เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ยูเอฟโอ

เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ยูเอฟโอ

เริ่มโดย etatae333, 17 สิงหาคม 2018, 14:31:07

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ยูเอฟโอ
cr. Cammy@Dek-D

วบกอม หรือ วัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ (UFO : Unidentified Flying Object) เป็นศัพท์ทาง
วิทยาศาสตร์การทหาร บัญญัติโดย กองทัพอากาศสหรัฐ (USAF : United States Air Force) หมายถึง
วัตถุบินที่มีอยู่จริงหรือสังเกตเห็นได้ แต่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นอะไร


แน่นอนสิ่งที่ตามมาก็คือว่า "ยูเอฟโอมีจริงหรือ?"

แน่นอนว่ามันยังคงเป็นปัญหาที่ไม่มีคำตอบ(โลกแตก) แม้แต่ปัจจุบันคำถามนี้ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีมันมีจริงหรือไม่
เพราะส่วนมากยูเอฟโอส่วนใหญ่ที่พบเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ(ฟ้าผ่า, ดาวเคราะห์, ก๊าซ) บางส่วนเกิดจากฝีมือ
มนุษย์(ลูกโป่ง เครื่องบิน) หรือบางกรณีที่หลอกลวง

แต่กระนั้นอย่างไรก็ตามก็มีกรณีจำนวนน้อยมากที่ระบุว่ายูเอฟโอนั้นเป็นของจริงที่คาดว่ามาจากนอกโลก และบางเหตุการณ์
ก็ส่งผลกระทบต่อสังคมจนกลายเป็นลัทธิความเชื่อยูเอฟโอในเวลาต่อมา และนี้คือ 10 เหตุการณ์ยูเอฟโอที่โด่งดังที่ไม่ใช้
แปลกประหลาดอย่างเดียวเพราะมันส่งกระทบต่อประวัติศาสตร์ยูเอฟโอด้วย



10. California and the Midwest "Airship" Sightings, 1896-97
 


ในสมัยหลายร้อยปีก่อนผู้คนมากมายแยกแยะไม่ออกว่า แสงที่อยู่บนท้องฟ้านั่นคืออะไรกันแน่
ระหว่างปรากฏารณ์ธรรมชาติหรือสิ่งที่มาจากต่างดาว แต่อย่างที่คุณรู้สมัยก่อนยังหาคำที่ไม่สามารถ
เรียกสิ่งนั้นได้(เพราะยูเอฟโอนั้นพึ่งบัญญัติศัพท์เมื่อ 1947 )


และภาพข้างต้นเป็นภาพวาดจากการพบเห็น ซึ่งต่อมาได้รับการกล่าวขานว่า "อากาศยานอันยิ่งใหญ่แห่งแคลิฟอร์เนีย"
โดยในเดือนพฤศจิกายน 1896 มีรายงานการพบเรือเหาะประหลาดที่คาดว่ามันไม่ใช้สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นบินผ่าน
เหนือเมืองซาคลาเมนโต เมืองโอ็กแลนด์ และเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาในตอนกลางคืน



จากรายงานระบุว่ามันมีรูปทรงกลมรี มีใบพัดและไฟฉายพลังงานสูง มันเคลื่อนที่สามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
และที่น่าสนใจก็คือ1896-97 ได้เกิดปรากฏการณ์วัตถุลึกลับคล้ายกันแบบนี้เกิดขึ้นที่เมืองต่างๆ ในแคลิฟอร์เนีย
ต่อหน้าต่อตาของประชาชนหลายคน  แน่นอนฝ่ายที่ไม่เชื่อยูเอฟโอก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์อุปทานหมู่ เช่นเคย
แต่กระนั้นเหตุการณ์นี้นำมาซึ่งปรากฏการณ์ยูเอฟโอสมัยใหม่ในเวลาต่อมา




9. Washington, DC Sightings, 1952
 

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=neothailand&month=01-12-2009&group=3&gblog=25

เหตุการณ์ยูเอฟโอปรากฏวอชิงตัน เป็นเหตุการณ์ที่มีรายงานตรวจพบตรวจพบฝูงวัตถุประหลาดบินได้จากจอเรดาห์
และเป็นยังมีผู้คนพบเห็นวัตถุบินลึกลับที่มีลักษณะแปลกๆ เช่น มันเป็นแสงสีส้มสดใส หรือไม่ก็แสงสีขาวบนท้องฟ้า
โดยฝูงยูเอฟโอปรากฏตัวในช่วงสองวันหยุดสองวันติดต่อกันคือ ในฤดูร้อนระหว่าง 19 – 20 กรกฎาคม และ
26-27 กรกฎาคม 


ต่อหน้าผู้คนมากมายในสนามบินนานาชาติวอชิงตัน ดี.ซี. ในช่วงตอนกลางคืน ซึ่งกองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินเพื่อติดตาม
แต่ก็ไร้ประโยชน์ เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 19 กรกฏาคมและ 20 กรกฎาคม โดยวันแรกเริ่มขึ้นเมื่อ เวลา 11.40 น. เมื่อ
นายเอ็ดเวิร์ด นิวเจนท์ เจ้าหน้าที่ควบคุมสัญญาการจราจรทางอากาศที่สนามบินวอชิงตันได้ตรวจพบวัตถุประหลาดจากจอเรดาห์
มันมีถึง 7 จุด (ลำ) อยู่ห่างจาก 15 ไมล์(ประมาณ 24 กิโลเมตร) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง และพื้นที่แห่งนั้นไม่มี
เครื่องบินใดๆ ทั้งสิ้นบินอยู่



โดยเขาได้กล่าวเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
"ผมรู้ทันทีว่านี้เป็นสถานการณ์ที่แปลกมาก การเคลื่อนไหวของพวกมันสมบูรณ์แบบ
ถึงขีดสุดเมื่อเทียบกับเครื่องบินทั่วไป"


ทิศทางของพวกมันเคลื่อนที่มุ่งตรงไปยังอาคารรัฐสภา จึงวิทยุแจ้งไปยังฐานทัพอากาศแอนดรูว์ หากแต่ว่าเจ้าหน้าที่ฐานทัพ
อากาศไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดๆบนจอเรดาร์

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นวิลเลี่ยม แบรนดี้ ได้รับเจ้าหน้าที่หอควบคุมได้เห็นฝูงวัตถุประหลาดที่นอกหน้าต่าง เขากล่าวว่า
"มันเป็นแสงสีส้มสดใส ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร"

และฝูงลูกไฟสีส้มฝูงหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนอื่นจะขึ้นมาบนหอคอย ลูกไฟประหลาดกลุ่มนั้น
ก็หายไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เวลา 00.30 น. ขณะที่นักบินสายการบินแคปิตอลรอสัญญาณนำเครื่องขึ้นบิน เขารายงานว่าเห็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ 6 ดวง
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอยู่บนท้องฟ้า เข้าใจว่าเป็นลูกอุกกาบาต เขาเฝ้าดูมันนานถึง 14 นาที ก่อนที่จะหายไปซึ่งเหตุการณ์
ยูเอฟโอปรากฏเมื่อ 19-20 กรกฎาคม นี้ถูกพาดข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศ


จากนั้นฝูงจานบินก็เกิดขึ้นอีกเมื่อช่วง 26-27 กรกฎาคม โดยวันที่ 26 กรกฎาคม  เวลา 20.15 น. ลูกไฟประหลาดปรากฏตัวขึ้น
ที่เดิมอีกครั้ง พนักงานต้อนรับสายการบินเนชั่นนอลรายงานว่าเห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือ เครื่องบิน หลังจากนั้นไม่นาน หอบังคับ
การบินกรุงวอชิงตันก็ตรวจพบวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติบนจอเรดาร์ และคราวนี้จอเรดาร์ของฐานทัพอากาศแอนดรูว์ก็ตรวจพบ
เช่นเดียวกัน

รัฐบาลอเมริกาได้ส่งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ทำการตรวจสอบครั้งนี้ก่อนที่จะออกมาแถลงว่าการพบเห็น
ทั้งหมดเป็นเพราะอุณหภูมิไม่คงที่ทำให้เรดาร์เกิดความผิดปกติและสิ่งที่หลายคนเห็นเป็นแสงไฟเกิดจากปรากฏการณ์ชั้น
บรรยากาศและอุปทานหมู่ของคน(ประจำ) โดยผลสรุปเหล่านั้นถูกเก็บในแฟ้มของ Project Blue Book (เป็นโครงการหนึ่ง
ของรัฐบาล ที่ตั้งขึ้นเพื่อหาเหตุผลและหลักฐานเพื่ออธิบายการปรากฏของจานบิน โดยผลสรุปส่วนใหญ่มักจบลงด้วย "คิดไปเอง")

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการปรากฏตัวของยูเอฟโอในวอชิงตัน ทางรัฐบาลสหรัฐก็ไม่สามารถ หาคำอธิบายที่ดีและมีเหตุผลที่ดี
ให้กับเรื่องราวเหล่านั้นได้ และมันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงกระทั่งทุกวันนี้  ส่งผลทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ถูกจารึกใน
ประวัติศาสตร์ว่าเป็น เหตุการณ์ที่ยูเอฟโอปรากฏตัว ออกมายิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ส่งผลทำให้รายงานการปรากฏตัวของ
ยูเอฟโอเป็นที่น่าเชื่อถือและทำให้ลัทธิเชื่อยูเอฟโอไม่ยอมความกันง่ายๆ หากมีใครมาเถียงว่ายูเอฟโอไม่มีจริง และมักยก
เหตุการณ์นี้มาอ้างทุกครั้งไป





8. Phoenix Lights, 1997


 
ไฟฟินิกซ์ ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ปรากฏยูเอฟโอที่มีชื่อเสียง เนื่องจากมีพยานหลายคนจำนวนมากพบเห็น และมีการถ่าย
วีดีโอเทปจำนวนมากมายและปรากฏในช่องสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น และชัดเจนอีก

โดยรายงานระบุว่าเมื่อตอนเย็น 13 มีนาคม 1997 มีพยานหลายคนพบเห็นวัตถุลึกลับเหมือนจานบินขนาดใหญ่รูปร่าง
สามเหลี่ยมรูปตัววี ส่องแสงไฟเป็นดวงๆ จำนวนหนึ่งบินปรากฏเหนือท้องฟ้าในเมืองฟินิกซ์และหลายเมืองในเนวาด้า
อาริโซน่า และนิวเม็กซิโก

โดยรายงานแรกเริ่มขึ้นเมื่อ 18.55 น. มีการพบเห็นดวงไฟหลายดวง และวัตถุบินได้คล้ายรูปตัววีใน เนวันด้า
ขนาดของมันใหญ่พอๆ เครื่องบินโบอิ้ง 747 โดยมีดวงไฟสีแดงหรือสีส้มส่อง 6 ดวงอยู่ข้างใต้ยาน และมันบิน
อย่างช้าๆ และหายไปทางทิศใต้เหนือน่านฟ้า แต่เหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดคือการปรากฏตัววัตถุคล้ายๆ กัน
ในเมืองฟินิกซ์ ในพื้นที่อากาศยานเมืองฟินิกซ์ (United States Air Force (USAF)) เพราะมันปรากฏนานกว่า
นานเกือบสามชั่วโมงในช่วง 19.30 น.-22.30 น.  อยู่เหนือท้องฟ้าทางด้านตะวันตกของเมืองและเคลื่อนที่
อยู่บนอากาศอย่างช้าๆ และเงียบๆ และหลังจากนั้นไม่นานผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมากต่างก็พากันโทรศัพท์
เข้าไปตามรายการวิทยุ รายงานโทรทัศน์ และสถานีตำรวจ เพื่อแจ้งเหตุ




ในเวลาต่อมาทางฐานทัพอากาศ ของสหรัฐฯ ก็ได้ออกมากล่าวอ้างว่าแสงไฟสีอำพันลึกลับซึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า
ที่เห็นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกบินของทางกองทัพ แน่นอนประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เหตุการณ์ครั้งนี้ แต่กระนั้น
ก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ว่าคืออะไร และยังคงถกถียงจนถึงทุกวันนี้  พร้อมคลิปในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่
ปรากฏตามเว็บมากมาย และเว็บข้างล่างก็คือหนึ่งในนั้น




7.Kecksburg, Pennsylvania UFO Crash, 1965


 
เหตุการณ์ยูเอฟโอที่เคกส์เบิร์ก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1965 เมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg)
รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา(ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมจานบินมันชอบปรากฏในอเมริกากันนัก) โดยเหตุการณ์
ในวันนั้นมีพยานหลายคนประจักษ์พยานนับพันคนทั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐใกล้เคียงอย่างน้อยหกรัฐ เช่น มิชิแกน,
โอไฮโอ หรือแม้แต่ออนทรีโอในแคนาดา ต่างก็เห็นกับตาว่ามีวัตถุสุกสว่างขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าเหนือบริเวณ
ที่พวกเขาอยู่ และไปตกพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย

ซึ่งบริเวณนั้นเป็นป่าไม้ ทำให้ป่าไม้ในบริเวณที่วัตถุนั้นตกเริ่มลุกไหม้เป็นบางส่วน หลังจากนั้นกองทัพสหรัฐฯ
ก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุ แต่หลังจากค้นหากันอยู่นาน
นายทหารที่ร่วมค้นหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของนาซาก็ออกมาบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว
พร้อมกับมีรายงานออกมาว่าเป็นเพียงแค่สะเก็ดดาวตกลงมาเท่านั้น



อย่างไรก็ดี มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุขนาดใหญ่
พอๆ กับรถเต่า (โฟล์คสวาเกน) และมีลักษณะคล้ายกับระฆังสีส้ม(หรือเหมือนผลต้นโอ๊ก)ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ
ในค่ำคืนวันนั้น และเหตุการณ์ในครั้งนี้มีการยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐให้บังคับเปิดเผยข้อมูลเหตุการณ์เคกส์เบิร์กให้
ประชาชนรับทราบ



จนกระทั้งปี 2005 องค์กรบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ก็ต้องยอมเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวตามคำสั่งศาล
โดยสิ่งที่นาซ่าอธิบายคือมันคือดาวเทียมลับของรัสเซียโดยหลักฐานคือกาตรวจสอบชิ้นโลหะจากวัตถุดังกล่าว
ซึ่งคำอธิบายของนาซ่าครั้งนี้ขัดต่อคำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1965 เป็นอย่างยิ่ง(ที่ตอนนั้นเป็นดาวตก)
ต่อมามีการบังคับให้เอานาซ่าเอาหลักฐานมาอีกครั้ง


แต่คราวนี้นาซ่าบอกว่าเอกสารหลักฐานดังกล่าวมันหายไป ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันถูกทำลายหรือจงใจปกปิดกันแน่




6. Mantell Incident, 1948


 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 1948 ในรัฐเคนตักกี้ ตลอดทั้งวันนั้นมีรายงานแจ้งจากประชาชนในเมืองแมรีส์ วิลล์,
ไอร์วิงตัน และโอเวนส์โบโร และหมู่บ้านอื่นๆ ในแถบนั้นว่าพบจานบินส่องแสงขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
เหนือท้องฟ้า


โดยรายงานนั้นเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลา 13.15 น. จากสถานีตำรวจไปยังฐานทัพอากาศกอดแมน ซึ่งฐานทัพอากาศ
ยืนยันว่าในเวลานั้นไม่มีเครื่องบินใดๆ อยู่ในบริเวณที่รับรายงานดังกล่าว และในเวลาต่อเมื่อ เมื่อเวลา 13.35 น.
เรดาร์ของฐานทัพกอดแมนได้ตรวจพบ จานบินลึกลับกำลังบินใกล้สถานบินเข้ามาทางตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
ความเร็ว 3950 เมตร จานบินที่ว่าส่องแสงเป็นวงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 150 เมตร ซึ่งในเวลาต่อมา
เรืออากาศเอกโธมัส แมนเทลล์ และเครื่องบินรบมัสแตง เอฟ-51 ได้ติดตามจานบินลึกลับลำนั้น



ซึ่งเขาบินโดยไม่มีออกซิเจน แต่ต้องบินระดับสูงกว่า 7000 เมตร และการติดต่อครั้งสุดท้าย ของเขาที่มายัง
หอบังคับการณ์ก็คือ

"พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี มันใหญ่โตมโหราฬมาก  ผมกำลังพยายามไปถึงมัน
มันกำลังบินสูงขึ้น มันบินสูงขึ้น...... มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...."


จากนั้นก็เงียบไปเลย (ในความเป็นจริงคำพูดเหล่านี้ เป็นการตีใส่ไข่ในหนังสือพิมพ์ครับ คำพูดจริงๆ คือเขา
มองเห็นจานบินเหนือศีรษะและเคลื่อนที่เร็วและบอกว่าเป็นวัตถุโลหะขนาดใหญ่ ก่อนที่รายงานจะหายไป)

ผลสุดท้ายเครื่องบินมัสแตงของแมนเทลล์ได้ดิ่งเป็นแนวตั้งฉากลงพื้นที่ฟาร์มแห่งหนึ่งเมื่อเวลา 15.15 น.
และเกิดระเบิดเป็นซากเล็กซากน้อย ศพของเขาพบในห้องนักบิน และจากรายงานพบว่ามีรูและรอยขีดข่วน
จากความร้อนสูงปรากฏในซากเครื่องบินเหมือนกับว่าเครื่องบินนี้ถูกโจมตีจากรังสีสังหารบางอย่าง




แน่นอนหลายฝ่ายตั้งสมมุติฐานนี้ว่าสิ่งที่เครื่องบินมัสแตงของแมนเทลล์ติดตามนั้นเป็นบอลลูนตรวจอากาศ
หรืออาจเป็นทรงกลดของดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าอันเนื่องจากผลึกน้ำแข็งซึ่งลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ
แต่เรื่องทั้งหมดยังคงเป็นความลับอยู่ดี และเหตุการณ์ในครั้งได้รับรับการกล่าวว่าเป็นการตายของคนครั้งแรก
ที่จำเลยเป็นยูเอฟโอ




5.Barney and Betty Hill Abduction, 1961


 
เหตุการณ์ลักพาตัวครั้งแรกโดยมนุษย์ต่างดาว(อย่างเป็นทางการ) เริ่มขึ้นเมื่อตอนเย็น 19กันยายน ค.ศ.1961
ในรัฐนิวแฮวเชียร์ สหรัฐอเมริกา ครอบครัวฮอลส์ ที่ประกอบด้วยสามีชื่อ บาร์นีย์ ฮิลส์(Barny Hills) วัย 39 ปี
พนักงานไปรษณีย์ และนางเบ็ตตี้ ฮิลล์(Betty Hilly) ผู้เชี่ยวชาญประจำกรมคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ที่กำลัง
อยู่ระหว่างพักผ่อนตากอากาศรำลึกความหลังเก่าๆ ที่แคนาดา

ในขณะที่พวกเขากำลังขับรถกลับบ้าน พวกเขาก็ได้สังเกตสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นยูเอฟโอที่ลอยบนถนนมรเมืองนอร์ธ
วู้ดสต็อค และแล้วหลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้สติไม่สามารถจำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ (รายงานบอกว่า
พวกเขาหายไป 2 ชั่วโมง โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าช่วงที่หายพวกเขาไปทำอะไรไว้) หลังจากนั้นหลายสัปดาห์ต่อมา
พวกเขาทั้งสอง ก็บ่นเรื่องความฝันที่น่ากลัวและประหลาดของพวกเขา




ทั้งสองจึงไปพบจิตแทย์และนักประสาทวิทยาผู้เชี่ยวชาญ ดร.เบนจามิน ไซมอน(Dr. Benjamin Simon) โดยเขา
ได้ใช้วิธีสะกดจิตแบบย้อนหลังเพื่อปลดล็อกความทรงจำที่สูญหายไปสองชั่วโมงดังกล่าว ภายหลังการรักษาสองสามี
ภรรยานานกว่า 2 เดือน หมอก็ออกมาแสดงความเห็นว่า สองสามีภรรยาถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาและ มนุษย์ต่างดาวนั้น
มีศีรษะทรงลูกแพร์ และดวงตากลมโต ซึ่งนำตัวสามีภรรยาขึ้นบนยานบิน ทำการทดลองทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่างๆ
ก่อนที่จะถูกมนุษย์ต่างดาวปล่อยตัวไป

โดยสะกดจิตห้ามเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และแล้วกรณีครอบครัวฮอลล์ก็กลายเป็นกรณีศึกษาและถกเถียง
จนถึงปัจจุบัน ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกที่สองสามีภรรยาทำขึ้น แต่กรณีนี้ส่งผลทำให้พลังสะกดจิต
มีส่วนอย่างมากในการสืบสวนคนที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวในเวลาต่อมา





4. JAL Flight 1628, 1986
 


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันที่ 16 หรือ 17 พฤศจิกายน 1986 ลูกเรือญี่ปุ่นของสายการบินญี่ปุ่นเจเอแอล ประจำเครื่องบิน
โดยสารโบอิ้ง 747 ได้พบวัตถุจานบินได้สามลำลึกลับที่ไม่สามารถระบุที่มาเหนืออลาสกา สหรัฐอเมริกา ในระหว่างขนส่ง
สินค้าเที่ยวขนสินค้าจากปาริสเพื่อไปกรุงโตเกียว 966 กิโล/ชม. ระดับความสูงกว่า 35,000 ฟุต แต่เครื่องบินแวะอลาสกา
เพื่อเติมเชื้อเพลิงเมื่อเวลา 17.11 น.


โดยกัปตันเคนจิ เทราอูชิ(Kenji Terauchi) รายงานว่าพบเห็นวัตถุขนาดใหญ่ขนาดเป็นจานบินสามลำคล้ายเปลือกวอลนัท
จานบินหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามากๆ ใหญ่เป็นสองเท่าเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองเท่าประมาณ 610 เมตร ส่วนอีกสองลำ
มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 305 เมตร และเจ้าวัตถุนี้ปรากฏอยู่นานหลายนาทีและมีความเร็วเท่ากับยานของเขา



และเขาก็กล่าวอีกว่าเขารู้สึกอบอุ่นเมื่อจานบินนั้นส่องแสง ซึ่งกัปตันได้ขอให้ทางการทหารแทรกแซง หากแต่ได้รับการปฏิเสธ
แต่กระนั้นเครื่องบิน JAL ก็ปลอดภัยและลงจอดเมื่อเวลา 18.20 น. และเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหนึ่งไม่กี่กรณีที่ลูกเรือสายการบิน
พลเรือนยินดีที่จะออกมารือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อให้สาธารณะชนได้รับรู้ (ปกติมักกลัวและถูกปกปิด)




3. (Tie) Tehran, Iran Incident, 1976
 


คงจะเบื่อยูเอฟโอ อเมริกาแล้ว คราวนี้มาดูยูเอฟโอที่ต่างประเทศบ้าง โดยเป็นเรื่องของ "1976 Tehran UFO incident"
เป็นปรากฏการณ์ตรวจจับเห็นภาพจานบินขนาดยักษ์ที่เมืองเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นหลัง
เที่ยงคืน 19 กันยายน 1976 โดยวันนั้นมีการได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพลเมือง ว่าพวกเขาพบเห็นสิ่งประหลาด
บนท้องฟ้ามีแสงจ้า


และเมื่อทางการตรวจสอบก็พบว่าในช่วงเวลานั้นไม่มีเฮลิคอปเตอร์ ทำให้ตอนแรกสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพียงดาว
หากแต่หลังจากนั้นก็มีรายงานจากหอควบคุมทีสนามบินนานาชาติว่ามีเจ้าหน้าที่พบเห็นวัตถุสว่างมากที่มีขนาดใหญ่
กว่าดาว ทำให้ทางการตัดสินใจที่จะส่งสองเครื่องบินรบ F-4 แพนทอม II ออกไปติดตาม โดยระยะทางประมาณ
175 ไมล์(282 กิโลเมตร) ทางตะวันตกของกรุงเตหะราม

จากนั้นเครื่องบินรบก็รายงานเป็นระยะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การปรากฏตัวของสองจานบินคือลำใหญ่กับลำเล็กที่ได้ส่ง
รบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อยานบินเข้าใกล้มัน ทำให้สื่อสารกันไม่ชัด และแล้วจานบินลำเล็กก็หายไปในตอนที่
กำลังบินต่ำที่ริมบึงแห่งขอดด้านหนึ่ง นอกชานกรุงเตหะราน ซึ่งมันลงจอดแล้วค่อยๆ หายลับไป

ส่วนจานบินขนาดใหญ่ก็ได้หายสาบสูญทันทีที่ติดตามมัน ไม่มีการพบร่องรอยสองเครื่องบินดังกล่าวเลยแม้แต่เศษซาก
จากการสอบถามผู้อยู่อาศัยก็บอกว่าพวกเขาได้ยินเสียงดังและแสงจ้าเหมือนสายฟ้า




3. (Tie) Belgium Incident, 1990



เหตุการณ์นี้คล้ายกับกรณีของเตหะราน อันดับด้านบน แต่ยิ่งใหญ่กว่า โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1990
โดยเหตุการณ์โดยรวมคือมีการพบคลื่นเรดาร์ประหลาดที่เบลเยียมในช่วงกลางคืน นอกจากนี้ยังมีการถ่ายภาพและ
มองการมองเห็นยูเอฟโอทรงสามเหลี่ยมหรือไฟสามดวงเคลื่อนที่ไปมาในกรุงรัสเซลล์ ด้วยไฟมีการเปลี่ยนสีเป็น
สีแดง เขียว และเหลื่อง ไฟสามดวงนั้นเรียงตัวเป็นสามเหลี่ยม


โดยประชาชนกว่า 13,500 คน (2600 มีการเขียนรายละเอียดในสิ่งที่เขาเห็น) ทำให้ทางการเบลเยียมต้องออกมา
รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น และมีการส่งเครื่องบินรบ F-16 ออกไปสังเกตการณ์ และเช่นเคยคือ
มีรายงานที่ติดต่อจากเครื่องบินนั้นสัญญาณถูกรบกวน ก่อนที่จานบินนั้นจะหายไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อว่าจะมี
เครื่องบินในโลกสามารถทำแบบนี้ได้ และเช่นเคยคือทางการปิดข่าวเช่นเคย

ส่วนรูปข้างบนเป็นรูปถ่ายที่ถูกเผยแพร่ในเดือนเมษายน 1990 เป็นรูปวัตถุบินได้รูปสามเหลี่ยมและมีแสงไฟแต่ละมุม
(ไม่ปรากฏชื่อคนถ่ายภาพ) บางคนบอกว่านี้คือรูปถ่ายยูเอฟโอที่สมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากแต่บางคนบอกว่านี้
คือภาพปลอม โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิก




2. Kenneth Arnold's Mount Rainier, Washington Sighting, 1947
 


เหตุการณ์เหล่านี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงของลัทธิเชื่อยูเอฟโอสมัยใหม่ เมื่อนักบินและนักธุรกิจ
ชื่อ เคนเนธ อาร์โนลด์(Kenneth Arnold)จากไอชอดาโฮ กำลังขับเครื่องบินส่วนตัวจาก อยู่เหนือ
ยอดเขาเรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน(เป็นภูเขาไฟสงบ สูง 4392 เมตร)


เมื่อบ่ายประมาณ 15.00 น. 24 มิถุนายน1947(สาเหตุที่บินเพราะเขาอยากได้เงินรางวัลที่บอกว่า
ใครก็ตามที่สามารถชี้เครื่องบินของนาวิกโยธินที่ตกในบริเวณยอดเขาแห่งนี้จะได้เงินรางวัล 5000 ดอลลาร์)
และแล้ว เขาได้พบวัตถุชนิดหนึ่งที่บินได้ที่แปลกประหลาด เป็นยานบินรูปจันทร์เสี้ยว 9 ลำ



ซึ่งพวกมันบินผ่านยอดเขาเรนเนียร์ด้วยความเร็วสูง เมื่อเขาลงจอดเขาได้แจ้งหลายเกี่ยวข้องทราบ โดยเขา
บรรยากาศสิ่งที่เขาพบว่า

"วัตถุนั้นบินเหมือนกับเราร่อนจานให้กระดอนบินไปบนผิวน้ำ พวกมันบินเรียงเป็นแนวเฉียงเหมือนห่านป่า
มันแบนเหมือนระทะพาย และมันวับเพราะสะท้อนเสียงอาทิตย์เหมือนกระจก"


หากแต่หลายฝ่ายบอกว่าอาร์โนล์เฟ้อฝันไปเองมากกว่า สิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นแค่ภาพลวงตา หรือแสงสะท้อน
จากวัตถุระยะไกลและบิดเบือนไปเนื่องจากสภาพอากาศ แต่กระนั้นเขายังเชื่อว่าสิ่งนั้นคือจานบินจากนอกโลกอยู่ดี 
และเรื่องราวของเขา ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์การพบเห็นยูเอฟโอ ที่ปรากฏในรายงานแพร่หลายไปทั่วโลกครั้งแรก
เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับจานบินในชื่อการมาของจานบิน(The Coming of The Saucers) และไปสัมมนา
เกี่ยวกับจานบินหลายครั้ง





1. Roswell, New Mexico Crash and Recovery, 1947
 


คงไม่มีเหตุการณ์ครั้งไหนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ต้องยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด มีการกล่าวขานกันมากที่สุด
รวมทั้งมีการโต้แย้งกันยาวนานร่วมครึ่งศตวรรษ จนแม้ในปัจจุบันก็ยังหาข้อยุติไม่ได้?


เหตุการณ์เครื่องบินตกรอสเวลล์ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อกรกฎาคม ปี ค.ศ.1948 ห้าสิบกิโลเมตรทางตอนเหนือ
ของนิวเม็กซิโก ในเมืองรอสเวลล์ ในบริเวณพื้นที่รกร้างและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์สุดลูกหูลูกตา เกษตรที่แสนจะ
ธรรมดาคนหนึ่งชื่อแม็ค บราเซิล ได้พบวัตถุประหลาด เป็นเศษวัสดุคล้ายไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้เลยทีเดียว มันมีน้ำหนัก
ทั้งเบาและบางคล้ายแผ่นฟอยล์ ขนาดเล็กกระจัดกระจาย



เขาติดต่อหน่วยงานทหารในพื้นที่ทันที ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่
เกิดเหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกบอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมีอยู่ในโลก
และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุ ภายหลังทางการดัน
กลับคำให้การ บอกว่าวัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์ นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?


เรื่องมันเหมือนจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่หลายฝ่ายไม่ยอมให้จบ เพราะมีหลายคนพยายามสืบหาความจริงจาก
เหตุการณ์นั้น แต่ว่าการสืบดังกล่าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าพยานและผู้เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด
ต่างพากันปิดปากเหมือนกลัวอะไรบางอย่างอยู่ โดยเฉพาะ แม็ค บราเซิล ดูจะอาการหนักกว่าเพื่อน

เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ตราบจนกระทั่งถึงวันตายของเขาในปี ค.ศ. 1963 นอกจากนี้มีพยานบางคน
บอกว่าเห็นศพมนุษย์ในห้องผ่าตัด ในฐานทัพอากาศรอสเวลล์ แต่พยานดังกล่าวได้หายสาปสูญไปอย่าง
ไร้ร่องรอยเสมือนว่าถูกอุ้ม



ถึงกระนั้น การสืบค้นก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดก็มีแนวโน้มพอที่จะเชื่อแถลงการณ์ของทางการ
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ "กุ" ขึ้นเพื่อปิดบังไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง คำถามที่ตามมาก็คือทำไมต้องกลับคำ
ผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่?


ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐ
จะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้


ข้อมูลจาก

http://www.toptenz.net/top-10-most-important-ufo-incidents-in-history.php
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่