ซิยิ่นกุ้ย นายพลเสือขาวจอมทัพคู่บัลลังก์ผู้พิชิตโคคูเรียว Part 1

ซิยิ่นกุ้ย นายพลเสือขาวจอมทัพคู่บัลลังก์ผู้พิชิตโคคูเรียว Part 1

เริ่มโดย etatae333, 13 กันยายน 2018, 12:38:52

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

ซิยิ่นกุ้ย นายพลเสือขาวจอมทัพคู่บัลลังก์ผู้พิชิตโคคูเรียว

ซิยิ่นกุ้ย เป็นนายทหารเสือซึ่งมีส่วนสำคัญในการเอาชนะศึกกับเกาหลีในช่วงท้ายๆของถังไท่จงฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน
และเมื่อต้องมารับใช้ฮ่องเต้ถังเกาจง แกก็เป็นนายพลแห่งกองทหารรักษาพระองค์ ซึ่งตามประวัติแกเคยช่วยฮ่องเต้
ถังเกาจงให้รอดตายจากการจมน้ำเสียด้วย ในฐานะประวัติการรบนั้น ชั่วชีวิตของซิยิ่นกุ้ยก้ไม่เคยแพ้เลย โดยเฉพาะ
เมื่อรบกับศัตรูทางฝั่งตะวันออกจนกระทั่งได้ฉายาว่าเป็น "แม่ทัพพิชิตตะวันออกแห่งราชวงศ์ถัง"
(The General who Pacified the East for Tang Dynasty)




เรื่องจริงของซิยิ่นกุ้ยนั้นเริ่มต้นที่ปี คศ 614 ชื่อเดิมก็คือ เซี่ยหลี่ (Xue Li) หลายฝ่ายเชื่อว่าที่เปลี่ยนเป็นเหยินกุ้ย
หรือยิ่นกุ้ยน่าจะเป็นชื่อพระราชทานให้สมกับแม่ทัพทรงพลังจากการที่เอาชนะเหนือถูเจียตะวันตกและโคคูเรียว(เกาหลี)
จะมีพลาดก็ครั้งเดียวในปี 670 ที่ทำศึกกับถูฟาน


เขาเกิดในปี 614 ในซานซี ซึ่งอยู่ในยุคของ สุยหยางตี้ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์สุย (เกิดก่อนสุยหยางตี้จะตาย 4 ปี)
ไม่มีประวัติของซิยิ่นกุ้ยในช่วงเริ่มต้น อาจจะเป็นเพราะแซ่ของเขาไม่ใช่แซ่ของพวกตระกูลชั้นสูงก็ได้ ในยุคที่ความ
แตกต่างทางสังคมและการกีดกันทางชาติตระกูล และชนชั้นมีสูงนั้นโอกาสที่จะไม่มีการเขียนประวัติก็เกิดขึ้นได้มากครับ

หรือไม่อีกประการก็คือเขาเป็นลูกหลานชาวนา อย่างไรก็ตามภรรยาของซิยิ่นกุ้ยนั้นนั้น "แซ่หลิว" หรืออ่านเป็นแต้จิ๋วก็คือ
"แซ่เล่า" ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน เป็นแซ่ที่มีคนมากที่สุดติดหนึ่งในสิบ และในประวัติศาสตร์ของราชการนั้นแซ่นี้
ก็มักจะเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ

แต่เมื่อหลี่ซื่อหมินเอาชนะศึกจนรวบรวมแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ ปี 644 ในช่วงปลายรัชกาลของพระองค์ ก็ได้มีเหตุการณ์
ที่จะต้องรบกับโคคูเรียว หลังจากที่ โคคูเรียกกรีฑาทัพเข้าโจมตีอาณาจักรซิลลา อาณาจักรซิลลาได้ขอความช่วยเหลือ
มาที่ราชสำนักถัง ทำให้ศึกระหว่างถังกับโคคูเรียวระเบิดขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อที่จะไปรบ
ซิยิ่นกุ้ย ก็กลายเป็นหนุ่มใหญ่อายุ 30 ปีและเข้าสมัครเป็นทหารเกณฑ์ทันทีเหมือนกัน

ตามเรื่องที่มีการบันทึกมานั้นภรรยาของซิยิ่นกุ้ยหรือแม่นางหลิวได้บอกแก่สามีของตนเองให้ไปออกรบรับใช้ชาติ
เธอบอกสามีเอาไว้อย่างนี้ครับ


"ความสามารถของสามีข้าเหนือกว่าคนทั้งหลาย เธอต้องรู้ว่าช่วงเวลานี้เธอต้องใช้มันแล้ว เมื่อโอรสแห่งสวรรค์มีบัญชา
ให้ปราบเหลียวตง พระองค์ท่านย่อมต้องการนักรบที่ดุร้ายและทรงอาณุภาพเยี่ยงเธอ โอกาสที่จะรับใช้ชาติและแสดง
ความสามารถแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยนัก ข้าพเจ้าเชื่อว่าเมื่อท่านแสดงความสามารถในสนามรบออกมาเมื่อไหร่ ท่านก็จะได้รับ
เกียรติยศอันยิ่งใหญ่เมื่อนั้น และเมื่อท่านได้รับเกียรติยศที่ว่า บรรพบุรุษของท่านก็จะได้รับเกียรติยศกลับคืนมาเช่นกัน"


นั่นเองที่ทำให้ซิยิ่นกุ้ยตัดสินใจเดินทางไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์เพื่อไปรบโคคูเรียวตามที่ทางหลี่ซื่อหมิ่นมีดำริ



ถ้าประวัตินี้เป็นจริง เรื่องราวของซิยิ่นกุ้ยก็ยิ่งน่าสงสัย เพราะ คนเรานั้นฝึกอาวุธฝึกรบเรียนพิชัยสงครามไปจนกระทั่ง
การควบคุมทหารมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยปรกติทหารชาญศึกของจีนในยุคนั้นจะเริ่มออกรบในสนามรบกันตั้งแต่ 18-19 ปี
และเริ่มที่จะสร้างชื่อกันราวๆ 24-25 ปีนะครับ แต่นี่ซิยิ่นกุ้ยหายไปไหนมาไม่ทราบมาโผล่เข้าสมัครเป็นทหารก็อายุ 30 ปีแล้ว
โดยเฉพาะในช่วงต้นรัชกาลเจิ้นกวนซึ่งปราศจากข้าศึกและสงครามที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศเดือดร้อน การที่จะ
แสดงฝีมือหรือสามารถจะฝึกฝนเพลงอาวุธของตนเองได้อย่างเชี่ยวชาญจนอาสาไปรบได้ก็ย่อมจะมาจากทางอื่น


คนที่ใช้อาวุธเป็น ใช้อาวุธได้ และสามารถควบคุมกองทหารเล็กๆได้โดยไม่ได้เป็นทหารอาชีพก็ย่อมต้องอยู่ฝั่งตรงข้าม นั่นคือ
เป็นมาเฟียหรือผู้ยิ่งใหญ่ในท้องถิ่น หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นโจรหรือเป็นผู้เหี้ยมหาญตามค่ายภูเขาต่างๆไปเลย

ข้อสังเกตนี้ยกมาเพราะเทียบสภาพของทหารที่ไปรบกับสภาพจริงนะครับ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบได้ เพียงแต่ว่าถ้าเผื่อเขา
เป็นโจรเก่า หรือเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นดั้งเดิมนั้น ก็เป็นไปได้ที่ประวัติเก่าของเขาก่อนที่จะรับราชการเป็นทหารจะไม่ถูก
บันทึกไว้ ยิ่งเมื่อแสดงฝีมือจนกระทั่งได้เป็น นายพลรักษาพระองค์ ก็ยิ่งแล้วใหญ่

แต่ประวัติของซิยิ่นกุ้ยก่อนหน้าอายุ 30 จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ที่แน่ๆ เขาได้เป็นทหารสมใจเมียและไปรบกับเกาหลีแล้วละครับ



การเข้าร่วมสงครามของซิยิ่นกุ้ยนั้น เขาเข้ามาสมัครเองในฐานะทหารอาสาโดยอยู่ในสังกัดของรายพล จางซือกุ้ย (Zhang Shigui)
ทหารที่ไม่เคยมีประวัติการรบนั้น มักจะถูกบรรจุไว้ในหน้าที่ขนเสบียงให้กับกองทัพซึ่งมีผู้นำกองเสบียงที่ชื่อ หลิงจุนอัง (Liu Jun'ang)
กองนี้เองที่ทำให้เขาได้แสดงฝีมือ เมื่อเสบียงที่เดินทางนำไปให้ทหารแนวหน้านั้นโดนโจมตีโดยกองทัพของฝ่ายโคคูเรียว ในสภาพที่
ควรจะต้องตายยกกอง ซิยิ่นกุ้ยกลับใช้พละกำลังมหาศาลของเขาช่วยเหลือเพื่อนฝูงและเพื่อนทหารด้วยการให้พ้นจากคมหอกดาบ
ของฝ่ายโคคูเรียว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ช่วยนายทัพหลิวจุนอัง ออกมาจากการถูกรุมสังหารได้ด้วย ในการโจมตีที่ว่าซิยิ่นกุ้ยยังได้โอกาสในการฆ่านายกอง
ของโคคูเรียวสองคนมาผูกและแขวนไว้บนอานม้าของเขาด้วย หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ซิยิ่นกุ้ยก็เริ่มมีชื่อเสียงในหมู่เพื่อนทหาร
แถมเรื่องเล่าของ ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่สวมเกราะขาวที่เข้ารบอย่างเหี้ยมเกรียม ราวกับเป็นปีศาจที่น่าสยองมากสำหรับทหารโคคูเรียว

การรบอย่างเป็นทางการครั้งแรก ก็สามารถสังหารนายกองฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งสองคน ก็คงพ้องกับเรื่องที่อ่านไปเมื่อช่วงต้น
หรือซิยิ่นกุ้ยจะมีฝีมือและเคยฝึกฝนการรบมาตั้งแต่อายุก่อน 30 เพราะ ถ้าไม่มีประสบการณ์เลย การจะทำอะไรที่เหี้ยมหาญ
และเก่งกาจแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ว่าเขาจะมีพละกำลังมหาศาลอย่างไรก็ตาม


ก่อนจะไปถึงเรื่องที่ทำให้หลี่ซื่อหมิ่นได้เห็นฝีมือของซิยิ่นกุ้ยนั้น สภาพการรบในช่วงแรกของสงครามครั้งนี้นั้นปรากฏว่า ถังไท่จงฮ่องเต้
ที่นำทัพไปด้วยทหารจำนวนหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นนายได้วางแผนเข้าโจมตีเหลียวตงและอันซีเพื่อควบคุมแม่น้ำเหลียวให้ได้ ทัพถังนั้น
มีฉางซุนอู๋จี้ และหลี่ซื่อจี่ เข้าจัดการกับโคคูเรียวได้อย่างหมดจดในช่วงแรก จนกระทั่งยึดเหลียวตงไว้ได้ สามารถสังหารฝ่ายโคคูเรียว
ได้ถึงสองหมื่นคน จับเป็นได้อีกสามหมื่นหกพันนาย



ปัญหาตึงมืออยู่ที่การยึดอันซี (Ansi ปัจจุบันคือเมืองอานชาน มณฑลเหลี่ยวหนิง) ซึ่งบัญชาการโดย หยางมานชุน (Yang Manchun)
ซึ่งตั้งรับได้อย่างสุดยอด จนกระทั่งทัพถังไม่สามารถทำอะไรได้ มหาภัยที่เกิดขึ้นกับทัพถังก็คือ อากาศหนาวเย็นที่มาในเดือนกันยายน
และปัญหาเรื่องเสบียงที่ถูกตัดขาดจากแนวหลัง หลี่ซื่อหมินเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะถอยทัพกลับเมืองฉางอันนครหลวงของราชวงศ์ถัง
เพื่อไม่ให้ทัพของตนเองต้องล่มสลายทั้งหมด


แต่ฝ่ายเกาหลีที่ชำนาญภูมิอากาศและพื้นที่มากกว่า ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อจะหาทางตีทัพถังไม่ให้กลับบ้านได้ นำโดยทัพของ
Yeon Gaesomun ทัพของนายพล Go Yeons และสุดท้ายทัพของนายพล Go Hyejin ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยแพ้จนเสียเมือง
เหลียวตงมาแล้ว แต่งานนี้ไม่เหมือนเก่า เพราะ ขวัญ เสบียง และกำลังใจผิดกัน

แถมเอาเข้าจริงการรบกับเกาหลีครั้งนั้นของหลี่ซื่อหมินนั้นมีความผิดพลาดค่อนข้างเยอะ ทั้งประเมินกำลังของฝ่ายตรงกันข้ามผิด
เข้าใจสถานการณ์ที่ผิด ซึ่งเรื่องราวที่ว่านี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาในช่วงเวลาที่หลี่ซื่อหมิ่นเป็นหนุ่มเลย ความผิดพลาดนั้นมีมาก
ขนาดว่า เมื่อเขาตัดสินใจยกทัพกลับนั้น หลี่ซื่อหมิ่นถึงกับบอกว่า เสียดายที่เว่ยเจิง (ขุนนางคนสำคัญผู้ที่เป็นเสมือนกระจกของ
หลี่ซื่อหมิ่น และคัดคัดค้านไม่เห็นด้วยกับกษัตริย์ของเขา)ไม่มีชีวิตอยู่ เพราะเขาคงคัดค้านการยกทัพและแผนการรบของพระองค์
อย่างเต็มที่แน่ๆ




ทัพถังนั้นโดนโจมตีกระหนาบจาก 3 ทาง จากเหตุการณ์ดังกล่าว โอกาสที่จะสูญสิ้นทั้งกองทัพก็มี ถ้าเผื่อไม่สามารถหาทหารเดนตาย
ที่บุกฝ่าไปทำลายการบรรจบกันของกองทัพเกาหลี ในขณะที่กองทหารถังที่กำลังระส่ำระสายอยู่นั้นก็เกิดมีทหารหนุ่มร่างใหญ่ในเกราะขาว
มีเกาฑัณฑ์สองคันไขว้ที่ด้านหลัง พร้อมหอกขนาดใหญ่บุกฝ่าเข้าไปหยุดการสมทบกันของทัพเกาหลีพร้อมทั้งฆ่าฝ่ายข้าศึกเป็น
แนวเลือดยาวไปจนเกิดช่องและหาทางรอดให้ฝ่ายถังได้ตีโต้ได้สำเร็จ

หลี่ซื่อหมิน จึงได้มีโอกาสเห็นฝีมือของนักรบเกราะขาวคนนั้น เขาถามนายพลที่อยู่รอบข้างว่า เขาคนนั้นคือใคร..? ก็ได้รับคำตอบว่า
ทหารกล้าคนนั้นคือ ซิยิ่นกุ้ยแห่งกองเสบียง หลังการศึกจักรพรรดิถังเรียกตัวซิยิ่นกุ้ยมาพร้อมพระราชทานทองคำด้วยตัวเองและ
เลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นนายทัพมีสิทธิเข้าร่วมประชุมทางการทหารในกองทัพร่วมกับนายพลระดับสูง

สรุปแล้วสงครามครั้งนั้นกินเวลาไม่นาน เพราะไม่ถึงหนึ่งปีดีที่ทัพถังยึดเหลียวตงได้แล้ว ก็ต้องคืนเหลียวตงไปให้กับโคคูเรียว
เอาเข้าจริงก็ต้องบอกว่าฝ่ายจีนนั้นแพ้และเสียหายมากกว่า แต่กระนั้นหลี่ซื่อหมินก็ยังบอกต่อคนในกองทัพว่า ต่อให้ชนะศึกเหลียวตง
ครั้งนี้ได้ เขาไม่ยินดีเท่ากับได้เห็นทหารหนุ่มๆ ที่มีฝีมือดีหลายคนได้เกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนทหารเก่า



"บรรดานายพลของข้าและตัวข้าเองล้วนแต่ชราแล้ว แต่ในการศึกครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทัพถังเรายังมีอนาคต ข้าได้เห็นตัวอย่าง
ของความห้าวหาญจากทหารหน้าใหม่หลายต่อหลายคน นั่นเป็นความน่ายินดีเสียยิ่งกว่าการชนะศึกครั้งนี้เสียอีก โดยเฉพาะ ซิยิ่นกุ้ย
ข้าไม่สามารถจะหาใครที่มีฝีมือการรบ พละกำลัง และความห้าวหาญได้เท่ากับเจ้าในเวลานี้ ข้าจะให้เจ้าเป็นทหารประจำตัว
อันดับหนึ่งของข้า"


หลังจากนั้นซิยิ่นกุ้ยได้รับตำแหน่งนายพลประจำกองทหารราชองค์รักษ์ขององค์ฮ่องเต้ให้รับใช้ใกล้ชิดตัวหลี่ซื่อหมินตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในฐานะของนายพลผู้ควบคุมทหารรักษาพระองค์นั้น นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมซิยิ่นกุ้ยยังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลประตูเสวียนอู่
ซึ่งถือเป็นยุทธภูมิที่สำคัญในการอารักขาองค์ฮ่องเต้และการปราบความไม่สงบเรียบร้อยในเมืองหลวงทีเดียว

คนที่เคยดูซีรี่ส์สมัยที่ว่านจื่อเหลียงเล่นเป็นซิยิ่นกุ้ยคงจะรู้สึกว่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริงๆ นี้ ค่อนข้างที่จะแตกต่างไปจากใน
นวนิยายเอามากๆ แถมยังไม่มีปาร์ฏิหารณ์มาเกี่ยวข้องอะไรเลย



แต่ซิยิ่นกุ้ยมีโอกาสรับใช้หลี่ซื่อหมินเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น จอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้เสียชีวิตลงในปี 649 หลี่ซื่อบุตรชายได้ขึ้นมา
ครองราชย์แทนบิดามีนามว่า "ถังเกาจงฮ่องเต้" ซิยิ่นกุ้ยก็ยังอยู่ในฐานะของทหารรักษาพระองค์และอยู่ประจำที่เสวียนอู่อีก จนเหตุการณ์
ในปี 654 เมื่อฮ่องเต้ถังเกาจง เสด็จไปพักร้อนที่พระราชวังหวันเนี่ยน(ปัจจุบันอยู่ที่ เป่าจี๋ มณฑล ซานซี) ก็เกิดเหตุมีพายุใหญ่เข้ามา
ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ครั้งนี้ซิยิ่นกุ้ยก็ได้แสดงฝีมืออีกครั้ง


ในคืนวันที่ 22 มิถุนายน ผลจากการที่ฝนตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อให้เกิดน้ำป่าอย่างรุนแรงไหลบ่าลงมา เป้าหมายแห่งการทำลายล้างของน้ำป่า
อยู่ที่พระราชวังที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ ค่ำคืนนั้นน้ำป่าไหลเข้าถล่มประตูด้านเหนือของพระราชวังว่านเหนียน บรรดาองค์รักษ์และทหาร
รักษาพระองค์โดนน้ำป่าซัดหายไปพร้อมกับความแรงมากมาย แต่กระนั้นน้ำป่าก็ไม่สามารถทำลายซิยิ่นกุ้ยได้ เขาฝ่าความแรงของน้ำ
เข้าไปแจ้งเหตุร้ายต่อองค์ฮ่องเต้ ที่กำลังหลับสนิทให้พระองค์ตื่นขึ้นแล้วพากันไปหลบในที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซิยิ่นกุ้ยช่วยผลักดัน
และแบกองค์ฮ่องเต้ขึ้นหลัง พร้อมกับปีนไปอยู่ที่จุดสูงสุดของวังได้สำเร็จ ไม่นานหลังจากนั้นปรากฏว่าชั้นที่ฮ่องเต้เคยนอนอยู่ก็จบหายไป
กับสายน้ำอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นอุทกภัยที่ใหญ่มากครั้งหนึ่งของเมืองหลินโหย่ว เพราะน้ำนั้นคร่าชีวิตชาวบ้านในเมือง
ไปมากกว่า 3 พันคนภายในคืนเดียว

ซิยิ่นกุ้ยได้รับการสรรเสริญจากองค์ฮ่องเต้พร้อมกับพระราชทานม้าศึกส่วนพระองค์ให้เขาในฐานะเป็นทหารที่ช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ได้
ถึง 2 รัชกาลได้รับการขนานนามว่าเป็นนายพลคู่บัลลังค์ของฮ่องเต้
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่