ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ : ผู้เปลี่ยนมุมมองเซ็กซ์ให้เป็นศิลปะ

[etatae333]

ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ : ผู้เปลี่ยนมุมมองเซ็กซ์ให้เป็นศิลปะ



ไม่มีใครปฏิเสธว่าบุรุษนาม ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ คือหนึ่งในผู้ที่ปลุกกระแสเรื่องทางเพศให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในยุคสมัยแรกเริ่มของเขาที่มีเรื่องศีลธรรมที่ค่อนข้างเข้มงวด แต่ด้วยศักยภาพในการทำงาน
เฮฟเนอร์ สามารถเปลี่ยนมุมมองของภาพโป๊เปลือยให้กลายเป็นงานศิลปะ และทำให้ภาพนู้ดขึ้นมาอยู่
บนปกหนังสือได้อย่างยิ่งใหญ่

เฮฟเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1926 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาผ่านการ
รับใช้ชาติในกองทัพสหรัฐฯ ตำแหน่งนักเขียน ก่อนจะเรียนจบปริญญาตรีทางด้านจิตวิทยาและทำงานใน
ตำแหน่งก็อปปี้ไรเตอร์ให้กับนิตยสารเอสไควร์ ในปี 1952

หลังจากที่คลุกคลีในวงการหนังสือแค่ปีเดียว ด้วยความมุ่งมั่นอยากทำนิตยสารในแบบฉบับของตัวเอง เฮฟเนอร์
ตัดสินใจไม่รับเงินเดือนของเอสไควร์จำนวน 5 ดอลลาร์ (ราว 175 บาท) และเลือกที่จะยืมเงิน 1,000 ดอลลาร์ฯ
(ราว 35,000 บาท)จากแม่ผู้ให้กำเนิดพร้อมกับกู้เงินอีก 8,000 ดอลลาร์ฯ (ราว 280,000 บาท) จากนักลงทุน
45 ราย กับกู้เงินธนาคาร 600 ดอลลาร์ (ราว 21,000 บาท) เพื่อมาลงทุนทำนิตยสารเพลย์บอย ซึ่งตอนแรก
จะใช้ชื่อว่า "Stag Party" (ปาร์ตี้สละโสดของชาย) โดยในเวลานั้นแม่ของเขา ก็ไม่คิดว่านิตยสารแบบนี้จะเติบโต
อะไรมากนัก เพียงแค่เชื่อมั่นในตัวลูกชายของเธอเท่านั้น

แม่ของเฮฟเนอร์ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ให้ลูกชายสุดที่รักยืมเงิน เพราะเพลย์บอยเล่มแรกประสบความสำเร็จอย่างสูง
โดยมียอดขายถึง 50,000 เล่ม ภายในไม่กี่สัปดาห์ ที่สำคัญภาพชุดที่ตีพิมพ์ในนิตยสารเล่มแรกเป็นภาพของ
มาริลีน มอนโร สุดยอดนักแสดงสาวที่หนุ่มๆ ทั่วโลกถวิลหา



ตลอดระยะเวลา 20 ปีถัดมา เพลย์บอยประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเคยมียอดจำหน่ายสูง
ถึง 7 ล้านเล่ม ช่วงต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสำรวจพบว่าวัยรุ่นที่อยู่ในระดับอุดมศึกษาในอเมริกา
ถึง 1 ใน 4 ล้วนเป็นแฟนนิตยสารเพลย์บอย

เฮฟเนอร์อาศัยความสำเร็จของนิตยสารมาทำธุรกิจต่อยอดด้วยการเปิดคลับเพลย์บอยแห่งแรกในชิคาโก
ในปี 1960 โดยมีสาวสวยแต่งกายเป็นกระต่ายน้อยคอยบริการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหาร ซึ่งเรียกว่า "บันนี่"
จากนั้นเขาได้ขยายคลับไปญี่ปุ่น รวมทั้ง จาเมกา ด้วย อย่างไรก็ตาม คลับดังกล่าวต้องปิดตัวในช่วงทศวรรษ
ที่ 80 เนื่องต้นทุนสูงขึ้นจนไม่สามารถแบกรับภาระไหว

นิตยสารของเฮฟเนอร์ มีส่วนทำให้ภาพเปลือยได้รับการยอมรับในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ แม้ว่าช่วงเวลานั้นมีบางรัฐ
ในสหรัฐฯ ห้ามการคุมกำเนิด ก็ตาม ขณะเดียวกัน เพลย์บอย ยังเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าหลักร้อยล้านดอลลาร์
ซึ่งรวมถึงคาสิโน และไนท์คลับด้วย

ในปี 1985 เฮฟเนอร์ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 4 ปีหลังจากนั้น เขาโอนกิจการเพลย์บอย เอ็นเตอร์ไพรส์
ให้ คริสตี้ ลูกสาวไปดูแล โดยในภายหลังเธอซึ่งนั่งแทนประธานบริหารขององค์กร ได้ขยายกิจการไปสู่เคเบิ้ลทีวี
และอื่น ๆ ที่ทำกำไรงอกเงยขึ้นมาได้อีก



ระหว่างปี 2005-2010 การใช้ชีวิตแบบสนุกสนานในบ้านของนายเฮฟเนอร์ กับสาวๆ ผมบลอนด์ ถูกนำมา
ถ่ายทอดผ่านรายการโทรทัศน์เดอะ เกิร์ล เน็กซ์ ดอร์ (The Girls Next Door) นอกจากนี้ เฮฟเนอร์ได้
ทิ้งวลีเด็ดเอาไว้ตอนที่ให้สัมภาษณ์สื่อในปี 2002 ว่าเพลย์บอยไม่ใช่นิตยสารเรื่องเซ็กซ์ แต่เป็นนิตยสาร
ไลฟ์สไตล์ที่มีเซ็กซ์เป็นส่วนประกอบเท่านั้น

ชีวิตของเฮฟเนอร์ ก็คล้าย ๆ กับชาวอเมริกันทั่วๆ ไปเมื่อเข้าแต่งงาน 3 ครั้ง โดยครั้งแรกกับ เมิลเดร็ด วิลเลี่ยมส์
เพื่อนสมัยที่เรียนด้วยกัน ในปี 1949 และใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน 10 ปีมีลูก 2 คน จากนั้นก็แต่งงานกับ คิมเบอร์ลี่ คอนราด
เพลย์เมทสุดเซ็กซี่วัย 27 ปีในปี 1998 มีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ 10 ปีต่อมาทั้งสองก็หย่าขาดจากกัน ต่อมา
ก็แต่งงานเป็นครั้งที่สาม ขณะมีอายุ 86 ปี กับ คริสตัล แฮร์ริส ที่มีอายุอ่อนกว่าเขาถึง 60 ปี ในปี2012





เจ้าพ่อนิตยสารปลุกใจเสือป่าซึ่งมักจะสวมใส่ชุดนอนผ้าไหมจนเป็นเอกลักษณ์จากการคบหานางแบบประจำนิตยสาร
มากหน้าหลายตา คุยโวสนั่นทุ่งว่าได้ร่วมรักกับอิสตรีมากกว่า 1,000 คน พร้อมยกย่องยาไวอากร้าที่ช่วยบำรุงรักษา
สมรรถภาพทางเพศของตนเอง

ช่วงอายุหลังเกษียณ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เห็น เฮฟเนอร์ ซึ่งมีลูก 4 คนได้แก่คริสตี้, เดวิด, มาร์สตัน และ คูเปอร์
ออกสื่อมากนัก แต่เขาก็ยังทำงานต่อในฐานะฝ่ายบรรณาธิการ พร้อมทั้งเลือกนางแบบประจำหน้าปกในแต่ละเดือน



ในปี 2015 เพลย์บอย ประกาศจะไม่มีภาพนู้ดอิสตรีแบบจัดเต็มในนิตยสารอีกต่อไป เพราะยุคสมัยของภาพเหล่านี้
สามารถหาได้ในอินเตอร์เน็ต แต่สุดท้ายในปี 2017 พวกเขาตัดสินใจกลับมาทำแบบเดิม โดยให้เหตุผลว่านี่คือ
ตัวตนที่แท้จริงของเพลย์บอย

แม้ในศตวรรษที่ 21 การแข่งขันดุเดือดและอินเทอร์เน็ตทำให้ยอดตีพิมพ์ของเพลย์บอยลดลงต่ำกว่า 3 ล้านฉบับ
กระนั้น เฮฟเนอร์และนิตยสารเพลย์บอยยังคงฮิตที่ติดตลาดทั่วโลก รวมทั้งเป็นคัมภีร์ของหนุ่มๆ ทุกคนที่ต้องมีเอาไว้
ติดบ้านจนปัจจุบันนี้





เรื่องลึกแต่ไม่ลับของ ฮิวจ์ เฮฟเนอร์




1. เฮฟเนอร์ เริ่มสร้างนิตยสารเพลย์บอยในเดือนธันวาคม 1953 ขณะที่แต่งงานกับ เมิลเดร็ด "มิลลี่" วิลเลี่ยมส์
โดยพวกเขามีลูกด้วยกันสองคน ชื่อ คริสตี้ กับ เดวิด ก่อนที่จะหย่ากันในปี 1959 หลังจากนั้น เฮฟเนอร์ เผยว่า
ภรรยาของเขาเคยนอกใจตอนที่เขาไปทำงานให้กองทัพในต่างประเทศ

2. เขาซื้อเพลย์บอย แมนชั่น ในปี 1971 และจากนั้นมันกลายเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้สุดฉาวเสียวสะท้านสำหรับ
บรรดาเซเลบริตี้มากมาย รวมทั้ง ลีโอนาร์โด ดิ คาปริโอ, โคลิน ฟาร์เรลล์ และ โอเว่น วิลสัน เป็นต้น

3. เจ้าพ่อเพลย์บอย เคยมีอาการโรคเส้นเลือดในสมองปี 1985

4. เฮฟเนอร์ กับ คอนราด มีลูกชายสองคนชื่อ มาร์สตัน เกล็นน์ กับ คูเปอร์ แบรดฟอร์ด ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกทางกัน
ในปี 1998 โดย มาร์สตัน โดนจับข้อหาเมาแล้วขับในปี 2015

5. เขาเริ่มออกเดทกับสาวๆ มากมายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พร้อมกับได้แฟนสาวคนใหม่ชื่อ ฮอลลี่ เมดิสัน หลังจากนั้น
สาวผมบลอนด์สุดเซ็กซี่ เผยว่า เฮฟเนอร์ ให้เธอกิน "กวอลูเดส" หรือยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ตอนหลับนอนกับเขา
ครั้งแรกที่ได้พบกัน ขณะที่ เคนดร้า วิลกินสัน แฟนสาวอีกคน แฉว่าเธอมีเซ็กซ์กับ เฮฟเนอร์ ครั้งแรกตอนอายุ 18 ปีเท่านั้น

6. เมดิสัน อ้างว่า เฮฟเนอร์ ยื่นข้อเสนอจำนวน 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 105 ล้านบาท) เพื่อให้ไปอยู่กับเขา แต่สุดท้าย
เธอต้องกระเด็นออกจากคฤหาสน์



7. ย้อนไปตอนที่ เฮฟเนอร์ อายุ 85 ปี เขายังคงเป็นสุดยอดนักรัก เพราะยังมีพละกำลังที่จะทำกิจกรรมทางเพศได้
ที่สำคัญสามารถทำได้หลายครั้งอีกต่างหาก

8. เฮฟเนอร์ กับ กลอเรีย สไตน์เนม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรี ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ผู้ก่อตั้ง
นิตยสารเพลย์บอย แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองคนเกือบออกเดทกันมาแล้ว

9. คริสตัล แฮร์ริส เพลย์เมท และหวานใจของเขา ร้องไห้เป็นวักเป็นเวรต่อหน้า เฮฟเนอร์ หลังจากที่เธอไปแฉเรื่อง
ชีวิตเซ็กซ์ของพวกเขาในรายการ โฮเวิร์ด สเติร์น โชว์

10. เฮฟเนอร์ ให้การสนับสนุนเรียกร้องสิทธิชาวเกย์ ในช่วงยุค 50

11. เฮฟเนอร์เป็นเจ้าของสถิติในกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ในฐานะบุคคลที่มีสมุดสะสมภาพมากที่สุด



12. "ปู่ฮิวจ์" ส่งดอกกุหลาบไปที่หลุมศพของ มาริลิน มอนโร ทุกวัน

13. เขาซื้อภาพของ มาริลิน มอนโร จากบริษัททำปฏิทินที่อยู่แถวชานเมืองด้วยเงิน
เพียง 500 ดอลลาร์ (ราว 17,500 บาท)