เบื้องหลังนาซี แปลงเด็กโปแลนด์เป็นเยอรมัน

เบื้องหลังนาซี แปลงเด็กโปแลนด์เป็นเยอรมัน

เริ่มโดย etatae333, 29 มีนาคม 2019, 13:55:00

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

เบื้องหลังนาซี แปลงเด็กโปแลนด์เป็นเยอรมัน
cr. .tuaytoon.com



คนที่เป็นพ่อแม่คนย่อมรู้ซึ้งถึงคำว่า  "ลูกใครใครก็รัก" หรือ "ลูกคือแก้วตาดวงใจ" แล้ววันหนึ่งถ้ามีคนมาพรากลูกเราไป
เราจะทำยังไง ถ้าเป็นปัจจุบันนี้บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราคงทำทุกอย่างที่จะทำได้  คงแจ้งความตำรวจ  ออกติดตามเอง 
แจ้งญาติพี่น้อง ส่งอีเมล์ ร้องหนังสือพิมพ์ รวมทั้งออกโทรทัศน์เพื่อช่วยตามลูกกลับมาอย่างถึงที่สุด แล้วถ้าคนที่พราก
ลูกเราไปเป็นรัฐซะเอง เป็นฝ่ายปกครองซะเองเราจะทำยังไง ลูกเราจะต้องไปอยู่ที่ใหนอย่างไรกินอยู่อย่างไร จิตใจเรา
จะปวดร้าวเพียงใด ลองจินตนาการดูนะครับ ว่าแต่มีด้วยหรือที่ฝ่ายรัฐหรือผู้ปกครองมาพรากลูกคนอื่นไปอย่างโจ่งแจ้ง
เป็นขบวนการใช้เจ้าหน้าที่ทางการโดยตรง มีจริงหรือ


มีครับมี เรื่องนี้ขอย้อนไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากพรรคนาซีเยอรมันชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ย้ำนะครับว่า..
..พรรคนาซีชนะเลือกตั้งถล่มทลายไม่ได้มาจากพวกเผด็จการปฏิวัติหรือมาจากรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารแน่นอน   
ส่วนจะชนะโดยลูกเล่นหลอกลวงสร้างฝันให้คนเยอรมันหลงใหลอย่างไรเหมือนพรรคการเมืองบางพรรคของเราหรือไม่
จะไม่ขอกล่าว   


ประชาชนเยอรมันเต็มใจเลือกฮิตเลอร์เป็นผู้นำก็แล้วกัน เมื่อเป็นผู้นำสมบูรณ์แล้วก็เริ่มเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง กรีฑาทัพ
เข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ แล้วผนึกเข้าเป็นเขตยึดครองเยอรมัน เริ่มจากประเทศโปแลนด์ถูกผนวกเป็นเขตยึดครองตะวันออก   
ประชาชนเยอรมันต่างยิ้มย่องผ่องใสกับความเจริญรุ่งเรืองและภาคภูมิใจในความเป็นเยอรมัน รัฐบาลถึงกับประกาศให้ความ
เป็นเยอรมันเป็นเลิศที่สุดในโลกเหมือนเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางทุกอย่างในโลก         

ฮิตเลอร์กำหนดนโยบายเกี่ยวกับเชื้อชาติหรือสายเลือดเยอรมันโดยตรงเรียกว่าอารยัน ไม่ยอมให้มีเลือดอื่นเจือปนโดยเฉพาะ
เลือดพวกชั้นต่ำเช่นยิว ยิบซี สลาฟ(คนส่วนใหญ่ของรัสเซีย) และชนผิวสีอื่น ๆ  รัฐบาลถึงกับออกเป็นกฎหมายแบ่งแยก
ประชาชนเป็นสายเลือดเยอรมันแท้กับเลือดผสม โดยเฉพาะเลือดยิวโดนจัดหนักตั้งแต่ต้นแล้วกลายเป็นจัดเต็มในที่สุด



เริ่มจากตอนแรกก็เล่นพวกยิวเลือดแท้ต่อมาก็เลือดผสมมากลงไปจนถึงลูกครึ่ง ต่อมาก็ลูกเสี้ยว ต่อมาก็ลูกอะไรดีหละ..
ที่มีเลือดยิวนิดหน่อยก็โดนด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่พูดประชดประชนแต่เกิดขึ้นจริง คนก็มีตัวตนจริง โดนยิงตายจริง โดนรมแก๊สจริง
ตายจริง  ที่โดนเอาไปทำหนูทดลองยา(โดยเฉพาะคู่แฝด)ก็โดนจริงป่วยจริงทรมาณจริงแล้วก็ตายจริง เรื่องยิวกับเยอรมันเนี่ย
อยากให้ลองไปหนังสือชื่อ เยอรมันกับยิว (The German and the Jew) อ่านกันดู

ตอนแรกก็คิดแค่ขจัดคนที่นาซีเห็นว่าต่ำต้อยให้หมดไป แต่ต่อมานึกได้ว่าพวกตนที่เลอเลิศเหนือมนุษย์นั้นพอทำสงครามไปเรื่อยๆ
คงจะเหลือน้อยลง  โดยเฉพาะคนหนุ่ม(ทหาร) แล้วดินแดนที่ยึดมาได้จะให้ใครไปครอง อย่ากระนั้นเลย ต้องสร้างชาวเยอรมัน
ขึ้นมาเพิ่ม นาซีจึงคิดโครงการ  Germanization หรือ "แปลงเป็นเยอรมัน" ขึ้นมา  โครงการนี้เป็นการไปรวบรวมเด็กในเขต
ยึดครองที่รูปร่างหน้าตาดีเหมาะจะเป็นคนเยอรมัน แล้วเอามาเลี้ยงให้เป็นคนเยอรมัน

หน่วยงานที่รับผิดชอบคือหน่วยเอสเอส ของเฮนริช ฮิมเลอร์ แต่ก็ทับซ้อนกับงานเขตยึดครองตะวันออก ของ อัลเฟรด โรเซ็นเบริก   
แม้สองหน่วยนี้จะมีความเห็นต่างกันหลายเรื่อง แต่เห็นตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่าประชากรส่วนใหญ่ของเขตยึดครองตะวันออก
(โปแลนด์และรัสเซีย)ไม่ดีพอที่จะให้เป็นชาวเยอรมันจึงควรส่งไปไซบีเรีย ให้หมด  เยอรมันมีแผนส่งไปไซบีเรียเพราะมีแผน
จะยึดรัสเซียอยู่ก่อนแล้ว สัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมันกับรัสเซียนั้นมีแต่สตาลินเท่านั้นที่เชื่อว่าเยอรมันจะทำตาม 



นี่แหละที่เรียกว่าโคตรโกหก (สตาลิน) เจอโคตรตอแหล(ฮิตเลอร์) ความเห็นที่ต่างกันมีเพียงว่า จะบังคับอย่างไรให้คนเหล่านี้
ไปไซบีเรีย แผนของนาซีนั้นโหดเหลือเชื่อ ฮิตเลอร์วางแผนให้เอาคนโปแลนด์และรัสเซียออกจากพื้นที่ให้หมดส่วนหนึ่งเอาไป
เป็นแรงงานทาส ที่ใช้เป็นทาสไม่ได้ก็กำจัดทิ้งไป วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างเยอรมันใหม่ขึ้นรองรับการขยายตัวของอาณาจักรไรซ์
ฮิมเลอร์ ผู้รับผิดชอบงานนี้มอบหมายให้ ไรน์ฮาร์ด  เฮดริช ฝ่ายความมั่นคงเอสเอสวางแผนงานขึ้นในปี 1941


ปฏิบัติการนี้ต้องปกปิดว่าเป็นการปฏิบัติอย่างอื่น คำหรือข้อความที่อาจเดาได้ว่าทำอะไรถูกห้ามใช้  หากปฏิบัติการจริงล่วงรู้ถึง
ประชาชนคงเกิดการต่อต้าน คงเป็นการยากที่จะเอาเด็กไปให้ครอบครัวเยอรมันรับเลี้ยงหากรู้ว่าเป็นเด็กโปแลนด์หรือรัสเซีย
ที่ถูกลักพามา ดังนั้นจึงต้องหลอกประชาชนว่าเป็นเด็กเยอรมันกำพร้าสงครามมาจากเขตยึดครองตะวันออก

เอสเอส กับ สำนักงานเขตยึดครองตะวันออกจัดประชุมขึ้นระหว่างสองหน่วยงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1942  มีดร.บรูโน ไคลส์ 
เป็นประธาน  ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าประชากรในเขตยึดครองต้องได้รับการตรวจลักษณะชาติพันธุ์  เพื่อระบุตัวบุคคลที่
เหมาะที่จะ "เป็นเยอรมัน"  มีการลวงว่าเป็นการตรวจสุขภาพ เดือนตุลาคม 1942  ฮิมเลอร์ สั่งให้ "ตรวจร่างกาย" เด็กนักเรียน
ในโปแลนด์ทั้งหมด สอบประวัติการการรักษาโรค ตรวจฟัน ตรวจตา วัดส่วนสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายที่แปลกมาก
เพราะเน้นสีตาและสีผม สีตาแบ่งเป็นสามสีส่วนสีผมมีสองสี  ฮิมเลอร์ ให้ถ่ายภาพหน้าตรงของเด็กไว้ด้วยเพื่อจะได้คัดออก
เด็กที่มีลักษณะเด่นของชาวสลาฟ  เช่น โหนกแก้มสูง  (ถ้าบ้านเราก็คงประมาณโหนกสูง  ดั้งหัก  และกรามใหญ่)



โครงการนี้เริ่มครั้งแรก ในโปแลนด์หลังจากเยอรมันเปิดฉากสงครามโลกในเดือนกันยายน 1939 และทำลายกองทัพโปแลนด์
ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ การยึดครองโปแลนด์ถือเป็นปฏิบัติการโหดสุดอันหนึ่งในยุโรป มีการสังหารชาวโปแลนด์ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว
เป็นจำนวนมาก โปแลนด์ไม่มีที่พึ่งนาซีขจัดชนชั้นปัญญาชนสิ้นแล้วเอาประชาชนที่เหลือมาทำแรงงานทาสจำนวนมาก ประมาณว่า
หนึ่งในสี่ของชาวโปแลนด์ต้องตายในระหว่างถูกยึดครอง ประมาณว่ามีเด็กชาวโปแลนด์ถึง 2 แสนคนถูกลักพาบังคับส่งไปเป็นเยอรมัน     
เด็กจำนวนมากที่ไม่ผ่านการตรวจลักษณะชาติพันธุ์ในที่สุดต้องไปเสียชีวิตในค่ายมรณะ 


โปแลนด์มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเองและคนส่วนใหญ่เป็นเผ่าสลาฟ ภาษาโปแลนด์(โปลิช) คือภาษาสลาฟนั่นเอง คนโปแลนด์
จึงคล้ายไปทางรัสเซียมากกว่าเยอรมัน นาซีเหยียดหยามคนโปแลนด์มากพอ ๆ กับเกลียดชาวยิว   นาซีถือว่าชาวโปแลนด์เหมาะเฉพาะ
กับงานแรงงานหรือรับใช้เยอรมันเท่านั้น เยอรมันจึงมีนโยบายให้โรงเรียนในโปแลนด์สอนเด็กโปแลนด์เพียงแค่เขียนชื่อตนเองได้และ
นับเลขถึงห้าร้อยก็พอที่เหลือก็สอนให้เชื่อฟังคำสั่งเจ้านายเยอรมันโดยไม่ต้องถาม  เรื่องนี้มีบันทึกของฮิมเลอร์เป็นหลักฐาน

ปี 1942  ฮิมเลอร์ออกคำสั่งให้กวาดจับเด็กจากโปแลนด์และประเทศที่ยึดครองอื่นเพื่อส่งไปคัดเลือกเป็นเยอรมันเด็กชาวโปแลนด์
เรือนแสนที่อายุไม่เกิน 14 ปี ถูกลักพาตัวทั้งจากบ้านและบนท้องถนน   อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ 
ในหลายเมืองพ่อแม่เด็กพยายามขัดขวาง   แต่เด็กก็ยังถูกตำรวจพร้อมอาวุธคุมตัวส่งขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ เป็นภาพที่บีบคั้นอารมณ์มาก
เมื่อพวกคุณแม่ร้องระงมปนกรีดร้องพยายามเข้าเยื้อแย่งลูกคืนแต่ถูกตำรวจพร้อมอาวุธขวางกั้นไว้  เด็กจะถูกส่งไปที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจ
ลักษณะชาติพันธุ์  ศีรษะ  จมูก  และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจะถูกวัดอย่างละเอียด เด็กที่ลักษณะเหมือนเยอรมันจะถูกส่งไปอบรม
ให้เป็นเยอรมันก่อนที่จะส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมในบ้านชาวเยอรมันเพื่อให้เติบโตเป็นเยอรมัน

นี่แหละคือการ "แปลงเป็นเยอรมัน" หลังสงครามเด็กส่วนใหญ่ ยังอยู่กับครอบครัวเยอรมันเพราะพ่อแม่จริงเสียชีวิตไปแล้ว หรือเพราะ
ตอนโดนจับเด็กเล็กเกินไปที่จะรู้ว่าพ่อแม่จริงคือใครอยู่ที่ไหน ปัจจุบันบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนโปแลนด์  กาชาดเคยพยายาม
นำเด็กคืนสู่พ่อแม่แต่ก็ได้เพียงไม่กี่ราย 


อเล็กซานเดอร์ มิเชโลสกี้ เป็นเด็กโปแลนด์ที่ประสบเรื่องนี้ด้วยตนเอง ปัจจุบันเขาเป็นพระอยู่ในเมือง นิวคาสเทิล  ประเทศอังกฤษ   
ตอนเริ่มสงครามเขาอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวสองคนที่ชานเมือง โปสนัน  เมืองโบราณห่างชายแดนเยอรมันประมาณ 100 ไมล์ 
ครึ่งทางระหว่างกรุงวอร์ซอกับกรุงเบอร์ลิน  แม่ของเขาเป็นนักเปียโนส่วนพ่อเป็นทหาร   เป็นครอบครัวเคร่งศาสนาชอบไปโบสถ์
ตั้งแต่เล็ก   ในวันอาทิตย์เขาทำหน้าที่เป็นเด็กประจำแท่นบูชา  ในช่วงเวลาเลวร้ายหลังเยอรมันเข้ายึดครองความศรัทธาในพระเจ้า
เป็นสิ่งช่วยปลอบประโลมเขาอย่างใหญ่หลวง




เขาไม่มีวันลืมวันที่ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง  วันที่ 28  พฤษภาคม 1942  หกวันหลังวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบ  แม่ของเขา
พาน้องสาวสองคนไปเยี่ยมเพื่อนและเขาอ่านหนังสืออยู่บ้านตามลำพัง ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะที่ถนน มีรถบรรทุกวิ่งมาจอดแล้ว เกสตาโป
หกคน แต่งเครื่องแบบสีดำถือปืนกระโดดลงจากรถบุกเข้ามาในบ้านแล้วสั่งให้ "ยกมือขึ้น" เด็กน้อยกลัวตัวสั่นและปฏิบัติตาม พวกนั้นบอกว่า
จะมาพาไปเที่ยวสุดสัปดาห์ ซึ่งเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้วและรู้ว่ามีเด็กหลายคนไปแล้วไม่ได้กลับ เขากลัวมากแต่ทำอะไรไม่ได้   
เขารู้อยู่เต็มอกว่าจะไม่ได้พบพ่อแม่และน้องอีกแล้วซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

เกสตาโป ให้เวลาเขาไม่กี่นาทีเพื่อเก็บข้าวของ มีแปรงสีฟัน กล่องดินสอ และสมุดสวดมนต์ ก่อนจะถูกนำไปที่รถบรรทุก บนรถมีเด็กอยู่แล้ว
สิบกว่าคนมาจากแถวบ้านเขา ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่าเขา บางคนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว ที่ถูกพรากออกจากบ้านอย่างกะทันหัน
และกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา พวกเขาถูกนำไปที่บ้านสงเคราะห์เด็กห่างไปไม่กี่ไมล์ ที่นี่เด็กทั้งชายหญิงประมาณ 150 คน จากเมือง
เดียวกับเขาถูกนำมารวม พวกเขาถูกตรวจร่างกายโดยหมอชาวเยอรมันสิบเอ็ดคน ชายสิบหญิงหนึ่ง หมอจะเป็นคนทำรายงานลักษณะทาง
กายภาพว่าเหมาะจะเป็นเยอรมันหรือไม่ 

เป็นการตรวจร่างกายที่ประหลาด หมอนั่งล้อมเป็นวงกลมมีโต๊ะอยู่กลางห้อง ขั้นแรกเด็กต้องยืนบนโต๊ะหมุนตัวไปโดยรอบ เพื่อหมอจะได้
มองเด็กจากทุกมุม  แล้วให้นั่งบนเก้าอี้ถอดเสื้อผ้าออกตั้งแต่เอวขึ้นไป  หมอทุกคนมีแบบฟอร์มอยู่ข้างหน้าระบุรายการที่ต้องตรวจ  หมอจะ
เขียนชื่อเด็กบนหัวกระดาษแล้วทำเครื่องหมายในช่องให้คะแนน เด็กรู้สึกเหมือนเป็นปศุสัตว์ถูกนำมาขายในตลาด  เมื่อตรวจเสร็จเจ้าหน้าที่
อ่านรายชื่อเด็กหกสิบคน ที่ได้รับคัดเลือกเพื่อส่งไปเป็นเยอรมัน ที่เหลือให้กลับบ้าน (ตอนนั้นเยอรมันยังไม่โหดจึงให้กลับบ้านได้  ตอนหลัง
ไม่ให้กลับแต่ส่งเข้าค่ายมรณะเลย) เขาผิดหวังที่ถูกเลือก และรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาตัวค่อนข้างเล็ก สำหรับอายุขนาดนี้



เด็กหกสิบคน ถูกนำส่งสถานีรถไฟโปสนัน ถูกคุมตัวขึ้นรถไฟมีทหารพร้อมอาวุธควบคุม  ถูกนำไปที่เมืองคาลิซ ประมาณแปดสิบไมล์ทาง
ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโปสนัน  ที่นี่พวกเขาถูกส่งไปที่อาคารซึ่งพอเขาเห็นกำแพงสูงล้อมรอบ เขาก็จำได้ว่าเดิมเป็นคอนแวนท์ที่น้าสาว
ของเขามาบวช และเขาเคยมาเยี่ยมสองสามครั้ง ตอนนี้เยอรมันเปลี่ยนสถานที่เป็นสถานรับเด็ก ที่คาลิซเด็กเริ่มเรียนภาษาเยอรมันและ
ใส่เครื่องแบบยุวชนนาซี ซึ่งเป็นองค์กรรับผิดชอบฝึกเด็กให้เป็นสมาชิกผู้ภักดีต่อพรรค สถานรับเด็กนี้ดำเนินการแบบโรงเรียนฝึกทหาร
จึงต้องฝึกเดินสวนสนามบ่อยมาก


สองเดือนแรก ที่คาลิซมีภาพติดตาคอยหลอนเขาเรื่องหนึ่ง มีแม่คนหนึ่งสืบทราบว่าลูกชายอายุหกขวบของเธออยู่ที่นี่ เธอมองเห็นลูกจากประตู
เธอจึงบุกเข้ามาที่สนามเด็กเล่นเพื่อชิงลูกกลับ พอเธอคว้าตัวลูกได้ ทหารเยอรมันก็กระชากเด็กกลับไปแล้วเตะถีบเธอ ต่อหน้าลูกที่ดูอยู่
ด้วยความหวาดกลัว เธอเลือดกลบปาก และเต็มศีรษะตอนถูกโยนข้ามกำแพงออกไปข้างนอก เขาไม่ทราบว่าเธอเสียชีวิตหรือไม่ แต่คืนนั้น
เขากับเพื่อนในกลุ่มร่วมกันสาบานว่า จะไม่ยอมเป็นมิตรกับเยอรมัน และผู้ที่สมคบกับเยอรมันและจะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นต่อความโหดร้าย
ที่พวกเขาได้พบเห็นในบ่ายวันนั้น

วันที่ 22กรกฎาคม เด็ก 600 คนขึ้นรถไฟออกจากคาลิซไปที่เมืองมึนเด็นประเทศออสเตรีย เป็นการเดินทางที่เชื่องช้าใช้เวลาถึงสองวันสองคืน
แล้วในที่สุดก็มาถึงปลายทาง พวกเขาขึ้นรถบรรทุกไปที่ "โอเบอร์ไวซ์" เป็นปราสาทสมัยกลาง ที่สวยงามบนเนินเขาทางเหนือของทะเลสาบ ทรุนซี   
เป็นสถานที่ใช้เปลี่ยนเด็กโปแลนด์ให้เป็นเยอรมัน  สิ่งแรกที่พวกนั้นทำกับเขาก็คือบังคับให้เปลี่ยนชื่อ เป็นขั้นตอนแรก ที่จะทำให้เขาลืมว่า
เป็นชาวโปแลนด์ ตอนนี้เขากลายเป็น อเล็กซานเดอร์  ปีเตอร์  แล้ว พวกนั้นออกเอกสารประจำตัวให้ใหม่โดยไม่ระบุว่าเขาเป็นชาวโปแลนด์ 



แม้ทางการจะห้ามใช้ภาษาโปแลนด์ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอดอาหาร  แต่พวกเด็กมีจิตใจต่อต้านและรู้สึกชอบใจถ้าได้ฝ่าฝืน ตอนกลางคืน
เมื่อยามเอสเอสเข้าใจว่า พวกเขาหลับแล้วพวกเขาจะแอบคุยกันด้วยภาษาโปแลนด์ เป็นเวลาหลายชั่วโมงอย่างมีความสุข  พวกเขาฝ่าฝืน
กฎอื่น ๆ ด้วย  เช่น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนจดหมายถึงทางบ้าน หรือรับจดหมายจากทางบ้าน  แต่พวกเขาแอบเอาจดหมายออกไปส่ง
โดยหย่อนในตู้ไปรษณีย์ เด็กบางคนสามารถบอกพ่อแม่ได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ครอบครัวเด็กจะตอบจดหมายได้อย่างไร  จดหมายที่ส่งมา
ที่ปราสาทจะถูกยึดโดยอัตโนมัติ


แต่แล้วในฤดูใบไม้ร่วงวันหนึ่ง  เด็ก ๆ ก็มีโชค พวกเขาเดินอยู่ในสนามข้าง ๆ ปราสาทผ่านต้นแอปเปิลใกล้ฟาร์มแห่งหนึ่ง แอปเปิลกำลังสุกหวาน
พวกเขาจึงแอบเข้าไปขโมย เด็กคนหนึ่งเห็นผู้หญิงเจ้าของฟาร์มจึงตะโกนเตือนเพื่อน ๆ ผู้หญิงคนนั้นฉงนเมื่อได้ยินเด็กพูดภาษาโปแลนด์
ซึ่งเป็นภาษาของเธอด้วย เธอจึงเข้ามาสอบถามและทราบเรื่อง เธอเห็นใจเด็กและตกลงช่วยรับจดหมายแทนพวกเขา โดยให้ส่งจดหมาย
มาที่ฟาร์มเธอ พวกเขาดีใจมาก นี่เป็นเรื่องอันตราย แต่ก็คุ้มค่าหากเด็กโชคดีได้รับจดหมายจากทางบ้านเป็นครั้งคราว ก็จะเป็นความหวังว่า
วันหนึ่งเด็กพวกนี้อาจได้กลับบ้านไม่ว่าจะอีกนานเพียงใด

พวกเขายังพบหนทางอื่น ที่ช่วยให้ทนความลำบากได้มากขึ้น อาหารที่ปราสาทไม่เคยพอกับความหิวโหยของเด็ก ๆ พวกเขาจึงหิวอยู่ตลอดเวลา     
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบซื้ออาหารขาเป๋ข้างหนึ่ง จึงต้องให้เด็กคนหนึ่งไปช่วยขนของกลับจากในเมือง หากคนในกลุ่มเขาได้รับเลือกไปช่วยพวกเขา
ก็จะหาโอกาสขโมยของจากร้านค้ามาซ่อนไว้ในปราสาท นอกจากนี้พวกเขายังแอบขโมยอาหาร ในห้องใต้ดินด้วยแต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง   
อาหารที่ขโมยมาจะนำมาเลี้ยงฉลองกัน แล้วเช้าวันหนึ่งหลังการฉลองเขาต้องประหลาดใจที่ยามตรงมาที่เตียง และเฆี่ยนตีเขา 

ตอนนั้นเองเขาสังเกตเห็นรอยนมหกเป็นทางจากห้องใต้ดินมาที่เตียงเขา หลักฐานชัดเจน

พวกเด็ก ๆ หนาวและหิว  พอฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นฤดูหนาวพวกเขายังต้องใส่เสื้อผ้าบาง กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ในการเดินสวนสนาม
ไปตามถนนรอบปราสาท ชาวออสเตรียที่พบเห็น จะโยนเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้เด็กแต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บ ทำให้เด็กต้องทนเจ็บปวด
เพราะความหนาวและเท้าพอง(ความหนาวกัดเท้า)



เขาอยู่ที่นี่สองปี ในช่วงสองปีนี้เด็กส่วนใหญ่ในกลุ่มเขาถูกเลือกไปเป็นบุตรบุญธรรมเกือบหมดแล้ว ส่วนเด็กโตที่ไม่มีใครรับไป เมื่อถึงวันเกิด
ครบสิบห้าปีก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเยอรมัน ปี 1944 เด็กในกลุ่มเขาเหลืออยู่เพียงห้าคน เยอรมันตัดสินใจส่งพวกเขาไปฝึกในค่ายยุวชนฮิตเลอร์
ในเมืองมาเรีย ชมอล ตอนใต้ของประเทศเยอรมัน  เพื่อเป็นทหาร

ตอนนี้สงครามจวนจบแล้วเยอรมันกำลังพ่ายแพ้ ทุกเขตของเยอรมัน และเขตยึดครองถูกโจมตีทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศสหรัฐและอังกฤษ
โดยสหรัฐทิ้งระเบิดกลางวันและอังกฤษทิ้งระเบิดกลางคืน  (หาอ่านเพิ่มเติมหนังสือเรื่อง "ไฟนรกฮัมเบริก") แน่นอนว่ารถไฟเป็นเป้าหมาย
ที่ถูกโจมตีเสมอ  เด็กชายทั้งห้าพร้อมผู้คุมยังอยู่ห่างจาก มาเรีย ชมอล ประมาณสามสิบไมล์ตอนที่เครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐเข้าโจมตี   
ผู้โดยสารแตกตื่นลงจากรถแล้วเดินไปตามทางรถไฟโดยมีเครื่องบินตามกราดยิงด้วยปืนกล  มีกระสุนปืนยิงโดนหมวกของเขา เขาคิดว่าคง
ต้องตายแน่ แต่ก็รอดมาได้เพราะมีนายทหารเยอรมันที่เดินทางมาในขบวนรถเดียวกันได้แสดงให้เห็นวิธีหลบกระสุน ด้วยการพุ่งหมอบลงกับพื้น
ก่อนเครื่องบิน จะบินผ่านเหนือศีรษะเพราะเครื่องบินยิงตรงลงพื้นไม่ได้ ในที่สุดทางรถไฟถูกทำลาย จากการโจมตีพวกเขาพร้อมผู้คุมจึงต้อง
เดินเท้าไปตามทางรถไฟ ใช้เวลาเดินทางสองวัน  พักค้างคืนในโรงเก็บหญ้าแห้ง เมื่อถึงค่ายยุวชนฮิตเลอร์ พวกเขาได้รับการฝึกเพื่อจะเข้า
ประจำการเป็นทหารเยอรมัน


ทหารพันธมิตรยกพลขึ้นบกเดือนมิถุนายน 1944 และเริ่มปลดปล่อยเขตยึดครองของเยอรมัน  คืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่เชื่อกันว่า
ทหารสหรัฐกำลังรุกคืบใกล้เข้ามา พวกเขาถูกสั่งให้เก็บข้าวของเตรียมเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาได้รับแจกขนมปังกรอบสามชิ้นพร้อมคำสั่ง
ให้กินวันละชิ้นเพราะอาหารปันส่วนสามวันข้างหน้ามีแค่นี้  ด้วยความหิวและความรู้สึกต่อต้าน เด็กทั้งห้าจัดการกินขนมหมดทันทีในตอนนั้นเลย   
โชคดีเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก่อนจะออกเดินทางก็ได้ยินเสียงรถถังสหรัฐ คืบคลานเข้ามาและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยพลร่ม ผู้คนในหมู่บ้านพากันเอาธงขาว
มาผูกที่หน้าต่างและระเบียงเป็นสัญญาณยอมจำนน ในเขตนี้ของออสเตรียสงครามสิ้นสุดแล้ว



เด็กชายชาวโปแลนด์ ตื่นเต้นกับการปลดปล่อยแต่ยังรู้สึกกังวล ด้านหนึ่งดีใจที่คนที่จับเขามาเป็นนักโทษสองปีและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่าง
โหดร้ายต้องพ่ายแพ้ แต่อีกด้านกังวลว่าผู้เข้ายึดครองรายใหม่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เพราะพวกเขาอยู่ในค่ายฝึกทหารเยอรมันจึงถูก
อเมริกันจับเป็นเชลย งานแรกจึงเป็นการอธิบายให้อเมริกันเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่เยอรมันแต่เป็นโปแลนด์ เรื่องนี้ไม่ง่ายเพราะหลังจากถูกบังคับ
ให้พูดเยอรมันมาสองปีพวกเขาพูดภาษาโปแลนด์ไม่คล่องเหมือนเดิม แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จพวกเขาไม่ถูกจับ แถมยังได้งานทำเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
ในกองกำลังสหรัฐ  เพื่อนห้าคนแยกย้ายกัน  เขาย้ายตามฐานปฏิบัติการทหารสหรัฐจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไปสิ้นสุดที่ค่ายทางตะวันตกของโปแลนด์   
ที่นี่เขาได้เข้าโรงเรียนเป็นภาษาโปแลนด์เป็นครั้งแรกหลังเวลาผ่านไปเกือบสามปี เขาเข้ากับพวกอเมริกันได้ดี   

แม้เขาจะไม่กังวลอนาคตของเขาแต่กังวลอนาคตของเพื่อน ๆ จากปราสาทโอเบอร์ไวซ์ที่ต้องกลายเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวเยอรมันและออสเตรีย 
พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือนอกประเทศไปตลอดชีวิต เป็นไปได้ไหม ที่จะตามหาแล้วพาพวกเขากลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงในโปแลนด์ 
ค่ายที่เขาพักอยู่ใกล้โอเบอร์ไวซ์ เขาจึงขอให้ทหารอเมริกันพาเขากลับไป ที่ปราสาทเพื่อดูว่ามีบันทึกเกี่ยวกับเด็กที่ถูกลักพามาและที่อยู่ของครอบครัว
บุญธรรมหรือไม่ ทหารอเมริกันเอาด้วยโดยให้ร้อยเอกอเมริกันนายหนึ่งขับรถพาเขาไปที่ปราสาท  เขากับร้อยเอกอเมริกันขับรถผ่านประตูใหญ่เข้าไป
ขอพบผู้ดูแล พวกเขาได้รับคำบอกว่าตอนนี้ปราสาทกลายเป็นโรงพยาบาลเยอรมันและไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเด็กอยู่เลย   

เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่ามีหญิงเยอรมันคนหนึ่ง ที่เป็นครูสอนภาษาเยอรมันเคยพาเขาไปที่บ้านของเธอ เธอกับสามีซึ่งเป็นตำรวจได้รับ
เด็กชาวโปแลนด์ไว้เป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เป็นเด็กหญิงผมสีเข้มอายุน้อยกว่าเขาปีหนึ่งชื่อเฮเลน่า  เขาจำทางไปบ้านเธอได้จึงขับรถไป
ร้อยเอกอเมริกันเข้าไปก่อน  เขากลับออกมาบอกว่ามีเด็กหญิงผมเข้มชื่อเฮเลน่าจริง แต่แม่เธอยืนยันว่าเธอเป็นเยอรมันและเอกสารต่าง ๆ ก็ระบุอย่างนั้น   
เขาจึงบอกว่า "เราเข้าไปพร้อมกัน  ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น" 



คราวนี้ทั้งหญิงเยอรมันและเฮเลน่าจำเขาได้  พวกเธอแสดงปฏิกิริยาต่างกัน หญิงเยอรมันช็อคหน้าซีด ส่วนเฮเลน่ายิ้มดีใจและพูดตอบโต้
กันด้วยภาษาโปแลนด์ ร้อยเอกอเมริกันสิ้นสงสัยและบอกให้เฮเลน่าเก็บข้าวของไปกับพวกเขาเพื่อจะได้กลับโปแลนด์  วนหญิงเยอรมันร้องให้
ด้วยความปวดร้าวที่ต้องสูญเสียเด็กที่เธอคิดว่าเป็นลูกไป

ถึงจุดนี้เขาสงสัยขึ้นในฉับพลันว่าทำถูกหรือไม่ เด็กหญิงดูมีความสุขดีกับครอบครัวบุญธรรมที่นี่  ถ้าหาครอบครัวแท้จริงของเธอในโปแลนด์ไม่พบจะทำยังไง   
การกระทำของเขาทำให้เกิดความเศร้าโศกกับหญิงจิตใจดีงามคนหนึ่งซึ่งยินดีรับเฮเลน่าไว้อุปการะ  ตอนนี้เธอต้องปวดร้าวเช่นเดียวกับพ่อแม่ชาวโปแลนด์
ของเด็กหญิงตอนที่เธอถูกชิงมาเมื่อสามปีก่อน ในทางปฏิบัติเฮเลน่าจะมีความสุขในออสเตรียหรือในโปแลนด์มากกว่ากัน  ไม่มีใครรู้อนาคตจึงไม่มีใคร
ตอบคำถามนี้ได้ เขาเริ่มเรื่องนี้ขึ้นจึงต้องเดินหน้าต่อไป

หญิงเยอรมันหยุดร้องให้ยืนนิ่งงัน  เธอช็อคจนไม่ได้กล่าวลาเฮเลน่า พอเด็กหญิงปีนขึ้นรถพร้อมกับเขาและร้อยเอกอเมริกัน  เธอก็วิ่งถลาออกมาจากบ้าน
กรีดร้องแล้วทุ่มตัวใส่หน้ารถ ตอนนั้นเองสามีเธอขี่จักรยานยนต์กลับมาพอดี เมื่ออธิบายทุกอย่างให้เขาฟังเขาบอกภรรยาว่าไม่มีทางเลือกอื่นต้องให้
เฮเลน่าไป

เดือนธันวาคม 1945 เฮเลน่ากลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองลอดซ์ทางตะวันตกของกรุงวอร์ซอ  สามสิบปีให้หลังเขาเดินทางกลับโปแลนด์แล้วไปตามหาเธอที่บ้าน   
เขากรดกริ่งหน้าบ้าน  มีวัยรุ่นหญิงหน้าตาละม้ายกับเด็กหญิงที่เขารู้จักจากค่ายออกมาเปิดประตู  เธอบอกว่าแม่เธอไปทำงาน  เขาจึงขอให้เธอ   
"โทรบอกแม่ว่าเพื่อนจากออสเตรียมาเยี่ยม"

ตอนนั้นเฮเลน่าเป็นผู้พิพากษาแล้ว พอเธอได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวเธอเลื่อนคดีและงานทุกอย่างทันทีแล้วรีบกลับบ้าน  เป็นการพบกันที่มากด้วยอารมณ์   
กอดกันแน่นพร้อมน้ำตา  ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งเขาจึงถามว่า

"ผมต้องถามคุณอย่างหนึ่ง  ผมทำถูกรึเปล่าที่ใช้กำลังพรากเธอมาจากครอบครัวชาวออสเตรีย"

เฮเลน่ายิ้ม "เป็นสิ่งดีที่สุดที่คุณทำ"   

"ฉันอยากเป็นนักกฎหมายมาตลอดแล้วตอนนี้ก็ได้เป็นสมใจ  ฉันไม่แน่ใจว่าครอบครัวออสเตรียจะยอมให้ฉันได้รับการศึกษาอย่างดีเช่นนี้"


สำหรับตัวเขาเองกลับไม่มีการกลับบ้านแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนหนังละครทั้งหลาย ในทันทีหลังสงครามเขาพยายามติดต่อพ่อแม่และน้องสาว   
เขาได้รับการบอกกล่าวว่าพวกเขาสาบสูญไปเหมือนคนโปแลนด์อื่นอีกเป็นล้านคน หลังจากนั้นอีกนานเขาจึงได้ยินเรื่องราวการสังหารหมู่ใกล้เขตบ้าน
เขาในช่วงที่ทหารเยอรมันถอยร่นจากการรุกไล่ของทหารรัสเซีย  คาดว่าพ่อแม่และน้องคงอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนั้นนั่นเอง




เขาไม่ต้องการกลับโปแลนด์อย่างเด็กกำพร้า เขาจึงเข้าเป็นทหารโปแลนด์ไปประจำอยู่อิตาลีแล้วต่อไปที่อังกฤษ  ความตั้งใจตั้งแต่ยังเด็กที่จะอุทิศตน
ให้ศาสนาได้ผนวกกับประสบการณ์ระหว่างสงคราม ทำให้เขาเข้าร่วมงานมิชชั่นเนอรีและบวชเป็นพระในที่สุด ขณะที่อเล็กซานเดอร์โชคดีรอดสงคราม 
เด็กอีกจำนวนมากเป็นเรือนล้านไม่รอด  ขณะที่เด็กเหล่านี้ทนทุกข์ทรมานขนาดนี้  ผู้เป็นพ่อแม่ที่กล่าวกันว่าเจ็บปวดเป็นทวีคูณนั้นจะเจ็บปวดเพียงใด

สามสิบปีให้หลังในอีกซีกโลกหนึ่งภายใต้ผู้นำบ้าคลั่งเหมือนกันเด็ก ๆ ในกัมพูชาข้างบ้านเรานี้เองก็ประสบชะตากรรมคล้ายกัน ต้องอดอาหาร เจ็บป่วย 
พลัดพรากจากพ่อแม่ ทำงานหนัก และล้มตายเป็นเรือนแสน หรือมนุษย์เราจะไม่มีวันเรียนรู้จากบทเรียนใด ๆ เลย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่