถนัด 
       ถาม :   คือช่วยให้จิตทรงตัวดีขึ้น  ?
       ตอบ :   มันเป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะด้วย   คือสติมัน รู้อยู่ว่าตอนนี้เรานับใช้มั้ย มันจับอิริยาบถอยู่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวนะ ตอนนี้รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่นะ ตอนนี้รู้คำภาวนาอยู่นะ มันแยกจิตรับรู้หลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้เอาไปทำเถอะไม่ได้ว่าอะไรหรอก
       ถาม :  การที่เราให้จิตพูดคุยกับเทวดาท่านนะครับ   ท่านจะรับทราบความคิดเราหรือเปล่า  ? 
       ตอบ :  ไม่ต้องห่วงเลยแหละ คุณไม่ต้องคุยเขาก็รู้อาตมาโดนต้อนซะอยู่หมัด เราคิดท่านรู้หมดจะทำอะไรท่านรู้หมด บางทีเจตมาจะเเกล้งท่านไม่ได้รับประทานหรอกท่านรู้ก่อน คือของท่าน ๆ เป็นทิพย์ทั้งกายไม่ได้เป็นทิพย์แต่จิตเฉย ๆ ฉะนั้นสิ่งที่ท่านรู้มันเหมือนอย่างกับเรียนจบปริญญาเอกแล้วมาดูเด็กอนุบาล มันหลอกอย่างงั้น เด็กอนุบาลหลอกด๊อกเตอร์ได้คงจะเก่งนะ
       ถาม :  อย่างตอนเช้าที่เราสวดมนต์ไหว้พระแล้ว
       ตอบ :  ทราบอยู่แล้ว   ท่านยินดีโมทนาด้วยอยู่แล้วในความดีของเราโดยเฉพาะท่านที่อยู่ในเขตนั้นเอาแน่  ๆ  ละ 
       ถาม :   ความต้องการจริง  ๆ   ในการทำกรรมฐานอยู่ที่อัปปนาสมาธิ หรือที่อุปจารสมาธิ   แล้วเวลาใช้ทิพจักขุญาณเราใช้อุปจารสมาธิ  ?
       ตอบ :   อันนี้มันต้องถามว่าเป็นความต้องการของใคร   ถ้าหากว่าโดยปกติทั่ว  ๆ  ไป   การทำสมาธิใคร  ๆ  ก็หวังซึ่งอัปปนาสมาธิยิ่งได้ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี
                คราวนี้ว่าการใช้อุปจารสมาธิ เพื่อใช้ทิพจักขุญาณนั่นนะมันเป็นกำลังที่เบาอยู่   บางทีกำลังของเรามันน้อยมันทำให้ใช้ตัวนิวรณ์หรือว่ากิเลสต่าง  ๆ   มันแทรกได้ง่ายทิพจักขุญาณมันจะมัวไป   แต่ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิคือกำลังของฌานสี่นี่กำลังใจของเรามันตั้งมั่น มั่นคงแล้วความชัดเจนเเจ่มใสจะมีมาก   
              ยิ่งโดยเฉพาะถ้าหากว่าท่านที่ทำกสิณอย่างอาโลกสิณ ก็คือว่ากสิณแสงสว่างนะ กสิณแสงสว่างนี่ท่านใช้ลูกแก้ว โอทาตกสินหรือกสิณสีขาว เตโชกสิณหรือว่ากสิณไฟ เหล่านี้จะเป็นทิพจักขุญาณโดยตรง ถ้าเป็นกำลังของฌานสี่นี่ชัดแจ๋วเหมือนกับนั่งคุยกันตรงหน้าเลย เพราะฉะนั้นการใช้การใช้อุปจารสมาธินี่กำลังมันน้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้กำลังให้สูงกว่านั้นหน่อยหนึ่งบางทีกำลังใจมัน ฟุ้งซ่านอยู่ อำนาจของนิวรณ์อะไรต่าง ๆ มันทำให้จิตมัว
       ถาม :   ถ้าสมมุติตัวเองเห็นได้ชัดเจนอย่างนี้ก็ถือว่าฌานสี่  ?
       ตอบ :   มันจะเป็นสี่หรือเป็นอะไรก็ช่างเถอะ    แต่ว่าส่วนใหญ่มโนมยิทธินี้เข้าใจไว้เลยนะ   มโนมยิทธินี่ตอนเห็นนี่เป็นอุปจารสมาธิแต่ถ้าคุณไปได้นี่ฌานสี่แน่  ๆ เลย    อันนี้กล้ายืนยันใครมันจะว่าครึ่งกำลังไปเต็มกำลังอะไรช่างมัน   ตอนเห็นนี่อุปจารสมาธิแต่ถ้าคุณไปได้ละก็ฌานสี่แน่นอน
       ถาม :   ไปได้หมายความว่าไปทั้งตัว  ?
       ตอบ :  อย่างเช่นว่าเราตั้งใจจะไปกราบพระไม่ว่าจะไปที่จุฬามณีหรือว่าจะไปบนนิพพาน อะไรนี่เป็นกำลังของฌานสี่แน่ไม่จำเป็นจะต้องไปทั้งตัวหรอกไปแค่ใจนั่นน่ะ
       ถาม :   ทำยังไงก็มองไม่เห็นนะคะ    มืด....?
       ตอบ :  ไม่ต้องเห็นจ้ะ เขาไม่ได้ใช้ตา เขาใช้ใจ เหมือนยังกับตอนนี้เรานึกถึงภาพบ้านชัดเจน ตามันเห็นซะเมื่อไหร่นึกออกมั้ย ก็เห็นลักษณะนั้นน่ะ เราต้องเข้าใจตรงจุดนี้ให้ได้ถ้าใช้สายตาชาติหน้าโน่นเหอะกว่าจะได้เห็น ชาติหน้าถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาหรือไปอยู่บนนิพพานนี่มีทิพยเนตรแล้วคราวนี้เห็นแน่   
       ถาม :   ท่านสอนว่าตอนเช้าให้ตั้งอารมณ์อยู่ในอากิญจัญญายตนฌานพอดีเดือนที่แล้วหลวงพี่บอกว่า   ถ้าเกิดเป็นอรูปฌานต้องทำอารมณ์ฌานสี่ไปแล้ว
       ตอบ :  นั่นหมายถึงว่าการฝึก แต่คราวนี้ของเรามันไม่ได้เต็มที่ก็ได้คือตัวอรูปฌานนี่มันจะเป็นอารมณ์คิด อารมณ์พิจารณาเหมือนกับคล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ ตัวอากิญจัญญายตนฌาน ที่หลวงพ่อท่านบอกให้ตั้งอารมณ์ให้เหมือนนั่นมันเป็นวิปัสสนาญาณ คือท่านต้องการให้เราตั้งอารมณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่มีอะไร เหลืออยู่ คน สัตว์ วัตถุธาตุสิ่งของทั้งหมดในที่สุดก็พังหมดไปม่มีอะไรเหลือได้เลย
              ลักษณะอารมณ์ใจที่ตั้งอยู่นี่มันจะเป็นวิปัสสนาญาณ มันคล้าย ๆ กับอากิญจัญญายตนฌาน เพราะว่ามันคิดแบบเดียวกันแต่ว่ามันไม่ได้ประเภทที่ต้องไปนั่งจับกสิณขึ้นมา แล้วเพิกภาพกสิณแล้วค่อยมากำหนดใจ ถ้าคุณต้องการฝึกอรูปฌานคุณต้องขึ้นด้วยฌานสี่ แต่ลักษณะพิจารณาแบบนี้ใช้ไปเถอะกำลังแค่ไหนก็ใช้ได้
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.2.html

ถาม :    เวลาที่หลวงพี่เล่าเรื่องหรือว่าเล่าสถานที่ต่าง  ๆ  ถ้าเกิดมีคนสามารถเห็นที่หลวงพี่เล่าได้  ?
       ตอบ :   ก็อันนั้นแหละคือตัวทิพจักขุญาณ แล้วก็ตัวมโนมยิทธิละตัวเดียวกันนั่นแหละ เพราะมโนมยิทธิก็คือทิพจักขุญาณเพียงแต่เราจะใช้ทิพจักขุญาณในแง่ไหน ถ้าใช้รู้อดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ   รู้อนาคตเรียกอนาคตังสญาณไง    อันนั้นมันจะเป็นปัจจุบันนังสญาณแล้ว ก็ขณะเดียวกันถ้าระลึกไปในเรื่องย้อนหลังไปนาน ๆ ก็เป็นอตีตังสญาณเหมือนกัน นึกตามไปได้นึกเห็นได้ละดี เพราะอันนั้นเป็นการจับโกหกกันอย่างหนึ่ง พูดไม่จริงภาพที่เราเห็นจะคนละอย่างกับที่เขาเล่า เราจะรู้ได้เลยว่าอันนั้นเขาโกหก
       ถาม :  หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังเรื่องหลวงพี่อสุ่นวัดบางปลาหมอ เวลาท่านสร้างพระอุโบสถท่านเสกใบไม้ให้เป็นปลาแล้วให้คนงานอยากจะเรียนถาม ว่าการเสกใบไม้ให้เป็นปลานี้ใช้กรรมฐานกองไหน
       ตอบ :  อันนี้ต้องเป็นกสิณสิบ ถ้ากสิณสิบชำนาญนี่อธิษฐานธาตุสี่เท่านั้นเอง มันจะปรับธาตุให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าถามว่าใช้กรรมฐานกองใด อย่างน้อย ๆ คุณต้องชำนาญกสิณแล้ว ถ้าไม่งั้นไม่ได้รับประทานแน่ ปลาตัวเดียวก็ไม่ได้หรอก
       ถาม :    พระบรมสารีริกธาตุซึ่งเป็นพระหัตถ์ข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า
       ตอบ :  ไม่เข้าใจคำถาม คือลักษณะว่าต้องเป็นพระหัตถ์ข้างซ้ายด้วย และต้องเป็นของพระพุทธเจ้า ๕ องค์ด้วย สงสัยจะพบยากเพราะพระพุทธเจ้าท่านเพิ่งจะมี ๔ องค์เอง (หัวเราะ) พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าจ้า (หัวเราะ)
       ถาม :  คือ... ผมได้พบที่วัด ๆ หนึ่งครับ มีญาติโยมมาเขาบอกว่ามาที่บ้านแล้วคนนั้นเขาก็เลยเอามาถวายที่วัดแล้วก็ตั้ง เก็บไว้ หรือบอกไว้ว่าข้างไหนของพระพุทธเจ้าองค์ไหน
       ตอบ :   อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันนะเพราะอาตมาคงความสามารถไม่ถึง   แหม..   ต้องเป็นข้างซ้ายด้วยแล้ว   ๕  องค์ด้วย  ลำบากจังเลยกติกาเขา
       ถาม :    แล้ว...ผม ....ไม่กล้าพูดหรือจริง ๆ  แล้ว....
       ตอบ :   อันนี้ไม่ทราบ   คือกำลังใจของเราถ้ายึดมั่นแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม   ถ้านึกเป็นพุทธานุสสติก็ได้เหมือนกันหมดต่อให้เป็นของปลอม   ถ้าเรานึกว่าจริงก็จริง พระท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์เลยนะ   
              เคยยกตัวอย่างที่ลูกชายจะไปค้าขายที่อินเดียแล้วถามแม่ว่าอยากได้อะไร แม่บอกว่าอยากได้พระธาตุเขี้ยวแก้วของพระสารีบุตร ทำอย่างกับซื้อในตลาดได้ใช่มั้ย ? ลูกชายด้วยความรักแม่มาก ไม่กล้าบอกว่ามันหายากหาเย็นเหลือคณาจะไปหาที่ไหน ก็รับปากว่าจะหามาให้ตอนขาหลับไม่รู้จะหายังไง เจอหมาตายพอดี เลยทุบเอาเขี้ยวหมามาขัดซะะขาวจ๋องเลยเอาไปให้แม่ แม่ดีใจอกดีใจใส่ผอบบูชาซะอย่างดีปรากฏว่าคืนนั้นเปล่งรัศมีสว่างไปทั้งบ้าน เลย แม่เขาดีก็ใจ เออ...ลูกอุตสาห์กตัญญูหาของดีที่แม่ต้องการมาให้ ดีอกดีใจบูชาแล้วบูชาเล่า
              ขณะที่ลูกน้ำท่วมปากอกจะแตกตาย บอกไม่ได้ว่าเอาเขี้ยวหมามาให้ คือตัวศรัทธาท่านสงเคราะห์ให้มันกลายเป็นอนุสสติ คือเครื่องยึดถือของเขาไปแล้วนี่ ทีนี้การยึดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการยึดที่ถูกต้องอยู่แล้ว ถึงองค์ท่านไม่สงเคราะห์ เทวดารอบ ๆ ท่านก็ช่วยอยู่แล้วนะเพราะฉะนั้นถ้าเรานึกว่าใช่ก็คือใช่
       ถาม :    วิชาทำฮวงจุ้ยที่คนเขาบอกว่าทำแล้วได้ผล   จริง   ๆ   แล้วได้ผลเพราะวิชาหรือว่าเป็นผลของกรรมครับ  ?
       ตอบ :  ก็ทั้ง ๒ อย่างรวมกัน ถ้าหากว่าเป็นผลของกรรมจริง ๆ จำเป็นต้องรับนี่ต่อให้ใช้ฮวงจุ้ยขนาดไหนก็แก้ไม่ได้ แต่ว่าลักษณะฮวงจุ้ยมันเป็นการคล้อยตามธรรมชาติ เราอย่าลืมว่าโลกเรานี้มีพลังงานอยู่ไอ้ที่เขาเรียกว่า ?พลังงานแม่เหล็กโลก? มันจะมีทิศทางที่แน่นอนเลยว่าประเภทขั้วบวกขั้วลบอยู่ทิศไหน จะเหนือหรือใต้ ในเมื่อมีทิศทางที่แน่นอนก็จะมีเส้นทางเดินที่แน่นอน
                คราวนี้ตำราจีนเรียก  ?ฮวงจุ้ย?  ถ้าหากตำราของมอญเรียก  ? วิชาโลกวิทู? โลกวิทู คือรู้แจ้งในโลก จะรู้หมดนะว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ บริเวณนั้นเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่ถึงจะอยู่ในเขตนั้นโดยที่ไม่ขัดกัน ลักษณะการที่ไปขัดกับพื้นที่ ขัดกับสถานที่มันจะทำให้ร่างกายเกิดไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาได้ แต่ว่าถ้าหากว่ามันเป็นวาระของกรรมจริง ๆ ต่อให้ทำตามทุกอย่างแล้วมันก็หนีไม่พ้นมันต้องรับไป ถ้าหากว่าไม่ใช่วาระของกรรมการคล้อยตามมันก็อาจจะอยู่สุขอยู่สบาย มีความเจริญรุ่งเรืองตามหลักวิชาเขาจริง ๆ วิชาเขาเป็นจริงแต่ขณะเดียวกันถ้าวาระกรรมที่หนักจริง ๆ เข้ามาวิชาก็ช่วยไม่ได้
       ถาม :  นักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน ทำให้มีคนชื่นชอบชื่นชมและสามารถทำให้คนจดจำเพลงหรือว่าผลงานได้เป็นอย่างดี และก็เป็นศิลปินอยู่เป็นระยะเวลานาน จริงหรือไม่ที่กล่าวว่าเวลาตายไปแล้วต้องตกนรกหรือถ้าเขาทำบุญบางอย่างจะพอ ช่วยเขาไม่ให้ลงนรกได้หรือไม่ ?
       ตอบ :   ถ้าไม่มีบุญส่วนใดหนุนเสริมเลย   ลงอเวจีมหานรกแน่นอน    แต่ถ้าหากว่ามีบุญอื่นหนุนเสริมแล้วเกาะบุญนั้นได้    ก็ไปรับผลความดีก่อน เหตุที่เขาต้องลงอเวจีมหานรกเพราะว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมัน ? มายาการ? มันทำให้คนไปยึดติด ก็เลยกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละ อันนี้กลายเป็นสอนให้ยึดทั้ง ๆ ที่เขาเองเขาก็ไม่เจตนาหรอก แต่ว่าเขารู้ว่าการที่เขาทำอย่างนั้นแล้วคนมันจะกรี๊ด ทำอย่างนั้นแล้วคนมันจะชอบใช่มั้ย ? ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเอาไว้แล้วจิตใจไม่หนักแน่นพอในบุญนั้นไม่ได้ยึดเอาไว้ แน่นอนนี่เสร็จ ตัวอย่างในพระไตรปิฎกก็มี พระตาลปุตตคามิณีเถระไง    อันนั้นท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก   
                คราวนี้ได้ไปแสดงที่เมืองสาวัตถีได้ยินว่าพระ พุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ เป็นสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง ท่านเองท่านก็ต้องการที่จะไปถามพระพุทธเจ้าว่าตามที่พระกูลของท่านยึดถือกัน สืบ ๆ มาว่าบุคคลที่สร้างความรื่นเริงบังเทิงใจให้แก่ผู้อื่น หากตายไปแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้วดาวดึงส์ คำว่าเป็นสหาย คือไปเกิดร่วมกัน หมายความว่าจะได้ไปเกิดที่ชั้นดาวดึงส์จริงมั้ย ?
              พระพุทธเจ้าท่านก็ตอบบอกว่า มานะเว ดูก่อนมานพ อย่าให้เราตอบคำถามนี้เลย ท่านก็พยายามตื๊อถามจนวาระที่ ๓ ท่านถึงได้บอกว่า ลงนรกอเวจีมหานรก ท่านนั่งร้องไห้เลยถามว่าจะแก้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องบวชแล้วตั้งใจปฎิบัติท่านก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์ ไป คือถ้าไม่มีบุญอื่นเสริมนี่เสร็จแหง ๆ แต่ถ้าหากว่ามีบุญอื่นแล้วยึดเกาะในบุญนั้นได้ก็ไม่ได้ลงนรกหรอก แต่ว่าตัวกรรมที่ทำก็ไม่ได้หมายความว่าหมดไป มันถึงวาระใดวาระหนึ่งกรรมนั้นมันก็สนองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตะกายไปนิพพานให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด ถามว่าลงนรกจริงมั้ย ? จริงมั่ง ไม่จริงมั่ง (หัวเราะ) ท่านที่ไม่มีบุญเลยก็จริง แต่ถ้าหากว่าท่านที่เกาะบุญแน่นแฟ้นก็ไปตามบุญก่อน
       ถาม :    ถ้าเกิดว่าเราไปเล่นละครแบบว่าของห้างอะไรแบบนี้  ?
       ตอบ :  ก็เล่นไปซิ ถึงเวลาก็มาตั้งหน้าตั้งตา ทาน ศีล ภาวนาของเราต่อไป แล้วเราเล่นเราก็ไม่ได้เจตนาให้เขามายึดมาเกาะอะไรกับเรานั่นเล่นเพราะเสีย ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่อยากไปเต้นแร้งเต้นกาซักกะหน่อยเขาบังคับ
       ถาม :  การที่มีแม่ชีท่านหนึ่งได้เล่าเรื่องว่า เรื่องพิธีกรรมที่ว่า ได้นำข้าวและภัตตาหารไปถวายแก่พระพุทธเจ้าที่พระนิพพานทำได้จริงหรือครับ ?
       ตอบ :  อันนี้ใครที่ได้มโนมยิทธิทำได้ทุกคน แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันจริง ๆ คือลักษณะของความเป็นทิพย์เรานึกจะให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น นึกให้มีภัตตาหารที่เป็นทิพย์ขึ้นมาก็มีขึ้นมา นึกจะถวายเป็นพุทธบูชาก็ถวายไป ท่านไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นพุทธานุสสติ    
                ขณะเดียวกันถ้าหากว่า   จิตไปที่นิพพานจริง  ๆ  มันก็เป็นการตัดกิเลสในตัวอยู่แล้วด้วย   บุคคล ที่ได้มโนมยิทธิสามารถทำอย่างนี้ได้ทั้งนั้นเพียงแต่ว่าที่ท่านบอกเอาไว้ใน ลักษณะที่ว่า ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้บุญมหาศาล ไม่มีบุญอะไรเปรียบเทียบได้อีกแล้วอะไรอย่างนั้น ถ้าหากว่าในลักษณะอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าบุญอื่นที่เหนือกว่านั้นยังมีอยู่   อย่างเช่นว่าท่านบอกว่า   สัพพะทานังธรรมทานัง   ชินาตัง  ?การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง? ลักษณะนั้นมันเป็นโปรโมตอย่างหนึ่ง เจตนาประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนเชื่อถือแล้วก็ขณะเดียวกันก็เพื่อตัวเอง ก็ดูเจตนาเขาด้วย แต่ว่าถ้าถามว่าลักษณะอย่างนั้นทำได้มั้ย ? คนที่ได้มโนมยิทธิทำได้ทุกคน
       ถาม :  การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์วิชา เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?
       ตอบ :    อันนี้ไม่ต้องห่วง   จริง  ๆ   แล้วที่โบราณใช้คำว่า  ?ไม่เชื่ออย่าลบหลู่? นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างมันก็เหมือนกับมีด ๒ คม ไปแตะด้านคมเข้ามันก็หวังว่ามือขาด จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเราไม่เชื่อแล้วเงียบ ๆ ไว้มันยังปลอดภัยกว่า เพราะเรา ๆ ก็รู้อยู่จริง ๆ แล้วที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้เลยว่า ธรรมะบริสุทธิ์มันเหมือนกระดูกทั้งแท่ง   แทะกันไม่เข้าหรอกมันต้องใส่เนื้อใส่น้ำมั่ง    ตัวคนพูดเองมันเองมันก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก   
              เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือดีแต่ติคนอื่น ปราศจากการเตือนตัวเอง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไม่เป็นรู้จักแต่ว่าคนอื่นเขา รังแต่จะสร้างโทษให้แก่ตนเองมากขึ้น ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าท่านคงไม่สั่งให้พระอานนท์ทำ ในรัตนสูตรบทนั้นเขาเอาไว้ทำน้ำมนต์โดยเฉพาะที่ขึ้น  ?ยานีธะภูตานิ   สมาคะตานิ?     เพราะว่า  ตอนนั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคระบาดขึ้นก็ทูลเชิญพระพุทธเจ้าไป    พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ไปทำน้ำมนต์ไปพรม   พวกอมนุษย์ต่าง  ๆ หนีกันชนิดที่ว่ากำแพงเมืองพังไปแถบ     ถ้า ไม่มีผลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่สั่งให้ทำ ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาไม่ครบยังไม่พอใจคอยังคับแคบอีกต่างหาก เจออะไรที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเองว่าไว้ก่อน  ใช้คำพูดหนักไปมั้ย ?
       ถาม :   เมืองโบราณหรือสถานที่ต่าง  ๆ เมื่อเวลาผ่านไประยะเวลานาน  ๆ  มีพื้นดินปกคลุม
       ตอบ :  ทำไมล่ะ ? ก็เป็นความปกติของเขา อย่าลืมว่าพวกบรรดาต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ซากพืช ซากสัตว์เหล่านี้มันทับถมกันไปมันก็กลับกลายเป็นดินไปเรื่อย ๆ มันก็หนาขึ้นเรื่อย ๆ ที่ท่านบอกว่า ๑ พุทธันดร แผ่นดินจะหนาขึ้นโยชน์หนึ่ง ช่วงระยะพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งถึงอีกองค์หนึ่งน่ะ แผ่นดินจะหนาขึ้น ๑๖ กิโลเมตร มันนานขนาดนั้น
       ถาม :    งั้นมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เหรอคะ ?
       ตอบ :  มันก็ใหญ่ขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันมันเองมันก็สึกหรอทรุดโทรมไปเหมือนกัน อย่าลืมว่าตอนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกมันก็บรรลัยไปพักหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ กินอ้วนขึ้นมาใหม่ ยังดีนะ มันอ้วนได้ผอมได้
       ถาม :    แล้วโลกมันจะไม่เป็นอย่างที่เขาบอกเหรอคะ  ที่ดาวเก่า  ๆ  อยู่ไปกลายเป็นดาวแคระขาว  ?
       ตอบ :  นั่นเขาว่า เราต้องเอาตามพระพุทธเจ้าว่า ที่เขาว่ามันเป็นแค่ทฤษฏี มันเป็นการคิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาเองเขาก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นใช่มั้ย ? มันเป็นทฤษฏีเฉย ๆ ทฤษฏีบิ๊กแบง ก็ดีอะไรเหล่านั้น อ่านเอามันก็พออย่าเพิ่งเชื่อมัน ถ้าจะเชื่อ เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ต้องสลายมันอยู่แน่ ๆ แต่ขณะเดียวกันท่านก็ไม่ยืนยันว่ามันไม่ต้องสลายไปเลย มันก็สลายตัวของมันอยู่ตลอดเวลา แต่มันสลายไม่หมดถึงเวลามันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ สภาพมันอนิจจัง คือไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
       ถาม :   การตั้งอารมณ์มโนมยิทธิอยู่   มีพระนิพพานเป็นอารมณ์  ถ้าเกิดบรรลุธรรมเป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาบรรลุธรรมแล้วจะได้อภิญญาเลย  ? 
       ตอบ :  ของเก่ามีอะไรจะได้ตามเดิม ถ้าของเก่าคุณมีวิชาสามมาคุณก็จะได้อย่างนั้น ถ้าได้อภิญญามาก็ได้อภิญญาหกไป ถ้าหากว่าเคยมีพื้นฐานของสมาบัติ ๘ มาก็จะได้ปฎิสัมภิทาญาณไป ถ้าหากว่าบรรลุปุ๊บของเก่ามันตามมาหมด เหตุ ที่ต้องตามมาตอนนั้นเพราะว่าส่วนใหญ่เหล่านี้จะเป็นความสามารถพิเศษที่มัน เกินมนุษย์ทั่ว ๆ ไป จำเป็นต้องให้เรายอมรับกฏของกรรมจริง ๆ   
              ถ้าเรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมนี่ความสามารถพิเศษเหล่านี้มันช่วยคนได้มาก เราจะไปฝืนกฎของกรรมช่วยเขา ในเมื่อถ้าเราไปฝืนกฏของกรรมมันก็วุ่นวาย ก็เลยต้องบังคับว่าต้องยอมรับกฏของกรรมแล้วถึงจะได้ความสามารถนี้ไป
       ถาม :  พระเจ้าพิมพิสารมีภรรยาชื่อพระนางเทวีได้ตั้งครรภ์เมื่อแพ้ท้องพระเจ้าพิมพ์ สารถามว่าอยากกินอะไร แต่นางไม่ยอมบอกจนร่างกายผ่ายผอม สุดท้ายจึงยอมบอกว่าอยากกินโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร อยากจะถามว่าทำไมแพ้ท้องจึงอยากกินโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะอะไร ?
       ตอบ :  มันกินพิลึกพิลั่นมากกว่านั้นอีก ลักษณะอาการแพ้ท้องมันเป็นปกติของเขา แต่ละคนแพ้แล้วมันอยากของไม่เหมือนกัน ในเมื่อเขาอยากกินอย่างนั้นหาให้เขากินเป็นอันหายอยากไป ถ้าถามว่าทำไม ต้องไปถามคนแพ้ว่าทำไมถึงอยากกินอย่างนั้น แต่เขาให้สังเกตว่าถ้าหากว่าอยากกินดินนะบางคนนี่ฟาดดินสอพองหมดเป็นถ้วย ๆ เลยเขาบอกว่าถ้าหากว่าอยากกินดินส่วนใหญ่เป็นพรหมมาเกิด ถ้าหากว่าอยากกินพวกผลไม้ส่วนใหญ่เป็นเทวดามาเกิด ถ้าหากอยากกินของสดของคาวหรือพวกเลือด ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์นรกมาเกิดสะใจมั้ย ? (หัวเราะ) อันนี้ร้ายมากนะ มันจะมากินเลือดพ่อเลย (หัวเราะ)
       ถาม :   ถามว่าจริง  ๆ  แล้วเด็กที่เกิดนี่เป็น....? 
       ตอบ :   หมายความว่าไง
       ถาม :    เป็น  เป็นใครครับ ?
       ตอบ :   พระเจ้าอชาติศัตรูฆ่าพ่อเลยล่ะ  (หัวเราะ)   ตอนกินเลือดนั่นยังดี  (หัวเราะ)   โตขึ้นมันฆ่าพ่อเลย  (หัวเราะ)
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.3.html

ถาม :   การท่องคาถานี่เป็นธรรมทานมั้ย   ถ้าเกิดเราท่อง   จิต  คำนึงนี่.....(ฟังไม่ชัด)  ......มีผลยังไง  ? 
       ตอบ :   เฮ้ย    คุณท่องคาถาเป็นธรรมทาน  ไม่เข้าใจคำถามคุณว่ะ  ?
       ถาม :   อ๋อ    คือเรื่องมันเป็นอย่างครับ  คือผมท่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทีนี้สังเกตว่ารู้สึกว่าจะผิด...(ฟังไม่ชัด)...?
       ตอบ :  ทำไมล่ะ  ?  เรื่องของคาถาถึงผิดถ้าเข้าใจเราเชื่อมั่นมันมีผลตามนั้น  นะโมพุทธายะ    กลายเป็นนะโมพุทธาเเยะ เขายังเสกหินมากินได้เลย เคยได้ยินเรื่องนี้มั้ยล่ะ ? เออนั่นแหละ หลวงตาออกธุดงค์กลางป่า อาจารย์ก็สอนให้ภาวนานโมพุทธายะ หลวงตาก็หนังสือหนังหาไม่เคยเรียนมาใช่มั้ย ? ฟังไปฟังไปพออยู่ป่าเผลอกลายเป็นนะโมพุทธาแยะ แต่แกก็แยะไปแยะมากำลังใจมันมั่นคงนี่ มันอภิญญาเกิด แกก็จับหินขึ้นมาอธิษฐานให้กลายเป็นอาหารก็เป็นอาหาร ให้กลายเป็นขนมก็กลายเป็นขนม ให้กลายเป็นวุ้นก็กลายเป็นวุ้นกินได้สบายเลย
              ทีนี้ไปเจอพระนักเรียนมันเข้าไปธุดงค์เหมือนกัน ไปถึงก็อยู่สบายกินสบายอยากกินอะไรหลวงตาก็ทำให้ ทำไปทำมาก็สงสัยก็ถามอาจารย์ครับ อาจารย์ใช้คาถาอะไรถึงเสกหินเป็นอาหารกินได ้เขาบอกใช้นะโมพุทธาแยะ พระนักเรียนเขาก็รู้ว่ามันผิด มันไม่ใช่ครับหลวงตา มันต้องนะโมพุทธายะ ผมเรียนมาไอ้นะโมพุทธาแยะเนี่ยไม่ใช่แน่ เล่นเอาหลวงตาหมดกำลังใจ เสกหินเมื่อไหร่มันก็กลายเป็นหินเหมือนเดิมอดทั้งคู่ ต้องตะกายกลับวัดมา มาถามอุปัชฌาย์ใหม่ อุปัชฌาย์ก็บอก คุณ...ไอ้นะโมพุทธาแยะนั่นมันตัวเมียมันใช้ได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ดีใช้ตัวผู้นะโมพุทธายะดีกว่าเยอะเลย เกิดความมั่นใจขึ้นมาอีก
                อีทีนี้แยะก็ได้ยะก็ได้ ถ้าไม่ได้อาจารย์เก่งนี่เจ๊งเลยใช่มั้ย ? เขาหมดความมั่นใจไปแล้ว ถ้าคุณมั่นใจถึงคาถาผิดก็ใช้ได้ผล แต่ถ้าหากว่าคุณขาดความมั่นใจมัวแต่ไปสงสัยอยู่ผลมันจะน้อย เพราะฉะนั้นก็เปลี่ยนเอาตัวที่เรามั่นใจ
       ถาม :  อยากจะขอคาถาสะเดาะกุญแจไว้ เผื่อว่า.............(ฟังไม่ชัด).....?
       ตอบ :  คาถาสะเดาะกุญแจในหนังสือประวัติหลวงปู่ปานก็มี ก็ใช้นะมะพะทะ ถอยหลังก็ใช้ทะพะมะนะ แต่เคล็ดลับมันอยู่นิดเดียวนะ คืออยู่ที่อย่าคิดว่ามันเป็นกุญแจหรืออย่าคิดว่ากุญแมันล็อคอยู่ ลองกับลูกบิดก็ได้ ตอนที่คุณเปิดลูกบิดคุณรู้ว่าลูกบิดมันไม่ได้ล็อค คุณบิดมันสบายใจยังไงตอนที่มันล็อคแล้วคุณก็ว่าคาถาทำใจมันให้ได้อย่างตอน นั้น เช๊ะเดียวหลุดเลย
       ถาม :  การท่องคาถาเป็นกรรมฐาน เวลาเราจะใช้สมมุติว่าจะสะเดาะกุญแจ อารมณ์นี่ต้องถึงขั้นไหน ?
       ตอบ :  อารมณ์ต้องถึงขั้นไหน เรื่องของคาถานี่ตั้งแต่อุปจารฌานได้ผลแล้ว คือมากกว่าตอนนี้นิดเดียวก็เริ่มใช้ได้ผล ยิ่งสมาธิสูงเท่าไหร่ยิ่งได้ผลมากเท่านั้น อารมณ์แน่นกว่าปกตินิดเดียวก็เริ่มมีผลแล้ว ส่วนใหญ่มันอยากมากเกินไปมันก็เลยไม่มีผล 
              ตอนนี้ที่วัดมีพระอยู่องค์หนึ่งอยากทุกเรื่อง แต่อยากแล้วไม่ทำชาติหน้าบ่าย ๆ มันคงได้อย่างที่ตัวเองอยาก ระยะหลังนี้กลัวไม่กล้าเข้าใกล้เลย เราอยู่ทางด้านนี้ มันจะหนีไปอยู่อีกมุมวัด เพราะว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ แล้วคิดอะไรเราพูดออกไปหมด เขาเข็ดไม่กล้าอยู่ใกล้เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาคิดผิดเราก็จะบอกเขาว่าอย่างนั้นมันผิดมันต้องตั้งอารมณ์อย่างนี้ ว่ามันไปหลายทีด้วยความเมตตาแท้ ๆ มันกลัวซะจนไม่กล้าเข้าใกล้เลย ...ตกลงว่าคุณอ่านลายมือคุณผิดใช่มั้ย ? มันท่องคาถาเป็นกรรมฐาน อ่านไปว่าเป็นธรรมทาน ขนาดเขียนเองยังอ่านไม่ออกเลย (หัวเราะ)
       ถาม :  เวลาท่องคาถา ถ้าเกิดอารมณ์เลยฌาน ๑ แล้วจะมี กรรมฐานจะต้องติดต่อกันมั้ย ?
       ตอบ :  คือถ้าหากว่ากำลังใจของคุณละเอียดอยู่ในลักษณะของฌานใช้งาน มันจะภาวนาอยู่มันยังเป็นตลอดอยู่ แต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่ลักษณะฌานใช้งานเป็นการเริ่มต้นใหม่ ๆ ถ้าถึงช่วงนั้นแล้ว คำภาวนามันจะหาย บางทีลมหายใจก็จะหายไปด้วย พอจิตกับประสาทมันเริ่มแยกเป็นคนละส่วนกันมันจะบังคับร่างกายไม่ได้ พอบังคับร่างกายไม่ได้ลมหายใจมันถึงหายใจอยู่เราก็ไม่รับรู้มัน ฉะนั้นบางทีคำภาวนาหายไปไม่หายใจไปเปล่าลมหายใจก็หายไปด้วย ทีนี้ตรงนั้นอย่าตกใจตะกายหายใจใหม่นะ มันไม่เป็นอะไรหรอกมันอยู่ได้สบายมาก
       ถาม :   จำเป็นมั้ยครับต้องหลับตา   หรือลืมตาก็ได้ ?
       ตอบ :  อยู่ที่ตัวเรา บางคนหลับตาแล้วอะไรที่มันเข้าทางประสาทตาตัวเองไม่วอกแวก ลืมตาภาวนาก็ได้ เก่งกว่าด้วย แต่ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าลืมตาแล้วเดี๋ยวอันโน้นมาเดี๋ยวอันนี้มาทำให้ วอกแวกไปสนใจมัน ๆ จะเสียการภาวนาเราก็หลับตามันซะ
       ถาม :   ส. ศิวะรักษ์ครับ   พูดถึงหลวงพ่อคูณครับ  บอกว่าพระที่สร้างโรงเรียน   สร้างโรงพยาบาล   ไม่ใช่กิจของสงฆ์อย่างนี้คิด....?
       ตอบ :   ส. ศิวะรักษ์ไม่ใช่สงฆ์ตอบแค่นี้    หลวงพ่อคูณสร้าง โรงเรียนสร้างโรงพยาบาลมันบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็เลยบอกว่า ส.ศิวะรักษ์มันไม่ใช่สงฆ์ ประเภทนี้มันจะเอาพระประเภทที่นั่งเฉย ๆ แล้วบริสุทธิ์สิ้นเชิงมันอยากได้หัวตอ ฮึ! พระเขาเกิดมาเขารู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มีความสามารถทำได้เขาก็ทำ โดยเฉพาะเสืออย่างหลวงพ่อคูณด้วย เดี๋ยวก็หัวขาดหรอก
       ถาม :  พอดีเมื่อวานครับ เวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ ผมได้เจอแมลงสาบตัวหนึ่งกำลังนอนชักอยู่ใกล้จะตาย พอดีกำลังท่องคาถาอยู่ก็เลยท่องคาถาไปด้วยแล้วบอกเขา อย่างนี้เขาจะฟังรู้เรื่องมั้ย ?
       ตอบ :  ถ้าจิตเขาเกาะนี่เขามีโอกาสได้ดีเลย ลักษณะแบบเดียวกับงูเหลือมฟังธรรม ค้างคาวฟังธรรม แต่ตอนที่มันชักเวทนามันเยอะ ไม่แน่ว่าจิตเขาจะเกาะหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้นต้องดูว่ากำลังใจของเขา ๆ เกาะเสียงของเราที่ภาวนารึเปล่า ? ถ้าหากว่าเขาเกาะเสียงของเราที่ภาวนาคาถาหรือว่าตั้งใจอยู่ในความดีนี่เขา ได้ประโยชน์ไปเลย ทำไปเถอะ เขาจะเกาะหรือไม่เกาะทำไปเถอะ ถ้าเขาเกาะเขาได้ดีไปดีเขาไม่ลืมเราหรอก อ้าว... หมดแล้ว สงสัยมันไม่หมดจริงหรอกมันอ่านไม่ออก (หัวเราะ)
       ถาม :  เวลาที่ทำกรรมฐานแล้วมีอารมณ์เข้ามาแทรก แต่ว่าเป็นอารมณ์พิจารณาถือว่าเป็นพุทธานุสสติ สังฆานุสสติ ถือว่าเป็นอารมณ์เข้ามาแทรกนี้ ?
       ตอบ :  ดูว่าตอนนั้นเราทำกรรมฐานตามกองมั้ย ? ถ้าเราทำกรรมฐายตามกองนี่อารมณ์แทรกอื่นต้องตัดออกให้หมด ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมฐานตามกอง ภาวนาเฉย ๆ แล้นมันอยากจะพิจารณาก็ว่าไปได้เลย
       ถาม :    ตัดอารมณ์นี่ยังไง  ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าเป็นการภาวนากรรมฐานตามกอง   อย่างเช่นว่าภาวนากสิณอยู่  อย่างนั้นอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามาตัดมันออกไปเลย
       ถาม :   ถ้าอย่างเราท่องคาถา  ๔-๕  ชั่วโมงแล้ว ?
       ตอบ :    น้อยไปมั้ง   ๔-๕  ชั่วโมง   มันต้อง  ๒๔   ชั่วโมง  (หัวเราะ)
       ถาม :  แล้วอย่างนี้จะถึงจุดสูงสุดของความต้องการของอารมณ์แล้วยัง ?
       ตอบ :     ไม่ใช่นะ  ระยะเวลาไม่ได้เกี่ยวกับความดีของทางใจกำลังใจอาจจะขึ้นสูงสุดภายในวินาที  ๒   วินาทีก็ได้    ระยะเวลาไม่ใช่เครื่องวัด   ไอ้นั่นดีไม่ดีนั่งทนแข่งกัน   สมัยก่อนเคยไปนั่งแข่งกับทางด้าน
*
*
*
*
ในหนังสือเล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๑ ซ้ำกับเล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๒๑ จึงขอข้ามหน้านี้ไปก่อน
ประโยคจึงไม่ต่อเนื่องนะคะ หากได้ข้อมูลแล้วจะนำมาพิมพ์เพิ่มเติมค่ะ
*
*
*
*
  กำลังมันจะทรงตัวแล้วมันก็เลิกกังวล    มันจะคิดเฉพาะหน้าตอนนี้ เราทำอะไรมันจะทำแค่นั้น พอเสร็จจากอันนี้แล้วจะทำอะไรค่อยคิดต่อ คราวนี้จะไม่กังวลแล้ว แบบเดียวกับว่า เรานั่งอยู่ที่นี่แต่ว่าถ้าเกิดว่าเมื่อเช้านี้เราซักผ้าแล้วเราก็ตากผ้า อยู่ที่บ้าน ดูฟ้าแล้ว เอ้า ! ฟ้ามันมืดฝนจะตก กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ยังไงก็กลับบ้านไม่ทันอยู่แล้ว ก็ต้องคิดให้เป็นด้วยว่า เออ...ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์จะไปกังวลกับมัน เรามาอยู่ตรงนี้เรามาทำบุญเรามาทำความดี
              เพราะฉะนั้นเราเองควรจะทำตรงจุดนี้ที่ปัจจุบันนี้ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยมันไป อนาคตยังมาไม่ถึงไปแก้ไขไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ไข เวลานั้นเอาอยู่กับปัจจุบันก่อน ทำตอนนี้เดี๋ยวนี้ให้ดีที่สุดก่อน สมาธิต้องดีแล้วจะเลิกกังวล
       ถาม :   แล้วตัววิตก   วิจารณ์  ล่ะครับ  ?
       ตอบ :    ตัววิตก วิจารย์มันมีเป็นปกติของทุก ๆ คนแต่ว่าเอาสติรู้ก็สามารถที่จะตัดมันเลย ถ้าตัดไม่ได้ก็รู้อยู่แล้วคุมมันเอาไว้ให้มันอยู่ในกรอบ อยู่ในกรอบก็คือว่าให้มันวิตกวิจารย์อยู่ในด้านดี ๆ อย่างเช่นว่า นึกถึงเรื่องของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงเรื่องของศีล นึกถึงเรื่องของการให้ทานอย่างนี้
       ถาม :  คืออย่างนี้ครับ คือเรานัดเขาเวลานัดเวลา ๙ โมงทีนี้ช่วงที่เรายังไปไม่ถึงมีอุปสรรค บางทีอย่างเช่นฝนตก จิตมันก็เป็นห่วง เออ...เพื่อนเรารออยู่นะ ตัวนี้ตัดยากครับ
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วก็คือมันต้องคิดให้เป็นว่าอย่างไร ๆ มันก็ต้องรออยู่แล้ว ในเมื่อมันจะต้องรออยู่แล้วเราไปกังวลหรือไม่กังวลมันก็ราคาเท่ากัน แล้วจะไปกังวลให้มันเสียอารมณ์ของเราทำไม
       ถาม :   มันเป็นอารมณ์ของปฐมฌานหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :    ตัวกังวลนี่มันไม่มีทางเป็นฌานได้หรอก  (หัวเราะ)   ถ้ายังห่วงกังวลอยู่มันทรงฌานไม่ได้
       ถาม :   .........(ไม่ชัด)...........มีความจำดี
       ตอบ :    ความจำดี...อันนี้มันก็เกี่ยวกับสมาธิเหมือนกัน   ถ้าสมาธิทรงตัวจิตมันผ่องใส สมองมันเหมือนกับมันจัดอันดับของมันเองสามารถเรียงลำดับเรื่องข้อมูลของมัน ได้เปรี้ยะ ๆ เลย สมมุติว่าอาจารย์พูดมาเรื่องอะไรมันก็จะจับประเด็นได้เร็ว
                 ลักษณะนี้บางทีพูดแล้วมันเข้าใจยากเอาเป็นว่ายกตัวอย่างว่า   หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า   เจ้าคุณพระมงคลชัยสิทธิ์ เวลาไปหาท่านแต่ละทีนี่ ท่านชอบให้คาถาแล้วคาถาท่านยาวมาก พอให้เสร็จแล้วไม่พอ ท่านเขกหัวเปรี้ยงเบ้อเร่อเลย บอกเอ้าให้เอ็งไปใช้
              แต่ว่าทีนี้พอสมาธิมันดีมันสามารถเรียงลำดับได้หมดเลยว่าคาถาของท่านเนื้อหา มันเป็นอย่างไร มันขึ้นต้นมันก่อนหลังอย่างไร แล้วเราจะจัดลำดับการจำแล้วมันแยกแยะออกมาเสร็จเรียบร้อย แล้วมันจะจำได้ขนาดที่ว่าบอกคนอื่นบางทีเขา ๓ เที่ยวแล้วยังจำไม่ได้ถ้าสมาธิดีเหมือนอย่างกับสมองมันแยกออกเป็นหมวดเป็น หมู่ เป็นระดับของมันเองจะจัดเรียงของมันเรียบร้อยเลยว่าต้องจำอย่างไรแล้วมันจะ จำของมันได้
              อยากจะจำต้องหัดภาวนาเยอะ ๆ เข้าไว้ ถ้าสมาธิดีแล้วเหมือนกับเจ้าจอย มันนั่งมองอาจารย์เขาอยู่เพื่อนข้างหลังห้องก็เล่นกัยโยกโต๊ะโยกเก้าอี้ โยกไปโยกมามันโยกเกินศูนย์ถ่วง เก้าอี้มันหงายฟาดโครมลงไป เพื่อนอีก ๓๐ กว่าคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน เจ้าจอยมันนั่งมองแต่หน้าอาจารย์ สมาธิมันดีขนาดรอบข้างมีอะไรมันไม่รู้เรื่อง ได้ยินแต่เสียงอาจารย์อยู่อย่างเดียว เขาทำได้ขนาดนั้น ถ้าเราสมาธิดีขนาดนั้นเรื่องความทรงจำไม่มีปัญหาเลย
              ส่วนใหญ่แล้วเด็กสมัยใหม่สมาธิสั้น รีโมทคอนโทลมันทำพิษนึกออกมั้ย ? ไม่ชอบใจเปลี่ยน ๆ ความจำมันขาดเป็นท่อน ๆ เหมือนตัวจิ๊กซอว์ในเมื่อความจำมันขาดเป็นท่อน ๆ เหมื่อนตัวจิ๊กซอว์ ความสนใจจุดสนใจจุดใดจุดหนึ่งมันก็น้อยมันกลาย มัน........
       ถาม :   มันเป็นแบบนี้รึเปล่าคะคือ   คนสมัยนี้ไม่ค่อยได้เดิน   สมัยก่อนเดินเยอะ
       ตอบ :  มันก็มีส่วนเหมือนกัน จะมากจะน้อยส่วนของมันมีอยู่แต่ว่าจริง ๆ ก็คือสังคมปัจจุบัน พวกเกี่ยวกับพวกคอมพิวเตอร์หรือพวกเครื่องเล่นอะไรต่อมิอะไรที่มันใช่ระบบ ดิจิตอลที่จะสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เร็วมาก รับข้อมูลได้เร็วค้นหาข้อมูลอะไรได้เร็วอะไรอย่างนี้มันทำให้คนสมาธิสั้นลง
       ถาม :   เพราะว่าสมัยก่อนชาวนาเขาปลูกข้าว   กว่าเขาจะปลูกได้ไร่หนึ่งเขาใช้ความเคยชิน    ถ้าเดินนี่นับ ....
       ตอบ :   นับครั้งไม่ถ้วน   สมัยนี้มันเล่นรถดำนา  (หัวเราะ)
       ถาม :   เปลี่ยนแปลงง่าย    ฉะนั้นเวลาทำอะไรซ้ำ ๆ  เป็นพัน  ๆ  ครั้งทำให้ได้เรื่องสมาธิ
       ตอบ :    ของเราความสนใจเฉพาะที่มันน้อยความจำไม่ก็เลยไม่ดีไปด้วย   เขาเรียก   ?สมาธิสั้น?
       ถาม :   การแยกกายกับใจแยกอย่างไร  ?
       ตอบ :    แยกกายกับใจ   ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปกับจิตกับกายจะเริ่มแยกเป็นคนละส่วนกัน คือตอนนั้นจิตจะสนใจแต่อาการภายใน ประสาทร่างกายที่ถือว่าเป็นกายจริง ๆ ภายนอกมันไม่ค่อยจะรับรู้กันแล้ว ถึงไม่ใช้ความพยายาในการแยกมันก็จะแยก ทีนี้ในความหมายของเรา แยกจิตแยกกายมันเป็นการถอดกายในออกไปแบบที่เขาเรียกว่าถอดกายทิพย์หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเป็นลักษณะอย่างนั้น ต้องฝึกอีกแบบหนึ่ง
              เขาจะมีการฝึกให้ถอดกายในไปเพื่อที่จะไปท่องเที่ยวภพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรก สวรรค์ พรหม นิพพานอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่าได้แยกจิตแยกกายลักษณะที่ว่านี้ แค่เราทำสมาธิได้ปฐมฌานก็เริ่มแยกได้แล้ว
       ถาม :   แค่ได้ปฐมฌานนี่ได้ยังไงคะ ? 
       ตอบ :  คือกำลังใจมันจะทรงตัวอยู่ระดับหนึ่ง ในระดับนี้สิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรมันไม่ค่อยได้รับความสนใจเพราะจิตมันเป็นสุขอยู่กับการภาวนาเฉพาะหน้า คราวนี้การที่เราภาวนาซะจนชิน คำว่า ?ชิน? ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ?ฌาน? ปฐมฌานคือความเคยชินขั้นที่ ๑ มันมีอยู่ด้วยกัน ๔ ขั้นเขาเรียก ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ คราวนี้ว่าแค่เข้าถึงความเคยชินขั้นที่ ๑ ก็เป็นอันว่าจิตกับกายมันเริ่มจะห่างกันแล้ว พอเริ่มเป็นฌาน ๒ บางทีมันเริ่มไม่รับรู้การหายใจ คำภาวนามันก็หายไปด้วยถ้าถึงฌาน ๓ ยังกับประเภทกลายเป็นหินไปเลยก็มี คือสภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายมันจะแปลก ๆ แล้วฌาน ๔ นี้ ไม่รับรู้อาการภายนอกแน่นอนเลยฟ้าผ่าข้างหูไม่เอาด้วยไม่ได้ยิน เพราะประสาทร่างกายมันไม่ได้ทำงานตรงนั้นแล้ว
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.4.html

ถาม :   คือเป็นคนที่รู้สึกว่าขี้กังวลมากเลย ไม่รู้ว่า......
       ตอบ :   เริ่มต้นภาวนาซะก่อนนะ ทุกอย่างที่เราพูดมาถ้าเราเริ่มภาวนาแล้วปัญหาอื่น ๆ มันจะหมดนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาภาวนาได้เลย
       ถาม :   .............................
       ตอบ :  นั่งสมาธินับลมหายใจเข้า ? ออกของเรานี่แหละว่าไปเลย ถ้าหากว่าเราเริ่มตรงจุดนี้แล้ว ตัวอื่น ๆ มันหมดไป ไม่อย่างนั้นของเรา เราถาม ๆ อยู่นี่มันจะหาที่จบไม่ได้มันต้องทำ พอทำแล้วเกิดปัญหาเฉพาะจุดขึ้นมาเราก็แก้ทีละจุดมันก็จบ แต่ถ้าเราถามอยู่มันจะไม่จบ ฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาทำได้เลย มีเวลานั่งสมาธิ เวลานั่งสมาธิครั้งแรกมันก็ฟุ้งซ่านนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่มันไปคิดอะไรก็ไม่รู้พอรู้ตัวก็เลิกคิดมัน มาจับลมหายใจเข้า ? ออก รู้ตัวก็เลิกคิดกัน มาจับลมหายใจเข้า ? ออก เดี๋ยวก็ชนะมันได้
       ถาม :   คือตอนนี้ไม่แน่ใจบรรยากาศที่ทำงานค่ะ
       ตอบ :   ทำไมล่ะ ?
       ถาม :   จะเกิดปัญหาคือ ตอนนี้งานมันขยายตัว คือคนในที่ทำงานยังไม่พร้อมที่จะรับงานจะทำยังไงคะ ?
       ตอบ :  ถ้าเรามีหน้าที่รับผิดชอบก็จำเป็นที่จะต้องอบรมหาความชำนาญให้กับเขา เพื่อเขาจะได้เตรียมพร้อมที่จะรับงานใหม่ แต่ถ้าเราไม่มีหน้าทีรับผิดชอบทำแค่งานตรงหน้าของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะดี ได้ คือถ้าเราไปยุ่งกับคนอื่นเมื่อไหร่เกิดเรื่องเมื่อนั้น แต่ถ้าหากว่าอยู่ใต้การรับผิดชอบของเรานี่ จำเป็นนะต้องมีการประชุมมีการอบรมเพื่อที่จะให้เขาทำงานได้เต็มฝีมือมากกว่า นั้น หรือได้ดีมากกว่านั้น หรือไม่ก็ทำให้เขาดูว่าที่จริง ๆ มันต้องทำอย่างไร หนักใจมั้ย ?
       ถาม :   ..........(ไม่ชัด)..............แต่เขาคงจะต้องอยู่กับเราต่อไป ต้องทำยังไงถึงจะให้เขายอมทำงาน ?
       ตอบ :  ไอ้เรื่องการที่จะทำให้คนอื่นยอมรับเรานี่มันมีอยู่อย่างเดียว คือต้องแสดงให้เห็นว่าเราเหนือกว่าทุกกระบวน ความสามารถในการงานของเราทุกอย่างเหนือกว่าอะไรดีกว่า 
       ถาม :   มีอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องวัยวุฒิค่ะ
       ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอกสมัยนี้ปลอมหน้าได้ อายุแค่นี้เขาปลอมเป็นคุณยายอายุ ๙๐ ยังไหวเลย ทำหน้าให้เหี่ยว ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก คนมีความสามารถวัยวุฒินี่มันจะโดยคุณวุฒิ คือความสามารถคลุมไปเองนะค่อย ๆ ทำไปเถอะเดี๋ยวพอเอางานเอาการไปมาก ๆ หน้ามันเหี่ยวเกินไปเอง ตกลงเขามีจุดเดียวใช่มั้ยที่เขาไม่ยอมรับ คือเขาเห็นว่าเราเด็กเกินไป
       ถาม :   เขาใช้วิธีบีบค่ะ คือบีบให้เราทนไม่ไหว ยอมในสิ่งที่เราควรจะได้
       ตอบ :  แล้วในเมื่อเรารู้ว่าเขาบีบจะไปให้เขาบีบทำไมล่ะ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซิ แกล้งโง่นี่มันสนุกนะ โบราณเขาว่าแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้ ไม่ว่ามันจะมาวิธีไหนก็ตามเราก็หลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมเข้าไปในจุดที่เขาต้องการ ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันต้อนเราไปมุมนั้น แกล้ง ๆ เดินไปเกือบถึงมุมแล้วก็เลี้ยวซะ....(หัวเราะ)....มันน่าสนุกนะ แต่สักวันจะทุกข์เอาจริง ๆ ปัญหามากเลยไปนั่งท่องคาถามั้ย ?
                มันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเขาเรียก ?คาถาวัวกินนมเสือ? มาจากนิทานพื้นบ้านหลวิชัย ? คาวี  เคยได้ยินมั้ยที่เขาเรียกว่า ?เสือโคคำฉันท์? แม่วัวถูกเสือกินไปแล้ว แต่ลูกวัวเป็นเพื่อนกับลูกเสือ ลูกเสือก็เลยชวนลูกวัวมาอยู่ด้วยกัน มากินนมแม่เสือด้วยกัน อันนี้มันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเขาเรียก ?วัวกินนมเสือ? มันหมายความว่าถึงจะมีศัตรูอยู่รอบด้าน แต่เราก็จะอยู่ได้ ลองภาวนาดูมั้ย ? (หัวเราะ) เดี๋ยวเขียนให้ดีกว่าไม่ยาวมากหรอก ๔ บรรทัด ไปลองดูน่าสนุกนะ
       ถาม :   ไม่ทราบว่าเราจะเลือกการปรับหรือการเปลี่ยนดี ?
       ตอบ :  ก็ค่อย ๆ ปรับดีกว่า เพราะเปลี่ยนทีเดียวเลย ความเคยชินของคนจะทำให้เขารู้สึกลำบาก ค่อย ๆ ปรับดีกว่า ถ้าหากว่าเปลี่ยนทีเดียวเรารับได้ แต่คนอื่นเขารับไม่ได้ ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย
       ถาม :   พอรู้ว่าที่นี่เกิดปัญหาแล้วก็เปลี่ยน
       ตอบ :  อย่างนี้หนีปัญหา เรื่องปัญหามันมีอยู่ทุกที่จากที่หนึ่งก็ไปอีกที่หนึ่ง วิ่งชนปัญหาดีกว่าหนีมัน 
       ถาม :  แล้วหนู....(ไม่ชัด)........ในลักษณะที่กรมเดียวกัน กองเดียวกันในลักษณะที่กินแรงเพื่อนในที่ทำงาน 
       ตอบ :  นี่เจอมาเยอะต่อเยอะ แต่ว่าก็จะเอาแค่ในเขตความรับผิดชอบของเราเอง ถ้าหากว่าในใต้อำนาจรับผิดชอบของเรามีคนอยู่กี่คน จำนวนเท่าไหร่ ก็เร่งรัดเขาได้ นอกเหนือไปจากนั้นแล้วโดยเฉพาะสูงขึ้นไป หรือว่างานรับชอบของคนอื่นอย่าไปแตะนะ เอาแค่จุดของเราให้มันดี
       ถาม :   แล้วในเมื่อบางคนไม่เวิร์คนี่เราสามารถที่จะเอาคนออกเราควรจะทำมั้ย ?
       ตอบ :   บอกเขาตรง ๆ บอกว่าถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ต้องหางานที่อื่นทำแล้วล่ะ
       ถาม :   แล้วขู่ด้วยวิธีต่าง ๆ 
       ตอบ :  ไม่ต้องเสียเวลาขู่หรอก ทำจริง ๆ เลยเชือดลิงให้ไก่ดู ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู คนไหนเส้นใหญ่ที่สุดเอาคนนั้นออก คนอื่นมันหนาวเอง งานบางอย่างมันจำเป็นนะ อย่าคิดว่ามันเป็นการสร้างศัตรู แต่ว่าจำเป็นเพื่อที่จะให้งานทั้งหมดเป็นไปด้วยดี จำเป็นที่จะต้องทำ
       ถาม :   แล้วคนที่อยู่ร่วมกันแล้ว อย่างที่คนที่กำลังใจไม่เสมอกัน เราต้องวางตัวยังไง ต้องวางใจยังไง ?
       ตอบ :  อย่าตั้งความหวังอยู่กับเขามากนัก คิดว่าทั้งหมดเราทำเองได้ไม่ต้องง้อใคร ถ้าหากว่าเขาช่วยก็ถือว่ามันเป็นบุญเป็นคุณเป็นน้ำใจของเขา แต่อย่าไปหวังว่าเขาจะทำหน้าที่นั้นได้ดี คิดซะว่าถ้าเป็นงานใต้รับผิดชอบของเรา คนที่รับผิดชอบก็คือเรา เพราะฉะนั้นเราเองทำทั้งหมดพอคนอื่นเขามาทำเบาแรง เออดี....ถือว่าเขาช่วยเรา จะไปหวังร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มจากคนอื่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก
              บางคนจิตใต้สำนึกมันไม่มี จริง ๆ แล้วนิยมคนญี่ปุ่นนะ คนญี่ปุ่นระยะหลังนี่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ว่าช่วงก่อนนี้เขาเข้าทำงานที่ไหนนี่ เขาทุ่มเป็นทุ่มตายให้กับที่นั่นเลย เหมือนกับงานตัวเองยิ่งกว่างานตัวเองตัวนี้เขาเรียกว่า ?จิตสำนึกของความเป็นเจ้าของ? แต่ ว่า....ส่วนใหญ่ของเราแล้วจิตสำนึกของความเป็นเจ้าของไม่ค่อยมี ใครเปลี่ยนงานได้บ่อยเท่าไรถือว่ามีความสามารถเท่านั้น มันกลายเป็นว่าต้องไปหาความชำนาญในที่ใหม่ไปเรื่อย ๆ ต้องเสียเวลาไปศึกษางานใหม่ ต้องไปปรับเข้ากับสถานที่ใหม่ไปเรื่อย ๆ มันก็เลยพูดง่าย ๆ ว่านอกจากจะก้าวหน้ายากแล้วก็ลักษณะเหมือนกับที่เราบอกว่า ถึงเวลาก็หนีปัญหาทิ้งไปทำที่อื่นก็หนีไปไม่รู้จบ
              เพราะฉะนั้นของเราตอนนี้แก้ที่เรารับผิดชอบก่อน ภายใต้การรับผิดชอบของเราเท่าไหร่เราแก้เท่านั้น อย่าไปแบกโลกแทนคนอื่นเขา สมมุติว่านั่งโต๊ะติดกันแต่งานมันคนละส่วน ไอ้โน่นมันจะเละแค่ไหนปล่อยมันเราทำของเราให้ดีไว้ ผู้บริหารเขาจะมองเห็นเองว่าใครเป็นยังไง แล้วต่อไปถ้ามีโอกาสขยับขึ้นไปสูงกว่านั้นแล้ว เราก็ค่อยมาแก้ที่จุดที่เรายังไม่ได้แก้ แต่ว่าก่อนนั้นไม่ได้อยู่ใต้ความรับผิดชอบของเรา แต่ว่าตอนนี้อยู่ใต้ความรับผิดชอบของเราก็แก้ต่อไป อย่าใจร้อนนะถือว่าคนเราเกิดมาอายุนานหลายสิบปีค่อย ๆ ทำไปอายุสัก ๕๐ แล้วค่อยดีเราก็รอได้ (หัวเราะ)
       ถาม :    ....................
       ตอบ :    พระสุก พระใส พระเสริม พระบางใช่มั้ย ? พระสุกจมอยู่ที่เวินพระสุก พระใสอยู่วัดโพธิ์ชัย หนองคาย พระเสริมอยู่วัดปทุมวนาราม สระปทุมใกล้ ๆ กรมตำรวจ ส่วนพระบาง พระบางมีอยู่ระยะหนึ่งที่ฝนฟ้ามันแล้ง ราษฎรทูลเกล้าถวายฎีการัชกาลที่ ๔ ว่าหลวงพ่อพระบางทำให้ฝนแล้ง ก็เลยเอไปคืนลาวซะ ไม่งั้นลาวจะไม่มีพระพุทธรูปสำคัญเหลือเลย ตอนนี้พระบางอยู่ที่หลวงพระบาง จริง ๆ เวลาหน้าสงกรานต์นี่ เจ้ามหาชีวิตของลาวจะเป็นผู้นำอัญเชิญพระบางแห่ออกมาเพื่อให้ชาวบ้านได้กราบ ไหว้บูชา
              มาตอนหลังพอระบบพระมหากษัตริย์โดนคอมมิวนิสต์ล้มไป ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ประเพณียังเป็นปกติอยู่รึเปล่า แต่ว่าถ้าหากว่าเจ้ามหาชีวิต คือพระมหากษัตริย์ของเขายังอยู่นี่ จะเป็นผู้อัญเชิญพระบางออกมาทุกปี ศิลปล้านช้างนี่จะอยู่ราว ๆ โน่นยุคปลายอยุธยาต้นรัตนโกสินทร์ ก็คือว่าจะเป็นช่วงต่ออยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์
       ถาม :   ก็ไม่เก่ามาก
       ตอบ :    ไม่เก่ามาก จริง ๆ แล้วล้านนากับล้านช้าง เกี่ยวเนื่องแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะว่าแต่งงานข้ามกันไปก็ข้ามกันมา แล้วมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ที่ถือว่าเป็นมหาราชของลาว จริงๆ แล้วครองเชียงใหม่อยู่ก่อนนานมากเลยหลายปีทีเดียว พอพม่าจะตีเชียงใหม่ ท่านเห็นว่าไม่สามารถจะต้านกำลังพม่าได้ ก็เลยหอบพระแก้วมรกตไปตั้งเวียงจันทน์ขึ้นมาแทน ลาวก็บอกว่าไทยขโมยพระแก้วไป ไทยก็บอกว่าลาวขโมยไปก่อน...(หัวเราะ)....ทะเลาะกันไปก็ทะเลาะกันมาอยู่นั่นแหละ
                 แต่ตามประวัติพระแก้วมรกต เขาว่าต้องอยู่ถึง ๗ นครใช่มั้ย ? เท่าที่รู้ก็คือว่า ท่านเกิดขึ้นที่ปาฏลีบุตร แล้วก็มาปรากฎที่ลำปางไปอยู่เชียงใหม่ ไปอยู่เวียงจันทน์ แล้วก็มาอยู่หนองคาย แล้วก็มาอยู่กรุงเทพ คืออยู่เวียงจันทน์แล้วก็อัญเชิญมาพักที่หนองคายก่อน แล้วก็มาอยู่กรุงเทพ เอ๊ะ ๖ เท่ากับว่า ๖ เมือง 
       ถาม :   แล้วก็ย้ายข้ามฝั่งไปธนบุรี ก็ ๗ แล้ว
       ตอบ :   จริง ๆ แล้วเขานับว่า นับว่า ๖ เมือง เมืองที่ ๗ นี่เมืองใหญ่หน่อยเมืองรัชเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสไง ท่านเสด็จมาเมืองไทย ท่านซี้ปึกกับรัชกาลที่ ๕ นี่ รัชกาลที่ ๕ เลยออกปากว่าในเมื่อสนิทสนมกันขนาดนี้ แทบจะถือว่าเป็นแผ่นดินเดียวกันเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ว่าได้ 
              เพราะฉะนั้นท่านอยากได้อะไรที่เป็นของไทย ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินไทย ท่านยินดีมอบถวายให้ ท่านเล่นขอพระแก้วมรกต (หัวเราะ) รัชกาลที่ ๕ ไม่นึกว่าจะเจอขนาดนั้น ก็คงสะอึกเหมือนกัน รัชกาลที่ ๕ ก็คงเห็นว่าในเมื่อตนเองเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ พระเจ้าซาร์นิโคลัสกล้าขอก็ให้เหมือนกัน พระเจ้าซาร์นิโคลัสคงซึ้งในน้ำใจ ขอของสำคัญขนาดนี้ยังให้ ก็เลยบอกเอ้า ถ้างั้นอะไรที่อยากได้ในรัสเซีย ต้องการก็จะให้บ้าง รัชกาลที่ ๕ ขอพระแก้วคืน (หัวเราะ) ตกลงว่านครที่ ๗ นี่ไปอยู่แป๊บเดียว
       ถาม :   ไม่ทันไปใช่มั้ยคะ ไปหรือยังคะ ?
       ตอบ :  ถือว่าไปล่ะ ถือว่าให้เขาแล้ วถึงได้บอกที่บอกว่าต้องอยู่ถึง ๗ เมือง เห็นทีจะอยู่มาครบจริง ๆ หนองคายพระแก้วอยู่พักหนึ่ง เคยไปมั้ยวัดพระแก้วเก่า ปัจจุบันเป็นที่ทำงานของหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงติดอยู่ชายน้ำเลย วัดกับเจดีย์เขาสร้างอยู่เป็นที่ประดิษฐานชั่วคราวก่อนที่จะทำพิธีอัญเชิญ เข้ามากรุงเทพ
       ถาม :   สรุปว่าในแม่น้ำโขงที่เขาบอกว่าเขาเจอพญานาค พญานาคเนี่ยจริง ๆ นาคนั้นก็คือเป็นเทวดาที่เขามาให้เห็นหรือว่า ....?
       ตอบ :    นาคมี ๒ แบบ แบบที่เป็นเทวดา คือเทวดาชั้นจาตุมหาราชเหล่าที่เราเรียกว่า ?นาคา? เหล่านี้จะเป็นบริวารของท่านท้าววิรูปักษ์ เวลาทำงานท่านจะปรากฏให้เห็นลักษณะของงูใหญ่ นี่ต้องถือว่าเป็นเครื่องแบบเวลาทำงานแบบเดียวกับบริวารของท่านท้าวเวสสุวัณ เวลาจะทำงานก็ปรากฏในรูปของยักษ์ 
              แต่จริง ๆ แล้วท่านสวยสะโอดสะองลักษณะคล้าย ๆ พรหม เพียงแต่ว่าเครื่องแต่งตัวไม่เหมือนพรหม ที่ท่านคล้ายพรหมเพราะส่วนใหญ่แล้วจะทรงฌานได้เพียงแต่ตอนตายลืมเข้าฌานไป ตายอยู่นอกฌานซะ น่าจะหนาวแย่เลยนะ ตายนอกชานคราวนี้ อีกประเภทหนึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ อย่าง พวกครุฑ พวกนาคเหล่านี้ ถ้าประเภทเดรัจฉานกึ่งทิพย์พวกนี้เขาจะอยู่ในภูมิของเดรัจฉานเลย แต่ว่าบุญเก่าที่เสริมเอาไว้มากก็เลยทำให้มีทิพสมบัติเลยมีอะไรสามารถแปลง ร่างเป็นคนได้ แต่ว่าสัญชาติของท่านจริง ๆ ก็คือสัตว์เดรัจฉาน
       ถาม :  แต่พวกนี้ก็คือ ถือกำเนิดจากสัตว์เดรัจฉานธรรมดา ?
       ตอบ :   ไม่ใช่จ้ะ  เป็นโอปปาติกะ คือเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพกึ่งทิพย์ โอปปาติกะเกิดแล้วโตเลยไม่ต้องเสียเวลา 
       ถาม :   แล้วมีร่างกายจับต้องได้มั้ย ?
       ตอบ :  ถ้าท่านให้จับก็จับได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าต้องการให้หยาบเสมอเรา คือต้องการปรากฏให้เราเห็น แสดงกายหยาบขึ้นมาก็จับได้ต้องได้ เทวดาก็เหมือนกัน ถ้าต้องการให้เราจับต้องได้ก็จับได้
              เคยจับดูเทวดาผู้หญิงเนื้อก็เหมือนกับผู้หญิงของเรานี่แหละ แต่ว่าเนื้อเป็นแก้ว ๆ เวลาจับเนี่ยลักษณะก็เหมือนกับเนื้อผู้หญิงคือนิ่ม ๆ เหมือนกัน ไม่ได้เจตนานะตอนนั้นตั้งใจจะจับเขาทุ่ม คว้าไปเจอเอวเต็มที่เลยแล้วเขาก็ประเภทจั๊กกะจี้ยักเอวยักไหล่ ก็เขาแกล้งเราก่อน ของเราตะแคงข้างภาวนา เขาบอกท่านี้ไม่ดีหรอก เขาก็จับหัวคนท้ายคนเปลี่ยนท่าใหม่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารำคาญก็ถีบมันซะ เขาจับขาไว้ ถีบซ้ายก็จับซ้าย ถีบขวาก็จับขวา เราก็เอ๊ะ จะทำยังไงมันดี ก็คว้าคนที่อยู่ทางหัวนอนทุ่มมันซะก่อน เอื้อมมือคว้าไปเต็มที่เลย ปัทโธ่ผู้หญิงนี่หว่าไอ้เราก็นึกว่าผู้ชาย
       ถาม :   แล้วตกลงได้ทุ่มหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :   จะไปได้ทุ่มอะไรเล่า พอจับไปรู้ว่าเป็นผู้หญิงก็รีบปล่อยแล้ว (หัวเราะ) เขาไม่จับเราทุ่มก็บุญแล้ว
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.5.html

ถาม :     ท่านคะ อย่างนี้ในประวัติศาสตร์นั่นมีจริงรึเปล่าคะ ลาวไม่ชอบใจไทย ?
       ตอบ :    คงจะพอ ๆ กันนั่นแหละพอ ๆ กับที่ว่าพอไทยได้ยินว่าพม่าเมื่อไหร่ ก็นึกถึงกรุงศรีอยุธยาแตกทุกที ก็พอกัน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วคนเรามันไปยึดอดีตมากเกินไป ถ้าถามว่าคุณเกิดทันยุคนั้นมั้ย    ตอบยาก...ยกเว้นพวกที่ได้ทิพจักขุญาณใช่มั้ย ? 
              อย่างนี้ถ้าจะบีบกันให้ตายจริง ๆ ก็ถามว่าเกิดทันมั้ย ? ตอนนี้อายุเท่าไหร่ ? อย่างนี้มันกลายเป็นไปใส่อารมณ์ตามอดีตที่เลยมานานแล้ว อย่างที่ไปสร้างวัดทางพม่าเหมือนกัน หลายคนก็บ่นว่าพม่ามันทำอย่างนั้นกับเรา อย่างนี้กับเรา แล้วไปช่วยมันทำไม บอกเราไม่ได้ช่วยพม่านะ นี่ช่วยคนไทยที่มันหลงอยู่ในพม่า (หัวเราะ) เออ.....
       ถาม :   เขาไม่ยอมให้กลับมาฝั่งนี้เลยเหรอ ?
       ตอบ :  ของเราไม่ยอมรับเขาต่างหาก ทางด้านโน้นถึงไม่ยอม ถ้าเขาจะมาเขาก็หนีมาได้ ของเราไม่ยอม มันกลายเป็นเขาหลบหนีเข้าเมืองไปน่ะซิ แต่ว่าถึงไม่ยอมก็เหอะ ถ้าพวกโน้นมันมาคนแถวหนองบัว สองแคว ป่าหวาย สามพระยา มาทำงานเมืองไทยเกือบทั้งหมู่บ้าน เขามาเขาพูดได้เลยนะไม่ต้องเสียเวลาหัด ไปสมัครงานที่ไหนเขารับเลย 
              เดือนที่แล้วเขาก็มาที่นี่ ๒ คน ๓ คนเอาซองกฐินเก่าของปีที่แล้วโน่นของวัดหนองบัว มาให้เรี่ยไรแล้วไม่มีเวลากลับเอามาฝากไว้ตรงนี้ ตอนช่วงที่กลับมาทางด้านโน้นเขาก็ฝากจดหมายมาฝากจดหมายมาว่าให้คนโน้นนี้ อยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ มีเบอร์โทรให้มาก็โทรไปบอกให้เขามารับจดหมายไป ทางด้านโน้นเขายังมีน้ำใจเหมือนกับคนโบราณ ก็คือว่าไปไหนนี่จะมีการฝากโน่นฝากนี่ไปให้กันอยู่ ของเราสมัยนี้ถ้าขืนฝากไปนะ หายจ้อยไปแน่เลย อย่างไปนี่มันจะฝากเงินฝากทองไป แล้วบางคนฝากไปทีหนึ่ง ๖ บาท ๑๐ บาท ทองคำอย่างนี้ เขาไม่กลัวเราโกง
       ถาม :  .............................. 
       ตอบ :  ก็ทองคำเขายังฝากไปทีขนาดนั้น เขาไม่กลัวเราโกง เขายังตรงไปตรงมาอยู่ พอได้เงินครบเมื่อไหร่ ครบสลึงซื้อสลึง ครบห้าสิบซื้อห้าสิบ ครบบาทซื้อบาท
       ถาม :   เขาซื้ออย่างนี้เหรอ ของเราเก็บแล้วเอาไปตึ๊ง
       ตอบ :   ของเขามันไม่ตึ๊ง มันเก็บตายเลย
       ถาม :   ถ้าอย่างนั้นราคาทองที่นั่นน่าจะถูกกว่าหรือเปล่า ?
       ตอบ :  ทองเขาจะซื้อทางฝั่งไทย เพราะว่าทองพม่าน้ำหนักมันน้อยกว่าไทย ทองไทยบาทหนึ่งเท่ากับ ๑๕.๒ กรัม ทองพม่าบาทหนึ่ง ๑๕ กรัมเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าซื้อทองไทย ๑๐ บาท ซื้อทองพม่าได้เกือบ ๑๑ บาท
       ถาม :   ราคา ๑๕ กรัมของเขาถูกกว่าของไทยเราหรือคะ ?
       ตอบ :  ๑๕ กรัมของเขามัน ๗๐.๐๐๐ กว่า ตอนนั้นก็ราว ๆ เกือบ ๘,๐๐๐ บาท เพราะฉะนั้นทองไทยไปขายเป็นเงินเขาก็ได้กำไรเยอะ ของเราตอนนั้นมันก็แค่ ๕,๐๐๐ กว่า ตอนนี้ ๕,๐๐๐ เกือบ ๆ ๖,๐๐๐ บาท
       ถาม :   เอ๊ะ เงินกับทองของเขาน่าจะ ......(ไม่ชัด)...........?
       ตอบ :  ทองแพงจริง ๆ ของเขาเองมันคล้าย ๆ กับว่าเงินของเขามันไม่มีค่าไม่น่าเชื่อถือเพราะรัฐบาลเขาพร้อมที่จะยกเลิก ได้ทุกเวลา เขาเลยชอบถือพวกทองหรือไม่ก็เงินต่างประเทศแทน อย่างเงินไทยหรือว่าดอลลาร์อย่างนี้ก็เท่ากับว่าค้ำประกันได้ ถึงเวลาก็ค่อยไปแลกเอาไปแค่พอใช้ เขาจะเก็บกันเป็นทองกันทั้งนั้น ซื้อทอง
              ส่วนใหญ่แล้วพวกหนองบัวมา พวกก็จะฝากเงินมาซื้อด้วยซ้ำไป เอาทองไทยนะ เอาเส้นใหญ่ ๆ ตัน ๆ เขาไม่เอาสวยงามหรอกเอาตัน ๆ ไว้ น้ำหนักมันดี คราวที่แล้วไปที่พวกเราถวายทองบูชาพระธาตุไป ก็แยกใส่ถุงไว้พลอยไว้ด้าน ทองไว้ด้าน พระไว้ด้าน ถึงเวลาก็เอาทองใส่ย่ามไป เพราะว่าจะรอช่วงสุดท้ายแล้วค่อยเอาใส่บาตรเพราะเราไปก่อนนั้นเกือบเดือน
               ถ้าหากว่าเอาไปใส่ไว้ในบาตรอาจจะโดนขโมยได้ ก็ให้ตาปะลัยเขาเอาย่ามแขวนคอเอาไว้ เอ็งอย่าออกห่างข้านะ ครับ ๆ อาจารย์ แล้วแกว่งไปแกว่งมานั่นแหละไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอก 
               พอถึงเวลาจะเอาใส่บาตรก็บอกพ่อออก พ่อออกก็คือลุง พ่อออกเอาย่ามมาซิ พ่อออกเขาก็ส่งย่ามมาให้ พอเราเททองออกมา โอ้โห....เป็นชั่งเลย เออทีนี้รู้หรือยังว่าแขวนอยู่กับคอตัวเองแท้ ๆ (หัวเราะ) เขาเอาย่ามแขวนคอเอาไว้ก็เขาคล้องอย่างนี้เลยนะ แล้วก็เดินไปเดินมาภูมิใจมากถือย่ามให้อาจารย์ เขาไม่รู้หรอกว่าทองเป็นชั่งเลย (หัวเราะ)
       ถาม :  เขาไม่สงสัยเหรอมันหนักมากเลย 
       ตอบ :  เขาคงคิดว่าของพระโน่นมั่งนี่มั่งใช่มั้ย ? แล้วส่วนใหญ่แล้วของเรามันพกกล้องถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง ของพวกนี้รวม ๆ กันแล้วมันหนักหารู้ไม่ว่าทองทั้งถุงเลย (หัวเราะ)
       ถาม :   ทองชั่งหนึ่งกี่บาท ?
       ตอบ :    ชั่งหนึ่งมัน ๓ ปอนด์พม่า (หัวเราะ) ๓ ปอนด์ กิโลกว่า
       ถาม :   โห......กิโลครึ่ง
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันเท่าไหร่ ๓ ใช่มั้ย มันต้องหาร ๒.๒ ๑,๐๐๐หาร ๑๕.๒ ได้ ๘๙ บาทกว่าเกือบ ๆ ๑๐๐ บาท ทองชั่งหนึ่ง ๘๐ กว่าบาทคิดทันมั้ย ? (หัวเราะ) หัวสมองไม่ค่อยแล่นเลยนะ ขนาดเอาออกมาเป็นตัวเลขได้ยังไงยังนึกไม่ค่อยจะออกเลย
       ถาม :  อย่างการที่คนฟังเทศน์แล้วบรรลุถึงธรรม นอกจากอยู่ที่ผู้ฟังแล้ว ผู้ที่เทศน์ด้วยถ้าในกรณีที่บารมีสูง การที่จะทำให้ผู้ฟังบรรลุถึงระดับ....?
       ตอบ :    ไม่ได้จ้ะ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญโญ วิโสธเย ?ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำบุคคลหนึ่ง ให้บริสุทธิ์หาได้ไม่? แต่ว่าบุคคลที่ท่านมีความสามารถสูงเข้าถึงความบริสุทธิ์จริง ๆ มีเจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่นจริงถ้าเทศน์ตรงกับกำลังใจมัน ทำให้เขาสามารถที่จะเข้าได้ง่ายขึ้น
               แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ฟังคนนั้น ไม่ใช่เขาไปทำให้คน ๆ นั้นบริสุทธิ์ แต่ว่าเป็นเพราะคน ๆ นั้นดึงจิตของตนให้พ้นขึ้นมาจากบ่วงกรรมทั้งปวงเข้าสู่ความบริสุทธิ์สิ้น เชิงต่างหาก ตัวเองทำเองถึงได้ คนอื่นอย่างเก่งก็เป็นสื่อให้เท่านั้น อย่างเช่น ถ้าหากว่าเป็นพระท่านก็เป็นสื่อแค่ว่า ท่านเทศน์นำให้คิดตาม ปฏิบัติตามได้ก็ได้เป็น ถ้าไม่ยอมคิดไม่ยอมปฏิบัติตาม เทศน์ให้ตายก็เท่านั้นแหละ
       ถาม :  แล้วคนที่เวลาใกล้ตายนี่ ถ้าตัดร่างกายแล้วปรารถนาเข้าสู่พระนิพพานแล้วเนี่ยค่ะ โดยใช้วาระสุดท้าย โดยขณะที่อยู่ทั่วไปไม่ค่อยถึงขนาดปฏิบัติดีหรอก จะต่างกับคนที่อยู่ปกติแล้วปฏิบัติได้ดีแล้วเข้าถึงระดับโสดาบัน สกิทาคามีอย่างนี้ค่ะ ตอนถึงพระนิพพาน จุดนั้นแตกต่างกันหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :    เหมือนกัน เข้าสู่ความบริสุทธิ์เหมือนกัน คือมันสำคัญตรงกำลังใจที่ตัดที่ละ อย่าลืมคนที่ตั้งใจทำตั้งแต่ต้นเลยนั่น เป็นคนที่ไม่ประมาท จริง ๆ แล้วเป็นผู้ที่น่าสรรเสริญมาก ค่อยๆ ขวนขวายค่อย ๆ ปฏิบัติไป แต่ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งประมาทอยู่ แต่บังเอิญว่าต้องมีบุญเก่าในอดีตมาช่วยเสริม ทำให้ตอนนั้นสามารถคิดได้ ตอนช่วงที่คนเจ็บป่วยมาก ๆ นี่ตัวราคะมันก็ไม่ไหวแล้ว โทสะมันก็ไม่รู้จะไปโกรธใครแล้ว โมหะมันก็ไม่รู้จะไปหลงใครแล้ว มันเห็น ๆ อยู่ว่าร่างกายมันไม่ดีแล้วจิตมันก็เลยตัดได้ง่ายกว่า
              อันนี้จำเป็นต้องมีบุญเก่าที่เป็นบุญใหม่เข้ามาช่วยเสริมด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะคิดได้ยากนะ เพราะว่าไม่ได้สร้างความชำนาญในด้านนี้มาก่อนเลย เป็นผู้ที่ประมาท แต่ว่าคนที่ทำมาทีละขั้นตอนนั้นถือว่าเป็นผู้ไม่ประมาท น่าสรรเสริญมาก
       ถาม :   การปฏิบัติทีละขั้นตอนที่จะให้ถึงแต่ละระดับ เจ้าตัวเขาจะสามารถรับรู้ได้เองมั้ยคะว่า ....?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าเข้าถึงจะรู้เพราะว่า ญาณ คือเครื่องรับรู้ จะปรากฏขึ้น แต่ว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านมีความฉลาดมาก และไม่ประมาท เพราะฉะนั้นถึงจะรู้ว่าตนเองเป็นแต่จะไม่มีใครแน่ใจว่าตัวเองเป็น ถึงพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วว่าเป็น ท่านเองท่านก็ไม่ประมาทก็ทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
       ถาม :  แล้วอย่างการปฏิบัติ อย่างเรารู้สึกตัวเองระยะหลังนี่บางทีเวลาจับพระนี่ เราจะรู้สึกว่าอกุศลจิตเข้ามาบ่อยมาก เป็นเพราะว่านั่นคือจิตลึก ๆ ของเราที่.....?
       ตอบ :    อันนั้นเรียก มารดลใจ ก็ได้ มาร ๕ ประเภทเขาพยายามขวางเราอยู่ตลอดเวลา เวลาไหนที่เราทำความดีใกล้จะถึงจุดที่เราต้องการ เขาจะพยายามเบี่ยงความสนใจเราไปสนใจอย่างอื่นแทน ดึงไปหา รัก โลภ โกรธ หลงแทน ดึงให้รู้สึกปรามาสพระรัตนตรัยแทน ถ้าหากว่าเราปรามาสพระรัตนตรัยปุ๊บเขาก็สบายใจแล้ว
               เพราะว่าบุคคลที่ปรามาสพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าหลุดมือเขาไม่ได้ เรายังตกอยู่ในอำนาจเขาต่อไป เพราะ ฉะนั้นเขาพยายามที่จะทำให้เราเบนไปจากจุดที่เรากำลังจะเข้าถึง ถึงได้เคยบอกกับโยมหลายคนว่า ตอนที่ฟุ้งซ่านมาก ๆ ตอนนั้นเรากำลังใกล้ความดีที่สุด เขาก็เลยพยายามจะดึงให้เราฟุ้งซ่านเพื่อที่เราพ้นจากจุดนั้นไป
              ถ้าเราตั้งสติซักนิด ทบทวนย้อนหลังสักนิดหนึ่งว่าเราทำอะไรถึงมาถึงจุดนี้ จะสังเกตได้ว่าก่อนฟุ้งซ่านเราต้องกำลังใจดีมากเลย เพราะฉะนั้นทบทวนย้อนหลังไปซิว่าตอนที่ดี ๆ เพราะอะไรแล้วเราทำแบบนั้นต่อไปมันจะเข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะมันเหมือนกับว่าเราอยู่ปากประตูแล้ว แต่เขาเบี่ยงเราไปให้เดินไปทางอื่นแทน
                เพราะฉะนั้นถึงเป็นการดลใจของมารก็จริง แต่เราก็ปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา  ด้วยใจเหมือนกัน ถึง เขาจะดลใจให้ทำ แต่เราก็ทำไปแล้วด้วยตัวเขาเรา เพราะฉะนั้นเราต้องขอขมาพระรัตนตรัยอยู่ทุกครั้งที่เราจะทำความดี ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานอะไรก็ตามตั้งใจขอขมาพระซะก่อน มันจะตัดกรรมตัวนี้ไป เจ้าพวกนี้มันจะแกล้งอยู่ตลอดเวลาเป็นการทดสอบของเขาอย่างหนึ่ง หน้าที่ของเขาที่ทำอย่างนั้น หน้าที่ของเราคือหนีเขาให้พ้น ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ต้องไปเป็นศัตรูกับใครหรอก
       ถาม :  แล้วจะบาปหนักหรือเปล่า เวลาหนูกราบพระทีไรจะรู้สึกได้เลยว่า เหมือนมีความรู้สึกว่าจะปฏิบัติไม่ดีหรือเหมือนกับหนูจะเอาเท้าขึ้นมาซึ่ง ........(ไม่ชัด).............
       ตอบ :    นั่นน่ะ ลักษณะอาการมันไม่ได้หนัก ไม่ได้หนาอะไรหรอก มันเป็นอาการที่เขาจะทำให้เราเป็นอย่างนั้น ก็บอกแล้วให้ตั้งใจขอขมาพระ พวก นี้มันสู้ลูกตื๊อไม่ได้หรอก เขาทำให้เราคิดอย่างนั้นได้ ปรามาสอยา่งนั้นได้ เราก็ตั้งใจขอขมาไปเรื่อย พอเรารู้ทันเขา ๆ ก็เลิก รู้ว่าวิธีนี้เล่นงานเราไม่ได้แล้ว เล่นท่าไหนก็ขอขมาตะบันลาดอย่างเดียว โทษก็ไม่เกิดขึ้นเขาก็เลิกไปเอง 
              แต่ว่ามันก็ยุ่ง ๆ ทำให้เรากลุ้มใจอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน พอรู้เราก็เลิกกลุ้มซะ เอ็งมีหน้าที่แกล้งก็แกล้งไป ข้ามีหน้าที่ขอขมาข้าก็ขอของข้ามันก็จบ ถ้าไม่เข้าถึงความดีเขาไม่แกล้งเราหรอกเสียเวลาเปล่า เขากลัวว่าเราจะหลุดมือเขา ๆ ก็เลยพยายามแกล้งเพื่อจะดึงเรากลับ แสดงว่าเริ่มเข้าถึงจุดของความดี ทบทวนไปว่าก่อนหน้านี้ทำยังไง แล้วก็ย้ำจุดนั้นบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีกอย่าไปเบื่อ พอเราย้ำมาก ๆ เข้าเดี๋ยวมันก็เป็นของเราไปเอง พิมพ์ที่พระพูดลงไปหมด (หัวเราะ) เคยคุยกับเพื่อนไปแล้วก็พิมพ์ไป ซักพักหนึ่งมาดูปรากฏว่าที่เราพูดกันพิมพ์ลงไปหมดเลย (หัวเราะ)
       ถาม :  อย่างที่ล่าสุดในฝันเคยฝันถึงหลวงพ่อ ๒ ครั้ง ทั้งหลวงพ่อทั้งท่านแม่ มีช่วงที่ฝันไปแล้วนี่มีความรู้สึกว่า ตอนนั้นมีพิธีอะไรไม่รู้หรือสถานที่เก่า ๆ แล้วกำลังจะทำพิธีนั่งอยู่ก็มียุงออกมาจะกัดขาเรา แล้วมีความรู้สึกว่าตอนนั้นเราตัดสินใจแล้ว เราไม่กลัวแล้ว เข้าพิธีตอนนี้แล้วจะตายก็ตาย
              แต่พอเวลานั้นพอโดนไป คราวนี้เราไม่รู้สึกอะไรแล้ว รู้สึตัวเองว่าตัวเองวูบออกมาแล้วก็เหมือนกับเราลอยอยู่ข้างบน แล้วพอเอ๊ะ แปลกใจเสร็จเห็นเป็นทะเลกว้าง ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวจะลองลงไปที่ใต้ทะเลลึก พอคิดปุ๊บมันก็เหมือนดิ่งลงไปเลย พอดิ่งลงไปปุ๊บนี่กลับกลายเป็นว่ากลัวตายมันก็ตื่น ทำไมความรู้สึกที่เราไม่กลัวมันกับกลัวมันอยู่ในสภาวะเดียวกันล่ะคะ ?
       ตอบ :  มันอยู่สภาวะเดียวกันคือว่า แรก ๆ มันอยู่ในลักษณะที่ว่า เรารู้ว่าเราจะต้องตัดสินใจยังไง ในเมื่อเราอยู่ในสถานที่ ๆ เราคิดว่ามันดีพร้อมแล้ว ถึงตายเราก็ไม่กลัว พอเราลงไปใต้ทะเลมันเป็นสิ่งที่เราไม่มั่นใจจะไปพบอะไรบ้าง สิ่งที่เรายังกลัวอยู่มันฝังลึกอยู่ในใจมันก็แสดงออกมา อันนี้แสดงว่ากำลังใจของเราจริง ๆ แล้วกลัวตายเป็นปกติ
       ถาม :  เรื่องแบบที่ฟังมานี้มันเกิดได้กับทุกคน ? 
       ตอบ :    ทุกคนเพียงแต่ว่าใครจะเจอในแง่มุมไหนเท่านั้น ข้อสอบเขามาแค่ ๔ แนว รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นเอง ไอ้กลัวตายนี่หลง คือหลงเชื่อตัวเองจะไม่ตาย แต่ ๔ หัวข้อนี่มันออกมาได้เป็นล้าน ๆ รูปแบบ เพราะฉะนั้นของเราเองเจอหัวข้อเดียวกัน แต่มันออกมาคนละแนว เราก็ต้องตามมันให้ทัน
       ถาม :   ที่ฟังมานี้ตัวเองก็...........
       ตอบ :    แบบเดียวกัน ก็มันเดินตามกันนี่ คนข้างหน้าเขาเจออะไร เราก็เจออันนั้น แล้วเราเจออะไรคนข้างหลังเขาก็เจออย่างนั้น
       ถาม :  แสดงว่าลึก ๆ นี่เราเองนี่เราก็ยังกลัวตายอยู่ใช่มั้ยคะนี่ ? 
       ตอบ :    กลัวทุกคนล่ะจ้ะ ถ้าตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ยังกลัวอยู่ หลวงพ่อท่านเคยถามพระพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์หนีภัยมั้ย ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าสมควรก็หนี บาง ทีคนเราไปคิดว่าพระอรหันต์ยังกลัว ความจริงท่านไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะเข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง ในเมื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิงไม่มีทางที่จะตกต่ำลงไปสู่ภพภูมิที่จะ ทำให้ท่านทุกข์ท่านลำบากและเหตุนี้ท่านก็เลยเลิกกลัวตายไปเลย 
              แต่ว่าขณะเดียวกันภูมิอื่นภพอื่นนี้ยังมีความกลัวอยู่บ้าง อย่างเช่นว่ายังมีภาระที่ยังต้องทำอีก อย่างเช่นพระอนาคามี มีภาระที่ต้องทำเพื่อเข้าถึงความเป็นอรหันต์ ถ้าตายซะก่อนก็เข้าไปไม่ถึง แค่นั้นก็ต้องเสียเวลาไปต่อข้างบนต่อเป็นต้น ความกลัวของท่าน ๆ ไม่ได้กลัวตายในลักษณะอย่างนั้น อย่างประเภทที่ว่ามันเสียเวลาไปทำต่อ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.6.html

ถาม :   คนที่เข้านิพพานไปแล้วเขายังมีหน้าที่อยู่อีกหรือ ?
       ตอบ :     มีงานที่ต้องทำอยู่ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่งานของท่านหรอก แต่ว่าเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่น บุคคล ที่เข้านิพพานนี่ตัวบารมีทุกอย่างต้องเต็ม โดยเฉพาะเมตตาบารมีใช่มั้ย ? ถ้าเห็นคนอื่นเขาลำบากอยู่ถ้าสามารถสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์เลย เท่ากับว่ามีงานที่ยังต้องทำอยู่ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่งานของท่านนะ มันเป็นงานเพื่อคนอื่นล้วน ๆ
       ถาม :     แล้วอย่างเทวดากับพรหมนี่ท่านมีอารมณ์จิตเหมือนกันมั้ยคะ ?
       ตอบ :    ไม่เหมือนกันจะหยาบละเอียดปราณีตต่างกันไป แล้วอย่าไปคิดว่าพรหมดีกว่าเทวดา ถ้าเทวดาท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว พรหมไม่ใช่พระอริยเจ้านี่ กำลังใจของเทวดาก็ดีกว่า
       ถาม :     ในตำหน่งนี่พรหมสูงกว่าไม่ใช่เหรอคะ ?
       ตอบ :  คือโดยความหมายของเราสูงกว่า เพราะพรหม คือพรหมจรรย์ ผู้ที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง แต่ว่าผู้ที่เป็นเทวดาที่ท่านเข้าถึงความดีแต่ท่านไม่ได้ตั้งใจที่จะไปให้ มากกว่านั้น อย่างเช่น หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยพบภูมิเทวดานี่ถือว่าเป็นเทวดาชั้นต่ำสุด แต่ท่านเป็นพระอนาคามี ปกติพระอนาคามีต้องอยู่สุทธาวาสพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง คือพรหม ๕ ชั้นสูงสดุตั้งแต่ ๑๒ ขึ้นไป ๑๒ ถึง ๑๖ เป็นพรหม อนาคามี อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อสัญญี อกนิฏฐะ สุทธา วาสพรหม
       ถาม :     อย่างท่านก็ไม่ได้เป็นพรหมหรือว่าไม่ได้ตายในฌาน
       ตอบ :    ไม่ใช่ ตั้งใจจะไปแค่นั้น
       ถาม :    การปฏิบัติต่อในขณะที่อยู่ในชั้นนั้นนี่ จะดีกว่าปฏิบัติตอนที่อยู่เป็นคน ?
       ตอบ :  ดีกว่าแน่ ๆ เพราะศีลไม่ขาด แต่มันช้ามากที่ช้ามากเพราะว่าเปรียบกับมนุษย์นี่มันยาวนานเหลือเกิน ศีลจะให้ท่านถือกี่ข้อไม่มีขาดอยู่แล้ว ใช้สภาพความเป็นทิพย์นี่รักษาได้ครบถ้วน ต่อให้ถือศีล ๒๒๗ ของพระบวกกับอภิสมาจารย์ไปด้วย ท่านก็รักษาได้ครบถ้วน แต่ว่ามันช้าเพราะเวลาของท่านเปรียบกับเราแล้วเวลามันยาวนานเหลือเกิน
       ถาม :  อย่างถ้าคนที่ตาย ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุ กับตายด้วยโรคนี่มีกรรมอันไหนหนักกว่ากันคะ ? เพราะว่าตายด้วยโรคนี่รู้สึกจะทรมานกว่าด้วยอุบัติเหตุนะคะ ?
       ตอบ :  มันจะกรรมหนักกรรมเบาอะไรก็ตาม ต้นกรรมมันใช้หนี้ในนรกไป แล้วอันนี้มันแค่เศษเท่านั้น ขนาดเศษ ๆ นี่ล่อซะเละ บางคนไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย (หัวเราะ) รถชนที่หลุดเป็นท่อน ๆ เป็นชิ้น ๆ ก็มี เพราะฉะนั้นถามว่าอันไหนหนักกว่า มันก็ต้องดูสภาพของเขา อันไหนทุกข์ทรมานนาน อันนั้นก็หนักหน่อย ไอ้ตูมเดียวถึงหลุดเป็นชิ้น ๆ นั่นมันตายเลย ไม่ทรมานมาก
       ถาม :     งั้นเวลาที่บางคนก็เป็นโรคตาย แต่ก่อนที่จะตายอาการดีขึ้นมาหน่อยแล้วก็ตายเลย
       ตอบ :  หมดสติสุดท้ายตัวจะหลุดออกไปแล้ว กำลังใจทั้งหมดมันจะทรงตัวตั้งมั่นขึ้นมานิดหนึ่งที่ลักษณะถ้าหากว่าเปรียบ กับพระอริยเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วมันคนละแบบกัน แต่ว่ามันใกล้เคียงกันก็คือ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้ที่บรรลุมรรคผลสวยที่สุดในวันที่บรรลุมรรคผลวันหนึ่ง กับวันที่จะตายวันหนึ่ง ๒ วันในลักษณะเดียวกันก็คือว่า ความผ่องใสมันปรากฏขึ้นชั่วขณะหนึ่ง 
              อันนั้นก็ได้สติขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ถ้าตอนนั้นมีใครแนะนำในสิ่งที่ดี ๆ ให้ยึดให้เกาะมันก็สบายไปเลย โบราณเขาถึงได้สอนให้กรอกหูคนป่วยใกล้ตายว่าพระอรหัง ๆ หรือว่าพุทโธ ๆ
       ถาม :     แล้วถ้าช่วยเขาในตอนวาระนั้น แต่ถ้าสมมุติเป็นไปได้มั้ยคะว่า เขาจะนึกตามได้ทุกคน ?
       ตอบ :     น้อยมาก ถ้าหากว่าไปยึดกับเวทนา ความเจ็บ ความปวดบางทีที่เราพูดไป เขาไม่รู้เรื่องเลยซะด้วยซ้ำไป ลักษณะที่หลวงพ่อสำราญท่าน เคยเทศน์ไง คนมันหาปลามาตลอดชีวิตก่อนตายเกิดอาการเจ็บป่วยเวทนากล้ามาก พวกก็ไปแนะนำ เฮ้ย...อรหัง ๆ แล้วก็บอกว่า ไอ้โดท่องคำว่าอรหังไม่ได้ คิดแต่ปลาชะโดพอเพื่อนบอกพุทโธ เพื่อนบอกไอ้ช่อนไปคนละเรื่องเลย คือจิตมันไปเกาะทางด้านโน้นซะแล้ว ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ไม่พ้นอบายภูมิหรอกเสร็จแน่ ๆ เลย
       ถาม :  ที่พูดมานี่ ถ้าเกิดเราคิดขึ้นมาว่า ทุกครั้งเราพยายามไม่ประมาท พอถึงจุดสุดท้ายนี่ความรู้สึกตัว ความรู้สึกนึถึงพระรัตนตรัยอยู่ อย่างยกตัวอย่างกรณีที่ผ่านมา ความรู้สึกกลัวตาย
       ตอบ :    กลัวตายมันมีทุกรูปทุกนาม แต่เพียงแต่ว่ากลัวอย่างมีสติหรือกลัวอย่างขาดสติ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างสติของเราให้มั่นคง ที่ท่านสอนให้ภาวนาก็เพื่อจุดนี้ พอสติมันมั่นคงความกลัวยังมีอยู่แต่ประเภทที่ว่ามัน ๆ พร้อมที่จะตาย ในเมื่อแก้ไขทุกวิถีทางแล้วไม่สามารถจแก้ได้ เราก็รู้อยู่แล้ว่าตายแล้วไปดีสติสมบูรณ์ไปเกาะความดีอยู่
       ถาม :    ....................
       ตอบ :      ถ้าจิตเกาะความดีไปดีเลย ถ้าจิตเกาะสิ่งไม่ดีก็ไปไม่ดีเลย ต่อให้ทำบุญเก่ามามากแค่ไหนแต่ถ้าก่อนตายเกาะด้านไม่ดี ก็เสร็จต้องไปรับส่วนที่ไม่ดีก่อน แล้วทำความชั่วมาหนัก ๆ อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตายหน่อยเดียวก็ไปรับผลของความดีก่อน 
               แต่บางคนว่าไม่ยุติธรรมเพราะว่าทำความชั่วมาตลอด แล้วทำไมอยู่ ๆ ก็ขึ้นไปเป็นเทวดาอยู่ข้างบน ความจริงยุติธรรมมาก ท่านทำความดีนิดเดียวท่านก็ได้นิดเดียว อีกไม่กี่วันก็จะจุติอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้อากาสจารีเทพบุตรไปเจอเข้าก็เจ๊งเลย เพราะท่านต้องลงนรกทุกขุม ยังดีนะบุญเก่าตามทัน
       ถาม :     ..........(ไม่ชัด)..........ตอนก่อนตายนึกถึงความดีนิดเดียว ?
       ตอบ :     คือมันไปแป๊บเดียว ทำนิดเดียวก็ไปแป๊บเดียว ถ้าไม่ต่อบุญตัวเองตรงนั้นเจ๊งเลย
       ถาม :     ต้องต่อบุญไปเรื่อย ๆ ใช่มั้ย ?
       ตอบ :  ใช่ หนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลาดเมื่อไหร่ของเก่ามันทวงหมด ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้านี่มีสิทธิ์โดนทวงคืนได้ทุกเวลา ถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้วเขาทวงได้แค่เศษกรรม เพราะว่าอบายภูมิ ๔ ปิดไปแล้ว
       ถาม :   ที่อ่านเจอในหนังสือ หมายความว่าเราขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้ว ยังแค่เทวดา แค่พรหม ไปอ่านเจอว่าข้างบนก็ต่อไปได้อีกเหรอ ?
       ตอบ :  ได้อยู่ ถ้าทำความดีอย่างที่บอกไง เทวดา พรหมนี่ ศีลทุกข้อท่านรักษาได้หมด ให้รักษาเยอะแค่ไหนท่านก็รักษาได้ ในสภาพความเป็นทิพย์สติท่านรู้รอบกว่าเรามากเหลือเกินใช่มั้ย ?
              เพราะฉะนั้นท่านทรงศีลปกติอยู่แล้ว ทำความดีข้างบนมันทำง่ายกว่าเพียงแต่ระยะเวลามันยาวมาก ก็เลยมีหลายท่านที่ยอมเสี่ยงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมุษย์นี่ไม่รู้ว่ามันจะขึ้นหรือจะลง ถ้าพลาดแล้วกรรมเก่ามันชักแล้วมันลง แต่ท่านก็เสี่ยงลงมา เพราะว่าอายุมนุษย์มันน้อย เทียบกับเทวดา เทียบกับพรหมแล้วมันแป๊บ ๆ ของท่านเอง
       ถาม :  อย่างรู้จักเด็กคนหนึ่งที่ลพบุรี เขามีความรู้สึกว่าเขาไปสูงกว่าผม ไปไกลกว่าผม แต่ว่าทำไมเขายังอยากที่จะเกิดอยู่ ยังอยากที่จะเกิดอยู่กับในโลกปัจจุบัน ?
       ตอบ :   กำลังใจมีอยู่ ๒ ประเภท ๆ หนึ่งเรียกว่าพระโพธิสัตว์ อีกประเภทหนึ่งก็คือ สาวกภูมิ สาวกภูมินี่ถ้าหากว่าเป็นพระโพธิสัตว์นี่ท่านละความปรารถนาแล้ว จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีจนเข้าถึงที่สุดไปเลย ท่านที่อยากเกิดอีกส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ยังมีภาระหน้าที่ที่ท่านจำ เป็นต้องทำอยู่ ท่านขอเกิดใหม่ ฉะนั้นถึงกำลังใจท่านจะสูงกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไปนิพพานเลย
       ถาม :    แล้วอย่างนี้มันก็น่าแปลกใจ อยู่ในลักษณะนี้ไปนิพพานได้ แต่หมายความไม่ยอมไป ?
       ตอบ :    คือถ้าไป เขาไปได้ง่ายกว่าเรา แต่ว่าของเขาเองจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยเมตตามาก ตั้งใจจะสงเคราะห์คนอื่นเขาอย่างพระอษิติครรภโพธิสัตว์นั่นคนจีนเรียก ตี่จั๊งผู้สัก ท่านอธิษฐานไว้ ว่าถ้าตราบใดที่อบายภูมิยังมีดวงจิตเหลืออยู่แม้แต่ดวงเดียวท่านก็จะยังไม่ ยอมเข้านิพพานจะสงเคราะห์ก่อน ก็เลยไม่เห็นที่สุดเลยว่าองค์นี้ท่านจะไปนิพพานเมื่อไหร่ เพราะในอบายภูมินี่มันเหลือคณานับ
              อันนี้ส่วนใหญ่แล้วท่านประกอบไปด้วยเมตตามากเหลือเกิน ในเมื่อเมตตามากเหลือเกินเราไม่ต้องไปแปลกใจหรอก สิ่งที่สมควรแท้ ๆ ท่านเองท่านกลับคิดว่ามันจะเป็นการเอาตัวรอดคนเดียว ท่านก็คิดจะช่วยคนอื่นให้รอดด้วย
       ถาม :   แล้วอย่างนี้ ฟังแล้วมีหลายดวงจิตที่คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็เหมือนกับว่าต้องแข่งกัน ?
       ตอบ :    ก็อย่างนั้น ถึงได้มีลำดับของการบรรลุ ตรัสรู้ก่อนหลังกัน แล้วทำไมต้องเป็นพระศรีอริยเมตไตรย ทำไมไม่เป็นองค์อื่น อย่างนี้ก็มีก่อนมีหลังตามลำดับการสร้างบารมีมา แต่ว่าบางองค์ถึงสร้างก่อนก็ตาม แต่ว่ากำลังใจมันหย่อนยานไปหน่อยก็บรรลุทีหลังก็มี
       ถาม :    ที่ท่านเกิดมาสงเคราะห์คนนี่ อารมณ์ของรัก โลภ โกรธ หลง จะยังมีอยู่รึเปล่าคะ ?
       ตอบ :  มีเต็ม ๆ เลยจ้า เพราะท่านไม่ใช่พระอริยเจ้า จนกว่าจะชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถึงจะบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ไป
       ถาม :    อย่างนี้เรียกว่าพลาดได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    ไม่ใช่เรียกว่าพลาดได้เหมือนกัน มีโอกาสพลาดได้เกิน ๑๐๐ % (หัวเราะ) แต่ว่าท่าน ยอมเสี่ยงเพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของส่วนรวมแล้วท่านเห็นแล้วว่ามันคุ้มค่าท่านก็เสี่ยงตัวเอง จะลำบากแค่ไหนไม่ว่าถ้าส่วนรวมมีความสุข
       ถาม :    ที่คนที่ท่านสงเคราะห์นี่ ส่วนใหญ่แล้วจะต้องเคยมี ....?
       ตอบ :   ก็เคยอธิษฐานตามกันมา เคยต้องการจะเป็นบริวารท่านมา
       ถาม :  แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าถ้าเขาภาวนา พยายามให้มีสติรับรู้ บางทีภาวนาจนไม่รู้ว่าภาวนา แล้วก็ไปคิดอีกเรื่องแล้วกลับมาภาวนาถือว่าทำสมาธิไม่ดีหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  ช่วงนั้นก็เป็นอันว่าสมาธิขาดช่วงลง พอรู้ตัวเมื่อไหร่แล้วให้รีบทำต่อไม่ให้ดึงไปไกลนี่ใช้ได้อยู่นะ เผลอแล้วดึงกลับ เผลอเมือ่ไหร่ดึงกลับ เดี๋ยวพอไปนาน ๆ มันเป็นมหาสติมันก็จะไม่เผลออีก
       ถาม :   แล้วตอนมันกลับมามันต่อด้วยสมาธิ บางทีเราไม่รู้ตัว ทำไมถึงอารมณ์มันภาวนาอยู่ได้ ?
       ตอบ :    คืออารมณ์จิตมันมีสภาพจำ พอถึงเวลาแล้วมันทำงานอัตโนมัติ มันทำของมันเองได้แต่ว่า ถ้าจะให้ดีเอาสติกำกับให้รู้ตลอดเอาไว้มันจะได้ไม่พลาด ลักษณะนั้นโอกาสที่พลาดยังมี เกิดกำลังคิดไม่ดีอยู่ตายตอนนั้นยุ่งเลย
       ถาม :  แล้วที่เคยฟังเทปนะคะ อย่างคนที่ถ้าสมัยก่อนได้รับการเป่ายันต์เกราะเพชรหลวงพ่อฤาษีค่ะ ทีนี้โอกาสที่จะโดนสิ่งที่ไม่ดีมาเข้าตัวโดยคนปรารถนาไม่ดีส่งของมาให้
       ตอบ :    ถ้าประมาทก็มีโอกาสโดน ยันต์เกราะเพชรจำเป็นต้องอาราธนาทุกวัน แล้วก็ต้องรักษาศีลให้ได้ ถ้าศีลขาดเช่นว่า กินเหล้าหรือลักขโมย ยันต์เกราะเพชรจะเสื่อม
       ถาม :    แล้วเพราะเหตุใด เฉพาะ ๒ ตัวนี้ทำให้เสื่อม แล้วศีลข้ออื่นไม่ทำให้เสื่อมด้วยหรือคะ ?
       ตอบ :    ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดเอาไว้เพราะว่า ศีล ๒ ข้อนี้มันเป็นต้นเหตุของการเบียดเบียน กินเหล้าเบียดเบียนตัวเอง ลักขโมยเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งตัวเองและผู้อื่นแล้วโดยเฉพาะตัวศีลข้อกินเหล้านี่มันจะทำให้ศีลอีก ๔ ข้อทรงตัวอยู่ไม่ได้ พอเมาไปแล้วมันขาดสติ พอขาดสติอีก ๔ ข้อมันขาดตามไปได้สบายมากเลย ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดมาไว้อย่างนั้น ในเมื่อกำหนดมาไว้อย่างนั้น พระหรือเทวดาที่ท่านสงเคราะห์ ในเมื่อละเมิดในข้อที่เรากำหนด ท่านก็เลิกให้การสงเคราะห์มันก็เท่ากับว่ายันต์เกราะเพชรอันนั้นเสื่อมลงไป
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.7.html

ถาม :  แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าปฏิบัติไปได้บารมีค่อนข้างสูงแล้วนี่ การที่มีบุคคลไม่ดีประสงค์ร้ายแล้วอย่างนี้ เจ้าตัวจะรับรู้เองก่อนหรือว่าพระท่านจะสงเคราะห์ให้คะ ?
       ตอบ :   บางทีก็ไม่รู้ยกเว้นว่า เราตั้งใจจะรู้ อย่าลืมว่าแม้กระทั่งพระอรหันต์ระดับพระมหากัสสปะ ยัง โดนเทวดาหลอกได้ เพราะท่านไม่ได้ไปตั้งอารมณ์รู้อยู่ตลอดเวลาใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นของเราเองโอกาสที่การจะรู้มันก็น้อยหน่อย แต่ว่าขณะเดียวกันว่าถึงไม่ได้เป่ายันต์เกราะเพชรไปก็ตาม ถ้าเรารักษากำลังใจให้มั่นคงอยู่ในการภาวนา เอาซักปฐมฌานอย่างนี้ พวกไสยศาสตร์ทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอให้มันหลุดไปก็แล้วกัน
               ความจริงกำลังมันเกินอุปจารสมาธิที่เขาเรียก อุปจารฌาน ฌานมันใกล้จะเป็นปฐมฌาน เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แต่เพียงแต่มันห้ามเผลอเท่านั้นเอง ใครไม่เคยเป่ายันต์เกราะเพชรไม่ต้องเสียใจ ภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ตลอดเวลาก็เหมือนกัน เพียงแต่ตลอดเวลามันทำยากหน่อย (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วอย่างนี้ตอนที่เขาส่งสิ่งไม่ดีมา จะรู้มั้ยคะว่าเป็นหน้าบุคคลไหนเลยรึเปล่า ?
       ตอบ :    คือถ้าตั้งใจจะรู้นะ ถ้าตั้งใจจะรู้ผู้ที่มีทิพจักขุญาณหรือมโนมยิทธินี่จะรู้เลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจซะด้วยซ้ำไป รู้อยู่แต่เราเจ็บจะแย่อยู่แล้ว ก็ตั้งใจจะไปนิพพานคือร่างกายมันจะตาย จะพังก็เรื่องของมันเราไปนิพพานดีกว่ากำหนดใจเอาไว้ แล้วมันไม่ไปนิพพานไปหล่นปุ๊อยู่กลางวงเขาพอดีเลย ไปนั่งดูเขาทำเราเอง เออ....สนุกดี (หัวเราะ) อันนั้นของพระท่านคงตั้งใจสงเคราะห์ให้รู้ว่าใครมันทำก็เลยลงไปดู แหม....มีทั้งนุ่งเหลือง มีทั้งนุ่งขาว มีทั้งนุ่งลาย โอ้โห...คึกคักกันมาก เขาเล่นตั้งสำนักกันขึ้นมาเพื่อเล่นงานเราเลย
       ถาม :    พอดี พอเห็นเขาแล้วไม่ทำอะไร ?
       ตอบ :  ไม่ได้คิดทำอะไรหรอก แต่พอไปเห็นหน้าเขาคน ๆ หนึ่งเข้า แล้วจำได้นะ ก็ไม่นึกว่าเขาจะผูกอาฆาตเอาไว้นานขนาดนั้น มาทวงของเก่าก่อนมาบวช เคยทำให้เขาโกรธ อุตส่าห์คิดถึงเราส่งของฝากมา
       ถาม :  หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่าง นี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ 
               วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไป เห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอม ๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์
              ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย
       ถาม :     แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
       ตอบ :  เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย
       ถาม :  แล้วถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพระที่สอนคน คือสอนทางธรรมแล้วคนปฏิบัติหรือว่าไปในทางที่ดี ถือก็ว่าท่านมีบุญบารมีขึ้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ ถ้ารู้จริงสอนถูกต้องส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าสำหรับเป็นพระอริยเจ้าแล้วคำว่า อริยะ แปลว่า เจริญ ไม่มีคำว่าเสื่อม มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นไป เพราะอย่างงั้นถ้าถามว่าเป็นบุญมั้ย ? เป็นอยู่จะส่งผลให้ท่านดีขึ้นมั้ย ? ดีขึ้นแน่ ๆ เพราะว่าท่านไม่มีวันเสื่อมแล้ว
       ถาม :    แล้วสมมุติว่า บางคนเขาไม่ตั้งใจถือว่าเป็นกรรมเก่ามั้ย ที่เขา.....?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันก็เป็นกรรมเก่าอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาที่อื่นเยอะแยะไปที่เราคิดว่าดี?ทำไมเขาไม่ไปเขาเลี้ยวเข้าไปในสำนัก อย่างงั้น ก็คงจะเคยสร้างบารมีร่วมกันมา แต่ว่าไม่แน่นะบางรายอย่างพระสุธรรมเถร บาลีเขาเรียก ตุจโฉโปฏฐิละเถรใบลานเปล่า คือ ตัวเองไม่ได้อะไรสอนตามพุทธวัจนะเฉย ๆ ลูกศิษย์กลายเป็นพระอรหันต์เป็นพัน ๆ เลย ลูกศิษย์ฉลาดสอนตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อะไรเลย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เรียกเถรใบลานเปล่า นี่เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งให้รู้สึกตัว
              ก่อนนั้นก็ยิ้มรับนะไป ๆ มา ๆ เอ๊ะทำไมพระพุทธเจ้าเรียกเราอย่างนี้ นึกไปนึกมา อ๋อ..ที่แท้เราเองดีแต่สอนคนอื่นเขา เหมือนยังกับเปิดตำราเปิดใบลานสอนอย่างนี้ แต่ว่าตัวของเราเองไม่ได้มีความดีอะไรตามนั้นเลย ก็เหมือนกับใบลานเปล่า ตั้งใจจะปฏิบัติไป ขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์แล้วสอนไม่มีใครกล้าสอน ท่านก็ต้องขอไล่ไปเรื่อย ๆ เขาโบ้ยไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเณรองค์สุดท้ายโน่น เณรก็เป็นอรหันต์แล้ว เณรเหลียวไปมองเอ้า...ไม่มีใครจะให้โบ้ยแล้วก็เลยต้องรับเป็นอาจารย์ ...(หัวเราะ)...
              เสร็จแล้วท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงเณรสอนก็เถอะใช่มั้ย ? เพราะว่าสามเณรอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี่ถือเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นพระเถระ ไม่มีคำว่าเด็กแล้วนะ ตัวนี้แหละโบราณเขาเคยผูกเป็นโคลงเอาไว้ว่า ?ปลูกเรือนใกล้ท่า ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด? ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน นั่นมันขี้เกียจขนาดไหน ปลูกอยู่ริมน้ำแท้ ๆ ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ ถ้ามันขยันซะอย่างน้อย ๆ มันต้องมีแน่ ก็เปรียบหยั่งกับนักบวชของเราเป็นพระเป็นเณร มัวแต่ขี้เกียจอยู่หาความดีไม่ได้จะไปเอาน้ำที่ไหนกิน จะเอาหม้อที่ไหนใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ชาวบ้านอุตส่าห์บำรุงเลี้ยงเราอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนหยั่งกับเลี้ยงไก่หวังจะให้ขันบอกโมงยาม บอกหนทางไปสวรรค์บอกอะไรบ้าง ไม่ได้ศึกษาความรู้อะไรเลย จะเอาอะไรไปขันไปสอนเขา แล้วท่านก็บอกอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด ในสมัยโบราณนี่พวกคัมภีร์เทศน์อะไรต่าง ๆ เขาห่อผ้าเอาไว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาถ้าไม่แกะออกมาดูไม่ได้อ่านมันก็ไม่ได้ ทำซักที
              โบราณเขาผูกเป็นปริศนาเอาไว้ บางคนตีไม่ออกอยากไปสวรรค์ไปแก้ผ้าในวัด มันขืนไปแก้กันเป็นแถว พระเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ เลย เข้าใจใช่มั้ย ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำกิน นี่ขี้เกียจสุด ๆ เลยคนบ้านเขาไกลห่างน้ำหลายกิโล เขายังอุตส่าห์ไปตักไปแบกมากินนะ ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด...(หัวเราะ)....
              ปริศนาธรรมโบราณเขาลึกซึ้ง โดยเฉพาะเลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขันนี่ ชาวบ้านเขาคงละอายใจเต็มที่แล้ว เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาแต่หาความดีไม่ได้ สักแต่ว่าห่มผ้าเหลืองไปวัน ๆ ท่านถึงได้เปรียบว่า เอาผ้าเหลืองไปห่มตอซะยังดีกว่า ไหว้ตอไม้แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์ได้บุญมากกว่า
       ถาม :   พระปางอันนี้กับอันนี้ต่างกันยังไง ?
       ตอบ :     เขาเรียงปางปฐมเทศนา ปางปฐมเทศนาจะเป็นตอนที่ท่านโปรดปัญจวัคคีทั้ง ๕ จะสังเกตว่า รูปพระสงฆ์ที่ฐานจะมีแค่ ๕ องค์ ซึ่งปกติถ้าเราทำจะต้อง ๒ ข้างเท่ากัน อันนี้ข้างหนึ่ง ๒ ข้างหนึ่ง ๓
              คือว่า สมัยแรก ๆ แล้วการสร้างรูปเคารพในพุทธศาสนาก็จะส่วนใหญ่จะสร้างเป็นธรรมจักรเฉย ๆ มายุคหนึ่งที่ว่า ทางกรีกเขาเรืองอำนาจขึ้นมามาก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ตีเข้ามาถึงเอเชียไมเนอร์ ได้อินเดีย ได้อะไรเป็นเมืองขึ้นหมดแล้ว ก็มาถึงยุคหลัง ๆ อย่างพระยามิลินทร์เขาเรียก เมนันเดอร์ เขาเคารพพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก 
              คราวนี้ตามแบบของกรีกของฝรั่งเขาเคารพใครนับถือใคร เขาจะสร้างอนุสาวรีย์ เมื่อมาเคารพพระพุทธเจ้า ก็อยากจะสร้างรูปเคารพขึ้นมาบ้าง ก็เริ่มสร้างเป็นพระพุทธรูปขึ้นมา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าพระพุทธรูปในยุคแรกที่เขาเรียกว่า ปางคันธารราษฎร์ คือยุคกรีก หน้าตาจะออกเป็นฝรั่ง อันนี้ที่เขาเรียกคุปตะ   จะเป็นยุคหลังมา ก็จะประกอบไปด้วยธรรมจักร กวางหมอบอะไรเหล่านี้เป็นต้น
       ถาม :    ..................................
       ตอบ :     ถ้าหากว่าถามว่าเรียกยุคไหนสมัยไหน เขาเรียกว่า ?สมัยคุปตะ? แล้วพวกยุคแต่ละยุคที่เขาแบ่ง ๆ มันก็จะมีอย่างปัลลวะ นี่จะเป็นมอญโบราณ แล้วก็ทวาราวดี ทรวาราวดีนี่สังเกตได้ว่าพระจะคิ้วต่อแล้วก็โอษฐ์แบะ แล้วถ้าหากว่าเป็นพระยืน ชายจีวรจะเป็นรูปตัวยู จำได้ง่ายมาก แล้วก็จะมาเป็นเชียงแสน เป็นสุโขทัย อู่ทอง อยุธยา แล้วก็ยังมีศิลปะที่อออกไปทางพวกขอม
                ถ้าหากว่าพวกขอมนี่ก็จะมีลักษณะทรงเครื่องที่เขาทรงเครื่องสวมศีรษะที่เรียกว่า ?เทริด? จะเป็นลักษณะเหมือนกับมงกุฎทรงเตี้ย ๆ อยู่หรือลักษณะบางทีเหมือนกับหมวกซะด้วยซ้ำไป ก็ค่อย ๆ แยกค่อย ๆ จำไป จริง ๆ แล้วก็คือพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพียงแต่ว่าใครมีประเพณีความเชื่อถืออย่างไร หรือว่าเห็นว่าอย่างไหนสวยก็ทำอย่างนั้นขึ้นมา
       ถาม :     แล้วท่าทางของแต่ละองค์ที่ปรากฏนี่ใครเป็นคนกำหนดครับ ?
       ตอบ :  ลักษณะที่เขาคิดว่าในตอนนั้นพระพุทธเจ้าทำท่าทางอย่างนั้น ๆ แล้วเขาชอบแบบนั้น เขาก็ทำขึ้นมา เช่นว่า ปางลีลา ต้องเดินย่างบาทนำไปข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำลังยก ยกประเภทเผยส้นพระบาทขึ้นมาอย่างนี้ แล้วก็ยกมือปางประทานพรข้างหนึ่งแกว่งแขนข้างหนึ่ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น
       ถาม :   คนที่ปั้นหล่อพระนี่ถ้าทำไม่ถูกส่วนหรือผิดไปนี่ถือว่าเป็นการปรามาสมั้ยคะ ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วเขาทำโดยเจตนาดีนี่บุญเป็นของเขานะ แต่คราวนี้ถ้าหากว่าไม่ดีไม่งามอาจจะเกิดแบบนางปัญจปาปา นางปัญจปาปานี่แกทำบุญตอนกำลังโกรธ เกิดมานี่เนื้อเป็นทิพย์ใครจับหลงแกทุกราย แต่หน้าตาแกดูไม่ได้เลย ถ้าคนไม่ไปแตะตัวแกซะก่อนนี่ไม่อยากมองเลย มันก็ในลักษณะนั้น บุญมากแต่ว่าบางทีหากไม่ดีไม่งาม ถึงเวลาได้ของอะไรมาอาจจะไม่น่าดู แต่ว่าใช้งานได้ดีมาก
       ถาม :  ถ้าการปฏิบัติธรรมที่เราคิดจะหนีกรรม ทีนี้ถ้าสามารถปฏิบัติได้ถึงให้เข้าสู่พระนิพพานแล้วนี่ แสดงว่ากรรมนั้นไม่ได้ถูกชดใช้เลยใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :     ไม่ได้ใช้เลยเขาเรียก อโหสิกรรม คือต้องขาดกันไปโดยอัตโนมัติเลย เพราะอีกผู้หนึ่งบริสุทธิ์จนกระทั่งพ้นเขตของกรรมไปแล้ว กรรมไม่สามารถส่งผลให้ได้เขาเรียก ?อโหสิกรรม? คราวนี้ว่าการปฏิบัติเพื่อหนีกรรมนี่ ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนาจริง ๆ กฎของกรรมตามได้ไม่เกิน ๒๕% อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้เองนะ เพราะฉะนั้นโดยเฉพาะตัวภาวนาทำให้มากเข้าไว้ กำลังยิ่งสูงเท่าไหร่ บุญก็จะส่งให้เราห่างกรรมออกไปมากเท่านั้น
       ถาม :    การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตรงนี้ปฏิบัติได้ยังไงบ้างเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ทาน ศีล ภาวนา ทานอยากจะให้อะไรบ้างล่ะ ....(หัวเราะ) ทานก็เริ่มดู ก็จะมีวัตถุทาน ธรรมทาน อภัยทาน เลือกเอา แล้วก็ศีล ๆ อันนี้ก็คือรักษาตัวเองอย่าให้ศีลขาด เมื่อศีลไม่ขาดแล้วก็อย่ายุให้คนอื่นทำด้วย แล้วก็เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย ส่วนของการภาวนาก็ว่าไปเลยอย่างน้อย ๆ ให้ได้ปฐมฌานเอาไว้ ถ้าสามารถทรงฌานไว้แล้วไม่ทิ้งทำอยู่ประจำ ๆ นี่ตัวกรรมมันจากหนักมันก็เป็นเบา คือมันจะตามเล่นงานเราได้ยากขึ้น เพราะกำลังเราสูงซะแล้ว
       ถาม :    คนที่ปฏิบัติที่มีการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่ ....(ไม่ชัด)...จะมากกว่าคนทั่วไปใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกันปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่แต่ฟุ้งซ่านก็ไม่เอาไหนอยู่นะจ๊ะ ท่านหมายความว่ากำลังใจของเขาถ้าต้องมุ่งตรงแล้วต้องเป็นหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนท่อน้ำท่อหนึ่ง ถ้าหากว่ามันแตกแขนงออกมากมายเท่าไหร่ก็ตาม กำลังน้ำที่มันจะมุ่งตรงไปมันก็เบาลงเท่านั้น ใช้งานได้ยาก
              แต่ถ้าเราปิดท่อที่แตกแขนงออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กำลังน้ำมันก็จะแรงขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มกำลังของมันลักษณะ เดียวกับเราสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่เปิดช่องให้มันแลบออกไปข้างนอกได้ กำลังมันรวมตัว พอการตัดกิเลสต่าง ๆ มันก็ง่ายขึ้น
       ถาม :    อย่างนี้พูดง่าย ๆ คือการรักษาให้มั่นคงใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    จ้ะ รักษาให้มั่นคงมันไม่ยาก มันยากตรงทำให้ต่อเนื่อง เพราะว่ากำลังใจของเราอย่างฌานโลกีย์พอเรารวมกำลังใจได้มันก็มั่นคง ทรงฌาน ๔ ก็ทรงเป๋งเลย 
               แต่ทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องยาวนานได้ตรงนี้สำคัญกว่า ส่วนใหญ่พวกเราจะประสบปัญหาก็คือว่า พอเลิกภาวนาก็เลิกเลยมันใช้ไม่ได้ เพราะว่าอันนั้นมันจะเท่ากับว่าหากินทีละมื้อ ตำข้าวสารกรอกหม้อเฉย ๆ พอเราลุกขึ้นต้องรักษาอารมณ์ตอนนั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนาน ได้ เพื่อให้จิตมันชินกับการที่กิเลสหรือว่านิวรณ์โดนกดเอาไว้ก่อน จนกว่าเราจะละมันได้เอง ถ้าเรากดมันไว้จนชินมันมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้เรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มเอาไว้ 
              เขาเปรียบเหมือนเอาหินทับหญ้าทับนาน ๆ เข้าหญ้ามันตายไปเอง เพราะเราเองต้องพยายามทับหญ้ามันไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่ลุกขึ้นแล้วเลิกเลยนะ
               ตัวรักษาอารมณ์ต่อเนื่องสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ จะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเราไม่รักษาให้ต่อเนื่องไม่หมั่นพิจารณาดูว่า เหตุอะไรที่ทำให้ใจของเราสบายแล้วทำเหตุนั้น เหตุอะไรที่ทำให้ใจเราไม่สบายแล้วละเหตุนั้นเสีย ถ้าเราไม่รู้จักเลือกหาตรงจุดนี้แล้วรักษาอารมณ์เราให้ต่อเนื่องในด้านดีเอา ไว้ มันจะก้าวหน้าลำบาก จะสงสัยว่า เอ๊ะ ! ทำเท่าไหร่ ๆ มันก็ได้แค่นั้น ก็เราทำแค่นั้นมันไม่ทำให้เยอะกว่านั้นนี่
       ถาม :   เรียกว่าล้มเหลวได้มั้ยคะ ?
       ตอบ :     จะเรียกว่าล้มเหลวก็ได้ แต่จริง ๆ มันยังได้อยู่คือ ได้ทำ (หัวเราะ) ได้ทำนี่เหนื่อย แต่งานมันได้น้อย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/14.8.html

ถาม :    อยู่ตามที่ทำงานแล้วมันบากค่ะ
       ตอบ :  ลำบากนั่นไม่มีปัญหา เราไปแค่กรอบของศีลบ้าตามเขาได้ทุกเรื่องเลย คนที่บ้าอย่างมีสติมันทำได้ดีกว่าเขานะ มันก็เหมือนกับคนเมาดิบ คนเมาดิบนี่ท่ามันหนักกว่าคนเมาจริงเยอะเลย เสียงก็ดังกว่าเขา เราอาศัยศีลเป็นกรอบเราไปแค่กรอบของศีล ไปอย่างมีสติ เพราะฉะนั้นเวลาเราบ้าตามคนอื่นเขา มันจะสนุกกว่ามากเรียกว่าบ้าอย่างมีสติ คนอื่นเขาบ้าเพราะขาดสติ
       ถาม :    อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ?
       ตอบ :    ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริง ๆ ก็คือตัวภาวนา ๆ จะทำให้เข้านิพพานได้ แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่ เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย ? ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือน ๆ กันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอ ๆ กัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน
       ถาม :    ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ....?
       ตอบ :     สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน กติกาของการไปนิพพานก็คือ 
               ๑.   เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง
               ๒.   รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์
              ๓. ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ต้องเห็นนรกเห็นสวรรค์บ้างมั้ย ? ไม่มีนะ สิ่งที่เห็นสำหรับคนขี้สงสัยจะได้แก้สงสัยว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าหากว่ามัวแต่แก้สงสัยมัวแต่ไปทำอยู่ ตายตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะได้เต็มที่ก็พาลไม่ได้ไปด้วย ก็ได้แค่ตามสมควรเท่านั้น ดังนั้นว่าถ้าหากว่าเรามีความเชื่อถือที่มั่นคงจริงจังแล้วพระพุทธเจ้าสอน ถูกตั้งหน้าตั้งตาทำ เมื่อถึงวาระนั้นอารมณ์ของพระนิพพานจะเข้ามาเต็มในใจของเราเอง แล้วเราจะรู้ว่าสภาพของนิพพานแท้จริงเป็นยังไงไม่ต้องเห็นก็ได้
               เพราะฉะนั้นถึงว่าบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ทำไมถึงมั่นใจคุณของพระรัตนตรัย ทำไมถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพานทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เห็น เพราะว่าอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเต็มในใจของท่านเอง เมือ่เข้าถึงแล้วรับรู้ได้แล้วถึงไม่เห็นก็มั่นใจ
               เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นแค่ของแถม ถ้าหากว่าเห็นแล้วใช้ผิดอย่างปัจจุบันนี้ก็ยิ่งน่าเวทนาหนักเข้าไปอีก มโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด เพราะว่ากิเลสโดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลวงเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าใจไม่อยู่คอยปรุงคอยแต่งแล้วมันไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ มโนมยิทธิเป็นการถอดใจออกไป มันโกรธขึ้นมาอาศัยความชำนาญวิ่งไปอยู่บนพระนิพพาน มันเกิดราคะขึ้นมาอาศัยความชำนาญโดดขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน
              ในเมื่อไม่มีใครมาปรุงมาแต่งมันก็เหมือนกับอาหาร ไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำตาลไม่ได้ใส่น้ำส้มน้ำปลาอะไร รสชาดมันไม่เอาอ่าว มันจืดชืด ไม่นานมันก็เลิกของมันไปเองพอทำบ่อย ๆ การตัดกิเลสอัตโนมัติโดยเฉพาะไปนิพพานได้ รู้จักพระนิพพานจิตมันเกาะอยู่เป็นประจำ กิเลสมันหมดเข้านิพพานได้ง่าย ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด ๆ ตรงที่ว่ายังไง...ไประลึกชาติใช่มั้ย ? คนนั้นก็เป็นญาติเรา คนนั้นเป็นพ่อคนโน้นเป็นแม่ ไอ้นั่นผัวไอ้นี่เมีย นั่นลูก ฟื้นความสัมพันธ์ไม่พอ ไปผูกความสัมพันธ์ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แทนที่จะละก็กลายเป็นยึดก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น
              ถ้าหากว่าตายในขณะที่จิตใจของตนเองผ่องใส พื้นฐานมโนมยิทธิคือ กำลังจองฌานก็ได้แค่พรหมเท่านั้นใช่มั้ย ? ถ้าตายตอนจิตใจเศร้าหมองไปดูไอ้ชาตินั้นไม่น่าเลย ไปทะเลาะกับเขาอย่างนี้กำลังใจกำลังขุ่นมัวอยู่ก็เป็นอันว่าลงอบายภูมิไป ขาดทุนย่อยยับ เพราะฉะนั้นว่าการรู้นี่ไม่แน่เหมือนกันว่าจะดี ถ้ารู้แล้วขาดสติขาดการไตร่ตรองก็ทำให้เราพลาดจากผลประโยชน์ที่ควรได้ มโนมยิทธิของหลวงพ่อราคาเป็นล้านนะ เราเอามาใช้ไม่ถึงสลึงแล้วยังใช้ผิดอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วท่านต้องการให้เราเอากำลังใจเกาะนิพพานเอาไว้ เกาะให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
              ถ้าใครที่อยู่รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่ามีอยู่สมัยนั้นที่หลวงวพ่อกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง ๗ องค์ที่บรรลุพร้อมกันที่อยู่ทางเหนือ บอกว่ามีอยู่ ๓ องค์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ส่วนอีก ๒ องค์ก็ได้รับเค้าจากอีก ๓ องค์ ของท่านท่านบอกท่านไม่ได้ทำอะไรมากหรอก วัน ๆ หนึ่งก็เอาจิตเกาะนิพพานไว้ เกาะนิพพานอยู่ ๆ กิเลสมันหมดเอง นั่นแหละคือจุดที่หลวงพ่อต้องการมากที่สุด มโนมยิทธิในด้านอื่น ๆ เมื่อเรารู้แล้ว รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น รู้ว่าสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วไปไหน ระลึกชาติได้ รู้ว่าทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วผลจะเป็นอย่างไรเหล่านี้ ท่านให้รู้เพื่อเราจะได้เข็ดจะได้ละ
              แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนที่มันไม่ทุกข์มั่ง....มีมั้ย ? มันทุกข์ทุกชาติใช่มั้ย ? ชาตินี้เกิดอยู่ก็ทุกข์อีกนะ เพราะฉะนั้นอีดตทุกชาติทุกข์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เป็นอันว่า ๓ ข้อเก็บใส่กระเป๋าได้เชื่อมั่นว่าทุกข์แน่ ๆ ไม่ต้องใช้แล้ว รู้ใจคนอื่นประโยชน์มันน้อย มันต้องดูใจตัวเองดูว่าความดีมีมั้ย ? ถ้าไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันมีความชั่วมั้ย ? ถ้ามีไล่มันออกไปแล้วระวังไว้อย่าให้มันเข้ามานะ
               เจโตปริยญาณ ถ้าดูใจตัวเองลักษณะนั้นก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าดูผิดมัวแต่ไปดูคนอื่น คนนั้นใจเป็นอย่างนี้คนนี้ใจเป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูที่ตัวแก้ที่ตัวก็เสียประโยชน์ไป บุพเพสันนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น มีชาติไหนบ้างที่ไม่ทุกข์บ้างถามหน่อยเถอะ จุตูปปาตญาณ คนเกิดก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีเราย่อมไปสู่สุขคติ ถ้าเราทำชั่วก็ลงอบายภูมิ ถ้างั้นก็เก็บเอาไว้อีกอย่างหนึ่งได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกยถากรรมมุตาญาณ นี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะว่ารู้ว่ากรรมแต่ละอย่างทำให้คนและสัตว์เป็นยังไง เราเชื่อกรรมดีกรรมชั่วก็เก็บใส่กระเป๋าไปเลย 
              ตกลงว่ามโนมยิทธิไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วคนที่มียิ่งชัดก็ยิ่งโดนหลอกง่ายใช่มั้ย ? ประสบการณ์โดนหลอกนี่มันเจ็บปวดจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่แล้วโดนมาทั้งนั้นนะ โดนแบบไม่รู้ตัวด้วย ในเมื่อตัวเองเห็นก็มักจะไปเถียงคนอื่น ก็ตัวเองเห็นแล้วมันจะผิดได้ยังไง หารู้ไม่ว่าเขาหลอก เราเห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟัน ไล่แทงมา ตกอกตกใจวิ่งเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่ โดนเขาตีกะบาลเอาน่ะซิ เราเห็นจริง ๆ รึเปล่า ? เห็นใช่มั้ย แต่เรื่องนั้นเรื่องจริงรึเปล่า ? ไม่ใช่...เป็นเรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา
               เพราะฉะนั้นเรื่องของการรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณ หรือว่าเห็นด้วยมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง ถ้าสอบตกก็เจ็บออกหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า วิ่งหาอารมณ์พระโสดาบันเอาไว้ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าไป มโมยิทธิจัดเป็นอภิญญาใช่มั้ย ? อภิ คือ ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ มัน ไม่มีอะไรรู้ไปยิ่งกว่าการตัดกิเลสหรอก ไม่ได้ยุให้พวกเราเลิกทำนะ ใครทำได้ให้เปลี่ยนไปเกาะพระนิพพานแทน เกาะได้นานเท่าไหร่ดีเท่านั้น 
              ภพอื่นภูมิอื่นเราก็ดูอยู่แล้วรู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่มีที่ไหนดีไปกว่านิพพาน เรื่องอื่น ๆ นั่นกองไว้ได้ถ้าตายตอนนั้นแย่เลย มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่สายลม ท่านบอกว่าคนที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือวิชชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นแบบนี้ไม่ใช่กั้นอย่างนี้ แล้วของเราเองแค่มโนมยิทธินี่มันคงจะห่างซักแค่นี้ ....ตายแหง ๆ เลย เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาคว้าอารมณ์พระอริยเจ้าไว้ก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ก่อนปิดอบายภูมิไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ ตายก็อย่าให้มันขาดทุน
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

kaka123

โมทนาครับ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนจริงๆ ขอกราบบูชาพระรัตนตรัยครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

shinpe uhah

เรื่องที่ท่านหามาให้อ่านนี้ยาวทุกเรื่องเลยครับ มาขอบคุณก่อนครับ เดี๋ยวขอตัวไปอ่านก่อนนะครับ ขอบคุณครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions