เรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตำนาน (Lesser Known Mysteries)

เรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตำนาน (Lesser Known Mysteries)

เริ่มโดย etatae333, 29 มีนาคม 2019, 12:08:54

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

เรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตำนาน (Lesser Known Mysteries)
cr. Cammy-เต่านรก

10. Brentford Griffin
     


เบรนท์ฟอร์ด เป็นพื้นที่หนึ่งของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่เรียกว่าเป็นเมืองแห่งกริฟฟิน สัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี
ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีก เป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู(และแต่ในแต่ละตำนาน)
โดยเมืองดังกล่าวนั้นมีแต่สัญลักษณ์รูปกริฟฟินเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น พาร์ทเมนท์ชื่อกริฟฟิน ผับกริฟฟริน ทีมฟุตบอลเบรนท์ฟอาร์ด
ยังมีตรากริฟฟินและนอกเหนือจากนั้นเจ้ากริฟฟินยังเป็นตำนานของเมืองที่มีพยานในเมืองดังกล่าวพบเห็นสัตว์ดังกล่าว


โดยในปี 1984 เควิน(Kevin Chippendale) กำลังเดินเท้าบนถนนเบรนท์ฟอร์ด(อยู่ตินสวนสาธารณะกริฟฟิน) ผ่านอพาร์ทเมน
ที่ชื่อ "Green Dragon" พวกเขาก็พบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เหมือนสุนัขมีปีกบินผ่านท้องฟ้า ปีกดังกล่าวค่อนข้างใหญ่ และงอยปาก
ค่อนข้างยาว และนายเควินก็เห็นสิ่งมีชีวิตดังกล่าวอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์



ปี 1985 นอกจากนั้นยังมีรายงานอื่นๆ มากมายตามมาอีกมากมายตามมา เช่นผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ แอนเจล่า (Angela Keyhoe) ได้พบเห็น
กริฟฟินในขณะที่เธออยู่บนรถบัส โดยมันนั่งอยู่บนเครื่องวัดก๊าซที่อยู่ถัดศูนย์ศิลปะ เธอบอกว่ามันคล้ายนกยักษ์สีดำ และผุ้โดยสารบนรถบัส
ก็เห็นสิ่งมีชีวิตดังกล่าวเช่นเดียวกับเธอ และอีกรายนักจิตวิทยาจอห์น(John Olssen) ในขณะวิ่งอยู่กับแม่น้ำเทมส์เขาก็เห็นกริฟฟิน
ซึ่งเรื่องราวการพบเห็นกริฟฟินดังกล่าวเคยขึ้นหัวข้อหนังสือพิมพ์และมีรายงานทางโทรศัพท์มากมายไปพักใหญ่

ความจริงแล้วตำนานของกริฟฟินนั้นเป็นความเชื่อของบาบิโลเนียและเปอร์เซียในตะวันออกกลาง และต่อมาเป็นตราสัญลักษณ์ของโรมัน
และสัญลักษณ์แห่งอำนาจประจำตระกูลของยุโรป นอกจากนี้ยังมีตำนาน โดยว่ากันว่า กัปตันเจมส์คุกเคยพาสิ่งมีชีวิตที่เชื่อว่ากริฟฟินจาก
เกาะแปซืฟิกกลับมาที่ประเทศอังกฤษในปี 1770 และเชื่อว่ามันอาจเป็นลูกหลานของกริฟฟิน เบรนท์ฟอร์ดดังกล่าวก็เป็นไปได้





9. Amphibians in Ancient Iraq

 

ในสมัยที่โลกยังคงมีดินแดนที่มีอารยธรรมที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกสมัยโบราณ ที่รอบๆ มีกลุ่มชนต่างๆ
ที่สร้างสรรค์อารยธรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน สุเมเรีย และ อัคคาเดีย อยู่ร่วมกัน ดินแดนแห่งนี้ตั้งอยู่โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย
คือแม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีส ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรัก  ซึ่งดินแดนดังกล่าวเต็มไปด้วยความลึกลับและเป็น
ต้นกำเนิดของหลายอารยธรรมของโลก โดยสิ่วประดิษฐ์หลายชนิดที่เรียกว่าการเขียนและล้อ สถาปัตยกรรม ตัวอักษร ศิลปกรรม
ล้วนมีต้นกำเนิดจากอารยธรรมดังกล่าว


หนึ่งในตำนานที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมโสโปเตเมียก็คือพระเจ้าของพวกเขา ซึ่งหลายคนเรียกว่าโอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเล โผล่มา
จากอ่าวเปอร์เซียและได้สอนให้ชาวสุเมเรียเรียนรู้เรื่องยา ดาราศาสตร์ การเมือง จริยธรรม และกฎหมายที่ครอบคลุมความจำเป็นต่อการ
ดำรงชีวิตอยู่ โดยบันทึกได้บรรยายเทพเจ้าโอนเนสอย่างละเอียดว่า โอนเนสรูปร่างคล้ายเงือกครึ่งบกครึ่งน้ำ ร่างกายเป็นปลา หัวและเท้า
ด้านล่างคล้ายของมนุษย์ มีหางเป็นปลา สามารพูดภาษามนุษย์ได้ อีกทั้งเสียงและภาษายังเป็นชั้นสูง เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลาลับจะกลับสู่ทะเล
และจะมาใหม่ โดยสิ่งที่โอนเนสสอนมนุษย์นั้นเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่าชาวสุเมเรียนมีวิทยาการเกินกว่าหลายคนเข้าใจมาก โดยเฉพาะ
เรื่องของดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ที่มีความแม่นยำยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์เสียอีก


 
8. Malawi Terror Beast


   
สัตว์ร้ายแห่งมาลาวี(เป็นชื่อสัตว์ลึกลับที่ไม่ทราบรูปร่างลักษณะที่แท้จริง เพราะว่าคนที่เห็นเกิดความหวาดกลัวและสับสน โดยมันออก
อาละวาดอย่างในชนบทมาลาวีซึ่งฆ่าคนไปอย่างน้อยสามคน และทำร้ายคนอีกสิบหกคนบาดเจ็บสาหัส ในช่วงเดือนแรก ใน ค.ศ. 2003


ในเขตโดวา  ทางภาคเหนือห่างจากหนึ่งร้อยกิโลเมตรจากเมืองหลวงของจังหวัดลีลองวี ประเทศมาลาวี มีรายงานว่ามีสัตว์ร้ายกระหายเลือด
รูปร่างเหมือนหมาขนาดยักษ์โจมตีและทำร้ายชาวบ้าน และมันได้ฆ่าคนตายสามคนที่เป็นหญิงชราสองคนและทารกอายุสามปีอีกหนึ่งคน
โดยสัตว์ร้ายขบกระบาล แล้วกินเครื่องในและอวัยวะสืบพันธุ์ของเหยื่อทั้งสาม และมันบดกระดูกพวกเขาอย่างง่ายดาย ผู้ที่รอดชีวิต
(มาได้ต้องทุพพลภาพสาหัส บางคนเสียแขนและขาทั้งสอง หรือกระทั่งดวงตาหรือหูทั้งสองก็มี หญิงคนหนึ่งซึ่งรอดชีวิตถูกสัตว์ร้าย
แหวะปากและจมูก ด้วยเหตุการณ์นี้ ชาวบ้านอย่างน้อยสี่พันคนเทครัวไปจากหมู่บ้านสี่แห่ง แล้วพากันไปหลบอยู่ที่ศาลากลางพร้อมกับ
ป้องกันสัตว์ร้ายด้วยอาวุธปืนที่ระดมกำลังท้องถิ่น ตำรวจ และทหารของมาลาวีมาช่วย

พยานที่พบเห็นมันรายงานว่า สัตว์ร้ายตัวนี้คล้ายกลับตัวที่ฆ่าคนไปห้าคน กุดแขนขาคนไปอีกยี่สิบคน และถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงตายไป
เมื่อปีก่อน เจ้าพนักงานสัตว์ป่าคาดว่าสัตว์ร้ายนี้คงเป็นหมาในซึ่งติดเชื้อกลัวน้ำ แต่ชาวบ้านว่าสัตว์ร้ายนั้นตัวใหญ่กว่าหมาในที่ว่ามาก
บางคนเชื่อว่าสัตว์ร้ายตัวนี้เป็นหนึ่งในฝูงที่พวกเขาเคยล่าสังหารไปและวกกลับมาล้างแค้น





7.Vimana


   
วิมานะ เป็นเครื่องบินในตำนานของสันสกฤตโบราณของประเทศอินเดีย โดยเรื่องราวของวิมานนั้นถือกำเนิดก่อนพระเยซูคริสต์หลายฟันปี
โดยวิมานนั้นปรากฏอยู่ใน ศิลาจารึก พระเวท รามายณะ มหาภารตะเองก็กล่าวถึงวิมนในรูปของรถศึกเพลิงกัลป์ว่า


"ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิง
ที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น
และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล"


ตามหลักฐานต่างๆ มีการค้นพบว่าชาวอินเดียโบราณสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมานะโดยรูปร่างของมันบรรยายไว้ว่า

"มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม ประกอบด้วย
ดาดฟ้าสองชั้น มีรูระบายอากาศโดยรอบ  บินด้วย(มีหลายรูปร่างแล้วแต่จะบันทึกไว้) ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลมและมีเสียงที่ดังมาก" 


แน่นอนว่าเรื่องของวิมานเป็นที่ถกเถียงกันมาก ทำให้แตกเป็นสองเสียง กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง"ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและ
จินตนาการของกวี แต่อีกกลุ่มเชื่อว่าในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยาน
และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาแล้ว โดยมีหลักฐานต่างๆ มากมายมาสนับสนุน   



ซึ่งหลักฐานที่สนับสนุนมากที่สุดก็คือหลักการบินที่คล้ายกับหลักการบินของเครื่องบินในปัจจุบัน และที่ซากปรักหักพังแห่งหนึ่งใน
Mohenjo Daroอายุกว่า 1000 ปี ได้ค้นพบโครงกระดูกที่มีระดับกัมมันตภาพรังสีที่ทะลุถึงร่างกาย คล้ายกับกรณีจองนางาซากิ
และฮิโรชิม่า และชาวฮินดูโบราณยังเชื่อว่ายานวิมานมีอยู่และยังคงถูกเก็บซุกซ่อนอย่างเป็นความลับ ว่ากันว่า สมาคมลึกลับที่
เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือใจกลางเอเซีย
รวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO





6. Valley of the Headless Men



ในอุทยานแห่งชาตินาฮานนี อุทยานแห่งชาติทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดา ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าหุบเขาของคนไร้หัว
ซึ่งสถานที่ดังกล่าวสามารถเข้าได้เพียงเรือหรือไม่ก็เครื่องบินเท่านั้น เมื่อคุณเข้าไปก็พบว่ามันเป็นสถานที่วิเศษสวยงามราวกับโลกแฟนตาซี 
มีแต่สิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติเป็นจำนวนมากมาย เช่น หลุมยุบ, น้ำพุ และน้ำตกที่ขนาดใหญ่เกือบสองเท่ากว่าน้ำตกไนแองการ่า และหลายคน
เชื่อว่าหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยทองคำ


แม้ว่าชื่อเสียงหุบเขานี้จะมีมากมาย แต่กระนั้นมันกลับมีชื่อน่ากลัวว่าหุบเขาของคนไร้หัว เนื่องจากหุบเขา 200 ไมล์นั้นกลายเป็นสถานที่
น่าขนหัวลุกด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตและการหายสาบสูญในหลายปีที่ผ่านมา

ความผิดปกติเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1908 เมื่อ แมกเลียด์ บราเซอร์ เดินทางมาหาทองในหุบเขา และเขาก็หายไปก่อนที่พี่น้องจะพบร่ายกาย
ของเขาถูกตัดหัวถูกทิ้งใกล้แม่น้ำ ในปี 1945 มาร์ติน จอร์เก้น คนขุดแร่ที่เดินทางไปหุบเขาแห่งนั้นได้พบร่างของเขาในถุงนอนและศีรษะ
ของเขาถูกตัดออกหลุดจนถึงไหล่  ว่ากันว่าหุบเขาแห่งนี้มีตำนานน่ากลัวมากมาย เป็นที่สิงสู่ความชั่วร้าย จนกลายเป็นหุบเขาแห่งความตายดังกล่าว

ชนเผ่าอินเดียแดงในแถบนั้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่กล้าเข้าพื้นที่ในบริเวณนั้น แต่กระนั้นอย่างไรก็ตามทุกวันนี้ยังมีหลายคนพยายามที่จะสำรวจ
สถานที่ดังกล่าวเพราะเชื่อว่าหุบเขาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโลกที่สูญหายที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจรและอากาศร้อน





5. The Malta Catacombs


   
คาตาคอมส์ เป็นชื่อเรียกของโบราณสถานของมนุษย์ ซึ่งเป็นสุสานใต้ดินที่ใช้สำหรับพิธีศพหรือที่ฝังศพ โดยสุสานแห่งนี้มีจำนวนมากในอาณาจักร
โรมันบางแห่งมีการวางกลไกป้องกัน


ในปี 1902 ที่เมืองเปลาเลา ประเทศมอลตา ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กในทะเลเมดิตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของอิตาลี คนงานได้ค้นพบทางใต้ดิน
ที่ซับซ้อนในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุกว่า 3000 ปีโดยบังเอิญในขณะที่กำลังพัฒนาที่อยู่อาศัย และสถานที่ดังกล่าวได้กลายเป็นมรดกโลก
พร้อมชื่ออย่างเป็นทางการว่า ฮัล ซาฟลิเอนี ไฮโพเจียม จากการสำรวจอย่างละเอียดพบว่ามีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์กว่า 30,000 ร่าง ในห้อง
พิธีฝังศพ มีทั้งชายหญิงและเด็ก แต่สิ่งที่แปลกก็คือกะโหลกหลายคนรูปร่างกว้างผิดปกติ และนักวิทยาศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์หลายคนถึงกับงงงวย
ที่จะอธิบายเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่อมาเรื่องก็ได้เผยแพร่ออกมาโดยหลายคนเชื่อว่ามันเป็นหลักฐานของการมีตัวตนของสายพันธุ์มนุษย์ใต้ดิน



ตามข้อมูลไฮโพเจียมเป็นเป็นเส้นทางใต้ดินที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยใช้อุปกรณ์ขนาดยักษณ์ยกหินปูนปะการังขนาดใหญ่ เดิมสถานที่ดังกล่าว
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ แต่ต่อมาใช้เป็นสุสาน พร้อมกับเชื่อว่าเป็นที่บูชายัณมนุษย์ให้แก่เทพเจ้าที่พวกเขาเรียกมันว่า "งู" โดยการโยนมนุษย์ลงไปใน
สุสานเพื่อให้งูกินเพื่อป้องกันไม่ให้งูโกรธทำอันตรายตนบนเกาะ และเมื่อพบก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของมอลตาในที่สุด
พร้อมกับข่าวลือลึกลับแปลกๆมากมาย เช่น ทางรัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆ ได้ปกปิดเรื่องของนักโบราณคดีหลายรายตายลึกลับหลังจากขัดถูข้อความ
และภาพวาดโบราณจากผนัง และมีคนพบเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายสัตว์เลื่อยคลานมีผมสีขาวไต่ผนังผ่านไปผ่านมาในห้องพิธีฝังศพ

นอกจากนี้ยังมีเสียงเด็กร้องในห้องใต้พื้นดินในหลายส่วนของใต้ดิน 





4. Mysterious Man of the US Declaration


                 
มีตำนานเล่าว่าในการอภิปรายขั้นสุดท้ายของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งอเมริกัน กำลังลงนามปฏิญญาหรือคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น
ได้มีคนร้องตะโกนยั่วความโกรธและทำให้หลายฝ่ายระคายเคือง ว่ากบฏๆ ต่อประเทศอังกฤษ ทำให้หลายคนลังเลที่จะลงนามดังกล่าว


แต่ทันใดนั้นเองได้มีชายใส่ชุดสีดึคนหนึ่งได้กล่าวคำปราศรัยปลุกใจแก่คนในที่นั้น ทำให้เกิดความเร้าความรู้สึกถึงเสรีภาพชาวอเมริกัน
จากอังกฤษทำให้ไม่กี่นาทีต่อมาก็มีการรับรองปรัญญาปกติ  หลังจากมีการรับรองปรัญญาเกิดขึ้น และเมื่อหลายคนหันไปแสดงความยินดี
กับคนดังกล่าว ปรากฏว่าเขาหายไป  ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน หรือเขาเป็นใคร

บางคนเชื่อว่าเขาคือเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนหรือไม่ก็ฟรานซิสเบคอน นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับบุคคลนี้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยออกแบบ
ธงอเมริกันคนแรกและเป็นเพื่อนที่ดีของแฟรงคลินและจอร์จ วอชิงตัน ในตำนานกล่าวอีกว่าคำพูดของเขาได้ทำนายรูปร่างและอนาคต
ของอเมริกา ว่าสิทธิมนุษย์ชนยังไม่เป็นที่เผยแพร่จนกว่าอีก 13 ปีข้างหน้า และเขายังเอยเห็นสิ่งที่พบในดอลลาร์ โครงสร้างการเมือง
ของสหรัฐ แต่ปัจจุบันเรื่องราวของเขายังคงลึกลับต่อไป





3.Jesus' Lost Years
   


ปีที่หายไปของพระเยซูคริสต์ หมายถึงการอ้างถึงกิจกรรมที่พระเยซูคริสต์ปฏิบัติในช่วงระหวังอายุ 12 ถึง 30 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว
พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งหลายทฤษฏีเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของพระเยซูคริสต์ โดยนักเขียนหลายคนได้อ้างว่าได้พบหลักฐานว่า
พระเยซูเดินทางมาเอเชีย ซึ่งอยู่ในต้นฉบับบันทึกในอินเดียและทิเบต 


โดยกล่าวว่าพระเยซูได้เดินทางผ่านประเทศอิรัก, อิหร่าน, อัฟกานีสถานและปากีสถาน กี่อนที่จะเดินทางศึกษาศาสนาในอินเดีย
(สมัยก่อนเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา) และไปทิเบตทรงศึกษาพระเวทและปรัชญาต่าง
ร่วมกับพระสงฆ์ที่นั่นหลายปี จนอายุครบ 29 ปีจึงเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อประกาศศาสนา



ทฤษฏีที่ว่านั้นเริ่มต้นขึ้นโดย นิโคลัส โมโตวิส เป็นผู้จุดประกายแนวคิดดังกล่าว โดยเขาเป็นชาวรัสเซีย นักหนังสือพิมพ์และนักเขียน
สารคดีที่ในปี 1977 เขาเดินทางมายังประเทศอัฟกานีสสถาน ปากีสถาน และอินเดีย และเขาได้พบอารามชื่อเฮมิสกุมพา ในลาดัค
ทางภาคเหนือของอินเดียในขณะที่เขามาพักฟื้นจากขาหัก เขาได้คัดลอก(ส่วนสำคัญ)ม้วนคัมภีร์โบราณที่เขียนด้วยภาษาทิเบต
และเมื่อแปลออกมาพบว่า คัมภีร์ดังกล่าวได้เอ่ยชื่อบุคคลหนึ่งชื่อ Issa หรือก็คืออีกหนึ่งชื่อเรียกของพระเยซูคริสต์ในภาษาอิสลาม

โดยกล่าวว่าเขาได้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนศิลปะวิทยาการในอินเดียและทิเบต ซึ่งถือว่าเป็นคำตอบของช่วงเวลาที่หายไปของพระเยซู
หลังจากนั้นนิโคลัสก็เดินทางกลับยุโรปและได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยอ้างทฤษฏีดังกล่าวแน่นอนว่ามันถูกต่อต้าน บ้างก็ว่านิโคลัสยกเมฆ
เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันความมีอยู่ของคัมภีร์นั้น อย่างไรก็ตามเรื่องราวของนิโคลัสได้ทำให้หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับพระเยซู
ผุดจุดประเด็นขึ้นตามมาอีกมากมาย





2. Tibet Nazi Connection


   
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเริ่มทำสงครามยึดยุโรป ในช่วงเวลานั้นเองนาซีได้ออกค่าใช้จ่ายจำนวนมากทั้งบุคคลและทรัพยากรในการ
งหาต้นกำเนิดอารยัน รวมไปถึงการก่อตั้งสถาบันการศึกษาในปี 1935 เรียกว่า อานน์เบอหรือกรมมรดกบรรพชน ประกอบด้วยคณะทำงาน
ที่เป็นคนของเขาทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีหน้าที่ออกสำรวจด้านโบราณคดีทั่วโลก โดยเฉพาะมือขวาคนสนิทของฮิตเลอร์นาม ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์
เชื่อว่าชาวแอนแลนตีสที่อพยพมานั้นได้สืบเชื้อสายกลายมาเป็นชาวเยอรมันในปัจจุบัน ส่วนสายอื่นๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก 


ซึ่ง "ชาวอารยัน" นั้นเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่เลิศกว่ามนุษย์อื่นๆ เสมือนพระเจ้าเลยทีเดียว และความคิดของฮิมม์เลอร์จึงได้สร้างสายเลือดใหม่
คือหน่วยเอสเอส(SS)องค์กรที่น่ากลัวของนาซีเยอรมัน



ในปี 1935 นาซีได้ดำเนินการศึกษาทางโบราณคดีและวัฒนธรรมหลายประเทศรวมทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ อิรัก แอนตาร์กติกา โปแลนด์
และโดยเฉพาะทิเบต เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฏษฎีของไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ เป็นเรื่องจริง เขาถึงกลับลงทุนส่งคนออกไปสำรวจที่ไอซ์แลนด์
กรีนแลนด์ อเมริกากลาง รวมทั้งทิเบตด้วย เพื่อจะค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีและเผ่าพันธุ์ของสายเลือดที่ล้ำมนุษย์ที่ได้กระจัดกระจาย
ไปจากแอตแลนตีส ว่ากันว่าสิ่งที่นาซีต้องการก็คือการตามหาอาณาจักรชัมบาลา ที่เชื่อว่าตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย โดยสิ่งที่ซ่อนอาจจะเป็น
อาวุธมหาประลัยของอารธรรมโบราณ หรือไม่ก็พลังงานลึกลับอะไรบางอย่าง และเชื่ออีกว่านาซีพบสิ่งที่พวกเขาเจอแล้ว หากแต่พวกเขา
แพ้สงครามเสียก่อน

หลักฐานที่เชื่อว่านาซีพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในทิเบตนั้นมีมากมาย เป็นต้นว่า ในตอนที่เบอร์ลินแตก ทหารโซเวียตได้ค้นพบ
พระสงฆ์ทิเบตหลายร้อยรูปในเครื่องแบบเอสเอสที่ดูเหมือนฆ่าตัวตายหมู่ นอกจากนี้พวกเขายังพบเงินและบันทึกการส่งสัญญาณ
ไปไกลถึงเทือกเขาหิมาลัย  แต่ทุกวันนี้ข้อเท็จจริงระหว่างนาซีกับทิเบตยังคงลึกลับ





1.Ural Relief Map



ในแง่ความลึกลับแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าทึ่งและหาคำตอบหักล้างไม่ได้เท่าแผนที่ทรวดทรงอูราล ในปี 1995 อเล็กซานเดอร์ ศาสตราจารย์
วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์และกายภาพที่มหาลัยบาชคีร์ สเตต ในรัสเซียได้ทำการตรวจสอบสมมุติฐานของการอพยพของแรงงานข้ามชาติ
ของจีนไปทางไซบีเรียและอูราน ในระหว่างการวิจัยนั้นเองเขาก็ได้ยินรายงานจากศตวรรษที่ 18 เล่าถึงการค้นพบแผ่นจารึกพื้นสีขาวแปลก
ขีดเขียนด้วยภาษาไม่รู้จัก บ้างก็บอกว่าภาษาจีนเก่า บ้างก็บอกว่าอียิปต์โบราณ แต่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอ่านมันได้   


ซึ่งหินดังกล่าวอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอูราน ที่ห่างไกลความเจริญ จึงได้นำมาตรวจสอบเพราะคิดว่ามันอาจเป็นหลักฐานของการอพยพ
ชาวจีนดังกล่าว หลังจากที่เอากลับไปศึกษาและวิเคราะห์พบว่าแผนที่ดังกล่าวชี้พื้นที่ภาคใต้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำสามสายสำคัญ
ในอูราน นอกจากนั้นจากการศึกษาลึกๆ ก็พบว่าแผนที่ดังกล่าวยังแสดงระบบชลประทานขนาดยักษ์ มีเขื่อน และส่วนสัดชัดเจน มีสัญลักษณ์
บอกตำแหน่ง ราวกับคนทำมีฝีมือด้านวิศวกรรมโยธาค่อนข้างสูง แต่ปัญหาคืออายุของแผนที่ดังกล่าวยังลึกลับ

จากการตรวจสอบของหินพบว่ามันมีอายุถึง 500 ล้านปี แต่ในขณะที่บางรายบอกอายุ 120 ล้านปี แต่สิ่งน่าพิศวงกว่านั้นคือวิธีการทำแผนที่
ดังกล่าวนั้นต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ไม่ใช้แค่การถลึงอย่างเดียว จะต้องใช้เครือมือจำพวกรังสีเอ็กซ์เท่านั้นที่จะทำได้ซึ่งสมัยก่อนไม่มี
เทคโนโลยีนี้แน่นอน พูดง่ายๆ เทคโนโลยีทำแผนที่นั้นยังคงเป็นปริศนา จากการค้นพบดังกล่าวทำให้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าอารยธรรมโบราณ
นั้นมีความรุดหน้ากว่าเรามาก

ข้อมูลจาก

http://listverse.com/2010/09/25/top-10-lesser-known-mysteries/
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่