ปริศนาตู้อาถรรพ์เก็บวิญญาณ Dybbuk box !!!

ปริศนาตู้อาถรรพ์เก็บวิญญาณ Dybbuk box !!!

เริ่มโดย etatae333, 03 พฤศจิกายน 2017, 11:22:19

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

ปริศนาตู้อาถรรพ์เก็บวิญญาณ Dybbuk box !!!

นี่คือเรื่องราวของตู้เก็บไวน์สยองขวัญ ที่ถูกวางขายในเว็บไซต์ อีเบย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
https://web.archive.org/web/20051105000557/http://www.andrew.cmu.edu/user/rubyc/eBay_dibbuk.htm

ผู้ซื้อรายแรกเขาคือนักค้าของเก่า โดยเขาได้โพสต์เรื่องราวของเขาไว้ที่หน้าประมูลของเว็บไซต์อีเบย์ว่า
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันคือเรื่องจริงที่ผมจะบรรยายให้รู้ เพื่อคัดกรองผู้ชนะในการประมูล โดยจะมีสำเนา
ของทางโรงพยาบาลและคำสาบานเพื่อรับรองว่า ผมจะขายตู้ใบนี้ทั้งใบรวมถึงของที่อยู่ข้างในทุกชิ้น




ในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2001 ผมเข้าร่วมการประมูลแห่งหนึ่งที่จัดขึ้นในเมืองพอร์ตแลนด์รัฐโอเรกอน
ของชิ้นนี้มันถูกนำมาเข้าร่วมการประมูล โดยหญิงคนหนึ่งที่อ้างว่าเธอเป็นหลานของเจ้าของสิ่งนี้ ตัวผู้
ครอบครองที่แท้จริงนั้นเป็นหญิงชราที่เสียชีวิตไปเมื่ออายุ 103 ปี เธอบอกกับผมว่ายายของเธอเกิดที่โปแลนด์
เติบโตและแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

จนกระทั่งวันหนึ่งครอบครัวของเธอถูกพวกนาซีจับตัวไปขังอยู่ในค่ายกักกันเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งยายของเธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ได้เสียชีวิตทั้งหมดเพราะถูกสังหารอยู่ในค่าย
โดยคุณยายรอดออกมาได้เพราะความช่วยเหลือจากนักโทษคนอื่น ๆ พวกเขาพาเธอหนีมายังประเทศสเปน
และเธอก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่จนกระทั่งสงครามจบ

และเจ้าตู้เก็บไวน์เล็ก ๆ ตู้นี้มันได้ถูกมาร่วมประมูลจากของทั้งหมด 3 ชิ้น ที่คุณยายของเธอนำมันติดตัว
มายังสหรัฐอเมริกาด้วย โดยสิ่งของอีก 2 ชิ้นนั้นก็คือหีบกลไกและกล่องเก็บด้ายเย็บผ้า

ผมตัดสินใจซื้อตู้เก็บไวน์มา รวมถึงเจ้ากล่องเก็บด้ายและเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ หลังจากการซื้อขายจบลง
หลานสาวคุณยายเจ้าของสิ่งที่ผมซื้อได้เดินมาบอกกับผมว่า เจ้าตู้นี้มันชื่อว่า "ดิบบุค" ผมจึงถามเธอกลับไปว่า
มันหมายถึงอะไร ? เธอก็ตอบว่าสมัยที่เธออยู่กับคุณยาย คุณยายจะเก็บตู้ใบนี้ไว้ในห้องเย็บผ้าของท่าน
มันถูกปิดไว้ตลอดเวลาและวางอยู่ที่เดิมไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปไหน พอเธอถามคุณยายว่าข้างในมีอะไร
ท่านก็ชี้ไปที่มันและบอกว่านั่นคือดิบบุกเป็นแท่นบูชา และกำชับเธอว่าห้ามเปิดตู้ไวน์ใบนี้ออกโดยเด็ดขาด

หญิงสาวหลานอดีตเจ้าของตู้ใบนี้ยังเล่าอีกว่า คุณยายของเธอได้ขอให้นำกล่องใบนี้ไปฝังไว้ในหลุมศพเมื่อวันที่
ท่านเสียชีวิตด้วย แต่คำขอของท่านมันไปขัดกับพิธีฝังศพของชาวยิวผู้นับถือนิกายออร์โธด็อกซ์ นั่นจึงทำให้
คำขอนี้ต้องถูกปฏิเสธไป

ผมจึงถามเธอต่อว่า แล้วดิบบุคมันคืออะไร ? แล้วไหนล่ะแท่นบูชา ?
เธอก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ ผมจึงถามต่อว่า ถ้าเราจะลองมาเปิดดูข้างในพร้อม ๆ กันจะดีไหม ?


เธอก็ตอบกลับว่าเธอไม่ต้องการเช่นนั้น เพราะเธอไม่อยากผิดต่อคำขอของคุณยายที่เสียไป และนั่นจึงทำให้
ผมต้องจบการสนทนาและบอกกับเธอว่าจะคืนมันให้ เพื่อเธอจะได้รักษาสัจจะต่อคุณยายต่อไป เธอก็ตอบกลับ
มาด้วยเสียงที่ดูจริงจังเป็นอย่างมากว่า

"ไม่... คุณซื้อมันไปแล้ว"

ผมจึงต้องอธิบายว่าผมไม่ได้อยากได้เงินคืน และผมน่าจะรู้สึกดีกว่าถ้าจะคืนมันให้เธอ เพราะคิดว่ามันเป็น
น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผมเท่านั้น พอเธอได้ยินแบบนั้นก็ออกอาการไม่สบายใจ ซึ่งพอผมกลับไปนึกถึงตอนนั้น
ทีไรผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทีท่าของเธอในวันนั้นมันแปลก ๆ เพราะตอนนั้นเธอยังคงยืนกรานด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
คุณซื้อมันไปแล้ว มันเป็นของคุณ

พอผมพยายามจะพูดอะไรต่อเธอก็ตวาดกลับมาว่า "พวกเราไม่ต้องการมันแล้ว !!!"

จากนั้นเธอก็ร้องไห้และพูดขอให้ผมออกไป พูดจบเธอก็เดินจากไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งผมคิดว่าทั้งหมดมันน่าจะมาจาก
ความเครียดสะสม จากประสบการณ์ชีวิตอันน่าเศร้าที่ผ่านมาก็เป็นได้ คิดได้แบบนั้นผมจึงขนของที่ซื้อมาทั้งหมดขึ้นรถ

ผมนำเจ้าตู้ใบนี้มาเก็บไว้ที่ร้านของผมก่อน ผมเก็บมันไว้ในห้องใต้ดิน โดยกะว่าจะนำเจ้าสิ่งนี้มาทำเป็นของขวัญให้กับ
คุณแม่ของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้วางแผนอะไรไปมากกว่านี้ และวันนั้นผมก็เปิดร้านแต่หัววันแล้วออกไปทำธุระ ปล่อยให้
พนักงานหญิงของผมดูแลร้านให้




ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงพนักงานที่ร้านก็โทรเข้ามือถือ เธอบอกว่าได้ยินเสียงใครบางคนกรีดร้อง และได้ยินเสียงกระจกแตก
ดังออกมาจากห้องใต้ดินของผม และยิ่งไปกว่านั้นผู้บุกรุกยังได้แอบล็อคประตูนิรภัยและประตูทางออกฉุกเฉินเพื่อขังเธอเอาไว้
ผมจึงบอกให้เธอรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะโทรศัพท์ของผมตอนนี้แบตกำลังจะหมด จากนั้นผมก็รีบขับรถกลับมา
ที่ร้านทันที

พอผมมาถึงประตูร้านยังคงถูกล็อคอยู่ ผมจึงรีบเปิดประตูเข้าไป แล้วก็พบว่าลูกจ้างของผมอยู่ในสภาพนั่งหมดแรงอยู่ตรงมุมห้อง
ร้องห่มร้องไห้ออกมาไม่หยุด ผมจึงรีบวิ่งลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน พอเหยียบถึงบันไดขั้นสุดท้ายมันก็เหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่าง
โจมตีมาที่จมูกของผมอย่างรุนแรง

มันเป็นกลิ่นเหม็นเหมือนกับปัสสาวะของแมว ทั้ง ๆ ที่จำได้ว่าที่นี่ไม่เคยมีใครนำสัตว์ใด ๆ เข้ามาในร้านไฟก็ดับอีก พอลองหา
สาเหตุผมก็พบว่า เสียงแก้วแตกที่ลูกจ้างของผมได้ยินมันก็น่าจะเป็นเสียงหลอดไฟแตกแน่ ๆ หลอดไส้แตกไปทั้งหมด 9 ดวง
ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้หล่นลงมาเลยสักดวง

และหลอดฟลูออเรสเซนส์อีก 10 ดวง ต่างก็หล่นลงมากองอยู่บนพื้น ผมไม่พบใครอยู่ที่นี่ แล้วผมก็นึกได้ว่าที่ห้องใต้ดินนี้มันมี
ทางเข้าออกอยู่เพียงทางเดียว ถ้ามันยังอยู่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครเดินสวนออกมา ผมจึงเดินกลับไปหาพนักงานของผม
เพื่อสอบถาม แต่ปรากฏว่าเธอหายตัวไปแล้ว

เธอไม่เคยกลับมาทำงานอีกเลย ทั้ง ๆ ที่ทำงานด้วยกันมากว่า 2 ปี เธอไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ซึ่งผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับตู้ที่ผมซื้อมา

แล้วทุกอย่างก็เลวร้ายลงไป...




ตามที่ได้เคยบอกเอาไว้ ผมตัดสินใจว่าจะนำเจ้าตู้เก็บไวน์ใบนี้ให้เป็นของขวัญกับคุณแม่ โดยหลังจากที่ซื้อมันมาได้ 2 สัปดาห์
ผมก็ตัดสินใจจะนำมันออกมาทำความสะอาด แล้วผมก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่ามันมีกลไกแปลก ๆ บางอย่างติดตั้งอยู่ มันเป็นกลไก
ที่อยู่ด้านหลังของประตูและใต้ลิ้นชักเล็ก ๆ ที่พอเปิดประตูออกแล้วลิ้นชักก็จะยื่นออกมาด้วยพร้อม ๆ กัน มันถูกออกแบบมา
ค่อนข้างดีมาก

ภายในตู้ไม้ใบนี้ผมพบของอย่างเช่น เหรียญเพ็นนีของปี ค.ศ. 1928 และเหรียญของปี ค.ศ. 1925 อย่างละ 1 เหรียญ
เชือกที่ทำจากเส้นผมสีบลอนด์พันกับเชือก 1 เส้น และทำจากเส้นผมสีดำอีก 1 เส้น รูปสลักบนหินแกรนิตอีก 1 ชิ้น
ส่วนอีกชิ้นสลักเป็นตัวอักษรภาษาฮิบรู เท่าที่สอบถามมามันอ่านว่าชาลอม (SHALOM) มีดอกกุหลาบแห้ง 1 ดอก
มีถ้วยใส่ไวน์สีทอง 1 ถ้วย และมีเชิงเทียนรูปร่างแปลก ๆ ที่ขามีรูปร่างคล้ายหนวดปลาหมึกอีก 1 ชิ้น

ผมจดบันทึกรายการทั้งหมดเสร็จก็นำทุกอย่างกลับไปวางไว้ที่เดิม ครอบครัวเจ้าของเดิมน่าจะไม่ชอบของที่อยู่ในนี้เลยเอามา
ยัดใส่ตู้แล้วขายทิ้งแน่ ๆ

หลังจากเปิดตู้ดูแล้วผมก็ไม่คิดอยากจะดัดแปลงอะไรอีก แค่ทำควาามสะอาดและเช็ดมันด้วยน้ำมันเลมอนก็พอ
ตอนนี้ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีอักษรฮิบรูสลักอยู่ที่หลังตู้ด้วย ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ซึ่งผมก็ได้ถ่ายภาพ
มาลงไว้ให้ดูไว้เช่นกัน

พอถึงวันเกิดของคุณแม่ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2001 คุณแม่โทรหาผมว่า เธอจะออกมานอกเมืองกับน้องสาว
ของผมสามวัน นั่นจึงทำให้เราต้องเลื่อนงานฉลองวันเกิดไปจนกว่าคุณแม่จะกลับมา

พอถึงวันที่ 31 ตุลาคม คุณแม่ก็เข้ามาที่ร้านของผม เราก็เลยจะออกไปทานอาหารมื้อเที่ยงด้วยกัน แต่ก่อนที่จะออกไป
ผมก็นำตู้ใบนี้มามอบให้กับคุณแม่ ดูเหมือนแม่จะชอบมันมาก ในช่วงที่แม่กำลังตรวจสอบเจ้าตู้ใบนี้อยู่ ผมก็ออกไป
โทรศัพท์ครู่หนึ่ง คลาดสายตาจากในร้านไปแค่ 5 นาที ลูกจ้างคนหนึ่งก็วิ่งออกมาเรียกผม บอกว่าคุณแม่มีอาการ
ผิดปกติบางอย่าง

พอผมรีบกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็พบว่าคุณแม่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ ตู้ใบนั้น ใบหน้าของเธอนิ่งเฉยแต่น้ำตา
กลับไหลอาบแก้มไปทั่ว ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรแม่ก็ไม่ตอบสนองอะไรกลับมา จริง ๆ แล้วดูเหมือนกับว่าเธออยากจะทำ
แต่ทำไม่ได้มากกว่า ผมรีบพาแม่ส่งขึ้นรถพยาบาล ทุกอย่างจบลงที่แม่กลายเป็นอัมพาต มีผลทำให้แม่ไม่สามารถ
พูดออกมาเป็นคำได้ แต่ยังดีที่แม่ยังสามารถเข้าใจในสิ่งที่เธอได้ยิน



พอผมถามว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาแล้วพยายามสะกดคำว่า "ไม่ใช่ของขวัญ" หรือ "ไม่มีของขวัญ"
ซึ่งผมก็มั่นใจว่าตัวเองเพิ่งให้ของขวัญวันเกิดแม่ไป บางทีแม่อาจจะจำไม่ได้ แต่แล้วแม่ก็แสดงอาการไม่สบายใจออกมา
แล้วพยายามสะกดคำว่า "เกลียดของขวัญ" ผมได้ยินถึงกับหัวเราะแล้วบอกให้แม่ไม่ต้องห่วง ผมบอกแม่ว่าผมขอโทษ
ที่แม่ไม่ชอบเจ้าตู้ใบนั้น แล้วยังไงจะหาอย่างอื่นที่แม่อยากได้มาให้อีกที เพียงแค่แม่สัญญากับผมว่าแม่จะหายดีก็พอ


แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันจะเกี่ยวอะไรกับเจ้าตู้ใบนั้น หรือจะเกี่ยวข้องกับอาถรรพ์อะไรเลย เอาตรง ๆ
เลยก็คือผมไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นอาถรรพ์ จนกระทั่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา

ผมพยายามเล่าสั้น ๆ ละกันว่า ผมได้มอบตู้ใบนั้นให้กับน้องสาว เธอนำมันไปเก็บไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้วก็รีบส่งมันคืน
เธอบ่นว่าเธอไม่สามารถปิดประตูตู้ใบนี้ได้เลย พอปิดลงไปมันก็จะกลับมาเปิดใหม่ตลอด ผมรู้ว่ามันไม่ได้ติดตั้งสปริงหรือ
กลไกอะไรแบบนั้นไว้ และผมเองก็ไม่เคยเห็นประตูมันจะเปิดเองได้สักครั้ง ผมเลยนำมันไปให้พี่ชายกับแฟนของเขา

เอาไปได้แค่สามวันพวกเขาก็นำมันกลับมาคืน พี่ชายบอกว่ามันมีกลิ่นเหมือนกับดอกมะลิโชยออกมา ในขณะที่แฟน
ของพี่บอกว่ากลิ่นมันเหมือนกับปัสสาวะแมว ผมก็เลยต้องนำมันมาให้กับเพื่อนหญิงของผมที่เคยออกปากว่าอยากได้มันมาก
แต่ก็กลายเป็นว่าเธอนำมันมาคืนหลังจากเอาไปเพียง 2 วัน

แล้วในวันนั้นก็มีคู่รักวัยกลางคนคู่หนึ่งมาซื้อมัน แล้วสามวันต่อมาในตอนที่ผมเดินทางมาเปิดร้าน ผมก็พบเจ้าตู้ใบนี้
กลับมาวางอยู่ที่หน้าประตูร้านพร้อมกับกระดาษโน้ตเขียนว่า "สิ่งนี้มันดำมืด" ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
สุดท้ายผมก็เลยต้องนำมันกลับมาไว้ที่บ้านแทน

แล้วมันก็เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาอีก...

ในวันที่ผมนำมันกลับมาที่บ้านผมก็เริ่มจะฝันร้าย ตลอดความฝันนั้นเหมือนกับว่าผมพบตัวเองกำลังเดินอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง
ทุกอย่างดูเหมือนปกติ และสิ่งที่ผมจำได้ในฝันคือตัวเองกำลังมองไปที่ดวงตาของคนนั้น แล้วก็พบว่ามันมีบางอย่างผิดแปลกไป
เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกำลังมองกลับมาหาผม และที่ตรงจุดนี้คน ๆ นั้นก็เปลี่ยนสภาพไป

มันคือใบหน้าของหญิงชราที่เหมือนกับปีศาจอันน่ากลัว จากนั้นหญิงชราคนนี้ก็สาดน้ำมันดินร้อน ๆ ใส่ผม จนผมต้องสะดุ้งตื่น
เพราะเรื่องนี้อยู่หลายหน เพื่อมองหารอบตัวว่ามีบาดแผลจากการถูกทำร้ายบ้างหรือเปล่า มาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่า
ความฝันของผมมันจะเกี่ยวข้องอะไรกับตู้ใบนี้เลย ผมไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ

จนประมาณเมื่อเดือนที่แล้วน้องสาว และพี่ชายกับแฟนของเขาได้มาหาผมที่บ้านเพื่อพูดคุยกัน พอถึงรุ่งเช้าในช่วงระหว่าง
รับประทานอาหาร น้องสาวของผมก็บ่นว่าเมื่อคืนเธอฝันร้าย เธอเล่าว่าเธอเคยฝันแบบนี้มาก่อนสองสามครั้ง และเล่าถึง
รายละเอียดตอนท้ายเหมือนกับที่ผมเคยฝันเห็น พี่ชายกับแฟนของเขาต่างก็นั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เริ่มพูดขึ้นบ้างว่า
พวกเขาเองก็เคยฝันเหมือนกันกับพวกเรา

พอถึงตอนนี้ขนที่หลังของผมถึงกับลุกชัน และจากการพูดคุยครั้งนี้มันก็ได้ทำให้กระจ่างขึ้นมาอย่างหนึ่งก็คือ
พวกเราเริ่มฝันร้ายกันเมื่อตอนที่นำเจ้าตู้ใบนี้มาวางไว้ในบ้าน ผมเลยโทรศัพท์หาเพื่อนหญิงที่เคยให้ตู้นี้ไป
เพื่อถามว่าเธอเคยฝันเห็นอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาว่าเคยฝันเช่นกัน หญิงชราใบหน้าปีศาจ
และทุก ๆ อย่าง พอผมถามว่าจำได้ไหมว่าฝันแบบนั้นตอนไหน เธอก็ตอบกลับมาว่าจำไม่ได้ ผมก็เลยถามต่อว่า

มันใช่ช่วงก่อนที่จะเอาตู้ใบนี้มาคืนหรือเปล่า ? เธอก็ตอบว่าใช่เลย เธอจึงถามผมกลับมาว่าผมรู้ได้อย่างไร ?


ตอนนี้ครอบครัวของเราก็เริ่มได้เงื่อนงำ มันเหมือนสิ่งเลวร้ายกำลังจะคลี่คลาย โดยสัปดาห์ก่อนหน้านี้ผมเริ่มมองเห็นว่า
น่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นเงาดำปกคลุมอยู่รอบ ๆ บ้าน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนที่แวะมาเยี่ยมบ้านของผมก็ล้วน
พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันมีอะไรบางอย่าง

ผมจึงนำเจ้าตู้ใบนี้ไปไว้ในห้องเก็บของนอกบ้าน แล้วกลางดึกคืนนั้นผมก็ได้กลิ่นควันไฟโชยมา พอออกมาหาว่ามันเป็น
กลิ่นไหม้ของอะไร เปิดประตูออกไปดูนอกบ้านก็ไม่เห็นมีควันไฟแม้แต่นิดเดียว แล้วผมก็ได้กลิ่นเหมือนปัสสาวะแมวอีกครั้ง
พอกลับเข้ามาในบ้านเจ้ากลิ่นนี้ก็ตลบอบอวนไปทั่ว ผมไม่ได้เลี้ยงแมวและไม่เคยมี ผมจึงกลับออกไปนอกบ้านอีกครั้ง
เพื่อที่จะนำเจ้าตู้ใบนั้นกลับมาวางไว้ในบ้าน จากนั้นก็พยายามค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

ในขณะที่กำลังค้นหาข้อมูลอยู่ ผมก็เผลอหลับแล้วก็ฝันร้ายแบบเดิมอีก ผมตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่งเพราะรู้สึกว่ามีใครกำลัง
หายใจรดต้นคออยู่ ตอนนี้ผมได้กลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิลอยอบอวลอยู่ในบ้าน นั่นจึงทำให้ผมเดินตามหาที่มาของมัน
พอเดินหามาจนถึงทางเดินกลางบ้าน ผมก็เห็นเงาสีดำขนาดใหญ่กำลังลอยลงมาที่พื้นทางเดินต่อหน้าต่อตาของผม

ผมเกือบจะทำลายเจ้าสิ่งนี้ไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร ? ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเสียเวลาให้กับมันอีก ผมโกรธมาก
ถ้าผมทำลายเจ้าตู้ไม้ใบนี้สิ่งนี้มันจะอยู่กับผมต่ออีกหรือไม่ ? ผมจึงอยากจะบอกให้กับทุกคนในอีเบย์ว่า เมื่อได้รู้รายละเอียด
ของมัน หรือพบอะไรที่มีหน้าตาแบบนี้ ข้างในที่มีอะไรแบบนี้ วางประมูลขายอยู่ในอีเบย์แล้วล่ะก็ ได้โปรดซื้อมันเอาไปทำอะไรก็ได้


ช่วยผมด้วย !!!



คุณจะเห็นเลยว่าผมไม่ได้ตั้งราคาขั้นต่ำเอาไว้ ถ้ามีอะไรที่มันง่ายกว่านี้ก็จงบอกผม ผมยอมทุกอย่าง มีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ
ในวันเดียวกันนั้นคุณแม่ของผมก็เกิดช็อคจนหมดสติ สัญญาเช่าร้านของผมก็ถูกยกเลิกโดยไม่มีเหตุผลอีก

เจ้าของสิ่งนี้มีขนาดกว้าง 12.5 นิ้ว ยาว 7.5 นิ้ว สูง 16.25 นิ้ว ของที่อยู่ข้างในเป็นของดั้งเดิมที่ผมเจอในตู้
ทุก ๆ อย่างจะถูกส่งมอบพร้อมกับตู้อย่างแน่นอน

ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2003 เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ผู้ขายได้เพิ่มรายละเอียดเข้ามาว่า :
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบอีเมล์จากพวกคุณทุกฉบับ ดังนั้นผมจะลงอัพเดตคำตอบจากทุกคนไว้บนเว็บไซต์
แห่งนี้แทน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอบถามให้มากความ


1.  ผมไม่มีศาสนา
2.  ผมไม่ต้องการเข้าไปวุ่นวายกับพิธีไล่ผีใด ๆ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 หรือส่งภาพกิจกรรมอะไรมาที่บ้านผม
3.  ผมจะไม่ส่งหรือขายแยกสินค้าจากในตู้ใบนี้ เพราะมันควรไปทั้งตู้
4.  ผมไม่รู้ภาษาฮิบรู และไม่รู้ว่าเคเซลลิมมันแปลว่าอะไร คำอื่น ๆ ผมก็ไม่รู้เช่นกัน
5.  เมื่อจบการประมูลแล้ว ผมตัดสินใจว่าจะขอโอกาสพูดคุยกับคนที่ชนะการประมูลด้วยสองเหตุผล หนึ่งก็คือ
     เพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้ชนะโตพอที่จะเข้าใจและยอมรับว่าได้อะไรไป ซึ่งผมจะไม่ตัดสินอะไรเอง คุณแค่ทำ
     ในสิ่งที่คุณต้องทำหลังจากซื้อมันไปก็พอ และอย่างที่สองก็คือ เพื่อจะได้บอกรายละเอียดทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น
     หลังจากนั้นผมก็จะไม่สนใจอะไรอีก และหลังจากได้รับเงินแล้ว ผมจะส่งเจ้าตู้ใบนี้พร้อมกับของภายในให้คุณทาง
     พัสดุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีไทย เฟดเอ็กซ์ ไม่ก็ยูพีเอส และเมื่อถึงตอนนั้นผมจะไม่รับรู้และไม่สนว่า
     มันจะเกิดอะไรขึ้นตามมาตลอดไป
6.  สำหรับทุกคนที่แนะนำบทสวดบูชามาให้ อยากจะบอกว่าผมไม่มีศาสนา แต่ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นความเชื่ออะไร
     ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรก็แล้วแต่ ผมอยากจะตอบว่า "ขอบคุณ"

------------------------------------------------------------------
ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2003 เวลาห้าโมงเย็น ผู้ขายได้เพิ่มรายละเอียดว่า :

นี่เป็นการอัพเดตสำหรับทุกท่าน...

ผมไม่รับติดต่อซื้อขายนอกเว็บไซต์อีเบย์โดยเด็ดขาด ต่อให้คุณเสนอราคาสูงกว่าราคาประมูลก็ตาม !!!
เพราะถ้าผมยอมแล้วพอถึงเวลาจริง ๆ คุณเกิดบิดพริ้วขึ้นมา มันน่าจะก็เป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้คุณ
ควรจะอยู่ในเกมการประมูลกันใช่ไหม ? ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่ไว้ใจข้อเสนอแบบนี้

นอกจากนี้....

สำหรับผู้ที่อยากจะรู้ว่า ถ้าผมยังคงพบเหตุการณ์อยู่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเจ้าสิ่งนี้แล้วผมจะทำยังไง ?
ผมคิดว่าทุกอย่างมันน่าจะไปได้สวย จนกระทั่งกลับบ้านมาเมื่อวันศุกร์ที่ 13 เดือนมิถุนายน
ผมพบว่าปลาที่อยู่ในตู้ใบใหม่ทั้ง 10 ตัวของผมตายเรียบ

ผมหวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
------------------------------------------------------------------



ดิบบุกบ็อกซ์ เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่ถูกเขียนเล่าเอาไว้บนหน้าประมูลสินค้าของเว็บไซต์ อีเบย์ โดยเควิน แมนนิส
ที่อ้างว่าเขาและคนในครอบครัวล้วนต้องประสบกับเหตุการณ์ประหลาด ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นดอกมะลิ กลิ่นปัสสาวะแมว
ไปจนถึงฝันร้ายเห็นปีศาจหญิงชราสาดน้ำมันดินร้อน ๆ ใส่จนเป็นแผลไปทั่วร่าง ในที่สุดเขาทนเก็บมันไว้ในบ้าน
ไม่ได้อีกต่อไป จึงต้องนำมันมาวางประมูลขาย โดยไม่ยอมรับข้อเสนออื่นใด นอกจากการจ่ายเงินผ่านระบบของอีเบย์

ต่อมาเรื่องราวของเควิน แมนนิส เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจถูกทางฮอลิวูดนำไปขยายผล สร้างเป็นภาพยนตร์
ออกฉายในปี ค.ศ. 2012 ในชื่อ The Possession นำแสดงโดยคีรา เซดวิค กำกับการแสดงโดยแซม รายมี่
พูดถึงหญิงสาวคนหนึ่งได้ซื้อตู้เก็บไวน์นี้ไป แล้วต้องพบกับประสบการณ์อันน่าสยองขวัญตามมา


ภาพยนตร์เรื่อง The Possession (2012)


โดยแท้ที่จริงแล้วเรื่องราวของตู้เก็บไวน์อาถรรพ์ใบนี้ ได้นำคำว่า ดิบบุค (Dybbuk) ที่มีความหมายตามสารานุกรมมิธิก้าว่า
"ร่างที่ถูกสิงสู่โดยวิญญาณของคนอื่น" ซึ่งมันได้ถูกเล่าขานกันมาแบบปากต่อปาก ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1914 ชาวยิดดิช
หรือชาวยิวได้พูดอธิบายไว้ว่า ดิบบุคก็คือวิญญาณหลังความตายของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ได้เข้าไปสิงสู่ในร่างของหญิงสาว
ที่ตัวเองรัก จากนั้นก็ถูกทำพิธีไล่ผีออกไป โดยคำนี้มาจากคำกริยาของภาษาฮิบรูที่แปลว่ายึดมั่นถือมั่น

ซึ่งก็น่าจะสรุปได้ว่า ดิบบุคก็คือวิญญาณที่ยังคงยึดมั่นอยู่กับใครบางคน และสามารถยืนยันได้ว่าไม่เคยมีงานเขียนหรือ
เรื่องเล่าอาถรรพ์ใด ๆ บอกว่าดิบบุคมันคือวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในกล่องหรือตู้เก็บไวน์

และสาเหตุที่มันถูกพูดถึงจนโด่งดังกลายมาเป็นภาพยนตร์สยองขวัญฮอลิวูดก็เพราะนักจิตวิทยาชื่อ คริสต์ เฟรนช์
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาความเชื่อและประสบการณ์อาถรรพ์ของมหาวิทยาลัยลอนดอนประเทศอังกฤษ


ภาพยนตร์ "Dybbuk" (1937) ที่เอามาจากตำนานของปี 1914

และในฐานะหัวหน้าแผนกวิเคราะห์ความผิดปกติทางจิตของวิทยาลัยโกลด์สมิธ ได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ
ตู้เก็บไวน์อาถรรพ์ใบนี้เอาไว้ว่า

"พวกเขาเคยบอกว่ามันเป็นของไม่ดี ซึ่งถ้าคุณเชื่อว่าคุณถูกสาป คุณก็จะบอกแต่ว่ามันเป็นของชั่วร้ายอยู่แล้ว
ลองคิดแบบนี้ดีไหม ว่าผมมีความสุขมากที่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้"

คริสต์ เฟรนช์

ซึ่งหลังจากที่เควิน แมนนิสได้ลงประมูลตู้ใบนี้ไปไม่นาน มันก็ถูกสมาชิกเว็บไซต์อีเบย์ชื่อ "spasmolytic"
(สแปซโมไลติค) ซื้อมันไปในราคา 140 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,000 บาท

เรียกได้ว่าเรื่องเล่าเรื่องนี้มีผลทำให้ราคาขายมีมูลค่าขึ้นมาเป็นอย่างมาก โดยทางผู้ที่ได้มันไปได้เล่าว่า หลังจาก
ที่เขาชนะประมูลมา เควิน แมนนิสก็ไม่เคยติดต่อมาสอบถามอะไรอย่างที่เขาเขียนบอกเอาไว้เยอะแยะในเรื่องเลย

จากนั้นสแปซโมไลติคก็ได้มอบมันให้กับเด็กนักเรียนคนหนึ่งในรัฐมิซซูรี่ชื่อไอโอซิฟ นีทสกี้ แล้วนีทสกี้ก็นำมัน
กลับมาวางประมูลขายอีกครั้งในแปดเดือนถัดมา โดยบอกว่าเขาได้อธิบายสาเหตุที่นำมันมาประมูลอีกครั้งไว้ที่
บล็อกของตัวเอง แต่พอลองค้นหาแล้วเราก็ไม่พบว่ามันเป็นบล็อกไหน

ซึ่งในอีเบย์เองนีทสกี้ได้เขียนเล่าถึงอาการเจ็บป่วยและนอนไม่หลับของเพื่อนร่วมห้อง และคิดว่ามันน่าจะเป็นแค่เ
รื่องบังเอิญ แถมยังได้กลิ่นเหม็นโชยออกมาเป็นครั้งคราว และตัวเขาเองก็อยากจะซ่อมรถ ซึ่งถ้าไม่รวมถึงเรื่อง
ซ่อมรถแล้ว เรื่องที่นีทสกี้เล่ามามันก็ดูคล้ายคลึงกับเรื่องที่เควิน แมนนิส เขียนไว้พอสมควร

ซึ่งถ้าจะพูดกันจริง ๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปได้ของแบบนี้มาอยู่ในบ้านแล้วเกิดมีอาการผิดปกติ เราก็คงจะหาทางโยน
มันทิ้งไปให้พ้น ๆ หรือไม่ก็เอาไปวางทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ หรือรีบทำอะไรสักอย่างให้มันออกไปจากชีวิตโดยทันที
ไม่ใช่เอามันไปโพสต์วางขายบนอีเบย์แล้วตั้งรอทิ้งไว้ในบ้านอย่างแน่นอน

และก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ก็คือ นีทสกี้สามารถขายเจ้าตู้เก็บไวน์ใบนี้ได้ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004
ในราคาสูงถึง 280 เหรียญ ซึ่งเรียกได้ว่าสูงกว่าตอนที่เควินขายได้ถึง 2 เท่า

โดยคนที่ซื้อมันไปก็คือเจสัน แฮ็กซ์ตัน ผู้อำนวยการแห่งพิพิธภัณฑ์ออสทีโอเพธิคเม็ดดิซินของมหาวิทยาลัยมิซซูรี่
ซึ่งเขาอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันกับนีทสกี้ โดยบอกว่าเขาทราบเรื่องราวที่เด็กคนนี้เล่ามาจากนักเรียนของเขา ซึ่งเป็น
เพื่อนร่วมห้องของนีทสกี้นั่นเอง โดยแฮ็กซ์ตันใช้ชื่อสมาชิกอีเบย์ว่า "agetron" (เอจทรอน) ที่ตัดสินใจซื้อมันไว้
เพราะอยากได้มันมาเป็นของสะสม

ต่อมาแฮ็กซ์ตันเจ้าของคนล่าสุดก็ได้กลายเป็นเจ้าของที่ใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่า เมื่อเขาได้เขียนหนังสือเล็ก ๆ
ขึ้นมาในปี ค.ศ. 2011 ชื่อดิบบุคบ็อกซ์ และเปิดเว็บไซต์ www.dibbukbox.com เพื่อส่งเสริมการขายหนังสือ
ของเขาอีกทาง



"เจสัน แฮ็กซ์ตัน" ผู้เขียนหนังสือดิบบุคบ็อกซ์ และครอบครองกล่องล่าสุด

โดยต่อมาในปี ค.ศ. 2013 แฮ็กซ์ตันได้ไลฟ์ลงใน Youtube ประกาศว่าเขาเชื่อในเรื่องราวของตู้ใบนี้เป็นอย่างมาก
โดยในหนังสือของเขาได้เล่าไว้ทั้งหมดว่าเขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะอาการเป็นลมพิษไปจนถึงไอออกมา
เป็นเลือด ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พยายามเจาะจงว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะมีตู้ใบนี้เก็บอยู่กับตัว หรือเจาะจงว่าใครที่
ครอบครองมันจะต้องป่วยแบบเขา

แถมท้ายไว้อีกนิดเพื่อให้เราได้มั่นใจว่าเรื่องนี้มันเป็นเพียงกระแสการขายของ ก็คือ หลังจาก เรื่องราวของตู้อาถรรพ์ใบนี้
ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในช่วงท้ายของหนังจะเห็นชื่อของเควิน แมนนิส อยู่ในตำแหน่งผู้เขียนบทร่วมกับ
เจสัน แฮ็กซ์ตัน พวกเขามีเครดิตอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายงานผลิตด้วย

และในปี ค.ศ. 2007 ตัวของ เควิน แมนนิส เองก็ได้มานั่งตำแหน่งผู้ควบคุมการผลิตในหนังสั้นเรื่อง
The Miracle, The Pretty Pitchy Pine Tree แถมยังเคยร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Student Bodies
อีกด้วย





เรื่องล่าสุดในปี ค.ศ. 2017 ก็คือ Shanghai Faders และมีบทบาทในส่วนต่าง ๆ ของภาพยนตร์ประเภทหนังสั้น
อีกหลายเรื่อง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเพราะอานิสงส์จากเรื่องดิบบุคบ็อกซ์ที่เขาแต่งขึ้นมานั่นเอง

และก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเด็กนักเรียนที่ชื่อไอโอสีฟ นีทสกี้เช่นกัน โดยเลสลี่ กอร์นสเตน ก็พยายามค้นหาว่า
เขามีตัวตนจริงหรือเปล่า ? เพราะชื่อไอโอสีพ นิทสกี้นี้ มันดูไม่น่าจะเป็นชื่อของคนทั่วไปบนโลกนี้เลย
โดยหลังจากที่เธอพยายามค้นชื่อนี้ในอินเตอร์เน็ตแล้ว เธอก็พบว่านอกจากบนเว็บไซต์ของแฮ็กซ์ตันแล้ว
ก็ไม่มีใครบนโลกนี้ใช้ชื่อไอโอสีพให้เธอพบที่ไหนเลย

ซึ่งมันก็ถือว่าแปลกมาก เพราะถ้าเด็กคนนี้มีตัวตนจริงเขาก็น่าจะมีชื่อเขียนไว้ที่ไหนสักแห่งบ้าง ยิ่งเป็นเด็กวัยรุ่น
ก็ยิ่งจะต้องมีให้เห็นแน่ ๆ อย่างน้อยก็น่าจะมีคนใช้ชื่อหรือนามสกุลเหมือน ๆ กันในที่อื่น ๆ บนโลกใบนี้

ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสงสัยว่าบางที "ไอโอสีฟ นีทสกี้" อาจเป็นเพียงบุคคลสมมติขึ้นมา หรือไม่ก็อาจเป็นใครสักคน
ที่อยู่ในวงจรการซื้อขายตู้อาถรรพ์ใบนี้ก็เป็นได้


ดังนั้นเรื่องราวของตู้เก็บไวน์อาถรรพ์หรือดิบบุคบ็อกซ์ เรื่องนี้ ก็คือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาโดยนำคำจากภาษาฮิบรูมาใช้
โดยผู้แต่งไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงมันหมายถึงอะไร ? เพื่อให้เกิดกระแสปั่นราคาตัวสินค้าของเขา ซึ่งคนที่ซื้อไปก็อาจจะ
เป็นพวกเดียวกัน ไม่ก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเองถูกหลอก

แต่ก็น่าจะหวังเอาไว้ว่าหลังจากที่ซื้อไปแล้ว เขาก็จะสามารถสร้างเรื่องเล่าที่อิงมาจากต้นฉบับ มาใช้ปั่นราคาให้สูง
กว่าที่ตัวเองซื้อไปได้แน่ ๆ ซึ่งถ้าผลออกมาแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถเก็บมันไว้ได้อีก
สักพักใหญ่ จนเรื่องซาลงไปก็ค่อยนำมันกลับมาวางประมูลอีกกี่ครั้งก็ได้

และถ้ามีความสามารถสูงพอที่จะเขียนเรื่องราวของมันออกวางขายเป็นหนังสือ จนฮอลิวูดตัดสินใจซื้อพล็อตเรื่องแล้ว
นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ มันก็น่าจะมีคุณค่ามากพอที่จะซื้อมันเก็บเอาไว้หรือเปล่า ? ดีกว่าจะให้เรื่องจริงถูกเปิดเผย
ออกมาแล้วเรื่องเล่าต้องถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา ซึ่งเหตุผลง่าย ๆ ที่จะสรุปเรื่องนี้ให้เข้าใจเหมือนที่ผ่านมาก็คือ

ถ้าเกิดเราได้ยินว่ามีใครกำลังจะเล่าเรื่องราวของตู้อาถรรพ์ดิบบุคบ็อกเรื่องนี้กันในวงสนทนา ก็อยากจะบอกว่า
ขอพวกเราจงอย่าได้ไปทำอะไร ที่จะทำให้เรื่องเล่านี้ต้องหยุดชะงักไประหว่างทางจะดีเป็นที่สุด
นั่นก็เป็นเพราะว่า ความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !




เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอขอบคุณที่มา
Wikipedia - https://en.m.wikipedia.org/wiki/Dybbuk_box
Skeptoid - https://skeptoid.com/episodes/4428
www.dibbukbox.com - http://www.dibbukbox.com/story.htm
Imdb - The Possession, Kevin Mannis
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่