บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๔

บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๔

เริ่มโดย Nobody, 22 พฤศจิกายน 2008, 22:18:46

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.1.html

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๔ (ต่อ) 
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
          ถาม :     เป็นพระด้วยนะคะ?
       ตอบ :  จะพระจะอะไรก็เถอะ คำว่าหยาบมากนี่คือว่าของเขาเองเขายังไม่เคยชินกับสภาพนั้น การภาวนาของเขาอาจไม่ได้ระยะนานอย่างของเรา ค่อยๆ สะสมตัวมาคนที่สะสมตัว มาลักษณะของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าหากว่ามันอยู่ตัวแล้วมันจะไปเรียบ แต่เราสังเกตอย่างหนึ่งนะ มันจะคล่องกว่าเดิมแค่นั้นเองจะมีความคล่องกว่าเดิม จะมีความชัดเจนแจ่มใสกว่าเดิม 
       ถาม :    ทุกครั้งสิ่งที่ทราบเวลาไปฝึกเต็มกำลัง สิ่งที่ได้รับจากสมเด็จพ่อ ท่านก็บอกว่าให้หนูทำงานเป็นสาธารณะกุศลทุกครั้งเลยค่ะ
       ตอบ :  ก็ทำไปซิ ทุกอย่างที่ควรจะทำได้หลวงพ่อท่านบอกไว้แล้ว ถ้าเรายังรักษาอภิญญาสมาบัติสาธารณะปฏิปทาได้จะตามสงเคราะห์เราไปตลอด เรื่องทางด้านนั้นก็ทำดู อะไรที่ทำเกื้อพระศาสนาเพื่อแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อก็ถือเป็นงานส่วนรวมทั้ง นั้นล่ะ
       ถาม :     อย่างนี้แสดงว่าท่านกำหนดตัวเลยใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :   ถ้าท่านบอกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ก็เป็นอันว่าโอเคแล้ว 
       ถาม :    แต่เพื่อนข้างๆ เขาจะได้ลาภ หมอเตือนใจเข้าไปสอนเขาว่า ลูกต้องทำให้ดีนะ ลูกต้องไปเป็นครูสอนเขาต่อไป 
       ตอบ :  ถ้าหากว่าเขาระบุมาอย่างนั้นก็ดูด้วยบางทีมันเป็นช่วงระยะเวลาเดียว พอนานไปมีการเปลี่ยนงานเหมือนกัน อย่างหลวงพ่อระยะแรกๆ ท่านรักษาโรคให้ด้วย พอรักษาไปๆ พอถึงเวลาหลวงปู่ธรรมชัยมาปุ๊บ ท่านบอกเจ้าของงานมาแล้ว ท่านหยุดเลย ต่อไปใครป่วยท่านไล่ไปหาหลวงปู่ธรรมชัย มันก็ดูด้วย บางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่ว่า กว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรับหน้าที่นั้นไประยะหนึ่งซึ่งบางทีก็ยาว บางทีก็ไม่ยาวเท่าไหร่
       ถาม :    อย่างนี้แต่ละคนนี่ ถูกกำหนดหน้าที่ใช่มั้ยคะ ว่าช่วงนี้ต้องทำอย่างนี้ๆ ?
       ตอบ :  บางทีบุคคลที่โดนกำหนดมาไม่สามารถทำคุณสมบัติตัวเองให้เมาะสมกับหน้าที่นั้น ได้ ก็มีการเปลี่ยนตัวแทนไป ตัวแทนน่ะแย่ซิมันไม่ใช่ความถนัดของตัว มันจะ....
       ถาม :    สรุปแล้วท่านจัดสรรให้เอง?
       ตอบ :   มันจะมีการจัดสรรกันอยู่ ลักษณะแบบเดียวกับที่ว่ามีคำทำนายจากสมัย ฝังลูกนิมิตที่โบสถ์วัดท่าซุงไง ว่าระยะนั้นเวลานั้นจะมีพระเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ช่วยงานหลวงพ่อได้ อะไรได้ ถ้าเราไม่เร่งทำนะ มันจะไม่ได้ตามระยะที่ท่านบอก แต่ถ้าเราเร่งทำจริงๆ ตั้งใจทำจริงๆ ไม่ทอดทิ้งบางทีมันจะเร็วกว่าที่ท่านบอก ยกเว้นว่าของเราเองไปตามเวลาตามระยะที่ท่านบอกพอดีเป๊ะ ก็ได้ตามจังหวะที่ท่านว่ามา
       ถาม :    อย่างปกติหนูก็รับใช้ศาสนาเสาร์อาทิตย์จันทร์อย่างนี้ ตลอดไม่เคยขาด แต่อยู่ๆ ต้องไปเรียนมันเหมือนเราขาดช่วงไปค่ะ?
       ตอบ :  มันไม่ขาดหรอก เพราะว่าตัวอาตมาเองตอนไปเป็นทหารมันก็เหมือนกับห่างหลวงพ่อไป แต่มันทำให้ใจเรายึดเกาะได้ดีกว่า มันเป็นการฝึกเราให้รู้จักปล่อยวาง ให้รู้จักความพอดีอะไรบางอย่างซะด้วยซ้ำไป เพราะว่าถึงเวลาแล้ว สมมติผ่านเวลาไปหนึ่งปีหรือสองปีเราก็จะรู้สึกว่า เออ.. จริงๆ แล้วหน้าที่มันสำคัญทั้งทางโลกทางธรรมนะ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทแต่ว่าทางธรรมอย่างเดียวโลกมันก็ช้ำ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทโลกอย่างเดียวธรรมมันก็เสียนะ เราอาจจัดระเบียบความพอดีตัว มัฌชิมาปฏิปทา ของเราขึ้นมาได้อีกซะด้วยซ้ำไป
       ถาม :    ถ้าอย่างนี้ เราวางกำลังใจของเรา แต่หนูก็ (ฟังไม่ชัด)
       ตอบทำหน้าที่เฉพาะหน้าของตนให้ดีที่สุด นั่นแหละ ถ้าทำอย่างงั้นก็โอเค เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเราในปัจจุบันนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคตมันดีแน่นอน ใครเขามีโอกาสได้ทำ เราก็โมทนากับเขาถึงเวลาเรามีโอกาสเราก็กลับไปทำหน้าที่เดิม
       ถาม :    บางครั้งก็น้อยใจว่าทำไมเราถึงทำบุญน้อยอย่างนี้?
       ตอบ :  (หัวเราะ) ไม่ต้องไปน้อยใจเลย สมัยที่เป็นทหารมันฝึกกลางวันฝึกกลางคืน โอกาสจะไปหาหลวงพ่อแต่ละครั้งยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะลาหยุดได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าคิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด ตื่นตีห้า กว่าจะได้นอนน่ะสามทุ่ม แล้วสี่ทุ่มเขาเป่านกหวีดให้ไปฝึกวิธีรบกลางคืนอีกกว่าจะนอนตีสอง เท่ากับว่ามีเวลานอนติดต่อกันจริงๆ คือช่วงตีสองถึงตีห้า เราเองก็ยังสละเวลา พอตีสามลุกขึ้นมาภาวนา เพราะว่าหลวงพ่อสอนมานานแล้วให้ทำอย่างนี้ๆ ถึงเวลามันนึกขึ้นมาได้ว่าเราต้องทำ ก็ลุกขึ้นมาทำมันจะมีตัวฉันทะ ตัววิริยะมากกว่าปกติซะด้วย เพราะรู้ว่าตอนนี้เราห่าง ยิ่งห่างถ้าเราไม่ยิ่งเร่งปฏิบัติของเราก็เหมือนกับว่าไกลครูบาอาจารย์ไปเรื่อย คราวนี้ของเราช่วงนี้ก็เหมือนกับว่าเราห่างใช่มั้ย? เราห่างก็จำเป็นที่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราให้มากกว่า อันนั้นมันเป็นงานทางกาย แต่ขณะเดียวกันใจมันเป็นสุขด้วยใช่มั้ย? คราวนี้มันก็เหลือแต่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราในช่วงที่มันไม่ได้ไป
       ถาม :    แล้วอย่างนี้คนที่ไปอยู่เมืองนอก เขาไม่ยิ่งกว่าพวกเราเหรอ?
       ตอบ :  ก็นั่นแหละ ตัวนี้แหละที่ว่าต้องลงใต้ คนใต้นี่เขาหิวพระต้องใช้คำนี้เลย คือเขาอยากจะให้ไปทุกเดือนเลย ประเภทว่าอยู่ประจำได้เลยยิ่งดี แต่ว่ามันไม่ไหวเพราะหน้าที่ของเรามันมีอยู่ ในเมื่อของเขาเองโอกาสเขาน้อย ถึงเวลาเขากอบโกยเต็มที่ สังเกตว่าเวลาหลวงพ่อไปต่างประเทศฝึกกรรมฐานให้ พวกนั้นจะได้ง่ายใช่มั้ย?
               พวกทางใต้ก็เหมือนกัน มาแต่ละคนนี่เวลาถามปัญหาธรรมนี่ ไอ้เราตกใจ เขาทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ คือของเขาเอง เขาอยู่ลักษณะที่ว่าต้องเร่งขวนขวายให้มาก เพราะว่าโอกาสใกล้ครูบาอาจารย์มันน้อย เมื่อวานนี้ก็มาที่นี้คณะหนึ่ง มาจากยะลาบอกว่า แวะมาก่อน เดี๋ยวจะไปวัดท่าซุง ไปร่วมงานสะเดาะเคราะห์ เป็นเรา เราจะมีอารมณ์นั่งรถเป็นพัน ๆ กิโลมาอย่างเขามั้ย ? แล้วแต่ละคนอายุไม่ใช่น้อย ๆ อย่างลุงสุชาติ อย่างป้าบุญเรือนอย่างนี้แต่ละคนนี่อยู่ในระดับเลยเกษียณแล้ว ยังอุตส่าห์ขวนขวายมาต้องชมกำลังใจของเขามันถึงจริงๆ
                ขณะเดียวกันพวกเรามันอยู่ใกล้กลายเป็นหนูตกถังข้าว สารกินเมื่อไรก็ได้ เลยไม่ได้กินซักที มันต้องเร่งแบบของเขาทำเหมือนกับว่าเรามีวันนี้วันเดียวนะ ทำแบบวันนี้มีวันเดียวนึกออกมั้ยว่าทำอะไรบ้าง พรุ่งนี้มันไม่มี ถ้ามันตายวันนี้เราเกาะนิพพานไม่ได้มันขาดทุนนี่
       ถาม :    บอกให้ทรงกำลังใจนี่แสดงว่าช่วงนี้ก็ยังทำอยู่ใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :    ตลอดเวลาทุกวัน ยิ่งห่างพระยิ่งต้องทำให้หนัก 
       ถาม :     แล้วอย่างการพูดจานี่เป็นของเก่าติดมาตั้งแต่อดีตชาติหรือเปล่าคะ?
       ตอบ :   มันก็มีที่ติดมาด้วย ตัวอย่างชัด ๆ ก็พระปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะท่านเกิดเป็นพราหมณ์ติดต่อกันมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ พราหมณ์เขาถือว่าเป็นชาติตระกูลที่สูงมากใช่มั้ย? ก็เห็นคนอื่นต่ำหมดเลยติดปากคำว่าไอ้ถ่อย ถึงเวลาถามมาก็ ไปไหนมาไอ้ถ่อย..อย่างนี้ ถ้าตัวเองเป็นพราหมณ์อยู่มันไม่เป็นไรคราวนี้มาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา คนโกนหัวนี่สมัยก่อนเขาถือว่าเป็นคนจัญไร แล้วไปพูดลักษณะนั้นกับเขา เขารับไม่ได้ เขาก็ด่าคืนเอา มันเลยกลายเป็นโทษกับเขาไป ตอนหลังท่านเลยไปอยู่ป่ากลายเป็นที่รักของเทวดา
       ถาม :   เพราะอะไรเจ้าคะ?
       ตอบ :  ท่านเองท่านเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว เป็นที่รักของเทวดาก็เพราะว่าเทวดาอยากจะให้อยู่ ก็พลอยได้รับความเยือกเย็นไปด้วยจากท่าน ท่านเมตตาสั่งสอน แต่ว่าเวลาอยู่กับคนท่านลำบากเพราะท่านไปติดปากตรงจุดนั้น คนเขาไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านเป็นพราหมณ์ติดต่อกันตั้ง ๕๐๐ ชาติคำนี้มันติดปากมาแล้วแก้ไม่ได้หรอก
       ถาม :   บางคนก็ปากหวานนะคะหลวงพี่ พูดอะไรก็ โห..เหมือนไม่รู้พูดมาจากไหน ทำไมพูดดีจัง
       ตอบ :  ปากหวานระวังก้นมันจะเปรี้ยว (หัวเราะ) แต่ว่าอย่างที่โบราณเขาว่านั่นแหละ อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หายใช่มัย? ปิยวาจาพูดดีเข้าไว้เคย ใครมันก็รัก
       ถาม :  อย่างลูกสาวนี่ตอนเล็ก ๆ นะคะเขาไป เหมือนไปวัดก็ไปด้วยกันแม่ลูกสามคน พอโตนี่ชวนแกก็ไม่ยอมไป ไม่ทราบพอจะแนะนำอุบายอะไรได้มั้ยคะ?
       ตอบ :  ไม่ต้องอุบายหรอกจ้ะ คือว่าเราเป็นแม่เราก็ทำของเราไป หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ชัดแล้วว่า คนต้นตรงกลางคดเดี๋ยวปลายมันก็ตรง พื้นฐานเก่าเขามี เหตุปัจจัยของการสร้างความดีของเขานี่แม่ให้ไว้เยอะแล้ว เดี๋ยวพอถึงเวลาพอเขาเกิดกระทบกระเทือนอะไรด้านจิตใจ เขาเลี้ยวเข้ามา ดีไม่ดี ไปได้มากกว่าเราเสียอีก
       ถาม :   นั่นคือลูก แต่สามีล่ะคะ?
       ตอบ :    สามีนี่ไม้แก่ดัดยาก (หัวเราะ) ก็พยายามช่วยเขามากที่สุด เท่าที่มากได้แล้วกันนะ
       ถาม :   เหล้ายังกินเหมือนเดิมเลยค่ะ
       ตอบ :   ไม่เป็นไรหรอก คนกินเหล้าไม่ใช่คนเลว จำไว้ ตอนเหล้าเข้าปากส่วนใหญ่อารมณ์ดีอยากได้อะไรต้องรีบขอตอนนั้น (หัวเราะ)
       ถาม :   แล้วอย่างเวลาเขากินเหล้านะคะ บอกว่า พ่อ...แม่จะไปทำบุญนะเอาเงินฝากแล้วก็อธิษฐาน ตรงนี้มันจะไม่พร่องไปเหรอคะ?
       ตอบ :  ก็พร่องบ้าง ก็ทำบุญแบบอสูรไง อสูรนี้เป็นเทวดาชนิดหนึ่ง แต่ว่าอันนั้นของท่านทำบุญ ท่านพร่องตรงที่ว่ามักจะขี้โกรธ ทำบุญผสมโทสะเลยเป็นอสูรของเราเองก็อาจเป็นประเภทพวกเดียวกับอสุรินทราหูไง เขาบอกว่าราหูขี้เมา จริง ๆ เทวดาเขาไม่ได้ขี้เมา คนไปว่าท่านเองต่างหาก เป็นเทวดาถ้าไม่มีศีลก็เป็นเทวดาไม่ได้ใช่มั้ย?
       ถาม :   แต่อย่างนี้เขาก็ได้บุญใช่มั้ย?
       ตอบ :  ได้อยู่ เพียงแต่ว่าส่วนที่ควรจะได้เต็มมันก็พร่องไปหน่อย เพราะว่าวัตถุทานบริสุทธิ์ใช่มั้ย? ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ คราวนี้ว่า ผู้ให้ขาดความบริสุทธิ์ไปนิดหนึ่ง แล้วถ้าอีกสามส่วนบริสุทธิ์ก็อาจเหลือซักเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีกว่าไม่ทำล่ะ
       ถาม :  เวลาหนูชวนเขาทำบุญ ถ้าเป็นวัดอื่นก็ไป แต่ถ้าเป็นวัดท่าซุง เขาบอกไม่เอาล่ะ ก็เพิ่งทำไปแล้วนี่ ฝากไปตั้งนานแล้ว ทำอะไรกันอีกบ่อย ๆ จะปฏิเสธทันทีอย่างนี้นะเจ้าคะ
       ตอบ :  มันอาจอยู่ลักษณะบางที เขาได้ข่าวว่าวัดรวยแล้วอะไรอย่างนี้ มีเยอะนะที่เขาบอกว่าวัดนี้รวยแล้ว แล้วทำไมไม่ไปทำที่วัดอื่นบ้าง โดยที่เขาเองก็ไม่ได้รู้เดี่ยวกับเรื่องเนื้อนาบุญว่ามันเป็นยังไง เรื่องเนื้อนาบุญ จริง ๆ แล้วสำคัญมาก น่าจะมีตัวอย่างของ อังกุระเทพบุตร กับ อินทกะเทพบุตร ให้เขาได้ฟังบ้าง จะได้รู้ว่าที่ตัวเองทำน่ะเหนื่อยแทบตายตั้งสองหมื่นปีทั้งกลางวันทั้งกลาง คืนมีผลอยู่กระจึ๋งหนึ่ง ขณะที่อินทกะเทพบุตรตักบาตรครั้งเดียวในชีวิต กลายเป็นเทวดาที่มีศักดานุภาพที่สุดของดาวดึงส์ นั่นเพราะเนื้อนาบุญ 
               คราวนี้คนพูดที่เขาเองขาดปัญญาตรงจุดนี้ เขาก็จะไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปแต่วัดท่าซุง ที่อื่นไม่ไป ที่อื่นไปก็จะเหมือนกับที่ติดต่อกฐินให้เขานี่ พอโยมรู้ว่าความประพฤติเป็นยังไงนี่เฉาเลยล่ะ เฉาถึงขนาดที่จะเปลี่ยน แต่คราวนี้จะเปลี่ยนไม่ได้ รับปากเขาไว้แล้ว
       ถาม :  ถ้าอย่างงี้เราจะใช้อธิษฐานบารมีได้มั้ยคะ ขอ พระ พรหม เทวดาทั้งหมด ขอให้ช่วยดลใจสามี ถ้าไปทำบุญที่ไหนขอให้อย่าขวางขอให้คล้อยตาม?
       ตอบ :  อย่างนี้มันได้อยู่ แต่ว่ามันต้องดูช่วงกุศลกรรม อกุศลกรรมด้วย ถ้าเป็นช่วงที่กุศลกรรมส่งผลนี่มันจะมีผลทันทีตามที่เราต้องการเลย แต่ถ้าหากว่าบางช่วงอกุศลกรรมเข้าปุ๊บนี่ เขาจะเห็นผิดเป็นชอบอีกเหมือนเดิมอย่างนี้อย่าไปตำหนิกัน เพราะว่าของเขาเองถ้าหากว่าปกติธรรมดาเขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นการดลจิตดลใจจาก กิเลส ตัณหา อกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ นานา มันพาให้เป็นไปถ้าหากว่าเขาไม่ก็บอกว่า โอเคไม่เป็นไรหรอก แม่ทำเองแล้วก็ช่วยโมทนาด้วยอะไรก็ว่าไปเลย
       ถาม :   .....
       ตอบ :  อยู่ที่จิตใจสละออก ถ้าจิตใจเรามีการสละออกจริงๆ เรามีเงิน ๑๐ บาท เราทำบุญ ๑ บาท นี่ถือว่าเยอะนะ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้วใช่ไหม? แต่ถ้าคนทำบุญ ๑๐๐ บาทแต่มันมีเงิน ๕๐ ล้านบาทอย่างนี้การสละออกมันน้อยกว่า เพราะฉะนั้นจำนวนเงินไม่สำคัญ สำคัญที่จิตใจสละออกเป็นการตัดความโลภ ถ้ามีจิตใจสละออกเป็นการลดความตระหนี่ถี่เหนียว มีน้อยทำน้อยในสายตาคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วในสายตาของเรา เราต้องใช้กำลังใจในการเสียสละมาก คนที่มีเป็น ๑,๐๐๐ ล้านควักมาทำบุญ ๑ ล้าน ขณะที่เรามี ๑๐ บาท ควักทำบุญ ๑ บาท ใครจำนวนมากกว่ากันถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ? เพียงแต่ว่าคนที่มีมากทำมาก เรามีน้อยทำน้อย
              สมมติว่าถ้าทำสังฆทานด้วยกันนะจะไปเกิดเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่ว่าคราวนี้มหาเศรษฐีมีทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฐิ คงประมาณ ๘,๐๐๐ ล้านในปัจจุบัน ถ้ามีทรัพย์ ๘๐ โกฐิของเขาจะมีมากกว่าเรา แต่ว่าต่ำสุดนั้น ๘๐ โกฐิ
       ถาม :   แล้วพวกนักการเมืองที่เขาคอรัปชั่นแล้วตายไปจะเป็นยัง?
       ตอบ :   อันดับแรกถ้าจิตใจเศร้าหมองลงนรกก่อนตามโทษ ที่ตัวเองทำมาสารพัดสารเพ แล้วโทษคอรัปชั่นนี้จะมีในยมโลกีนรกคือนรกเล็ก ๆ ขุมหนึ่งที่มาคิดบัญชีต่างหาก พวกคอรัปชั่นนี้จะตกขุมที่เรียกว่า ปิสสกะปัพพตะนรก จะเป็นนรกภูเขาเหล็กแดงโร่เลยนะกลิ้งมาทับป่นเป็นแป้งเลย พอภูเขากลิ้งผ่านไป ลมกัมมัชชวาต พัดมาก็ฟื้นคืนมาเป็นตัวเป็นตนใหม่ ก็วิ่งหนีต่อให้เขาไล่ทับต่อไป
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.2.html

ถาม :     ดินแดนนรกกับดินแดนสวรรค์มีจริงไหม?
       ตอบ :   อุตส่าห์เล่ามาขนาดนี้แล้วยังถามอีก มีจริง ๆ จ้ะ นรกสวรรค์จะไม่มีเลยถ้าไม่มีใครทำความดีความชั่ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเอง เราทำชั่วมาก ๆ แดนนรกเกิดขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงแดนเปรตขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงไปอีกนิดหนึ่งแดนอสุรกายเกิดขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงไปอีกก็แดนสัตว์เดรัจฉานเกิดขึ้นมารับ เป็นผู้ที่มีศีลห้าทรงตัวก็เกิดเป็นมนุษย์ แดนมนุษย์มีรองรับอยู่เห็น ๆ แล้วใช่ไหม มีศีลบริสุทธิ์มีความดีทรงตัวก็เกิดเป็นเทวดามีแดนเทวดารองรับอยู่
               ถ้าสร้างฌานสร้างสมาบัติได้ก็มีแดนพรหม ทำดีถึงที่สุดหลุดพ้นจากวัฏฏะก็มีแดนนิพพานรองรับอยู่ ทุก สิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา ทั้งหมด ถ้าไม่มีการกระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่มี เท่ากับว่าเราสร้างขึ้นมาเองแท้ ๆ เลย ตอนเราสร้างนี่ไม่เคยนึกเลยว่าจะสร้างได้น่ากลัวขนาดนั้น
       ถาม :  หนูเคยฝันถึงทวดหนูน่ะค่ะ ตอนนั้นฝันบ่อย ฝันถี่ด้วยแล้วก็บอกหวยด้วย ตอนนี้เขาไม่มาแล้ว หนูฝันครั้งสุดท้ายว่าเขาพาหนูไปเที่ยวเป็นบ้านทรงไทย เขาลากคอเพื่อน เขารู้ว่าหนูกลัวเขาก็ลากคอเพื่อนหนูไป หนูก็ไป แล้วก็ตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่เข้าฝันหนูอีก
       ตอบ :   ที่อยากให้มาเข้าฝันนี้ คิดถึงทวดหรือว่าอยากได้หวย
       ถาม :   เปล่าค่ะ ถ้าหนูมีเรื่องอะไรหรือว่าไม่สบายใจหนูก็จะจุดธูปคุย
       ตอบ :  ก็ดันไปจุดธูปเรียกเขา เขาก็มามาแล้วก็กลัวเลยต้องลากคอคุยกัน ไม่ได้เรื่องเลย ยิ่งมาง่ายเท่าไหร่แสดงว่าอานุภาพของท่านมากเท่านั้น ผู้ที่อานุภาพมากนี้ขอให้ท่านช่วยมันก็เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
       ถาม :   เวลาพระเสียใจมาก ๆ พระทำยังไงคะ?
       ตอบ :   ถ้าพระจริงๆ เขาไม่เสียใจหรอก มีแต่รู้เห็นว่าธรรดาของโลกเป็นอย่างนั้น เราเรียกว่า ปลงธรรมสังเวช แต่ว่าถ้าไม่ใช่พระนี่ยังร้องไห้อยู่ เอ๊ะ ! ไม่แน่...ถ้าเป็นพระอย่างพระโสดาบันนี้ยังร้องไห้อยู่นะ แต่ถ้าพระสกิทาคามีขื้นไปนี่ชักตายด้านแล้ว ไม่ร้องกับใครง่าย ๆ หรอกเรื่องกระทบใจมีน้อย
       ถาม :   แล้วเวลาเราเสียใจเราจะทำยังไงดีล่ะคะ ให้มันหมดความเสียใจจริง ๆ ?
       ตอบ :  อาละวาด ร้องไห้ ดิ้นโครม ๆ เอาให้มันสะใจ ความจริงเราเสียใจมาก ๆ แล้วเราเก็บอยู่เป็นผลร้ายเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น ระบายมันออกมาให้เต็มที่เลยนะ ถ้าร้องไห้กลัวคนเห็นก็เข้าห้องน้ำเปิดน้ำแรง ๆ อาบน้ำไปร้องไห้ไปไม่มีคนรู้ ออกมาหน้าใสมาเชียว ถามว่าเป็นอะไรตาแดง เมื่อกี้สระผมอยู่เข้าตา (หัวเราะ) ความจริงถ้าพิจารณาเป็น เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราได้ จิตยอมรับจริง ๆ มันก็เลิกเสียใจ
       ถาม :   แล้วดวงชะตานั้นมีจริงไหมคะ?
       ตอบ :   ดวงชะตาก็คือบุญกรรมที่เราทำมาส่งผลให้ เราทำความดี ผลดีก็ส่งผลให้เราเจริญรุ่งเรืองให้ร่ำให้รวย ให้มีโชคมีลาภ แต่เราทำชั่ว มาถึงเวลาก็ทำให้ตกต่ำเคราะห์ร้าย ต้องรับในเรื่องที่มันไม่ดีต่าง ๆ ที่มันประกอบกันเข้ามา ช่วงของบุญของบาป มันสลับกันมาให้ผล ถ้าบุญขาดช่วงลงบาปก็เข้าแทรก ถ้าหากกำลังบาปอ่อนตัวลงกำลังบุญก็ไล่บาปพ้นไป
              ความดีก็สลับกลับคืนมาใหม่ คราวนี้พวกบรรดาพราหมณ์นี้เขาเก็บสถิติมาเป็นพัน ๆ ปี เขาช่างสังเกต เขาสังเกตว่าคนที่เกิดวันนี้เวลานี้ที่มันใกล้เคียงกันน่ะถึงเวลาเท่านั้นๆ ผลดีผลร้ายจะเกิดขึ้นกับเขา คนที่เกิดใกล้เคียงกันแสดงว่าบุญบาปใกล้เคียงกันมันก็เลยสามารถที่จะสรุปลง มาเป็นตำราได้ว่าดวงชะตาของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ว่ามีโอกาสผิดพลาดมาก ถูก เต็มที่ได้ไม่เกิน ๘๐ % แล้วอีกอย่างหนึ่งตัวที่ผันแปรดวงชะตาได้ดีที่สุดก็คือกำลังของความดีสูง ๆ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา ๓ ตัวนี้ ถ้าเรามีการให้ทานเป็นปกติ รักษาศีลเป็นปกติ เจริญภาวนาเป็นปกติ ผลของดวงชะตาหรือบุญกรรมในอดีตส่วนใหญ่ที่เป็นผลบาปที่เราเรียกว่ากรรมให้ผล ได้ไม่เกิน ๒๕ % ถ้าคนประเภทนี้หมอดูจะทายผิดประจำ เขาเรียกว่าพวกนอกเหตุเหนือผลเกินตำรา 
              มีหมอดูอยู่คนหนึ่งเก่งมากเลยเป็นชาวพม่า ตอนสมัยหลวงพ่ออุตตมะ ยังบวชเณรอยู่ไปให้หมอดูทำนายดวงชะตา หมอดูดวงชะตาของหลวงพ่ออุตตมะแล้วบอกว่า ของท่านไม่สามารถจะทำนายได้ ถามว่าทำไม ท่านบอกว่าดวงชะตาของท่านเกินตำรา ไม่มีบอกเอาไว้ มันจะไปทายพระอรหันต์ (หัวเราะ) ใช่ไหม? ตำราบอกไม่ถึงเพราะว่าหลวงพ่ออุตตมะท่านเป็นพระดีถึงที่สุดแล้ว
               ตอนนั้นยังเป็นเณรอยู่นะแต่ว่าภายหลังท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนกระทั่งกลายเป็นพระดีที่สุดแล้ว หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าหลวงพ่ออุตตมะเป็นพระวิชชาสาม ในเมื่อเป็นพระดีขนาดนั้นตำรามันว่าไม่ถึง เขายอมรับว่าตำราเขาไม่ถึง แต่เขาดูแม่นจริง ๆ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน่าจะมี ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าลำพังยึดตำราอย่างเดียวคงรู้ไม่ถึงขนาดนี้
       ถาม :   ไสยศาสตร์มีจริงไหมคะ?
       ตอบ :   จริงจ้ะ แต่ว่าพวกนี้เราไม่ต้องกลัวเขาเลย ถ้าเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวแค่เกินอุปจารสมาธิ เขาเรียกว่า อุปจารฌาน คือใกล้ความเป็น ปฐมฌาน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแค่นั้นเองเขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ว่าอารมณ์นั้นต้องทรงตัวตลอดนะ ถ้าคลายตัวลงแล้วเขาจ้องเล่นงานอยู่ก็มีโอกาสพลาดได้ ให้หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจติดตัวไว้ อย่างติด สมเด็จองค์ปฐมไว้ หรือไม่ก็หลวงพ่อสมเด็จคำข้าว หลวงพ่อสมเด็จหางหมาก กันได้แน่นอนเลย แต่ต้องอาราธนาทุกวันนะ ตั้งใจสวดมนต์อาราธนาขอบารมีพระคุ้มครอง พวกนี้ทำมาก็ด้านไปเอง
       ถาม :   แล้วอย่างนี้เสน่ห์ยาแฝดก็มีจริงสิคะ?
       ตอบ :   มีจริง ๆ จ้ะ พวกนี้เป็นวิชาต่ำ แทบจะไม่ได้อยู่ในสายตาของนักปฏิบัติเลย นักปฏิบัติแค่ภาวนาอารมณ์ใจทรงเป็นปกติแค่เดินผ่านบางทีมันสลายไปเลย เป็นวิชาการขั้นต่ำ แล้วข้อห้ามมันเยอะ ห้ามกินฟัก กินแฟง กินน้ำเต้า กินผักกะเฉด โอ้ย...ของอร่อยทั้งนั้นสารพัดที่มันจะห้าม ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามลอดราวผ้า สมัยนี้ไปอยู่คอนโด ๒๐ ชั้นมันลอดไปกี่ชั้นล่ะ ก็เจ๊งน่ะสิ
               เพราะฉะนั้นพวกนี้ไม่ต้องกลัวหรอก ข้อห้ามเขาเยอะมันเสื่อมสลายได้ง่าย แต่ว่าถ้าดวงชะตาของเรามันตกส่วนของอกุศลกรรมให้ผลบางทีตรงจังหวะเขาเฉ่งเรา พอดีมันก็อาจจะโดนได้เหมือนกัน ถ้าโดนเข้าวิธีแก้ไขก็คือว่าหาผู้ที่ทรงความดีสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้ เป็นประจำที่เรามั่นใจ จะเป็นพระเป็นฆราวาสก็ได้ ให้เขาทำน้ำมนต์ด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คือ อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน ขออาราธนาบารมีพระขอให้ช่วย ทำลายไสยศาสตร์เสร็จแล้วกินหรืออาบก็ได้ หายเลย ฟังดูแล้วก็ง่ายไม่เห็นน่ากลัวเลยนะ
       ถาม :     ผู้ใหญ่แนะนำว่าให้ขอขมาพ่อแม่
       ตอบ :   ก็ดี แล้วไง? ควรจะทำ
       ถาม :   แต่ว่าไม่รู้จะทำวันไหน?
       ตอบ :  วันนี้ก็ได้ วันนี้วันวิสาขบูชา กัดฟันเดินเข้าไปพร้อมกับพวงมาลัยพวงสวย ๆ หนึ่งพวง กราบเท้างาม ๆ บอกว่าคุณพ่อเจ้าขา ความผิดทั้งหมดที่ลูกได้ล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ขอให้พ่อ อโหสิกรรมให้ลูกด้วยนะ ลูกรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ลูกได้ทำลงไปนั้นมันไม่ค่อยดี ต่อแต่นี้ไปจะตั้งใจทำดี จะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ต่อไป ทำไม่ยากหรอก ตอนแรกมันจะเขินจะอาย ถ้าทำได้สักทีนะ เรื่องอื่นเรื่องเล็ก
       ถาม :   กลัวพ่อเขาไม่เหมือนเดิม
       ตอบ :   ถ้าหากว่ามันเป็นกรรมที่เนื่องกันมาให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ  ถ้าท่านเอ่ยปากอโหสิกรรมให้กระแสมันจะขาดลงเลย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ยังไม่ได้ทำแล้วไปกลัวซะแล้ว
       ถาม :  หนูรู้ว่า...(ไม่ชัด)...ย่าหนูเขามีลูกอยู่ ๓ คนก็มีพ่อหนูหนึ่งในนั้น พ่อหนูก็ส่งเงินไปให้ย่าทุกเดือน แต่ว่าอีก ๒ คน ไม่ส่งให้เลยแล้วเขาก็ไม่เคยมาดูแลด้วย ภาระที่บ้านให้เป็นหน้าที่ของหนูหมดเลย
       ตอบ :   ดีแล้วไงเราจะได้บุญเยอะ
       ถาม :   ไม่ใช่ค่ะ หนูอยากทำไงก็ได้ให้เขาสนใจ จะได้ไม่ต้อง...(ไม่ชัด)...เวลาเขามาย่าเขามีความสุข
       ตอบ :   ถ้าอย่างนั้นเรามีเวลาก็พาย่าไปหาเขา
       ถาม :   ไม่ได้ค่ะ คือ ย่าเขาพิการ
       ตอบ :   อ๋อ..พิการ เป็นอะไร?
       ถาม :   เป็นอัมพฤกษ์ค่ะ
       ตอบ :   เป็นอัมพฤกษ์ใส่รถเข็นไป
       ถาม :   รถวิ่ง...(ไม่ชัด)...
       ตอบ :   นั่นแหละ เสร็จแล้วก็ไปบอกเขาว่านี่ขนาดย่าพิการยังมาเยี่ยมเขาเลย แล้วของเราดี ๆ จะไม่ไปเยี่ยมบ้างเรอะ
       ถาม :  คนที่อยู่บ้านติดกันเขาไม่ค่อยมาวุ่นวายสุงสิงอะไร เงินทองแต่ก่อนก็ให้เดือนละ ๕๐๐ บาทอย่างนี้ นี่ไม่ให้เลย แล้วก็ไม่เคยสนใจอะไรเลยค่ะ หลวงพ่อคะเขาเป็นยังไง?
       ตอบ :   ปล่อยวางได้ดีมากเลยนะ แสดงว่ากำลังใจดี แต่เสียไปหน่อยตรงที่ว่าไม่สนใจบุพการีของตัวเอง
       ถาม :   กรรมของคนที่ไม่สนใจพ่อแม่จะเป็นยังไงคะ?
       ตอบ :   ต่อไปตัวเองก็ไม่ได้รับความสนใจไปด้วย
       ถาม :   มั่นใจมากไหมคะ?
       ตอบ :   เท่าที่เห็นมากรรมที่ทำกับพ่อแม่เห็นผลทันตาทุกรายทันทีที่มีลูก  โดนบ้าง ทำอะไรไว้กับพ่อกับแม่นี่ แหม...ได้คืนเยอะกว่าเดิมเลยมีกรรมอันนี้แหละเท่าที่เห็นมาว่า มันทันตาในชาติปัจจุบัน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ๆ จ้ะใช่ไหม? ไม่มีใครหรอกที่จะรักจะห่วงเรายิ่งกว่าพ่อแม่อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างท่านทุ่มเทให้กับเราได้แม้กระทั่งชีวิต กว่าเราจะเกิดมาได้แม่เองก็แทบจะล้มประดาตาย กว่าจะเลี้ยงโตมาได้ไม่รู้ว่าพ่อเราเหน็ดเหนื่อยเท่าไร ทุกสิ่งทุกอย่างท่านหามาให้เราตลอด เท่ากับว่าท่านให้เราทั้งชีวิตเลย
               เพราะฉะนั้นบุญคุณของท่านมันนับไม่ได้ โบราณท่านว่า เอาโลกเป็นปากกา เอาฟ้าเป็นกระดาษ ยังเขียนไม่หมดเลย เพราะฉะนั้นคนที่ทอดทิ้งพ่อแม่ ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ ต่อไปเขาเองก็ต้องเจอกรรมอย่างนั้นบ้างแล้ว พอลูกหลานทอดทิ้งเขาเมื่อไหร่เขาจะนึกถึงจุดนี้
              ของจีนเขามีนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับว่าลูกเห็นว่าพ่อแม่แก่แล้ว ทำประโยชน์อะไรไม่แล้วนอกจากอยู่กินไปวัน ๆ หนึ่ง ก็จัดแจงหากะลามาส่งให้บอกให้ไปขอทาน ทีนี้คนแก่คนเฒ่าก็อย่างว่า เสียใจแต่ว่าลูกไม่เลี้ยงก็ไม่รู้จะทำอะไรก็ไปยึดอาชีพขอทานปรากฏว่าตัวลูก นั้นน่ะเขาก็มีลูกเหมือนกันแต่ลูกยังเล็ก ๆ อยู่วันหนึ่งก็เห็นลูกมันนั่งขัดกะลาเล่นอยู่ก็ถามว่า ทำอะไรน่ะลูก? เขาบอกว่า เตรียมกะลาไว้ถ้าพ่อแม่แก่จะให้ไปขอทาน ตัวพ่อสะดุ้งแปดตลบเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำไม่ดีกับพ่อแม่รีบไปตาม ตามคืนมา นั่นยังแก้ตัวได้ทัน ถ้าแก้ตัวไม่ทันนี่เจอแน่ ๆ ลูกมันเตรียมไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ถึงมันจะเตรียมแบบไร้เดียงสาก็เถอะ แต่มันกระทบใจพ่อแม่อย่างแรง เลยใช่ไหม? ตัวเรานี่ไม่แคล้วแน่ รีบไปตามคืน
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

#2
http://grathonbook.net/book/9.3.html

ถาม :  วันนั้นหนูฝันว่าเพื่อนหนูได้ให้พระมา เป็นพระ...(ไม่ชัด)...แล้วทีนี้หนูก็เอาไปไว้บนหนังสือน่ะค่ะ ก็วางไว้ตรงนั้นแหละค่ะ แล้วฝันว่าตื่นมาอีกทีพระองค์นั้นเป็นขุยยุ่ยเหมือนขนมปังเลย
       ตอบ :    แล้วในฝันทำยังไง...กินเลย?
       ถาม :   เปล่าค่ะ หนูก็รู้สึกเสียดาย หนูยังไม่ได้ไปทำอะไรเลย
       ตอบ :  ตื่นขึ้นมาดีใจแทบตายยังไม่เป็นไรเลยใช่มั้ย? นั่นท่านอาจจะเตือนว่าจะทำอะไรที่มันเหมาะสมกว่านั้น ดีกว่านั้นในการบูชาท่านก็รีบทำซะ อย่าเอาไปทิ้งไว้อย่างนั้นมันเหมือนกับว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยเดี๋ยวมันจะเกิดโทษ
       ถาม :   ตอนนี้หนูใส่กล่องไว้แล้วค่ะ
       ตอบ :    หาทางไปเลี่ยมใส่ตัวไว้สิ ใช้ควบกับคาถาเงินล้าน ต้องการเงินเท่าไหร่ก็มี อันนี้กล้ายืนยัน สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากนี้จะให้ลาภหนักมาก โดยเฉพาะสมเด็จคำข้าวนี้จะถนัดทางลาภเป็นพิเศษ
       ถาม :   ท่องคาถาเงินล้านก่อนใช่ไหมคะถึงค่อยเอาไปเลี่ยม?
       ตอบ :    ไม่ต้องหรอก เลี่ยมเสร็จเอามาห้อยคอท่องคาถาเงินล้านทุกวันให้ประจำไว้
       ถาม :   ท่อง ๙ จบ
       ตอบ :    ๙ จบ! โอ้โห...เยอะจัง สมัยก่อนที่อาตมาท่องนี้อย่างต่ำก็รอบหนึ่ง ๓๐๐ จบต่อวัน มันมีเยอะกว่านั้น
       ถาม :   พระที่เขาให้มาเขาก็แนะนำให้หนูท่องวันละ ๑๐๘ จบ
       ตอบ :    ดีมั้ย?
       ถาม :   หนูยังท่องไม่ได้
       ตอบ :    ลมใส่! ๑๐๘ จบมันจะเท่าไหร่ ๙ ครั้ง ๑๒ หน
       ถาม :   แล้วได้อานิสงส์เยอะไหมคะ?
       ตอบ :    อย่างน้อย ๆ ก็ได้อานิสงส์ตรงจุดที่ได้สวด อันนี้พูดเล่นจ้ะ ถ้าหากว่าสวดมากแล้วกำลังใจมั่นคงทรงตัว ไม่ได้ทำเพราะความโลภนะจะได้ผลมากจริง แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอจริงจัง อย่าไปทำๆ ทิ้งๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้ ๑๐๘ จบ พรุ่งนี้เหลือ ๘ จบ ต้องทำเสมอกัน
       ถาม :   แล้วถ้ายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก แล้วสวดมันดีไหม?
       ตอบ :  อย่างน้อย ๆ ก็ได้อนุสติในพุทธานุสสติ เพราะทุก ๆ อย่างนี้ขึ้นอยู่กับอิติปิโสภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็คือ พระพุทธเจ้านั่นแหละ
       ถาม :   ............
       ตอบ :    คนป่วยได้เปรียบกว่าเรามากตรงจุดที่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันน้อย เหตุที่น้อยเพราะนอนแบ็บอยู่กับที่จะไปรักใครล่ะ จะไปโลภอะไร มันก็เอาไม่ได้แล้วนี่ อัมพาตกินอยู่อย่างนั้นจะไปโกรธใครก็คงได้แต่โกรธตัวเอง โกรธลูกโกรธหลานก็โกรธไม่ได้เพราะรักเขามากกว่า คราวนี้ที่ว่าหลงคงไม่หลงเพราะเห็นอยู่แล้วว่าร่างกายมันไม่ดี ถ้าได้รับคำสอนที่ถูกต้องไปบางทีทำใจได้นี่ดีไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าว่าคนป่วยได้เปรียบกว่าเราตรงที่เขาเห็นทุกข์ชัดเจน เมื่อเห็นทุกข์ชัดเจนแล้วได้คำสอนของหลวงพ่อไปอย่างนี้ถ้าตัดสินใจทำตามดี ไม่ดี เป็นพระอรหันต์เอาง่ายๆ
       ถาม :   ถ้าหลงก็ไม่หลงอะไรหรอก หลง ๆ ลืม ๆ
       ตอบ :    นั่นแหละ ยิ่งจำเป็นใหญ่เลยเปิดเราฟังด้วย ย่าฟังด้วย ถ้าย่าถามว่าเปิดทำอะไรก็บอกว่าหนูอยากฟัง หนูชอบฟัง
       ถาม :   ชอบเอาหนังสือธรรมะไปอ่านให้เขาฟัง
       ตอบ :    คราวนี้ไม่ต้องอ่านหรอก เอาเทปดีกว่าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ถ้าหากว่าท่านเกาะเสียงพระ เสียงหลวงพ่ออย่างน้อย ๆ ก็ได้ดี ถ้าทำใจได้ยิ่งได้ประโยชน์มาเข้าไปใหญ่
       ถาม :   เขาจะหลับท่าเดียวเลยค่ะ
       ตอบ :    ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้าหากว่าเขาฟังแล้วกำลังใจเกาะเสียงพระแม้แต่นิดเดียวหลับไปตอนนั้นถือว่าทรงอนุสติเลยนะ ถ้านึกถึงพระพุทธก็เป็นพุทธานุสสติ เกาะในเสียงธรรมะเป็น ธัมมานุสสติ ถ้ารู้ว่าพระกำลังเทศน์ให้ตัวเองฟังก็เป็นสังฆานุสสติ ตอนนั้นได้เปรียบมหาศาลเลย
       ถาม :   หนูจะทำยังไงให้เขามีความสุขมากกว่านี้ล่ะคะ?
       ตอบ :  วิธีนี้แหละ ถ้าหากว่าเขาตายไปรับรองว่ามีความสุข สุขแน่ ๆ เลย เพราะตายแล้วไปดี หลังจากนั้นดีไม่ดี จะมาขอบคุณ คุณหลานจนหัวโกร๋นไปเลย มาเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน รักมากเหลือเกินอุตส่าห์ส่งให้ย่าไปได้ถึงขนาดนี้
       ถาม :   ..............
       ตอบ :  เอาไปเติม เทใส่โอ่ง น้ำทั้งโอ่งจะได้เป็นน้ำมนต์ไปด้วย ถ้าเวลาเราจะใช้ก็ใช้ของใหม่ ถ้าเอาน้ำมนต์เก่าเททับน้ำมนต์ใหม่ไปอย่างเช่นมีน้ำในโอ่งแล้วเอาน้ำมนต์เท ลงไปก็เป็นทั้งโอ่ง แต่ถ้าหากว่าเราเอน้ำใหม่เททับน้ำเก่าที่เป็นน้ำมนต์ก็เป็นอันว่าจบกัน หมดอานุภาพอย่าเอาน้ำใหม่เททับน้ำมนต์ ใช้น้ำมนต์เททับน้ำใหม่ จะเติมเรื่อย ๆ เท่าไหร่ก็ได้ ใช้ได้เรื่อย ๆ
       ถาม :   เหมือนเติมหัวเชื้อลงไปเหรอคะ?
       ตอบ :    อย่างนั้นแหละ แต่ใช้น้ำมนต์เติมใส่น้ำ อย่าเอาน้ำไปเทใส่ไปเหอะ ทำซะหน่อย   
       ถาม :     (ถามเรื่องอุทิศส่วนกุศลให้เทวดา แล้วขอให้ท่านช่วย)
       ตอบ :    ไม่ถือว่าเป็นสินบน เพราะว่าตัวนี้อย่างน้อยๆ มันก็เป็นตัว ปัตติทานมัย ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับคนอื่นเขา ยิ่งเวลาเดินทางนี่อาตมาก็ให้ประจำ ตั้งใจว่าบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ปกปักรักษาตลอดเส้นทางที่ลูกเดิน ทางในครั้งนี้ จะเป็นกาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา ก็ดี ตลอดจนเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ตลอดสองข้างทางก็ดี กุศลบารมีใดที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอเธอทั้งหลายจงโมทนา จะได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขเท่าไรขอให้เธอทั้งหลายได้รับด้วย ตั้งใจอย่างนี้แทบทุกครั้ง ต้องใช้คำว่าถ้าไม่ลืมนะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ลืมหรอก เพราะขึ้นรถภาวนาปั๊บนึกขึ้นมาได้ อ้อ ! เขาจะมาก็ให้เขา
       ถาม :     ไม่จำเป็นว่าต้องใช้ระหว่างไปต่างจังหวัด ใช้ระหว่างจากบ้านไปทำงานแบบนี้ได้มั้ยคะ?
       ตอบ :    ได้ เหมือนกันหมด ก็บอกแล้วตลอดระยะทางที่เราเดินทางในวันนี้ง่ายดี
       ถาม :     หนูโดนจับบ่อย โดนตำรวจจับน่ะคะ
       ตอบ :  (หัวเราะ) ใช้วิธีนั้นแหละ พอถึงเวลาแล้วก็ช่วย สงเคราะห์ให้ได้ แต่ว่าไอ้ที่บอกว่าให้ช่วยสงเคราะห์นี่ โน่นแน่ะ พอเข้าตาจนแล้วค่อยขอ
       ถาม :     อย่างเราถวายของในบาตรนี่เป็นพุทธบูชาเลยใช่มั้ยคะ? (บาตรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ)
       ตอบ :    จ้ะ โดยเฉพาะถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ท่านลุงพระยายม เคยบอกไว้ว่า บุคคลที่เคยถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ทำอนันตริยกรรมทั้งห้า คือ ไม่ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะพยายามดลใจให้นึกถึงความดีให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ให้ไปรับกรรมดีก่อน 
               แต่ถ้าหากว่าเราไปทำอนันตริยกรรมห้าอย่างนี้เข้า ท่านอยากจะช่วยก็คงช่วยไม่ไหว ดูอย่างเมณฑกเศรษฐี ถวายทองคำเท่าปีกริ้นบูชาพระรัตนตรัยอันนั้นเขาเกิดมาชาติใหม่นี่รวยจนนับ ไม่ได้เลย แก้ว แหวน เงิน ทอง นับไม่ได้อย่างคนอื่นเขา ต้องใช้ตวงเอาเป็นเกวียนๆ ว่ามีกี่เกวียนไอ้ประเภทกี่บาทกี่สตางค์ไม่ต้องนับเลย
              คราวนี้ของเรา เราถวายบูชาโดยตรง ถวายบูชาโดยตรงอานิสงส์ใหญ่มาก ถึงเวลาท่านให้พรไว้อย่างนั้นก็กลายเป็นว่าท่านจะพยายามช่วยให้เราไปรับความ ดีก่อน พอถึงเวลาที่เราไปรับความดี กุศลเดิมทั้งหมดที่เคยทำมาจะเป็นตัวส่งผลให้เราอยู่ที่นั่นในระยะเวลาที่ยาว นาน ช่วงนั้นถ้าไม่รู้จักต่อความดีก็สมควรลงใหม่ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่พอขึ้นไปแล้วก็หนีกันสุดขีดไม่มีใครเขาอยู่กันหรอก
       ถาม :     หลวงพี่พักกี่โมงคะเนี่ย?
       ตอบ :    สามทุ่ม
       ถาม :     ทุกครั้งเลย?
       ตอบ :  ทุกครั้งจ้ะ จะนั่งยาวประมาณเจ็ดโมงไปลุกเอาสามทุ่มส่วนใหญ่เขามากันตั้งแต่ตีห้ากว่า หกโมงเขามากันแล้ว พวกที่มาเลี้ยงอาหารเช้า เราเองมันจำเป็นต้องตื่นตามเวลา เพราะว่าต้องทำวัตรสวดมนต์ของเราก่อน งานพระทิ้งไม่ได้ หลวงพ่อท่านเคยเตือนเอาไว้ว่า การสวดมนต์ กรรมฐาน บิณฑบาต เป็นงานของพระ งานอื่นถึงสำคัญขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงวาระเวลาให้วางงานนั้น แล้วมาทำงานนี้ก่อน ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าพวกแกตั้งใจสวดมนต์ทำวัตร อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป ปากสวดปาว ๆ อยู่ใจมันจะคิดชั่วขนาดไหนมันคงทำไม่ได้หรอก คือย่างน้อย ๆ เราก็ประเภทได้ดีอยู่แป๊บหนึ่งล่ะ (หัวเราะ) นั่นล่ะสะสมความดีทีละนิดทีละหน่อยเดี๋ยวก็เต็มไปเอง ลักษณะนั้นแหละคือท่านบังคับให้ดี
              ก็มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมา ท่านสั่งงานสามข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งท่านบอกว่าให้ทำวัตรสวดมนต์อย่าให้ขาด แล้วอีกสองข้ออะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ เพราะอีตอนนั้นน่ะคิดว่า ความจำเราดีสั่งยาวกว่านี้ก็ยังจำได้ แค่สามข้อเรื่องเล็ก ไปประมาทลืมคำครูไปหน่อย ไม่ได้จด ตื่นเช้าขึ้นมา พอตะวันขึ้นปุ๊บนี่แคะยังไงก็แคะไม่ออก ได้ข้อเดียวแหละ ยังสมน้ำหน้าตัวเองอยู่จนทุกวันนี้
       ถาม :     ตอนนี้ยังจำไม่ได้เหรอคะ?
       ตอบ :    นึกไม่ออกจริง ๆ เพราะเรื่องของพระเรื่องของเทวดา ถ้าทอดระยะนานไปจะเลือนไปเลย
       ถาม :     แล้วท่านได้มาเตือนซ้ำมั้ยคะ?
       ตอบ :    ไม่ซ้ำนะ เรื่องของท่านนี่ไม่มีคำว่าซ้ำเลยนะ ครั้งเดียวจริง ๆ ประเภท ถ้าจำไม่ได้ต้องถามตอนนั้น ถ้าหากว่าถามแล้วไม่จดเอาไว้ไปถามซ้ำไม่บอก ก็กลายเป็นว่ากระดาษกับปากกาต้องอยู่ใกล้บางทีก็ตื่นขึ้นมากลางคืน มัวแต่เปิดไฟไม่ได้เดี๋ยวลืม เขี่ย ๆ ไว้พอมีเลา ๆ ก่อนแล้ว เสร็จแล้วค่อยเปิดไฟมาเอารายละเอียดซะหน่อยหนึ่ง มันจะได้เตือนความจำได้ แล้วรุ่งเช้าค่อยไปลอกใส่สมุดบันทึก ต้องใช้วิธีนี้ บางทีท่านก็เล่นตลกมาถึงก็เขียนหวยให้ ท่านสั่งห้ามให้หวยแล้วท่านเขียนมาหน้าตาเฉย
       ถาม :     แล้วหลวงพ่อทำยังไงคะ?
       ตอบ :    ก็ประเภทรับรู้ไว้เฉย ๆ ถึงเวลามา ดูซิมามั้ย? ก็มาจริง ๆ
       ถาม :     แต่ไม่ได้บอกญาติโยม?
       ตอบ :    บอกไม่ได้เพราะว่าท่านสั่งห้ามมาตั้งแต่แรกแล้ว
       ถาม :     แล้วเราจะพูดเป็นนัย ๆ อย่างนี้ได้มั้ยคะ?
       ตอบ :  ก็ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไอ้เรื่องที่ท่านห้ามเอาไว้แล้วนี่แล้วกันไปเลยดีกว่า หรือท่านเองท่านอยากจะรู้ว่าเราจะอกแตกตายมั้ยเวลาท่านบอกนี่นะ (หัวเราะ) เราจะทำใจได้มั้ย? รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่งั้นมันไอ้สมัยก่อนมันคันปากยิก ๆ อยากจะบอกเขา ไอ้สมัยนี้มันเลยคันแล้วเหนื่อย ขืนบอกแล้วคนมันมาเยอะจะลำบาก แล้วระยะหลัง ๆ นี่เจอประเภทที่ตะเกียกตะกายมาจากซอกไหนมุมไหนก็ไม่รู้ มันจะเอาแต่หวยท่าเดียว พวกนี้ไม่อยากจะคบเลย เจอหน้าแล้วอยากจะไล่เลย แต่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพระแล้ว โดยมารยาทแล้วขับไล่โยมอย่างงั้นไม่ได้นี่ ไล่เตลิดไปเลย
       ถาม :     ไม่เอาธรรมะเลยนะคะ?
       ตอบ :  เขาไม่เอาเลย แต่ว่าพอไปดู ๆ อย่างสมัยหลวงพ่อนี่ที่ไปเอาธรรมะก็นับว่าเป็นส่วนน้อยใช่มั้ย? บางคนไปเพราะอยากได้หวย บางคนไปเพราะอยากได้เครื่องรางของขลัง บางคนไปเพราะหลวงพ่อดังอยากจะไปดูว่าหลวงพ่อเป็นยังไง บางคนไปเพราะตามเพื่อนไป บางคนไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าวัดนี้ฉันก็ไปแล้วนะ ไอ้ที่ไปเอาธรรมนั้นมันน้อยเต็มที นั่นแหละคอยสังเกต ๆ อยู่ เสร็จแล้วก็นั่งหัวเราะ หลวงพ่อบอกว่า เออ...ดูเป็นเหมือนกันนี่หว่า (หัวเราะ) ท่านอยากจะรู้ว่าเรา มันพอจะนึกออก ดูออกบ้างมั้ยว่าที่มาหาท่านเป็นคนประเภทไหนบ้าง พอถึงเวลาสรุปเสร็จท่านก็หัวเราะ เออ...ดูเป็นเหมือนกันนี่หว่า
              ไอ้ที่สังเกตน่ะเริ่มสังเกตจากบ้านตัวเอง พี่ ๆ น้อง ๆ มาหาหลวงพ่อทุกคนแต่กำลังใจไม่ค่อยเท่ากันหรอก เพราะฉะนั้น พอสังเกตจากบ้านตัวเองเสร็จ ก็เริ่มสังเกตคนอื่น โดยเฉพาะตอนแม่ชม้อยไง พอแม่ชม้อยโดนจับ สองเดือนแรกสายลมแทบแตก คนไปเยอะกันขนาดนั้น คือจากที่เคยไปปกติเพิ่มสักห้าเท่าได้มั้ง เสร็จแล้วพอเดือนที่สามแม่ชม้อยไม่ออกจากคุกหายไปครึ่งหนึ่ง พอเดือนที่สี่เกือบหมด สองคนนั่งอยู่ข้าง ๆ กับ ลุงพุฒ ช่วยกันรับสังฆทาน ช่วยกันแจกของแทนหลวงพ่อไง นั่งมองหน้ากันลุงอย่าหายไปไหนเป็นอันขาดเชียวนะ ที่เขาเห็น ๆ หน้ากันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าหายไปนี่คนอื่นมันไปกันมากกว่านี้อีก (หัวเราะ)
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.4.html

ถาม :     ลุงพุฒตอนนี้นี่ ไม่เห็นเลยคะ
       ตอบ :   ระยะหลังนี้ลุงพุฒแกติดงาน เพราะว่าแกขับรถให้เจ้านายที่โรงงานประจำ แล้วแกต้องไปจอดรถที่วัดเทพศิรินทร์ แกเลยไปภาวนาที่วัดเทพศิรินทร์ ก็ถือว่าหลวงปู่อยู่นั่น ท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่นั่น ระยะหลังนี่ลุงพุฒก้าวหน้าเยอะเลยนะ โดยเฉพาะตัวทิพจักขุญาณ บางที หลวงปู่มั่น ผ่านมา ไม่ทราบว่าท่านจะไปไหนน่ะ ก็หยุดสอนก่อน ลุงพุฒบอกว่า แหม ดีใจจังเลย เพราะท่านผ่านมาแท้ ๆ ท่านยังอุตส่าห์เมตตาและมาบอกเราก่อนว่าต้องทำยังไง
               สมัยนั้นมีกันอยู่ไม่กี่คน ตอนที่ชวนบวชก็ได้แค่ลุงพุฒคนเดียว หลวงพ่อท่านต้องการสามองค์ไง พอไปชวนแล้ว คุณธรรมนูญ บอกเขาไม่ว่าง ช่วงนั้นเขายังติดราชการอยู่ ลุงพุฒเขาบอกโอเคผมบวชได้ ก็ไปด้วยกัน ไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า ได้แค่สองคนครับ ขาดคนหนึ่ง หลวงพ่อต้องหาเพิ่มแล้วครับ หลวงพ่อท่านบอกว่าแกจำไว้นะ คนของข้าไม่มีคำว่าขาด จริง ๆ ด้วย พอคนเขารู้ปุ๊บสมัครกันเข้ามาจากสามองค์กลายเป็นสามโหล สามสิบหกองค์ แป๊บเดียวเอง นั่นถ้าไม่ใช่รีบบวช คงจะเยอะกว่านี้อีก เพราะรุ่นหลัง ๆ อย่างรุ่น แสงชัย บวชนี่ร้อยแปดสิบ ร้อยแปดสิบนี่ตัดยอดนะ พวกติดสำรองเพียบเลย รอคนไหนไม่มา พอคนไม่มาปุ๊บ คนบน ๆ นี่ตีปีกโดดใส่เลย (หัวเราะ) อยากบวชมาก
       ถาม :    แต่ครั้งแรกที่เห็นท่านครองผ้าเหลืองแล้ว รู้สึกบอกไม่ถูก
       ตอบ :   จ้ะ ช่วงนั้นมีหลายคนที่เขาถาม เขาถามว่าแล้วพี่จะไม่รอคุณชม้อยเขาเหรอ ไม่ล่ะ ถ้าหากว่ายิ่งมันมีเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้น เราต้องยิ่งแสดงให้คนอื่นเขารู้ว่าของเราเอง เรารักเรามั่นคงในหลวงพ่อแค่ไหน คนอื่นที่เขามา เขามาเพื่อผลประโยชน์ถึงเวลาเขาก็ไป แต่ไอ้ของเรานี่เรามา เรารู้อยู่ว่าหลวงพ่อสอนอะไร สิ่งที่หลวงพ่อสอนให้พิจารณามาตลอดสิบเอ็ดสิบสองปีนี่ ไม่เคยเห็นท่านสอนผิดเลย โดยเฉพาะในด้านของธรรมะเราปฏิบัติอย่างไร มันก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอกทุกอย่าง
              เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นนี่ คุณไปคิดว่าหลวงพ่อบอกผิด หลวงพ่อบอกไม่ถูก เกิดอาการพลาดขึ้นมาแล้ว คุณชม้อยทำไมล้ม ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่า ไม่ล้มอะไรอย่างนี้ ไอ้เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของคุณจะคิด แต่ว่าเรื่องของผม ผมไม่คิดอย่างนั้น เพราะผมมาผมเอาธรรมว่างั้น
       ถาม :    แต่ว่าคุณชม้อยเขาก็ยังไปนะคะ
       ตอบ :   เขาไปอยู่เหมือนปกติอยู่
       ถาม :    เห็นไปอยู่ทุกวันจันทร์
       ตอบ :   คือจริง ๆ มันไม่ได้ผิดอยู่ตรงคุณชม้อย มันผิดตรงคนที่เอาเงินคุณชม้อยไป โอ้โห...ไปกว่าของเขาทีตั้งแปดพันล้าน คุณรวยขนาดไหนล่ะ ไปเอาเขาทีขนาดนั้น ต่อให้กิจการเขาดีขนาดไหนก็เจ๊งน่ะ เสร็จแล้วมารับปากอีกว่าให้ศาลยกฟ้อง พอบอกให้ช่วยให้ศาลยกฟ้อง
               คุณชม้อยส่งข่าวมาขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุงตลอด ทางด้านวัดก็จัดตึกขาวเอาไว้ ตึกขาวสี่ชั้นที่อยู่เยื้อง ๆ กับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ก็เตรียมสถานที่ พวกคุณผดุงเกียรติ คุณอะไรที่คุ้น ๆ กับคุณชม้อยซี้กันก็เตรียมรถจะไปรับ ปรากฏว่าศาลตัดสินมาสองพันกว่าปี หงายท้องตึงเลย
       ถาม :    แต่ก็อยู่ไม่นาน?
       ตอบ :  ไม่นานเพราะว่า กฎหมายตอนช่วงนั้นบอกว่าถึงจะมีโทษกี่ปีก็ตามก็ให้จำคุกสูงสุดยี่สิบปี คราวนี้ยี่สิบปีถ้าเป็นนักโทษดีเด่น นักโทษชั้นเยี่ยม ก็ลดโทษครึ่งหนึ่ง ก็เหลือสิบปี พอปีที่สองถ้าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมอีก ก็ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือห้าปี พอปีที่สามจะลดอีกครึ่งหนึ่งไม่ต้องลดแล้ว เพราะเขาติดมาสองปีแล้ว ปีที่ผ่านก็เป็นอันว่าคุณพ้นไป
       ถาม :    แป๊บเดียวเองนะ
       ตอบ :   ติดแค่สองปีกว่า ออกมาตั้งนานเนกาเลแล้ว ยังสร้างพระถวายที่วัดท่าซุงองค์หนึ่ง ได้ไปเดินดูมั้ยล่ะ?
       ถาม :    แล้วบางคนเขาติดตลอดชีวิตล่ะคะ?
       ตอบ :  ตลอดชีวิตนั้นส่วนตลอดชีวิต ของคุณชม้อยนั่นมันหลายคดีรวมกัน เพราะว่าคนไปฟ้องร้องเขาเยอะ พอรวม ๆ กันแล้วอายุความมันสองพันกว่าปี แต่สองพันกว่าปีมันไม่ใช่โทษจำตลอดชีวิต เขาก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาแล้วสูงสุดให้แค่ยี่สิบปี มันไม่ใช่โทษหนักแบบ โทษยาเสพติด หรือข่มขืนฆ่าคนอะไร พวกนั้นมันเป็นโทษอุกฉกรรจใช่มั้ย อุกฉกรรจเขามีคำตัดสินจำโทษตลอดชีวิตได้
       ถาม :    แล้วพวกจำคุกตลอดชีวิตนี่เขาจะได้ลดโทษมั้ยคะ?
       ตอบ :   ก็โอกาสมันมี ถ้าหากว่าเขามีการถวายฎีกาในหลวงท่านก็อาจลดโทษให้ถ้าเห็นว่าสมควร เขาก็ทูลเกล้ากันทุกปีนั่นแหละ 
       ถาม :     .........
       ตอบ :    สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ราว ๆ  พ.ศ.๓๒๕ ท่านส่งสมณทูต ๙ สายออกไปเผยแพร่พระศาสนา สายของพระโสณะ พระอุตตระเถระ นี่มาขึ้นที่นครปฐม สมัยนั้นนี่นครปฐมอยู่ชายทะเล แต่ตอนนี้มันงอกออกไปถึงชะอำ แสดงว่าช่วงสองพันกว่าปีนี้มันเล่นงอกออกไปสามจังหวัดเลยมั้ง ราชบุรี เพชรบุรี สองจังหวัด เพราะชะอำนี่มันติดกันหัวหินใช่มั้ย? หัวหินนี่ของประจวบ สองพันกว่าปีนี้ได้มาสองจังหวัด แล้วทำไมว่าสมัยโน้น ภูกระดึง อยู่ในทะเลจะเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย? มันก็เป็นไปได้ งอกมาเรื่อย ๆ ยาวออกมาเรื่อย
                ดูในเรื่องตาที่สามที่ ลามะรอปสัง ลัมปา ท่านเขียน ท่านลงไปฝึกมรณานุสสติ ในอุโมงค์ใต้ดิน มันขุดลึกเข้าไป จนบอกไม่ถูกว่าลึกลงไปใต้แผ่นดินมากเท่าไร เขาบอกว่าอากาศมันเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิต ถึงขนาดว่า ต้องถือทองไปแท่งหนึ่ง พอเดิน ๆ แล้วเอาทองจี้กับผนัง ไฟฟ้าจะแล่นปรี๊ดๆๆ ออกไปเลย พอลงไปถึงตรงนั้นแล้ว จะมีซากศพของบรรพบุรุษของทิเบตอยู่ ผู้ชายสูงสี่เมตร ผู้หญิงสูงสามเมตร ซากศพยังสมบูรณ์อยู่เพราะเขาเก็บเอาไว้ในที่ ๆ อุณหภูมิขนาดนั้นมันอยู่ตัวเลยล่ะมันแห้งถึงขนาดไฟฟ้าสถิตมันเกินทั่วไปหมด เชื้อโรคมันเกิดไม่ได้มันก็เลยไม่เน่า แล้วเขามีการปิดทองปิดอะไรด้วย ลามะรอปสัง ท่านไปนั่งสมาธิตรงนั้น เห็นอดีตชาติของตัวเองว่าในชาติที่เห็นผู้ชายผู้หญิงใหญ่ขนาดนั้นท่านก็เคย เกิด ชาติที่ท่านเกิดท่านบอกว่าทิเบตอยู่ชายทะเล
                คราวนี้พวกศึกษาธรณีวิทยาเขาบอกว่า อนุทวีปอินเดียนี่ แต่แรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ติด มันเป็นลักษณะ เหมือนประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันนี้ คือ เป็นเกาะขนาดใหญ่ ออสเตรเลียนี่เป็นทวีปเลยนะแต่เป็นเกาะ โดนแรงกดดันกับการเคลื่อนที่ของพื้นโลกจนกระทั่งชนเอากับทิเบต แล้วก็ดันเอาทิเบตลอยสูงขึ้นไปกลายเป็นเทือกเขาหิมาลัย จากพื้นที่ชายทะเลมันดันสูงขึ้นไปทีเจ็ดแปดกิโลเมตรนี่มันน่าคิดนะ มันไปตรงกันว่านักธรณีวิทยา เออ...เขาก็คำนวณของเขาถูก ขณะเดียวกันของท่านที่พอนั่งสมาธิไปเกิดอตีตังสญาน ย้อนหลังไปก็รู้ว่าสมัยนั้นท่านก็เกิดริมทะเลเหมือนกัน แล้วคิดดูว่าจากทิเบตลงมา มันตั้งกี่ประเทศกว่าจะมาถึงทะเล
       ถาม :    .............
       ตอบ :    เด็กสาว ๆ นะ คุณทิพวดี เหลืองตระกูล อยู่นครนายกภาวนาแล้ว เข้าถึงฌานได้เร็วมากกายทิพย์หลุดออกไปเลย แล้วเขาเอง เขาก็ไม่แน่ใจขั้นตอนอะไรต่าง ๆ ก็เลยมาถาม เคยมาที่นี่หนเดียว เขาไม่มาเยอะหรอก เขาเอาจริง (หัวเราะ) ถามครั้งเดียวแล้วมันทำเลยล่ะเป็นไง ถ้ามียังงี้มันก็น่าชื่นใจประเภทมาแล้วมาอีกก็ต้องเตรียมไม้เรียวไว้รอ มาถึงก็ฟาดเลย
       ถาม :    แก้ขันธมาร แก้ยังไง?
       ตอบ :    ขันธมารไม่ต้องแก้ แค่พิจารณาว่า ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ จะตายก็ช่างมัน เราจะทำความดีนะ หรือไม่ก็จับอยู่กับอานาปานสติมันจะกินได้น้อยมาก ไอ้ที่นั่งทนอยู่ทุกวันนี้จริง ๆ ก็คือว่ามันได้ด้วย ถ้ามันไม่ได้ ก็ไม่มาทนนั่งหรอก โอ้โห ! ทรมานทรกรรมวันหนึ่งสิบกว่าชั่วโมง ฟังแล้วซึมไปเลยมั้ย? เขามาครั้งเดียวเขาทำได้ขนาดเนี่ยะ เขาจะไปต่อสมาบัติ แปดแต่ต่อไม่ออก เหตุที่ต่อไม่ออก เพราะว่าพอถึงฌานสี่ปั๊บกายในมันจะหลุดไปเลย ตั้งภาพกสิณไม่ทัน บอกว่าถ้าได้ขนาดนั้นไม่ต้องมาเสียเวลาต่อหรอก ไปยาวเลยเป็นเราจะเสียเวลามาต่อมั้ย นั่นมันยิ่งกว่า สมาบัติแปดแล้วนะ สมาบัติแปดคือกำลังมันเท่ากันไง มันใช้กำลังของฌานสี่ในการพิจารณาคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณเลย แต่ว่ามันพิจารณาด้วยกำลังของฌานสี่มันก็เลยละเอียดมาก
                 ถ้าถึงอากิญจัญญายตนะฌานนี่ มันเห็นชัด ๆ เลยว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทุกอย่าง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่านกลาง ในที่สุดก็สลายหมดแม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่นิดนึงก็ไม่ ตอนนั้นพูดง่าย ๆ ว่าทั้งโลก ทั้งจักรวาลแสนโกฏจักรวาลนี่มันเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี มันรู้สึกว่ากำลังของมันกว้างไกล แต่ถ้าไปติดอยู่ตรงนั้นนี่มันแย่เลยมันก็ต้องต่อยอดไว้นิดหนึ่ง เออ! ตายก็ตายไป เราจะไปนิพพาน จบประกันความเสี่ยง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.5.html

ถาม :    เราต้องพิจารณา (ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :  ได้ ถ้าหากว่าเป็นอรูปฌานนี่ มันจะต้องตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน เพราะงั้นมันก็เลยต้องได้ฌานสี่ด้วย แต่คราวนี้ของเรานี่ยังไงล่ะ เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างไปมั่งก็ได้ มันไม่ได้ถึงขนาดนั้นเราก็พิจารณาไว้ก่อนใช่มั้ย? ถึงมันจะไม่เป็นอรูปฌาน มันก็เป็นวิปัสสนาญาณไปเลย เกิดปัญญาไปเลย หมดเรื่องไป
              สมัยนี้เสียท่าเด็กน่ะ โน่นแน่ะ ตัวเปี๊ยก มันไปเล่นที่วัดมาแล้วน่ะ (หัวเราะ) เด็กตัวขนาดเนี่ย กำลังใจมันไปถึงวัดมาแล้วนั่นน่ะ ใครว่าวัดไกล ตามญาติไปตามผู้ใหญ่ไป บอกเขาว่าเดี๋ยวคราวหน้ามาอีกนะ มาคะมา เด็กหญิงกำไร กำไรไม่ยอมขาดทุน ฟังแล้วชื่นใจ ของเขามามันเหมือนกันเดินรอยเดียวกันมาเลย แต่แรกทางบ้านเขา แม่เขาคุมมาเลย เพราะกลัวลูกเขาจะบ้า บอกไม่ได้บ้าหรอก สติมันดีกว่าโยมเยอะเลย (หัวเราะ) เขาแปลกใจว่าลูกเขาเป็นผู้หญิงรุ่น ๆ แท้ ๆ ทำไม ไม่กินไม่เที่ยวอย่างกับญาติโยมเพื่อนฝูงอย่างนั้นน่ะ ตั้งหน้าตั้งตา ภาวนาอย่างเดียว สติดีกว่าเยอะ ในท่ามกลางความวุ่นวาย เร่าร้อนของโลกนี้ เขามีสติรู้อยู่ว่ามันไม่ดี พยายามจะปลีกตัวออกจากมันคนที่คิดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ไม่ใช่บ้านะ ดีกว่าเราเยอะเลย   
              คอยดูนะนี่ปีที่แล้วมา นี่ปีนี้โทรมา เดี๋ยวดูว่าปีหน้าจะมีอะไรก้าวหน้ากว่านี้ พวกนี้ถ้าทำถึงตรงจุดนี้แล้ว ไม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์อย่างเรา ๆ นี่ได้เลย เพราะว่าครูบาอาจารย์ข้างบนนี่สำคัญกว่า กราบทูลถามตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หรือไม่ก็นู้น ถามหลวงพ่อก็ได้ ถามท่านแม่ก็ได้ ถามท่านปู่ก็ได้ ถามท่านย่าก็ได้ พวกเรานี่พอใกล้พระทีหนึ่ง กำลังใจดีทีหนึ่ง ของเขานี่อยู่ห่างก็ดีได้
       ถาม :  มันมีบารมีเก่าหรือเปล่าครับ?
       ตอบ :   มันมีส่วนด้วย แต่ขณะเดียวกัน จุดสำคัญที่สุดคือการกระทำที่ต่อเนื่อง พวกเรามันขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง พอเราทำ ๆ เสร็จ เราก็ทิ้งไปใช้ผลของมัน แหม ! รื่นเริงกระดี๊กระด๊า อารมณ์ใจดีจังใช่มั้ย สักพักเดียวพัง หน้าดำมาอีกแล้ว นั่นน่ะเราขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง ส่วนของเขา เขาทำต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ไปเรื่อย คนที่ทำต่อตามกันถึงมันจะเป็นโลกียฌาน ก็ตามกิเลสมันกินได้ยาก มันไม่เปิดโอกาสให้น่ะ ยังไง ๆ กูก็เกาะฌานเอาไว้ก่อน
       ถาม :  .........
       ตอบ :   .........ท่านบอกว่า ฉันไม่ยอมให้จิตเคลื่อนจากนิพพานแม้แต่วินาทีเดียว เป็นเราทำอย่างนั้นเครียดตายเลยใช่มั้ย?  แต่กำลังของท่านถึงท่านทำได้ ต้องให้มันต่อเนื่องตามกัน  ตอนนั้นนี่ปัญญามันชัดมากเลย มันรู้ว่าเปิดช่องแม้แต่นิดเดียว กิเลสมันจะตีเราอีท่าไหน แล้วถ้ามันตีเราได้แล้ว คราวนี้ตายแน่ 
                หลวงพ่อท่านบอกว่าประมาทคิดว่าได้สมาบัติแปดแล้วสบายมาก ปรากฏว่าวันนั้นมันพังโครมเดียวเหลือแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้นเอง ต้องใช้คำว่าอุปจารฌาน คือ มันหนักแน่นกว่าอุปจารสมาธินิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปฐมฌาน งัดยังไงก็ขึ้นปฐมฌานไม่ได้ ท่านบอกว่าไอ้บ้านมีแปดเสา อยู่ ๆ มันเหลือเสาแค่ครึ่งต้น มันจะโดนทับตายเอา นั่นน่ะประมาทนิดเดียวเอง   
              พอได้บทเรียนนี่เข็ด ไม่ยอมเปิดโอกาสให้มันอีกเลย ขืนเปิดโอกาสให้มันอีกเสร็จแน่ ๆ มันตีเรานี่มันไม่เลี้ยงนา มันจะเอาเราไว้เป็นบริวารของมัน มันทรมานสารพัดต้องดิ้นรนต้องต่อสู้ ต้องฝืน ทวนกระแสโลก ทวนไปทวนมาเหนื่อยก็ข้ามกระแสพักมันเลยหมดเรื่อง ข้ามฝั่งแล้วมันไม่ต้องไปทวนกับใครใช่มั้ย? น้ำแรงแค่ไหนก็พัดเราไปไม่ได้ ก็ขึ้นฝั่งไป
       ถาม :   อย่างนี้ถือว่า เขาคิดว่าเขาเป็นภิกษุณีแล้ว อย่างนี้ถือว่า ผิดมั้ย?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้ว มันเป็นไม่สมบูรณ์ ถ้าหากว่าทำตัวสูงกว่าเขาอย่างเช่นว่าในลักษณะของการได้รับการกราบไหว้บูชา ถ้าหากว่าเขากระทำในเจตนาเพื่อสงฆ์จริง ๆ อย่างเช่นว่า อาจมีการถวายสังฆทานถ้าหากว่ารับนี้ตัวเองไม่สามารถที่จะใช้ได้ ถ้าใช้นี่ผิด จะไปกินไปใช้ในลักษณะนั้นนี่ผิด เพราไม่ใช่สงฆ์ที่แท้จริงใช่มั้ย? ก็จำเป็นที่จะต้องเอาไปเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ถ้าเพื่อตัวเองเมื่อไรก็แปลว่าได้รับโทษแน่นอน
       ถาม :    ถ้าเพื่อส่วนรวม แต่ว่าฉันด้วย?
       ตอบ :  ส่วนหนึ่งมันต้องดูเจตนาคนที่เขาให้ ถ้าหากว่าเขาให้มาแล้วเราแบ่งไปใส่บาตรพระซะหมดเรื่องหมดราวไป ได้ที่เหลือแล้วค่อยมาว่ากัน ลำบากมาก
               ในปัจจุบัน ไม่ใช่แต่ภิกษุณีหรอก บรรดานักบวชด้วยกันนี่  ถ้าหากมีผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คือขาดความเป็นพระชั่วคราว กับผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิก คือ ขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ยังนุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ ถึงเวลาแล้วเข้าไปในพิธีของการบวชนั้น ไม่ว่าจะเข้าไปในฐานะของอุปัชฌาย์หรือในฐานะของคู่สวด หรือเข้าไปในฐานะของพระอันดับเพื่อให้ครบองค์สงฆ์ มีอยู่แม้แต่คนเดียวสังฆกรรมนั้นเสีย การบวชพระนั้นจะไม่เป็นพระเป็นแค่เณรเท่านั้น  มันก็จะไปซวยตัวคนบวชตัวเองเป็นแค่เณรแต่คิดว่าเป็นพระ แล้วไปกินร่วมกับพระนอนร่วมกับพระ ทำสังฆกรรมร่วมกับพระ ก็บรรลัยน่ะซิมันกลายเป็นโทษมากขึ้นทุกวัน ๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าบวชมาแล้วถูกต้องแล้ว ในปัจจุบันนี้มันมากต่อมากด้วยกัน  ไม่ใช่แต่ภิกษุณีบวชแล้วไม่เป็นภิกษุณีหรอก ภิกษุบวชแล้วไม่เป็นภิกษุก็เยอะ
       ถาม :    แต่ทีนี้คือ เจตนาเขาก็ไม่ทราบ?
       ตอบ :   เขาไม่รู้จริง ๆ มันเกิดโทษโดยไม่รู้ตัว แบบเดียวกับยาพิษไง กินรู้หรือไม่รู้มันตายเหมือนกัน อันตรายมากเลย 
               ที่วัดท่าซุงสมัยช่วงที่บวชอยู่มีอยู่สองปีติด กัน ที่ถึงเวลาวันเข้าพรรษาหลวงพ่อท่านจะสวดญัตติให้ใหม่ ต่อหน้าพระประธาน พระประธานคือพระพุทธเจ้า เท่ากับเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเท่ากับเป็นคู่สวด สวดญัตติให้ใหม่เลย ไอ้เราก็สงสัยข้องใจอยู่ ปรากฏว่าพระพี่ ๆ ท่านอาวุโสกว่า ท่านบอกว่า สังฆกรรมวันนั้นต้องมีพระที่ขาดความเป็นพระอยู่ด้วยแน่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีอยู่ ถึงเวลาพอเข้าพรรษาเหลือเฉพาะพระวัดของเรา ท่านก็เลยสวดญัตติให้ใหม่ เพื่อให้มาเริ่มต้นเป็นพระกันใหม่วันนั้นเลย มีอยู่สองปีติดกันประมาณปี ๒๕๒๙, ๒๕๓๐ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีอีก แสดงว่าสังฆกรรมครั้งหลัง ๆ นี้ บริสุทธิ์
               แต่ว่าอย่างว่าแหละ ถึงบวชแล้วถูกต้องกลายเป็นภิกษุไปแล้วปฏิบัติผิดโทษมันก็สาหัส ฟัง ๆ แล้วน่าหนักใจน่ะ ไปบวชเองซะหน่อยก็จะรู้ (หัวเราะ) พอบวชได้สามพรรษาอาตมามีความคิดว่า ที่เขาบวช ๆ กันได้จะชั่วจะดีอะไรก็ตาม ถ้ามันบวชได้นาน ๆ นี่ ยอมกราบเท้าได้ทุกองค์เลย เห็นมั้ย? จะดีจะเลวกราบได้ทั้งนั้น ทำไมเขาอึดขนาดนั้นอยู่ได้ยังไง กว่าเราจะปรับตัวให้เข้ากับศีลได้ ให้ลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ขยับตัวเมื่อไหร่ให้รู้ว่าศีลจะบกพร่องมั้ยนี่สามปีกว่า
               ดังนั้นมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่ หกปี ช่วงนั้นใครเอาลูกไปบวชกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องบวชสามปี ถึงจะให้บวช หลวงพ่อบอกว่าข้านึกว่าคนจะไม่มาบวชวัดบางนมโคแล้ว ปรากฏว่าบวชกันเยอะขึ้น บังคับว่าต้องบวชสามปี คือปีแรกศึกษาศีลในพระปาติโมกข์สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อให้ครบ ปีที่สองมาเริ่มขยายมาให้เกี่ยวกับอภิสมาจาร คือมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นศีลละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ศีลพระไม่ได้มีแค่สองร้อยยี่สิบเจ็ดนะ ถ้ารวมอภิสมาจารแล้วบานเบอะเลยล่ะ พอปีที่สามนี้รู้ครบทั้งสองอย่างแล้ว ทีนี้จะอยู่หรือจะสึกก็เชิญ
              เพราะฉะนั้น สมัยที่หลวงพ่ออยู่วัดบางนมโคนี่ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าคนเอาลูกไปบวชกันเยอะแล้วชอบใจด้วย เพราะหลวงพ่อท่านเข้มงวดอบรมดี ล่อซะสามพรรษาเลย ไม่สึกไปซะเยอะ (หัวเราะ) คนไหนหวังว่าลูกหลานจะสึกไปแต่งงาน หรือสึกไปทำมาหากินนี่กลายเป็นพระยาไปเลยก็มี
       ถาม :    แล้วมีคนสึกมั๊ย?
       ตอบ :  ท่านบอกแล้วว่า ถ้าหากว่าบวชที่ท่านก็ต้องสามปีแต่ถ้าหากว่าสามปีไปแล้วจะบวชหรือจะสึกท่าน ไม่ว่า เป็นเราได้ยินสามเดือนก็จะแย่แล้ว นี่สามปีจะไหวมั้ย? อกแตกตายพอดี
       ถาม :  คนที่กำลังเดินจงกรม ผมนึกไปนึกมา แล้วก็นึกว่าเวลาที่เขาเดินจงกรมเขาต้องจับลมหายใจยังไง พอนึกไปเรื่อย ๆ ผมว่าคนเดินจงกรมนี่ก็ต้องเหาะได้ซิทำอย่างนี้ มันก็ต้องเดินลอยไปในอากาศแล้วผมก็รู้สึกมันเหมือนกับเป็นจริงเป็นจัง แล้วอย่างนี้ผมฟุ้งซ่านหรือเปล่าครับ?
       ตอบ :   มันไม่ฟุ้งซ่านหรอก ทำถึงที่สุดจริง ๆ ถ้าพื้นฐานเก่าของวาโยกสิณมันก็ไปได้หรอก
       ถาม :    ........
       ตอบ :   ไม่ต้องแก้ เพราะว่าวิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น  ถ้าหากว่าคนหวงสมบัติ อยากจะแก้ต้องแนะนำเขาเกี่ยวกับเรื่องทานบารมี อย่างเช่นให้เขาทำบุญอย่างนี้มันจะค่อย ๆ ลด ละตัวนี้ลงไปได้ทีละน้อย ถึงมันจะช้า แต่ว่ามันยังดี เพราะว่า จะช่วยให้เขาสร้างสมบุญสร้างสมบารมีให้มากขึ้น ตัดตัวโลภ ตัวตระหนี่ให้น้อยลง แล้วพอระยะหลัง ๆ เดี๋ยวเขาก็ให้คล่องตัวเขาเอง คราวนี้มันสำคัญอยู่ตรงแนะนำนั้นแหละ เพราะว่าต้องดูว่าท่านชอบแบบไหน อย่างเช่นบางคนบอกให้สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ทำกฐิน ไม่ทำหรอกแต่ว่า หากให้เลี้ยงเด็กยากจนสงเคราะห์คนตาบอด ดีอกดีใจ อยากจะทำอะไรอย่างนี้ ต้องดูจังหวะให้ดี ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวพลอยจะโกรธเราไปด้วย
       ถาม :  แล้วก็เขาจะเป็นโรคเวียนหัวบ่อย ๆ มียาทาแล้วเหมือนจะเป็นเวรเป็นกรรมยังไงไม่ทราบ ต้องเวียนเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ยังไงไม่รู้ พอออกมานี่เขาเล่าให้ฟังว่า นอนอยู่บนเตียงคนไข้ข้างในนี้ร้อนมากเลย ร้อน ๆ เผาไหม้อยู่ข้างใน ส่วนข้างนอกในห้องนี่เย็น แล้วปวดหัวติ้ว ๆ ไปหมดเลย
       ตอบ :  พวกที่เป็นโรคปวดหัวประจำ มันเป็นเศษกรรมจากการผิดศีลข้อสุราเมรัย ในชาติก่อนนี้กินระเบิดเถิดเทิงเลยนั่นน่ะ แต่ขนาดนั้นยังเรียกว่าน้อยนะ พวกโรคปวดหัวประจำนี่ถือว่ากินน้อย ถ้าหากว่าพวกที่เป็นโรคประสาทนี่กินปานกลาง ถ้าบ้าเลยนี่กินเยอะ เพราะฉะนั้นอย่างนั้นน่ะ ถือว่าน้อยนะ เศษกรรมมันตามมา
       ถาม :    แล้วชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้านี่มีจริงหรือเปล่าคะ?
       ตอบ :  มีซิ เมื่อวานมีมั้ย? แล้วพรุ่งนี้มีมั้ย? แบบเดียวกัน ชาติก่อนก็มี ชาตินี้ก็มี ชาติหน้าก็มี อยากพิสูจน์นี่ฝึกให้ได้แล้วไปดู จะได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไรมา แต่ละชาติจนที่สุดก็จนแล้ว รวยที่สุดก็รวยแล้ว มีอำนาจก็มีแล้ว ได้วาสนาก็เป็นแล้ว มันจะเบื่อจะได้เข็ดซะที อะไรอย่างนี้ ดีไม่ดี มันก็คิดจะหล่อซะเอง ไม่ใช่มีแฟนหล่อนะ ขอเกิดใหม่ หล่อซะเองอยากเป็นผู้ชายมั่ง
       ถาม :    มีความรู้สึกว่าไม่ถูกกับพ่อเลย
       ตอบ :   หา...ไม่ต้องถูก อยู่ห่าง ๆ ไว้ บางคนเป็นในลักษณะนั้นคือเกิดมาแล้วเขาไม่ชอบหน้า ไม่จำเป็น เรา ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาเป็นปกติ ต่อไปกรรมตัวนี้จะค่อย ๆ คลายตัวลง อยู่ครอบครัวเดียวกันมันต้องมีกรรมเนื่องกันมามันถึงเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกัน แต่ว่าขณะเดียวกันในชาติก่อนเราอาจทำผิดคิดร้ายอะไรไว้ ทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้ารา แต่ว่ากรรมทุกอย่างถึงเวลาถึงวาระมันจบลงมันสิ้นลง ถึงวาระมันสบายตัวลงได้ 
              เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปโกรธไปเกลียดอะไรท่าน นึกซะว่าเราทำไม่ดีเอง ถึงได้เจออะไรลักษณะอย่างนี้ ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับท่านสงเคราะห์ท่านอยู่ตลอด ทำบุญเมื่อไรก็นึกถึงท่าน ให้ช่วยด้วย ขอให้ผลบุญอันนี้ขอให้พ่อหายโกรธหายเกลียดเราซะที ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวดีขึ้นเอง แล้วของเราถูกมั้ย
       ถาม :    (ฟังไม่ชัด-ถวายข้าวพระพุทธ) ทานได้หรือเปล่าคะ?
       ตอบ :   ได้ ถ้าหากว่าเป็นข้าวที่ถวายพระพุทธรูปในบ้านของเรา ลามาแล้วก็กินได้เลย แต่ถ้าหากเป็นพระพุทธรูปในวัดกินเมื่อไรก็ชำระหนี้สงฆ์ซะดี ๆ ไม่งั้นติดหนี้แน่ ๆ บรรดามัคทายักน่ะมันเอาบ่อยข้าวดี ๆ กับข้าวดี ๆ เอาไปถวายพระพุทธรูป แล้วเสร็จแล้วพอถึงเวลามันลาไปฟาดเอง อย่างนั้นติดหนี้สงฆ์อยู่ทุกวัน ถ้าเป็นที่บ้านไม่เป็นไร แล้วอีกอย่างหนึ่งมีหลายคนที่ตั้งใจใส่บาตรที่หน้าบ้านตัวเองแล้วพระไม่มา ลักษณะอย่างนั้น ถ้าตั้งใจจะใส่จริง ๆ แล้วไปวัดเลย ไม่ทันเข้าก็ถวายเป็นอาหารเพลไป แต่ถ้าเวลาไปวัดเองไม่มี ก็กินเองซะเลย เอาไปถวายพระพุทธรูป เอาอานิสงส์ซะหน่อยหนึ่งก่อน เมื่อพระสงฆ์ไม่มานี่นะ ถวายพ่อใหญ่ไปเลย หมดเรื่องไป อันนั้นยังถือเป็นของ ๆ เราอยู่นะ กินได้ไม่เป็นไร
       ถาม :    แล้วเวลากรวดน้ำคะ จะแผ่ส่วนกุศลให้ใครได้บ้างนอกจากญาติมิตร?
       ตอบ :  สารพัด สารเพเลยจ้ะ สรรพสัตว์ทุกภูมิทุกเหล่าถ้าใครโมทนาได้ ก็ให้มาโมทนา แต่ถ้ามาให้ญาติให้โยมของเรานี่ ถ้ารู้จักชื่อนามสกุลให้ตรง ๆ ไปเลย เพราะถ้าท่านกำลังน้อยเดี๋ยวจะแย่สู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าให้คนอื่นไปแล้วเราจะให้ใครอีกเท่าไหร่ก็ได้ ผลบุญนั้นไม่ลดลง ยิ่งเยอะยิ่งดี ตัวเราจะได้ตัวเมตตาบารมีเพิ่มขึ้น
       ถาม :    แล้วพระที่เดินซื้อซีดีที่คลองถมคะ บาปมั้ยคะ?
       ตอบ :   จะไปบาปตรงไหนล่ะ ท่านไม่ขโมย เพียงแต่ว่าอย่าเป็นซีดีหนังโป๊แล้วกัน
       ถาม :    มันรวม ๆ ปน ๆ กันคะ?
       ตอบ :  จ้ะ แต่ถ้าหากเป็นซีดีเพลงจะไปฟังด้วยอะไรด้วยก็บรรลัยเลย ตอนซื้อนะไม่บาปหรอก แต่ถ้าเป็นหนังไปนั่งดู ไปนั่งเชียร์หรือว่าเป็นหนังโป๊ไปนั่งเพลินน้ำลายยืดไปเลย หรือว่าเป็นเพลงอะไรมัน ๆ แทบจะเต้นเองก็โอเค ตอนซื้อไม่บาปหรอก ไปบาปตอนทำ ตอนฟัง ตอนดูใช่ไหม? แต่ส่วนใหญ่เจตนา เป็นอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ?
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.6.html

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
          ถาม :    ......
       ตอบ :   ลักษณะนี้ที่ไหนมันก็มี โบราณเขาถึงได้บอกว่า 
               อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี        แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
               จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย       ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน (หัวเราะ)
       ถาม :    ทำไมเราพูดแล้วเขาหาว่าเราแต่งเรื่องแต่เขาพูด (ฟังไม่ชัด).....?
       ตอบ :  หน้าฉากของคน กับไอ้การกระทำมันส่วนใหญ่คนละอย่างกัน เขาว่าปากหวานแล้วก็ก้นเปรี้ยว ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ บางทีเขาเห็นเรารายได้ดีอะไรดี เขาก็อิจฉาเอา เป็นเรื่องปกติ
       ถาม :    เขาทำของเรามั้ยครับ?
       ตอบ :   ถ้าเรื่องนั้นกลัว หาสมเด็จองค์ปฐมให้ได้แล้วตั้งใจบูชาทุกวัน ผู้ใดบูชาสมเด็จองค์ปฐม ใครคิดร้ายจะแพ้ภัยตัวเอง นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก วัน ๆ เราสวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็ยืนยิ้มขายของได้ ใครมันกลั่นมันแกล้งอีท่าไหน มันจะรับเละคืนไปหลายเท่าเลย
       ถาม :    หนูอ่านหนังสือไม่ได้ ไม่ได้เรียนมา
       ตอบ :   อ่านหนังสือไม่ได้ก็ไม่ว่า ไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไรนี่ ตั้งใจบูชาสวดมนต์ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นไม่ได้อะไร นะโม ตัสสะ ก็พอ
       ถาม :    แล้วมีวิธีไหนที่ให้เขาเลิกทำ?
       ตอบ :   เวรกรรม ก็บอกวิธีแก้อยู่นี่ไง ก็แหม ... ไม่คิดจะฟังเหรอ?
       ถาม :    คือเขากัดไม่ปล่อย
       ตอบ :   ก็เรื่องของเขา มันยิ่งกัดเราแรง ถ้าทำตามวิธีที่ว่า โดนเองหนัก เราไม่ทำอะไรเขา ไม่ได้คิดร้ายต่อเขา เขาทำแล้วผลการกระทำของเขาเกิดแก่เขาเอง
       ถาม :    แล้วอย่างเขาใช้เดียรัจฉานวิชามาทำเรานี่?
       ตอบ :  ถ้าทำอย่างอาตมาว่า ให้เดียรัจฉานอีกแปดขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างว่าแต่สี่ขาเลย ถ้าทำอย่างที่ว่านี่มีแต่ว่าจะอยู่เท่าไหร่ ถ้าเขาต้องการให้เราไปเขาก็ไปเอง ถ้าเขาต้องการให้เราเจ๊งเขาก็เจ๊งเอง ง่ายดีมั้ย? เราอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเอาอย่างหลวงพ่อซิ หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าท่านยิ้มให้สองครั้งแล้ว ไม่เอาด้วยนี่ ครั้งที่สามไม่ตอบเป็นว่าเลิกกัน มันก็แค่นั้นแหละ อยู่ด้วยความดี อยู่ตามระเบียบวินัย ตามแบบแผน ถ้าเราไม่ผิด เขาทำอะไรไม่ได้หรอก
       ถาม :    เดี๋ยวเป็นตรงนั้น เดี๋ยวเป็นตรงนี้
       ตอบ :   ธรรมดา คนเราทุกคนเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากกรรมเก่าของการฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ในอดีตเคยทำไว้ ต้นทุนใช้หนี้เขาแล้ว เหลือแต่เศษกรรม เศษกรรมนี่ทำให้ป่วยบ่อย ถ้าไม่ต้องการให้ป่วยบ่อย หมั่นปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า จะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา   อะไรก็ได้ ที่เขาขายให้เป็นอาหารนั่นน่ะ ซื้อปล่อยมันซะทุกเดือน เดือนละตัวสองตัวก็ได้ เรื่องพวกนี้จะเบาลง
       ถาม :    เรื่องงานที่จะมีปัญหา ต้องอยู่กันไปตลอด หรือจะเรียบร้อย?
       ตอบ :   งานทุกอย่างมีปัญหาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะมีสติแก้ไขปัญหานั้นหรือเปล่า  ไม่มีปัญหามันก็ไม่ใช่งานซิ แล้วมีใครมีงานไม่มีปัญหามั่ง ถ้าใครมีจะไปช่วยทำ
       ถาม :  อยู่กันมาสามปีกว่าสี่ปีไม่เคยมีปัญหาเลย เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ทีนี้จะรบกวนให้ดู บุคคลสองคนนี้จะพึ่งใครได้มั้ย?
       ตอบ :   เอากลับไปเลย ไอ้เรื่องนี้ไม่ดูให้ใคร ดูไปมันก็จะประเภทไปรักคนหนึ่ง เกลียดคนหนึ่ง ไม่มีประโยชน์สำหรับพระที่จะทำ ถ้ายิ่งลูกถามว่าพึ่งใครได้ ไม่พึ่งใครได้นี่ไล่เลยนะ ลูกเรา พึ่งได้หรือไม่ได้ ก็ต้องเลี้ยงเขา ต้องดูแลเขา ต้องให้การศึกษาเขาให้เต็มที่ บางคนลูกเกิดมาปุ๊บไปถามหมอดู หมอดูบอกพึ่งไม่ได้ก็เลยเกลียดลูกมาตั้งแต่เล็กโดยที่ไม่ใช่ความผิดของลูก เลยก็มี เพราะฉะนั้นเรื่องพรรค์นี้ไม่ต้องถามพระ พระบอกไม่ได้ บอกได้ก็ไม่บอก
       ถาม :    อยากจะทราบว่า มีอะไรที่เราทำไม่ถูก อยากจะแก้ไขอะไรอย่างนี้?
       ตอบ :   เราอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละสถานที่จะมีสิ่งไม่มีตัวตนที่เป็นเจ้าของสถานที่อยู่ ถ้าเราให้ความเคารพ ให้ความเกรงใจเขาอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้  จำเอาไว้ให้แม่น ๆ ยกเว้นว่าเราไม่ให้ความเคารพกี่ปี ๆ ก็ข้ามหัวเขา อย่างนั้นล่ะจะมีเรื่องบ้าง
       ถาม :    ..........
       ตอบ บอกอะไรแล้วฟัง ฉันเป็นคนพูดน้อย แต่มักตีตรงเป้า เพราะฉะนั้นมันจะแรง เหมือนยังกับถูกด่า แล้วตั้งใจฟังให้ดี ๆ ถ้าบอกแล้วไม่ฟัง ฉันก็เลิกพูดด้วย แค่นั้นเอง วันนี้วันเสาร์ ไม่ใช่หรือ คุณตุ๋ย วันเสาร์ต้องใส่สีดำสิ เพราะว่า
                          เสาร์วโรรุจิล้วน              ดำดี                      ทรงสรรพาวุธลี       ลาศเต้า                 ออกแย้งยุทธไพรี       รณภาพ                 เทเวศร์อวยชัยเช้า       ค่ำให้สถาพร
สีแดงต้องวันอาทิตย์ (หัวเราะ)                   ระวิสิทธิด้วย       อาภรณ์                 แดงพิจิตร อลงกรณ์       ก่องแก้ว                 ทรงแสงธนูศร       ลีลาศ                 เสด็จสู่สงครามแผ้ว       ผ่องพัน ไพรี
วันอาทิตย์เขาใส่สีแดง ตำราพิชัยสงคราม                   จันทรวารภูษณพื้น       โขมภัสตร์                 กรกลึงดาบขัด       เพริศแพร้ว                 เสด็จจรกำจัดดัส       กรราช                 ตามพิชัยฤกษ์แล้ว       ล่มล้าง ศัตรู                 ภุมวารพิเศษด้วย       ชมพู                 ทรงพระแสงกรชู       ดาบดั้ง                เฉกองค์มฤตยู       ยุรยาตร                มวลอรินทร์ ต่อตั้ง       แตกด้วย เดชา                     
               เขาจะบอกให้ทุกวัน ระวิ ก็วันอาทิตย์ ภุมมะ ก็วันอังคาร เป็นคนสมัยใหม่รู้เรื่องเก่าไว้หน่อยก็ดี แต่วันนี้มันแปลก ๆ เด็กสมัยนี้เขาเรียน กับของเราเรียนมันคนละตำรากัน สมัยเด็ก ๆ ที่เรียนจำได้ว่า พฤหัสสีน้ำเงิน วันศุกร์สีม่วง วันเสาร์สีดำ สมัยนี้เขาเปลี่ยนหมด เปลี่ยนเป็นพฤหัสสีส้ม ศุกร์สีอะไรไม่รู้กลายเป็นคนละตำรากัน
              สมัยก่อนกว่าจะโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนได้ต้องเรียนสารพัดวิชา ฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน ตำราอาวุธ ตำราพิชัยสงคราม ปลุกเสก เลขยันต์ อะไรสารพัดสารเพ ต้องแม่นตำรา ต้องคล่องตำรา แค่การรบใช่มั้ยมันต้องเริ่มต้นมาจากโน่นยกทัพแล้วต้องใช้ฤกษ์อะไร มีกระทั่งการฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน ดูดาว ดูลม
       ถาม :    .........
       ตอบ :   อยากเก่งไม่ใช่เรื่องผิดโยม แต่ว่าในขณะที่ปฏิบัติ เราต้องลืมคำว่าอยากให้ได้ ถ้าตราบใดที่เรายังอยากอยู่จิตใจจะวอกแวก เขาเรียกว่า อุทธัจจะกุกุจจะ คือ ฟุ้งซ่าน ในเมื่อฟุ้งซ่านก็แสดงว่า ตัวนิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี นั้นยังทำหน้าที่ของมันอยู่ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงที่สุดของอารมณ์ได้ คราวนี้การที่เราอยากเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่อยากก็ไม่มาปฏิบัติ แต่เราตั้งความหวังว่าเราทำอย่างนี้เพื่ออะไรแล้วให้ลืมความคิดนั้นเสียตั้ง หน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว มันจะเป็นอย่างไรช่างมัน มันจะได้อย่างไรช่างมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้จะเกิดผลเร็วมาก แต่ถ้าเรายังทำไปอยากไปอยู่ ผลมันจะช้า หรือไม่ก็ไม่ได้สักที
       ถาม :    แล้วถ้าหากจะไม่ให้โกรธล่ะเจ้าคะ?
       ตอบ :   อันนี้ต้องมีสติรู้ให้ทัน ความโกรธจะเข้ามาหาเราง่ายที่สุด ทางตากับทางหู ตาเห็นรับเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ หูได้ยินรับเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ ในเมื่อไม่พอใจ มันก็จะเริ่มกรุ่นขึ้นมาลักษณะเหมือนกับควันขึ้นแล้ว พอควันขึ้นถ้าเราปล่อยโดยการที่ไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ มันก็จะเป็นเปลวไฟไหม้ล่ะ คราวนี้กลายเป็นโทสะ
               พอทำเขาไม่ได้ ด่าเขาไม่ได้อย่างใจ ทำร้ายเขาไม่ได้อย่างใจ คราวนี้ พยาบาท จ้ะ มันก็มีแต่เผาเราอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นสติต้องรู้เท่าทัน พอตาเห็นปุ๊บสักแต่ว่าให้มันเห็นเท่านั้น หูได้ยินปุ๊บสักแต่ว่าให้มัน ได้ยินแค่นั้น ให้คิดว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น   
              บุคคลที่ยังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นโทษ แก่คนอื่นอย่างไร เป็นโทษแก่ตัวเองอย่างไร เขาก็ยังทำสิ่งนั้นอยู่ด้วยความยินดีและเต็มใจ แต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น โทษสาหัสกับเขาในภายภาคหน้า เขาไม่สามารถจะมองเห็นได้ คนที่มองไม่เห็นโทษของตัวเองจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่คนที่น่าโกรธ หากแต่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้มันก็จะไม่โกรธ หรือไม่ก็โกรธน้อยลง อย่าลืมว่าสติต้องทันนะ ถ้าสติไม่ทันนี่มันพาเราไปหลายกิโลเลย กว่าจะดึงมันกลับได้
       ถาม :    เคยบอกว่าถ้าทำพรหมวิหารสี่ แล้วจะมองเห็นเหมือน....(ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :   ก็คือว่าให้อารมณ์ของพรหมวิหารสี่นี้ทรงอยู่ในใจตลอดเวลา สมมติว่าโยมเริ่มในช่วงเช้า โยมพิจารณา ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีปกติก็คือว่า เกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับเรา เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางสลายไปในที่สุด ไม่มีตัวตน เราเขาผู้ใดผู้หนึ่งที่จะทรงอยู่ได้นะ ทุกคนล้วนแล้วแต่เวียนว่ายอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เราจะเบียดเบียนเขาหรือไม่เบียดเบียนเขา เขาก็ทุกข์ เขาจะไม่เบียดเบียนเรา เราก็ทุกข์ ต่างคนต่างทุกข์อยู่แล้ว เราอย่าไปเพิ่มเติมความทุกข์อันนั้นให้แก่ผู้อื่นและตัวเราเลย ขอให้เขาทั้งหลาย เหล่านั้นจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ตั้งใจแผ่เมตตา ออกไปในทิศทั้งสี่ จนกระทั่งกำลังใจของเราเยือกเย็นทรงตัวแล้ว 
               ให้โยมจับตัวอานาปานุสสติ คือลมหายใจเข้าออกของเรานี่ภาวนาต่อไปเลย พอ ภาวนาอารมณ์ทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ตัวอารมณ์พรหมวิหารสี่ก็จะทรงอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรามีสติรู้ลมหายใจเข้า ออกอยู่ ถ้าหลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรมันจะค่อย ๆ สลายตัวไป เพราะฉะนั้นถ้าโยมจะทรงให้ได้ทั้งวันอย่างที่ว่า โยมต้องเกาะอารมณ์ภาวนาอยู่ตลอดคือหลังจากที่แผ่เมตตาจนอารมณ์ใจเยือกเย็น ทรงตัว แล้วเกาะอารมณ์ภาวนาต่อไปเลย มันก็จะเข้าถึงอารมณ์สูงสุดของตัวนั้นได้ ถ้าเราเข้าถึงอารมณ์ของฌานสี่ยิ่งได้สมาบัติแปดยิ่งดี เราก็เกาะ ตรงจุดนั้นเอาไว้ เราก็จะทรงพรหมวิหารสี่ได้ตลอด 
               ถ้าตัวนี้อยู่กับเราตลอด เราก็จะไม่โกรธใคร เพราะว่าเรารักเขาเหมือนกับตัวเรา ไม่คิดอยากจะเบียดเบียนใครสงสารเขาอยากให้เขาพ้นทุกข์เหมือนกัน ถ้าเขาทำอะไรดีก็พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข ถ้าเขาตกอยู่ในความทุกข์ช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถแล้ว ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงปล่อยวางอยู่ในอุเบกขา อารมณ์เหล่านี้จะทรงอยู่กับเราตลอด
               ถ้าอารมณ์อุเบกขาทรงตัวศีลก็จะบริสุทธิ์โดย อัตโนมัติ แล้วขณะเดียวกันว่าอารมณ์ตัวโกรธมันก็ลดลง ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ถ้าหากว่าจิตใจเรายิ่งเยือกเย็นในพรหมวิหารสี่ตลอดไป ตัวไฟโทสะมันก็ดับมอดไปเรื่อยจนกระทั่งมันสิ้นเชื้อไปเอง จริง ๆ แล้วพวกเราเวลาแผ่เมตตาอะไรเสร็จแล้ว เราไม่ได้ ภาวนาต่อให้อารมณ์มันทรงตัว หรือว่าถึงภาวนาต่อจนอารมณ์ทรงตัว แต่ว่าเราลุกขึ้นแล้วเราไม่รักษาอารมณ์นั้นไว้ เราไปปล่อยเลย
               ตัวรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องนั้นสำคัญที่สุดสำหรับนักปฏิบัติทุกคน ถ้าเราไม่รักษาอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่อง มันเหมือนว่ายทวนน้ำมาระยะหนึ่งแล้วพอ เลิกปุ๊บเราก็ปล่อยมันลอยตามน้ำไปเลย แทนที่จะพยายามตะเกียกตะกายว่ายให้มันคงอยู่ในระดับนั้น ในเมื่อเราลอยตามน้ำไปไกลแล้ว พอถึงเวลาว่ายกลับมาใหม่ มันก็จะได้อย่างเก่งก็ได้กว่าเดิมหน่อยหรือน้อยกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ มันก็กลายเป็นว่าได้แต่งาน แต่ผลงานไม่ได้ เพิ่มขึ้น ก็ขาดทุนไปเรื่อยเพราะว่ามันก็เหนื่อยฟรี พอทำไปหลาย ๆ ปีเข้าชักท้อ มันไม่ก้าวหน้าสักที ความจริงเราเองทำผิดวิธีจ้ะ ขยันน่ะยังขยันอยู่ แต่พอขยันผิดวิธีคราวนี้หมดกำลังใจ
       ถาม :    เวลาทำได้แล้ว ไม่ทราบว่าทำอย่างไหนมาก ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย?
       ตอบ :   เอาอย่างหลวงพ่อว่านั่นแหละ ถ้า ได้มโนมยิทธินี่ง่ายเลยโดดขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจขออยู่กับท่านไม่ไปไหนแล้วล่ะ ทำอย่างไรก็ได้ สวดมนต์ภาวนาอะไรก็ได้ รักษาอารมณ์ใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ถ้าไม่ได้มโนมยิทธิให้ตั้งใจภาวนา หลวงพ่อท่านสอนว่าให้จับภาพพระพร้อมกับลมหายใจเข้าออก 
              ถ้าหากว่าพระเป็นสีเขียว สีเหลือง สีขาว ให้ตั้งใจจับสีนั้นด้วยภาวนาไปนึกถึงภาพพระไป ใช้คำว่าง่าย ๆ ว่า พุทโธ การภาวนานึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอานาปานุสสติ การใช้คำว่าพุทโธ และเพ่งภาพพระเป็นพุทธานุสสติ การกำหนดภาพพระหรือเห็นภาพพระอยู่เป็นกสิณ เราจะได้สามอย่างพร้อมกัน ในเมื่อเราทำไป ๆ จนให้อารมณ์ใจมันทรงตัวไปต่อไม่เป็นแล้วก็คลายอารมณ์ใจถอยลงมาให้พิจารณาดูว่า โลกนี้ไม่เที่ยงทุกอย่างในโลกนี้เป็นทุกข์ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ถึงเวลาทุกอย่างก็ตาย ก็พังหมด คนสัตว์ วัตถุธาตุสิ่งของ มีสภาพเดียวกันหมด
               ในเมื่ออารมณ์ใจมันทรงตัวดีแล้ว มันจะภาวนาของมันต่อโดยอัตโนมัติ พอมันภาวนาโดยอัตโนมัติ จนถึงจุดตันแล้วประคองมันไว้ให้มันค่อย ๆ ถอยออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วมาคิดพิจารณาใหม่ จะพิจารณาในแบบไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ จะพิจารณาแบบอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคก็ได้ แต่ว่าอริยสัจสี่นี่จับแค่สองตัวหรือจะจับแค่ตัวเดียวก็ได้ จับแค่สองตัวก็คือสมุทัยเหตุของทุกข์ แล้วพอเราไม่สร้างเหตุนั้นทุกข์ก็ดับ หรือไม่ก็จับตัวทุกข์ตัวเดียวว่ามันทุกข์อย่างนี้แหละเราไม่เอามันอีก
              แล้วถ้าหากเราไม่คล่องตัวจะถนัดทางวิปัสสนาญาณเก้าอย่าง ก็หันมาจับวิปัสสนาญาณเก้าอย่างแทน คือพิจารณาเห็นความเกิดและดับอย่างหนึ่ง พิจารณาแต่ความดับบ้าง พิจารณาเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย พิจารณาเห็นมันเป็นโทษเป็นภัย พิจารณาเห็นมันเป็นของน่ากลัว เหล่านี้เป็นต้น ค่อย ๆ ดูไป เรื่อย ๆ การ พิจารณามันจะได้เปรียบตรงว่า อารมณ์ใจมันจะทรงตัวแล้วมันจะกลายเป็นภาวนาเองโดยอัตโนมัติ แต่ว่าการภาวนา ถ้าหากว่าเราไม่ประคองมันให้ดี พอมันไปถึงจุดสุดของมันแล้ว มันถอยกลับมา ถ้าเราไม่ประคับประคองให้มันคิดในด้านดีด้านถูก มันจะเริ่มฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ใหม่ โยมทำอย่างนี้ ภาวนาแล้ว พิจารณาสลับไปเรื่อย ๆ ยิ่งพิจารณาได้ตลอดยิ่งดี
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.7.html

ถาม :    ทีนี้เวลาภาวนาปกติจะใช้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา?
       ตอบ :   จ้ะ ดีเลยจ้ะ คราวนี้มันไม่ใช่ภาวนาเฉย ๆ มันต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว จิตยอมรับจริง ๆ โยมลองถามตัวเองว่าร่างกายนี้ใช่ของโยมมั้ย? แล้วให้ใจมันตอบออกมาจริง ๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ตอบ เพราะรู้ว่า ต้องตอบว่าไม่ใช่ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นคำตอบที่ออกจากใจจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของของเรา เราไม่สามารถทำให้จิตใจมันยอมรับได้ 
              ก็ดูว่าร่างกายนี่มันประกอบจากอะไร มันก็มีธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ดินน้ำไฟลมนี้ก็ต้องแยกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่แข็งเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันคือ ดิน ประกอบไปด้วยขน ผมเล็บฟัน หนัง กระดูกเส้นเอ็น พวกอวัยวะภายในอย่าง ตับไต ไส้ ปอด กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น เป็น ธาตุดิน มันจับได้ต้องได้ มันแค่นมันแข็งเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน เราก็แยกเป็นกองไว้ส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำคือส่วนที่เหลวไปไหลมาในร่างกายของเรา มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลายน้ำดี เหงื่อ ไขมัน ปัสสาวะ อย่างนี้เป็นต้น ไขมันนี้ก็คือไขมันในเลือดน่ะ แล้วก็ธาตุลมก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมา พัดไปมาในร่างกายของเรา ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เขาเรียกว่าแก็ส ลมที่พัดไปมาทั่งร่างกายไม่ว่าจะพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดลงทั่วกายที่เขาเรียกว่า ความดันโลหิต แยกไปไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นของร่างกายเรียกว่าธาตุไฟ มีธาตุไฟที่เผาร่างกายให้เสื่อมโทรมลง ธาตุไฟที่เผาผลาญย่อยอาหาร ธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น เหล่านี้เป็นธาตุไฟ
              พอโยมแยกออกเป็นสี่ส่วน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ไส้ ปอด เหล่านั้นเป็นกองหนึ่ง เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้แยกไว้กองหนึ่ง พวกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดไปมาในเบื้องสูง เบื้องต่ำทั่วร่างกายไว้กองหนึ่ง ความอบอุ่นในร่างกายก็คือไฟธาตุที่ย่อยอาหาร ที่กระตุ้นร่างกายให้เติบโต ให้เสื่อมโทรมแยกไว้กองหนึ่ง หมดเกลี้ยงพอดีไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
              พอเราจับเจ้าสี่กองนี้มาปั้นเข้าใหม่นะ เป็นหัวเป็นหูเป็นหน้าเป็นตาขึ้นมา เราก็ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงมันเป็นเปลือกที่เราอาศัยอยู่ ร่างกายนี้เหมือนกับรถคันหนึ่ง ตัวเราที่เป็นจิตคือคนขับรถ ถึงเวลาที่มันพังไปตามกาลตามเวลาของมัน เราที่เป็นจิตก็ต้องไปหารถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
              เมื่อถึงวาระนั้นถึงตอนนั้นถึงจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ พยายามแยกแยะอย่างนี้บ่อย ๆ ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ จนกระทั่งจิตใจมันยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา ร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่ของเขา ทั้งเขาและเรามีสภาพเดียวกันก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
               พอจิตมันยอมรับแล้วต่อไปเราแค่คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา มันยอมรับก็ใช้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องคิดมากตอนแรก ๆ นี่ต้องคิดเหมือนยังกับเหวี่ยงแห จะเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่คัดไปคัดมา ก็เลือกเอาปลาตัวที่ดีที่สุด มันก็เหลือนิดเดียว ตอนแรกของการปฏิบัติต้องกระจายออกกว้างมาก แต่พอรวบเข้าแล้วมันจะเหลือแก่นแค่นิดเดียวเท่านั้นใช่มั้ย? ถ้าทำจนใจยอมรับอย่างนี้ต่อไปแล้วจะสบาย เพราะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา พอโยมเกาะตัวธรรมดาติด หากินได้ตลอดชาตินี้และก็ชาติต่อ ๆ ไปเลย คราวนี้แยกออกแล้วยังจ้ะ
       ตอบ :   ต้องกลับไปแยกที่บ้านก่อน
       ตอบ :   จ้ะ ค่อย ๆ ไปนั่งแยกมัน ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
       ตอบ :   เคยเพ่งอสุภะ เพ่งไปเพ่งมา ก็เห็นคนเป็นโครงกระดูกหมดเลยจนถึงลืมตา
       ตอบ :   จ้ะ ฉันเองตอนใช้อสุภกรรมฐาน ฉันก็ถนัดอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง คือการเพ่งกระดูกมากที่สุด พอสาวสวย ๆ มาฉันก็แบ่งครึ่งฉึบ ครึ่งหนึ่งปกติ อีกครึ่งหนึ่งให้เป็นกระดูก ดูแล้วมันเพลินดี (หัวเราะ)
       ตอบ :   ชอบโครงกระดูก เวลาเพ่งศพแรง ๆ พอขึ้นมาก็เป็นโครงกระดูกหมดเลย
       ตอบ :   เราอาจถนัดอันนั้น ก็จับโครงกระดูกแทน เสร็จแล้ว พิจารณาต่อไปเลยว่าสภาพร่างกายของเรามันเป็นอย่างนี้แหละ แก่นสารของมันมีนิดเดียวคือกระดูก แล้วกระดูกมันก็ค่อย ๆ เก่าไป ๆ ในที่สุด ก็ค่อย ๆ เปื่อยผุพังเป็นดินไปหมด
              พอไม่มีกระดูกร่างกายมันก็อยู่ไม่ได้ มันเปื่อย มันสลาย มันจมดินไป กลับกลายเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือน ๆ กันขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาสาระไม่ได้เช่นนี้เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว ถ้าหากว่าเราตายตอนนี้ขอไปนิพพานที่เดียว คิดต่อไปเลยจ้ะ ต้องใช้ตัวนี้ต่อยอดไว้เสมอยังไง ๆ อย่าทิ้งนิพพานถ้าทำอย่างนั้นจะก้าวหน้าเร็ว ใจมันจะเกาะและรักนิพพานอยู่เสมอ ๆ
       ตอบ :   เคยปฏิบัติอยู่ ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ (ฟังไม่ชัด) เจอตาโบ๋ ๆ มาหลอกแฮ่กระโดดขึ้นข้างหน้า ท่านว่าเห็นอะไรนี่ไม่ใช่นะ
       ตอบ :   ตอนนั้นน่าจะพิจารณาไปเลยนะ รูป คือสิ่งที่เห็นใช่มั้ย? เสียงก็คือ นาม ใช่มั้ย? พิจารณาต่อไปเลยโยม (หัวเราะ) ลืมใช่มั้ย?
       ตอบ :   ก็บอก ฉันไม่กลัวหรอก ผมฟู ๆ ยี ๆ ฉันกับผีก็เหมือนกันน่ะ
       ตอบ :  เราน่ากลัวกว่า ผีมันกลัวคนหน้าด้านกว่า ... โยม ไอ้ผีมันกลัวคนหน้าด้านกับคนบ้า ถ้าเราหน้าด้านกว่าเราไม่กลัวมันก็เลิก หรือไม่เราบ้ากว่ามั้นก็เลิก มันไม่หลอกต่อ แต่จริง ๆ แล้วน่าจะพิจารณาต่อไปเลย ของเราตอนนี้มันน่ากลัวกว่าเขาเพราะเราเป็นผีดิบ ผีดิบ นี่มันยังประเภท เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ประเภทหิวกระหายร้อนหนาว อยู่ใช่มั้ย? ผีอย่างเขานั่นสบายกว่าเราซะอีก แต่ว่าถึงจะเป็นแบบเขา หรือแบบเราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดแล้วจะภพไหนภูมิไหนก็ตามมันไม่ได้เรื่องทั้ง นั้นแหละไปนิพพานซะดีกว่าคิดต่อไปเลย
       ตอบ :   ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ
       ตอบ :   จ้ะ อีตอนเจอแล้วมันยังไม่ยอมหลอกใช่มั้ย? (หัวเราะ) 
       ถาม :   หลวงพ่อสอนให้คิดว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น (ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :   อันนั้นหลวงพ่อถือเป็นคติประจำใจของท่านเลยจ้ะ หลวงพ่อจะติดป้ายเอาไว้ใกล้ที่นอนของท่านเลยว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ ตายหมดเท่านั้น คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เป็นพุทธภาษิตเลย เพราะฉะนั้นถ้าคิด ตามพระพุทธเจ้าคิดตามหลวงพ่อนี่ยืนยันได้เลยว่าไม่ผิดแน่นอน
       ถาม :    เจ้ากรรมนายเวร เราใส่บาตรกรวดน้ำให้ทุกวัน ๆ ก็ยังไม่พออีกเหรอคะ?
       ตอบ :   เราทำเขาไว้เยอะจ้ะ ถึงเวลาให้เขายังไม่พอ ถ้าให้เขาพอเมื่อไหร่เขาก็เลิก
       ถาม :    (ดูภาพถ่ายที่ อ.เล็ก ไปพม่า ? ภาพหลวงพ่อตามะยะพม่า)
       ตอบ :  นั่นแหละโยม พระแบบหลวงพ่อ พม่าเขาก็มี เลี้ยงคนไว้เป็นแสน ๆ เลย ทุกวันเป็นหมื่น ๆ จะไปกราบท่าน แล้วก็รถเมล์เป็นสิบ ๆ สายนี่ ตั้งต้นที่วัด สุดทางที่วัด พระขนาดนั้นยังมีอยู่เสียดายหลวงพ่อเราไปกราบท่านทีไรนึกถึงหลวงพ่อทุกที คนไปหาท่านเป็นหมื่นเป็นแสน ต้องหุงข้าวเลี้ยงกันประมาณสองร้อยสี่สิบปี๊บต่อวันน่ะ น่าจะประมาณสักสามสี่สิบกระสอบได้มั้ง?
       ถาม :    ปี๊บหนึ่งก็สิบห้ากิโล
       ตอบ :  ปี๊บหนึ่ง ถังหนึ่งเลย ก็สองร้อยสี่สิบถังนี่จะซักเท่าไหร่? ประมาณสามสิบกว่ากระสอบ วัน ๆ หนึ่งประมาณนั้นแหละ บางทีลูกศิษย์วิ่งมา หลวงพ่อข้าวสารหมด ท่านบอกไปดูเหอะมีอยู่ ไปถึงก็มีอยู่ ก็พอหุงให้เขากินไปเรื่อย ๆ ท่านแค่พูดเฉย ๆ มันมีน่ะ
       ถาม :    (ดูภาพที่ อ.เล็ก ไปพม่า ? ภาพงานประจำปีของกะเหรี่ยง)
       ตอบ :  อันนั้นงานประจำปีของกะเหรี่ยงเขา ขึ้นปีใหม่อาตมาเป็นแขกวีไอพี โดยแม่ทัพเขานิมนต์ไว้ ไปยืดอยู่ที่นั่น พวกนี้เป็นกะเหรี่ยงพุทธ มันมีกะเหรี่ยงพุทธ กับกะเหรี่ยงคริสต์ กะเหรี่ยงนี่จริง ๆ แล้วเขาเกลียดพม่าจะตายชัก บรรดาพวกกะเหรี่ยง มอญ ไทยใหญ่ คะฉิ่น ไม่มี ใครชอบพม่าเลย พม่ามันขี้โกงเขาว่า คือว่าตาม สนธิสัญญาเวียงปางหลวง เขาร่วมมือกันขับไล่อังกฤษออกจากพม่า แล้วก็ตกลงกันว่าจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็งสิบปี หลังจากสิบปีแล้วจะต่างคนต่างแยกประเทศกัน
                แต่ปรากฏว่าพอครบสิบปีเขาเรียกประชุมเพื่อตกลงเรื่องนี้ มีโบเมียะ ผู้นำกะเหรี่ยงคนเดียวรู้ ว่างานอย่างนี้คงไม่ใช่งานดีแน่ เลยให้ลูกน้องไป ตัวเองไม่ไป ปรากฏว่าจริงๆ นายพลอูนุ ส่งทหารมายิงทิ้งเกลี้ยงเลย หัวหน้าของไทยใหญ่ที่เป็นบรรดาเจ้าฟ้าของรัฐฉานตายในงานนั้นสิบสามศพ มันกะจะประเภทตัดรากถอนโคนไม่ให้เหลือ
       ถาม :    ......
       ตอบ :  วาระบุญตามเวลาของเรา แต่ว่าวันพระของท่านตรงกับวันโกน เพราะข้างบนนั้นไม่มีวัน จะเรียกว่าอะไรดี คือไม่มีกลางคืน ในเมื่อไม่มีกลางคืนสว่างอยู่ตลอดมันใช้ความเป็นทิพย์รับรู้เอาว่า สภาพที่แท้จริงเป็นยังไง ผ่านพ้นไปเท่าไหร่ คราวนี้ไอ้เรื่องของการกำหนดมันเป็นสมมุติทางโลกก็ ... เอ้า! ดีเพราะว่าอย่างน้อย ๆ วันพระเป็นวันที่เขาทำบุญกัน เพราะฉะนั้นท่าน ท่านก็เอาบ้าง
       ถาม :    ผมเลยนึกถึงตัวเองไงครับ คงยุ่งน่าดูนะครับไปไหนมาไหนอยู่ตลอด ไม่ต้องทำอะไรเลยวัน ๆ
       ตอบ :   ต้องอย่าลืมว่าพระท่านถึงได้เทศน์สั้นนิดเดียวไง เทศน์ยาวไม่ได้หรอกเดี๋ยวเลยเวลาไป
       ถาม :    พูดคำเดียว ประโยคเดียว อ้อ! ตอนนี้เขาจะบวชภิกษุณีกันแล้วครับ
       ตอบ :   ก็ให้เขาบวชไปซิ ปัญหาภิกษุณีจริง ๆ น่ะ ถึงบวชก็ไม่เป็นภิกษุณี
       ถาม :    นั่นไงครับ ผมเลยจะถามว่า เขาบวชแล้วไม่ใช่นี่ เวลาเขาทำผิด เขาจะรับโทษเหมือนคนธรรมดาหรือรับโทษเท่าภิกษุณีล่ะครับ?
       ตอบ :   เท่าคนธรรมดา แต่ว่าจะมีโทษมากกว่า ตรงที่อยู่ลักษณะที่ว่า ประเภทปฏิบัติตัวเหมือนพระ กินอย่างพระ รับของประเคนอย่างพระ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นคนเขาตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ แล้วตัวเองไม่ใช่สงฆ์ ก็สาหัสล่ะคราวนี้ คือภิกษุณีนี่หมดลงในยุคหลังแล้วเพราะว่าระเบียบการบวชลำบากมากนะ
       ถาม :    เมื่อวานผมฟังพระรูปหนึ่งทางไอทีวี ฟังดูเหตุผลเขาก็ใช้ได้ เขาบอกว่าในเมื่อบวชมาเพื่อหาความสงบ ใครอยากบวชก็บวชไป
       ตอบ :   นั่นน่ะมันใช่ การอยากบวชก็บวชไป ทำไมต้องเสี่ยงหานรกให้ตัวเองด้วยวิธีรุนแรงขนาดนั้นล่ะ เพราะว่าของสงฆ์ทุกอย่างนี่โทษอเวจีทั้งหมดน่ะ เพียงแต่ว่ามันจะอเวจียาว หรืออเวจีสั้นเท่านั้นเอง เป็นเราจะเสี่ยงมั้ยล่ะ?
       ถาม :    ก็อยากเสี่ยงดู แต่ไม่มีโอกาส (หัวเราะ)
       ตอบ :   โอกาสมันเจ๊งร้อยเปอร์เซ็นต์
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/9.8.html

       ถาม :   เอ๊ะ ... หลวงพี่ครับ ไอ้นี่มันเคยถามผมว่า ทำไมหลวงพี่มานอนที่นี่ได้ ไม่ผิดเหรอครับ?
       ตอบ :   ไม่ได้นอนกับผู้หญิงนี่หว่า ตูนอนคนเดียว
       ถาม :   แต่มันไม่ใช่วัดไม่ใช่อะไร?
       ตอบ :  พระเขาไม่ได้บังคับว่าให้ต้องอยู่วัด เขาใช้คำว่าให้อยู่ในที่สงัดนะ ไอ้ที่สงัดนี่มันจำเป็นสำหรับการปฏิบัติขั้นแรก พอเลยจากนั้นไปถ้ากำลังใจมันทรงตัวอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
       ถาม :   ไม่มีบทบัญญัติเลยว่าต้องเป็นวัดเท่านั้น?
       ตอบ :  ท่านบอกว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ จะอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าชัฏ อยู่ในบ้านร้าง อยู่ในเรือนโรง อยู่ในกองเกวียน ไอ้กองเกวียนนี่มันยุ่งกว่า นี่อีกเยอะ เพราะสมัยก่อนเขาเดินทางกันบางทีมันตั้งครึ่งค่อนปี ไปตามคาราวานเกวียนเขา ให้จำพรรษาในกองเกวียนก็ได้ คราวนี้ก็มีการว่ากำหนดเขตติจีวรวิปปวาส คือเขตที่ภิกษุจะอยู่ได้โดยปราศจากไตรจีวรได้ ไอ้อยู่ในกองเกวียนนี่รู้สึกการกำหนดเขต จะอยู่ประเภทที่เรียกว่าผ่อนผันมากเกินไปคือให้สุดระยะของกองเกวียน แล้วคิดดูว่าถ้าเกวียนสักร้อยเล่มล่ะ แต่ว่าอันนี้ถือเป็นพุทธบัญญัติเลยว่ากันไม่ได้ คือท่านผ่อนผันให้จริง ๆ ว่าคนที่มีความจำเป็นต้องไปกับกองเกวียนขนาดนั้น ต้องได้รับความลำบากเรื่องอื่นพอแล้ว
              เพราะฉะนั้นเรื่องไตรจีวรนี่ก็เลยผ่อนผันให้ว่าไอ้เขตอยู่ปราศจากไตรจีวรก็ ต้องขนาดนั้นไม่อย่างนั้น ถ้าเขาเกิดจอดเกวียนลงตัวเองอยู่ท้ายอย่างนี้แล้วจะเดินไปฉันข้างหน้า ต้องแบกของทุกอย่างไปฉันก็แย่เหมือนกันใช่มั้ย? ก็เลยอนุญาตให้
       ถาม :   บางทีมันเหมือนกับ ผมว่าการบวชพระนี่มันเหมือนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนกันนะ
       ตอบ :   จริง ๆ โอ้โห! รายละเอียดลำบากมากเลย สมัยก่อนจึงได้มีการอยู่ติตถิยปริวาสไง คือการอยู่แบบคนนอกก่อนสามเดือน เพื่อศึกษาระเบียบวินัยของพระ ถ้าสามเดือนศึกษาแล้วยังไม่มั่นใจว่าปฏิบัติได้ ให้ศึกษาต่ออีกสามเดือน รวมสามครั้งเก้าเดือนถ้าปฏิบัติไม่ได้ คุณไม่ต้องบวช
       ถาม :   เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอะไรเลยครับ สวดไม่ได้ พรุ่งนี้ยังสวดได้
       ตอบ :   ไอ้นี่มันส่วนใหญ่ แต่ว่าส่วนน้อยที่ท่านเข้มจริง ๆ อย่างสาย หลวงปู่มั่นอย่างนี้ คุณต้องเป็นตาผ้าขาว   ถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก่อนสองปี แล้วค่อยบวช
       ถาม :   อย่างหลวงตาบัว ใช่มั้ยครับ?
       ตอบ :   อือ สายโน้นเขาเอายังงั้น
       ถาม :   พอพูดถึงเลยนึกถึงเรื่องนี้เลย ที่เลี้ยงเสือ
       ตอบ :   นั่นวัดป่าหลวงตาบัว
       ถาม :   ใช่ครับ อย่างนี้ไม่ถือว่าผิด ใช่มั้ยครับ?
       ตอบ :   ผิดตรงไหนล่ะ
       ถาม :   ก็คือให้เมตตาเลี้ยง?
       ตอบ :   ตามปกติ พระมีหน้าที่ต้องสงเคราะห์อยู่แล้วสรรพสัตว์ทั่วหน้า
       ถาม :   นักข่าว มันเกิดไปเอาข่าวมา
       ตอบ :  ยังไงล่ะ มันเห็นก็คงทึ่งล่ะใช่มั้ย? ไอ้เสือตัวโตเท่าบ้านเท่าตึกมากอยู่กันเป็นฝูงเลย แล้วก็คลุกคลีอยู่กับพระด้วยกัน แล้วพอเรื่องมันไปถึงปุ๊บ มันก็จะมีคนอยากดังออกมาแสดงความเห็น เรื่องมันยุ่งอีตรงนั้นแหละ คือถ้าไม่มีคนอยากดังออกมาแสดงความเห็น เรื่องมันก็จบแค่นั้นแหละ
       ถาม :   แล้วอย่างล่าสุดนี่ มีพระอยู่วัดหนึ่งเลี้ยงเสือ อีกวัดหนึ่งเลี้ยงหมาฝรั่ง
       ตอบ :   ก็แล้วแต่ท่าน ที่สะสมรถเบนซ์ก็ยังมีเลยใช่มั้ย? เห็นว่าท่านสะสมรถเบนซ์เก่าไว้ตั้งสามสิบกว่าคันเลย
       ถาม :   อย่างนี้ก็ถือว่าเอาเงินสงฆ์มาใช้ผิดด้วยซิครับ?
       ตอบ :   ก็ถ้าใช้ผิดโทษเป็นของเขาเอง ดูว่าโยมเขาเจตนาให้มาเพื่ออะไร ถ้าเขาเจตนาให้มาเพื่อซื้อหมาก็ซื้อไปเถอะแบบเดียวกับ วัดท่าซุงมัน มีบัญชีหนึ่งเป็นบัญชีเงินหมาโดยเฉพาะ ดูแล้วน่าอิจฉา นั่นโยมเขาถวาย เขาระบุโดยเฉพาะเลยว่าเป็นค่าอาหารหมาพระไม่มีสิทธิไปแย่งมันกินด้วย อันนั้นเขาระบุไว้ชัดเลยว่าไว้เลี้ยงหมาก็เฉพาะตึกหลวงพ่อตึกเดียวก็สองร้อย กว่าตัวเข้าไปแล้ว ลูกของพ่อนิลแม่นาคนั่นแหละ
       ถาม :   คู่เดียวเองเหรอครับ?
       ตอบ :   คู่เดียวเอง สองร้อยกว่าตัว
       ถาม :   ยังอยู่หรือเปล่าครับ?
       ตอบ :  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังอยู่หรือเปล่า แต่ว่าตอนที่ออกจากวัดมาคู่นี้ยังอยู่คู่เดียวแตกหน่อออกมาภายในไม่กี่ปีเอง คือพอไอ้ครอกหนึ่งผ่านไป มันก็เริ่มกระจายครอกได้แล้ว เยอะขึ้น เยอะขึ้น
       ถาม :  เมื่อซักสามอาทิตย์พอดีเลย ผมนอนดูทีวีอยู่ แล้วมีโฆษณามีนักร้องใหม่ไปเอาเพลงเก่ามาร้อง ผมนอนฟังเสร็จก็เอ้ย! คนนี้มันร้องเพลงเพราะว่ะ แล้วผมก็เปิดแอร์นอน ลูกก็เล่นข้าง ๆ พอคิดอย่างนี้แล้ว พอมันเย็นปั๊บ ข้างในมันวิ่งเลย แล้วมันเหมือนทรงอารมณ์ฌานทันทีเลย แล้วผมก็ยังลืมตาดูทีวีอยู่ ผมก็สงสัยว่า เอ๊อ! อยู่ ๆ มันเข้าอารมณ์นี้ได้ยังไงในเมื่อเราก็ไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เราไม่ได้คิดอะไรเลย?
       ตอบไอ้ตัวไม่ได้ตั้งใจ บางทีอารมณ์ใจมันชิน มันลงร่องของมันได้เหมือนกัน  แต่ว่าอย่างนั้นมันมีปัจจัยจากภายนอกเกื้อหนุนอยู่ หน่อยหนึ่ง คือว่ามันเป็นสิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่หูได้ยินแล้วมันพอใจ พอมันพอใจในอารมณ์นั้นมันก็ดึงใจเข้าหาอารมณ์นั้น แต่บังเอิญว่าไอ้อารมณ์นั้นมันเท่ากับการปฏิบัติของเราพอดี  เลยลงล็อกแป๊ะเลย
       ถาม :   เมื่อวานผมก็ได้ยินโฆษณานี้เหมือนเดิมนะ แล้วอาการก็ใกล้ ๆ เดิม แต่ไม่เป็น
       ตอบ :  ต่อไปได้ยินอีกทีก็ไม่ได้แล้ว เพราะว่าความเคยชินมันเกิดซะแล้ว
       ถาม :   ผมก็ยังสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ! ทำไมมันแว็บเร็วมากเลยแต่ก็เป็นได้ไม่นาน แล้วซักพักหนึ่งมันก็หาย
       ตอบเราไม่ได้รักษาอารมณ์ต่อเนื่อง  ถึงเวลาเราคลายสติจากตรงจุดนั้น ไม่ให้ความสนใจ มันไปสนใจเรื่องอื่นมันก็คลายตัวไปหมด สติหลุดจากจุดนั้นเมื่อไหร่ผลงานมันก็หายไปด้วย 
       ถาม :  แล้วอย่างนี้เวลาผมนั่งสมาธินะครับ ผมก็จะรู้สึกว่า พอได้ถึงจุดหนึ่งเราก็จะคิดตามถึงมันอีกจุดหนึ่งก็เหมือนกับรบกันอยู่อย่าง นี้เหมือนมันตามกันทันตลอด แล้วบางทีมันเหมือนกับหลอกตัวเองว่า เอ๊ะ! เราเก่งแล้วเราตามทันตรงนี้แล้ว แล้วอีกทีก็เอ๊ะ! คิดผิดอีกแล้ว คิดว่าเก่งมันถึงได้มาตามทันอย่างนี้ แล้วมันก็วิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้ มันจะก้าวหน้ามั้ยครับ?
       ตอบ :  ตรงจุดนั้นจะเป็นจุดที่สนุกที่สุดของการปฏิบัติ เพราะว่ามันจะต้องลุ้นว่าแต้มต่อไป มันหรือเราจะได้ ถ้าเราปักใจมั่นอยู่ตรงอารมณ์นั้นในระหว่างที่สติกับปัญญากำลังต่อต้านอำนาจกิเลส น่ะมันสนุกยิ่งกว่าดูหนังดูละครอีก เพราะฉะนั้น จะสังเกตว่าพระปฏิบัติพอถึงตรงจุดนั้น ส่วนใหญ่ไม่อยากพูดกับใครหรอกหลีกไปอยู่ตัวคนเดียว ท่านกลัวว่าพอเปลี่ยนความสนใจไปทางอื่นแล้วกิเลสมันจะชนะ ท่านก็เลยจะต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อย  ก็เหมือนกับหลวงตาบัว ท่านบอกนะ มัวแต่สนใจอยู่ข้างใน ข้างนอกก็เลยเลยชนต้นไม้โครมเข้าให้ แต่ก็จะเอาความสนใจไปข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะว่าข้างในมันกำลังฟัดติดพัน มั่วกันอยู่ก็ต้องสนใจข้างในต่อไป แล้วก็ชนเข้าให้อีกโครมหนึ่ง (หัวเราะ)
       ถาม :  แล้วผมก็คิดต่อด้วยว่า การที่ผมเล่าให้ฟัง ก็เหมือนกับมันเหมือนอวดตัวแน่หน่อย ๆ ด้วยเหมือนกัน เอ้ย! อะไรอย่างนี้ อยากที่จะไปเล่ามันเป็นกิเลสอีกแล้ว แล้วมันก็คือ...?
       ตอบ :  คือเสียท่ามันแล้ว
       ถาม :   อ๋อ (หัวเราะ)
       ตอบ :  คือสิ่งที่เขาจะพยายามชักเราไง พอเขาชักเราปุ๊บ เราคลายความสนใจ คือเราแบ่งกำลังไปส่วนอื่น ไอ้กำลังที่จะสู้กับมันก็ไม่ทัน ฝีมือมันเยอะ ลูกเล่นมันเยอะ
       ถาม :   แต่นี่เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมรู้สึกว่ามัน....มันส์
       ตอบ :  พอทำถึงตรงนี้จะรู้สึกสนุกมาก แรก ๆ นี่จะแพ้มันตลอดหลังจากนั้นเริ่มมีชนะบ้าง ไอ้ตอนที่แพ้กับชนะก้ำกึ่งกันเป็นตอนที่มันส์ที่สุด
       ถาม :   เอ๊ะ ! แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าเมื่อไหร่แพ้ เมื่อไหร่เราจะชนะ?
       ตอบ :  ตอนที่มันสามารถดึงเราเบนความสนใจจากอันนั้นไปสนใจโลกภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบี่ยงออกไปเมื่อไหร่ก็แสดงว่าเสร็จมันแล้ว หรือไม่ก็สังเกตได้ว่านิวรณ์ห้า มันกินใจเราได้แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจเราได้แล้ว แต่ว่าขณะใดที่เราสามารถทำให้นิวรณ์ห้ามันสงบอยู่ไม่สามารถกำเริบขึ้นมาได้ มีสติรู้อยู่ว่าสิ่งต่าง ๆ เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราต้องสกัด มันไว้ไม่ให้มันเข้าใจได้ ถ้าเราชนะ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ชนะ เราแค่เสมอ แต่ถ้าเผลอเราแพ้ 
       ถาม :  แล้วมีอีกที มันเหมือนกับรู้สึกตัวกลางดึกน่ะครับ แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วมันก็ ก็เหมือนกำลังทรง เต็มที่เลย แล้วรู้สึกเลยว่าจะออกไม่ออก จะออกไม่ออก พอรู้สึกอย่างนี้ปั๊บก็มาตื่นเต้นเลย เฮ้ย!มันจะออกแล้วเว้ย (หัวเราะ)
       ตอบพออารมณ์ไปใส่ร่วมกับมันเข้า  พวกนี้เป็นตัวฟุ้งซ่านน่ะ ตัววิจิกิจฉา มันมาตัดเข้า กำลังฌานมันก็ลดลงก็เข้าไม่ถึงฌาน พอกำลังมันเข้าไม่ถึงจุด มันก็ไม่พอที่จะหลุดออกไปข้างนอก 
       ถาม :   แล้วอย่างนี้ทำยังไงให้มันรู้ตัวได้ครับหรือต้องรบกับมันไปบ่อย ๆ?
       ตอบ :  นั่นแหละ คือถ้าหากว่าเราไม่ค่อยภาวนา สติตามรู้มันอยู่ตลอด ก็ต้องรบกับมันไปเรื่อย จนกว่าจะประเภทเข็ดกันไปข้างหนึ่งน่ะ  พอมันเริ่มเข็ดแล้ว คราวนี้มันก็เริ่มจ้องแล้ว คราวที่แล้วพลาดยังไง หัดไประวัง แล้วหลังจากนั้นมันก็จะชนะตรงจุดนั้น จุดนี้ พอทำได้ทีแล้ว มันก็จะได้ตลอด  ขยับเมื่อไหร่มันจะรู้ว่ามันพอดีตรงไหน
       ถาม :   มันจะจำได้เองเหรอครับ?
       ตอบ :  มันจะจำได้เอง แต่ว่าก่อนที่จะถึงไอ้ตรงจุดนั้นนี่แหละปล้ำกันนานเลย
       ถาม :  อย่างนี้แหละครับ ผมจำได้ว่าตอนทรงอารมณ์ตอนนั้นน่ะผมรู้สึกยังไง แต่ทำไมตอนผมนั่งคุยตอนขณะนี้ผมกลับไปทรงอารมณ์อย่างนั้นไม่ได้ทั้งที่ผมว่า ผมจำได้ว่าตอนทรงอารมณ์อย่างนั้นเป็นยังไง?
       ตอบ :  กำลังมันไม่เท่ากัน มันสูงกว่านี้นิด ต่ำกว่านี้หน่อย เราต้องช่างสังเกตอารมณ์ใจตัวเอง 
       ถาม :   อย่างนี้เหมือนกับเราต้องเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลา
       ตอบต้องรู้อยู่ตลอดเวลา รู้เฉพาะหน้าตลอดเวลา 
       ถาม :   แล้วอย่างหลวงพ่อท่านสอนว่า ฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ มันต้องรู้ตลอดว่าใครทำถึงไหนต้อง รู้จุดนั้น?
       ตอบ :  มันศึกษาอาการจากตำรา แต่ว่าตำรา มันพูดเป็นของหยาบ พอเราทำถึงปุ๊บเราจะรู้ว่าตำราหมายถึงอะไร อย่าง เช่นสุข หมายถึงสุขเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก เราก็รู้แค่นี้แหละ พอทำถึงปุ๊บมัน อ๋อ เลย
       ถาม :   ไอ้นี่คือ ฌานอะไรครับ?
       ตอบ :  มันยังจะไม่ทันจะฌานซะด้วยซ้ำ ฌานมันต้องเลยสุขไปนิดหนึ่ง มันต้องเป็นเอกัคตารมณ์
       ถาม :   เพราะผมรู้สึกแค่ว่า อย่างผมเข้ามานั่งกุฏินี้ ผมก็รู้สึกอย่างนี้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย
       ตอบ :  มันมาอาศัยรับประทานของคนอื่นเขา
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
        ถาม :   (หัวเราะ) มันก็แค่นี้ มันก็เป็นแล้วครับ ผมยังเคยสังเกตตัวเอง พยายามจะคิดไม่ดีอย่างนี้มันคิดไม่ได้ด้วย
       ตอบ :    มันหยาบเกินไป หยาบเกินไป จริง ๆ  แล้วไอ้ตัวสุข ถ้า หากเป็นตัวสุขในฌานจริง ๆ น่ะ มันเกิดจากการที่ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นไฟกองใหญ่สี่กองโดนอำนาจของฌานกดดับลงชั่วคราว ไอ้คนโดนไฟเผาตลอดเวลา อยู่ ๆ มีสิ่งมาดับไฟให้สบายยังไงอธิบายถูกมั้ยล่ะ ? อธิบายไม่ถูกหรอก ภาษามนุษย์กับภาษาหนังสือมันหยาบเกินไปที่จะอธิบายภาษาธรรมะที่เกิดจากใจ หลวงพ่อท่านพูดได้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็เป็นแค่ส่วนหยาบเท่านั้น อันนี้กล้าพูดได้เต็มปาก แต่คงไม่มีใครพูดได้ง่ายกว่าหลวงพ่ออีกแล้ว
       ถาม :     แล้วเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าตัวเอง เริ่มฝันแม่น แต่ก่อนเวลาตัวเองฝันต้องเอาตรงข้าม
       ตอบ :  เดี๋ยวก็เสร็จมันอีกหรอก พอเริ่มฝันแม่นก็เริ่มรับรู้ไว้เฉย ๆ แต่อย่าไปอยากให้มันฝันแบบนั้น ถ้าอยากแล้วเสร็จมัน พวกนี้ลีลามันเยอะสารพัด จนกระทั่้งสู้กันไปจนถึงวาระสุดท้าย ถึงได้บอกได้เต็มปากเต็มคำว่ากิเลสมาร กับความดีหน้าเหมือนกันทุกอย่างเลย เหมือนกันเปี๊ยบเลย เดินมาก้าวเดียวกันหมด ยกเว้นก้าวสุดท้าย กิเลสมันพาเราลงต่ำ ขณะที่ความดีพาเราขึ้นสูงแค่นั้นเอง
       ถาม :  จริง ๆ แต่ก่อนผมนึกว่ามันง่าย ๆ นะครับ แต่พอฟังจริง ๆ แล้วก็ ผมรู้สึกว่า เหมือนกับเราต้องรู้ตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย เพราะฉะนั้นมันโดนชนักตลอดเลย
       ตอบ :    ก็อย่างตอนนี้ คุยกันไปเนี่ย เราต้องมีสติรู้อยู่ มันก็ต้องมีจุดพอดีของมัน ถ้าเกินจุดนั้นมันจะเป็นฟุ้งซ่าน แล้วเราจะเบรกมันไม่อยู่ จะกลายเป็นท่อประปาแตก แล้วมันจะไปเรื่อย
       ถาม :    ใช่ครับ แล้วผมก็คิดไปโน่นเลย เป็นบ่อยด้วย
       ตอบ :     ขนาดแค่ตรงนี้ ถ้าตามมันไม่ทัน ก็เสร็จมัน
       ถาม :     ทั้ง ๆ ที่เรากำลังคิดถึงเรื่องความดีด้วยซ้ำ ?
       ตอบ :    ใช่....บอกแล้วว่ากิเลสกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย คือมันหลอกเราได้ทุกวิถีทาง มันขี่คอกันมา เดินก้าวเดียวกันด้วย
       ถาม :    แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงครับว่า เราชนะมันแล้ว ?
       ตอบ :    ถ้าทำถึง ญาน คือเครื่องรู้จะปรากฏ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าเป็นอย่างไร เหมือนที่ท่านใช้คำว่า ญานังโหติ ชาติวุสิตัง พรัหมจริยัง กะตังกรณียัง เครื่องรู้ก็เกิดขึ้น รู้ว่าชาติสิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ถึงจุดจบแล้ว จะรู้ขึ้นมาเอง
       ถาม :  เป็นอาการเดิมอีกแล้ว พอหลวงพี่พูดปั๊บ มันเหมือนมีอะไรใส ๆ ปิ๊ง ขึ้นมาอย่างนี้ประจำเลย แล้วมันเหมือนตามทันอีกแล้ว แต่พอขาดสติมันก็หายอีกแล้ว (หัวเราะ)
       ตอบ :     ตอนนี้มันเป็นเงาในน้ำ พอมันเป็นเงาในน้ำแล้ว เราตั้งใจเอื้อมมือจะไปจับ จะแตกกระจายเลย ปล่อยมันอยู่ตรงหน้าเฉย ๆ รู้ไว้เฉย ๆ แล้วอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้ามัน เพียงแต่ว่าประคับประคองมัน
       ถาม :    อย่างนี้แหละครับ ผมว่ามันจะชนะกันยากด้วย ก็อย่างที่ผมบอกว่าตัวเองน่ะชอบอวดชอบอะไรอย่างนี้ พอมันติดปั๊บก็จะมาอย่างนี้
       ตอบ :     คือตอนนี้มันยังไม่เห็นโทษของมันพอเห็นโทษของมันว่า อวดทีไรเราเจ๊งทุกที เดี๋ยวพอมันเข็ดเข้ามันก็เลิกได้ ตอนนี้มันต้องปล่อย มันยังคันอยู่ต้องให้มันก่อน ถ้าไม่เกาเดี๋ยวขาดใจตายเพราะมันคัน ให้มันเกาซะเกาไปเกามาหนังถลอกปอกเปิก ชักแสบชักร้อน มันก็เลิกเอง
       ถาม :  เนี่ยครับ อย่างนั่้งสมาธิอย่างนี้ คัน ๆ เฮ้ย ! อย่าไปเกาพอเกาเสร็จเดี๋ยวสมาธิตก พอเริ่มเดินสมาธิดี เฮ้ย ! ไม่คันแล้ว เฮ้ย ! เราเก่งอีกแล้ว อย่างนี้ก็คือโดนมัน เสร็จมันอีกแล้วซิ รู้สึกทันทีเลยพอมันหายคันปั๊บก็....
       ตอบ :     เรื่องของอาการคันเป็นของประสาทร่างกาย พอเราเอาใจมาอยู่กับสมาธิจิตกับกายมันก็เริ่มแยกจากกันมันก็จะไม่รับรู้อาการทางกาย พอไม่รับรู้ปุ๊บก็รู้สึกว่าอาการคันมันหายไป แต่ความจริงมันยังคันอยู่แต่เราไม่สนใจมันต่างหากล่ะ
       ถาม :     (คุยเรื่องซีดี และเว็บไซด์ที่โหลดเสียงเทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุง) ....คลิกเข้าไปในเว็บนี้แล้วตอนเปิด เปิดไม่ได้
       ตอบ :     ถามสองพี่น้องนั่นเขาเหอะ เขาเรียนมาโดยตรง ทิดก้องมันก็จบเรื่องนี้มาโดยตรงนี่ แต่ว่าตอนนี้มันไม่สนใจเรื่องธรรมะหรอก มันกำลังมันกับเกมส์อยู่ เล่นกันข้ามวันข้ามคืน นั่นน่ะ คือตัวฉันทะ ถ้าเขาเล่นแล้วเขารู้จัก สังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง เขาจะได้ประโยชน์เยอะ เคยเล่าให้ฟังว่า มันมีอยู่ยุคหนึ่งที่ว่า บวชอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ นี่แหละ แล้วเพื่อนพระเขาอ่านกำลังภายในน่ะ ไอ้โน่นก็คุยกันไป ไอ้นี่ก็คุยกันมา ก็เฮ้ย ! คุณส่งโอวัลตินมาทีก็ส่งข้ามหัวมันไปนั่นแหละ ไอ้โน่นก็น้ำตาลหน่อยครับก็ส่งกลับมา ไป ๆ มา ๆ ไอ้นั่นมันไม่สนใจเลย ประสาทมันตัดสิ้นเชิงเลย มันอยู่แต่ตรงหน้าของมันอย่างนี้ มันไม่รับรู้โลกภายนอกเลยว่าเขามีอะไร ไอ้เรามาดู ๆ
                เฮ้ย ! ไอ้นี่มันระดับนิโรธสมาบัติเลยนี่หว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนาโดยสิ้นเชิงเลย มันไม่กินไม่ขี้เลยก็ได้ มันนั่งของมันอย่างนี้อยู่อย่างเดียว ตัวฉันทะของมันแรงขนาดนี้เลยหรือ ก็เลยมานั่งจับจุดว่า ฉันทะคือความพอใจมันเกิดขึ้น เพราะว่าเขาต้องการทำในสิ่งนั้น เขาชอบในสิ่งนั้น แล้วถ้าเราเอาตัวนี้มาภาวนาล่ะ ? พอคิดปุ๊บแยกออกมาปั๊บ เฮ้ย ! เราต้องทำให้ได้ 
              แล้วหลังจากนั้น เรื่องไหนเอ็งอ่านสนุกยืมมั่ง พอมันอ่านเราก็อ่านแต่เราภาวนาด้วยชักลูกประคำไปด้วยคาถา ว่าไปกี่จบเราจำด้วย แล้วในเนื้อเรื่องมันว่าอย่างไรพระเอกนางเอกเป็นอย่างไรต้องรู้ไปด้วย โอ้โห ! มันมากเลยตอนนั้นน่ะ เสร็จแล้วเราก็แซงมันไปขณะที่มันก็ยังนั่งอ่านอยู่แค่นั้นแหละ (หัวเราะ)
       ถาม :    ผมเข้าใจครับ เวลาผมอ่านแล้วมันก็จะหายเข้าไปกับหนังสือนั่นเลย
       ตอบ :     นั่นแหละคือ เราพอใจที่จะทำไง คราวนี้เราเอาความพอใจนั่นมาใช้ในการปฏิบัติแทน กำลังใจมันเท่ากัน 
       ถาม :   แล้วถ้าเกิดผมจับแค่ลมหายใจ แต่ไม่ภาวนาล่ะ ?
       ตอบ :  แล้วแต่ การจับลมหายใจนี่ อารมณ์มันทรงตัวอยู่แล้ว จะมีคำภาวนาหรือไม่มีคำภาวนาก็ได้ จะรู้ลมกระทบกี่จุดก็ได้ และรู้ตลอดก็ได้มันกว่าเยอะ ยันยัน และยิ่งถ้าเล่นอะไรแปลก ๆ ได้ ยิ่งมันเข้าไปอีก
       ถาม :     มันรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมทำได้ แต่ทำไมทำไม่ได้ ไม่รู้ ?
       ตอบ :     ตัวอยากมันกั้นอยู่ อารมณ์ที่เราใช้มันเกิน มันไม่ใช่พอดี
       ถาม :  อย่างเรื่องเหาะนี่ ผมก็บอกตัวเองอย่างนี้ มันไม่ยากเลยนะ เหาะ แค่คิดอย่างนี้เราก็เหาะได้แล้ว แล้วรู้สึกว่าตัวคิดมันทรงอารมณ์อย่างนี้ได้จริง ๆ
       ตอบ :     ตัวนี้โดนล่ามโซ่อยู่ การใช้อภิญญาเราต้องยอมรับกฏของกรรมถึงใ้ช้ได้ ถ้านิสัยอย่างของเรามันไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างง่าย ๆ เดี๋ยวมันก็เที่ยวเอาอำนาจอภิญญาไปช่วยคนโน้น สงเคราะห์คนนี้ ไปอวดคนนั้นถ้าไม่สามารถที่จะยอมรับกฏของกรรมได้ ก็ยังไม่สามารถใช้อำนาจของอภิญญาได้จริง ๆ มันก็ได้สะเก็ดนิด ๆ หน่อย ๆ 
                ยิ่งปฏิสัมภิทาญาณนี่คุมทั้งอภิญญาทั้งวิชชาสามและสุขวิปัสสโก นี่ยิ่งหนักเลย ปฏิสัมภิทาญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วเท่านั้น แล้วพระอนาคามีนี่ท่านตัดรักเด็ดขาด ตัดโกรธเด็ดขาดบ้านเรือนอะไรนี่ท่านก็ไม่เอาแล้ว ต้องระดับนั้นน่ะ ท่านถึงจะให้ใช้ได้เต็มที่ ถ้าไม่มีการควบคุมเอาไว้บรรลัยจริง ๆ เลย
       ถาม :     แต่ ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ นะ ว่ามันง่ายนี่หว่า
       ตอบ :    ก็ใช่ทีนี้ว่า แค่สร้างอารมณ์ของเราให้ยอมรับกฎของกรรมอีกนิดเดียวก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย จะสังเกตไหมว่าในพระไตรปิฎก พระที่ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บรรลุพร้อมอภิญญา บรรลุพร้อมวิชชาสาม ก็คือว่ากำลัง ใจท่านเข้าถึงจุดนั้นปั๊บของเก่าทั้งหมดใช้ต่อได้เลย คราวนี้ของเก่าของเรานี่มันรอเราอยู่นิดเดียวแค่นั้นเอง มันรออยู่ว่าเมื่อไหร่เราจะยอมรับกฎของกรรมแค่เท่านั้น 
              แบบเดียวกับที่เขาว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสโก ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจอะไร อย่าไปเชื่อเชียวนะ อาตมาเจอมาแล้ว อภิญญานี่ถ้าหากเป็นโลกียะนี่สู้ท่านไม่ได้เลยล่ะ ท่านทำได้ยิ่งกว่าทำได้อีก หลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่างชัดเลย คราวนี้ก็วิกุพนาฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากอภิญญาโดยตรงจากการฝึกกสิณสิบ มันเป็นแค่หนึ่งในสิบอย่างเท่านั้น ของท่านมันเป็นทั้งบุญฤทธิ์ เป็นทั้งอธิษฐานฤทธิ์ เป็นทั้งฌานฤทธิ์ มันได้หมดน่ะ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌาน ฤทธิ์ที่เกิดจากอธิฐาน ฤทธิ์ที่เกิดจากการสร้างสมบุญมาอะไรมา ท่านตั้งใจให้เป็นยังไงมันก็เป็นยังงั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ มันออกรอบด้านนี่ท่านตัดมันออกแล้ว มันเหลือแต่ตรงแล้ว ถ้าถามว่าลักษณะอย่างนั้นต้องการฝึกอภิญญาเมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น เพียงแต่ท่านหมดอยากแล้ว ไม่รู้จะฝึกไปทำไม
       ถาม :     อย่างนี้ก็เหมือนกันนะครับ ผมฟังอยู่ก็เข้าใจนะครับ เต็ม ๆ เลยตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจิตตรงกัน
       ตอบ :     พอ ๆ กับไอ้ลูกก๊อสซิบ่าน่ะ จะพ่นไฟแต่พ่นไม่ออกสักที (หัวเราะ) 
       ถาม :     ผมรู้สึกว่ามันไม่ยากด้วยมันง่ายด้วย
       ตอบ :  ก็บอกแล้วว่ามันง่าย มันก็เหลือแค่เรายอมรับกฏของกรรมเมื่อไหร่ มันก็เริ่มใช้ได้เมื่อนั้น ไปใต้งวดนี้ก็ไปเจอเพิ่มมาอีกหลายคน ที่เขาได้ขึ้นมาโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้นะ ไอ้คนมันได้ดีแล้วตัวเองไม่รู้นี่น่าเตะนะ เขาฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ หันไปฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย ยังไงต้องจับดวงแก้วศูนย์กลางกายให้ได้ ก็ไม่ได้ทำไปทำมาเบื่อ นอนดีกว่า พอนอนปุ๊บพระพุทธเจ้าเสด็จมาเทศน์ให้ฟัง บอกว่าทุกอย่างต้องมีความพอดี คือ มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าหากว่ามากเกินไปก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค น้อยเกินไปก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค เทศน์ฟังเสร็จ เขาดันมาถามเราว่าที่เขารู้มาถูกมั้ย ?
       ถาม :    (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าเทศน์เอง
       ตอบ :     ตูจะกล้าไปรับรองธรรมะพระพุทธเจ้ามั้ยเนี่ย (หัวเราะ)
       ถาม :     ก็เล่นเอาสูงสุดมาแล้ว
       ตอบ :  เอ้อ ! นึก ๆ แล้วบางทีก็....สังเกตมั้ยว่า เขาฝึกมโนไม่ได้ แล้วก็ฝึกธรรมกายก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาใช้กำลังมากเกินไป ทุ่มเทกับมันมากเกินไป แล้วเสร็จแล้วพอเขาฝึกแล้วฝึกเล่า ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เขาหมดอารมณ์น่ะ เฮ้ย ! ช่างหัวมันเว้ย กูนอนดีกว่า มันได้ตรงนั้นน่ะ อารมณ์ใจมันลดลงมาตรงพอดี
       ถาม :     ผมจะนอนภาวนาอยู่เรื่อยเลย แล้วพอนอนภาวนาทีไรมันก็จะ....
       ตอบ :    ถ้ามันพอดีมันก็ได้ สำคัญตรงนั้นน่ะ
       ถาม :     แต่ผมรู้สึกแปลก ๆ ชอบตื่น มากลางดึกแล้วไ้ด้ยินประโยคตรงใจอยู่บ่อย ๆ ผมจะเปิดเทปหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ มันจะวนไปวนมา
       ตอบ :     จดไว้แล้วก็ทบทวนการปฏิบัติของตัวเอง เก็บเอาไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต
       ถาม :  อย่างสมมุติว่าเราปล่อยปลา ปล่อยปลาตัวไหนห้ามกินปลาตัวนั้น พอปล่อยไปเสร็จปลามันยังไม่ทันตายเราตายก่อน พอตายก่อนจิตมันผูกพันกับคนโน้นคนนี้ กลับมาเกิดเป็นลูก แล้วดันไปเอาปลาตัวนั้นมา
       ตอบ :     คนละชาติกัน ไม่นับแล้ว
       ถาม :  แล้วอย่างเราฝากเงินเขาไปแล้ว เราก็ไม่รู้เขาไปซื้อกะละมังไหนล่ะครับ ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าภาพร่วมไปปล่อยด้วยเหมือนกันก็เหมือนกันหรือเปล่า ครับ ?
       ตอบ :    ก็โทษมันไม่เท่าเดิม ถ้าเจี๊ยะลงไปมันไม่หนักเท่ากับปล่อยเอง
       ถาม :     ถ้าเราไปซื้อมาปล่อย โดยไม่รู้ว่ามันตายแล้ว ?
       ตอบ :     บุญเราได้แล้ว ส่วนกรรมของเขามันก็หนัก แทนที่เขาจะได้รับอิสระ ก็ปรากฏว่าถึงแก่ชีวิตเสียก่อน แต่ว่านะอย่าหอบเต่าจากสุไหงโกลกไปปล่อยหนองคายนะ งวดนี้ไปเจอมาแล้วตายไปสองตัว
       ถาม :     แล้วทำไมไปปล่อยถึงโน้นเลยครับ ?
       ตอบ :     ก็เขาศรัทธาหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร ที่หนองคาย หอบเต่าจากสุไหงโกลกไป ให้ที่วัดหลวงปู่ทองทิพย์ปล่อย ตายไปสองตัว
       ถาม :    แต่ผมว่าศรัทธาเขาแรงนะครับ อุส่าห์หอบเต่าจากสุไหงโกลกไปถึงหนองคาย
       ตอบ :     กรรมไอ้เต่านั้นมันแรง (หัวเราะ) มันต้องลำบากจากสุไหงโกลกไปหนองคาย หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเล่าเรื่องของรามเกียรติ์ เหมือน ยังกับท่านเป็นตัวละครในรามเกียรติ์เอง คนก็เลยคาดว่าท่านต้องเป็นหนึ่งในตัวละครรามเกียรติ์นั่นน่ะ แล้วท่านสร้างวัดท่านก็ยังใช้วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร เพิ่งมรณภาพไปได้เดือนกว่านี่เอง ใครถวายแหวนท่านใส่หมดล่ะ สิบนิ้วนี้ล้นมือเลย นิ้วละหลาย ๆ วง ใส่ประเภทที่เรียกว่าลักษณะสงเคราะห์โยมเขา ให้มันได้บุญ เสียดายว่าท่านรีบมรณภาพเสียก่อน ไม่งั้นจะต้องมีตัวอยากดังมันไปหาเรื่องจนได้ แล้วก็คอยกรุณาสงสารมันจะลงอเวจีหรือเปล่า
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.2.html

ถาม :   ท่านมรณภาพไปนานหรือยังครับ ?
       ตอบ :  ประมาณเดือนนึง ตอนท่านอยู่ไม่กล้าพูดหรอก ถ้าหากว่าพระที่อยู่แล้ว ประเภทที่เรียกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปกวนท่าน เดี๋ยวอาตมาแย่ไปด้วย
       ถาม :    จะแย่กว่านี้อีกเหรอครับ ?
       ตอบ :    โห....อย่าลืมว่าตอนนี้อาตมาแค่นี้นะ เวลาพักยังไม่มีแล้วน่ะ เกิดมันอยู่ได้ซักแปดสิบล่ะ ?
       ถาม :   อ้าว...หลวงพี่บอกผมว่า ๑๒๙ ไม่ใช่เหรอครับ ผมจำแม่นนะหลวงพี่
       ตอบ :    ๑๒๖ ไหนบอกจำแม่น
       ถาม :    ผมจำกลับหัว (หัวเราะ) ผมอยู่ไม่ถึงร้อยอยู่แล้วครับ
       ตอบ :  เห็นตัวเลขก็จะขาดใจตายเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ ก็หลวงพ่อไง หลวงพ่อ ๑๒๐ พอดี ๑๒๐ จะขึ้น ๑๒๑ แต่หลวงพ่อท่านไปตอน ๗๙, ๘๐ มันไม่ไหว มันเข็นไอ้นี่ไม่ไป ในเมื่อเข็นมันไม่ไปก็ใช้ขันธ์ทิพย์ทำงานต่อ ครบเวลาก็ไปจ้อย ตอนนี้หลวงพ่อท่านก็ยังเหลืออีกประมาณ ๗๐ ปี ได้มั้ง เดี๋ยวปีนี้มีอะไร เหลืออีก ๓๕ ปี เรื่องมันเลยมาแล้ว แล้วหลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้ว แต่ระวังโดนฟาดกะบาล เผลอเมื่อไหร่โผล่มาทุกที
       ถาม :    แต่ผมขี้เกียจ มันไม่จดน่ะ ฝึกตัวเองไม่ได้ซักทีขนาดเตรียมกระดาษปากกาไว้หัวนอน แล้วก็ยัง
       ตอบ :    ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอทำถึงจุด ๆ หนึ่ง แล้วจะรู็ว่าเวลาที่ผ่านไปนัน ถ้าเราตายเสียก่อนมันน่าเสียดายเหลือเกิน 
       ถาม :  ผมก็คิดครับ บางทีเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกอยู่เลยว่า นี่เราประมาทคุยกับไอ้ป๊อบอยู่เลยว่า เราไม่ศรัทธากันจริง ๆ เพราะถ้าศรัทธากันจริง ๆ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราตายได้เสมอ เราก็ต้องทำแล้ว ไม่ใช่ว่ามารี ๆ รอ ๆ แล้วไม่ได้ทำซักที ก็พอพูด จบ ซักวันสองวันก็....
       ตอบ :    เหมือนเดิม (หัวเราะ) สม่ำเสมอดีมาก มีสมานัตถตาเนอะ
       ถาม :  ผมว่าการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน มันเหมือนกับเราผจญ เราเครียดอย่างนี้ เราหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ? เหมือนกับไปฝักใฝ่กับมันเหนื่อยกับมัน
       ตอบ :   ไม่ใช่หลอกตัวเองหรอ เขาหลอกเรา
       ถาม :   สมัยก่อนอ่านไปก็วิจารณ์หลวงพ่อไป ทำไมสอนอย่างนั้น ทำไมสอนอยา่งนี้เป็นเรา เราไม่ทำอย่างนี้แน่ ๆ เลย
       ตอบ :   มาถึงสมัยนี้ หลวงพ่อสอนขนาดนั้น มันยังไม่เอาเลย (หัวเราะ)
       ถาม :   แต่เดี๋ยวนี้ก็ย้ังเป็นอยู่ ก็ยังมาติเหมือนกัน ก็ยังมาติตลอด
       ตอบ :  ก็บรรดาพวกหนังสือหนังหาอะไร แล้วก็คนใหญ่คนโตในแผ่นดินบางส่วน (หัวเราะ) เขาจะไม่สนับสนุนให้ธรรมะของหลวงพ่อแพร่หลาย เพราะเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของฤทธิ์ของเดชมากเกินไป มันจะไปติดกันอยู่ตรงนั้นมาก เขาว่า ต้องเอาธรรมะบริสุทธิ์แบบสายพุทธทาส หรือวัดชลประทานนั่น เดินเข้าไปดูซิมุมพระพุทธศาสนาน่ะ มีแต่ตำราของสองท่านนี้ เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ล่ะมัง ตัวกูของกู คู่มือมนุษย์ อะไรอย่างนี้พี่น้องสองอรหันต์ อิทิปปัตจยตา อานาปาณสติ ๑๖ ขั้น
       ถาม :    ผมรู้สึกเลยว่า เหมือนเรา ผมรู้สึกไง เหมือนกับ....
       ตอบ :    มันจะเริ่มใส่อารมณ์ไปด้วย
       ถาม :    ใช่ครับ ก็รู้สึกตัวเองเลวไง ไปเห็นคนอื่นเลวแล้ว โดนมารหลอกไปอีกแล้ว
       ตอบ :    มันดึงไปตั้งไกลแล้ว
       ถาม :   อย่างนี้ยังทันมั้ยครับ ?
       ตอบ :    ทัน ช้าไปหน่อย ช้าแค่ไหน ถ้ารู้ตัวก็ถือว่าทัน
       ถาม :    ความจริงพยายาม บางทีแบบเคยนั่งอ่าน ใส่แล้วใส่อีกก็ยังไม่เข้าใจ (หัวเราะ) อ่านเข้าใจยากจริง ๆ 
       ตอบ :    อาตมาเคยอ่านเรื่องเดียวอยู่สามวัน กว่าจะเข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร
       ถาม :    เรื่องอะไรครับ ?
       ตอบ :    หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคลที่ไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา ไม่ได้อธิษฐานตามกันมา จะฟังกันเข้าใจยาก มิน่าเราแคะอยู่สามวันแคะไม่ออก แต่คนอื่นอ่านมันซาบซึ้งกันจัง
       ถาม :    การตื่นเวลาตรงกันอยู่ทุก ๆ วันนี่มันเกี่ยวเนื่องกับอะไรหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :    สั่งมัน เรื่องของการปฏิบัตินี่ มันเหมือนยังกับมีนาฬิกาปลุกพิเศษอยู่ในตัว เรากำหนดใจว่าจะตื่นเมื่อไหร่เวลาไหนมันจะตรงเป๊ะเลย แล้วไอ้ที่ตลกที่สุดช่วงที่ปฏิบัติหนัก ๆ สมมุติว่าเราตั้งไว้ตีสาม แล้วมันจะตื่นก่อนห้านาทีทุกวันเลย มันจะตื่นตีสองห้าสิบห้าเป๊ะเลย จะเป็นอย่างนั้น นาฬิกาของเรามันเพี้ยน มันเผื่อให้ห้านาทีเผื่อบิดขี้เกียจ
       ถาม :    ................
       ตอบ :  ระยะหลัง ๆ มานี่คนใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิดยังไม่พอ คือประเภทที่ว่าแทนที่จะรู้เพื่อละหรือเพื่อยึดเกาะพระนิพพานโดยตรง ก็เอาไปใช้แล้วก็ไปยึด ตรงนี้เราถือว่าผิดมากแล้ว ถัดมาจากตรงนี้ยังมีอีก ใช้ มโนมยิทธิในการจัดการกับผู้อื่นโดยการว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ในลักษณะเป็นศัตรูแล้วก็ขับไล่ออกไป...เก่งมาก....พวกนี้ มันเก่งเกินครูอาจารย์
       ถาม :     ถ้าเกิดเป็นลูกแท้ ๆ อย่างนี้ ตายเลย
       ตอบ :    น่ากลัวมั้ย ? การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้น่ากลัวขนาดนี้ ขนาดบุคคลที่ี่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นแล้วยังเห็นผิดได้ถึงปานนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้อื่นที่จะไม่ทุกข์แล้วมันจะมีอยู่หรือ
       ถาม :    ผมว่า ............(ไม่ชัด)...........แสดงว่าของเก่าเขาไม่น้อยแสดงว่าเราต้องทำกันมาไม่ใช่น้อย ๆ มันต้องเยอะมากเหมือนกัน
       ตอบ :  มีอยู่วันหนึ่งประชุมกันในโบสถ์ หลวงพ่อบอกว่าพวกแกยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิจริง ๆ หรอก พวกเราก็ เอ๋อ....รับประทาน กติกาข้อแรกเลยว่าคุณจะบวชต้องได้มโนมยิทธิก่อนไม่งั้นไม่ให้บวช ทำไมไม่มีใครได้เลยเหรอ ? หลวงพ่อท่านเฉลยว่า บุคคลที่จะไ้มโนมยิทธิจริงจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น เพราะจิตท่านสะอาดปราศจากกิเลสจริง ๆ นอกนั้นโอกาสโดนมารแทรกมีสูงมาก ขนาดหลวงพ่อท่านยังเคยเล่าให้ฟังว่าท่านโดนมารมันหลอก เพียงแต่ว่าท่านรู้ทัน...รู้ทันมารในลักษณะพระพุทธเจ้าไง หลอกท่านซะเปื่อยไปทีหนึ่งแล้ว พอขึ้นไปอีกทีทำกำลังใจถูกต้องไปต่อว่า พระท่านบอกไม่ใช่ฉันดูซิใคร นั่งยิ้ม ๆ ไป ยิ้มมา .......เขี้ยวงอก
       ถาม :    แล้วตกลงเป็นใครครับ ?
       ตอบ :    มารเขาหลอก
       ถาม :    มารนี้มันตัวตนใช่ไหมครับ ?
       ตอบ :   มีจริง ๆ   
       ถาม :   คือ เทวดาที่ท่านทำหน้าที่ ?
       ตอบ :  กล้ายืนยันว่ามีจริง เพราะเจอกันมาแล้ว แล้วมากันอย่างชนิดที่เรียกว่าเราไม่นึกว่าเขาจะเยอะอย่างนั้น ของเราเราว่าเราเป็นคนที่บ้าเลือดแล้วไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ นะ พอเจอเข้าจริง ๆ ใจมันฝ่อเหลือนิดเดียว รู้เลยนะว่าเราลุ้นเขาไม่ขึ้น เป็น พวกมิจฉาทิฏฐิที่มีโอกาสทำบุญใหญ่อย่างไม่ได้เจตนา บุญใหญ่นั้นส่งให้เขารับความดีในลักษณะของเทวดาชั้นสูงสุดของชั้นกามาวจร ด้วย แต่ว่าหน้าที่เอกเขาก็คือคอยขวางคนอื่น เขาไม่อยากให้คนอื่นได้ดี
       ถาม :    ......................
       ตอบ :  จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าตราบใดที่เขายังไม่หมดบุญตรงนั้นเขาก็ยังทำไปเรื่อย พอถึงเวลาผ่านไปเดี๋ยวคนอื่นก็มาแทนเยอะนี่
       ถาม :    มันคือผลกรรมหรือเปล่าครับ มันก็คือเนื่องกันมา.............?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เขาไม่ใช่ศัตรูของเรา คิดดูแล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะเขาทดสอบอยู่ทุกวินาที เผลอเมื่อไหร่มันลากเราไปเมื่อนั้น
       ถาม :   ครับ ผมว่านี่ขนาดผมนั่งอยู่กับหลวงพี่ผมยังรู้สึกอยู่ตลอด นี่เผลออีกแล้ว นี่โดนอีกแล้ว นี่โดนอีกแล้วเนี่ย
       ตอบ :     เดี๋ยวนี้เฮียเขาก้าวหน้าแล้วจ้ะ จากกัน ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ (หัวเราะ)
       ถาม :   ..................
       ตอบ :     ก็ใช่น่ะสิ บอกว่า ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ นี่จากกันตั้งนาน เขาว่าอะไรนะ..........
                          เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม         ดนตรี                ห้าวันอักขระหนี         เนิ่นช้า                สามวันจากนารี            เป็นอื่น                หนึ่งวันเว้นล้างหน้า         หม่นไหม้ หมองศรี
       ถาม :   ..............
       ตอบ :     หมายความว่ารู้ตัวอยู่ว่าเผลอเมื่อไหร่เขาก็เอาเรา คือในระหว่างที่ใจกับกิเลสมันสู้กันอยู่ เผลอสติเมื่อไหร่กิเลสมันจะชนะ มันเหมือนกับต่อยมวยกันอยู่เผลอเมื่อไหร่การ์ดตกมันก็เปรี้ยงเต็ม ๆ 
       ถาม :    เมื่อสมัยก่อนหัวเกรียนเลย
       ตอบ :  เขายาวจนประบ่าไปทีหนึ่งแล้ว แล้วเขารำคาญก็เกรียนไปกะจะโกนเลย ไป ๆ มา ๆ มันยาวอีก ใครชอบอย่างไหนก็อย่างนั้น ตามเขาให้ทันเถอะ ถ้ามัวไปสนใจเรื่องอื่น กำลังมันโดนแย่งเอาไปเยอะ พอมันแย่งเอาไปเยอะกำลังที่จะสู้กิเลสมันน้อยลง เพราะฉะนั้นปิดรอยแยกมันให้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันให้หมดให้เหลือใจอย่างเดียว มันเคยทำได้นี่ เพียงแต่เราเห็นว่าอย่างอื่นมันดีกว่าเท่านั้นเอง ตอนนี้เราก็แค่ย้อน กลับมาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมมันดีกว่า เปลี่ยนความตั้งใจ เปลี่ยนความพอใจ จากทางเดินทางโน้นกลับมาด้านนี้เท่านั้นเอง กำลังมันเท่ากันน่ะไอ้ที่ใช้
       ถาม :    มันขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
       ตอบ :  คนเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก เพียงแต่ว่าสำคัญตรงทำให้ต่อเนื่อง เผลอแม้แต่วินาทีเดียวมันก็หลุด ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าหยุดภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการสวดมนต์ไหว้พระแล้วเลิก อย่างนั้นขาดทุนทำจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นอยู่กับเราให้นานที่ สุด พลาดเมื่อไหร่ก็รีบตะเกียกตะกายหามันใหม่
       ถาม :    ...................
       ตอบ :  นึกเสียว่าสิบล้อมันวิ่งก็แล้วกันโยม รู้อยู่..........แต่พูดเล่น คือว่ามันมีหลายปัจจัยด้วยกันแต่จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าพูดแบบเมื่อกี้ที่ตือเขาพูดก็คือว่าเขาดึงความสนใจของเราไปจากจุดที่เราภาวนาอยู่ พอเราไปสนใจข้างนอกเมือ่ไหร่ ส่งใจออกนอกก็เสร็จเขา กำลังใจของเราแทนที่จะอยู่กับการภาวนา ........ไปอยู่กับรูปแล้ว เสียท่าเขาแล้ว เขาเจตนาจะเปลี่ยนความสนใจของเราจากการภาวนานี้ ซึ่งมันจะต้องได้แน่ ๆ
              ถ้าทำต่อไปให้ไปสนใจข้างนอกแทน แล้วก็ทำไม่สำเร็จ.....ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวที่ใจเราไปสนใจทางโน้น.....เสร็จมันแล้ว ! มันลากคอเราไปแล้ว พวกเรื่องละเอียด ๆ นี่บางคนที่เขาทำไม่ถึงจะท้อไปเลย ..........มันยากมันเย็น ขนาดนั้นอย่าไปสู้มันเลย เป็นพวกเดียวกับมันไปเลยดีกว่า
       ถาม :  ..........(ไม่ชัด)..........ตอนนั้นหนูอยู่เมืองกาญจน์..........เขาสู้กับ คนไม่ดี คือเขาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราอยู่เฉย ๆ ของเรา..........เราก็สามารถหาวิธีหลบหลีก........ทีนี้เรานึกถึงคำว่าก่อ กรรมนี่ค่ะ เราไม่อยากก่อกรรม แต่ว่าถ้าเราอยู่เฉย ๆ....ในแง่ทางดลกนี้ผลกระทบมันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วที่พยายามคิดนี่ตัวโมหะมันอื้อเลยค่ะ .........(ไม่ชัด)........?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วคือเราทำถูก แต่ว่ามันถูกแค่ขณะนั้น ถูกแค่กำลังใจของเราตอนนั้น คำว่าก่อกรรมเราใช้ได้ถูกมากเลย คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอมีการกระทำขึ้นมาไม่ว่าจะดีหรือชั่วผลของการกระทำจะส่งผลให้เราในอนาคตแน่นอน นั่นคือการก่อกรรมขึ้นมา
              คราวนี้ กำลังใจของเราน่ะอยู่จุดนั้น พอถึงเวลาแล้วความรักตัวของเรามันมีมากกว่ามันก็จำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อ เป็นการป้องกันตัวของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากเป็นผู้ที่กำลัง ใจสูงกว่านั้น ในลักษณะที่เรียกว่ายอมตายถวายชีวิตลักาณะที่ว่าเพื่อให้มันเด็ดขาดลงไป กรรมตรงนี้มันสิ้นไปเลย ถึงเขาจะฆ่าเราก็ยอม อันนั้นก็อีกระดับหนึ่งของกำลังใจ แต่ละคนแต่ละกำลังใจไม่เท่ากัน 
               ดังนั้นการกระทำของแต่ละคนไม่มีอะไรน่าตำหนิเลย เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เขาจึงได้ทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดีคงไม่มีใครทำหรอก จุดนั้นเขาเห็นว่าเขาทำแล้วดีเขาก็ทำ ของเราเองก็ เออ....เอากับเขาซะหน่อยมันก็คงจะดีก็เลยทำบ้าง มันกลายเป็นว่ากรรมมันกว้างออกไปเรื่อย จากการกระทำที่ไม่ได้หยุดลง คราวนี้ถ้าหากว่าอยากจะหยุดการกระทำอันนั้นมันก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่านั่น แหละ ยอมตายถวายชีวิตบูชาธรรมไปเลย แต่กำลังใจของเราไม่ถึงตรงจุดนั้น ในเมื่อเรายังไม่ถึงตรงจุดนั้นเราทำตรงนั้นลงไป ตอนนั้นก็ถือว่าสมควรแล้ว
       ถาม :  แต่ถึงแม้ว่า ....สมมุติว่าหนูอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโต้คนอีกฝ่ายหนึ่ง เขาพยายามจะหาผลประโยชน์จากเรา เขาคงไม่หยุดหย่อน ถ้าสมมุติว่าในกรณีนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโ้ต้เขา .........(ไม่ชัด)...........ซึ่งตรงนั้นวัฏจักรในอนาคตนี่มันย้อนกลับมา เกี่ยวข้องกับเราอีก ?
       ตอบ :     มันย้อนกลับมาแต่ว่ามันเป็นกรรมในลักษณะเดียวมันจะเป็นกรรมด้านเดียว ในเมื่อกรรมด้านเดียวมันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรือเขาจะถูกกระทำโดยกรรมนั้นมาสนองฝ่ายเดียว แต่ว่าพอกระทำไปปุ๊บมันก็ยังคงเป็นกรรมต่อไปอีกจนได้ จนกว่ามันจะเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป คือ ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยตกลงกันต่อหน้าว่าเรื่องทั้งหลายที่ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึง บัดนี้ขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ให้อโหสิกรรมต่อกัน ถ้าหากเขาตอบรับก็คือจบกันเลย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.3.html

         ถาม :    .........(ไม่ชัด)................
       ตอบ :    ทำไมล่ะ แป๊บเดียวของข้างบน ก็นิดเดียว เคยได้ยินไหม กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา เคยได้ยินพระสวดไหม ถ้าสวดต่อก็แป๊บเดียว ท่านเทศน์แต่หัวข้อแต่ว่าความเป็นทิพย์ของเทวดาน่ะสูงมาก อยู่ในระดับที่ว่า อุคติตัญญูคือ ฟังหัวข้อไปเข้าใจเลย เราฟังรู้เรื่องไหมล่ะ ท่านบอกว่า ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล เขาฟังปุ๊บเขาก็รู้แล้ว ธรรมส่วนที่เป็นกุศลคืออะไร ธรรมที่เป็นส่วนอกุศลคืออะไร ที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปคืออะไร และเขาก็จะเลือกที่ถูกที่ควรของเขาได้ ฉลาดมากขนาดนั้น
              เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเทศน์มาก เทศน์ข้างบนนี้ไม่ต้องเทศน์ยาว ๓ เดือน ก็แป๊บเดียวของข้างบน ถ้าจะเลิกสงสัยก็เป็นซะเองพอถึงเวลาก็ขึ้นไป (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? สถานที่ที่อยู่เป็นสุขมันเหมือนกับผ่านไปเร็วใช่มั้ย ? เวลาเราสบายใจแป๊บเดียวหมดวันแล้ว คราวนี้เทวดาเขาสุขไอ้ความสบายใจของเรานับเข้าไม่ได้ เพราะเวลาของเขาพอนับเวลาของมนุษย์แล้วมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ของเขาแค่วันเดียวของเราต่ำ ๆ ก็ไป ๕๐ ปีแล้ว ถ้าหากว่าชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งก็ ๑๐๐ ปีของเรา
               นางปติปูชิกาเป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แต่งงานมีลูกแล้ว ตายตอนอายุ ๕๐ เศษนิดหน่อย กลับขึ้นไป มาลาพาลีเทพบุตรถามว่าเธอหายไปไหนมาครึ่งวัน ไปเกิดเป็นมนุษย์อายุ ๕๐ กว่า มีสามีมีลูกแล้ว ตายแล้วกลับขึ้นไปใหม่ กลายเป็นครึ่งวันของข้างบนเท่่านั้น ท่านก็บอกว่าท่านไปเกิดเป็นมนุษย์มา มีสามีมีบุตรแล้ว แล้วก็ได้ทำบุญในสำนักของพระพุทธเจ้าอธิษฐานเพื่อขอกลับมาเกิดใหม่ในสำนัก ของท่าน มาลาพาลีเทพบุตรก็ตกใจ เอ๊ะ ! ชีวิตมนุษย์มันสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเขามีความประมาทอยู่หรือว่าเป็นผู้ขวนขวายได้บุญ ปติปูชิกาบอกว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ประมาทลุ่มหลงมัวเมาอยู่ มาลาพาลีเป็นเทวดานี้ก็มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ ตั้งใจรู้อะไรก็รู้หมด ก็ได้แต่นั่งถอนใจสงสารมนุษย์ไม่รู้จะช่วยยังไง
       ถาม :  น้องชายเขาบนบวชเอาไว้ ตั้งใจว่าบวชเมื่อเรียนจบปีหน้าเขาจะไปรับผู้พัน เขาจะบวชสักพรรษาหนึ่ง คือใช้ที่เขาบนเอาไว้ด้วย แล้วก็บวชให้ตัวเองด้วย แต่บังเอิญตำแหน่งที่ีมาเขาไม่สามารถบวชได้ในตอนนี้ มีวิธีไหนไหมคะ ที่จะ....?
       ตอบ :    แล้วเขาไปบนในลักษณะที่ว่าจะบวชเมื่อไหร่หรือเปล่า ?
       ถาม :    ไม่ได้บนในลักษณะว่าจะบวชเมื่อไหร่ค่ะ
       ตอบ :  บนแค่ว่าให้บวชใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ พอได้สมดังใจแล้วก็จุดธูปบอกท่านเลยว่าเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะบวชให้เพราะตอน นี้ตำแหน่งหน้าที่ที่ให้มาไม่สามารถจะบวชได้จริง ๆ จนกว่าจะปลีกตัวได้ ยกเว้นว่าเราไปล็อกเวลาแน่นอนว่าถ้าได้ปุ๊บจะต้องบวชอะไรอย่างนั้น เพราะว่าเรื่องของเทวดาท่านตรงไปตรงมา
       ถาม :    ไม่เกี่ยวกับอธิษฐานจิตใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :    ไม่เกี่ยว
       ถาม :    มีอีกเรื่องหนึ่ง คือว่ารู้ตัวทุกอย่างแต่ว่ามันกดจนมันสุดทนแล้ว กดไม่ไหวแล้ว ปล่อยออกมาก็รู้ว่าผิด เก็บไว้ก็เก็บไม่ได้ ?
       ตอบ :   ก็ปล่อยออกมาสิ แต่ว่าอย่าปล่อยให้มันเป็นโทษแก่คนอื่น ไประเบิดในห้องน้ำก็ได้
       ถาม :    ...............
       ตอบ :   นั่นแหละ เอาเลย เพราะอย่างเก่งมันก็เป็นแค่มโนกรรม วจีกรรม อย่าให้มันเป็นกายกรรม เราลดกรรมเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าหากจะลดวจีกรรมลงด้วยก็เอาแค่ในใจก็ได้ ด่าให้มันระเบิดเถิดเทิงไปเลย แต่ด่าในใจ
              คือถ้ามันถึงเวลามันไม่ไหวจริง ๆ เพราะว่าสติมันตามไม่ทันไปรับเขาเอาไว้เยอะมันก็จำเป็นนะ ต้องใช้คำว่าจำเป็นเลยว่าถึงเวลามันไม่ไหวมันก็จะระเบิดเอา อันนั้นก็ลดกรรมให้มันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นได้ คือถ้าอย่างหนักก็กายกรรมใช่มั้ย ? เราก็ให้เหลือวจีกรรมหรือมโนกรรมก็พอ หรือถ้าเป็นไปได้ ให้มันเหลือแค่มโนกรรมให้อกแตกตายไปคนเดียวก็พอ อย่าให้ความชั่วของเรามันไหลไปปนเปื้อนให้คนอื่นเขาลำบากไปด้วย
       ถาม :   (ถามเรื่องอยากมีลูก) จะเลี้ยงไหวไหมครับ เดี๋ยวมีเยอะน่ะครับ ?
       ตอบ :     อาจจะได้แฝด ๘ (หัวเราะ) บายศรีคู่หนึ่ง ซ้ายขวา ๑ คู่ ไก่ต้ม ๑ ตัว หัวหมูต้ม ๑ หัว ขนมต้มขาวต้มแดงอย่างละถ้วย ข้าวปากหม้อ ถ้าหากบายศรีเขาอัดข้าวไปได้ก็อัดเ้ข้าไปในบายศรี ถ้าใส่ไม่ได้ก็เอาใส่ถ้วยไว้ต่างหาก แล้วก็ไข่ต้มยอดบายศรี ถ้ายอดบายศรีเขาไม่เตรียมไว้ให้เราเสียบไข่เราก็เอาไข่วางรวมไว้กับข้าวก็ได้ ก็เท่ากับว่าไข่ต้มอย่างน้อย ๒ ฟองนะ แล้วก็กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโออย่างละ ๒ เพราะ ว่าเราจัดบายศรีซ้ายขวาใช่ไหม ? ก็อย่างละ ๒ จัดเป็น ๒ ชุด มีเทปบวงสรวงหลวงพ่อไหม ? รู้จักไหม ? หลวงพ่อท่านจะมีเทปสมาทานกรรมฐานอยู่ม้วนหนึ่ง อย่าให้เกิน ๙ โมงเช้านะ ยิ่งเช้ายิ่งดี เปิดเทปบวงสรวง ตั้งใจขอกับท่านปู่พระอินทร์เพราะ ว่าพระอินทร์ท่านเป็นนายของเทวดาทั้งหมด ตั้งใจขอท่านว่าเทวดาองค์ไหนจะที่จะเกิดมา เพื่อสร้างบารมีขอให้มาเกิดกับเรา จะบำรุงเลี้ยงเต็มที่ แล้วถ้ามาทั้งทีก็ควรจะให้คุณกับครอบครัวเยอะด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเลี้ยงมันอย่างเดียว...ตาย
       ถาม :    .........................
       ตอบ :  เทวดาองค์ไหนที่จะมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา ขอให้ท่านปู่พระอินทร์ช่วยสงเคราะห์ให้เทวดาองค์ไหนที่ท่านปกครองอยู่จะมา เกิดเพื่อสร้างบารมีน่ะ ขอให้มาเกิดกับเรา อธิษฐานขอกับท่านปู่ดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ
       ถาม :     อย่างนี้มันก็อยู่ที่ว่าเขาก็ต้องเนื่องกับเราด้วยสิครับ ?
       ตอบ :    มันก็ต้องเนื่องกันมาในอดีตอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีอะไรกันนิดหนึ่ง
       ถาม :     อยากมีลูกแต่กลัวเลี้ยงลูกไม่ดี แต่ก็จริง ๆ นะได้ิยินมาว่าตีก็ไม่ได้ ?
       ตอบ :  เด็กที่มาจากข้างบน ที่มาจากพรหม จากเทวดา เขาจะรู้ภาษารู้เหตุรู้ผลตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าเขาทำผิดครั้งแรกอย่าเพิ่งลงโทษ ให้บอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำแล้วผิด ต่อไปหนูทำอีกแล้วแม่ต้องตีนะ จะต้องลงโทษนะ แล้วต่อไปเขาทำผิดบอกเนี่ยหนูทำผิดอย่างที่แม่บอก แล้วตีเขาจะรับได้ แต่ถ้าไปตีเขาแล้วไม่ให้เหตุผลพวกนี้จะดื้อ แล้วถ้าดื้อขึ้นมาแล้วเลี้ยงยากอย่าบอกใคร ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล
       ถาม :    พอดื้อปั๊บ ผมก็เสียงดัง
       ตอบ :  พวกนี้จะรู้เหตุรู้ผล แต่ว่าเด็กก็คือเด็ก ความจำเขาจะสั้น เราบอกซ้ำไปแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเวลาก็บอกเขาใหม่ แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเขารู้ว่าผิดแล้วเขาทำ ถ้าเราตีเขา เขารับได้
              มีเด็กอยู่คนหนึ่ง ตัวมันนิดเดียวแหละ อายุประมาณสัก ๓ ขวบนะ ชื่อจริงเขาชื่อสมาบัติ ไอ้นี่มาจากข้างบนแท้ ๆ เลย พอเขาทำผิดพ่อเขาตี เขาเป็นอาจารย์ด้วย พอตีปั๊บเขาถามว่าตีผมทำไม พ่อยิ่งโกรธยิ่งตีใหญ่หาว่าลูกหัวหมอ แต่จริง ๆ ลูกมันถามเหตุผลเท่านั้นแหละ ว่าตีทำไม แต่ไม่บอกเขา ตีเขาแบบระบายอารมณ์ พวกนี้ถ้าดื้อขึ้นมารับรองได้เลยว่าเอาอยู่ยาก
       ถาม :    นี่พอตั้งท้องก็ตั้งชื่อเลย ยังไม่ทันรู้เลยว่าลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเคยแท้งน่ะค่ะ ตอนนั้นท้องได้ ๔ เดือน
       ตอบ :    ระยะนี้ก็อย่าไปเล่นคอมฯ บ่อยก็แล้วกัน เห็นว่าใกล้คอมฯ แท้งเยอะ เพรามันเท่ากับโดนเอ็กซเรย์อยู่ตลอด
       ถาม :     ก็นั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ
       ตอบ :   เอาหมอนนิ่ม ๆ ใบโต ๆ สอดไว้ข้างหน้าเราเวลาทำงาน มันช่วยได้เยอะ
       ถาม :      .............
       ตอบ :    กำลังของกรรมทั้งหมดเหมือนกับวังน้ำวนที่ดึง ดูดเราอยู่ ถ้าหากว่ากำลังเราสูงกว่า่เราสามารถแหวกว่ายเพื่อที่จะฟันฝ่าให้หลุดพ้นจาก วังวนอันนั้นขึ้นฝั่งไปได้ก็เป็นอันว่าจบ หนี้สินต่าง ๆ น่ะ ไม่ได้เกี่ยวกัน เจ้าหนี้อยู่ฝั่งโ้้น้น ถ้าจะตามขึ้นไปตามข้างบน (หัวเราะ) พอไปถึงข้างบนไม่มีใครเขาทวงกันแล้วจ้ะ มันต่างคนต่างหลุดพ้นสบายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเป็นกิจที่ต้องทำอีก
       ถาม :   วิธีเดียวที่จะหนีจากโลกคือต้องไปนิพพาน ?
       ตอบ :  ไปนิพพานให้ได้ถึงจะจบ ไม่อย่างนั้นแล้วกรรมทุกอย่างจะหมดลงด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกเขาเรียกว่า อโหสิกรรม คือว่าโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้ากัน พร้อมใจกันเอ่ยปากว่า่กรรมทั้งหลายที่ทำมาขอให้เป็นอโหสิกรรม สิ้นสุดลงต่อกัน ถ้าตกลงกันได้อย่า่งนั้น กรรมนั้นจะจบลง อีกอย่างหนึ่งก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรมด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งทำความดีถึงที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจจะตามได้ก็จบลงเหมือนกัน เขาไปต่างประเทศแล้วเราอยู่ที่นี่ไม่มีสตางค์ค่าเครื่องบินน่ะ ก็เป็นอันว่าไม่สามารถทวงได้
               พระองคุลีมาล ใช้หมดมั้ยล่ะจ้ะ ? (หัวเราะ) ฆ่าไปซะบานเลย ยังไม่ได้ใช้สักคนไปนิพพานซะแล้ว กรรมเป็นของน่ากลัวไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์ที่ดุร้ายตามทันเมื่อไหร่ก็ขบกัดทำอันตรายเราอยู่เสมอ บางทีถึงแก่ชีวิตลง อย่างเช่น อุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทั้ง ๆ ที่ไม่ทันหมดอายุก็ต้องตายลงไป
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้ตามเราอยู่ตลอดเวลา ขนาดนี้ถ้าไม่เร่งหนีมันให้พ้นก็จะโดนมันทำอันตรายอยู่เสมอ วิธีหนีที่ดีที่สุดก็คือต้องหนีไปนิพพาน ที่อื่นหนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไม่ว่าจะหนีไปอยู่ใต้มหาสมุทร จะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆบนท้องฟ้า หนีไปอยู่ในซอกเขาลึก ก้นเหวลึกสุดคณา กรรมทั้งหลายก็ยังคงตามได้เป็นปกติ ยกเว้นที่เดียวพ้นโดยสิ้นเชิง คือ พระนิพพาน
       ถาม :    ส่วนมากนี่คนที่ไปแล้วมักจะอยู่ไม่ได้ใช่ไหมคะ เช่น ฆราวาส ?
       ตอบ :    ถ้าเป็นฆราวาสหากว่าบรรลุมรรคผลแล้วอยู่จะเป็นโทษแก่คนอื่นมาก ความดีก็จะตัดให้ตายไปเลยจะได้ไม่เป็นโทษกับเขา
       ถาม :    โทษกับคนอื่นนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
       ตอบ :  คนที่เขาไม่ทราบเขาก็ยังเห็นเราเหมือนเดิม แต่ความจริงกำลังใจของเราสะอาดถึงที่สุดแล้ว ในเมื่อเขาแตะนิดแตะหน่อยสิ่งที่ตอบคืนกลับไปนั้น ถ้าทำดีก็จะได้คุณอนันต์ ถ้าทำชั่วแก่เราก็จะได้โทษมหันต์
               นางขุชชุตตรา เพื่อท่านเป็นที่ภิกษุณีกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไปคุยกันอยู่ นางขุชชุตตราท่านนั่งอยู่ เพื่อนท่านนั่งแล้วขวางเครื่องแต่งตัวท่านอยู่นี่ ท่านก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดหยิบเครื่องแต่งตัวให้ดิฉันหน่อย ภิกษุณีท่านก็พิจารณาดูว่าถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธจะลงนรก แต่ถ้าเราหยิบให้เธอโทษของการใช้พระอรหันต์ตายไปต้องเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ การเป็นคนใช้เขาย่อมดีกว่าลงนรก ท่านก็เลยหยิบส่งให้ นางขุชชุตตราต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เพราะว่าใช้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ นั่นขนาดเป็นภิกษุณีแล้ว คราวนี้ลองคิดดูว่าถ้าเราที่เป็นฆราวาสแล้วเพื่อนไม่รู้ล่ะ ?
       ถาม :     ...............................
       ตอบ :  เด็กผู้หญิงคนนี้อายุประมาณ ๕ ขวบเท่านั้น ตายลง แล้วพระยายมราชให้เทวทูต ไปตามหลวงพ่อจากวัดท่าซุงบอกว่าเด็กคนนี้เรียกหาหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา พอหลวงพ่อไปถึงก็แปลกใจว่าทำไมเรียกหา ก็ปรากฏว่ากำลังใจเขาทรงความดีอยู่ตลอด พระยายมบอกว่าเด็กคนนี้โตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่เนื่องจากเธอโตขึ้นจะเป็นคนสวยมาก และกรรมเก่าที่เคยทำไว้จะมาสนอง ทำให้ถูกผู้ชายเบียดเบียน จะเป็นโทษแก่ผู้ชายมหาศาล เลยตัดให้ตายซะดีกว่าขึ้นไปต่อข้างบนแทน เพราะฉะนั้นแค่นั้นยังเป็นโทษ
              อย่าว่าแต่พระอรหันต์ แต่ใช้คำว่าแค่นั้นสำหรับพระอริยเจ้านี่ แค่นั้นของท่านประเมินไม่ได้ มหาศาลจนกะไม่ถูก อยู่จะเป็นโทษ แต่ว่าสำหรับโยมแล้วใช้กำลังใจเราไปกังวลอารมณ์พระอริยเจ้า บุคคลที่ เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว หาคนอยากอยู่ไม่มีซักคนหนึ่ีง ส่วนใหญ่แล้วพร้อมที่จะไม่อยู่ตลอดเวลา เพราะเห็นว่าร่างกายนี้โลกของเรานี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เหมือนยังกับจมอยู่ในกองทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า บุคคลที่ตกลงไปในบ่อคูถ ก็คือหลุมส้วม มีใครอยากจะแช่อยู่ในนั้นบ้าง มีแต่จะเร่งตะเกียกตะกายหนีมันไปให้พ้น ๆ เสีย เพราะทนอยู่กับความโสโครกเช่นนั้นไม่ได้ กำลังใจพระอริยเจ้าท่านสะอาดมาก จนกระทั่งเห็นความไ่ม่ดีของร่างกาย ของโลกนี้อย่างชัดเจน เห็นอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้นได้ ดังนั้นท่านจะเบื่อเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะไปเสียให้พ้นไปเดี๋ยวนี้ซะด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสตัดให้ถึงแก่ชีวิตลง นันถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปตามความต้องการของท่านเลย ท่านจะไม่มากลัวตายเหมือนกับพวกเรา
       ถาม :   ขณะนี้ มีพระที่ฝึกถึงขั้นนี้มีบ้างมั้ยคะ ?
       ตอบ :  มีจ้ะ เยอะด้วย เยอะกว่าที่โยมคิด แต่ว่าจำนวนมากส่วนใหญ่ ท่านจะเก็บองค์ท่านเงียบ ๆ อยู่ จนกว่าจะถึงวาระหรือว่าถึงเวลาที่งานจุดนั้น ท่านจำเป็นจะต้องทำ ท่านก็ทำ พอหมดจากงานท่านก็ไป
       ถาม :    อยู่ทางภาคไหนมากที่สุดเจ้าคะ ?
       ตอบ :    ทางภาคไหนมากที่สุด ปัจจุบันนี้จะอยู่ทางอีสานมาก
       ถาม :   ทางใต้มีมั้ยคะ ?
       ตอบ :    มีทุกที่ ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์อยู่ และคนตั้งใจปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่ใช่แต่ประเทศเรา ต่างประเทศก็มี
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.4.html

ถาม :   ท่านคะ แล้วทำไมพระพม่าต้องเขียนคิ้วล่ะคะ ?
       ตอบ :     ปกติแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติให้ภิกษุต้องโกนคิ้ว ท่านบอกว่าปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ เท่านั้น แต่ว่าคราวนี้สมัยรัชกาลที่หนึ่งไทย กับพม่ายังมีศึกกันอยู่ รัชกาลที่หนึ่งทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ภิกษุไทยโกนคิ้วเสีย เพื่อให้เป็นจุดแตกต่างกัน ถ้าทางฝั่งพม่าเข้ามาเพื่อสืบข้อราชการ ปลอมเป็นภิกษุเข้ามา ก็จะได้แยกได้เป็นไทยหรือพม่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีการยกเลิกประกาศอันนี้ ภิกษุของไทยก็ยังคงโกนคิ้วมาถึงทุกวันนี้ แต่ขณะเดียวกันว่าของพม่าเขาไม่มีการโกนคิ้ว ก็เลยเป็นปกติอยู่ ที่อื่นก็ไม่ได้โกนนะ จะมีเมืองไทยที่เดียวที่โกนคิ้ว
       ถาม :    ..............มีแต่คนชั่วทั้งนั้นเลย ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ มีทั้งขโมยพระในวัด ตัด ฆ่าพระเพื่อจะชิง
       ตอบ :  มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าสมัยนี้การข่าวมันรวดเร็ว เราก็เลยได้รับมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีอยู่เหมือน ๆ เดิม ยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน
       ถาม :    แล้วทำยังไงให้กรรมเห็นทันตาให้เร็วขึ้นกว่านี้หน่อยคือจับปั๊บ
       ตอบ :     (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปตั้งกติกาใหม่ล่ะจ้ะ เรื่องของกรรมเขามีปรากฏอยู่อย่างชัดเจนอยู่แล้ว คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ทำกรรมที่ให้ผลทันตาในชาติปัจจุบันนี้ อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม เหล่านี้ให้ผลในชาติที่สองที่สาม อย่างเช่นว่า ตายไปแล้วค่อยตกนรกอย่างนี้เป็นต้น กรรมเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำในส่วนที่เป็นครุกรรม คือ กรรมอันหนัก แล้วให้ผลในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถเป็นไปได้อย่างที่โยมต้องการหรอกจ้ะ ไอ้ของเรามันจะกลายเป็นฟุ้งซ่านเดือดร้อนไปเองต่างหาก
       ถาม :    ...............
       ตอบ :    พระยาชมพูบดี ท่านเป็นกษัตริย์ที่มีอานุภาพมาก สามารถเหาะได้ มีพระขรรค์แก้ว มีธนูวิเศษ คราวนี้ท่านเองเหาะไปเที่ยว ไปเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสารเข้า พระเจ้าพิมพิสารปราสาทท่านสวยก็หมั่นไส้อยากจะให้พังซะ ใช้รองเท้าแก้วลองกระทืบดู ปกติแล้วอานุภาพเขาว่าเหยียบภูเขาจมดินได้ แต่กระทืบลงไป
              ปรากฏว่าพระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นพระโสดาบัน พุทธานุภาพคุ้ม แทนที่ปราสาทจะพัง กลายเป็นว่าไปเหยียบซะจนแทงทะลุรองเท้าแก้วเข้าไป แล้วโมโหก็เลยฟันด้วยพระขรรค์แล้วพระขรรค์ที่สามารถฟันตัดหินตัดภูเขาได้ก็ บิ่นซะอีก ก็โกรธ กลับไปถึงที่อยู่ของตัว ก็ส่งอวิตาศรมาเพื่อจะทำ ร้าย ธนูอันนี้ถือเป็นอาวุธที่สามารถตั้งได้ว่าจะยิงไปเป้าหมายไหน พอยิงไปแล้วสั่งว่าให้ไปทำร้ายใคร ก็ไปเฉพาะคนนั้น พระเจ้าพิมพิสารพอได้ยินเสียงธนูมา บอกว่าจะทำร้ายเฉพาะท่าน ท่านก็หนีเข้าไปในเชตวัน พอธนูตามไปพระพุทธเจ้าใช้วาโยกสิณหอบคืนไป แล้วเห็นว่าพระยาชมพูบดีมีวิสัยที่จะได้เป็นพระอริยเจ้า เลยให้พระโมคคัลลาน์จัดการ 
                พระโมคคัลลาน์ก็จัดแจงแปลงพระเชตวันกลายเป็น ปราสาทราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิไปเลย แล้วส่งเณรไปเป็นทูต เณรก็แปลงตัวแบบลักษณะพระเจ้าจักรพรรดิไป พระยาชมพูบดีมาเห็นว่าแค่ทูตยังขนาดนี้ เลยยอมตามมา ตามมาถึงเจอคนเฝ้าประตูก็ดีกว่า พ่อค้าแม่ขายอะไรก็ดูสวยกว่าตัวเองไปหมด ทำไมจะไม่ใช่ ไม่สวยกว่า เพราะส่วนใหญ่ภิกษุ ภิกษุณีอรหันต์ทั้งนั้น ท่านปลอมตัวมา จนเข้าไปถึงพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจริง ๆ ก็คือพระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าท่านทรงเครื่องจักรพรรดิเต็มอัตรารออยู่ พระยาชมพูบดีไม่สามารถที่จะต่อต้านอานุภาพได้ ก็ยอมฟังธรรม เลยเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้
                พระพุทธเจ้าปางที่โปรดพระยาชมพูบดีนั้นจะทรงเครื่องพระจักรพรรดิ ถ้าจะดูตัวอย่างจริง ๆ ให้ดูที่วัดพระแก้ว วัดพระแก้วจะมีองค์ใหญ่ยืนทรงเครื่องอยู่สององค์ คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สององค์นั้นจะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เขาเีรียกปางปราบพระยาชมพูบดี ทรงเครื่องสวยมากแล้วลักษณะของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานก็จะเป็นพระพุทธเจ้าทรงเครื่องที่หลวงพ่อท่านใช้ว่า พระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพก็คือลักษณะทรงเครื่องแบบพระแก้วมรกต
       ถาม :   ท่านเคยไปมั้ยคะ บ้านคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ ?
       ตอบ :     ของคุณหญิงสุรีย์พันธุ์จริง ๆ สมัยหลังไม่ได้ไปล่ะจ้ะ เพราะว่าสมัยแรก ๆ ที่หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายนั่น อาตมาจริง ๆ ตั้งใจจะบวชสายหลวงปู่มั่นซะด้วยซ้ำ แต่เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าจับพลัดจับพลูท่าไหน พอสิ้นหลวงปู่ฝั้นก็ มาอยู่ที่หลวงพ่อแทน เพราะว่ารู้ัจักปฏิบัติตามหลวงพ่อตั้งปี ๒๕๑๘ พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นท่านก็สิ้น เหมือยังกับท่านส่งต่อให้ ใ้ห้รู้จักล่วงหน้าปีกว่าเกือบสองปี
              ก่อนหน้านั้นเกาะอยู่กับหลวงปู่ฝั้นเพราะว่าที่เกาะอยู่กับท่าน ไปสะกิดคำพูดของท่านง่าย แล้วฟังเข้าใจง่าย ปกติแล้วสมัยนั้นรุ่น ๆ คงซักขนาดนี้แหละ ไปโน่นไปนี่เจอหลวงปู่หลวงพ่อก็แบมือขอของดีหน่อยครับ องค์โ้น้นก็ให้องค์นี้ก็ให้ ไปหลวงปู่ฝั้นนี่ซิ บอกดีนอกเอาไปทำไม เดี๋ยวมันก็หาย ทำไมไม่หาดีในไว้ล่ะ พอได้ยินก็สะดุดหู ก็กราบเรียนถามท่านว่า ดีในเป็นยังไงครับ ท่านบอกว่าพุทโธไง คำเดียวคุ้มได้สามโลกเลย ท่านสอนให้ภาวนา
       ถาม :  ............ช่วงสงกรานต์ หลวงปู่ หลวงพ่อสายหลวงปู่..........วัดบ้าน.......ท่านเอาพระธาตุมาให้ชมเข้าคิวกัน แล้วเอาเลนส์แว่นขยายส่องให้เห็นแสงรัศมีออกมาสวยมาก
       ตอบ :  คุณหญิงท่านคล้าย ๆ กับว่า ต้องใช้คำว่าอะไร เกิดมาเพื่ออย่างนี้โดยเฉพาะ มีโอกาสได้อุปัฏฐากหลวงปู่หลวงพ่อ ซึ่งเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอดเลย โดยเฉพาะหลวงปู่หลุยส์ หลวงปู่ชอบ สององค์นี้จะสงเคราะห์ท่านประจำ ๆ แล้วสายหลวงปู่มั่นก็ไปกันมาก 
       ถาม :    ท่านเคยไปที่ภูทอก ของอาจารย์จวนมั้ยคะ ?
       ตอบ :     จ้ะ อาจารย์จวน ท่านก็มรณภาพเร็วไปหน่อย คราวนี้ว่าระหว่างที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านอยู่อย่างนั้น พรหมเทวดาท่านก็สงเคราะห์กันมาก เวลาทำกรรมฐานสวดมนต์ไหว้พระ บางทีพระธาตุก็เสด็จมาเองเฉย ๆ มากันเยอะต่อเยอะ
              เรื่องพระธาตุเสด็จนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่าท่านมาได้ไปได้ ประสบการณ์ของอาตมาเองที่เจอมาอย่างชนิดที่เรียกว่าต่อหน้าต่อตา ลืมตาเห็น ๆ ก็มี บางทีหล่นลงบนพื้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นขัดมันหล่นป๊อกหายปุ๊บเลย ไม่สามารถที่จะตามหาได้ว่าอยู่ที่ไหน
       ถาม :  ก็ตอนที่น้าสาวไปไหว้เกศาของหลวงวพ่อ ก้มลงไปกราบกำลังนึกถึงเลย ขอให้หลวงพ่อนี่เสด็จมา พระธาตุนี่คะขาว ๆ ที่พื้นพรมแดงหล่นมาเลยค่ะ แต่แม่เอาไปไม่ได้นะคะ แต่น้าสาวที่ไปน่ะจะได้ หนูดีใจใหญ่ค่ะ เก็บไปบ้าน
       ตอบ :  แล้วแต่ล่ะจ้ะ อันนั้นเป็นบุญเฉพาะของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล ของหลวงพ่อมีเรื่องหนึ่งที่อัศจรรย์ที่สุดในสายตาของอาตมา ชานหมากของท่านเป็นพระธาตุ อาตมาเคยเห็นเกศาพระเป็นพระธาตุหลายองค์โดยเฉพาะหลวงปู่มหาอำพัน ที่อาตมาจะทำบุญร้อยปีถวายท่่านนี่ เกศาของท่านนี่โกน ๆ แล้วลูกศิษย์เอาใส่กล่องพลาสติกไว้จะเป็นกล่องพลาสติกใหญ่ ๆ ประมาณแค่นี้
              คราวนี้วันนั้นอาตมาถวายการรับใช้ท่านเสร็จก็กราบเรียนหลวงปู่ขอบูชาหน่อย ท่านก็บอกว่าไปดูเอาซิ พอยกกล่องขึ้นมานี่งงเลย เพราะว่าดูจากด้านใต้กล่องนี่เป็นไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นี่เต็มไปหมด ก็เลยกราบอย่างงามวางไว้ที่เดิม ไม่กล้าหยิบกลัวว่าบุญเราไม่ถึงจะรักษาไม่อยู่ พอตอนที่ท่านมรณภาพไม่ทราบว่าใครยกไปทั้งกล่อง แล้วของหลวงพ่อก็เกศาเป็นพระธาตุ อีกหลายองค์ก็เป็นให้เห็น ๆ อยู่ แต่ว่าเรามาสังเกตว่า การที่อัฏฐิเป็นพระธาตุหรือว่าเกศาเป็นพระธาตุ นั่นเป็นเนื่องด้วยร่างกายนะ
              แต่ว่าชานหมากเป็นพระธาตุนี่ ไม่ได้เนื่องด้วยร่างกายเลยใช่มั้ย ? เป็นสิ่งที่เราเอามาเคี้ยวมากินนั่นสำหรับเป็นคนทั่ว ๆ ไป แต่ท่านคายออกมาแล้วเป็นพระธาตุ ตอนครั้งแรกที่ได้เห็นกับตา ถึงได้เชื่อว่าใช่แน่นอน เพราะว่ากำลังเปลี่ยนสภาพอยู่ ส่วนที่เริ่มเป็นพระธาตุก็จะเป็นแก้วสีแดงใส ๆ ส่วนที่เป็นหมากก็ยังทึบอยู่ ส่วนที่เป็นพลูครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นสีเขียว ๆ ของพลูอยู่เห็นชัด ๆ เลยว่า เปลี่ยนจากชานหมากที่เป็นปกติแน่นอน ถึงได้เชื่อว่าที่แท้จริงแล้ว ถ้าหากว่าพระท่านจะสงเคราะห์อย่างหลวงปู่ หลวงพ่อที่ท่านต้องการให้เป็นไป มันจะเป็นไปตามที่ต้องการเอง แล้วเห็นว่าสิ่งที่ไกลตัวขนาดนี้ยังเป็นพระธาตุได้ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นไม่ยากแล้วจ้ะ
              บางทีสำหรับเด็ก ๆ บางคนหลวงพ่อท่านใช้กระดาษทิชชุเสร็จแล้วก็โยนให้ เด็กเขาก็ฉลาดหยิบขึ้นมาดูก็เป็นพระธาตุอยู่ ก็ใช้ๆ อยู่เห็น ๆ นี่ พอโยนให้ก็เป็นพระธาตุ หมากที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านเหลือปลายอยู่หน่อยหนึ่ง เหลือหางหมากพอ ท่านฉันเสร็จก็โยนให้ก็กลายเป็นพระธาตุ
                แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งพอชานหมากเป็นพระธาตุแล้วคนที่อยากได้แล้วไม่ได้ ท่านไปที่จันทบุรี บ้านคุณเวสา รัชชานนท์ ไป ตำหมาก ท่านบอกว่าอยู่ ๆ พระท่านให้สั่งทำ ตำหมากเสร็จก็ปั้นเป็นองค์เล็ก ๆ มอบให้ท่านบอกว่าบูชาให้ดี ใครที่ได้ไปบูชา ต่อไปจะเป็นแก้ว คำว่าเป็นแก้วของหลวงพ่อก็คือกลายเป็นพระธาตุ สมัยโบราณคำว่าแก้วก็หมายถึงว่าดีที่สุด คราวนี้อะไรก็ตามที่เปลี่ยนสภาพไปในสายตาของเราอาจเป็นหิน จะเป็นเหมือนโลหะ เหมือนเงิน เหมือนทอง เหมือนทองแดง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ภาษาโบราณเขาเรียกว่าแก้วทั้งนั้น
       ถาม :  ตอนหลังช่วงสงกรานต์ ที่บ้านคุณหญิงท่านนิมนต์พระสายหลวงปู่มั่น ใส่บาตรน่ะค่ะ แล้วหลวงปู่สอ ที่สร้างพระนาคปรกที่ไปไว้ตามทิศของประเทศไทย
       ตอบ :  ก็สายนั้น คือสายหลวงปู่มั่น ยังเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติอยู่ ที่ใดก็ตามที่มีผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง สถานที่นั้นจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะต้องมีไปเรื่อย เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้มาติดประกาศว่าฉันเป็นแล้วจ้า ก็อยู่ที่ว่าเราจะต้องดูการปฏิบัติของท่านไปเรื่อย ๆ
       ถาม :    ในช่วงปีนี้นะคะ เป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องพบกับเคราะห์กรรมของประเทศอะไรมั้ยคะ ? เพราะรู้สึกว่า
       ตอบ :    ก็วาระที่หนักมันผ่านมาแล้วจ้ะ
       ถาม :    ผ่านแล้วเหรอคะ ?
       ตอบ :  ผ่านมาแล้ว จะเริ่มดีขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ว่าปีหน้าจุดสะดุดใหญ่ยังมีเยอะ ปีหน้าของหนักมันจะมาจากภายนอกระวัง ๆ แถว ๆ ตะวันออกกลางไว้ กลัวเหลือเกินว่ามันจะเอาซะปีนี้ซะด้วยซ้ำไป แต่ตามเกณฑ์มันปีหน้า คือถ้าเขาตีกันเองก็ไม่มีปัญหา ประเทศต่อประเทศ แต่ถ้าเริ่มมีประเทศไหนเข้าข้างอีกประเทศหนึ่งล่ะก็ระวังให้ดี มันจะเริ่มขยายใหญ่แล้ว
       ถาม :    จะเกิดเป็นสงครามโลกมั้ยคะ ?
       ตอบ :  มันคงยังไม่ถึงสงครามโลกหรอก แต่ว่าผลกระทบมันจะกว้างมาก เพราะระยะนี้การข่าวอะไรทุกอย่างมันรวดเร็ว กลายเป็นว่าประเทศกลายเป็นบ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้นเกณฑ์ปีหน้ายังเป็นเกณฑ์อันตรายอยู่
       ถาม :   เป็นยังไงบ้างคะ ?
       ตอบ :   ถ้าประเทศอาหรับรุมตีอิสราเอลเมื่อ ไหร่ มีอะไรที่เป็นปัจจัยต้องใช้ก็ต้องเก็บ ๆ ไว้บ้างล่ะจ้ะ มันก็มีพวกอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อะไรพวกนั้นแหละ เพราะของพวกนี้จะกลายเป็นของแพง มันก็คงจะไม่ได้แพงอย่างเดียวหรอก ไอ้บ้านเรานี่มันแพง มันฉวยโอกาสแพงหมดนั่นแหละ
       ถาม :    แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงยุคที่คนดีเกิดขึ้นเยอะล่ะคะ ?
       ตอบ :    ตอนนี้มีเยอะอยู่แล้วจ้ะ เพียงแต่ว่าคนดนดีไม่ได้มีอำนาจในการปกครองมาก ยุค ของคุณทักษิณนั่นน่ะ ถืือว่าเป็นยุคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง จากส่วนที่มันจะเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ในเมื่อเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ความวุ่นวายมันจะเยอะหน่อย แล้วหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นว่าประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบฝ่ายปกครองมาก ขึ้น คนก็จะไม่กล้าที่จะทำความเลว ถึงทำก็ไม่อาจหลบรอด
       ถาม :   แล้วคุณทักษณิณ มีสิทธ์จะโดนมั้ยคะ ? (เรื่องคดีซุกหุ้น)
       ตอบ :  ไอ้ตัวนี้ไม่ต้องไปข้องใจ ไม่ต้องไปสงสัยเลยจ้้ะ ถึงเขาตัดสินว่าท่านผิด หลุดออกไป ท่านก็ยังบัญชาการอยู่ข้างหลัง ถ้าใช้คำว่าครบเทอมมั้ย ? ครบแหง ๆ เลย (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วถ้าหมดจากคุณทักษิณนี่ คนที่จะขึ้นมาแทนนี่จะดีกว่ามั้ยคะ ?
       ตอบ :  มันจะอยู่ในลักษณะที่ว่า พอคนที่โดนตรวจสอบ โดนพักการทำงานไป มันก็จะหลุดออกไปเรื่อย ๆ คนที่มีความดีอยู่ก็จะกล้าปรากฏตัวมากขึ้น ๆ นั่นแหละ หลังจากนั้นก็จะเจริญมากน่ะจ้ะ พอเริ่มขึ้นรัชกาลที่สิบ ต่อไปเรารายได้อยู่ตัว 
                แต่ว่าช่วงนี้การวางรากฐานของรัชกาลที่เก้าที่ ยาวนานมาถึงขนาดนี้ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาของประชาชนเริ่มมีขึ้นแล้วพอกฎหมายใหม่ที่ออกมา เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การปกครองอะไรที่สามารถตรวจสอบ สามารถคานอำนาจ ถ่วงดุลกันได้ อะไรกันได้ ความดีก็จะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าหากว่าโยมยังหายใจอยู่ ก็คงได้พบรัชกาลที่ีสิบ (หัวเราะ)
       ถาม :   หญิงมั้ยคะ ?
       ตอบ :    นี่กำลังลุ้นอยู่ว่าขอให้รัชกาลที่เก้าของเราอยู่ให้ครบสักเจ็ดสิบรอบเถิด สิบสองเจ็ดแปดสิบสี่ ไม่เอามากกว่านี้แล้ว ขอแค่แปดสิบสามพอ เพราะ ตามที่ทราบมาว่า ถ้าท่านอยู่ถึงแปดสิบสาม คนดีจะมีอำนาจขึ้นมามากกว่าจะเป็นฝ่ายปกครองบ้านเมืองมากกว่า ในเมื่อมันเกินหกสิบเปอร์เซนต์ขึ้นไป คราวนี้อะไรมันก็จะง่ายแล้ว
       ถาม :  ตอนนั้นที่ไปทำบุญที่จังหวัดเลยนะคะ มีเจ้าอาวาสที่วัดไปที่เมืองจีน แล้วก็บอกใ้ห้คนไทยทุกคน คือทางเมืองจีนเขาจะเรียกว่า ตั๊กม้อ ให้ทุกคนนี่ร่วมภาวนาให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระเบื้องบนเนี่ยเขาจะเอาท่านไปแล้ว
              ในปีนั้น เห็นมีการบวชชีพราหมณ์มากที่สุด ในวันเกิดในหลวง ก็มีการบวชพระบวชอะไรนี่เยอะมาก แล้วก็สมเด็จพระสังฆราชให้วัดทุกวัดถวายพระพรกับในหลวง แล้วเขาบอกว่าคนเบื้องบนก็ว้าวุ่นใจเหมือนกัน เพราะของเรานี่เยอะ แล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร วิธีที่ดีที่สุด คืออย่าไปมุ่งว่า รัชกาลที่สิบจะเป็นใคร ขอทำยังไงให้รัชกาลนี่อยู่ให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานมากที่สุด
       ตอบ :  ตรงจุดนี่แหละที่คิดเหมือนกัน อาตมาเองก็มานั่งคิดว่า ปีนี้พระองค์ท่านมีพระชนมายุได้เจ็ดสิบสี่พรรษาแล้วเจ็บสิบสี่พรรษา ถ้าหากว่านับแปดสิบสามพรรษาก็อีกเก้าปีเท่านั้น แต่เราใช้คำว่าเก้าปีเท่านั้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเรามานึกถึงว่าเป็นญาติเป็นโยมของเราใช่มั้ย เจ็บสิบสี่นี่ระัดับคุณปู่คุณตาแล้วนะ แล้วสุขภาพไม่ได้แข็งแรงเลย อีกเก้าปีนี่ต้องลุ้นวันต่อวันแล้วนะ ไม่ใช่ประเภทเดือนต่อเดือนหรือว่าปีต่อปี
              เพราะฉะนั้นเก้าปีนี่ถือว่าเป็นช่วงอันตรายมากจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่ว่าเราที่เป็นต้องใช้คำว่าพสกนิกร ลักษณะเหมือนกับเป็นลูก ถ้า หากว่าลูก ๆ ทำความดีให้มากเข้าไว้ พ่อก็จะมีกำลังใจที่จะอยู่ แต่ถ้าหากว่าลูก ๆ ไม่ทำความดี มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านอาจไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างถวายกุศล วันก่อนออกมามีพระราชดำรัส เกี่ยวกับพวกทูตานุทูตไงล่ะ ที่ว่าให้ทั้งหมดให้รู้จักพอน่ะ ในหลวงเทศน์เก่งกว่าพระอีก (หัวเราะ)
       ถาม :  ที่ท่านถามหลวงพ่อ หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี่คะ ในหลวงรัชกาลที่เก้าน่ะค่ะ เวลาที่ท่านถามข้อธรรม หลวงพ่อบอกว่าท่านเก่งจริง ๆ มันต้องคิดให้ลึกให้ซึ้ง มันมีรายละเอียดอะไรมากเลยรัชกาลที่เก้านี่ เวลาทุก ๆ เช้าท่านจะสะพายกระเป๋า เทปธรรมะท่านจะอยู่ตลอดเลย ท่านจะเดินกรรมฐานตลอดเลย ท่านเก่งมาก
       ตอบ :  หลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง แล้วมีคำสอนไว้ ในหลวงท่านจะบันทึกไว้ตลอดจะฟังตลอด แล้วที่สังเกตได้ชัด ๆ เลย วัดไหนก็ตามที่มีแต่ชื่อเสียง แต่ว่าความดีแท้จริงไม่มี ในหลวงไม่เสด็จให้สังเกตไว้แค่นี้พอ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.5.html

ถาม :    นี่ก็จะทำบุญตามวัดที่ในหลวงไป แต่ถ้าในหลวงไม่ไปวัดไหนนี่ก็ไม่ไปวัดนั้นเหมือนกัน
       ตอบ :     (หัวเราะ) ดีเหมือนกัน ใช้ในหลวงเป็นเข็มทิศ คือของพระองค์ท่านได้ทิพจักขุญาณ ตั้งแต่เจ็ดพรรษาตอนนั้นพระชนมายุได้เจ็ดพรรษา
       ถาม :    คิดว่าในหลวงท่านก็บรรลุเหมือนกันน่ะคะ ?
       ตอบ :  ก็ อันนี้บอกได้ยากนะจ้ะ ไอ้เรื่องของเกณฑ์มรรคเกณฑ์ผล หรือว่าการปฏิบัติอะไร จริง ๆ แล้ว เป็นหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะพยากรณ์ คราวนี้ว่าหลวงพ่อท่านรับทราบมา แล้วท่านบอกก็ถึงได้กล้าพูดอันจุดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังมาโดยตรงจะไม่พูดต่อ เพราะถือว่าผิดมารยาท รู้ก็พูดไม่ได้ ไม่รู้พูดไปยิ่งผิดใหญ่
       ถาม :    ตัวยารักษามะเร็งที่เขาลงหนังสือพิมพ์นี่จริงหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :    ไปทดสอบดูซิ แทนที่จะไปถามเขา มาถามพระ ถามเจ้าของยาเขาตรง ๆ ซิ ไอ้อะไร ไอ้วี ๑ ใ่ช่มั้ย ?
       ถาม :    เห็นมันเป็นสูตรยาแผนโบราณ
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ ไอ้เรื่องโรคทั้งหลายเหล่านี้ บางทีโบราณมันอาจะไม่มีก็ได้ แต่อย่างมะเร็งนี่มีอยู่แล้ว โบราณเขามียารักษาอยู่ แต่่ว่าไอ้โรคเอดส์นี่มันไม่น่าจะมีสมัยก่อน ถ้าไม่มี มันก็ยังคงไม่มีสูตรยา
       ถาม :   ....................
       ตอบ :     อันนี้ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของเรา ถ้าท่านมาลักษณะพระพุทธชินราช ก็แสดงว่างานมันจะลำบากแล้วตัวอาตมาเอง สัญลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ สมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาในลักษณะพระวรกายผิวดำ ก็งานลำบาก เลือดตากระเด็นนั่นแหละ แต่สำเร็จ แต่ถ้ามาแบบสีทองทุกอย่างสะดวก มันจะเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ ที่ของหลวงพ่อก็ถ้าหากว่าเห็นสีแดงก็จะป่วย ยิ่งแดงมากก็จะป่วยหนัก เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่ท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าเราไปบอกคนอื่นว่าเราเห็นพระพุทธชินราชแล้วงานหนัก งานยุ่ง คนอื่นเขาเห็นเขาอาจรวย คนละอย่างกัน
       ถาม :    มีประสบการณ์อยู่ว่าเวลานอน พอเคลิ้มแล้ว เห็นแสงสว่างทุกทิศเจิดจ้า...(ฟังไม่ชัด)........
       ตอบ :     ก็อาจเป็นไปได้ เรื่องของพระท่านจะแสดงให้นี่ ยังไงก็แสดงได้อยู่แล้ว พุทธานุภาพไม่จำกัดอยู่แล้ว
       ถาม :    ของผมจำไม่ได้เลย ท่านก็เทศน์ไปเรื่อย พอผมตื่นมาปุ๊บ
       ตอบ :  ให้ตั้งสตินะ ตอนที่ฟังเรายังรู้ตัวอยู่ ให้ตั้งสติตั้งใจจำ พอตื่นมาปุ๊บรีบโน๊ตเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะหายหมด หลวงพ่อท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้เสมอ ถ้าทิ้งให้ผ่านระยะแป๊บเดียวเท่านั้นเองจะลืม
       ถาม :    กระดาษกับปากกาก็มี แต่ชะล่าใจ
       ตอบ :  ไอ้ชะล่าใจน่ะ อาตมาโดนมาแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาทวนเลย จำอะไรได้ตรงไหนก็รีบโน๊ตไว้เลย แล้วถึงเวลามาค่อย ๆ ไล่แล้วจะคิดออก แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีอะไรที่เป็นเค้าเลา ๆ ให้เราหน่อยนี่ มันหายหมดเลย
       ถาม :   มัวแต่นอนทบทวนไป ทบทวนมา หายไปเลย
       ตอบ :  ทิ้งระยะเวลาหน่อยเดียวไปเลย อันนี้เจอมาด้วยตนเอง ไอ้เราก็ว่าหลวงพ่อสั่งงานแค่สามข้อเรื่องเล็ก สามสิบข้อยังจำได้ใช่มั้ย ปรากฏว่าพอสว่างเท่านั้นแหละ หายเงียบไปเลย เหลืออยู่ข้อเดียว อีกสองข้อแคะยังไงก็แคะไม่ขึ้น หายไปเหมือนยังกับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
       ถาม :    ข้อที่ทำวัตรเช้า ? ทำวัตรเย็น ใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ก็นั่นแหละ เหลือทำวัตรเช้า ? ทำวัตรเย็น อยู่ข้อเดียวจริง ๆ ก็ข้อใจว่าทำวัตรเช้า ? ทำวัตรเย็น ทำไมท่านเน้นท่านบอกว่าคนเราถ้านั่งอยู่หน้าพระ ปากมันก็สวดมนต์ด้วย ถึงมันจะคิดชั่วขนาดไหนมันก็ไปทำไม่ได้หรอก (หัวเราะ) อย่างน้อย ๆ ก็มีความดีอยู่
       ถาม :    .....................
       ตอบ :   มันถามหาของหนักเลยนี่หว่า จรณะ ๑๕ คือ ความประพฤติ ๑๕ อย่างด้วยกันนะ ประกอบไปด้วย
               อินทรีย์สังวร คือการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
               โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักรับประทานอาหารแต่พอควร ยั้งปากเป็น
               ชาคริยานุโยค คือ ปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่เสมอ ก็คือว่า สร้างสติให้สมบูรณ์อยู่เสมอนะ แล้วก็จะมี
               พาหุสัจจะ หรือพหูสูตร คือเป็นผู้ที่ได้ฟังมาก
               มีสติ 
               มีปัญญา
               มีฌาน ๑ , ฌาน ๒ ,ฌาน ๓ ,ฌาน ๔

              นาน ๆ ถามทีชักจะหาไม่ค่อยเจอ มีหลายตัว ถ้าจะเอาจริง ๆ เดี๋ยวไปเปิดตำราให้ ๑๕ อย่าง ไล่ตัวแรกขึ้นมาก็จุกแล้ว อินทรีย์สังวร สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
       ถาม :    .........(ฟังไม่ชัด)..........แล้วต้องละนิวรณ์ ละอิทธิบาท ๔ อย่างนี้แล้วจะคุมอารมณ์ยังไงครับ ?
       ตอบ :     อิทธิบาท ๔ ห้ามละ อิทธิบาทจะเป็นตัวคุมทั้งหมด ถ้าอิทธิบาท ๔ ทรงตัว คือความพอใจที่จะทำมี ความเพียรที่จะทำมี จิตใจปักมั่นกับสิ่งที่เราทำ หมั่นทบทวนว่าเราทำไปถึงไหน สิ่งนั้นจะได้อยู่แล้ว คราวนี้ถ้าหากว่าเราเริ่มทรงฌานปุ๊บ นิวรณ์เข้าไม่ได้ มันก็เลยไม่ยาก พอทำอันหนึ่ง อันอื่นมันกลายเป็นง่ายหมด เพราะฉะนั้นให้ทำถึงเท่านั้นเอง
       ถาม :    แล้วเราจะเริ่มต้นยังไงครับ ?
       ตอบ :     เริ่มต้นยังไง จริง ๆ น่าจะเริ่มต้นตัวภาวนาเลยนะ ถ้าอยากทำก็ต้องทำ ในเมื่อต้องทำ ก็ต้องลงมือเลย เริ่มภาวนาพออารมณ์ใจมันเริ่มทรงตัวแล้ว อันอื่นก็ไม่ยากแล้ว
       ถาม :   ตัวมหาสติปัฏฐานนี่ครับ เวลาเราทำจริง ๆ จะเริ่มต้นตรงไหนครับ ?
       ตอบ :     มหาสติปัฏฐานนี่ต้องเริ่มต้นตรงตัวอานาปานบรรพก่อนคือ ลมหายใจเข้าออกเป็นอันดับแรกเลย มันยากอยู่ตัวแรก ตัวอื่น ๆ นี่ส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณามากกว่า พอยิ่งไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อะไรพวกนี้ จะเป็นการที่เราใช้สติตามดูอยู่ตลอดนะ เพราะฉะนั้นจะลำบากอยู่อันแรก คือ ตัวอานาปานุสสติ
       ถาม :    คือเอาสติตามดูทั้งกายและใจ
       ตอบ :    ตามดู ให้มันรู้ว่ามันคือมัน เราคือเรา ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ต่างคนต่างอยู่ จิตคือเรา เวทนาคือเรา อย่างนี้ มันจะต่างคนต่างอยู่กัน ตัวจิตในจิตก็คือว่า อาการที่มันเป็นไป เป็นยังไงขณะนี้จิตของเรามันตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น ขณะนี้จิตมันไม่ฟุ้งซ่านหรือฟุ้งซ่าน ตัวของธรรมในธรรมก็เหมือนกัน ก็ตามดูไปเรื่อยว่าเป็นยังไงดีมั้ย ไม่ดี สร้างมันขึ้นมาถ้าหากว่าสร้างมันขึ้นมาแล้ว ดีอยู่แล้ว ก็ทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีสิ่งที่ไม่ดีมั้ย ถ้าหากมี ก็ไล่มันออกไป ระมัดระวังไว้ อย่าให้มันเข้ามา
       ถาม :   ต้องปฏิบัติรวม ๆ กัน
       ตอบ :  จริง ๆ แล้ว มันต้องรวมกันทั้งหมดนั่นแหละ แต่ว่าถ้าหากว่า ว่าตามขั้นตอนแล้ว อันดับแรกจะยากที่สดุเสร็จแล้วพอสรุปลงท้ายทุกบรรพ ท้ายทุกหมวด ทุกตอน ท่านจะลงท้ายว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ คือ เธอจงอย่ายึดถืออะไร ๆ เลย แม้แต่น้อยหนึ่งในโลกนี้สักนิดเดียวก็ยึดไม่ได้ ที่สมเด็จพรพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิริทราวาส บอกว่า ให้ปล่อยข้างหน้า ให้ปล่อยข้างหลัง ให้ปล่อยตรงกลาง ข้างหน้าก็คืออนาคต ข้างหลังก็คืออดีต ตรงกลางก็คือปัจจุบัน ยึดไม่ได้ทั้งหมดเลย แรก ๆ ก็ตัดอดีต ตัดอนาคตให้เหลือแต่ปัจจุบันแล้วหลังจากนั้น ปัจจุบันก็ต้องปล่อย 
       ถาม :    อย่างการฝึกมโน ..........(ไม่ชัด).........เหมือนการสร้างมโนภาพ
       ตอบ :     สร้างมโนมันยาก มันได้แต่ภาพ ไอ้สีกลิ่นรส มันไม่มี มันไม่สะใจ
       ถาม :     ผมเคยได้ยินว่า วัดแถวจังหวัดกาญจน์นะครับ ให้พิจารณาอสุภะให้สมไปเลยครับ แบบการแต่งตัว.............
       ตอบ :     ที่สำนักของ เกาะมหามงคลก็มี คือเขาบริจาคศพมาใส่โลงแก้ว ถึงเวลาก็ไปยืนดูกัน ของเราเองถ้ามันหาศพคนไม่ได้ หมู หมา กา ไก่ มันตาย ก็ลักษณะ้เดียวกันแหละ ถ้าเป็นวิฉิททกะอสุภ มันขาดเป็นท่อน ถ้าเป็นโลหิตตะกะอสุภ เลือดไหลโทรมเลย เป็นปุฬุุวกะอสุภะ มีแต่ซากหนอนเต็มไปหมดอย่างนี้ เป็นวินีละกะอสุภ ก็ขึ้นเขียวปี๋เลย
       ถาม :      เลือกกองใด กองหนึ่งก่อนใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ลักษณะว่าศพมันเป็นแบบไหน ก็คือกองนั้นน่ะ เราเลือกไม่ได้นี่ เจอศพแบบไหนก็พิจารณาแบบนั้นไป แต่ว่าสมัยนี้มันมีโครงกระดูกขายก็เล่นอัฏฐิกะอสุภไป แต่ว่าโครงกระดูกมันไม่ค่อยขายกัน ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ โอกาสครอบครองมันน้อย
       ถาม :    นักศึกษาก็มีโอกาสได้ปลงอสุภะได้มากที่สุด
       ตอบ :     พวกนั้นมันตายด้านกันหมด อยู่ซะจนชิน ถ้าหากว่าไม่มีปัญญาพิจารณามันก็จะตายด้าน ถ้ามีปัญญาพิจารณามันจะตายด้านลักษณะปล่อยวาง แต่ไอ้นั่นมันตายด้านเพราะชาชิน
       ถาม :     ต้องไปทำงานร่วมกตัญญู
       ตอบ :  คือจริง ๆ แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นโอกาสมันมีเยอะ เพียงแต่ว่าของท่านเอง กำลังใจมันคิดทางด้านนี้หรือเปล่า ลองดูก็ได้ ร่วมกตัญญูก็ได้ โอกาสเจอเยอะ แน่นอนเลยวัน ๆ หนึ่ง ต้องได้เจอซักศพสองศพ
       ถาม :     แล้วที่ว่า คำภาวนาที่ อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง เพื่อ.........
       ตอบ :     ตอนช่วงนั้นน่ะ เราใช้คำภาวนาพร้อมกับจำภาพ ต้องใช้คำว่า จำภาพ พอภาพมันทรงตัว แล้วคราวนี้ใช้คำภาวนาติดต่อกันไปเลย ปกติแล้วพอภาพติดตา คำภาวนาทรงตัวของเขาถือว่าสิ้นสุดแค่นั้น แล้วเกี่ยวกับอสุภกรรมฐาน แต่หลวงพ่อเราสอนให้ใช้วิปัสสนาญาณต่อไปเลย อย่างเช่น อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง อย่างที่ว่านั้นใช่มั้ย ? สภาพของกระดูกมันเป็นอย่างไร สภาพที่แท้จริงของมัน จริง ๆ แล้วมันมีเลือด มีเนื้อ มีอะไรอยู่ กระดูกเป็นเพียงโครงหนึ่งเท่านั้น
              พอถึงเวลา ถ้าหากว่ามันยังใหม่ ยังสดอยู่ มันก็สกปรกไม่เห็นมีใครอยากได้ ตัวของคนอื่นก็เ็ป็นอย่างนี้ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนหรือสัตว์ ก็เหมือนกัน พิจารณาต่อไป เรื่อยจนใจมันยอมรับเพราะสภาพจริง ๆ แล้วตัวเรามันไม่ใช่ของเรา
       ถาม :     อย่างสมมุติว่าตัวอากาสนานัญจายตนะ ต้องใช้อารมณ์พิจารณาเข้าช่วยหรือเปล่า ?
       ตอบ :     ไม่ใช่แต่ตัวอากาสานัญจายตนะ ทั้งสี่ของอรูปฌานนั่นเกือบจะเป็นอารมณ์พิจารณาทั้งหมด คล้าย ๆ วิปัสสนาฌานเลย เพียงแต่เขาเริ่มต้นด้วยฌานสี่ตั้งรูปขึ้นมาก่อน เสร็จแล้วทิ้งรูป แล้วพิจารณาไปตามที่ตนเองต้องการว่าจะใช้ข้อไหน
               ถ้าเป็นอากิญจัญญายตนะนี่ มันวิปัสสนาญาณดี ๆ นี่เอง ต่อท้ายนิดเดียวก็ไปนิพพานได้ อากิญจัญญายตนะนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์ วัตถุธาตุ บ้านเรือน โรงอะไรในที่สุดก็เสื่อมสลาย ตายพังหมด ไม่มีอะไรเหลือสภาพจิตเดียวเท่านั้นเอง พอมันทรงอุเบกขาก็คือเต็มอารมณ์ของมัน พอเต็มอารมณ์ของมัน ตอนนั้นความรู้สึกของมัน มันเหลือแต่จิตดวงเดียว ตอนนั้นแม้แต่อะไรต่อมิอะไรก็ไม่เหลือ มันก็เป็นการพิจารณานั่นแหละ แต่เราใช้ฌานสี่เริ่มต้น
       ถาม :     แล้วเวลาเราเ้ข้า เราเข้าไปทีละอย่างใช่มั้ย ?
       ตอบ :     ทีละอย่าง
       ถาม :    แล้วก็มาอากิญ ฯ
       ตอบ :  แล้วแต่ พอคล่องแล้วก็สลับได้ แต่ถ้าหากว่าไม่คล่อง ว่าไปตามขั้นมันก่อน ตอนที่เล่นอยู่ก็แปลก ๆ ว่ามันเป็นตัววิปัสสนาญาณชัด ๆ เลย แต่เพียงแต่ว่าวิปัสสนาญาณส่วนใหญ่ของเรา นิยมตรงว่าถอยมาตรงอุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาใ่ช่มั้ย ไอ้โน่นมันฟาดด้วยฌานสี่
       ถาม :     แล้วการเข้าฌานสลับฌานมันทำได้เหรอครับ ?
       ตอบ :     สลับได้ พอคล่องตัวแล้ว เราจะลดอารมณ์ของเราหรือเพิ่มอารมณ์ของเรา ให้ไปอยู่ตรงจุดไหน มันทำได้เดี๋ยวนั้นเลย 
       ถาม :     คือจากสี่ไปสอง สองไปสาม ไปได้ ?
       ตอบ :  ได้สมัยที่ฝึกอยู่นี่ นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว ถ้าลงก็ปึ๊บเต็มที่ พอขึ้นก็ปึ๊บ ๆ ทีละขั้นตรงนั้น สนุกอยู่คนเดียวแหละ ไม่อย่างนั้นแล้ว มันบังคับร่างกายไม่ได้นี่ ถ้าหากว่าปล่อยเต็มที่เลย ตัวมันเหมือนยังกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งน่ะ ต้องหัดให้คล่องไว้ ถ้าไม่หัดให้คล่องนี่สู้กิเลสยาก พอกระทบปุ๊บนี่ต้องเกาะไว้ก่อนเลย บางคนเขาบอกว่าเป็นการติดฌาน ติดในอรูปฌาน ยังไม่ต้องไปฟัง ติดไว้ก่อน เกาะไว้ก่อนถ้าเราไม่เกาะนี่ มันปล่อยไม่ได้ พอเกาะเต็มที่แล้ว มันปล่อยของมันเอง
       ถาม :    แล้วเราต้องตั้งต้นด้วยกสิณก่อนมั้ย ?
       ตอบ :    เรื่องของรูปฌาน   ไม่จำเป็นต้องเป็นกสิณ  ใช้อานาปานุสสติก็ได้   แต่ว่าอรูปฌานนี่จำเป็นจะต้องใช้ภาพกสิณเข้ามาเป็นเครื่องช่วยเมื่อตั้งภาพขึ้นมาก็ลืมซะ   แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาไป
       ถาม :     จะปรึกษาเรื่องแต่งงาน  ฤกษ์ไหนดี  ?
       ตอบ :  ไปดูฤกษ์ในโน้น (ฤกษ์ที่หาไว้ให้แล้ว) หาวันดี ๆ ที่ไม่ตรงกับวันพฤหัส กับ เสาร์ มันจะมีฤกษ์อยู่ แปะอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับทำการมงคลต่าง ๆ แต่ว่าเรื่องแต่งงานนี่หลวงพ่อบอกว่าให้เว้น พฤหัส กับ เสาร์วันพฤหัสแต่งงานกันก็ไม่น่าจะเกินสามปี แต่ถ้าวันเสาร์แต่งงานกันนี่ ชีวิตจะมันมาก ทะเลาะกันประจำ ถ้าอยากได้คนใหม่เร็ว ๆ ก็แต่งวันพฤหัส ไปลอก ๆ เอาว่ามีวันไหนบ้าง
       ถาม :    ...........ทุกข์  สมุทัย  ให้พิจารณายังไง  ?
       ตอบ :  มันแล้วแต่ว่าเราจะถนัดตรงจุดไหน อย่างเช่น เรามองไปก็จะเห็นว่าทุกคนน่ะ เป็นทุกข์ ไอ้ตัวเล็กมันอยากจะเดิน มันอยากจะวิ่ง อยากจะพูด มันยังพูดไม่ได้อย่างใจ มันก็ทุกข์ ผู้ใหญ่นั่งอยู่ทุกข์ เพราะว่าเมื่อย อาตมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ทุกข์ ตั้งแต่เช้ามาจนป่านนี้ กว่าจะได้ลุกไปห้องน้ำแต่ละที มันแสนยาก ให้เห็นว่าทุกคนมีแต่ทุกข์   เราเองก็ทุกข์อยู่เช่นเดียวกับเขา
       ถาม :    หลังจากนั้นก็ทรงอารมณ์  ?
       ตอบ :   จ้า   รักษาอารมณ์อานาปาฯ   ประคับประคองเอาไว้   ให้ความรู้สึกของเรา  ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีสำหรับเราอีกเราขอเกิดชาตินี้ชาติเดียวแล้วรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

kon62

friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.6.html

ถาม :   แล้วถ้าทรงพรหมวิหารสี่   ก็คือพิจารณา  ?
       ตอบ :    จ้ะ   ก็คือพิจารณาตั้งใจแผ่เมตตาให้ใจทรงตัวแล้วก็จับอานาปาฯ   ต่อ
       ถาม :   ..................
       ตอบ :    การปฎิบัติถ้าจะมุ่งพระนิพพานจริง ๆ มันเหมือนกับล่าช้าง งานใหญ่มโหฬาร ช้างมันมีสี่ขา เหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลงเราต้องพยายามตัดขามันให้ได้     เพราะช้างมันแข็งแรง   ถ้าไม่สามารถตัดกำลังมันโดยการตัดขามันได้    โอกาสที่เราจะเอาชนะหรือล่าสำเร็จนั้นหาได้ยาก     
               เพราะฉะนั้นต้องหาทางตัดขามันให้ได้   ขาใด   ขาหนึ่งเสียก่อน   คือ  ในตัว  รัก  โลภ  โกรธ   หลง   ตัวรัก    หรือราคะ   ตัดมันได้ด้วยกายคตานุสติ หรือ  อสุภกรรมฐาน  ใช่มั้ย  ?   ตัวโลภ   อยากได้   ใคร่ดีตัดมันได้ด้วยจาคานุสสติ    กับทานบารมี   ตัวโกรธ  โทสะ   ตัดมันด้วยพรหมวิหารสี่  หรือกสิณสี่   กสิณสีสี่อย่าง  ก็คือ   เขียว  ขาว   แดง   เหลือง   ตัวโมหะ   ตัวหลง   ตัดมันด้วยวิปัสสนาญาณ ใช้ปัญญาเข้าช่วย ถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งมันโดนตัดขาดลง อีกสามตัวกำลังมันน้อยแล้ว ไปไม่รอดหรอก เสร็จเราแน่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามหน่อย
               ถ้าหากว่าสามารถตัดมันได้สำเร็จ    หรือตัดมันได้ ไม่สำเร็จแต่ผูกมัดมันไว้อยู่กับที่ไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับเราได้มากก็ ยังดีนะ ผูกมัดมันแล้วก็บังคับมัน อย่าให้มันมาบังคับเรา เพราะฉะนั้นบางที บางอย่างมันก็เหมือนกับว่า เป็นลักษณะนิมิต ที่จะบอกเหตุล่วงหน้าได้ เราอาจผูกมันอยู่ก็ได้ ลากมันไปไหน ๆ ก็ได้ แต่ว่ามันยังไม่ตายนะ ต้องระวังให้ดี ใช่มั้ยล่ะ ? ในเมื่อมันไม่ตาย ก็ต้องหาทาง ค่อย ๆ หั่น ค่อย ๆ เฉือน จนกว่ามันจะตายไปทีละส่วน
       ถาม :   รากมันลึกใช่มั้ยคะ   ?
       ตอบ :    ตัวส่วนละเอียดเขาเรียกว่า อนุสัย ถ้าเปรียบเหมือนกับต้นไม้เราโค่นต้นไม้ลงได้ โอ้ย ! มันล้มลงที พื้นดินสะเทือน รู้สึกผลงานมโหฬารเหลือเกินเลยใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าถ้าลองขุดลงไป รากมันอาจจะเยอะกว่าใบ หรือกิ่งข้างบนเสียอีก ยิ่งสาวไปมันก็ยิ่งเล็กลง ๆ แต่ว่าถึงช่วงนั้นปัญญากับสติมันจะเท่าทันกิเลส ถึงละเอียดแค่ไหนมันไล่กันทัน ไล่กันทัน แรก ๆ
                  ถ้าเราเป็นนายพรานนะ   ยิงช้างมันง่าย   เป้ามันใหญ่   ต่อไปก็มามียิงพวกกวาง   พวกหนูอะไรอย่างนี้   ตัว มันเล็กลง ยิงยากขึ้น ไปท้าย ๆ โน่นไปยิงยุง โอกาสจะถูกโอกาสที่จะเห็นมัน มันยาก แต่ถ้าหากว่าสติปัญญาถึง ตรงจุดนั้นแล้ว มันไม่เกินความสามารถของเรา     
       ถาม :  ความฝันมันบอกเหตุ
       ตอบ :    ฝันมันบอกเหตุได้ล่วงหน้า   ยกเว้นธาตุวิปริต   จิตนิวรณ์อะไรพวกนั้น   มันฟุ้งซ่านไปเปล่า
       ถาม :   .........(ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :    มันก็ต้องหาที่เกาะของมัน  อย่าลืมว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวงน่ะ มันต้องมีสังขารเป็นที่เกาะ โดยเฉพาะร่างกายของเราน่ะเป็นที่เกาะ แล้วอาศัยสังขารของเราเป็นตัวหล่อเลี้ยงมันให้เติบโตตัวสังขารนี่หมายถึง ความนึกคิด ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ให้มันเกาะซะอย่าง มันก็เสร็จ หรือไม่ก็ เราเลิก ไม่เป็นที่ให้มันเกาะ มันก็เสร็จเหมือนกัน เจ้าพวกนี้มันจำเป็นต้องอาศัย    
              ดังนั้น เวลาเราเกิดอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาแยกให้ออกมันเป็นอารมณ์ของร่างกายไม่ใช่จิตใจของเรา ในเมื่อธรรมดาของร่างกาย มันต้องมีอารมณ์เหล่านี้เรื่องของเจ้า มีก็มีไปเถอะ ข้าไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า แล้วเราก็อย่าไปยุ่งกับมัน พอเราไม่ยุ่งไม่ไปปรุงแต่งต่อนี่ มันเองอยู่ได้เดี๋ยวเดียว มันก็ตายเห็นหนุ่ม ๆ เดินมาตรงหน้าสักแต่ว่าเห็น อย่าไปยุ่งกันมัน ไอ้ตัวราคะมันโผล่มาไม่ได้หรอก หล่อแค่ไหน ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง เพล็บเดียวมันก็เสร็จแหง
       ถาม :   .............
       ตอบ :    พุทธบูชา  มหาเตชะวันโต   ธรรมบูชา  มหาปัญโญ   สังฆบูชา   มหาโภควโห   แปลออกมั้ย  ?  บูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชอำนาจมาก   บูชาพระธรรมจะมีปัญญามาก  บูชาสงฆ์จะรวยมาก  (หัวเราะ)
       ถาม :   ...................
       ตอบ :  ของพวกเราน่ะ มันอยู่ในยุคบุกเบิก ยุคหักร้างถางพงน่ะ มันเหนื่อยสายตัวแทบขาด รุ่นนี้เขามันซูเปอร์ไฮเวย์แล้ว แต่ว่าของเขาเสียเปรียบเราอยู่ตรงที่ว่า เราลำบากมาก เราเห็นทุกข์มาก คนเห็นทุกข์มากจะเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า ของเขาเองรุ่นนี้ส่วนใหญ่มันเป็นพวกฤทธิ์พวกอภิญญา พวกฤทธิ์พวกอภิญญานี่ ความสบายมาถึงตัวก่อน สบายเกินไป ติดอยู่ที่นั้นแหละ แล้วอิฉฉาเขาตรงที่ความสบาย แต่ให้เป็นอย่างเขา ไม่เอาหรอก
       ถาม :  พวกนี้ถือว่าเป็นทิฏฐิมานะ  เป็นทิฏฐิมั้ย  ?
       ตอบ :    มันเป็นอยู่   ตัวทิฏฐิมานะคือว่าเขามา สูง แล้วเขาอยู่กับเหตุกับผลมาก่อน อยู่กับความดีมาก่อน แล้วอยู่ ๆ เราเอาอำนาจ หรือความไม่ดีของเรามาบีบบังคับเขา เพราะฉะนั้นแรงต่อต้านจะมาก
       ถาม :   แล้วพวกนี้  ถ้าดีก็ดีไปเลย  ?
       ตอบ :    มันก็ไม่แน่เหมือนกัน   บางทีก็ต้นตรง   กลางคด    ปลาย  ๆ  ตรงอีกที   พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคล   แบ่งได้เป็นสี่ประเภท   โชติ   ตะโม   ปรายโน      สว่างมาแล้วมืดไป   ณ   เบื้องหน้า    โชติ โชติ   ปรายโน   สว่างมาแล้วสว่างไป   ณ  เบื้องหน้า    ตะโม   โชติ   ปรายโน     มืดมาแล้ว สว่างไป   ณ  เบื้องหน้า    ตะโม ตะโม ปรายโน มืดมาแล้ว มืดต่อไป ณ เบื้องหน้า เพราะฉะนั้นอันที่ถือว่าดี ก็คือว่า สว่างมาแล้ว สว่างไป ที่น่าชมเชยก็คือว่า มืดมาแล้ว สว่างไป นะ แล้วไอ้ที่น่าเตะก็คือ สว่างมาแล้วมืดไป (หัวเราะ) ส่วนมืดมาแล้วมืดไปนั้นน่าสงสาร
       ถาม :   รากเหง้าของความโกรธ   มันมีอะไรบ้างคะแล้วจะแก้   หรือจะขุดรากมันยังไง  ?
       ตอบ :   ถ้าจะขุดนะ  ก็ควักตา   แล้วก็อุดหู   แค่นั้นแหละโกรธยากแล้วเพราะว่ามันเข้าง่ายที่สุดทางตา    กับทางหู     ตาเห็นเก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ   หูได้ยิน  เก็บเข้าไปสู่ใจ  ไม่พอใจ    ไม่พอใจกับถูกใจน่ะ   แย่ทั้งคู่  ถูกใจแสดงว่าชอบใจไม่พอใจแสดงว่าไม่ชอบ ใช่มั้ย ? โบราณเขาบัญญัติคำศัพท์ดีจังเลย ถูกใจ ถ้าถูกเป๊ะก็เจ๊งเลย ของเราต้องสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน รู้เอาไว้แล้วรักษาใจให้ดี อย่าให้มันเข้ามาในใจได้ดูแล้วก็ไม่ยากนะ
       ถาม :   แต่ทำยากจัง
       ตอบ :   ค่อย  ๆ   ทำซิ  ถ้าสติมันทันแล้ว   เรื่องอื่น  ๆ มันไม่ยาก ตามลมหายใจ เข้าออกให้ทัน ถ้าตามลมหายใจ เข้าออกมัน ต่อไปก็จะค่อย ๆ ไล่ กิเลสทัน คราวนี้ของเราไล่หมายังไม่ค่อยจะทันเลย หมาวิ่งเร็วกว่า
       ถาม :   ถูกใจกับไม่ถูกใจนี่   อย่างไหนยากกว่าคะ  ?
       ตอบ :    ถูกใจนี่แกะยาก   ไม่ถูกใจนี่ยังเดินหนีได้ง่ายกว่าใช่มั้ย  ?  แต่ว่ามันยังเป็นอารมณ์ที่ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
       ถาม :   ...............................
       ตอบ :    ต้องดูตัวอย่าง คุณยายประคินไง คุณยายประคินแม่ของเจ้าเรนั่นน่ะ แกไม่สบาย ๆ เสร็จก็นอนหัวเราะ ลูกหลานก็แปลกใจ ยายจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ นอนหัวเราะ ถามยายหัวเราะอะไร บอกขำไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บ   มันไม่รู้หรอกว่า   มันกินเราตายเมื่อไหร่   มันก็โดนเผาด้วย  (หัวเราะ)    คิดได้อย่างไร   กำลังใจของคนเข้าถึงธรรมต้องอย่างนั้น    แล้วบ้านนี้เขาจะมีประสบการณ์ตายเยอะเลย   
                 ล่าสุดก็เจ้าโชค   น้องชายคนเล็กเขากระเพาะทะลุ     ไอ้ของเราก็ไปเข้าพอดี   มันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยซักประมาณเที่ยงคืน   พี่รสเขา มาเรียกบอกว่าไปดูหน่อย บอกว่าเจ้าโชคเขาแย่แล้ว กะว่าคงจะไปแน่แล้ว เมียนั่งร้องไห้แล้ว พอไปถึงดูอาการเสร็จก็เลย เออ ! ถ้ามันขืนเวทนาหนักขนาดนี้ สงสัยมันจะเกาะความดีไม่ได้ ก็เลยใช้คาถาท่านลุงพระยายมที่ว่าบรรเทาเวทนาให้   พอเป่าหัวให้ไปอาการเขาเบาลง    พอเบาไปปุ๊บ     
              ปรากฏว่าทางบ้านเขาทำเป็น มาถึงก็เอาเงิน บอกให้โชคนี่ ตั้งใจอธิษฐานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์องค์ใหญ่ไปเลย อย่างน้อย ๆ ให้ใจเกาะบุญว่าตัวเองได้สร้างพระใหญ่นะ แล้วพอเขาอธิษฐานเสร็จ คล้าย ๆ ว่าเกาะความดีได้ กำลังใจทรงตัว พอกำลังใจทรงตัวก็เหมือนกับว่าเขาหลับลึกไป พอหลับลึกลงไปก็บอกกับทางบ้านเขาว่า เฝ้านะ ถ้าเลยตีสาม รอดปรากฏว่าป่านนี้มันคงเดินปร๋อไปแล้วล่ะ เลยตีสามรอดแน่ คือคนเรา ช่วงวาระบุญมันหมดน่ะ แล้วเอาบุญใหญ่มาต่อเข้าพอดีทางบ้านเขามีประสบการณ์อันนี้มา พี่รสก็เป็น เจ้าเรก็เป็น ไอ้เรนี่ หลายรอบเลย มีเมียทีจะตายที ยิ่งมีหลายคนยิ่งจะตาย เขาเป็นกันทั้งบ้าน คล้าย ๆ กันหมด
              จนกระทั่งคุณยายประคินบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันเห็นว่าความตายไม่ใช่ของน่ากลัวเลย นะ พร้อมที่จะไปตายได้ทุกเวลาเลย รู้ว่าตายแล้วมันสบาย เพราะตอนที่มันเจ็บปวดมาก ๆ นี่มันไม่รับรู้กันแล้ว อาการทางร่างกายไม่รับรู้ มันเบาสบาย อยากจะไปซะเลยทีเดียว นั่นก็เลยพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว
       ถาม :    เพียงแต่  ให้รู้ใช่มั้ย  ?
       ตอบ :  ของท่านเองเกาะบุญ เกาะอะไรแน่นปึ๊กเลย วัน ๆ ไม่มีอะไรแล้ว บอกแก่ขนาดนี้ ภาวนารอวันตายอย่างเดียว ไหวมั้ยโยม ภาวนารอความตายอย่างเดียว ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกมันตายแล้ว หายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า มันก็ตายเหมือนกัน มันอยู่ใกล้เราขนาดนี้
              เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท เราอาจตายไปแล้วลงสู่อบายภูมิ ก็ขาดทุนเสียทีที่เกิดเป็นคน อย่างน้อย ๆ ต้องเอากำไรให้ได้พื้นฐานของการเป็นคน เราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์มาแล้วถึงเกิดเป็นคนได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้อย่างน้อย ๆ เราต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ในเมื่อเราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ระวังรักษาศีลด้วยตัวของเรา ไม่ยุให้คนอื่นศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเอาทำศีลขาด มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจด้วย
                ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่   สักแต่ว่าปากว่า   สักแต่ว่ามือไหว้   ใจไม่ได้น้อมไปด้วย ถ้าเราตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระพุทธธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ก็ให้ปาก ให้กาย ให้วาจา มันน้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะใจต้องน้อมไปด้วย ถ้าหากว่า กาย วาจาใจ มันตามไปทางเดียวกันหมด ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเน้นเฟ้น มันจะเกิดจากความจริงจัง และก็จริงใจ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ความเป็นพระโสดาบันไม่ใช่ของยากเลย เพราะว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างจริงใจ ก็แค่คิดว่าถ้าตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานนะ อารมณ์พระโสดาบันจะมีอยู่ รายละเอียดแค่นี้เอง ส่วนอื่น ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ของท่าน ท่านจะมีศีลเป็นกรอบอยู่ ยังไงก็ไม่นอกศีล โกรธคน โกรธได้ แต่ท่านไม่ผูกอาฆาตพยาบาท โกรธแล้วโกรธเลย ถึงเวลาก็ลืมมันซะ ฟังดูไม่ยากเลยนะ ประเภทโกรธที อีกสามปียังจำได้ อย่างนั้นไม่ใช่พระโสดาบันนะ
              เป็นไงเหนื่อยมั้ยลูก (ถามคนที่สมองพิการ) ค่อย ๆ เดินไปนะ ถ้าเป็นไปได้ พาเขามาบ่อย ๆ นะ เพราะกำลังใจเขาจะได้เกาะด้านดีไว้ตลอด อย่าไปคิดว่าเขาไม่รู้ เขารู้ซะยิ่งกว่ารู้อีก แต่เพียงแต่ว่าความเจริญของสมองมันไม่ทันร่างกาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาอยากคิด อยากพูด อยากรู้มากกว่านี้มันจะโดนจำกัดด้วยกฏของกรรม แต่ว่าผลบุญที่เขาทำน่ะ มันจะส่งผลให้เขาสบายในกาลต่อไปข้างหน้า ชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าได้แน่
       ถาม :    ................
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะ ของเขากลายเป็นทุกข์น้อยไปไง ทุกข์น้อยตรงที่ว่าการนึกคิดปรุงแต่งมันไม่มากอย่างพวกเรา เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่า ให้กินได้อย่างใจ ให้เล่นได้อย่างใจ แค่นั้นเอง
       ถาม :    .......................
       ตอบ :  เรื่องของหมอดู อย่าเชื่อเสียทั้งหมด แต่ว่าให้ระมัดระวังไว้อันที่ท่านบอกว่าดีนั้น ไม่ต้องไปไขว่คว้ามันหรอกถ้าหากว่าเราทำเอาไว้ บุญเราถึง วาระเราถึงจริง ๆ มันได้ของมันเอง แต่ว่าถ้าท่านบอกว่าไม่ดีให้ระวังให้มากไว้ การระมัดระวัง ไม่ขาดทุนอะไรใช่มั้ย ? แต่ว่าวิธีแก้ไข ถ้ามันไม่เกินวิสัย ไม่ลำบากมากนัก ก็ทำ เช่นว่าให้สวดมนต์ถือศีลภาวนาเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ามันยากลำบากนักหนาอะไรก็เอาเหอะ ถ้ามันตายก็ให้มันตายไป ไม่ต้องเชื่อเสียทั้งหมด     สิ่งที่ดีก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า  แล้วสิ่งที่ไม่ดีให้ระวังไว้
       ถาม :    หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอคะ  ?
       ตอบ :  หลีกได้ กำลังใจของเรา ถ้ามั่นคงในทาง ศีล ภาวนากรรมเก่าที่มันจะมาสนอง มันจะมาได้ไม่เกิน ๒๕ % คราวนี้ว่ากรรมเก่า หรือที่เรียกว่าเคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้นแหละ ถึงวาระที่มันเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณบ้างมันหายาก มันส่วนใหญ่จะหาประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียวนี่มันน่าฆ่าซะ
       ถาม :    แล้วควรจะทำยังไง    อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล  ?
       ตอบ :    ถ้าหากมีโอกาสก็  ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลยอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ตัดเคราะห์ใหญ่ที่มันจะมาถึงเรา มันจะหนีห่างจากมันได้ชั่วคราว     ถ้าเราได้ทำบุญใหญ่อันนั้น   ง่ายจะตาย    เราก็ทำอยู่เรื่อยอยู่แล้ว 
              เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าทำสังฆทานสักเดือนละครั้งเลย หรือไม่ก็เจอเขาทำที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป มันจะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ! หมดแล้วไม่มีปัญญาจะทำ ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจหมดเกลี้ยงเลย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปเหอะ (หัวเราะ)
       ถาม :   ถ้าเขาว่าไม่ดีนี่  เราทำให้ดีได้มั้ย ?
       ตอบ :    ได้จ้ะ   เขาว่ามันอยู่ที่ปากเขา    กำลังใจของเราถ้าดี   ทุกอย่างจะดีหมด   ท่านบอกว่า   มโนเสฏฐา  มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ ถ้ากำลังใจของเราว่าดี แล้วตั้งใจทำ มันต้องดี ไอ้ที่ว่ามันปากเขาว่า กำลังใจเราอย่าไปตกตามเขา ถ้ากำลังใจมันทรงตัว ว่าให้ตาย มันก็ไม่สะเทือนหรอก
       ถาม :    มันจะเหมือนสะกดจิตเราเองหรือเปล่าคะ  ?
       ตอบ :    ไม่ใช่สะกดจิตหรอก    เป็นการแช่งตัวเอง    ในเมื่อ   มโนมยา   สำเร็จด้วยใจ   เราไปคิดว่าไม่ดี  ๆ     มันก็กลายเป็นไม่ดีไปจริง  ๆ  
       ถาม :    ถ้าเราคิดว่าดี  ดี  ๆ 
       ตอบ :    สบายใจ   ก็บอกแล้วว่า   ถ้าใจดี   ใจสบาย  ทุกอย่างก็ดีหมด  เพียงแต่ว่าเราจะทำได้ยังไง ให้จิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ สำคัญตรงนั้นแหละ รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ศาสนานี้ท่านไม่สอนอะไรมากกว่าให้ละเว้นความชั่วทั้งปวงให้ทำความดีให้ถึง พร้อมรักษากำลังใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/10.7.html

ถาม :    อำนาจริษยา   อาฆาต   พยาบาท   ถือตัว   น้อยใจ  จะแก้อย่างไร
       ตอบ :   น้อยใจมันเป็นสาขาหนึ่ง   เป็นสายใยบาง   ๆ  ของโทสะมัน
       ถาม :    เราจะแก้   เราจะทำลายมันได้ไง  ?
       ตอบ :  จริง   ๆ  มันตัวเดียวกัน   คือประคองสติให้อยู่เฉพาะหน้า อย่าให้ไปข้างหน้า    แล้วอย่าให้ไปหลังคืออดีต โดยเฉพาะตัวอดีตมันทำให้น้อยใจ มันคอยจะคิดปรุงว่าเขาไม่ดีกับเรายังงั้น ไม่ดีกับเราอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่เราดีแสนดีแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องหยุดกำลังใจให้หยุดอยู่เฉพาะหน้า ถ้าหยุดอยู่เฉพาะหน้าได้มันจะไม่ไปน้อยใจให้เสียเวลา
       ถาม :    ตัวอิจฉานี่เป็นยังไงคะ  ?
       ตอบ :  ตัวอิจฉาเกิดจากตัวโลภ จริง ๆ ตัวโลภ กับตัวรักนี่ตัวเดียวกัน มันอิจฉาริษยาเขาเพราะว่า กลัวว่าเราจะสู้เขาไม่ได้ในเมื่อกลัวจะดีสู้เขาไม่ได้ ก็กลัวว่าเราจะไม่ได้รับความรักจากคนอื่น กลายเป็นซะอย่างนั้น ตัวนี้ภาษาบาลีเรียก อิสสา   มันเกือบจะเป็นอิจฉาอยู่แล้วล่ะ
       ถาม :    แล้วจะแก้ยังไง  ?
       ตอบ :   เหมือนกันเลย   เพราะอันนั้นนี่เป็นการฟุ้งซ่าน   การฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นี่ส่วนใหญ่   ถ้าไม่อดีตก็อนาคต   เพราะงั้นถ้าหยุดอยู่กับปัจจุบันได้   ตัวอื่น   ๆ   ตายเกลี้ยง
       ถาม :    แล้วตัวพยาบาท ?
       ตอบ :  เหมือนกันหมด ตัวพยาบาทมันเป็นรากที่ฝังลึกของโทสะนะ แรก ๆ มันเป็นปฎิฆะ คือกระทบแล้วไม่พอใจ พอเราไปคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ก็เกิดเป็นโทสะ อาละวาดขึ้นมา พออาละวาดขึ้นมาไม่ได้อย่างใจคราวนี้เป็นไฟสุมขอน เป็นพยาบาท เก็บเอาไว้เรื่อย ๆ เดี๋ยวอกแตกตายไปเอง
                เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้าเราหยุดกำลังใจของเราได้ คือการหยุดความคิด ไอ้ตัวคิดนั่นก็คือ ตัวจิตสังขารการปรุงแต่งถ้าหยุดตัวนี้ลงได้ ตัวอื่นก็หยุดหมด   ถ้ามันไม่มีน้ำมันมันใส่ลงไปซะอย่าง  เครื่องยนต์มันก็ไปไม่รอดหรอก    พอมันดับหมดระบบการทำงานอื่น  ๆ  มันก็ไม่ทำงาน
       ถาม :    หมายความว่า    ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว   มันมีอยู่ก็หยุดมันได้   ก็จบ ?     
       ตอบ :   มันก็จบแค่นั้น    ก็แค่เลิกทำ    พูดแล้วง่าย  ๆ   เลิกทำ   มันก็หมด
       ถาม :    ตัวนี้มันมีกันทุกคนหรือเปล่าเจ้าคะ  ?
       ตอบ :  มีทุกคน จะมากจะน้อย อยู่ที่แต่ละคน ธรรมชาตินิสัยคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาอิจฉาคนไม่เป็นเลยใช่มั้ย ? ดีทุกอย่างแต่ว่าดันไปเป็นคนประเภทราคะจริต คือรักสวยรักงาม อะไรที่เป็นของสวยของงาม สะสมไปซะทั่วบ้านเลย เป็นซะอย่างนั้น มันจะมีเด่นขึ้นมาตัวใดตัวหนึ่ง แต่มันเป็นสาขาของ รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ
       ถาม :    สรุปแล้วคืออยู่กับปัจจุบัน  ?
       ตอบ :   ก็อยู่กับปัจจุบันจนกระทั่งวางปัจจุบันได้ก็จบ ไม่ใช่อยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ นะ ถ้าอยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ ก็แปลว่ามันแค่อาศัยกินได้ตอนนี้เท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จมันอีก เพราะงั้นวางปัจจุบันไปซะ
       ถาม :   วิธีวางปัจจุบัน   ทำยังไง  ?
       ตอบ :  อันนี้มันละเอียดมาก เอาเป็นว่าค่อย ๆ หยุดอยู่กับปัจจุบันให้ได้ก่อน ถ้าหยุดได้เมื่อไหร่ก็จะบอกวิธีวาง ต่อหยุดมันก็ยังหยุดไม่อยู่เลย
       ถาม :    หยุดได้แล้วจะมาถามใหม่  ?
       ตอบ :   จ้า   จะรอให้เวลาสิบปีถ้วน  (หัวเราะ)  สิบปีนี่อย่างนานที่สุดไง   มันอาจประเภทเจ็ดวัน   เจ็ดเดือน   เจ็ดปี    อะไรอย่างนี้
       ถาม :    แล้วอย่างกรณีเด็กนี่   ก็อยู่กับปัจจุบันได้   ไม่คิดถึงเรื่องเก่า  ๆ 
       ตอบ :   ไม่ใช่   อยู่กับปัจจุบัน     ก็คือทะเลาะกับมันอย่างมีความสุข  (หัวเราะ)
       ถาม :   ทีนี้เวลาอยู่คนเดียวนี่คะ  ไอ้ตัวปรุงแต่งอดีต .................(ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :  นั่นแสดงว่าการปฎิบัติของเรานะ เริ่มใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรารู้ว่าอันตรายอยู่เฉพาะหน้าเราจะหยุด มันเหมือนกับข้ามถนน รู้ว่ารถจะชนก็หยุด เดินต่อไปโดนชนแน่ แต่ว่าหลังจากที่รถผ่านไปล่ะ คราวนี้แหม ! มันท้าทาย เมื่อกี้มันจะชนเราข้ามมันซะสิบรอบคือทวนแล้วทวนอีก แสดงว่ากำลังของการปฎิบัติของเราเริ่มใช้ได้แล้ว มันเบรกได้บ้างแล้ว
                 แต่หลังจากนั้นแล้ว    ถ้าเก็บไปฟุ้งซ่าน    มันก็จะเหลือมโนกรรมล่ะ   กายกรรม  วจีกรรม  นี่มันเบรกแล้ว    ก็เตรียมอกแตกตายได้  มโนกรรมนี่มันอยู่ ข้างใน อาละวาดยังกับเสือจะพังกรงนะ น่าพอใจแล้วให้มันเหลือแค่นั้นแหละ ต่อไปขังไว้นาน ๆ ให้มันอดข้าว แรงไม่ค่อยมี มันก็เฉาตายไปเอง   
       ถาม :   กลัวจะอกแตกตายซะก่อน  ?
       ตอบ :  พยายามตื้อไว้ โห ! ตอนที่มันหนัก ๆ นี่ มันเหมือนกับเสือจะพังกรงขึ้นมาให้ได้ หรือไม่ก็น้ำ มันรวมตัวกันจะทลายเขื่อนได้อยู่แล้ว เรารู้ว่าเรายันมันไม่ไหวแน่ ๆ ถ้ามาอีกนิดหนึ่ง บังเอิญบุญดี มันยังพอยันอยู่ ตอนนั้นถ้าใครเพิ่มนิดเดียวก็พังโครมเลย ไม่เป็นไร ยังใช้ได้อยู่ รู้ทันว่าเราไม่ดี ก็เก็บความไม่ดีให้อยู่กับเราอย่าให้ไหลไป ให้คนอื่นเขาเปื้อนกับเราด้วย
       ถาม :    มันยันไปยันมา   แล้วย้อนไปนึกจนถึงเด็ก  ๆ  ที่ผ่านมา
       ตอบ :  ยังดีที่มันไม่ย้อนไปอีกชาติหนึ่ง ชาติที่ผ่านมา เรียกว่าฟุ้งซ่านก็ได้ แต่ต้องดูว่าเราย้อนไปแบบไหน ถ้าเราย้อนแบบตั้งใจระลึกชาติ หรือตั้งใจย้อนอดีต ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่ฟุ้งซ่าน มันเป็นเจตนาของเราที่จะดูมันแต่ว่าดูแล้ว รู้สักแต่ว่ารู้   อย่ารับมันเข้ามาให้เป็นอันตรายกับใจ   ถ้าหากว่าประเภทที่นึกย้อนไปเรื่อย  ๆ   อันนั้นเรียกว่าฟุ้งซ่าน
       ถาม :   เราสามารถรู้  สติตามไปเรื่อย  ๆ   แต่เบรกได้ 
       ตอบ :   ก็หยุดม้าที่หน้าผา     อันตรายมี   แต่ว่ายังดีที่ไม่ตายซะก่อน
       ถาม :    .........................
       ตอบ :   เดี๋ยวให้ท่องอะไรให้ขึ้นใจสักหน่อยมั้ย  ?
       ถาม :    ท่องอะไรครับ  ?
       ตอบ :   มันต้องท่องไว้ในใจว่า  เราทำงานไม่ใช่ทำอวดใคร  เราทำงานเพราะไม่ใช่ทำให้ใครยอมรับ   เราทำงานเพราะว่ามันเป็นงานที่เราทำ   แค่นั้นเอง   จำแล้วทำให้ได้ด้วยนะ   ไม่อย่างนั้นแล้วจะเหนื่อยมาก
       ถาม :    เรื่องศาลพระพรหม  ?
       ตอบ :  ความหมายของศาลใช่มั้ย ?   ก็จริง  ๆ  แล้ว  ศาลพระพรหมน่ะ  สำคัญอยู่ที่เดียวก็คือ   เอราวัณ  โรงแรมเอราวัณ   ก่อสร้างขึ้นมาสารพันปัญหา   จนกระทั่งหลวงสุวิชาญแพทย์ ท่านไปดูให้ ว่าไปใช้ชื่อสำคัญข้างบนเข้า ก็เลยทำให้มีปัญหาขึ้นมา คราวนี้ถามว่าจะแก้ยังไง ก็ตั้งศาล การตั้งศาลนี่ คุณหลวงท่านรู้จริง ท่านก็เชิญพรหมมาเพื่อที่เรียกว่ารักษาสถานที่นั้น กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่แต่บ้านเราต่างประเทศก็ศรัทธามาก พวกฮ่องกง ไต้หวัน มาเลย์ สิงค์โปร์
              จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เขากล้ารื้อเอราวัณ แต่ไม่กล้ารื้อศาล คนอื่นมันเห็นว่าทำแล้วดีมันก็เลยเลียนแบบ คนอื่นก็ได้แต่แบบไป เพราะว่าคนไม่มีคนรู้จริงอย่างหลวงสุวิชาญแพทย์ หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง ๆ มันก็ได้แค่ว่าเราเคารพท่าน แต่เรื่องที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์เรามากมายแบบนั้งคงไม่ได้หรอก
       ถาม :    แล้วเขาทำบุญ   ทำกรรมยังไง   ถึงได้อธิษฐาน  ขอส่วนบุญเทวดาให้ได้คะ  ?
       ตอบ :  ทำบุญให้เยอะ ๆ เข้าไว้ ขยันเกิดบ่อย ๆ แล้วก็ไปอยู่ข้างบนให้มากกว่าข้างล่าง พอถึงเวลาส่วนใหญ่เพื่อนเก่าหรือไม่ก็ผู้บังคับบัญชาเก่า ขอร้องอะไรมันก็ง่าย แตถ้าไม่มีบุญเป็นตัวเสริม ท่านก็ไม่ค่อยดูหน้าเราเหมือนกัน
       ถาม :    เจ้าแม่กวนอิม  ท่านเป็นใครกันแน่  ?
       ตอบ :  เกิดไม่ทัน   ท่านเกิดก่อนเป็นพันปี   เลยเกิดไม่ทัน
       ถาม :    ก็มีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์    แต่ว่าคนในปัจจุบันก็เรียกท่านว่าเจ้าแม่
       ตอบ :  คือว่าชาติที่ท่านมีชื่อเสียงมาก    คือชาติที่ท่านเกิดเป็นองค์หญิง เมี่ยวซ่าน    คราวนี้เวลาท่านบวช   ท่านมีฉายาว่า  กวนอิม คือผู้คอยฟัง คอยฟังในความทุกข์คนอื่น เขาก็เลยติดว่าในชาตินั้นที่ท่านมีชื่อเสียงมากที่สุด ควรให้ความเคารพนับถือมากใช่มั้ย ? ทั้งประเทศนี่เห็นตามท่านหมด เขาก็เลยถือเอาชาตินั้นเป็นสัญญลักษณ์ท่านมา
              ชาติต่อไปท่านจะเป็นใคร เขาไม่ฟังแล้ว เอาชาตินั้นเป็นหลัก สละแขนตนเองเพื่อประกอบยาให้พ่อ อย่าลืมนะ พระโพธิสัตว์ การตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ ถวายเป็นบูชาอะไรนี่ท่านทำเป็นปกติ แล้วพอหนัก ๆ ขึ้นมา สละลูก สละเมีย เป็นทาน สละลูกเมียเป็นทานน่ะ ยากกว่าตัดหัวตัวเองอีก
              ถ้าเป็นเราสมัยนี้ก็เอาไปเถอะ ขอให้ตูรอดไว้ก่อน ไอ้พวกกำลังใจไม่ถึง ท่านเองท่านเกิดมาพร้อมกับความดี แต่ว่าพ่อเป็นจักรพรรดิน่ะ ตีบ้านตีเมืองเขาแหลกรานไปเลย คัดค้านพ่อไม่สำเร็จ โดนไล่ไปเลยอยากบวชนัก ก็บวชได้แต่บังคับที่สำนักบวชให้ทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่หนักได้
              คราวนี้ท่านอยู่กับความรื่นเริงเบิกบาน อยู่กับบุญน่ะจิตใจเกาะบุญอยู่ตลอด ไม่ได้สนใจว่าภายนอกเขาจะเป็นยังไง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ยิ่งทำยิ่งหนัก ก็ไม่ว่าทำแค่ไหนก็ทนได้ ขอให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์ พ่อก็เลยยัวะ สั่งให้ทหารไปเจี๋ยนซะ ปรากฏว่าท่านเองคงจะสร้างบุญเอาไว้ดี
              ตามประวัติว่าท่านตายแล้วฟื้นใหม่แล้วไปอยู่ที่เกาะฝงไหล ปฎิบัติจนกระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ตรงนั้นมีบุญมีบารมีมากที่สุด ถึงวาระสุดท้ายกรรมเก่ามันตามทัน พ่อก็เลยตาบอด แล้วก็เกิดโรคร้ายขึ้นมาอะไรรักษาก็ไม่ได้ หมอก็บอกว่าต้องได้ดวงตาเหรือแขนของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มา ถึงจะรักษาได้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแม่กวนอิมที่คนเขาศรัทธากันนักหนา ในระยะนั้นน่ะก็คือลูกตัวเอง ก็ให้มหาอำมาตย์ไปขอก็ให้มาจริง ๆ พอรักษาหาย จะไปขอบคุณ ไปถึงเพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเอง
       ถาม :    ..........................
       ตอบ :  เรื่องของอายุขัย มันเกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าปาณาติบาตน้อยก็อายุยืน ปาณาติบาตมากก็อายุสั้น หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ทีหนึ่ง
              มีคน ๆ หนึ่ง ทำบุญทีไรก็ขอให้ตัวเองอายุยืนสองหมื่นปีมันขอสองหมื่นปี มันเอาไม่เยอะหรอก ไม่ค่อยโลภเลยทำเมื่อไรก็ขออายุยืนสองหมื่นปี อธิษฐานดัง ๆ ด้วย คนได้ยินทั้งศาลาเหมือนกันหมด อธิษฐานไป อธิษฐานมา พอถึงวันพระเขาก็อธิษฐานแบบเดิม ขากลับจากทำบุญ มันจะต้องผ่านลำประโดง ที่เขาขุดให้น้ำ มันไหลเข้าไปในไร่ในนาเข้าน่ะ เป็นคลองเล็ก ๆ มีพวกไม้ไผ่ หรือต้นหมากอะไรพาดผ่านให้เดินข้ามได้เท่านั้น
              ก็มีชายแก่คนหนึ่ง แกเดินข้ามก็ประสาคนแก่นั่นแหละ เดินไม่ถนัด ก็ตกตูมลงไปในน้ำ อีตานี่ก็รีบกระโดดลงไปช่วยลากขึ้นมาบนบกได้ ถามว่าลุงเป็นใครไม่เคยเห็นหน้า แล้วมาทางนี้ทำไม ถึงขนาดตกน้ำตกท่าเลย ตาแก่เขาบอกว่าลุงคือพระกาลเห็นเอ็งอธิษฐานอยากได้อายุยืนสองหมื่นปีมานาน แล้ว วันนี้ได้โอกาสแล้วก็เลยแสดงตัวมาพบ ถ้าเอ็งอยากได้อย่างนั้นจริง ๆ ลุงช่วยให้ได้ จะเอาจริงหรือเปล่า ? เขาก็บอกว่าเอา พอเอาก็ เอาล่ะถ้าเอ็งกลับไปถึงบ้านนะ ก็เริ่มนับได้เลยล่ะอีกสองหมื่นปีเอ็งถึงจะตาย
              ตอนนี้แกก็กระดี๊กระด๊า กลับบ้านไป ปรากฏว่ามันไม่ดีใจได้ไม่นานหรอก คนรุ่นเดียวก็ตายหมด คนรุ่นลูกตาย คนรุ่นหลานตาย จนกระทั่งคนรุ่นเหลนตาย เจ้านี่ก็ยังอยู่คนเดียว ชักคลุ้มคลั่งขึ้นมา อยู่เท่าไหร่ก็ไม่เห็นตายชะที เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่เหลือแล้ว รุ่นอื่น ๆ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลายเป็นปูชนียบุคคลลายครามขึ้นหิ้งไปแล้ว ก็อยากตายขึ้นมา ทำยังไงก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายกี่วิธี ก็มีอันเป็นไป ให้คนมาช่วยทันแกก็เลยคิดวิธีฆ่าตัวตายแบบพิศดารขึ้นมา แกไปขึ้นต้นไม้ใหญ่ ต้นที่มันอยู่ริมน้ำลึก ๆ น่ะ แล้วเอาเชือกผูกคอตัวเอง จัดแจงเอาน้ำมันราดตัว แล้วก็ถือปืนเตรียมไว้ จุดไฟพรึ๊บเอาปืนจ่อหัว ยิงตูม พร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงไปข้างล่าง คือกะว่ามันจะต้องตายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนที่แกทิ้งตัวพร้อมกับ เหนี่ยวไกน่ะปืนมันพลาด จากหัวไปโดนเชือกพอดี ตกลงไปในน้ำไฟดับอีก (หัวเราะ)
               หลวงพ่อบอกว่าเรื่องนี้มีหลักฐานมา   บาลีมุตตะกะ   มุสาวาทวรรค   วรรค ไปเปิดดูได้ เพื่อนนักเทศน์ด่ากันตรึมเลย บาลีมุตตะกะ เขาว่าอยู่นอกบาลี มุสาวาทวรรค ก็โกหกชัด ๆ เล่นเอาโยมทั้งศาลาอยากจะอายุสองหมื่นปีไปตาม ๆ กันทั้งนั้น ท่านก็เล่าของท่านหน้าตาเฉย บาลีมุตตะกะ นอกบาลี ไม่มีมาในพระไตรปิฎก มุสาวาทวรรค วรรคโกหก ฉันพูดเองจ้ะ (หัวเราะ) เอามั้ย ? สองหมื่นปี อยู่กันเหนียงยานเลย แต่ถ้าอยู่ด้วยบุญ สองหมื่นปี มันไม่นานหรอกนะ
              อย่างเช่นว่าสมัยต้นกัปนี่อายุหนึ่งแสนปีนี่ใช่มั้ย ? แล้วก็ลดลงมาเรื่อย จนกระทั่งอย่าง ของเรานี่ท้าย ๆ ก็ยังเรียกว่าท้ายนะ เพราะช่วงนี้เรียกว่า อายุร้อยปีเป็นอายุขัย สมัยพระพุทธเจ้า คราวนี้ว่าร้อยปีลบหนึ่งปี ร้อยปีลบหนึ่งปีไปเรื่อย บัดนี้ ผ่านไปสองพันห้าร้อยปี ก็ลบไปยี่สิบห้าปี อายุมนุษย์ปัจจุบันก็เจ็ดสิบห้าปีเป็นอายุขัย ใครอยู่ขาดก็แสดงว่าปาณาติบาตมาก
       ถาม :   ......................
       ตอบ :  คนตายแล้วส่วนใหญ่จะสบายนะโยม คืออาตมากล้ายืนยันว่าพ้นจากทุกข์ทรมานในปัจจุบันนี้ มันสำคัญกับตัวเราว่า ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ ถ้าเราไม่ทำความดีในอนาคตเวลาตายเราจะทุกข์อีก เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องทำให้เยอะเข้าไว้ เราทำเท่าไรเราก็ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเราตั้งใจอุทิศให้ใครเขาถึงจะได้
       ถาม :   แสดงว่า   ไม่จำเป็นต้องลงข้างล่างก่อน  แล้วแต่
       ตอบ :  แล้วแต่จ้ะ ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ขึ้นตรงไปเลย ถ้าทำความชั่วมากก็ตรงไปเลย ยกเว้นว่าดีชั่วก้ำกึ่งกัน ก็ต้องไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายม ประเภทดีซะร้อยหนึ่ง ชั่วซะร้อยยี่สิบ หรือดีร้อยยี่สิบชั่วซะอีกร้อยหนึ่งอย่างนี้ ไปตรงนั้นเหมือนกัน
       ถาม :   แล้วอย่างหนูเอาของเล่นเขาไปทำบุญอย่างนี้เขาจะได้บุญมั้ยคะ  ?
       ตอบ :  ถ้าเป็นของของเขา    เขามีส่วนอยู่แล้วจ้ะ 
       ถาม :    ถ้าเขาไม่เต็มใจอย่างนี้คะ ?
       ตอบ :  เขาไม่เต็มใจนี่  อันนั้นเขาไม่ยินดีกับเรา   บุญก็จะลดน้อยลงไป
       ถาม :    เขาลด   แต่เราลดมั้ยคะ  ?
       ตอบ :  ของเรานี่กำลังใจมันล้น   มันไม่ใช่ลด   มันล้นตรงที่ว่ากระทั่งของที่เขาไม่เต็มใจ   อุตสาห์เอาไปทำบุญ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

shinpe uhah

ขอบคุณมากครับสำหรับสาระดีๆแบบนี้
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions