บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด

บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด

เริ่มโดย etatae333, 22 มีนาคม 2018, 17:35:31

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด



การฟอกเงินหมายถึงการปรับเปลี่ยนเงินทอง หรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย เช่น
ค้ายาเสพย์ติด ค้าอาวุธเถื่อน สินค้าหนีภาษี การพนัน การละเมิดลิขสิทธิ์ การปลอมแปลงเงินตรา
การปลอมแปลงเอกสาร ค้ามนุษย์ ต้มตุ๋น หลอกลวง ขโมย จี้ปล้น ค่าไถ่


ส่วน สินบน คอร์รัปชั่น แล้วนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนหรือไปฟอกในธุรกิจที่ถูกกฎหมายให้มีความน่าเชื่อถือ เช่น
ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กองทุนต่างๆ เพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อว่าเงินทองที่ได้เป็นเงินที่สะอาด โดยตั้งแต่
อดีตและปัจจุบันมีบุคคลฟอกเงินด้วยวิธีแบบนี้มากมาย ส่วนใหญ่ เป็นนักการเมือง ผู้นำ นักธุรกิจ โดยฟอกเงิน
แต่ละครั้งนำมาซึ่งการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ จนชาติแทบล่มจม


และนี้คือ 10 บุคคลดังที่ฟอกเงินได้ชั่วร้ายที่สุด


10. Semion Yudkovich Mogilevich
 


Semion Yudkovich Mogilevich(1946-ปัจจุบันอายุ 64 ปี) เขาเกิดในยูเครน ในชนชั้นกลางของชาวยิว
อายุ 22 ปีเขาก็จบปริญญาเศรษฐศาสตร์ ก่อนที่จะก่ออาชญากรรมในปี 1975 และมีส่วนร่วมในการลักขโมย
และฉ้อโกงหลายคดี จนกระทั้งเขาได้กลายเป็นมาเฟียรัสเซียที่มีวงเงินมากที่สุดในโลก จนได้ชื่อเล่นว่า
"ดอนหัวใส(The Brainy Don)"


เพราะความเฉียบแหลมในธุรกิจของเขา เขาสามารถทำธุรกิจน้ำมันหนีภาษี, ซุกหุ้น, ตลาดมืด ส่วนเกี่ยวข้อง
ตั้งแต่รับจ้างฆ่าไปจนถึงค้าอาวุธเถื่อนตั้งแต่ไม้จิ้มฟันไปจนถึงส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้เขา
ยังมีอีกฉายาหนึ่งว่า "นักก่อการประท้วงที่อันตรายที่สุดในโลก" ที่อังกฤษห้ามให้เข้าประเทศด้วยเหตุผลคือ
"เขาเป็นชายที่อันตรายที่สุดในโลก" จนทำให้เขาเคยติดอยู่ในบุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด
(ใน10 อันดับของเอฟบีไอ)

เขาเคยถูกจับตัวหลายครั้ง แต่เพราะว่าเขาฉลาดทำให้ไม่มีใครเอาผิดเขาในกฎหมายได้ ทุกวันนี้เขา
ไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด






9.Meyer Lansky


                 
เมเยอร์(1902-1983)เป็นชาวยิวเชื้อสายอเมริกัน เกิดในครอบครัวโปแลนด์ เขาวงการอาชญากรรมตั้งแต่เด็กก่อน
ที่จะเรียนรู้กลโกงต่างๆ จนได้รับฉายาว่า "นักบัญชีแห่งความวุ่นวาย(Mob's Accountant)" ได้รับการยอมรับว่า
เป็นเจ้าพ่อฟอกเงินสมัยใหม่

ในทศวรรษที่ 1930 เขาเป็นคนแรกในทะเลคาริเบียนที่ซ่อนเงินทางอาชญากรรมโดยการฟอกเงินผ่านคาสิโนใน
ลาสเวกัสก่อนที่จะย้ายไปคิวบาซึ่งเขาดูแลการสัมปทานการพนันที่นั้น ทั้งชีวิตของเขามีเงินนับไม่ถ้วนในธนาคารสวิส
และบริษัทในฮ่องกง, อิสราเอลและอเมริกาใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์ช่องว่างจากฎหมาย รวมถึงการ
ยืดหยุ่นจากรัฐบาลเจ้าหน้าที่ข้าราชการและมาเฟียอิตาลี และเขาก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

เอฟบีไอพยายามนำตัวเขามาเพื่อรับโทษตามกฎหมายโดยเชื่อว่าเขาซุกเงินกว่า 300 ล้านเหรียญไว้ในธนาคาร
เงินฝากหากแต่พวกเขาไม่เคยพบจำนวนเงินดังกล่าวเลย เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและเรื่องราวเหล่านี้ได้

ประวัติชีวิตของเขาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่างเรื่อง The Lost City (2005)







8. Al Capone



อัล คาโปน(1899-1947) เขาเป็นนักธุรกิจและหัวหน้ามาเฟียอันธพาลแห่งชิคาโกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้าแตะต้อง
อดีตเขาเคยเป็นช่างตัดผลในครอบครัวชาวอิตาลีอพยพ เขาเลิกเรียนหนังสือแล้วเข้ามาอยู่ในวงจรอาชญากรรม ก่อนที่
จะไต่เต้ามาเป็นมาเฟียอย่างเต็มตัว

เขามีประวัติอาชญากรรมหนากว่าพันหน้าแต่ก็ไม่ใครใครเอาผิดเขาได้ โดยเฉพาะการฟอกเงินจากงานผิดกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นการค้าเหล้าเถื่อน โสเภณี การพนัน จนกระทั้งเขาถูกจำคุกเจ็ดปีในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีและถูกส่งตัวไป
ขังคุกในอัลคาทราช เป็นอันสิ้นสุดยุคของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในช่วงปั่นปลายเขาป่วยเป็นโรคซิลิสและเสียชีวิต เมื่อวันที่ 25 มกราคม 1947




7. Sani Abacha



นายพล สานิ อาบาชา(1943-1998) เป็นผู้นำทางการทหารและนักการเมืองของไนจีเรีย ในปี 1993 ด้วยระบบ
การปกครองเผด็จการอันฉาวโฉ่ของเขาในช่วง 5 ปี(1993-1998) เขาและครอบครัวได้สูบเงินจากเงินกองทุน
ของประเทศกว่า 3 ล้านปอนด์ จนได้รับการจดบันทึกว่า เป็นผู้นำที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก(อันดับ 4)
โดยเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชน โกงน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในประเทศ

อย่างไรก็ตามเขาตายด้วยโรคหัวใจวายในปี1998 รวมอายุ 54 ปี และถูกฝังทันทีโดยไม่ต้องชันสูตรใดๆ
(ตามกฎมุสลิม)ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าเขาได้รับพิษ



รู้ไปก็เท่านั้น ทำไมต้องธนาคารสวิส ทำไมธนาคารสวิสจึงเป็นแหล่งฝากเงินของผู้มีอำนาจในหลายประเทศ
ที่มักนำเงินมาฟออกและฝากธนาคารแห่งนี้ลับๆ สาเหตุเนื่องมาจากธนาคารสวิส ในนครซูริกนั้นเป็นศูนย์กลาง
เศรษฐกิจของประเทศ เป็นที่ตั้งของธนาคารนานาชาติ มีธนาคารใหญ่ห้าอันดับแรกของประเทศ และมีธนาคาร
ที่นั่นมีชื่อเสียงในการเก็บความลับ

ซึ่งนั้นเป็นการยากที่จะทำให้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือแม้แต่ รัฐบาลต่างประเทศตรวจสอบได้
ยกเว้นถ้ามีหมายศาลของตรวจสอบบัญชี





6.Sese Seko Mobutu


   
โมบูตู เซเซ เซโก (1930-1997) ได้สถาปนาการปกครองระบอบเผด็จการภายใต้ชื่อสาธารณรัฐคองโกที่ 2
เขาปกครองคองโก (หรือเรียกว่าซาอีร์ตั้งแต่ 1965-1997)

เขาถือกำเนิดจากแม่ที่หนีมาจากการถูกทำหญิงในฮาเร็ม ของหัวหน้าหมู่บ้านท้องถิ่นแล้วมาทำงานในบ้าน
ผู้พิพากษาชาวเบลเยียม และภรรยาของผู้พิพากษาชอบเขาเลยได้สอนเขาพูดและอ่านจนคล่องแคล่ว
และได้รับการศึกษา เขานำความรู้นี้มาใช้กับการเมืองคองโกจัดตั้งกองทหาร และมันก็ได้ทำให้เขาสามารถ
ยึดอำนาจจากรัฐประหารได้ในปี 1965

แต่กระนั้นเมื่อผู้นำประเทศแล้วเขากลับห้ามวัฒนธรรมตะวันตก เขายกเลิกเครื่องแต่งกายที่เป็นตะวันตก
และวัฒนธรรมตะวันตกต่างๆ เขาเปลี่ยนธงของคองโกใหม่ และตั้งกฎหลายอย่างเพื่อทำลายศัตรูการเมือง
ของเขา นอกจากนั้นเขายังฟอกเงินจนติดอันดับ บุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมเป็นอันดับสาม เป็นเงินกว่า
5000000000 ดอลลาร์ และเงินดังกล่าวไม่ได้รับกลับคืน ท่ามกลางประเทศที่ยากจนข้นแค้นเขากลับ
ไปช้อปปิ้งที่ปารีสกับครอบครัว

เขาตายจากการถูกเนรเทศในโมร็อกโกในปี 1997




5. Leopold II of Belgium



สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ของเบลเยียม ในช่วง 1865-1909 ด้วยการสนับสนุนทางการเงิน
จากรัฐบาล เขาได้สร้างรัฐอิสระคองโก มาครอบครองเป็นส่วนบุคคล ในปี 1885  พระองค์ทรงแต่งตั้งพระสังฆราช
และผู้มีบุญคุณมาปกครองประเทศ เขาปิดพรมแดนทั้งหมดเพื่อควบคุมตัวบุคคลและธุริกจทั้งหมดในประเทศ
และทำให้ประเทศเป็นตลอดค้าแรงงานทาสที่โหดร้ายที่สุดในโลก




เขาทำกำไรมหาศาลจาก ยางและงาช้างในภูมิภาคแอฟริกา(ในปี 1890 คองโกเป็นผู้จำหน่ายยางที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
เขาถือหุ้นหลายบริษัทและนำเงินมาพัฒนาประเทศเบลเยี่ยม ในขณะที่ ชาวคองโกเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคน
เพราะทำงานหนักจนตาย จนกระทั้งในปี 1907 พระองค์ได้ถูกบังคับให้สละการควบคุมประเทศให้แก่รัฐบาลเบลเยี่ยม
แต่สำหรับคองโกนั้นพวกเขากลับได้รับผลเสีย ที่ยากจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้จนถึงปัจจุบัน

เพราะจำนวนเงินที่เสียหายให้แก่สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 มีมูลค่า เท่ากับ ค่า GNP
ของคองโกปัจจุบันสำหรับ 22 ปีขึ้นไป





4. Dawood Ibrahim
 


Dawood Ibrahim (1955-??) เขาเป็นชาวอินเดียและผู้นำองค์กรอาชญากรรม "บริษัท D" เขาเป็นจอมวายร้าย
ที่ตำรวจสากลและอินเดียต้องการตัวมากที่สุด เขามีส่วนร่วมการก่ออาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นค้ายาเสพย์ติด รับจ้างฆ่า
ที่ส่วนใหญ่มักดำเนินการในอินเดีย

นอกจากนี้เขายังมีข้อหาการก่อการร้ายที่วางระเบิดบอมเบย์ ในปี 1993, และการปลอมแปลง  ฯลฯ นอกจากจะร่วมมือ
องค์กรอัลกออิดะห์แล้ว เขายังมีพี่น้องที่เป็นมาเฟียอยู่ทั่วโลก ทุกวันนี้เขาได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่แพร่ระบาดใน
มาเลเซีย, สิงคโปร์. ไทย. ศรีลังกา, เนปาล, ดูไบ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และหลายประเทศในแอฟริกา

เขาติดอันดับ 10 บุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด หากแต่ปัจจุบันยังไม่สามารถจับตัวเขาได้และไม่รู้เขาอยู่อยู่ที่ไหน
แต่หลายคนเชื่อว่าเขาตายเพราะโรคหัวใจในขณะที่บางคนเชื่อเขายังมีชีวิตอยู่แถวปากีสถาน





3. Ferdinand Marcos



เฟอร์ดินานท์ มาร์กอส(1917-1989) อดีตทนายความ ที่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์
อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 31 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ.1965-1986  เขาเป็นประธานาธิบดีรูปหล่อ ฉลาดและเป็นนักวางแผน
ทำการคอรัปชั่นมากมายอย่างยากจับได้ยาก เขาใช้ความเป็นนักกฎหมาย ใช้อำนาจและช่องโว่ในรัฐธรรมนูญเพิ่ม
อำนาจให้ตัวเอง สร้างสถานการณ์ ประกาศกฎอัยการศึก คุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ จำกัดสิทธิสื่อสารมวลชน 
สถาปนาตนเองมีอำนาจสูงสุด สังหารศัตรูทางการเมือง ทำให้ประชาชนในประเทศเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก

ด้วยโครงการต่างๆ เอาผลประโยชน์ให้เพื่อนพ้องตระกูลมาร์กอสและบริวารผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
มั่งคั่งร่ำรวย ส่งผลทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ตกต่ำจนยากที่จะกลับมาแก้ไขได้ดั่งเดิมจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เขายัง
ฟอกเงินโดยซักรีดเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ผ่านกองทุนสาธารณะ แล้วไปฝากที่สวิสและประเทศอื่นๆ



[color=พำก]ผลสุดท้ายเขาก็พ้นจากตำแหน่งโดยการหลบหนีออกนอกประเทศ [/color]หลังการลุกฮือของประชาชน เขาเสียชีวิต
ขณะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทางการฟิลิปปินส์พยายามที่จะอายัดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาร์กอส
และดำเนินคดีในข้อหาใช้อิทธิพลคอรัปชั่น ในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่
(ถ้าจำไม่ผิดเขาติดอยู่ในอันดับ 2 บุคคลที่ทำให้ชาติล่มจมอันดับ 2 ของโลก)

จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ




2. Pablo Escobar



พาโบล เอสโคบาร์ (1949-1993) เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบีย และของโลก ที่ผูกขาดการ
ซื้อขายโคเคนถึง 80%ในโลก และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์
ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 9,000,000,000 ดอลลาร์ เป็นคนที่ทำผิดทางอาญาที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุด
เท่ามีในประวัติศาสตร์ เขารวยมากชนิดที่เรียกว่าที่บ้านของเขานั้นมีรถหรูมากมาย ใช้คลังสินค้าเก็บเงิน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผาเงิน 2 ล้านดอลลาร์เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นที่เท้าตอนทำงาน


แต่เชื่อหรือไม่ว่าอดีตของพาโบลนั้น เขาเกิดในบ้านที่เป็นกระท่อม ไม่มีทั้งน้ำและไฟใช้ เขามีนิสัยเกเร
ชอบแกล้งคนอื่นในโรงเรียน แถมโดนจับข้อหาขโมยเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระโจมเข้าสู่วงการอาชญากรรม
เข้าส่งการขายโคเคน โดยเขาได้ลักลอบโคเคนไปขายสหรัฐ และมันก็ได้ทำเงินแก่เขาอย่างมหาศาล




เอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว เขามักปรากฏตัวอย่างมีเอกลักษณ์
ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น เขาชอบช่วยเหลือเด็กโคลัมเบียโดยสร้างโรงเรียนและให้อาหาร หากแต่
ในขณะเดียวกันเขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ
และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพ
ของเขาหนุนหลังอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็จบชีวิตตนเองลง จากการปราบปรามของพวกคอมมานโดที่บุกบ้านพัก
กบดาลแล้วฆ่าเขาและลูกน้อง เมื่อวันที่  วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993

จำนวนเงินที่ซักฟอก ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ – 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ




1. President Suharto


                 
ซูฮาร์โต้ (ค.ศ.1921 – 2008) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่ง
ประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา 31 ปี เขามีบทบาทสำคัญทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 1965
โดยการใช้นโยบายปราบปรามกองกำลังคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีรุนแรง หลังจากมีความพยายามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ


แต่กระนั้นเขาก็สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียในระหว่างปี 1967-1998 เวลายาวนาน
ถึง 32 ปี ในช่วงแรกที่เขาดำรงตำแหน่งเขาได้รับสมญาว่าเป็น "บิดาแห่งการพัฒนาประเทศ ในยุค 1990"
เพราะเขาทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับฉายาว่า "แก๊งค์มาเฟียเบิร์กลีย์" ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลของซูฮาร์โตที่ส่วนใหญ่
เป็นครอบครัวและญาติ ได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมดส่งผลทำให้เขาและครอบครัวร่ำรวยขึ้นในขณะที่
ประชาชนในประเทศจนลง อีกทั้งเขาได้กล่าวหาว่าเขาคือผู้ทุจริตคอรัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในอินโดฯ และของโลก
ในเวลาเดียวกัน



เขาติดอันดับหนึ่งในผู้นำทำให้ชาติล่มจมที่สุดในโลก โดยนิตยสารไทม์ เชื่อว่าเขามีเงินที่ถูกซักฟอกในครอบครัว
และธนาคารต่างประเทศมากกว่า 15,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับการใช้ตำแหน่งผู้นำทางการทหาร
ออกนโยบายรุนแรงเพื่อปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย กับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลซูฮาร์โต ซึ่งรวมถึงสมาชิก
พรรคคอมมิวนิสต์, นักหนังสือพิมพ์ และนักวิชาการหลายรายที่เสียชีวิต และสูญหายไปในช่วงเวลาที่ซูฮาร์โตเรืองอำนาจ
และการใช้กำลังทหารเข้าสู้รบเพื่อปราบปรามกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอีสต์ติมอร์ ก็มีส่วนทำให้ยุคของซูฮาร์โต
ถูกเรียกว่า "ยุคแห่งความหวาดกลัว" ของชาวอินโดนีเซีย



ตลอดระยะเวลา 32 ปีในฐานะผู้นำประเทศ ซูฮาร์โตได้รับการสนับสนุนด้วยดี จนกระทั่งปี 1998 หลังจากที่เกิดภาวะ
วิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเชีย ซูฮาร์โต ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการทหารอีก
หลังจากซูฮาร์โตลงจากตำแหน่ง มีความพยายามจะนำตัวซูฮาร์โตและผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินการในชั้นศาล เนื่องจาก
มีผู้กล่าวหาว่าเขาคือผู้ออกคำสั่งให้ฆ่าและลักพาตัวผู้คนจำนวนมากให้สูญหายไป ในยุคที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ศาลอนุโลมให้ซูฮาร์โตไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อรับการพิจารณาคดี เนื่องจาก "สุขภาพไม่แข็งแรง"

ผลสุดท้ายซูฮาร์โต้ก็เสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลว เมื่อปี 2008 ที่โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตา โดยปราศจาก
ความผิดใดๆ ทั้งสิ้น จำนวนเงินที่ซักฟอก : US$15- US$35 billion.



เนื้อหาแปลบางส่วนจาก
http://www.toptenz.net/top-10-worst-money-launderers.php+ +

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่