บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔

บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔

เริ่มโดย Nobody, 25 มกราคม 2009, 20:53:15

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :     บางทีอย่างเสื้อผ้าเขาใส่ไม่ได้ หนูก็สงสารเด็กคนอื่นหนูก็เอาไปบริจาค
       ตอบ :   ถ้าอย่างนั้นก็ทำถูกแล้ว ค่อย ๆ สอนเขา
       ถาม :  ตอนนั้นหนูนั่งกรรมฐานเอง เสร็จแล้วไม่ได้อะไรนะ แต่ฝันไปว่า ถ้าจะนั่งกรรมฐานจะต้องมีอาจารย์ค่ะ อย่างนี้เราสมควรทำอย่างไรคะ ?
       ตอบ :  ก็พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ไงโยม ตั้งใจจุดธูปเทียนมีดอกไม้ มีของหอมอะไร บูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานได้เลย แต่ถ้าหากว่าเพื่อความแน่นอน ต้องการจะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสอะไร อย่างนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าหากว่าอยากจะทำ เริ่มต้นได้เลย ถือพระพุทธเจ้าเป็นครู ครูใหญ่ที่สุด ไม่มีใครใหญ่กว่านั้นอีกแล้ว
       ถาม :  คืออ่านในหนังสือ เห็นหลวงพ่อบอกว่าให้ทำที่บ้านก็ได้ นั่ง ๆ ไป แล้วมีคืนหนึ่งก็ฝันว่า ถ้าจะนั่งต้องมีอาจารย์ไงคะ ต้องทำไง เลยไม่แน่ใจ
       ตอบ :    ลองขึ้นครูดูมั่งก็ได้ ถ้าหากว่าขึ้นครูตามแบบของหลวงพ่อ ใช้ธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามสี สีละดอก แล้วก็เงินบูชาครูหนึ่้งสลึง
       ถาม :   แล้วจะต้องทำยังไงคะ เวลาบูชา ?
       ตอบ :  บูชาหน้าหิ้งพระ ตั้งใจว่า กรรมฐานในสิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ โดยเฉพาะมโนมยิทธิทั้งหลายนี้ ลูกขออนุญาตฝึก ขอให้ได้โดยสะดวกและคล่องตัวด้วย ให้ได้ง่าย ๆ ด้วย ไม่งั้นบางคนปล้ำกันตายเลย
              ลงไปใต้งวดนี้ เจอโยมคนหนึ่งฝึกธรรมกายมาแบบทุ่มเทเลย แล้วไม่ได้ เป็นปี ๆ ก็ไม่ได้ บอว่ากระทั่งดวงปฐมมรรคก็ประคองไม่อยู่ พอประคองไม่อยู่ วันนั้นคงประเภทเหนื่อยใจเต็มที่แล้ว ก็เลยบอกว่าได้ไม่ได้ช่างมัน วันนี้นอนแล้ว พอเอนตัวลงก็พอดีโพล๊ะเลย คือเขาทุ่มมากเกินไป มันเลยเป้าที่ต้องการ พอลดกำลังใจลงมา
              ดูแล้วโยมคนนี้ตัวอย่างเหมือนพระอานนท์ ตอนก่อนทำสังคายนาใช่มั้ย ? รุ่งเช้าเป็นวันสังคายนา กลางคืนท่านก็เิดินจงกรมกันยันสว่างเลย เสร็จแล้วก็เหนื่อยมเต็มที่ ไม่เป็นพระอรหันต์สักที ก็เอ้า ! ช่างมัน เป็นไม่เป็นก็ช่าง นอนแล้ว พอเอนตัวลงไม่ทันจะถึงหมอน เลยบรรลุตรงนั้น กลายเป็นว่าท่านบรรลุในท่าที่แปลกกว่าใครเพื่อนเลย ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมกันเลย จะยืนก็ได้ เพราะว่าเท้าหนึ่งยังแตะพื้นอยู่ จะเรียกว่านั่้งก็ได้เพราะก้นก็แตะเตียงอยู่ จะเรียกว่านอนก็ได้เพราะว่าตัวเอนลงไปแล้ว (หัวเราะ) เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่บรรลุในอิริยาบทที่แปลกไปกว่าเขา ลักษณะเดียวกับโยมคนนั้นแหละ 
              แล้วตัวเองที่ปฏิบัติมาในระยะแรกที่ฝึกมาโดยไม่มีครูก็แบบเดียวกัน ภาวนามาใจก็คือว่าปรารถนาจะให้ได้ปฐมฌานอย่างน้อย เพราะว่าฟังคำเทศน์หลวงพ่อท่านบอกว่า กำลังอย่างน้อยถึงปฐมฌานถึงจะตัดกิเลสได้ โดยเฉพาะกิเลสระดับพระโสดาบัน พระสกิทาคามีกำลังของปฐมฌานก็พอแล้ว ก็พยายามจะให้มันได้ ทุ่มเทเวลาปีแล้วปีเล่า สามปีเต็ม ๆ ไม่ได้เลย พอวันที่มันจะได้ขึ้นมา ก็ลักษณะเดียวกับเขาก็คือว่า ทำมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่ได้ซักที ก็เรื่องของมันเหอะ ได้ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำของเราก็แล้วกัน ลงร่องโป๊ะเลย ถ้าเราลดกำลังลงไปแค่พอดี มันจะได้เดี๋ยวนั้นเลย
                แต่คราวนี้ไอ้พอดี กว่าจะเข้าถึงแต่ละคนมันลำบาก พอเข้าได้ซักทีแล้วต่อไป มันจะง่าย เพราะว่าเราจำอารมณ์ตรงนั้นง่าย 
                ลักษณะของโยมคนนั้นแบบเดียวกันเลย โยมคนนั้นอยู่หาดใหญ่ฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย เป็นลูกศิษย์ของนายอำเภอวิวัฒน์ เรืองมณี เคยได้ยินกันมั้ย ? ท่านนายอำเภออยู่ทางด้านโน้นนี่ท่านสอนสองอย่างเลย สอนทั้งธรรมกาย สอนทั้งมโนมยิทธิ เพราะว่าพอถึงตอนสุดท้ายแล้วเหมือนกัน พอเหมือนกันท่านสอนสองอย่าง โดนคนเขาว่าเพี้ยนบ้าง อะไรบ้าง แต่ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาไปซะเยอะแยะ
       ถาม :    กลัวทำอะไรที่ผิดไปโดยที่เราไม่รู้ แล้วเป็นบาปนะคะ ก็ขอกราบขมาอภัย
       ตอบ :  จ้ะ....เวลาจะทำอะไร ตั้งใจขอขมาต่อหน้าพระ โดยเฉพาะพระพุทธรูป พระทุกองค์ก็คือศากยบุตร ก็คือลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอขมาตรงต่อท่าน ท่านไม่ถือโกรธเราอยู่แล้ยว แต่ถ้าจะเอาให้พ้นจริง ๆ ต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
                เพราะฉะนั้นก่อนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนทำกรรมฐานทุกครั้งควรจะกราบขอขมาพระรัตนตรัยก่อน หลวงพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติจนชิน จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมากราบพระเมื่อไหร่คนเขาจะเห็นว่ากราบหลายที คือครั้งแรกกราบก่อน หลังจากนั้นขอขมาพระรัตนตรัย ก็กราบอีก สวดมนต์เสร็จก็ค่อยกราบ เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ต้องเก้ากราบไปแล้วล่ะโยม โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้าเขตอุปจารสมาธิไปแล้ว มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีขวางที่ง่ายที่สุด ก็คือทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น
              ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ว่าในขณะนี้ด้วยการชักนำของกิเลส ตัณหา ของอุปาทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช่เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป พวกนี้เขากลัวคนหน้าด้าน ถ้าเราหน้าด้านตื๊อสู้อยู่ เขาก็ถอย รู้ทันเขาก็ถอย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ปฏิบัติอยู่ต้องผ่านจุดนี้ทั้งนั้น แล้วมารมีตัวตนจริง ๆ เขามาแต่ละทีน่ากลัวมาก
              อาตมาเจอเข้ามาแล้ว ครั้งแรกที่เป็นเด็ก ๆ ท่องอะไรนะ พญามารยกพลมาผจญพระพุทธเจ้า เหมือนยังกับคลื่่นในมหาสมุทร เจอเข้าจริง ๆ ลักษณะนั้นเลย เขามาอย่างชนิดที่ว่า เหมือนกับว่าเราไม่มีทางที่จะต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย แต่ว่าเราถอยไม่ได้ ต้องสู้ เจอเข้าจริง ๆ แต่ไม่ต้องกลัว ให้คิดเสียว่าเขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา มารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ขยันที่สุด เพราะเขาทดสอบเราทุกวินาที เขาเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเราอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ผ่านการทดสอบของเขา เราก็ยังคงติดอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเหากว่าเราผ่านไป ตรงจุดนั้น เราจะไม่แพ้อีก 
              ครูที่ขยันออกข้อสอบขนาดนั้น น่าจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำไป คิดเสียว่าเป็นหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวางให้เขาขวางไป เราทำหน้าที่ของเรา ราจะหนีให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้เขา เขาทำต่อไป ก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาต่อไป เราไม่มีทางสู้เขา ไม่ว่าวิธีไหนก็แล้วแต่ ยกเว้นว่าเลิกสู้ไม่ต่อยกับมันซะอย่างมันจะมาต่อยเราฝ่ายเดียวก็ให้มันรู้ไป เกือบตายนะ โดนมาทุกวิถีทางเลย
              ไอ้งานนั้น ประมาณสิบกว่าวันไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ตามที่อ่านในตำราที่บอกว่า เวลาเขามามีลักษณะตัวดำเป็นนิล มาลักษณะนั้นจริง ๆ โอ้โห ! แล้วเวลาเขามานี่ พลังที่รุมล้อมรอบข้างนี่ เหมือนยังกับไก่ไปเจองูน่ะ เราเองลุ้นไม่ขึ้นเลย มีอย่างเดียวจะยอมหมอบราบคาบแก้วแพ้ซะท่าเดียว
              ยกเว้นกำลังใจสุดท้ายที่คอยเตือนสติว่า ถ้าแพ้เราจะเป็นทาสเขาตลอดไป มันต้องสู้อย่างเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละ สู้ไปสู้มา สู้เท่าไหร่ ก็สู้เขาไม่ได้นะ จะใช้ความสามารถพิเศษรบกับเขา เราแพ้ตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะว่าสู้ก็คือเกิดโทสะ ก็เสร็จเขา ใช้กำลังใจแผ่เมตตาอย่างเดียวก็สู้เขาไม่ได้เพราะว่ากำลังเขาสูงมาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาเขาไม่ได้ ตรงจุดนี้ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เก่งนะ (หัวเราะ) เก่ง แต่ว่าเนื่องจากว่าให้เท่าไหร่เขาไม่่รับ มีปัญญาให้ไปซิ เราก็แย่อยู่ฝ่ายเดียว ตื๊อกันเข้าไปซิ ฟาดกันอยู่นานเนกาเล คิดว่างานนี้แค่ตาย ปรากฏว่าตื๊อไปตื๊อมา มันอาจพ้นวาระกรรมของเราพอดีก็ได้ ก็ถอยให้ แต่กว่าจะถอย เล่นเอาเราซะงอมพระราม
       ถาม :    แล้วถ้าเขาไม่ถอยล่ะครับ จะสู้ยังไง ?
       ตอบ :  ไม่ต้องไปสู้หรอก สู้เขาไม่ได้แน่ เป็นพวกเดียวไปเลย หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงานไป คืออย่าไปเห็นเขาเป็นศัตรูนะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ให้เป็นพวกเดียวแบบหมอบราบคาบแก้วให้แก่เขา นั่นก็เสร็จเลย แล้วส่วนใหญ่ ถ้าทำไปถึงก็จะโดนเหมือน ๆ กัน เพราะว่าพระส่วนใหญ่ พอปฏิบัติไปแล้วก็จะกลายเป็นหลักของโยมต่อไป ไอ้คนที่เป็นคนนำขบวนหรือเป็นหัวหลักพลอยให้คนอื่นเขายึด เขาจะตีตรงนั้นมาก
       ถาม :    แ้ล้วคนช่วยที่อยู่รอบข้าง (ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :    ตัวช่วยจริง ๆ อยู่รอบข้าง นั่นคือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น สามารถเป็นครูให้เราได้ทั้งนั้น คนอื่นที่เขานั่งอยู่นะ เขาเจ็บมั้ย ? ป่วยมั้ย ? เมื่อยมั้ย ? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์
               แต่ขณะเดียวกันไอ้ตัวช่วยรอบข้างนี่แหละ จะกลายเป็นบริวารของมารได้ทุกเวลาเหมือนกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน ถ้าเรารับเข้ามาในใจ โดยปราศจากการระมัดระวัง มันพร้อมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ พอกระทบเมื่อไหร่ เราส่งใจออกไปรับรู้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าทุกข์เมื่อนั้น ตัว ช่วยอยู่รอบข้างเหมือนกัน แต่ขณะเดียวไอ้ตัวคอยซ้ำอยู่รอบข้างเหมือนกัน ตัวเดียวกันด้วย ที่บอกว่ามารกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยนั่นแหละ ก็คือตรงจุดนี้แหละ มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราดี รอบข้างดีหมด ถ้าใจของเราไม่ดี รอบข้างก็ไม่ดีไปด้วย
               หลวงปู่ขาว สมัยโน้น...ท่านเล่าให้ฟัง พอท่านผ่านจุดของการต่อสู้ไป จนมั่นใจว่าไม่แพ้แล้ว ขนาดกุฏิเก่า ๆ ทั้งหลัง กราบแล้วกราบอีกไม่เบื่อ กุฏิเก่า ๆ อยู่มาตลอดไม่เคยมองด้วยซ้ำเลย กลายเป็นครูไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ..เอาแค่ทุกข์ตัวเดียวนะ ทุกคนเวลาเกิดความทุกข์ก็จะไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน แต่ว่าในสายตาของพระปฏิบัติที่ทำไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ อดีตโบราณาจารย์หลายลัทธิที่มีความสามารถสูงมาก มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถจะเห็นอริยสัจที่แท้จริงตัวนี้ได้
              พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยสี่อสงไขย กับหนึ่งแสนมหากัป ปฏิบัติด้วยความลำบากยากเข็ญถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ พระองค์ท่านจึงตรัสรู้เห็นอริยสัจอันนี้ได้ ไอ้ของที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของเราแล้ว เงินทองเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ กลายเป็นของที่มีค่าชนิดที่ไม่สามารถจะไปควานหาตรงไหนได้ ของที่เราว่าไม่ดีแท้ ๆ กลายเป็นของมีค่าในสายตาของท่านไป ตามทันมั้ยตรงนี้ ? ตามไม่ทันพูดใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม (หัวเราะ)
               เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีมุมมองของมันเอง เมื่อ ไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะไม่มีดีไม่มีชั่วนะ ดีชั่วก็เป็นแค่สมมุติ สิ่งที่เห็นคือผู้ที่กำลังเป็นไปตามกรรม กระแสกรรม อันนั้นมีดำกับขาว ฝ่ายขาวพาเราขึ้นสูง ฝ่ายดำพาเราลงต่ำมันอยู่ที่ว่าเรากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสองกระแสนี้ จนกว่าจะเด็ดขาดสิ้นเชิงไป หลุดออกจากแกระแสทั้งคู่เสียก็หลุดพ้น แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ต้องเกาะกระแสสีขาวเสียก่อน เกาะไว้เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูง ๆ ให้เกาะราวบันไดไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยงนะ แล้วถึงเวลา ถ้าหากว่าเราขึ้นมา
               สมมุติว่าเป็นห้องนี้ เข้ามาในห้องเราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย เรากองมันไว้ที่เดิม อันดับแรก เราต้องเกาะก่อน คือเกาะดี แล้วหลังจากนั้นพอถึงที่สุดแล้วมันถึงจะพ้นดี หลวงปู่มหาอำพันที่ อาตมาจะทำบุญถวายร้อยปีเกิดของท่าน ท่านใส่บาตรทุกเช้า อาตมาอยู่วัดเทพศิรินทร์กับหลวงปู่สี่ปีเต็ม ๆ คอยดูแลปรนนิบัติท่าน เพราะว่าท่านอายุมากแล้ว มรณภาพตอนแปดสิบแปด ท่านใส่บาตรทุกเช้า พระทุกองค์ท่านบอกว่านิมนต์นะครับ ตอนไปทำวัตรเย็น นิมนต์นะครับ ถ้าท่านใดออกบิณฑบาตรกรุณาผ่านกุฏิผมด้วย ขอเป็นเนื้อนาบุญของผมบ้าง พระทุกองค์เดินผ่าน ท่านจัดเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ใส่บาตรทุกวัน ไอ้ของเรามันก็ตื่นมาช่วยท่านทุกวัน ช่วยไปช่วยมามันขี้สงสัย คือเรารู้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีแน่นอน ก็กราบเรียนว่าหลวงปู่ครับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหว ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วหลวงปู่ยังต้องไปทำ ทำอะไรอีก ท่านบอกว่า ไฮ้ ! ....คุณก็ คนเราถ้าหากว่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว มันก็มีแต่ต้องรีบตะเกียกตะกายไปให้ห่างจากมันให้มากที่สุด
               คือพระที่ท่านเข้าถึงความดีแล้ว ท่านจะทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ของเราเองนี่ประมาทเต็มตัวเลย ไม่ต้องห่วง ทำดีพอแล้ว ไม่ต้องทำอีกก็ได้ พอกินแล้ว เกิดหาใหม่ไม่ทันก็อดกิน นั่นแหละ ครู บาอาจารย์ แต่ละองค์ ๆ ท่านจะให้ในสิ่งที่เป็นแบบอย่างแก่เรา แล้วเราเองเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาประยุกต์ นำส่วนที่พอเหมาะพอสม มาปฏิบัติกับตัวเราให้เกิดคุณกับตัวเราได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งแท่ง ไอ้ยกมาทั้งแท่งที่บอกว่าสู้แค่ตาย อาตมาตายฟรีมาแล้วจ้ะ เขาบอกว่าเรียนรู้ตามตำราถือว่าเก่งใช่มั้ย ? ต้องพลิกแพลงใช้งานได้ถึงจะยอด แต่ถ้าเยี่ยมจริง ๆ ให้บัญญัติใหม่ (หัวเราะ) ของเราไม่เก่งขนาดนั้น ต้นบัญญัติจริง ๆ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาไม่เอาด้วย
       ถาม :    พรรษานี้ผมจะไปอยู่ที่ ...(ฟังไม่ชัด).....
       ตอบ :   ที่ไหนก็ได้ สำคัญตรงใจเรา ส่งออกเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น ตอนแรกต้องหยุดมันให้ได้ก่อน โดยเฉพาะหยุดคิด นี่แหละ น้ำผลไม้มันก็แค่น้ำผลไม้ ถ้าเราคิดต่อแช่เย็นซะหน่อยก็เข้าท่าดี ก็ไปซะแล้ว เอ๊ะ !...ถ้าเป็นน้ำส้มก็แจ๋วใช่มั้ย น้ำส้มเคยไปกับสาวแล้วสั่งกินนี่หว่า ไปอีกแล้ว ถ้าหากว่าน้ำส้มเป็นเหล้าก็เคยกินเหมือนกันก็บรรลัยเลย
               เพราะฉะนั้น มันต้องหยุดมาตั้งแต่เหตุให้ได้ ถ้า สติรู้เท่าทัน มองปุ๊บมันรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่างไงจะเป็นโทษอย่า่งไร มันจะตัดตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ควานหาสติตัวเองนี่ มันยากเย็นแสนเข็ญ เรียนตำรามาเท่าไหร่ก็ใช้การไม่ได้ แค่เป็นเลา ๆ ให้เราเท่านั้นเอง ตำราทุกอย่างเหมือนกับแผนที่มันเป็นเส้นขีด ๆ เท่านั้น การปฏิบัตินี่มันเดินในภูมิประเทศจริง มันหกล้มหกลุกไปเรื่อย
       ถาม :    ...............................
       ตอบ :     บอกเอาไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เกวละปริปุณนัง ปริสุทธัง สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ตัดก็ขาด เติมก็เกิน ในปัจจุบันนี้มันจะมีประเภทที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปมาก พอเข้าไปถึงในระดับหนึ่งก็จะไปทึกทักเอาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือตรงนั้น
               อันนั้นจะเป็นการเอาทิฏฐิ คือความเห็นของตนเองไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ เราทำถึงตรงนั้นน่ะดี ถูก แต่มันดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น มันยังดีไม่หมด ยังถูกไม่หมด พอเราก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปก็จะมีดีตรงนั้น ถูกตรงนั้น ซึ่งจะดีกว่าจุดเดิมอีก เราก็จะไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ถูกอีก เผลอเมื่อไหร่มันยึดทันที การยึดนี่ไม่ว่าจะยึดดี จะยึดชั่ว มันไปไม่รอดทั้งคู่ ตอนแรกยึดดีไว้ก่อน พอเวลาถึงตอนสุดท้ายมันต้องปล่อยดีด้วย
       ถาม :     ............................
       ตอบ :   มหาผล คือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่เกินมะตูม ถ้าหากว่าคั้นน้ำมาแล้ว ห้ามฉัน ปรับเท่ากับฉันอาหารปรับทุกคำเลย ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไม เพิ่งจะมารู้ระยะหลัง ๆ นี่เอง ไปอ่านเภสัชโภชนา พวกมหาผลนี่ส่วนใหญ่ฮอร์โมนจะเยอะ ฉันเข้าไปเดี๋ยวอยู่ยาก พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ตำราเพิ่งเรียนทัน โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว ยืนยันเลยว่ามากเป็นพิเศษ
              สมัยก่อนนี้เขาห้ามผู้หญิงท้องกินน้ำมะพร้าวใช่มั้ย เดี๋ยวนี้แนะนำให้กินให้เยอะเข้าไว้ เด็กมันจะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง ลองทดสอบดูนะ มหาผลอย่างพวกแตงโม สับปะรด ส้มโอ หรือไม่ก็มะพร้าวอย่างนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน้ำของเขามีฮอร์โมนเยอะ แล้วจะมีสารที่ทำให้ท่อปัสสาวะระคายเคือง พวกนี้พอลงไปเมื่อไหร่ก็ได้เรื่องเท่านั้นแหละ จะทำให้พระอยู่ลำบาก
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.2.html

ถาม :  เวลาที่ผมป่วย (ฟังไม่ชัด) 
       ตอบ :     เริ่มเข้าถูกทางแล้ว (หัวเราะ) ธรรมดาของ การเกิด เป็นทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาของการเจ็บไข้ได้ป่วยบีบคั้นอย่างนี้ สาเหตุที่แท้จริงของมันก็คือ เกิดมามีร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีร่างกายเ่ช่นนี้อย่ามีอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า หลุดง่ายนิดเดียว
       ถาม :     ....................
       ตอบ :     ตรงจุดที่่ว่าพระเทวทัตโดนธรณีสูบ ท่านมาแล้วจะเกิดสังฆเภทขึ้น มีคนเขาสงสัยมากว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้อยู่ว่า เพราะเทวทัตเข้ามาแล้วจะเกิดเหตุอย่างนี้แล้วทำไมถึงไม่ป้องกัน ปัญหานี้ น่าคิดมั้ย ? ไอ้พวกปัญญามากน่ะ เขาคิดกัน (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว คือว่า พระเทวทัตนี่ เขาอธิษฐานจองเวรพระพุทธเจ้ามาจนนับชาติไม่ได้แล้ว ประเภทกอบทรายขึ้นมาบอกว่าจะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าเท่าจำนวนเม็ดทราย ในกอบนี้ พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าพระเทวทัตมา แล้วถ้าหากว่าเข้ามาในพระพุทธศาสนาให้ปั่นป่วน จะทำให้เกิดสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน
              แต่ว่าท่านก็รับเข้ามาเพราะว่าในขั้นต้นเมื่อฝึกให้ท่านทรงความดีได้ระดับ หนึ่ง มันก็เหมือนกับว่าตุนต้นทุนฝ่ายดีเข้าไว้ส่วนหนึ่ง พอถึงเวลาถึงท่านจะเข้ามาหรือไม่เข้ามา ความชั่วชนิดนี้ท่านทำแน่ ๆ ได้ตุนความดีเข้ามาฝ่ายหนึ่งมันก็เลยบรรเทาลง กลายเป็นว่าแทนที่จะลงอเวจีเป็นกัปก็ลงแค่ห้าพันปีท่านก็จะพ้นขึ้นมา ถ้าไม่ได้กุศลตัวนี้ช่วยท่านก็จมหนักไปเลย
       ถาม :   ก็แค่ห้าพันปีก็ไม่นาน
       ตอบ :     โห ! .....ไม่นาน คือไม่นานสำหรับอเวจี แต่ถ้าเปรียบกับเราถือว่านานจังเลย
       ถาม :    คือถ้าเทียบเป็นกัปน่ะ นานมาก
       ตอบ :     ตรงจุดนี้แหละคือของท่านเอง ท่านคิดในด้านสงเคราะห์อย่างเดียว มีโอกาสช่วยให้เขาดีเท่าไหร่ก็ต้องช่วยไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาจะทำอะไร ก็ถือว่าเป็นกรรมของเขาเอง เพราะฉะนั้นคนจำนวนมากเลยไอ้พวกช่างคิด เขาจะคิดกัน ว่าพระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ป้องกันเอาไว้ก่อน
       ถาม :    อย่างนี้ขอขมา ไม่ได้ไปกล่าวขอขมาต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้วก็สมัยเรานี้ไปทำพลาด
       ตอบ :  เราขอขมาหน้าหิ้งพระได้ คือว่าในสมัยนั้นท่านตั้งใจจะไป ยังไปไม่ถึง ถ้าหากว่าท่านกล่าวขอขมาตรงนั้นเลย คงเบาไปเยอะแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งว่าในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระชมม์ชีพอยู่ ใคร ๆ ก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วต้องไปให้ถึง
       ถาม :    แล้วคำว่าอัพยกฤต นี่หมายความว่ายังไงครับ ?
       ตอบ :     อัพยกฤต ก็คือความเป็นกลางอย่างยิ่ง หมายถึงอารมณ์ใจที่ไม่รับทั้งสุขทั้งทุกข์ อยู่ตรงกลางไปเลย
       ถาม :   อย่างปุถุชน ทำได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ได้ มันได้แบบปุถุชน พระโสดาบันได้แบบพระโสดาบัน พระสกิทาคามีได้แบบพระสกิทาคามี พระอรหันต์ได้แบบพระอรหันต์ คือว่า มันมีสิทธิทำกันได้ทุกคน แต่ว่าความสูงต่ำ แล้วแต่อารมณ์ตัวเอง ว่าจะได้ขนาดไหน
       ถาม :    ความเป็นกลางหรือคะ ?
       ตอบ :     จ้ะ อารมณ์ที่เป็นกลาง ถ้าหากว่าจะเปรียบไปแล้วก็คือว่า พ้นดีพ้ันชั่วน่ะ อยู่ตรงกลางเป๊ะเลย
       ถาม :    พ้นดีของปุถุชนนี่เป็นไงครับ ?
       ตอบ :  ก็บางทีของท่านน่ะ อารมณ์ใจบางช่วงมันจะไม่เกาะทั้งดี ทั้งชั่ว เป็นอารมณ์ที่ปล่อยวางลงล็อกพอดี แต่ว่่ายังเป็นแบบปุถุชนอยู่ แต่ว่าถ้า เป็นแบบพระอริยเจ้านี่ ท่านจะปล่อยวางด้วยปัญญาของท่าน ระดับที่ไม่เท่ากัน ของปุถุชนนี่อาจเป็นความบังเอิญ แต่พระอริยเจ้านี่เป็นของแท้แน่นอนไม่ใช่บังเอิญ
       ถาม :    อย่างพระนี่ตัดสังโยชน์ข้อสี่ที่เข้ามาเนี่ย จะทำยังไง จะต้องพ้นอย่างไร ?
       ตอบ :    อันดับแรกพยายามแยกก่อนว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของเรา ในเมื่อเป็นสมบัติของร่างกาย ธรรมดาของมัน อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีอยู่แล้ว ในเมื่อต้องมีอยู่แล้ว อยากมีก็มีไปเถิด เราไม่สนใจเจ้าหรอก อย่าไปให้ความสนใจกับมัน มันเกิดอะไรขึ้นก็อย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันไม่ต้องคิดต่อว่ารวยว่าสวย หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องไปคิดต่อว่าเพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นไม่ต้องไปสนใจ ว่ามันจะหอมหรือมันจะเหม็น มันจะชอบหรือไม่ชอบ ลิ้นรับรสก็สักแต่ได้รส มันจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่างมัน กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส จะเย็นร้อนอ่อนแข็งชอบใจหรือว่าไม่ชอบใจอย่างไรเรื่้องของมัน กั้นมันเอาไว้อย่าให้มันเข้ามาในใจ
               คราวนี้ตรงสติและปัญญาที่จะรู้เท่าทัน ที่จะกั้นมันไม่ให้เข้ามาอยู่ในใจนี่แหละสำคัญที่สุด ต้องรู้ให้ทันมัน ถ้าหากว่าตัวนี้ทำได้ก็สบายเลย แยกมันออกให้ได้ว่าจิตกับกาย มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของกายมันอยากจะเป็นก็ให้มันเป็นไป จิตเราไม่ไปปรุงแต่งกับมัน พอเราไม่ไปสนับสนุนมัน มันไม่มีกำลังพอ มันก็จะเฉาจะตายของมันเอง สักแต่ว่ารู้
       ถาม :   ถึงแม้ว่าจะได้ยิน จะได้เห็น อะไรก็ตาม
       ตอบ :    ถ้าเราไปปรุงแต่งเมื่อไหร่ มันจะมีแรงมีกำลังขึ้นมา ถ้าเราไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่ยุ่งกับมัน ก็ตายในเวลาอันใกล้
       ถาม :   ที่มันทุกข์เพราะการปรุงแต่งใช่มั้ย ?
       ตอบ :     ใช่ ทุกอย่าง ถึงได้บอกว่าคนเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ไอ้ตัวปรุงแต่งก็คือจิตสังขาร ก็คือความคิดแท้ ๆ เลย ฟังแล้วไม่ยาก (หัวเราะ) ทำจ้ะ ทำ อย่าท้อการ เดินทางไปสู่นิพพานมันยาก เพราะว่าระยะทางนอกจากจะไกลแล้ว ยังเป็นการทวนกระแส เพราะฉะนั้นเราต้องมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ค่อย ๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย
              ก้าวหนึ่งก็คือ ใกล้เข้าไป ลมหายใจเข้าออกทีหนึ่ง ก็คือใกล้เข้าไปเรื่อย ถ้าเรานับมาได้ ระยะไกลเหลือเกินแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็รู้สึกว่ามันเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งอยากจะท้อถอย แต่ถ้าลองมองไปข้างหลังดูซิ
              ถ้าสมมุติว่าเราขี่จักรยานอยู่อย่างนี้ เราอย่าไปมองคนขับรถสปอร์ต หรือขี่เครื่องบินอยู่ข้างหน้าเรา นั่นน่ะไม่ไหวหรอก เขาไปไกลแล้ว เรามองกลับไปข้างหลังดู คนที่เดินเท้าก็มี อาจขี่เกวียนก็มี อาจไม่ได้เดินเลย นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ก็ตั้งเยอะตั้งแยะ เรามาขนาดนี้ก็น่าพอใจแล้ว แล้วถ้าหากว่ามองไปข้างหน้า ก็มองไประยะใกล้ ๆ มองจุดหมายใกล้ ๆ อย่างเช่นเราตั้งเป้าว่าเราจะละกิเลส คือสังโยชน์สามให้ได้ ก็มองแค่นี้ก่อน อย่าไปมองถึงสิบ แต่ว่าเป้าหมายของเราก็คือถึงสิบ ต้องทวนไว้บ่อย ๆ แต่ว่าตรงหน้านี่สามให้ได้ พอเรามองระยะใกล้มันก็จะเห็น ตอนนี้เรามีความก้าวหน้าแค่ไหน เราใกล้เป้าหมายเข้าไปเรื่อย เข้าไปเรื่อย
              เหมือนกับว่าเวลาเดินทางจะไปเชียงใหม่ก็ตั้งเป้าว่า เดี๋ยวแค่อยุธยาก่อน แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยา เออ !..... ก็มีกำลังใจ ไปต่ออีกหน่อยก็อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไล่ขึ้นไปเรื่อยใช่มั้ย พอไปถึงนครสวรรค์ อ้าว !..... ได้ครึ่งทางแล้วใช่มั้ย มีกำลังใจ แต่ถ้าเราไปมองที่จุดหมายทีเดียว ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง บางทีมันท้อเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามถอย เกียร์ถอยเขาถอดทิ้งไปแล้ว (หัวเราะ) ต้องขึ้นหน้าอย่างเดียว 
       ถาม :  แต่ข้อสี่นี่มันจะลำบากหน่อย
       ตอบ :  ทุกคนของเรา เราอาจลำบากเพราะตัวนี้ผจญเรา แต่คนอื่นจะไปลำบากเพราะตัวอื่นน่ะ มันไม่แน่หรอก มันแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน ของใครคนนั้นก็หนักอย่างนั้น ไอ้ของเรา โอ้ย ! .... เอ็งจะโกรธไปทำไม ไม่เห็นน่าโกรธเลย เราใจเย้น เย็นใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าของเขาไม่เย็นด้วยกระทบนิดหนึ่งเขาระเบิดตูมเลยอย่างนี้ มันคนละอย่างกัน อีกคนหนึ่งมันไม่ค่อยจะโกรธเลย รักก็ไม่ค่อยจะรักแต่ถือตัวเป็นบ้าเลย ใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้อย่างนี้ คนละอย่างกัน
       ถาม :    คนละตัวใช่มั้ยคะ ที่ติดกันคนละตัว ?
       ตอบ :    ใครกำลังติดอยู่ตรงไหนจุดนั้นก็จะเป็นจุดหนักสำหรับเขา เพราะฉะนั้นเราเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดความดีชั่วคนอื่นไม่ได้
       ถาม :    เราต้องเราที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง
       ตอบ :   ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นเมื่อไหร่ก็ผิด เพราะมันส่งใจออกนอก ดูที่ตัวเมื่อไหร่ใจมันก็ยังอยู่ข้างใน ถึงมันจะวางลงไปไม่ได้ ก็ยังควบคุมมันอยู่ภายในได้
       ถาม :    ถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว การปฏิบัติสมาธิส่งผลถึงวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า เมื่อเราปฏิบัติเสร็จจะต้องรู้สึกดี สดชื่น
       ตอบ :    ไม่จำเป็น เพราะว่าแต่ละวันกำลังใจของเราไม่เท่ากันนะ ร่างกายของเราถ้าหากว่าัมันหิว มันเหนื่อย มันเจ็บไข้ได้ป่วย ร้อน หนาว อะไรเหล่านี้ มันจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางใจทั้งหมด แต่ว่าเราตัองรู้จักวางอุเบกขาในการปฏิบัติ คือได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่มีคำว่าขาดทุน วันนี้อาจได้เป็นหมื่นเป็นแสน พรุ่งนี้อาจเหลือเป็นสามพันห้าบาท มันก็จะเเหลือเป็นแสนหนึ่งกับห้าบาท แสนหนึ่งกับสามบาท เป็นต้น ต้องรู้จักพอใจแค่นั้น ถ้าเราไม่พอใจ ประเภทไปเร่งมาก ๆ ขณะที่นี่เร่งไม่ขึ้น เดี๋ยวมันจะเครียด พอเครียดแล้วผลมันจะเสียยาวไปเลย
              เพราะฉะนั้นแต่ละวันมันจะไม่เท่ากันหรอก วันนี้อาจประเภทใจเย้นใจเย็น ยิ้มให้กับหมู หมา กา ไก่ ได้ พรุ่งอาจเอะอะ เอ็ดตะโรวิ่งไล่เตะไปทั้งสำนักงานก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ว่าในแต่ละวันยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าให้มันขาดทุนเยอะ ให้มันอยู่ในส่วนของความดีอยู่บ้าง ถ้ามันเคยชั่วอยู่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เอาสักยี่สิบสามชั่วโมง ให้มันมีเวลาดีอยู่บ้าง ถือว่ากำไรแล้ว แล้วถ้ายิ่งทำได้มากเท่าไหร่มันก็กำไรมากเท่านั้น
       ถาม :     ........................
       ตอบ :  เขาว่าวันนั้นนี่สวรรค์ร้างเลยนะ ข้างบนนี่เทวดาที่เป็นผู้ใหญ่นี่ไม่เหลือเลย เขาเชิญไปหมด คนที่สามารถทำขนาดนั้นได้ จะต้องรู้จักเทวดาอย่างชนิดลึกซึ้งยังไม่เพียงพอนะ ยังต้องเป็นที่เกรงใจอย่างยิ่งด้วยเพราะฉะนั้น ไม่เจ๋งจริงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ชนิดไปจนสวรรค์ร้างนี่เห็นชัด ๆ ก็ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมไง 
              ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระองค์ปฐมนี่ขนาดพระอรหันต์ยังไม่ได้ ใกล้เลย พระพุทธเจ้าท่านอยู่วงในซะจนประเภทมองออกไปไม่เห็นพระอรหันต์เลย (หัวเราะ) ก็ลองนึกเอาแล้วกันว่า ท่านที่สามารถทำให้เทวดาเกรงใจชนิดไปจนเกือบเกลี้ยงสวรรค์นั่นเป็นใคร อยากจะรู้เหมือนกัน
       ถาม :   ไม่ใช่นายกใช่มั้ยครับ ไม่ใช่น้าชาติใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ผู้ที่ทำหน้าที่บวงสรวงด้านหน้า น่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพราหมณ์อะไรยังงั้นล่ะ ถ้าเก่งขนาดนั้น ก็น่าจะเชื่อว่าท่านจะต้องมีดีทีเดียวล่ะ
       ถาม :  อยากจะทราบว่าเวลาฝึกสมาธิน่ะค่ะ แล้วสร้างพลังในตัว ให้สามารถนำไปใช้เป็นญานที่สามารถช่วยคนอื่นได้ ?
       ตอบ :   ไปช่วยคนอื่นได้ก็เอาอภิญญา ๕ เป็นอย่างน้อยล่ะลูก
       ถาม :   ต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :  เริ่มด้วยกสิณกองใดกองหนึ่ง รู้จักกสิณมั้ยจ้ะ ? มี ๑๐ กอง จะมีที่เป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสี ๔ อย่าง คือ ขาว เขียว แดง เหลือง แล้วก็เป็นอากาศกสิณ คือ ความว่าง กับ อาโลกกสิณ คือ แสงสว่าง รวมแล้ว ๑๐ กอง เราชอบอันไหนอันหนึ่งจับอันนั้นขึ้นมาฝึกให้ได้ก่อน
               กสิณทั้ง ๑๐ กองจะยากอยู่เฉพาะกองแรกเท่านั้น พอได้กองแรกแล้วกองอื่นกำลังเท่ากัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนนิมิตเท่านั้นเอง เปลี่ยนสิ่งที่มาเป็นนิมิต เช่นว่าจากดินก็ไปเพ่งน้ำแทน จากน้ำก็ไปเพ่งลมแทน จากลมไปเพ่งไฟแทน เหล่านี้เป้นต้น พอได้อันดับแรกแล้วอันอื่นง่ายหมด ยากอันดับแรกอันเดียว พอได้ขึ้นมาพอครบกสิณ ๑๐ พยายามฝึกให้คล่อง อธิษฐานใช้ให้คล่อง คราวนี้จะช่วยคนอย่างไรก็เชิญจ้ะ ชนิดตายแล้วจะให้กลับเป็นใหม่ก็ยังไหว
       ถาม :    แล้วจะได้กองแรกต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :   หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงดีกว่า ตั้งใจบูชาหน้าหิ้งพระแล้วก็อธิษฐาน ว่ากสิณกองใดที่ข้าพเจ้าเคยได้มาในชาติก่อน ขอให้อ่านแล้วชอบกองนั้นมากที่สุด ถ้าชอบหลายกองให้อธิษฐานใหม่อีกรอบหนึ่งว่า ถ้าหากว่ากองไหนที่ทำแล้วจะได้ง่ายและคล่องตัวมากที่สุดขอให้ชอบกองนั้น มากกว่าใคร 
               เสร็จแล้วก็เริ่มหาอุปกรณ์มาทำ อุปกรณ์ของกสิณอย่างเช่นว่า ถ้าเป็นกสิณดินก็ต้องหาดินมาเลย โบราณท่านเรียกว่าดินสีอรุณ คือสีออกค่อนข้างจะเป็นเหลืองอ่อนหรือสีออกสีส้ม เอามาในขนาดที่เราเรียกว่าใช้จับภาพได้ง่าย จะปั้นเป็นก้อนกลมหรือจะทำเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ก็ได้ แต่ว่าโบราณท่านใช้ผ้าขึงแล้วก็เอาดินละเลงเป็นวงกลมกว้างประมาณ ๒ คืบขึ้นไป คือให้เห็นชัด ๆ เสร็จแล้วเวลาจะภาวนาก็นั่งให้ห่างในระยะที่เห็นก้อนดินได้พอดี ๆ หรือว่าเห็นดวงกสิณนั้นได้ ไม่ก้มเกินไป ไม่เงยเกินไป อยู่ในลักษณะที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกิน แล้วก็ลืมตาจำภาพกสิณพร้อมกับภาวนา หลับตาลงนึกถึงภาพนั้นไว้พร้อมกับคำภาวนา
              พอภาพหายไปลืมตาดูใหม่ แล้วหลับตาลงจำเอาไว้พร้อมกับคำภาวนา หายไปลืมตาดูใหม่ ทำแบบนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แล้วภาพนั้นก็จะเริ่มติดตาไปนาน คือ ตอนแรกพอเรามองแล้วหลับตาลงจะนึกได้แป๊บหนึ่ง แล้วพอหายไปก็ลืมตาดูภาพใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึงอีกพร้อมกับคำภาวนา คำภาวนาแต่ละกอง ใช้ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าเพ่งดินก็ใช้ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณังพร้อมกับลมหายใจเข้า ?ออก เพ่งน้ำก็อาโปกสิณัง อาโปกสิณังพร้อมลมหายใจเข้าออก อย่างนี้เป็นต้น
               จนกระทั่งพอภาพนั้นติดตาติดใจจะหลับตาหรือลืมตาก็ เห็นได้เหมือนกัน นึกถึงได้เหมือนกัน คราวนี้ก็พยายามนึกถึงภาพนั้นพร้อมคำภาวนาอยู่เสมอ ตอนนี้ไปจะเป็นตอนที่ยากมาก เพราะว่าถ้าเราเผลอสติลืมภาพกสิณจะหายไป เอาใจจดจ่ออยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งนึกถึงภาพกสิณเอาไว้พร้อมกับคำภาวนาอยู่ในใจของเรา ภาพ นั้นก็จะค่อย ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จากทึบก็จะค่อย ๆ ขาวขึ้น ๆ พอขาวถึงที่สุดก็จะค่อย ๆ เริ่มใสสว่างขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างเหมือนกับกระจกสะท้อนแสง ถ้าสว่างเต็มที่แล้วลองอธิษฐานให้ใหญ่หรือว่าเล็กได้ให้มาหรือว่าหายได้ อย่างนี้ก็เริ่มอธิษฐานใช้ผลของกสิณได้ 
              พอได้เต็มที่กองหนึ่งแล้ว ก่อนจะทำกองใหม่ก็จับภาพกสิณให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนไปทำกองใหม่ ถ้าได้ ๒ กองก็จับกองที่ ๑ ที่ ๒ ให้เต็มที่ แล้วค่อยทำกองที่ ๓ ถ้าได้ ๓ กองก็ ๑-๒-๓ เต็มที่แล้วค่อยทำกองที่ ๔ ย้อนทวนอย่างนี้อยู่เสมอ ๆ เสร็จแล้วลองอธิษฐานใช้ผลดู
               ผลของกสิณแต่ละกองจะไม่เหมือนกัน ถ้าจะทำของอ่อนให้แข็งก็ใช้ปฐวีกสิณ พวกอยู่ยงคงกระพันนี่มักใช้ปฐวีกสิณ ทำของแข็งให้อ่อนก็ใช้กสิณน้ำ อย่างปฐวีกสิณนี่จะใช้เดินบนน้ำได้หรือจะเดินบนอากาศก็ได้ เดินเหมือนกับมีบันไดอยู่นั่นแหละ อธิษฐานว่าอากาศทุกจุดที่เราเหยียบขอให้แข็งเหมือนดิน แล้วก็เดินได้ในน้ำก็ได้ ถ้าทำของแข็งให้อ่อนใช้อาโปกสิณ ถ้าต้องการจะไปไหนเร็ว ๆ ก็ใช้วาโยกสิณ ลักษณะที่เรียกว่า เหาะไป ถ้าหากว่าไม่มีไฟต้องการให้ไฟติดขึ้นมาก็ใช้เตโชกสิณ ไม่มีอากาศจะหายใจใช้วาโยกสิณ ถ้าต้องการจะผ่านในที่ ๆ มันทึบมันตันจะให้ไปได้สะดวกก็ใช้อากาศกสิณ ในที่่มืดต้องการจะให้สว่างก็ใช้อาโลกสิณ เหล่านี้เป็นต้น
               ถ้าสว่างจะใช้มืดก็ใช้นีลกสิณ ถ้าสีอื่นไม่ชอบใจชอบใจแต่สีแดงก็ใช้โลหิตกสิณ ประเภทของธรรมดาใช้แล้วมันไม่สะใจ ใช้ของที่เป็นทองคำไปเลยก็ใช้ปีตกสิณ อย่างนี้เป็นต้นนะ กสิณ จะมีอยู่ที่ผลพิเศษออกไปก็คือว่า อาโลกกสิณ เตโชกสิณ และโอทาตกสิณ ? กสิณสีขาว กสิณ ๓ กองนี้ถ้าหากว่าทำไปแล้วผลพิเศษที่จะได้ก็คือ จะได้ทิพจัขุญาณแจ่มใส่มาก โดยเฉพาะอาโลกกสิณเป็นทิพจักขุญาณโดยตรง
               แต่ว่าถ้าทำเป็นจริง ๆ กระทั่งอาโปกสิณก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ จากอาโปกสิณเราเอาน้ำใส่ขัน เราตั้งใจจำภาพน้ำก็จะเป็นอาโปกสิณเฉย ๆ แต่ถ้าทำเป็นทิพจักขุญาณให้ตั้งใจให้แน่วแน่ถึงก้นภาชนะก็จะเป็นทิพจักขุญาณได้ อัน นี้ต้องลองทำดูนะ ถ้าหากว่าไปอ่านตำราแล้วเขาบอกว่าอาโปกสิณ เป็นทิพจักขุญาณไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไปเถียงเขา เราทำดูก่อน ถ้าเราทำได้ แสดงว่าเราเก่งกว่า
              พอทำจนคล่องอธิษฐานใช้ผลจนคล่องนึกปุ๊บปั๊บเป็นเลย ตอนนั้นจะทำอะไรก็ได้ อย่างคนเจ็บไข้ได้ป่วยอธิษฐานให้ธาตุ ๔ เขาประสานเสมอกันเขาก็หายป่วยเดี๋ยวนั้นเลย แต่ว่าเราจะต้องดูด้วยว่าในอดีตเขาทำกรรมอะไรมา ในปัจจุบันกรรมอันนั้นให้ผลนั้นเขาอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่วาระบุญมาเสริมเราก็ช่วยเขาไม่ได้ ถ้าเราช่วยเป็นการฝืนกฎของกรรม กสิณหรืออภิญาที่ได้ก็จะเสื่อมไป แต่ว่าเสื่อมไปก็ไม่นานหรอก พอเราตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัยตั้งใจทำใหม่กำลังใจรวมตัวได้ก็เป็นอีก
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.3.html

ถาม :  เกิดเหตุขึ้นเจ้าค่ะ คือ ในช่วงที่เราไปช่้วยดูให้กับบุคคลหนึ่ง แล้วพอเห็นภาพเขาล่วงหน้าว่าเขาจะมีรถพุ่งเข้ามาชน มีอุบัติเหตุรถชน เราก็บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนนะ แล้ว....
       ตอบ :     พอเกิดก็เราเองจ้ะ อันนี้โทษใครไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ดูว่ากรรมเก่าของเขาทำไว้อย่างไร แล้วจะต้องรับผลนั้นอย่างไร เราไปดูตรงผลนั้นเลย ถ้าเรารู้ว่าเขาเคยทำไว้เขาจำเป็นต้องรับนี่ บางทีรู้ ๑๐๐ พูดได้แค่ ๑๐ เท่านั้นเอง หรือไม่ก็พูดได้ลักษณะหนึ่งเดียวคือ บอกใบ้ให้เขารู้ตัว ถ้าหากว่าเขาไม่อาจจะรู้็ตัวแสดงว่ากรรมนั้นหนักเขาจำเป็นต้องรับ มันเหมือนยังกับว่าเขากำลังยิงเป้าคือคน ๆ หนึ่ง แล้วเราเองไปยืนขวางคน ๆ นั้นไว้ กระสุนจะโดนใครจ๊ะ ? เออ ! โดนเรา เพราะฉะนั้นเราทำก็รับซะหน่อย
       ถาม :    แล้วเราทำบุญหนีไม่ได้หรือครับ ?
       ตอบ :  ก็ลองดู (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าบอกว่า หนีกรรม....ไม่ว่าจะไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทรายก้นมหาสมุทร หรือซ่อนอยู่ในกลีบเมฆ อยู่ในซอกเขา หรืออยู่ก้นเหวลึก ยังไงก็หนีไม่พ้น กรรมมันเก่งมันหาเจอพวกนี้ น่าจะไปเปิดบริษัทตามคนหาย
       ถาม :     ทีนี้พอหลังจากนั้นเขาก็ยังโดนนะคะ
       ตอบ :    จ้ะ ก็กรรมของเขา เขาก็ต้องรับอยู่แล้ว
       ถาม :     เขาโดนทีนี้พอเขาโดนปุ๊บเขามีความรู้สึกว่าเราดูเขาได้ถูกต้อง เขาก็พาคนมาตรึมเลยเจ้าค่ะ
       ตอบ :    อาตมาก็โดนอย่างนี้แหละจ้ะ
       ถาม :     แล้วทำยังไงดีเจ้าคะ ?
       ตอบ :     จะทำยังไงดี... หลีกได้ก็หลีก หนีได้ก็หนี รีบชิ่งซะตั้งแต่แรกก่อนที่คนจะรู้มากกว่านี้
       ถาม :    ชิ่งยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :    ย้ายบ้านหนีเลย (หัวเราะ)
       ถาม :     เขาไปนั่งรออยู่หน้าบ้านเลยล่ะเจ้าค่ะ
       ตอบ :    จ้ะ ....ก็ธรรมดานี่ ถึงเวลาที่สมควรจะดังแล้วมั้ง
       ถาม :   แต่ว่ามันเหนื่อย พอเหนื่อย ...(ไม่ชัด)....
       ตอบ :  เหนื่อยจ้ะ กำหนดเป็นเวลาดีกว่านะ อย่างเช่นว่า วันหนึ่งดูให้ชั่วโมงเดียวแล้วก็จำกัดให้ถามได้คนละไม่เกิน ๕ ข้อ และรับดูแค่ไม่เกิน ๑๐ คน อะไรเหล่านี้เป็นต้น ต้องตั้งกติกาของเราขึ้นมา ไม่งั้นตายจ้ะ โดยเฉพาะการที่เขาซักถามกันเฉพาะตรงหน้าเลยนั่นน่ะ ระวังไว้โอกาสผิดมันมีสูงมากเพราะว่าในช่วงนั้นตัว รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะเกิดกับเราได้ง่าย แหม...ไอ้ยายนี่ มันถามไม่รู้จบ...กลายเป็นว่า โทสะมันผสมเข้าไปทิพจักขุญาณมันมีโอกาสผิดพลาดได้
       ถาม :     ต้องพยายาม พระพุทธองค์วางไว้บนมือเลย แล้วให้ท่านช่วยเป็นคนตอบให้เจ้าค่ะ
       ตอบ :  จ้ะ แต่คราวนี้ถ้าหากหาผู้จัดการมาสักคนหนึ่งนะ เอาผู้จัดการมา ตัวเราหลบอยู่ในห้องพระ ให้เขาเขียนคำถามมาไม่เกิน ๕ ข้อ แล้วเราตอบไป ถือว่าสิ้นสุดไม่ต้องซักถามอะไรทั้งนั้น พอเขาเขียนมา ผู้จัดการเอามาส่งเราก็เขียนตอบไปเลย ถือว่าจบแค่นั้นนะ คิดมันข้อละ ๑๐๐ ก็ได้ มันจะได้เข็ด ไม่อย่างนั้นแล้วมากันเยอะ
       ถาม :     พอหลังจากวันนั้นนะเจ้าคะ มันเหนื่อยมากจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าฌานทุกอย่างมันเงียบหายหมดเลยเจ้าค่ะ
       ตอบ :    นั่นแหละ พอเหนื่อยเกินไป หิวเกินไป เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ นี่ฌานมันจะเสื่อม ไอ้ตัวกำลังไม่มีญาณก็เจ๊งไปด้วย เพราะญาณนี้เป็นผลของฌาน กำลังฌานไม่มีญาณทุกอย่างมันก็จ๋อย (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วทำยังไงถึงจะฟื้นได้เป็นปกติ ?
       ตอบ :    เริ่มภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวเท่าเดิมใหม่ อย่า ไปอยากให้มันได้เท่าเดิม เรามีหน้าที่ภาวนาเราภาวนาของเราไป มันจะเป็นฌานขึ้นมาเมื่อไหร่ ญานเครื่องรู้มันจะเกิดเมื่อไหร่เรื่องของมัน ถ้าทำใจสบายอย่างนี้ได้ มันจะเกิดเร็ว แต่ถ้าภาวนาแล้วอยากให้เกิด มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก แล้วก็รีบป้องกันตัวเอาไว้ หาผู้จัดการส่วนตัวได้แล้วนะนี่
               หมอเอก็เตือนไปหลายทีแล้วว่าอย่าให้เขาซักถามซึ่งหน้า คนถามมันจะไม่รู้จักพอเหมือนกับตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ใช่มั่นคงทรงตัวจริง ๆ ประเภทรบทั้งวันเจ๊งเอาง่าย ๆ 
       ถาม :     อันนี้ขอพลังจากพระพุทธองค์ช่วยเสริมด้วยได้ไหมเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ช่วงนั้นน่ะท่านช่วยตลอดอยู่แล้ว ไม่ช่วยไม่คล่องขนาดนั้นหรอก แต่พอถึงเวลาแล้วเหลือแต่เราจริง ๆ ลองคิดดูสิ มันเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เติมหัวเชื้อน้ำมันเข้าไป พอหัวเชื้อหมดแล้วเป็นยังไงล่ะ ?.....เดี้ยง ! นั่นแหละ ถ้าท่านไม่ช่วยมันเดี้ยงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยท่านเต็มใจที่จะช่วยอยู่เสมออยู่แล้ว ยิ่งเราขออยู่ตลอดเวลาท่านก็ยังพร้อมที่จะช่วย แต่ว่าตอนท่านช่วยน่ะ เราไม่รู้สึกอะไรหรอก สงเคราะห์เขาได้ตลอดพอเลิกแล้วเมื่อไหร่ก็หงายผลึ่งล่ะจ้ะ...
       ถาม :     ท่านเจ้าขา เป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ 
       ตอบ :    จ้ะ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าท่านช่วยได้จริง ๆ ลำพัง กำลังของเรานี่เสร็จตั้งแต่ยกแรกแล้ว
       ถาม :     ทำบ่อย ๆ แล้วไม่คล่องเหรอครับ ?
       ตอบ :  คล่องอยู่ แต่ก่อนที่จะคล่องมันจะพิการซะก่อนน่ะสิ (หัวเราะ) เหมือนกับต่อยมวย พอต่อยบ่อย ๆ ประสบการณ์เยอะ แต่คราวนี้ถ้าไม่เป็นขึ้นเวทีไปเลยโดนเขาอัดเดี้ยงตั้งแต่งานแรก ไม่ได้อาศัยเป็นอาชีพแล้ว
       ถาม :     อย่างนี้ถ้าทำแบบพอสมควร สะสมไปเรื่อย ๆ ...
       ตอบ :  ทุกอย่างมันต้องพอเหมาะพอดี ถึงได้ว่ามันต้องกำหนดกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกัน แล้วคนไหนมันฝืนกฎกติกาก็ถือว่าคนไม่รู้ กฎเกณฑ์มารยาทเราไม่คบด้วยไม่ต้องเกรงใจจ้ะ วันก่อนนี่ไล่ตะเพิดไป ๒ ราย รายหนึ่งมาถามปัญหาบอกวิธีแก้มันไม่ฟังเลย มันว่าปัญหาต่อไปยาวไปเลย เราก็เลยหยุดนั่งฟังเงียบไปเรื่อย จนกระทั่งพอได้จังหวะก็บอกเขาว่าอาตมาพูดทีเดียว ถ้าบอกไปแล้วไม่ฟังก็จบ
              ส่วนอีกรายหนึ่ง เอาลูกมาจะพึ่งคนไหนได้ บอกเรื่องถามปัญหาโดยเฉพาะเกี่ยวกับลูก แล้วถามว่าพึ่งคนไหนได้ ต่อไปอย่าได้มาให้เห็นเชียว พอถ้าตอบไปปุ๊บก็จะรักคนหนึ่งเกลียดคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางคนลูกยังไม่ทันจะเกิดเลย เลยไปให้หมอดูว่าพึ่งได้ไหม พอหมอบอกว่าพึ่งไม่ได้อยู่ในท้องก็อยากจะรีดทิ้งแล้ว
               เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะหมอดูที่ท่านรู้มารยาท ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๕ จะไม่ทำนายอนาคตเด็กให้ใคร นะจำไว้แม่น ๆ ถ้าเด็กมาถาม ถามว่าหนูอายุถึง ๑๕ หรือยัง ถ้ายังรีบ ๆ ไปทำบัตรซะก่อน (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ทำบัตรนี่ไม่ทายให้ เพราะว่าผลกระทบมันจะเยอะ แล้วเด็กที่อายุน้อย ๆ พอได้รับผลกระทบไปก็จะกลายว่ามองผู้ปกครองในแง่ไม่ดี ดีไม่ดีสภาพจิตใจของตัวเองเสียไป โตขึ้นกลายเป็นผู้ที่มีปัญหาต่อสังคมไปเลย ความจริงโทษเด็กไม่ได้ต้องโทษผู้ใหญ่ วันนั้นแหละเจ้าดาเขาเพิ่งจะรู้ ไม่งั้นเจ้าดาเขาถามอยู่เรื่อย ใคร ๆ ว่าหลวงพ่อดุ เห็นใจดีจะตาย มันเพิ่งเห็นว้ากคนไปเต็ม ๆ เหี่ยวไปด้วย
       ถาม :  ตัวเองนี่มีจิตใจแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วแต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้เวลาเราช่วยคนอื่นเขาดู จิตใจในแต่ละส่วนเสียงที่พูดออกมาแตกต่างกันทุกเสียง โดยเฉพาะจิตที่ ๔ .....ไม่ชัด......
       ตอบ :  รวมความรู้สึกให้อยู่จุดเดียวนะ กำลังใจของเราถ้าเราคล่องตัวมันอาจจะเป็นเพราะว่าคล่องมาในอดีตก็ตาม หรือว่าคล่องในปัจจุบันนี้ก็ตาม มันสามารถแยกจิตเพื่อรู้งานหลาย ๆ อย่างได้ สามารถทำหน้าที่หลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นสมาธิทั้งหมดต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเลย รวบรวมกำลังความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่เฉพาะตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นก็จะเหลือความรู้สึกเดียวแล้วเราก็จะมั่นคงอยู่ตลอด
              แต่ถ้าหากว่าเรายังกระจายความรู้สึกไปด้วย ความคล่องตัวที่ไม่เคยฝึกหรือว่าฝึกมาในชาติก่อนหรือว่าเคยฝึกในชาตินี้ก็ ตาม ถ้าอย่างนั้นมันจะแยกออกเป็นหลายอย่าง แล้วบางทีเราอาจจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกโดยไม่รู้ตัว
       ถาม :     ตอนนี้หลายบุคลิกแล้วเจ้าค่ะ
       ตอบ :     จ้ะ 
       ถาม :     ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ก็นั่นล่ะจ้ะ คราวหน้าแทนที่เราจะฝึกการแยกจิตแยกกายทำอะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำอย่างเดียว โดยเฉพาะจับอานาปานสติให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่จะออกไปดูให้ใครก็ว่าซะจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวนิ่งซะก่อน แล้วก็จับอารมณ์นั้นไว้อย่าให้คลาย มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวไปตลอด แต่ถ้าคลายอารมณ์ออกเดี๋ยวมันจะแล่บออกไปทางอื่นอีก
              พวกนี้ตอนแรกฝึกมันจะสนุกมากเหมือนกับว่า เราเก่งมันทำได้หลายอย่างพร้อม ๆ กัน แต่มันจะไปมีปัญหาตอนที่ว่า บางทีภาวนาอยู่มันไปฟุ้งซ่านซะอีกใจหนึ่ง มันทำของมันได้ด้วยเก่งมากเลย ถ้าเราดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าไม่ได้ บางทีก็กลุ้มใจ บางคนเครียดไปเลยก็มี เคยภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้ทำไมอันโน้นมันคิด อันนี้มันทำโน่น อันนี้มันทำนี่ กลายเป็นกระจัดกระจายไปคนละทิศ
       ถาม :  เวลาคนเราเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นนี่ค่ะ บางคนนี่เขาจะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือบางคนเขาจะมีกรรมของเขาในปัจจุบัน ตรงนี้เราจะช่วยความเจ็บปวดเขาให้ทุเลาลงได้ยังไงคะ ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกิดจากเศษกรรมของปาณาติบาตในอดีตทั้งสิ้น มันมาส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ เศษกรรมนะ ต้นทุนเราใช้เขาแล้ว  ดีไม่ดีลงนรกมาเรียบร้อยแล้ว เศษกรรมส่งผลให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านแนะนำให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า ปล่อยปลาสักเดือนละตัวสองตัวต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ กรรมเหล่านี้จะคลายตัวลงนะ ปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านะจ๊ะ อย่างในตลาดอย่างนี้ ไม่ใช่เขาขายให้ปล่อย ถ้าขายให้ปล่อยเราได้แต่ เมตตาบารมี แต่ถ้าหากที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านี่จะเป็นการตัดกรรมตัวนี้ได้เยอะ ทำให้การเจ็บไข้ได้ป่วยลดน้อยลง ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต่ออายุได้อีกต่างหาก
       ถาม :     เห็นแม่ค้าเขากำลังจะทุบหัวปลา เราไปช่วยตรงนั้นเลย ?
       ตอบ :     ไม่ต้องไอ้ตัวที่ทุบหรอก ทั้งหมดนั่นเลยแหละ เขาขายไปให้ฆ่าแน่ ๆ อยู่แล้ว
       ถาม :     แล้วฝากไปปล่อยได้ไหมคะ ?
       ตอบ :     ได้จ้ะ เรามีส่วนอยู่แล้ว เพราะว่าปัจจัยเป็นของเราเงินทองเป็นของเรา ปล่อยได้ด้วยตัวเองยิ่งดี ที่หน้าวัดท่าซุงที่เต็มไปหมด น่ะมันเกิดจากฝีมือของอาตมาเริ่มไว้ก่อน ตอนแรกก็ซื้อไปปล่อยแต่บ่อที่อยู่ข้างร้านป้ากิมกีเขา ...(ร้านอาหาร) ปล่อยไปปล่อยมาหลวงพ่อบอกแกดูบ้างหรือเปล่า ว่าปลามันจะไม่มีที่หายใจอยู่แล้ว ? เราก็เพิ่งจะรู้ (หัวเราะ) พอเอาอาหารไปโยน เออ...ใช่ มันขึ้นมาคลั่กไปหมด ก็เลยไปซื้อปล่อยที่แม่น้ำข้างหน้า
              คราวนี้ปกติจะซื้อแต่ปลาดุก เพราะเป็นปลาที่อดทนทรหดมาก แต่ปรากฏว่ามันเป็นปลาดุกเลี้ยง พอปล่อยลงแม่น้ำแล้ว นอกจากมันหากินไม่เป็นยังไม่ว่า มันยังเอาตัวไม่รอดอีกต่างหาก มันโดนปลากระแหทึ้งหนวดซะเกลี้ยงเลย มันดึงหนวดไปกินน่ะ ปลากระแห ปลาตะเพียนที่มีครบแดง ๆ เขาเรียกว่าตะเพียนแดงก็มี กระแหแดงก็มี พวกนี้มันไวมาก
       ถาม :     ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  มันโตสักฝ่ามือนี่ มาถึงมันก็โฉบคว้าหนวดเขาไปกินเลย ไอ้เจ้านั่นโดนถอนหนวดไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็เจ็บตายชักเลย หนีกันมาออกันอยู่ริมฝั่งหมด พอเจอเข้้าไปงานเดียวก็เข็ดต่อไปก็ เอ๊...พื้นดิมแถวนี้มันมีปลาอะไรมั่ง ? จะไปถามซื้อพวกปลากระแหไม่มี เพราะว่าปลาพวกนี้มันใจเสาะ เขาว่ามันแค่เห็นตะวันมันก็ตาย เห็นท้องฟ้ามันก็ตาย ความจริงไม่ใช่หรอก มันพ้นน้ำขึ้นมาไม่มีอากาศหายใจมันตายง่ายกว่า มันไม่อึดก็ไปสืบหาจนกระทั่งได้ความว่าปลาของพื้นบ้านที่นี่มีพวกปลาเสือ พวกปลาแรด แล้วก็ปลาสวาย ปลาสวายหาง่ายที่สุด เลยตั้งใจซื้อปลาสวายปล่อย
              คราวนี้จะซื้ออย่างที่หลวงพ่อบอก คือ ตัวสองตัว พอไปเจอมันตาปริบ ๆ ทั้งกาละมังก็ต้องยกกาละมัง มีเท่าไหร่ก็ต้องเอาเท่านั้น ปล่อยไปปล่อยมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันไปแตกลูกแตกหลานหรือไปชวนใครมาอยู่ มันถึงได้เยอะขนาดนั้น เยอะขนาดนั้นเกิดจากการริเริ่มของอาตมาเอง ๗-๘ ปี เท่านั้นเอง มันไม่นานหรอก
       ถาม :     เราปล่อยปลาชนิดไหน เขาห้ามกินปลาชนิดนั้น ?
       ตอบ :     เขาห้ามกินปลาตัวนั้น ไม่ใช่ห้ามกินชนิดนั้น เขาบอกว่าห้ามกินชนิดนั้นเพื่อให้มันพ้นไปเลย ต่อไปก็ปล่อยอย่างที่เราไม่ชอบเข้าไว้ ปล่อยอย่างที่เราชอบจะได้ไม่ต้องกินมัน อย่างปล่อยปลาปั๊กกะเป้าอย่างนี้ มีคนเอามาขายหรือเปล่า ?
       ถาม :  ทำไมเวลาเรามาปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิกับคนเยอะ ๆ แล้วเขาพร้อมใจกันปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าสมาธิมันนิ่ง นิ่งกว่าตอนที่เรานั่งทำเอง ?
       ตอบ :     เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่ากำลังของคนที่ ตั้งใจในบุญนั้น กระแสจิตของเขาไปในด้านเดียวกัน มันเหมือนกับน้ำที่ไหลไปทางเดียวกัน เมื่อน้ำที่ไหลไปทางเดีวกันสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในกระแสนั้นก็ไหลตามกันไปเลย ง่ายกว่า แต่เวลาเราทำอยู่คนเดียวนี่ ถ้าสมมุติว่าเป็นที่บ้านเราคนรอบข้างก็ดี อาจจะประเภทที่ว่ารอบทั้งหมู่บ้านก็ดี เขามีกระแสไปในทางรัก โลภ โกรธ หลง ขณะที่เราไปฝืนกระแสอยู่คนเดียวมันก็จะยากกว่า
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.4.html

ถาม :   แล้วจะทำยังไงให้สมาธิเหมือนกับที่เรานั่งรวมกับคนอื่น
       ตอบ :      ต้องทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวเป็นฌานเป็นอย่างน้อย ระวังไว้อย่าให้ฌานเสื่อม ถ้ากำลังทรงเป็นฌานเป็นอย่างน้อยนี่มันจะช่วยระงับตัวนิวรณ์ ๕ ได้ ก็จะกดตัวรัก โลภ โกรธ หลงลงได้ชั่วคราว ถ้ากำลังอย่างนั้นจะมั่นคง รอบข้างเขาไหลไปเราก็เหมือนกับหินกลางกระแสน้ำ ต้านกระแสน้ำนั้นได้อยู่ แต่ว่ามันก็ยังไม่พ้นกระแสอยู่ดีนะ
       ถาม :     อย่างนี้ถ้าเราอยู่กับคนที่เขาสมาธิจิตดีหรือว่าสุขภาพจิตดีแล้วคิดในทางที่ดี
       ตอบ :     ก็จะสบายไปด้วยล่ะจ้ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าอยู่ในเขตที่มีพระอริยเจ้ามาก ๆ ยิ่งสบายหนัก
       ถาม :  ทีนี้มันเกิดปัญหาที่ทำงานน่ะเจ้าค่ะ คนในที่ทำงานทะเลาะเบาะแว้งกันเกือบทุกวันเลย แต่ละคนรู้สึกว่าเขาไม่รักกันเลย พอเราเข้าไปตอนแรก ๆ สภาพจิตของเราก็นิ่ง ๆ พอเข้าไปในนั้นเราก็กระทบจิตตรงนั้น จิตเราก็วุ่นวายไปด้วย
       ตอบ :     อันนั้นต้องรักษาของเราให้เข้มแข็งพอ เพราะถ้ายังเข้มแข็งไม่พอก็พังง่าย ๆ คนที่อยู่ต่างจังหวัดถ้าเป็นนักปฏิบัติ เวลาเข้ากรุงเทพฯ จะสังเกตได้ง่ายมาก เพราะว่ากระแสส่วนใหญ่ของคนในกรุงเทพฯ ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เรามานี่จะโดนเบียดเอียงไม่เป็นท่าเลย ไม่รีบตั้งท่า ภาวนาสู้เอาไว้บางทีพังเอาง่าย ๆ
       ถาม :     ต้องทำยังไงเจ้าคะถึงจะไม่เป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ 
       ตอบ :     อย่าให้หลุดจากลมหายใจเข้าออก หลุดเมื่อไหร่เป็นเรื่องเมื่อนั้น (หัวเราะ) ฟังแล้วเหนื่อยใช่มั้ย ? ถ้าจะไม่ให้เหนื่อยก็ต้องทำจนชินจนกระทั่งว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา จิตใจของเราไม่รับเรื่องภายนอกเป็นปกติ ถ้าอย่างนั้นก็จะสบาย แต่ถ้าหากว่ามันยังรับอยู่ก็ต้องทรงฌาน คือรู้ลมหายใจเข้าออกเอาไว้เป็นปกติ
       ถาม :     แล้วเราจะช่วยคนที่อยู่ในสถานที่ทำงานเราให้เขารักใคร่ปรองดองกันยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :     อันดับแรกก็ทำตัวเราก่อน ตัวเราต้องพ้นจากกระแสก่อน มีความเข้มเข็งพอ เมื่อขึ้นสู่ฝั่งแล้วจะช่วยใครก็ได้ แต่ถ้าเรายังไม่พ้นกระแสยังลอยคออยู่ด้วยกัน ไปเที่ยวช่วยเขาเดี๋ยวเขากอดจมตายไปด้วย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ต้องเร่งปฏิบัติของตัวเองให้มันเข้มแข็งเข้าไว้ โดยเฉพาะแผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ กระแสเมตตาที่เราสงเคราะห์ต่อเขา จะเป็นกระแสเย็น เมื่อเป็นกระแสเย็นถ้าหากว่าเขาได้รับได้อะไรคนที่เขาอยู่ใกล้เขารู้สึกเย็นอกเย็นใจเดี๋ยวเขาก็คล้อยตามมาเอง
       ถาม :     เห็นผีเต็มที่ทำงานเลยเจ้าค่ะ
       ตอบ :  ก็ปกติของเขาไม่ใช่เฉพาะที่ทำงานที่อื่นก็เยอะ อย่าลืมว่าผีรัก ผีโกรธ ผีโลภ ผีหลง มันน่ากลัวมากที่สุด ถ้าหากว่าที่ไหนก็ตามที่กำลังใจของคนมันไม่ดี พวกนี้เขาก็จะช่วยซ้ำ ต้องระวังเอาไว้หน่อย
       ถาม :     พูดถึงผี ผีที่เข้าสิงคนนี่เข้าสิงได้ในจุดไหนของคนหรือเจ้าคะ ?
       ตอบ :     เขาไม่ได้เข้าในร่างกาย ผีที่เข้าสิงหรือเทวดาที่เข้าทรงอะไรก็ตามที่เราคิด เขาจะอยู่ด้านนอกแล้วใช้อำนาจจิตของเขาบังคับให้บุคคลนั้นทำสิ่งต่าง ๆ แบบที่เขาต้องการ เขาบังคับจากภายนอก ไม่ได้เข้าไปข้างในโดยเฉพาะเทวดาไม่เข้าไปหรอก เหม็นขี้ ! (หัวเราะ)
       ถาม :     เวลาเราจะสร้างเสน่ห์ให้คนเขารักเรานี่ ทำยังไงบ้างเจ้าคะ ?
       ตอบ :     อ๋อ...วิธีทำเสน่ห์ง่ายมาก เขาเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ อย่าง ประกอบไปด้วย ทาน มีการเสียสละให้ปันเจือจานแก่ผู้อื่นเป็นปกติ อันดับที่สอง ปิยวาจา พูดแต่สิ่งที่ดีที่ไพเราะพูดวาจาที่เป็นประโยชน์แก่เขา อันดับที่สาม อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานของคนอื่นเขาเท่าที่เราจะทำได้ อันดับที่สี่ สมานัตตา มีความสม่ำเสมอในกิจที่เราทำ
              อย่างเช่นว่า เคยให้ก็ให้ เคยพูดดีก็พูดดี เคยช่วยก็ช่วยตลอดไป ถ้าทำอย่างนี้แล้ว บวกกับตัวเมตตาที่เราตั้งใจแผ่ให้คนอื่นเขาอยู่เสมอ ๆ จะกลายเป็นคนมีเสน่ห์จ้ะ ทำเสน่ห์ใครคนนั้นก็เสร็จเราหมด พระพุทธเจ้าสอนวิธีทำเสน่ห์ไว้ อาจารย์ใหญ่สอนเองเพราะฉะนั้นลูกศิษย์ต้องทำให้ได้
       ถาม :  พอดีที่ำทำงานเขาทำงานแข่งกับเราแล้วงานเขาไม่เสร็จ งานเราเสร็จ พองานเราเสร็จนี่เราโดนแกล้งโดยไม่รู้ตัว ........(ไม่ชัด)........... การที่จะไม่ให้คนแกล้งเราเลยได้ไหมเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะว่าเราเองก็ทำบุญทำบาปอยู่ตลอด ไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว ในเมื่อเราไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว โอกาสที่อกุศลกรรมต่าง ๆ มันจะให้ผลแม้เพียงเล็กน้อยมันก็จะมีอยู่บ้าง ดังนั้น โอกาสที่จะไม่ให้เขาแกล้งเลยมันมีอยู่ก็คือไปนิพพานซะ แต่มันก็จะลำบากหน่อย ลำบากตรงปฏิบัติ จะไม่ให้แกล้งเลยก็ไปนิพพานไม่มีใครตามไปแกล้งหรอก อยู่ที่โน่นเขาดีด้วยกันทั้งหมด
       ถาม :     ให้เขาคิดว่าเราเป็นมิตรเขาไม่ได้เหรอ ?
       ตอบ :  อันนั้นได้อยู่จ้ะ แต่ว่ากำลังของเราต้องสูงพอ สูงพอขนาดที่เขาเข้าใกล้เราปุ๊บสามารถเปลี่ยนจิตใจเปลี่ยนความคิดของเขาได้เลย ด้วยกำลังความดีของเรา ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดเราต้องเป็นพระโสดาบัน อันนี้กล้าพูดไ้ด้เต็มปากเต็มคำ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันที่ท่านเปรียบไว้ว่ามีกำลังถึง ๗ ช้างสารก็คือกำลังของความดี
               คนที่เข้าใกล้ ถ้าหากพระโสดาบันท่านตั้งใจใช้กำลังความดีของท่านในการที่จะเปลี่ยนแปลง หรือว่าแก้ไขบุคคลที่กระทำไม่ดีให้กลับมาทำดีคนอื่นจะต้านกำลังของท่านไม่ได้ แต่ว่าจริง ๆ แล้วท่านก็ยอมรับกฎของกรรม ดังนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็เลยกลายเป็นว่าท่านไม่คิดจะทำ แต่ว่าอยากจะทำต้องขนาดนั้นนะ
       ถาม :     ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคนทำด้วยหรือเปล่าเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :     ทำแหง ๆ ล่ะจ้ะ กรรมมันเป็นคำรวมแปลว่าการกระทำ
       ถาม :     มีขี้เหล้ามาอยู่แถว ๆ บ้าน แล้วเขาก็จะมาปาขวดหน้าบ้านในบ้านเป็นระยะ ๆ เจ้าค่ะ 
       ตอบ :     เราก็มีหน้าที่เก็บเป็นระยะ ๆ 
       ถาม :     เราก็เก็บเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน เก็บไปก็บอกเขาบ้าง ....ขอให้เขามีอันเป็นไปน่ะเจ้าค่ะ 
       ตอบ :    อ้าว !
       ถาม :    แล้วเขาก็เลยเด๊ดไปแล้วเจ้าค่ะ
       ตอบ :     ก็เสร็จสิคะ
       ถาม :     ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
       ตอบ :    อันนั้นไม่ต้องไปทำล่ะจ้ะ ตายไปเรียบร้อยแล้ว คือว่า บุคคลที่ทรงความดีถึงระดับหนึ่ง ตัวอธิษฐานบารมีมันจะเห็นผลไว เพราะฉะนั้นพอไปถึงระดับนั้นแ้ล้วพูดอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีจ้ะ เราเองน่ะไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก แต่ว่าผลกรรมที่เขาทำมันจะสนองเขาเร็วมาก เพราะฉะนั้นต่อไปต้องรักษาใจให้ดีจ้ะ อย่าไปคิดแช่งใครอีก เดี๋ยวเขาจะแย่กันหมด (หัวเราะ)
               ตัวอย่าง ก็คุณแสงชัย เขาไปเจอทีเด็ดหมอผีมา เขาไปแช่งหมอผีจะตายแหงไปเลย แบบเดียวกัน ....ถ้าคนเราทำความดีจนทรงตัวในระดับหนึ่ง แล้วต้องระวังตัวเองโดยเฉพาะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าพูดเมื่อไหร่ มันจะเป็นอย่างนั้น...สงสารเขา...
       ถาม :     ไม่ตั้งใจก็เป็น ?
       ตอบ :     จ้ะ รู้ว่าไม่ตั้งใจ 
       ถาม :  เรื่องอธิษฐานเจ้าค่ะ เรามีคู่ในปัจจุบันชาตินี้เจ้าค่ะ แล้วเราเคยอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง แล้วเราจะหยุดอธิษฐานนั้น ...คือมันต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติแล้ว
       ตอบ :   คำอธิษฐานเปลี่ยนได้จ้ะ อธิษฐานแปลว่าความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนความตั้งใจเสียมันก็เป็นอันว่าจบกัน
       ถาม :     ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนว่าเรายกเลิกว่าคำอธิษฐานที่จะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง เราจะมีปัญหากับคนปัจจุบัน
       ตอบ :  อ๋อ....ของเราเองมันเกิดมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอแต่คนเดิมตลอดไปหรอกจ้ะ เพราะว่าเราเกิดมาหลายชาติ แต่ละชาติถ้าทำความดีความชั่วไม่ได้เสมอกัน มันก็จะต้องมีว่าเราเกิดบ้างเขาเกิดบ้างสลับกันไป ช่วงที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ไปเจอคนอื่น ถ้าเกิดพร้อมกันแต่ว่าเจอคนที่เกิดมากกว่าเราก็จะไปกับคนที่เกิดด้วยกันมากกว่า บางชาติคนที่เราเกิดร่วมกันไม่ได้โผล่มาสักคนหนึ่งเลยก็จะไปเจอที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาตินั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นมันก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
               เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตอารมณ์ใจตัวเราเองว่า บางทีเราเองแต่งงานกับคนนี้แท้ ๆ แต่พอไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ทำไมรู้สึกรักรู้สึกชอบเขาเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเคยติดตามกันมาแต่ว่าเราต้องอยู่ในขอบเขตของศีลของธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในเขตของศีลของธรรม มันจะอธิษฐานอย่างไรมันจะยกเลิกอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอย่าให้ศีล ๕ มันขาด คำอธิษฐานมีผลแต่เพียงว่าถ้าหากว่าเรายกเลิกแล้ว อธิษฐานใหม่ มันก็จะเป็นไปตามของใหม่
       ถาม :     ยกเลิกได้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ได้จ้ะ แค่เปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นเอง อันนี้เหมือนยังกับนอกตำราเลย จริง ๆ ไม่ใช่นอกตำรานะ คำอธิษฐานเปลี่ยนกันได้ ความตั้งใจของเราให้มันตั้งมั่นจริง ๆ เท่านั้น
       ถาม :    คำอธิษฐานนี่ข้ามชาติได้ ?
       ตอบ :    จ้ะ มันให้ผลข้ามชาติเยอะเลย
       ถาม :     แล้วอย่างที่แบบว่าชาตินี้เขาเคยเป็นบิดามารดาและลูกอย่างนี้ พอชาติถัดไปเขาก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ แล้วเวลาเราจะ...ยังไง ?
       ตอบ :    กรรมมันเนื่องกันไปเนื่องกันมา แต่ละคนมันสามารถเปลี่ยนสัมพันธ์เปลี่ยนตำแหน่งเปลี่ยนอะไรไปได้อยู่ตลอด ชาตินี้คนเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ชาติต่อไปอาจจะเกิดมาเป็นลูกเราหรือคนใช้เราก็ได้ ชาตินี้เป็นสามีเราชาติต่อไปอาจจะเป็นพ่อเราก็ได้
       ถาม :      ถ้าสมมุติว่า คนที่เขาเคยเกิดเป็นพ่อเราแล้ว มาเกิดเป็นลูกเรานี่เราจะทำยังไงเขาคะ ?
       ตอบ :   ไม่ต้องทำล่ะจ้ะ ทำหน้าที่ของเราตอนนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นว่าเราเป็นแม่เราก็ทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด นับในปัจจุบันอย่าไปคิดเอาอดีต ถ้าหากว่าคิดเอาอดีตนี่ยุ่งมากเลย
       ถาม :      ............(ไม่ชัด)...............
       ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ ไม่ใช่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่า ทั้งหมด นักปฏิบัติทั้งหมดต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ อดีตรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้น รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็วาง เพราะว่าทุกชาติมันก็ทุกข์เหมือนกันนะ ปัจจุบันทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ต้องนึกถึง แค่นั้นก็พอ เขาเป็นพ่อแม่ก็ให้เป็นพ่อแม่ไป
       ถาม :      ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่าเราทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ทีนี้เรามีความรู้สึกว่าเราทำแล้วเราไม่ดีที่สุด
       ตอบ :    คำว่าดีที่สุดมันไม่ได้หมายความว่าจะดีเท่าคุณทักษิณ ชินวัตร แต่มันหมายความว่าดีเต็มกำลังที่เราทำได้
       ถาม :     แม้กระทั่งคนอื่นมองว่าเราทำน้อย ?
       ตอบ :  จ้ะ นั่นแหละ คือมันเต็มที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ของเราแล้ว ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนนั้นก็คือแค่นั้นของเรา แต่ว่าคนที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เขาเหนือกว่าเราเขาจะทำได้ดีกว่าเรา เพราะฉะนั้นได้ดีที่สุดมันไม่มีมาตรฐานซะด้วยว่าต้อง ๑๐๐ % เป๊ะ ไม่มี มันเต็มกำลังของเรา ของเราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น
       ถาม :     เศรษฐกิจของชาติเราจะดีขึ้นไหม ?
       ตอบ :  เริ่มดีแล้วจ้ะ ปีหน้าถ้าไม่ไปสะดุดตีนแขกร่วงซะก่อน (หัวเราะ) ขออภัยที่ใช้คำพูดตรงไปหน่อย
       ถาม :      จะเกิดสงครามโลกเหรอเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ไม่ถึงกับสงครามโลกหรอกแต่ใหญ่หน่อย สงครามมันต้องแบ่งครึ่งกันเหลือแค่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น แต่อันนี้มันประเภทว่าต่างคนต่างมีผู้ช่วย อาจจะมีฝ่ายหนึ่งรวมตัวกันตีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มันกระจายออกกว้าง แต่มันไม่ถึงขนาดไปทั้งโลก เราเองก็อาจจะทำมาหากินเซ็งลี้ฮ้อไปเลย.....ปัญหานี้พอจะออกไปไกลมากเดี๋ยวมันจะร้อน เอาปัญหาเย็น ๆ ดีกว่า
       ถาม :      พอดีตัวเองนี่ฝึกธรรมกายด้วย แล้วกำหนดดวงแก้ว แล้วฝึกจักกระ มันจะตีกันไหมเจ้าคะ ?
       ตอบ :    ไม่ตีกันหรอกจ้ะ ยิ่งง่ายใหญ่เลย กี่จักกระก็เท่านั้นดวงแก้ว
       ถาม :      เราจะกำหนดยังไงให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจักกระกับดวงแก้วให้เชื่อมเป็นหนึ่ง ?
       ตอบ :  จุดไหนที่เป็นจักกระที่เรากำหนดก็เอาดวงแก้วไว้ตรงจุดนั้นนั่นแหละแล้วก็สามารถกำหนดได้ โดยเฉพาะตอนที่เราจะให้พลังหมุนเวียนไปทางด้านไหนก็แค่กำหนดจิตแค่นั้นเอง มันก็ลักษณะของมโนยิทธิดี ๆ นี่เองเอาจิตไปไว้ตรงจุดไหน
              ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่ขัดกันหรอกจ้ะ ถ้าทำถึงแล้วมันสามารถประยุกต์เข้ามาได้ ดีไม่ดีเอาหัวไปต่อที่เท้าอะไรอย่างนี้...ฟังรู้เรื่องมั้ย ? ฝึกธรรมกายด้วยแล้วขณะเดียวกันก็ฝึกพวกพลังต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าจักกระด้วย พวกโยคีเขาชอบใช้กัน อันนั้นจริง ๆ แล้วมันสำหรับช่วยเหลือคนอื่นแล้วก็ช่วยเหลือตัวเอง มันจะทำให้เข้าถึงมรรคผลช้า เพราะมัวแต่ไปสนุกกับมันอยู่
              พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนแต่่าถ้าเราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์สามารถช่วยคนได้ เพราะว่าตัวเราเองยังอยากเกิดอีกมันจำเป็นต้องช่วยคนอีกเยอะ เขาฝึกมันก็เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ของเราเองถ้าหากว่าต้องการจะไม่เกิดก็ตั้งหน้าตั้งตาเกาะนิพพานเอาไว้ บางอย่างถ้าฟังไม่รู้เรื่องอนุญาตให้ยกมือประท้วงได้จ้ะ (หัวเราะ)
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.5.html

ถาม :    แล้วอย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิล ที่ตัดตัวเองขาเดินไปก่อนแล้วตัวตาม...สุดยอด !
       ตอบ :  นั่นมันตัดอีกกี่ท่อนมันก็เดินได้ ของเขานั้นมันไม่ใช่เล่นกลนะ อันนั้นของจริง แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปคิดว่าเป็นการเล่นกล เล่นกลมันต้องอาศัยแสง สี เหลี่ยม มุม อะไรต่าง ๆ แล้วก็ระยะเวลาเพื่อที่จะยังตาให้คนเห็นตามที่เขาต้องการ แต่อันนั้นของเขาจะให้เห็นอย่างไรเมื่อไหร่ก็ได้
       ถาม :      เขาทำได้ยังไงคะ ?
       ตอบ :   นั่นน่ะอภิญญา เขาบอกว่าเขาฝึกกับพระมา เพราะฉะนั้นฝรั่งที่ได้อภิญญาชัดที่สุดก็ต้องคอปเปอร์ฟิลนั่นแหละ
       ถาม :     เราจะทำได้อย่างนั้นไหมคะ ?
       ตอบ :    ได้จ้ะ ถ้าทำกสิณ ๑๐ ได้เก่งกว่าเขาอีก
       ถาม :      เขาได้กองไหนครับถึงได้เก่งขนาดนี้ ?
       ตอบ :    อันนั้นต้องถามเขาเองจ้ะ
       ถาม :    ความจริงถ้าได้ก็เปิดแสดง (หัวเราะ)
       ตอบ :  เล่นได้เลย คนเขาก็จะคิดว่าเป็นเล่นกลเหมือนกันใช่มั้ย ? อย่างเช่นว่าใช้นีลกสิณอย่า่งนี้ พอถึงเวลาก็เอาผ้าคลุมจัมโบ้เจ็ทเอาไว้สักลำหนึ่ง อธิษฐานนีลกสิณว่าใ้ห้มันมืดมองไม่เห็นแล้วก็ดึงผ้าออก มันก็หายไปแล้ว
       ถาม :      จะช่วยกันถามก็ได้ค่ะ อยากรู้ปัญหาของคนอื่นบ้าง
       ตอบ :   บางทีการที่หลาย ๆ คนถามกระแสมันไม่ต่อเนื่องกัน อาตมาเองไม่เป็นไร แต่ว่าคนฟังบางทีอารมณ์ใจมันจะสะดุดมันไม่ต่อเนื่องกันจ้ะ เขาเองจะเหมือนยังกับว่าวิ่งไปตามถนนที่เป็นหลุมเป็นร่องไปเรื่อย มันจะไม่ลื่น 
              อาตมาเองไม่เป็นไรหรอก ขึ้นได้ลงได้จ้ะ โหนรถเมล์บ่อย แต่คนอื่นเขาบางทีเขาขึ้นไปแล้ว เขาลงไม่เป็น พอลงไม่เป็นต้องลงปัญหาที่มันต่ำจะรู้สึกหนักและเหนื่อย บางคนของเราฟังปัญาหาของคนอื่นแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยใจ ให้รู้ำไว้เลยนะไอ้นั่นของเราขึ้นสูงกว่าของเขาดึงต่ำลงไปเราจะเหนื่อย อาตมาโหนรถเมล์บ่อยก็เลยไม่ค่อยเหนื่อย
       ถาม :      ถ้าเกิดสมมุติว่า เวลาเราเดินเข้ามานี่เราเห็นว่า เออ...คนนี้จะถูกแทง แล้วเราบอกเขาบอกว่าคุณจะถูกแทงนะให้ไปทำ...?
       ตอบ :   บอกตรงไม่ได้จ้ะ
       ถาม :     พอบอกไปแล้วเขาก็โดนแทงอยู่ดี
       ตอบ :    มันก็โดนอยู่ดีเพราะเขาไม่เชื่อ แต่ขณะเดียวกันเราเองก็จะมีโทษด้วยเพราะบอกตรงเกินไป ใช้ในลักษณะที่ว่าหลอกถามเขาก็ได้ จับมือเขาขึ้นมา เอ๊ะ ! ลายมือคุณบอกว่าจะมีเคราะห์ให้ระวังหน่อยนะ อาจถึงเลือดตกยางออก ถ้ายังไงก็ไปถวายสังฆทานหรือปล่อยชีวิตสัตว์ซะหน่อย ...อะไรอย่างนี้ ตัวอย่างนี้คนเขาจะเชื่อมากกว่าเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์หน่อย ไอ้ที่เราอยู่ ๆ ไปถึงบอกคุณจะถูกแทงนะเดี๋ยวเขาก็ว่าเราไม่สบาย มันต้องมีศิลปะจ้ะ ?สิปปัน จะ เอตัมมังคะละมุตตมัง? ไง ... ในมลคล ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าบอกว่าการมีศิลปะเป็นมงคลอย่างยิ่ง
       ถาม :      ต้องแจกแจงศิลปะในที่นี้เจ้าค่ะ
       ตอบ :  (หัวเราะ) อันนี้สอนกันยากจ้ะ มันเป็นประสบการณ์ด้วย ถ้าหากว่าเราได้ทิพจักขุญาณเราต้องกำหนดรู้ไปด้วยว่า ถ้าเราบอกเขาไปความพอที่เราจะพูดได้แค่ไหน
       ถาม :      มีแค่ไหน ?
       ตอบ :    เราต้องกำหนดใจรู้ด้วยแล้วเราเองจะรู้ว่ามันจะบอกได้แค่ไหน ตอนนี้อาจจะไม่คล่องตัวปฏิสัมภิทาญาณเกิดขึ้นเมื่อไหร่รู้ทันทีเลยว่าพูดได้แค่ไหน มันจะรู้เลยว่าหนักเบาเป็นยังไง พูดได้แค่ไหน ทำได้แค่ไหน ไล่ไปซะไกลเลย ....
       ถาม :     เจอคนอยู่คนหนึ่งนะคะ ทำไมเขานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์แล้ว แต่ตัวเขาไปเดินอยู่รอบนอก
       ตอบ :    เรื่องนั้นมันอยู่ที่ว่าสภาพจิตภายในของเขาเป็นอย่างไรนะ ภายในของเรามันไม่เหมือนกับภายนอก ภายในนี่มันเป็นไปตามบุญบาปที่ตัวเองทำอยู่ เขาเองเขาอยู่ข้างในแต่จิตเขาฟุ้งซ่านอยู่ข้างนอกก็ได้ ในเมื่อจิตเขาฟุ้งซ่านอยู่ข้างนอกจิตของเขามีบุญมีบาปเท่าไหร่ ก็จะแสดงออกตามสภาพอย่างนั้น ถ้าหากว่าตายตอนนั้นนี่เป็นอย่างแน่แท้เลย ถ้าหากว่ากายภายในเป็นเปรตก็เป็นเปรตไปเลย ถ้ากายในเป็นสัตว์นรกก็เป็นสัตว์นรกแน่จ้ะ
       ถาม :     เป็นตั้งแต่ยังไม่ตายนี่นะเจ้าคะ ?
       ตอบ :   จ้ะ เขาเรียกว่า มนุสสเปโต แปลว่า มนุษย์เปรต ไม่ใช่ติดสเปโตนะ อมสองดอกจิกกับควีนโพดำไปเยอะ (หัวเราะ) เจ้านี่ชอบนอกคอกอยู่เรื่อย พระไล่ต้อนมันไม่ค่อยทันหรอก
       ถาม :  ตอนนั้นเคยขับรถเข้าไปหลงกันอยู่ในป่าช้าตั้งนาน ทีนี้ก็เห็นผีเปรตเดินกันอยู่ในป่าช้า แล้วเราสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาจะเปลี่ยนสภาพจากเปรต...เปลี่ยนได้ไหมคะ ?
       ตอบ :   ไ้ด้จ้ะ ถ้าเขาตั้งใจโมทนาแต่อย่าลืมว่าเปรตมีตั้ง ๑๒ จำพวก มีแต่ปรทัตตูปชีวีเปรต ที่มีกรรมอันเบาบางลงแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถโมทนาได้ ที่เหลือก็ยังคงแย่ต่อไปจนกว่าจะพ้นจากจุดนั้นขึ้นมา
       ถาม :  ถ้าคิดว่าเราอุทิศส่วนกุศลไปเรื่อย ๆ คนที่เขารับอุทิศส่วนกุศลมาเขาก็ต้องไปเป็นเทวดาแล้วเขาจะกลับมาเป็นกำลัง ให้เราเยอะ ๆ นี่ อย่างนี้คิดผิดไหมครับ ?
       ตอบ :    ไม่ผิด คิดถูก แต่ว่ามันไม่ใช่ตัวบุญที่เป็นอัปปมัญญา จริง ๆ เพราะมันยังหวังผลตอบแทนอยู่ลึก ๆ ตัวอัปปมัญญาของเขาเสมอหน้ากันหมด ไม่่ว่าจะดี จะชั่ว จะรวย จะจน จะสวยงาม จะอัปลักษณ์ จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นภพใด เหล่าใด ภูมิใด ก็ตาม ตั้งใจสงเคราะห์เขาเสมอกันหมด
       ถาม :     แต่พออยู่ ๆ แล้วใจมันจะตวัดคิดถึงช่วงหน้าอยู่เสมอ เหมือนพอทำปั๊บรู้ทันที เฮ้ย ! ทำได้แล้ว ๆ 
       ตอบ :    เบรคมันให้ทัน อุเบกขา
       ถาม :      เคยเจอมนุษย์ต่างดาวไหมคะ ?
       ตอบ :  ถามว่าเคยเจอมนุษย์ต่างดาวมั้ย ...? บอกได้ว่าไม่เพียงแต่อาตมาที่เคยเจอเท่านั้น โยมทุกคนก็ต้องเคยเจอมาแล้ว เพียงแต่บางทีไม่รู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว พระพุทธเจ้าของเราก็มีเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว
       ถาม :     อันนี้ต้องอธิบายยาวแล้วค่ะ
       ตอบ :    คือว่าในช่วงที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ โดยธรรมเนียมแล้ว ต้องปราบในทวีปทั้ง ๔ ทวีปทั้ง ๔ ก็คือบรรดาดาวต่าง ๆ นี้เอง อย่างอุตระกุรุทวีป ก็คือ ดาวพลูโต เป็นต้น เมื่อปราบในทวีปทั้ง ๔ ได้แล้ว ก็จะนำเอาประชากรของทวีปนั้น ๆ มาเพื่อเป็นการแสดงออกถึงพระราชอำนาจ ท่านก็จะกวาดต้อนคนจำนวนหนึ่งมาไว้ในโลกมนุษย์นี้ พวกอุตระกุรุทวีปนี้เขาก็จะอยู่ที่กัมมาสะธัมมะนิคม หรือแคว้นกุรุเคยได้ยินใช่มั้ย ? ต้นกำเนิดของมหาสติปัฏฐานสูตรเลย พวกอมรโคยานทวีปจะอยู่ที่เมืองอมรปุระ
               อยากรู้ว่าอมรปุระอยู่ที่ไหน ต้องถามท่านนาวิน-ครูบาน้อยเขารู้ พวกปุพพะวิเทหะทวีป จะอยู่ที่เมืองเทวะทหะ เทวะทหะนี่เป็นเมืองแม่พระพุทธเจ้าใช่มั้ย ? วิธีสังเกตง่าย ๆ ผู้ที่เป็นเชื้อสายของอุตระกุรุทวีปจะมีหน้ากลมเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ผู้ที่เป็นเชื้อสายของอมรโคยานทวีปลักษณะใบหน้าเหมือนพระจันทร์เสี้ยว คางค่อนข้างแหลม เออ...ลักษณะใบหน้าของแม่มดน่ะ พวกที่เป็นเชื้อสายของปุพพะวิเทหะทวีปใบหน้าจะออกไปทางสี่เหลี่ยม มนุษย์ต่างดาวเดินอยู่รอบตัวเลยจ้ะ ไม่ได้รู้เรื่องเลย เอ้า ! จบนิทานโกหกแต่เพียงแค่นี้ก่อน
       ถาม :    แล้วมนุษย์ต่างดาวนี่ไม่ใช่แบบหัวโต ๆ ตัวเล็ก ๆ แบบที่ในโทรทัศน์ ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าคุณใส่หมวกกันน็อคไปให้เขาเห็น เขาจะว่าคุณหัวกลมเหม่งแล้วก็มีลูกตากลม ๆ ใหญ่ ๆ อันเดียว...เครื่องแต่งกายของเขาจ้ะ เราเองเห็นบางทีมันก็ว่าไม่ตรงเหมือนกัน ลักษณะหน้าตารูปร่างของเขาคล้ายของเรา ส่วนใหญ่จะสวยกว่าทั้งนั้น ชุดท่องอวกาศของเขานี่แหละที่เราเห็นนั่นน่ะ
       ถาม :     แล้วชาวโลกแท้หน้าตาเป็นยังไงครับ ?
       ตอบ :    ชาวโลกแท้มีเขาจ้ะ (หัวเราะ) จำได้ไหม ...โฆษณา ?ปุ๋ยไข่มุก? ชาวโลกแท้ต้องมีเขาจ้ะ
       ถาม :    ทำไมถึงมีเชื้อสายที่สวยกว่าครับ ?
       ตอบ :  ก็อย่างสมัยพุทธกาล โชติกะเศรษฐีก็ได้ภรรยาจากอุตระกุรุทวีปเพราะกำลังบุญท่านสูงหาคนที่เหมาะ ด้วยไม่ได้ เทวดาก็ต้องลำบากไปนำผู้หญิงจากอุตรกุรุทวีปมามอบให้ พระเจ้าจักรพรรดิจะมีพระราชินีหรือพระมเหสีส่วนใหญ่จะเป็นชาวอุตระกุรุทวีป ชาวอุตระกุรุทวีปนี่บุญเขาสูงมาก ลักษณะความเป็นทิพย์ของเขากึ่ง ๆ เทวดาทั้งเมือง ทั้งประเทศ ทั้งโลกของเขามีแต่แก้วมณี อาศัยแก้วมณีเป็นเครื่องอยู่ก็ได้แล้ว แต่ว่าเขามีอาหารเหมือนกัน อาหารจะเป็นข้าวไม่มีเปลือกเก็บมาใส่หม้อใส่น้ำแล้วตั้งไว้บนแก้วมณีก็จะสุก เอง...ง่ายกว่าไมโครเวฟสมัยนี้ีอีก เพราะยังไง ๆ ก็ไม่ไหม้อยู่แล้วสุกพอดีทุกที แล้วคราวนี้อยากจะกินกับอะไรก็นึกเอา...โผล่ขึ้นมาเอง
              คนอุตระกุรุทวีปมีความเมตตาเป็นปกติ เด็ก ๆ ทิ้งไว้ที่ไหนก็มีคนเลี้ยง ประเภทคลอดออกมาปั๊บกองไว้ข้างถนน ก็มีคนเลี้ยงทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายเลี้ยงเด็กได้เหมือนกันหมด เพราะว่าเอานิ้วชี้ใส่ปากก็จะมีน้ำนมไหลให้กิน ง่ายดีนะ เออ...เอาสักคนไหม ?
              ชาวอุตระกุรุทวีปเมื่อกำลังบุญสูงกำลังปัญญาก็สูงไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านเทศน์มหาสติปัฏฐานสูตรเพื่อโปรดชาวอุตระกุรุทวีปโดยเฉพาะ ชาวแคว้นกัมมาสะธัมมะนิคม ที่แคว้นกุรุนั่นคือชาวอุตรกุรุทวีป ปัญญาสูง ถึงขนาดนกแขกเต้าที่ภิกษุณีเลี้ยงไว้โดนเหยี่ยวโฉบไป ภิกษุณีท่านถามว่ารู้สึกอย่างไรในขณะที่เหยี่ยวจับไป นกแขกเต้าตอบว่ารู้สึกว่าร่างกระดูกกำลังเอาร่างกระดูกไปกิน ขนาดนกแขกเต้านี่เขาเจริญอสุภกรรมฐานเป็นปกติ
       ถาม :     ทำไมมีสติได้ล่ะครับในเมื่อเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ?
       ตอบ :   ก็ของเขามันมั่นคงขนาดนั้น มันไม่ตกใจนี่
       ถาม :     แล้วทำไมต้องมาเสวยกรรมเป็นสัตว์ ในเมื่อกำลังใจสูงขนาดนั้น ?
       ตอบ :  บุญมี...แต่กรรมก็มีด้วย ถ้าหากว่าถามอย่า่งนี้ต้องตอบว่า ทำไมพญานาค ต้องเป็นสัตว์ไม่เจ๋งกว่านกแขกเต้าหลายเท่าเหรอ....แบบเดียวกันนะ กรรมของเขามีอยู่ คราวนี้ในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มีพระอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศน์สอนเทวดาโดยเฉพาะกับมีมหาสติ ปัฏฐาสูตรที่เทศน์สอนชาวกุรุโดยเฉพาะไม่ใช่ทั่ว ๆ ไป
              ดังนั้นถ้าหากว่าใครไปจับพระอภิธรรมเข้าส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนเข็นภูเขาหิน หรือไม่ก็จับมหาสติปัฏฐานสูตรจะรู้สึกว่าละเอียดเหลือเกิน เข้าถึงได้ยาก เพราะว่าเป็นการสอนเฉพาะปัญญาเขาสูงเขาฟังแล้วเขาเข้าใจได้ง่ายมาก แต่สำหรับเราฟังแล้วจะรู้สึกว่ายาก ของเราจะจับติดแต่บรรพคือตอนต้น ๆ เท่านั้น อย่างอานาปานสติ เป็นต้น อิริยาบถ สัมปชัญญะ เป็นต้น แต่ว่าของเขาทางท้าย ๆ ที่เวทนา จิต ธรรมนี่ของเขาง่ายจะยากของเรา
       ถาม :     ถามเรื่องพญานาคน่ะเจ้าค่ะ พญานาคนี่ตัวตนจริงที่เขาแสดงให้เราเห็นกับรูปลักษณ์ที่เขาเปลี่ยนไปอันไหนเป็นตัวตนจริง ?
       ตอบ :    เขาต้องการให้เห็นเป็นแบบใดก็ได้นะ พญานาคมี ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง คือเทวดาชั้นจาตุมหาราช จะเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์นะ ร่างที่แท้จริงของท่านก็คือเทวดา ...สวยงามเป็นปกติ แต่เวลาทำงานจะแสดงออกในลักษณะของงูใหญ่ นั่นก็ถือว่าเป็นเครื่องแบบในการทำงานของท่านแบบเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวรรณปกติจะสวยสม แต่ถ้าหากออกไปทำงานก็จะแสดงออกในร่างของยักษ์ นั่นเป็นเครื่องแบบที่ท่านแต่งในเวลาทำงาน 
              พญานาคที่เราพูดถึงส่วนใหญ่จะหมายถึงเดรัจฉานกึ่งทิพย์ที่มีความสามารถพิเศษ มีเขตอยู่เฉพาะของเขา แต่ถ้าหากเข้าไปในเขตนั้นเขาจะกลับร่างเป็นมนุษย์ ที่มีรูปร่างหน้าตาผ่องใสสวยงาม แต่ว่าถ้าหากว่าออกนอกเขตของเขามา ถ้าตั้งใจให้คนเห็นก็จะแสดงออกในร่างของงูใหญ่ แต่ว่าขณะเดียวกัน เขาจะแสดงให้เห็นเป็นอะไรก็ได้ เป็นพญานาคในความหมายของเราว่าเป็นงู แต่อยู่ ๆ อาจจะเป็นช้างมาทั้งตัวก็ได้ อาจะเป็นคนเดินมาทังกลุ่มก็ได้ เดี่ยวก็ได้ แล้วแต่ว่าเขาตั้งใจให้เห็นเป็นอย่างไร อันนั้นเป็นฤทธิ์ที่เกิดจากกรรมวิบากของเขา ทำให้เขาสามารถทำได้ เรียกว่ากรรมวิปากะชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม
       ถาม :     แล้วทำไมถึงเรียกว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานละครับ ?
       ตอบ :    ก็อยู่ในภูมิของเดรัจฉานแต่มีความเป็นทิพย์อยู่ ถ้าหากว่าต้องการสามารถที่จะให้เราไม่เห็นก็ได้เห็นก็ได้ เห็นในลักษณะไหนก็ได้ 
       ถาม :     แต่ว่ากลับเข้าที่แล้วสภาพก็....?
       ตอบ :  เขาจะคืนกลับเป็นร่างของคน แต่ว่าในลักษณะนั้นเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนร่างเมื่อไหร่ก็ได้น่ะลองไปดูมั้ย ? เมืองพญานาคต้องมีฝีมือดีหน่อยไม่งั้นพอเข้าเขตก็ชักแด็ก ๆ ตายแล้ว เพราะว่าเขามีพิษเป็นปกติ ผ่านไปที่ไหนก็ตามจะทิ้งพิษเอาไว้ สภาพของพิษของเขาร่างกายของเราทนไม่ได้ พิษบางอย่างร้ายแรงมากเราเข้าไปในเขตนี่ถ้าหากว่าเป็นร่างกายมนุษย์ธรรมดาจะ กลายเป็นเถ้าถ่านไปเลย เพราะมันร้อนและเผาไหม้ได้ขนาดนั้น
       ถาม :    แล้วพังพอนล่ะครับ ?
       ตอบ :    พังพอนที่สู้กับพญานาคยังไม่เคยเจอ
       ถาม :     มังกรก็พวกเดียวกัน ?
       ตอบ :    พวกเดียวกัน มังกรกับพญานาคมันก็พวกเดียวกัน แต่ว่าคนที่เห็นมันคนละเชื้อชาติกัน ในเมื่อคนละเชื้อชาติกันสิ่งที่ยึดถือมาเดิม ๆ ลักษณะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ของเขาเอง พอถึงเวลาวาดให้คนอื่นเห็นมันก็ออกไปคนละทิศคนละทางกัน แต่ว่ามันก็สไตล์เดียวกัน ก็คืองูใหญ่ที่มีฤทธิ์เหมือนกัน
       ถาม :     เสวยอายุเท่าไหร่ครับ ?
       ตอบ :    อายุขัยเป็นยังไงแล้วแต่เขา ทำกรรมเอาไว้เยอะก็อยู่นานหน่อย ทำบุญเอาไว้เยอะก็อยู่สั้นหน่อย
       ถาม :     ทำไมต้องนอนเยอะขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ?
       ตอบ :  มีตัวเดียวที่ชอบนอน ส่วนใหญ่แล้วงูเวลาจำศีลก็จะมีลักษณะนั้นแหละ คือว่าจะจมอยู่กับห้วง...ใช้คำว่าฌานก็ได้นะ...ของเขา อยู่อย่างนั้น คราวนี้พญากาฬนาคราชนี่ แหม...แสดงว่าฌานลึกมาก ได้ยินเสียงกริ๊กหนึ่งลืมตา อ้าว...อีกองค์แล้วเหรอเพิ่งแป๊บเดียวเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.6.html

ถาม :   ระหว่างที่หลับไปก็ไม่รู้สึกตัวอะไรเลยเหรอครับ ?
       ตอบ :  เขาเองกำลังใจมันดำเนินอยู่ในฌานของเขาอยู่ หรือไม่ก็อาจจะหลับยาวก็ได้ มันแล้วแต่ว่าเขาจะรู้ไหม ถ้ากำลังสมาธิกำลังฌานของเขาสูงก็รู้ตัวอยู่ ถ้ากำลังต่ำหยาบไปหน่อยก็อาจจะไม่รู้ต้วก็ได้
       ถาม :     .....(ไม่ชัด)...........
       ตอบ :  พญากาฬนาคราชนี่พระพุทธเจ้า ๔ องค์ผ่านไปแล้วเขารู้ตลอด รู้แค่ว่าตอนถาดลอยไปถึงหน้าถ้ำ อ้าว...มาองค์หนึ่งแล้ว ยังไม่ทันไรเลย หลับยังไม่ทันจะเต็มอิ่มเลย เอ้า ! อีกองค์หนึ่งแล้ว แหม....พ่อหลับได้ยาวจริง ๆ น่าอิจฉา
       ถาม :     แล้วที่ทหารอเมริกาเขาจับได้นั่นไม่ใช่เหรอครับ ?
       ตอบ :  นั่นมันปลา ไม่ใช่พญานาค ปลาทะเลลึก ๆ หลายอย่างมีลักษณะรูปกายยาว ๆ เหมือนยังกับงู คราวนี้บางอย่างมันอาจจะมีพิษของมันอยู่ คนที่โดนไปตอนนั้นอาจจะยังไม่เป็นไร แต่ว่าพอพิษมันแทรกซึมเข้าไปถึงระดับหนึ่งมันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากบอกว่าคณะนั้นเขาไปด้วยอำนาจของพญานาคมันก็ใช่นาคในความคิดของเขา
       ถาม :  เคยไปสวรรค์ของพวกที่เป็น....(ไม่ชัด)....เคยเห็นเขาเป็นแบบเวิ้งไม่แบ่งเป็นชั้นเหมือนเรา แล้วก็มีองค์พระเจ้านี้อยู่กันประมาณ แล้วก็มีสาวกทั้งใกล้และไกล ก็เลยสงสัยน่ะเจ้าค่ะว่าทำไมของเขาไม่แบ่งเป็นชั้นเหมือนทางพุทธน่ะเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :    เราขาดเฉลียวไปนิดหนึ่ง ฉลาดพอที่จะได้เจอ ขาดเฉลียวไปนิดหนึ่งก็คือแค่ตั้งใจอธิษฐานว่าเราขอเห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็ได้เห็นแล้วจ้ะ นรก สวรรค์ ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหนก็ตามที่เดียวกันทั้งหมด แต่ที่เห็นแตกต่างกันไปนั่นเป็นไปตามความยึดถือของเขา
              อย่างเช่นว่าเป็นเทวดาฝรั่ง ถ้าไม่มาในลักษณะมีผ้าขาวรุ่มร่าม ๆ มีปีกซะหน่อย มีวงบนหัว คนฝรั่งจะไม่รู้ว่าเขาเป็นเทวดา ในเมื่อความเชื่อถือที่เขาสืบ ๆ มาอย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องแสดงออกให้เห็นอย่างนั้น แต่ว่าุถ้าเราถามเขาให้บอกสภาพความเป็นจริงเป็นยังไงเขาจะแสดงให้เห็นเต็มอัตราเต็มบุญที่เขาทำได้ คราวหน้าบอกเขาบอกขอดูตามความเป็นจริงนะ แล้วจะเห็นไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็ทำให้เห็นอย่างนั้นอีก
       ถาม :    ก็เลยสงสัยต่อไปทางฮินดูด้วย
       ตอบ :   แบบเดียวกันหมดเลยจ้ะ
       ถาม :    เจ้าค่ะ แต่เจออิสลาม
       ตอบ :    อิสลามจริง ๆ แล้วที่ขึ้นสวรรค์เหมือนยังกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่งแล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ เพราะว่าคำสอนของเขาผิดตั้งแต่ต้น ประเภทว่าฆ่าเพื่อปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ พอคนอื่นจะปลดปล่อยตัวเองดันหนีซะนี่
              ศาสนาของเขาค้านกับสภาพของธรรมชาติที่ทุกคนเป็นอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นคำสอนที่ผิด ในเมื่อเป็นคำสอนที่ผิดโอกาสที่จะรอดขึ้นไปข้างบนก็น้อยมาก ยกเว้นว่ามีหลายรายที่ถึงแก่ชีวิตในลักษณะอุปฆาตกรรมแล้วยังอยู่ในเขตของบุญของกุศล อย่างเช่นว่า อยู่ในเขตของประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ว่าที่ไหนมีบุญก็ไปขอโมทนากับเขาอย่างนั้นโอกาสขึ้นข้างบนก็มี
              อาตมาค้นมาก่อนจ้ะ ไปตระเวนหาเลยล่ะ จนกระทั่งสรุปได้ว่าคนอิสลามที่ขึ้นข้างบนนั้นเหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่งแล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ ยังดีลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงยังเก่งอยู่ ยังหาเจอหลายคน มีเหมือนกันแต่น้อยหน่อย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าฉันอยู่นี่จ้า....
              เพราะส่วนใหญ่อาศัยบุญคนอื่นเขาไป เมื่ออาศัยบุญคนอื่นเขาไปศักดานุภาพก็น้อย เขาจะแสดงเขตเฉพาะของเขาให้เห็นก็ไม่สามารถจะทำได้เต็มที่ แล้วก็อย่าไปบอกเขานะเดี๋ยวเขาตีตาย ความพอดีมันต้องมีนะ เอาไว้ให้แม่น ๆ ไม่ใช่ได้แล้วเพลิดเพลินเจริญใจรู้อะไรพูดหมด เดี๋ยวจะเฉาตายในเวลาอันรวดเร็ว
       ถาม :  แล้วอย่างนี้คนที่เขาไม่ได้ขึ้นไปข้างบนนี่เขาเปรียบเหมือนข้าวสารทั้งหลายเหล่านั้นนี่ไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ อยู่ในแดนมนุษย์หรือว่าอยู่ต่ำกว่าเรา ?
       ตอบ :   ส่วนใหญ่ก็อยู่ในนรก ใช้กรรมของตนเองเอาสวรรค์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด บวกกับโลกมนุษย์และเดรัจฉานเข้าด้วยกัน ยังไม่ได้เท่ากับในนรกเลย ข้างล่างมันรอเกิดอีกมากนัก
       ถาม :  ตอนนั้นเจออยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ เขาหนีมาจากนรกน่ะค่ะ คือเขาไม่ทำบุญทำกุศลแล้วเขายังมาพูดจาดูถูกธรรมในพระสงฆ์อีก แล้วพอเขาเข้ามาเราก็เห็นยมทูตเดินตามมา่มี ๔ องค์นะเจ้าคะ ทีนี้พอเราบอกเตือนเขาไปว่าให้เขาเข้าวัดเข้าวาบ้าง รักษาศีลบ้าง เขาก็ว่าใส่กลับมาว่า เขาไม่สนใจแล้วก็มาพูดอะไรให้เขาฟังก็ไม่รู้ เราก็ไปเตือนเพื่อนเขาช่วยทำบุญให้ด้วย ให้เขาด้วยอย่างนี้เขาจะได้รับไหมคะ ?
       ตอบ :  เพื่อนทำเพื่อนได้จ้ะ ถ้าเขายินดีเขาได้ด้วย ถ้าไม่ยินดีก็อดเหมือนเดิม ส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้กำลังใจเขามืดบอดมาก คำว่าบุญเขาจะไม่เข้าใจซะด้วยซ้ำไป อุตส่าห์หลุดออกมาได้นั่นถือว่าฟลุคมากแล้ว แต่ว่าก็คงจะต้องกลับไปในระยะเวลาอันใกล้
       ถาม :  ทีนี้พอหลังจากนั้นนี่คะ เดือนเดียว เขาก็ขับรถคว่ำปอดทิ่มทะลุ คือยมทูตท่านมาเอาไปน่ะค่ะ พอหลังเข้าห้อง ICU ยังไม่ทันจะเสียชีวิต คือเขาประคองเอาไว้ เจ้าคนที่นอนอยู่น่ะค่ะ ไปหาเพื่อนทุกคนเลย
       ตอบ :  อันนั้นคือจริง ๆ เขาตายแล้ว แต่ว่าร่างกายเหมือนกับรถที่ยังมีเชื้อเพลิงอยู่ หรือว่ารถที่วิ่งมาแล้วเครื่องดับแต่ว่าแรงเฉื่อยยังมีอยู่ก็ทำงานไป แต่่ว่าคนขับน่ะลงจากรถไปแล้ว
       ถาม :    แสดงว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าในเรื่องของทางธรรมก็คือตายไปแล้ว เพราะจิตออกจากร่างไปแล้ว แต่ว่าในเรื่องของทางโลกนี่ถ้าหากว่ายังหายใจอยู่ คลื่นสมองยังทำงานอยู่ หัวใจยังเต้นอยู่ ก็ถือว่ายังไม่ตาย แต่ความจริงอันนั้นเป็นแรงเฉื่อยหรือว่าเชื้อเพลิงที่ยังเหลืออยู่ทำหน้าที่ไป
       ถาม :     พอหลังจากนั้นเผาศพไปก็เรียบร้อย....
       ตอบ :    เรียบร้อยจ้ะ พวกนี้ไม่้ตัองตัดสินมาก กลับไปที่เดิม
       ถาม :     อ้าว ! แล้วอย่างนี้ไม่ใช่อุปฆาตกรรมเหรอครับ อุปฆาตเขาไม่ลอยอยู่...ทำบุญให้ไม่ได้เหรอครับ
       ตอบ :    อันนี้ของเขาหนีคุกมา ถึงเวลาออกมาจะอ้างว่าศาลยังไม่ตัดสินไม่ได้
       ถาม :     อ๋อ....แล้วมันหนีีกันได้ด้วยเหรอครับ ?
       ตอบ :   บางทีก็มีเหมือนกัน 
       ถาม :  มันพลาดได้อย่างไงครับ ?
       ตอบ :  ต้องลงไปถามเขาเอง (หัวเราะ) อาตมาลงไปกลัวเขาจะเอาไปอยู่เลย แล้วบอกลองหนีดูเถอะ (หัวเราะ) ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง ถี่ลอดตาช้างห่างลอดตาเล็น โบราณเขาว่าเอาไว้ มันก็มีเหมือนกันคือบางทีที่เรียกว่าควบคุมตัวไป ไปเอาอีกคน ไอ้นี่ย่องไปซะแล้ว เป็นยมทูตก็ลำบากเหมือนกันนะ ถึงว่า ....ที่ได้เจอหลวงพ่อส่วนใหญ่ขอโมทนาบุญไป ๆ ดีกว่าอยู่ตรงนั้นลำบากเต็มที ความจริงยมทูตนั่นน่ะท่านเป็นเทวดา
               แต่ว่านายนิรยบาลต่างหากล่ะเป็นยมทูตในความหมายของเรา นายนิรยบาลนี่พิลึกมาก ทำบุญกับบาปมาเท่ากันเป๊ะเลย ไม่สามารถที่จะลงนรกรับความชั่วไป แต่ก็สามารถขึ้นข้างบนได้ ก็เลยต้องทำหน้าที่ทรมานสัตว์นรกตัวเองไม่ต้องเดือดร้อนเพราะไฟ มีหน้าที่อย่างนั้น ไฟก็เลยไม่ทำอันตรายอะไรตนแต่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทรมานสัตว์นรกอยู่ น่าเบื่อหน่ายที่สุด
       ถาม :        ยังดีกว่าตกนรก
       ตอบ :  ต่อไปทำบุญอะไรทำบาปอะไรก็ให้มันหนัก ๆ ไปซะข้างหนึ่งมันได้ไป ๆ ซะให้หมดเรื่องลงไปก็คือ ลง ขึ้นก็คือขึ้น ทำพอดีเป๊ะอย่างนั้นลำบาก
       ถาม :      แล้วไม่มีโอกาสหลุดหรือครับ ?
       ตอบ :     มีเหมือนกัน ยังไม่ทราบลืมถามเขาไปว่าอายุงานของยมทูตเขากี่ปี เกษียณ ๖๐ หรือเปล่า ?
       ถาม :     บางทียังไม่ทันพูดเขาก็รู้แล้วว่าจะตอบอะไร
       ตอบ :  รู้ อาตมาหาเรื่องชกเทวดาเตะไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง แค่คิดเขารู้แล้ว....เขาชอบแกล้งเราเรื่อย นอนภาวนายังมาข้างหลังเดินตึกไหวยวบ ๆ มาตามจังหวะเดินของเขาเลย เราก็กะ ๆ ไว้ แกล้งดีนักเดี๋ยวจะเอาให้เข็ด กะว่าพอเขาเดินมาถึงรัศมีเท้าเราเหวี่ยงถึงแน่ เราก็พลิกตัวกลับเตะโครมเข้าให้...ไม่เคยได้กินหรอก เขารู้...เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แหม...ประเภทกระโดดข้ามอย่างนิ่มนวลเย เสียเวลาเตะลมเปล่า ความจริงไม่ต้องหลบเราเองก็เตะเขาไม่ถูกอยู่แล้ว แต่เขาก็หลบซะหน่อยให้กำลังใจไม่เสียแรงที่เตะ
       ถาม :  คือว่ากลัวผีน่ะค่ะ คือมีความรู้สึกว่า ...ยกตัวอย่างเช่น หนูกลัว หนูก็พยายามไม่คิด แต่มันยิ่งชัด ๆ จนหนูเริ่มหวั่นไหวเลย จะทำยังไงดีคะ ?
       ตอบ :     ความจริงคนที่ไม่ชัดเจนน่ะจำไว้ว่าต้องทำอย่างนั้น คือ อย่าพยายามให้ความสนใจกับภาพที่เราเห็น ถ้าเราให้ความสนใจภาพนั้นจะมัวไปหรือว่าถ้าเราตั้งใจใช้สายตาเพ่ิงจะไม่เห็นเลย เพราะว่าการที่เราไปอยู่้ตรงนั้นเราถึงจะเห็นภาพนั้น เวลาเราใช้สายตาเพ่งเราต้องนึกถึงตาของเรามันเ่ท่ากับเราดึงจิตกลับ ดึงจิตกลับตรงนั้นภาพจะหายไปเลยนะ ถ้าให้ความในใจมากบางทีภาพก็ไม่ชัดเจน ดังนั้นว่าตัวอย่างของเขานั่นน่ะ ถ้าหากว่าไม่ให้ความสนใจคือไม่พยายามสนใจ ภาพจะชัดมากแล้วอยู่นานเป็นพิเศษ
       ถาม :      ใช่ค่ะ หนูกลัวหนูไม่สนใจ หนูจะไม่สนใจแต่มันยิ่งชัดเจน
       ตอบ :     (หัวเราะ) จ้า...วิธีแก้ก็คือว่า พิจารณาให้เห็นว่าไม่ว่าเราว่าเขาในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังเหมือนกัน จำไว้ว่าการกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งสิ้น อันนี้เคยตามพิจารณาดูใจตัวเองเป็นปี ๆ อยู่ในป่ากลัวเสือกัด เสือกัดแล้วเป็นยังไง ? ตายจ้ะ กลัวงูจะมารัด งูรัดแล้วเป็นยังไง ? ตายเหมือนกัน กลัวผีจะมาหลอก เดี๋ยวมันบีบคอเราแล้วเป็นยังไง ? ตายเหมือนกัน
               สรุปแล้วทั้งหมดไม่ว่าจะอ้อมโลกไปไกลขนาดไหนก็ตามมันจะลงตรงว่าเรากลัวตายเหมือนกันทั้งหมด ต้องพิจารณาให้เห็นว่าความตายเป็นปกติธรรมดาของเราเป็นปกติธรรมดาของสัตว์โลกทุกอย่าง สัตว์โลกเกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านยืนยันเอาไว้ ถ้าเราเห็นจริงว่าเราเกิดมาแล้วต้องตายเป็นปกติเป็นธรรมดา ถ้าเราทำความดีไว้ตายเราก็ไปสบาย ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ในเมื่อเราไม่กลัวแล้วต่อไปก็จะเห็นได้ชัดยิ่งกว่าเดิม
       ถาม :  เวลาหนูกลัวหนูก็จิตใจหวั่นไหวอยู่แล้ว แต่ก็นึกได้ว่าต้องอุทิศส่วนกุศลให้เขาน่ะค่ะ แต่ว่าจิตมันก็ไม่ได้มุ่งมั่นมากหรอกค่ะ ก็คือมีควารู้สึกว่าเขาก็ได้รับแต่มันไม่เต็ม ๑๐๐% แล้วเขาก็จางไปน่ะค่ะ
       ตอบ :     คราวหน้าตั้งใจให้มั่นคงกว่านั้นหน่อย
       ถาม :     มันกลัวน่ะค่ะ
       ตอบ :     จ้ะ พยายามพิจารณาบ่อย ๆ ภาวนาอย่างเดียวจะเอาตัวไม่รอดต้องพิจารณาบ่อย ๆ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเขาเองเขาตายไปแล้วก็จริง ถ้าหากว่าเขายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่เขาก็ต้องทุกข์อีก
              ตอนนี้ที่เราเกิดอยู่เราก็ทุกข์เหมือนกันนะ โดยเฉพาะตัวเราเองเป็นมหาเศรษฐีเขามาเพื่อขอส่วนกุศลจากเรา คนที่เป็นเศรษฐีไม่ควรจะกลัวคนที่มาขอทาน ควรจะสงสารและเกื้อกูลเขามากกว่า คราวหน้าเปลี่ยนโลกทัศน์ซะใหม่ ผีน่าสงสารไม่น่ากลัวหรอก
       ถาม :  ทำไมภาพมันชัดขึ้นทุก ๆ ที จนเหมือนว่าอยู่ต่อหน้าอย่างนี้ เวลาเห็นหน้าผีก็จะชะงักเลยเจ้าค่ะ ไม่อยากจะเห็นเขาเท่าไหร่เขาก็เสนอหน้ามาให้เห็นทำยังไงดีเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ถึงตอนนั้นก็รีบ ๆ ให้เขาซะให้ชินนะ ตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มเลยว่ากุศลบารมีที่เรากระทำในครั้งนี้ โดยเฉพาะกุศลจากการเจริญภาวนาของเราไม่ว่าผู้ใดก็ตามตั้งความปรารถนาอยากได้ผลบุญอันนี้ ขอให้เขาโมทนาได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาให้เราไปบอกไปกล่าว เชิญโมทนาแล้วก็รีบ ๆ ไปอย่าอยู่ใกล้
       ถาม :      ตอนนั้นขับรถไปขับรถมาก็พาเข้าไปในป่าช้า แล้วก็นั่งกันหน้าสลอนเลยเจ้าค่ะ
       ตอบ :    จ้ะ สวยมั้ย ?
       ถาม :      ก็เป็นของเขาสภาพเขาเป็นอย่างนั้น
       ตอบ :     สภาพเขาเป็นอย่างนั้นเอง สวยที่สุดที่เขาทำได้ก็คือแค่นั้น ในเมื่อสวยที่สุดแล้วแค่นั้นมันก็เลยไม่ใช่ของน่ากลัว หากแต่น่าสงสาร ยิ่งบุญน้อยเท่าไหร่ร่างกายของเขาก็ยิ่งไม่น่าชมไม่น่ามองมากเท่านั้นเหมือนอย่างกับคนยากจน ยิ่งยากจนเท่าไหร่ก็แต่งตัวปอน ๆ กระมอมกระแมมมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะกลัวก็ควรจะสงสารเขามากกว่า สงเคราะห์เขาได้รีบสงเคราะห์เลย ถ้าเห็นเขาได้แสดงว่ากำลังบุญของเราพอ ไม่ต้องทำใหม่ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศแก่เธอทั้งหลาย ขอให้เธอทั้งหลายจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เธอได้รับด้วยไม่ต้องเสียเวลาทำใหม่ มัวแต่ทำใหม่เดี๋ยวเขาไม่ได้ เพราะว่าบางจังหวะตัวบุญตัวกรรมมันช่วยส่งเหมือนกันเขาถึงเปิดโอกาสให้เราสามารถเห็นเขาได้อย่างนั้น มัวแต่ไปทำบุญใหม่พอดีถ้าเกิดจังหวะนั้นมันเลยไปก็อด
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/11.7.html

ถาม :  ทีนี้มันมีอีกเจ้าค่ะ เวลาชาวบ้านรอบ ๆ ตัวเขาเกิดเหตุอะไรเราจะเห็นล่วงหน้าเจ้าค่ะ เราก็จะโทรไปบอกอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ต้องระวังอย่างนี้
       ตอบ :     คราวหน้าต้องระงับ ๆ ไว้หน่อย ต้องมีสตินิดหนึ่งว่า นี่เรา อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในเมื่อกฎของกรรมเป็นตัวบังคับอยู่ เราจะไปเปลียนแปลงอย่างไร ถ้าหากว่ากำลังบุญของเขาไม่เพียงพอกรรมอันนั้นก็สนองเขาจนได้ 
              ดังนั้นก็พยายามหน่อยทำความคล่องตัวในด้านที่จะนึกรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เรา รู้นั้นจะบอกเขาได้อย่างไร จะบอกเขาได้แค่ไหน ซ้อมตัวนี้ให้คล่องไว้แล้วหลังจากนั้นจะได้ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวาย แรก ๆ อาตมาก็อกจะแตกตายเหมือนกัน รู้แล้วบอกไม่ได้น่ะ มันจะคลั่งเอา แต่ว่าพอนาน ๆ ไปเดี๋ยวมันก็ชิน แล้วหลังจากนั้นก็ตายด้าน มันไม่มาล้มทับตีนดิ้นพราด ๆ ไม่ช่วยมันหรอก อุเบกขามันเริ่มเยอะขึ้น ความจริงมันออกไปทางเห็นแก่ตัวหน่อย ๆ เหมือนกันนะ
       ถาม :     บางทีปล่อยวางไม่ได้
       ตอบ :     เมตตาเกินประมาณเราจะทุกข์เองนะ เขาไม่ได้ให้เมตตากรุณาอย่างเดียว แต่มีอุเบกขาด้วย
       ถาม :     ถ้าอย่างนั้นเห็นก็คงจะปล่อยวางจนกว่าเขาจะมาขอความช่วยเหลือ
       ตอบ :     ยิ่งทำอย่างนั้นได้ยิ่งดี ถ้าบุญเขามีเขาจะเข้ามาเองโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมา
       ถาม :     ดูเหมือนกับว่าตัวเองวุ่นวายจังเลย
       ตอบ :       ใช่เลยจ้ะ วิเคราะห์ตัวเองได้แม่นมาก
       ถาม :     ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยวางต่อไปไม่ต้องยื่นเข้าช่วยเหลือเลยนะเจ้าคะ
       ตอบ :     ทำอย่างนั้นได้จะดี คือถ้าหากว่ากำลังบุญเขามีถึงวาระถึงเวลาเขาจะมาเอง แล้วเราก็บอกเขาถึงวิธีแก้ไขเป็นอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่ได้ประเภทวิ่งมาล้มดิ้นพราด ๆ อยู่ตรงหน้าเราก็ยืนมองไปก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะวุ่นวายไปหมด เนี่ย...ที่ตือเขาไม่สามารถใช้อภิญญาเต็มที่ก็เพราะอย่างนี้ เพราะว่าถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะไม่ดูฟ้าดูดินเลย ว่าเขาทำกรรมอะไรมาตั้งท่าจะช่วยท่าเดียว
       ถาม :  พระท่านพูดนะคะ ว่าให้เรานึกว่าตัวเรากายนี้ไม่มี แล้วจิตก็คือไม่มีด้วย เลยสงสัยว่ากายไม่มีนี่มันไม่เท่าไหร่ แต่จิตไม่มีด้วยนี่แล้วมันจะหายไปไหนล่ะเจ้าคะ ?
       ตอบ :  อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน ถ้าอย่า่งนั้นฟังจากใครหรืออ่านจากไหนก็สืบหาจากต้นตอให้เจอแล้วต้องถามท่าน โดยตรงน่ะ
       ถาม :     สรุปว่ากายไม่มีจิตยังมีอยู่ ?
       ตอบ :  มีอยู่ ขนาดนอกศาสนาอย่างพราหมณ์ของอะไรเขาก็ยังยึดจิตอย่างเดียว โดยไม่เอากายที่เป็นพวกอรูปพรหมน่ะ ถ้าจิตไม่มีด้วยแล้วมันจะอยู่ยังไง จิตเป็นสิ่งอมตะไม่มีคำว่าตาย หากแต่ว่าวนเวียนไปเรื่อยตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำอยู่ เปลี่ยนร่างเปลี่ยนภพภูมิไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นจิตไม่มีเป็นไปไม่ได้
       ถาม :     แล้วจิตมีสภาพรับรู้ ?
       ตอบ :     รู้เป็นปกติเหมือนกับเครื่องบันทึกเทป บันทึกไปเรื่อย ๆ 
       ถาม :     แล้วจิตมีอารมณ์มั้ยคะ ?
       ตอบ :    มีสิ เพราะว่าเขาจะนึกรู้ นึกปรุง นึกแต่งอยู่ตลอดเวลา แล้วเลยทำให้เกิดกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้นเราก็ต้องควบคุมจิตของเราให้มันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าไม่ให้ผิดศีล ผิดธรรมเป็นอย่างน้อย ถ้้าสามารถทำให้ยิ่ง  ๆ ขึ้นไปก็คือหยุดการปรุงแต่งของมันเสีย ถ้าหยุดการปรุงแต่งของมันได้ทุกอย่างก็หยุดหมดดับหมดการหลุดพ้นก็จะง่ายขึ้น
       ถาม :  เรื่องของการนั่งสมาธิ ตัวเองเพิ่งจะเริ่ม ๆ หัดนั่ง แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่พยายามจะกำหนดตามรู้ลมหายใจ แต่ว่าหลังจากนั่งไปแล้ว ผ่านไปวันรุ่งขึ้นมีอาการรู้สึกเจ็บหน้าอก เลยไม่แน่ใจว่าอันนี้เกิดจากการที่เราพยายามตามรู้ลมหายใจหรือเปล่า ?
       ตอบ :     ลองทำดูอีกสักทีนะ ดูว่าจะเป็นอีกมั้ย ...
       ถาม :    คือว่าเจ็บทั้งวันเลยค่ะ พอวันรุ่งขึ้นก็หาย
       ตอบ :     ความจริงน่าจะทำต่อไปเลย เพราะว่าบางอย่างมันก็เป็นในลักษณะของขันธมาร คือ เขามาทดสอบเรา จริง ๆ ก็คือดึงความสนใจของเราไปจากสิ่งที่เราทำเพราะกลัวเราจะได้ดีเร็วเกินไป แล้วเราเองก็ให้ความสนใจใน ทางที่ผิด เพราะในทางปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่สนใจร่างกายมาก อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน...ถึงตายก็ยอม เขาสามารถจะดึงความสนใจของเราให้เปลี่ยนแปลงไปสนใจในจุดที่เขาต้องการได้ เราก็ลืมการภาวนาหรือทิ้งการภาวนาไป
       ถาม :    นั่นแสดงว่าเรากลัวตายใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :     ชัดเลยจ้ะ มันอ้อมซะไกลเลย ทำเดี๋ยวจะเจ็บหน้าอก เจ็บแล้วจะเป็นยังไง เจ็บมาก ๆ แล้วตาย มันอ้อมไปไกลไปหน่อย บอกแล้วว่าความกลัวทุกอย่างมันจะเกิดจากกลัวตายตัวเดียว ตามดูมันอยู่นานดูซะจนชักคุ้นหน้ามันก็เลยพอจะจำหน้ามันได้ว่ามาหลอกแบบไหน   
       ถาม :  ทำไมเวลากระแสจิตส่งถึงกัน ทำไมถึงส่งกันได้เจ้าคะ?
       ตอบ :  มันมีพลังของมันอยู่แล้วก็เป็นพลังที่ไม่จำกัดด้วยรูปแบบซะด้วย มันไม่ต้องวิ่งผ่านเครื่องไม่ต้องวิ่งผ่านสาย ไม่ต้องอาศัยเกาะไปตายในแก้วนำแสง มันนึกปุ๊บถึงเลยจ้ะ เป็นเครื่องมือที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสร้างแบบนี้ได้ ปกติของมันเป็นแบบนั้น
       ถาม :    ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วยใช่มั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :  สำคัญตรงผู้รับ ผู้ส่ง ๆ ไปแล้วจะรับได้แค่ไหน บางคนก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น บางทีก็รู้แต่เป็นแค่เลา ๆ ว่า เอ๊ะ ! ทำไมเราคิดถึงคนนั้น เราอยากจะติดต่อกับคนนั้น บางรายก็รับได้ชัดเจนเลยเหมือนยังกับเราไปยืนอยู่เฉพาะหน้า
       ถาม :  บังเอิญน่ะค่ะ แค่นึกเฉย ๆ ว่าอยากให้พี่คนนี้โทรมาหาแล้วประมาณสักหนึ่งวันเขาก็โทรมา เขาบอกว่าเขามีความรู้สึกว่าเราไปบอกเขาว่าเขาต้องโทรมาหาเรา
       ตอบ :     แสดงว่ากำลังใจของเขาสะอาดใช้ได้ถึงสามารถรับได้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเขามืดมัวมากกว่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะรับได้ชัดเจน แหม...ช้าไปหน่อย ถ้าปุ๊บปั๊บโทรเลยจะดีกว่านี้มาก
       ถาม :     ก็ไม่ช้ามากหรอกเจ้าค่ะ พอนึกช่วงเช้า ช่วงเย็นเขาก็โทรมา
       ตอบ :  จ้ะ แต่คนอื่นนี่ห้ามนะ ใครนึกถึงอาตมานี้ห้าปีก็ไม่โทร หนอยแน่ะ ! จะใช้วิธีลัด บังเอิญอาตมาห่วยจ้ะ จิตใจมืดมัวมากรับไม่ค่อยได้ ปิดเครื่องตลอด ในวัดคลื่นเข้าไม่ถึง
       ถาม :    เวลาจะตายนี่จิตออกจากร่างทางไหนได้มั่งคะ ?
       ตอบ :     รอบร่างเลยจ้ะ ทุกขุมขนออกได้หมด เพราะฉะนั้นเขาจะออกทางไหนก็แล้วแต่เขา
       ถาม :     เคยอ่านเจอนะคะ ว่านักวิทยาศาสตร์ของพวกฝรั่งนี่ เขาพยายามที่จะทำห้อง แล้วก็พยายามที่จะเก็บจิตอะไรอย่างนี้ ?
       ตอบ :     ไม่มีสิทธิ์จ้ะ
       ถาม :     อะไรก็เก็บไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :  เก็บไม่ได้หรอก เพราะจิตมีสภาพพิเศษสามารถผ่านวัตถุทุกชนิดได้ ไม่โดนจำกัดด้วยข้อจำกัดทางโลกใด ๆ ทั้งสิ้น เอาไว้ในเซพสักกี่ชั้น เอาไว้ในห้องปลอดภัยของธนาคารชาติก็หลุดไปได้ เป็นไง....ห้องปลอดภัยหนาสักเมตรหนึ่งใช่ไหม ? น่าจะกักอยู่นะ...ไปจ้อยเลยล่ะ
       ถาม :     ถวายสังฆทานให้น้องที่ทำงานเขามอเตอร์ไซด์คว่ำแล้วคอหักตายเมื่อวันศุกร์ ต้องยกเครื่องอะไรหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  แล้วแต่เราจ้ะ ถ้าคิดว่าใจถึงก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นหนูส่งตรงนี้แล้วให้เขาโมทนา ตั้งใจนึกถึงเขาแล้วกันจ้ะ ส่วนใหญ่พวกเรามักจะไปคิดว่าเขาตายไม่ดี ความจริงตายแบบนี้ดีทำบุญให้เท่าไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะมีประเภทเพื่อนดี ๆ ญาติดี ๆ ก็คือที่เขารู้ว่าถ้าเขาทำบุญในลักษณะนี้แล้ว เขาจะได้รีบทำให้ พวกนี้ถือว่าโชคดีซะด้วยซ้ำนะ
       ถาม :    อย่างนี้ขึ้นไปชั้น ๕ กระโดดลงมาเลยครับ (หัวเราะ)
       ตอบ :     เอาเลย เดี๋ยวจะทำให้ สัญญาเลยว่าทำให้ รับรองไม่โกหกทำให้จริง ๆ
       ถาม :    เผอิญต้องเลี้ยงลูกอีก ๒ คน
       ตอบ :     อุ้มลูกโดดมาด้วย
       ถาม :     ถ้าเกิดว่าฝันเห็นเปรตน่ะค่ะ ซึ่งเราไม่เคยฝันอย่างนี้มาก่อน หมายความว่าัยังไงคะ เขามาขอส่วนบุญหรือเปล่า ?
       ตอบ :  ตอนนั้นถามเขาเลย ถามเขาว่ามีธุระอะไรมาเพื่ออะไร ? ถามเขาได้ในหรือไม่ในฝัน ถ้านึกออกถามเขานะ จะได้รับคำตอบที่ตรงเลย แต่ของเรามันแค่คาดว่า ...ถ้าหากคาดว่าโอกาสผิดมันสูง
       ถาม :    แล้วทำยังไงให้เราถามในฝันได้ ?
       ตอบ :   พยายามสร้างสติให้มั่นคงอยู่ ถึงหลับก็รู้เหมือนกับตื่น ถ้าหลับก็รู้เหมือนกับตื่นนี่เราก็ทำได้ยังกับเราตื่นอยู่นั่นเอง สร้างสติให้มั่นคงกว่านั้นนิดหนึ่งจ้ะ ไม่ต้องมากหรอกนิดเดียว ฝันถึงนี่ถือว่าใช้ได้แล้ว ต่อไปก็เอาให้มันดียิ่งกว่าเดิม แล้วฝันบ่อยมั้ย ?
       ถาม :     ฝัน ๒ ครั้งแล้วค่ะ
       ตอบ :     ๒ ครั้ง ภายใน ๕ ปี ?
       ถาม :     ไม่ใช่ค่ะ เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
       ตอบ :  (หัวเราะ) จ้ะ ๆ ต่อไปไม่ต้องฝันก็ได้ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ตั้งใจว่าบรรดาผีหรือเปรตทั้งหลายที่เราพบในความฝันนั่นน่ะ เราทำบุญอะไรมาขอให้เขาโมทนาแล้วก็ตั้งใจอุทิศให้เขาไป ของเขาเองจะหลับจะตื่นเขาเอาทั้งนั้นแหละ
       ถาม :     ถามเรื่องความฝันอีกคนหนึ่งได้ไหมคะ ?
       ตอบ :     ได้จ้ะ
       ถาม :  คือว่าฝันในคืนเดียวกันนะคะ ฝันว่านี่เป็นการฝันที่ว่าจะมีคนมาแย่งของรักของเรา แล้วในฝันตอนแรกที่เราโกรธแฟนเรามากเลย แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าเราไม่เอาเขาแล้ว ให้เขาอยู่กับคนนั้นไป ส่วนฝันที่สองถัดมาติดกันเลยค่ะ เป็นความฝันที่ว่าอยู่ ๆ ก็มีคนเหมือนกับว่ามาจากนรก เขาบอกเราว่าเราจะเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวแล้วเราจะต้องตาย
       ตอบ :     โห ! ทำไมเหลือเยอะอย่างนั้นล่ะ วันหนึ่งของนรกขุมที่ต่ำสุดเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ความฝันอันไหนสร้างกำลังใจแก่เราได้ คือมันดีมันชื่นใจก็เก็บมันเอาไว้ อันไหนที่เรารู้สึกว่าไม่ดีลืมมันซะ ...ถ้าไม่ทำอย่างนั้น บางทีเราไปมัวแต่ฟุ้งซ่านกลัดกลุ้มอยู่ มันทำให้เสียการปฏิบัติหมด
       ถาม :     แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ความฝันอันนี้มันมีเหมือนกับเป็นสิ่งที่เขามาทดสอบเราหรือเปล่า ?
       ตอบ :  มันทดสอบทุกอย่าง จะหลับจะตื่นเขาทดสอบทั้งนั้น ในฝันถ้าหากเราสามารถล่วงศีลได้เราจะต้องรัก โลภ โกรธ หลงได้ แต่เราไม่ล่วงในศีลนั้น ไม่รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามในฝัน สามารถควบคุมกำลังใจของเราได้ ถือว่าตอนนั้นกำลังใจของเราใช้ได้ แต่ถ้าหากว่เราล่วงศีลไปเรารัก โลภ โกรธ หลง ไปตามเหตุการณ์ในฝันนั้น ๆ ก็แสดงว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ เอาไว้เป็นเครื่องวัดของเราเอง เก็บเอาไว้วัดกำลังใจของเราเอง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔ 
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
        ถาม :   ถ้าเรามีทิพจักขุญาณแจ่มใสเราสามารถ (ฟังไม่ชัด)?
       ตอบ :  ต้องดูด้วยว่าทิพจักขุญาณแจ่มใสน่ะของเราถนัดด้านไหน ถ้าเราไปถนัดในด้านรู้อดีตรู้อนาคตเรื่องของเจโตปริยญาณมันไม่เอาไหนเหมือน กัน ญาณทั้ง ๘ ไม่ได้หมายความว่าเราจะคล่องตัวหมดบางอย่างที่เราจะคล่องมากบางอย่างเราก็จะน้อย ตัวอย่างเช่น พระอนุรุทธ ท่านเป็นพระวิชชชาสามแท้ ๆ แต่ท่านคล่องทิพจักขุญาณมากถึงขนาดพระปฏิสัมภิทาญาณสู้ท่านไม่ได้ ท่านก็เลยเป็นเอตะทัคคะเลิศในทางทิพจักขุญาณ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้หมายความว่าเราจะคล่องทั้งหมด
              อย่างปฏิสัมภิทาญาณสี่อันนี้ บางคนก็คล่องไม่เหมือนกัน บางคนก็คล่องในเหตุคล่องในผล บางคนก็คล่องในทางภาษา บางคนก็คล่องในทางปฏิภาณ แต่ว่าอันอื่นได้อยู่ ได้เหมือนกัน แต่จะไม่คล่องตัวเท่ากับอันที่ตัวเองเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นอาจจะรู้ชัดเจนก็ได้ หรือขณะเดียว อาจจะรู้นิดหน่อยหรือจนกว่าจะสะกิดถึงรู้ก็ได้
       ถาม :   แล้วเวลาอย่างที่จิตส่งถึงกัน อย่างผมคิดว่าถึงหลวงพ่ออย่างนี้ล่ะครับ มันเป็นกระแสที่พุ่งไปหา...?
       ตอบ :  บางทีมาทั้งตัวเลย เราคิดถึงใครถ้าหากว่าบุคคลที่เขาได้ อภิญญาใหญ่จะเห็นเราไปตรงนั้นทั้งตัวเลย มันไม่ใช่แค่กระแสเฉย ๆ แต่ว่าท่านที่ได้เบากว่านั้น อย่างเช่นวิชชาสามจะรู้สึกว่ามันเป็นกระแสความคิดของอีกคนหนึ่งติดต่อมาแล้ว เราก็รับได้ชัดเจน ไม่ต้องถึงวิชชาสามหรอกสองก็พอแล้ว
       ถาม :   กราบพระอยู่ดี ๆ บางทีรู้สึกว่าหลวงพี่มานั่งกราบอยู่ข้าง ๆ นี่คิดผิดหรือเปล่าครับ?
       ตอบ :  ผิดแหง ๆ เลย ก็ดูนั่งอยู่เนี่ยะ (หัวเราะ) ขืนไปรับรองนี่มันเอาบ่อย (หัวเราะ) ขืนรับรองให้เดี๋ยวเอาบ่อย งั้นต้องรีบ ๆ เลี่ยงให้ไกลตัวหน่อย
       ถาม :   มันจะเป็นฟุ้งซ่านไปได้ไหมครับ?
       ตอบ :  ถ้าฟุ้งซ่านในด้านดีก็ฟุ้งซ่านไปเถอะ
       ถาม :   ตกลงหลวงพี่คล่องทางไหนล่ะครับ?
       ตอบ :  กิน ส่งมาเถอะไม่เกี่ยงหรอกถ้าไม่เกินเที่ยง บอกแล้วว่าลื่นจนจับไม่ติด มันไปได้ทุกช่องเลย
       ถาม :   เขาเรียกปฏิภาณไช่ไหมครับ?
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน เขาเรียกอันธพาลหรือเปล่าก็ไม่รู้?
       ถาม :    พวกนี้มันก็ ...(ไม่ชัด)....มันเหมือนกับเรารู้ ๆ อยู่ เราเลยขาดอะไรบางอย่างที่...(ไม่ชัด)...อยากจะถามอะไร
       ตอบ :  ทาน ศีล ภาวนา เหมือนเดิม ทำไปเรื่อย พอถึงเวลาถึง วาระมันก็ลงตัวของมันเองนะ ที่เราทำมานั่นมันถูกแล้ว เพียงแต่ว่าถ้ากลัวว่า จะผิดก็ใช้ศีลเป็นเครื่องวัด วัน ๆ เราตรวจสอบดูว่าศีล ๕ เราบกพร่องไหม? เราได้ล่วงศีลด้วยตนเองหรือเปล่า? ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีลหรือเปล่า? หรือว่ายุให้คนอื่นล่วงศีลหรือเปล่า? ถ้ายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ ถือว่ายังปฏิบัติไม่ผิด ใช้ศีลเป็นเครื่องวัดดีที่สุด
       ถาม :  ที่คุยเรื่องส่งจิตถึงกันนี่ย้อนคิดสมัยก่อนหน้าช่วงปีที่แล้ว จะผูกพันกับเพื่อนอยู่คนหนึ่งอยู่อุตรดิตถ์ ก็จะนึกถึงตลอดเวลาแล้วก็คุยกัน เพื่อนก็พูดให้ฟังว่าตอนที่ทำบุญ ๑๐๐ วันให้แฟน เจอกันวันเสาร์ตอนนั้นยังไม่เคยไปเจอกันเลยคุยกันทางอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าผมไปอยู่ตรงนั้นด้วย ทีนี้ฟังแล้วตอนนั้นยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่มาคุยกันนี่ก็เป็นการยืนยัน
       ตอบ :  คำตอบอันเดียวกันว่าถ้าเราคิดถึงใคร ถ้าบุคคลนั้นกำลังของเขาสูง จิตใจของเขาสะอาด บางทีเขาเห็นเราไปอยู่ที่นั่นทั้งตัวเลย ถ้ากำลังต่ำลงมาหน่อยก็รับกระแสความคิดของเขาได้อย่างชัดเจน ตัวนี้ไม่ยากหรอกเป็นเจโตปริยญาณในทิพจักขุญาณนั่นแหละ
       ถาม :   เมื่อกี้นี้ถึงเรื่องที่พูดถึงเขาเรียกว่าอะไรนะครับ มีผูกพันเป็นเวรเป็นกรรมกัน ชาตินี้เป็นพ่อเป็นลูกกันชาติหน้าก็อาจจะมา...?
       ตอบ :  อาจจะเจอกันในฐานะอื่น
       ถาม :   อย่างในกรณีของผมนี้ครอบครัวผม ผม น้อง พ่อ แม่ คงเป็นเวรเป็นกรรมกันเป็นปุพเพอะไรกัน ทีนี้น้องผมก็เสียไปแล้ว ผมกับน้องก็มาจากไหนก็ไม่รู้ มันก็เหมือนกับ...
       ตอบ :  บุคคลที่เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันต้องมีเวรกรรมที่เนื่องกันมาตั้งแต่อดีตอยู่แล้ว
       ถาม :   ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากท้องเดียวกันก็ตามเหรอครับ?
       ตอบ :  สรุปง่าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนเราที่เกิดมาแล้วได้พบกันเห็นกัน ในอดีตนั้นไม่เคยมีความผูกพันต่อกันนั้นไม่มีอย่างน้อย ๆ ฐานะใดฐานะหนึ่งก็ต้องเป็นจ้ะ เฉพาะเพื่อนอย่างเดียวก็บานแล้ว
       ถาม :   เยอะสุด ๆ เลยครับ
       ตอบ :  ใช่ เพราะฉะนั้นฐานะใดฐานะหนึ่งก็ต้องเป็น พระพุทธเจ้า ท่านยืนยัน ลงว่าได้มาเจอะกันละก็จะต้องเคยมีอะไรมาแล้ว
       ถาม :  ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับลาพุทธภูมิ กรณีอย่างถ้าเกิดว่าเรายังไม่พร้อมเกาะพระนิพพานเราก็ยังอยากจะเกิดอีก ขึ้นอยู่กับตัวเราเหรอครับ
       ตอบ :  มันอยู่ที่เรา ถึงเราลาก็ตามแต่ถ้ายังไปไม่ถึงนิพพานตราบในก็ยังคงต้องเกิดอยู่ตราบนั้น
       ถาม :   ปกติไม่สู้คน เดือนที่แล้วสู้ค่ะ
       ตอบ :  เป็นไปได้ยังไงเราไม่สู้คน
       ถาม :  ไม่สู้ เป็นคนเก็บ แล้วก็พยายามทนมากที่สุดเท่าที่จะทนได้ ทนไม่ได้จริงถึงจะพูด ปกติไม่สู้ คราวนี้สู้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเองแต่ว่ามันเก็บก็เก็บไม่ได้แล้ว เขาทำมาตั้งแต่ปี ๓๘ แล้วมันกี่ปีแล้วล่ะ ทนไม่ได้ก็เอาสักทีหนึ่ง แล้วก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ทำยังไงดีที่ว่าจะให้ตัวเองนี่ปฏิบัติได้ถูกทางด้วยแล้วก็ไม่เก็บกดด้วย?
       ตอบ :  ต้องคิดให้เป็น ลักษณะการคิดนี่เป็นตัวพิจารณา เราต้องเห็นว่าตัวเขาเองไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเขาและ ตัวเราอย่างไร เขาถึงได้ทำ เขาคิดว่าดีเขาจึงทำ คนที่ไม่มีปัญญาหรือว่าปัญญาน้อยขนาดเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ดีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าโกรธ แต่น่าสงสารมากกว่า เราต้องคิดให้เป็น ถ้าคิดเป็นขนาดนี้กำลังใจมันคลายตัวลง มันจะโกรธแค่ตอนนั้น แล้วจะไม่ผูกโกรธไปนาน มันคล้าย ๆ กับว่า เรารับมาแล้วก็กองเอาไว้ มันไม่แบกต่อ มันก็จะไม่หนัก แต่ของเรามันอยู่ในลักษณะเก็บสะสมไว้เรื่อย พอถึงระยะหนึ่งมันเหมือนกับลูกโป่งที่พองเต็มที่แล้ว มันก็แตกดังตูม ที่เราบอกว่าเราไม่สู้น่ะ ความจริงแล้วก็คือว่ามันพร้อมที่ตอบโต้ตลอดเวลา แต่พยายามเบรกตัวเองเอาไว้จนกระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่งที่มันเบรกไม่ได้ ฟางเส้นสุดท้ายแล้ว มันก็เกิดอาการอย่างที่เกิดขึ้นมา
              เพราะฉะนั้นเราต้องคิดให้เป็นว่าเขาเองน่าสงสารมาก สิ่งที่เขาทำกับเรามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหากว่าเขาตายตอนนั้นกำลังใจที่เศร้าหมองของเขาก็พาเขาลงนรก การลงนรกนี่ถ้าหากว่าลงขุมใหญ่ กว่าจะพ้นขึ้นมาสู่อุสุทนรก กว่าจะพ้นมาสู่ยมโลกีนรก กว่าจะพ้นแต่ละขุม แต่ละขุมขึ้นมายาวนานเหลือเกิน แล้วยังต้องมาใช้เศษกรรม ด้วยการเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอีก มันทำให้เขาห่างความดีไปไกลถึงขนาดนั้น
              เพราะฉะนั้นคนที่ทำในลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นคนที่น่าโกรธ หากแต่ว่าน่าสงสารมากเพราะว่าเขาไม่เห็นทุกข์เห็นโทษที่จะเกิดกับเขาใน เบื้องหน้า ดังนั้นแทนที่เราจะโกรธเขาควรให้อภัยเขาดีกว่า เราคิดอย่างนี้เป็นกำลังมันจะคลายตัวแต่ถ้าคิดไม่เป็นมันก็จะเก็บกด 
       ถาม :   มันจะทำได้เป็นพัก ๆ ค่ะ
       ตอบ :    ก็ทำบ่อย ๆ
       ถาม :   หินทับหญ้า ไม่ใช่ถอนหญ้าค่ะ
       ตอบ :  นั่นแหละ ทำบ่อย ๆ พอทำบ่อย ๆ เดี๋ยวมันถอนหญ้าได้เองมันอาจประเภทเด็ดทีละใบ ทีละข้อ ทีละก้าน แต่นาน ๆ ไป เดี๋ยวมันจะขุดรากมันขึ้นมาได้
       ถาม :   อีกอย่างหนึ่ง...ฟังหลายรอบแล้ว แล้วทำไม่ได้ คือทรงอารมณ์อย่างสมมุติว่าเวลาปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จะทรงอารมณ์ต่อทำยังไงคะ?
       ตอบ :    ถ้าเราภาวนาแล้วอารมณ์ใจมันทรงตัว ความรู้สึกของเราในตอนนั้นก็คือว่า เรารู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติ พยายามรักษาอารมณ์รู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติเอาไว้ นั่นคือการทรงอารมณ์ แล้วเราพยายามตรวจสอบอยู่เสมอว่า ในขณะที่เรารู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติอยู่นี้ สิ่งไม่ดีต่าง ๆ โดยเฉพาะนิวรณ์ห้ามันเข้ามากินใจเราได้ไหม? ใจของเรามันแลบออกไปในทางกามฉันทะ คือระหว่างเพศหรือเปล่า? ในตัวพยาบาท โกรธ เกลียด อาฆาต แค้น คนอื่นหรือเปล่า?  ในตัวถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ตลอดถึงขี้เกียจหรือเปล่า? ในตัวอุทธัจจะ คือฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์อื่นหรือเปล่า? ในวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยในใจหรือเปล่า? 
                ถ้าหากว่านิวรณ์หน้าตัวนี้กินใจไม่ได้ กำลังใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่ คือการรักษาอารมณ์ตัวนั้นไว้ ถ้าสามารถเกาะลมหายใจอยู่ในลักษณะนี้ได้นานเท่าไรเราก็จะสุขเท่านั้น เย็นเท่านั้นการรักษาอารมณ์ก็คือการประคับประคองความรู้ สติ สัมปชัญญะทั้งหมดของเราให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกไว้ 
       ถาม :   ปกติทำบุญนี่ไม่หวงค่ะ แผ่ได้อะไรได้ แต่กับคนที่บอกนี่มีความรู้สึกว่าหวง ไม่อยากแผ่...มันโกรธ
       ตอบ :    ธรรมดา... การที่เราจะแผ่เมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เราแผ่เมตตาต่อคนที่เรารักก่อน เรารัก เราย่อมให้เขาได้ แล้วเมื่อกำลังใจทรงตัว แผ่เมตตาต่อคนที่เรารักจนคล่องตัว จนชินแล้ว ก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด อย่างเช่นว่าคนทั่ว ๆ ไป หรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้า หลังจากที่ให้กับคนที่ไม่รักไม่เกลียดจนชินแล้ว ก็ค่อยให้กับคนที่เราเกลียดน้อยจนกระทั่งกำลังใจมันทรงตัว มันชิน ไม่มีความหนักใจแล้ว 
                คราวนี้ค่อยไปให้กับคนที่เราเกลียดมาก ถ้าอยู่ ๆ เราไปให้กับคนที่เราเกลียดมากทีเดียวกำลังใจมันจะไม่ไป มันจะต่อต้าน เพราะฉะนั้น ต้องไปที่ละขั้นแต่ละขั้นอย่างที่ว่า มันไม่ใช่หวงหรอก(หัวเราะ)กำลังใจมันต่อต้าน มันก็เลยไม่ยอมไป
       ถาม :   เคยบอกว่าโกรธได้ แต่ว่าอย่าอาฆาต
       ตอบ :    พอโกรธ โกรธตอนนั้นแหละ แต่ว่าอย่าไปคิด ถ้าไปคิดแสดงว่าจิตของเราประกอบด้วยวิหิงสาวิตก คือตรึกในการอาฆาตพยาบาทอยู่ เพราะฉะนั้นต้องลืมมันให้ได้ตรงนั้นเลย
       ถาม :   ทำไงถึงจะลืมได้?
       ตอบ :    ถ้าอันนี้ยากหน่อย แต่ถ้าพยายามรักษากำลังใจของเราไว้ คิดให้เป็นอย่างที่ว่ามาอย่างเมื่อครู่นี้ แล้วเราพยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับสติสัมปชัญญะเฉพาะหน้า ตัวนี้จะกินเราไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่มันจะเข้ามาอีก ต้องคอยไล่มันออกไปอยู่เรื่อย ไล่ไปไล่มา พอนาน ๆ เข้า ไม่มีอาหารจะกิน เพราะเราไม่โกรธตามมัน เดี๋ยวมันก็เฉาไปเอง พอไปเฉามา มันก็ตาย
       ถาม :   เมื่อไหร่จะคิดเป็นสักที (หัวเราะ)
       ตอบ :    ไม่เป็นไร ไปไม่รอดเมื่อไร ค่อยกลับมาถามอีกที
       ถาม :  คราวนี้จะของทางโลก ดูหนังสือสอบจากปีที่แล้ว ปีนั้นขาดไปเปอร์เซ็นต์หนึ่ง ปีนี้ขอเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ขอให้ดูแล้วเข้าใจ เพราะว่าดูหนังสือแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
       ตอบ :    (หัวเราะ) ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ คาถาสหัสสะเนตโตน่ะ ว่านะโมสามจบ ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์รับกระดาษคำถามมาอย่างเพิ่งอ่านให้คว่ำลง ว่าคาถาสักสามจบ เสร็จแล้วพลิกกระดาษขึ้นมา อ่านคำถามดู ถ้ายังตอบได้ไม่หมดให้คว่ำลง แล้วว่าอีกเจ็ดจบ
              คราวนี้ความรู้สึกบอกว่าอย่างไร อยากจะเขียนอย่างไร อยากจะตอบอย่างไร ทำตามนั้นเลย จะเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง ขอให้เชื่ออารมณ์แรกอย่าไปฝืน คาถาสั้น ๆ ว่า สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจังขุง วิโสธายิ แค่นี้แหละ ตอนหลังเขาเติม อิกะวิติ พุทธสังมิ โลกะวิทู ลงไปหน่อยหนึ่ง อิกะวิติเป็นหัวใจอิติปิโส พุทธสังมินี่หัวใจไตรสรณาคมน์ โลกะวิทูก็ รู้แจ้งในโลก อะไร ๆ มา ก็รู้หมด ใช้คาถาตัวนี้ให้ชิน ก่อนอ่านหนังสือก็ว่าไปซะห้าจบ สิบจบ หลังอ่านก็ว่าไปซะห้าจบ สิบจบ ซ้อมให้คล่องเข้าไว้ถึงเวลามันจะได้ชินแต่ว่าระวังตอนที่ท่านช่วยเราจริง ๆ นะ อารมณ์ใจที่ส่งมานี่เหมือนยังกับเรากำลังตื่นเต้น หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมือไม้ก็สั่นไปหมด มันจะเขียนแทบไม่เป็นตัว ต้องคอยบังคับลายมือตัวเอง แล้วจะเอาเท่าไหร่ก็บอกท่าน ขอให้มันถูกต้องและถูกใจคนตรวจด้วย กี่เปอร์เซ็นต์บอกท่านได้เลย ถ้าเรามั่นใจจริง ๆ ได้ตามนั้นทุกอย่าง
                เพราะว่าช่วงที่สอบนักธรรมเอก ป่วยอยู่ไม่มีเวลาดูหนังสือ ก็ไปสอบทั้ง ๆ ที่ไม่ดูนั่นแหละ ปรากฏว่าหลวงปู่พระมหาอำพันท่านบอก ว่า คุณเก่งนะสอบแค่สิบห้านาทีได้แล้ว ผมเองตกอยู่สิบสองปี หลวงปู่ท่านเป็นเปรียญหกแล้วนะ ตกอยู่สิบสองปี ถ้าไม่ได้นักธรรมเอก เขาไม่ให้เรียนเจ็ด แปด เก้า เปรียญเจ็ด แปด เก้า เขาเรียกว่า เปรียญเอก เปรียญสี่ห้า หก เขาเรียกว่า เปรียญโท หนึ่ง สอง สาม เขาเรียกว่า เปรียญตรี ต้องจบนักธรรมตรี ถึงเรียนตรีได้ ต้องจบนักธรรมโท ถึงเรียนเปรียญโทได้ ต้องจบนักธรรมเอก ถึงเรียนเปรียญเอกได้
              เพราะฉะนั้นมันก็ยากสาหัสอยู่ หนังสือเป็นตั้งออกแค่เจ็ดข้อสมัยโน้น สมัยนี้ออกสิบข้อแล้วเป็นตั้งบางทีเราไม่อ่านน่ะมันออก แต่ถ้าเราอ่านมันไม่ออก ปีนั้นท่องมหาสติปัฏฐานสูตรแทบตายเลย มันไม่ออกสักตัวเดียว แต่ถ้าหากว่าเราไม่ท่องแล้วมันออกเราก็เดี้ยง เพราะฉะนั้นมันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ
       ถาม :   ทำยังไงครับ นั่งยิ้มได้ทั้งวัน?
       ตอบ :    พยายามรักษากำลังใจให้มันทรงตัวให้ได้ กำลังที่ว่านี่มันทรงตัวนานไป ๆ แรก ๆ มันเหมือนหินทับหญ้า แต่ถ้าทับไปทับมาหญ้ามันเฉาเข้า กำลังมันไม่มี เราก็ยิ้มเยาะมันได้ เอาเถอะค่อย ๆ ทำไป ที่เห็นนั่งยิ้มอยู่นี่ไม่ใช่นั่งยิ้มแต่แรกหรอก มันตั้งนานตั้งเนแล้วที่ค่อยทำมา กว่าจะถึงจุดนี้ไม่ใช่ง่าย แต่ว่ายืนยันว่า ถ้าทำแล้วได้จริง ๆ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.2.html

ถาม :   ............
       ตอบ :  สมัยโบราณพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระใช้ผ้าบังสุกุลเพียงสามผืน คือ สบง จีวร และสังฆาฏิเท่านั้น พระท่านก็ต้องทะนุถนอมจีวรไว้ให้ดี ถึงเวลาอาบน้ำอาบท่านก็ต้องแก้ผ้ากันเลย
                คราวนี้มีอยู่วันหนึ่งที่เชตุวันมหาวิหาร นางวิสาขามหาอุบาสิกานิมนต์ พระเอาไว้ว่าให้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน ก่อนถึงเวลาฝนตก พอใกล้ถึงเวลาก็เลยให้คนใช้วิ่งไปนิมนต์พระ คนใช้ไปถึงบอกไม่มีพระเลยมีแต่ชีเปลือย คือพวกชีเปลือยพระแก้ผ้าของทางอินเดียเขามีเป็นปกติอยู่แล้ว นางวิสาขาได้ยินเข้าก็เข้าใจ ก็เลยบอกคนใช้ว่ารอเดี๋ยว ตอนนี้ชีเปลือยเขาคงมากัน อีกสักพักหนึ่งเขากลับแล้ว เราค่อยไปนิมนต์พระ
              พอฝนหยุดก็บอก ตอนนี้ชีเปลือยกลับไปกันหมดแล้วล่ะ ไปนิมนต์พระได้ พอเขาวิ่งกลับไปใหม่พระห่มผ้าครองจีวรเรียบร้อยแล้วนี่ ก็นิมนต์พระมา เสร็จแล้วท่านเป็นคนฉลาด ท่านก็เลยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่าให้รับผ้าคหปติจีวรคือจีวรที่ผู้พอมีอันจะกินเขาถวายในขณะที่ในหน้าฝนได้ใช้ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง เขาเรียกว่าผ้าวัสสิกสาฏก 
              ตั้งแต่นั้นมาก็มีธรรมเนียมถวายผ้าอาบน้ำฝน แต่ว่าถ้าหากว่าใช้เฉพาะช่วงหน้าฝนมันสิ้นเปลืองเกินไป ส่วนใหญ่ถ้าได้มาก็อธิษฐานยาวไปจนกว่าเปื่อยพังไปข้างหนึ่ง แต่ว่าสมัยนี้เขาก็อยู่ลักษณะนี้แหละ ถ้าพอที่จะมีที่ถวายจริง ๆ ไม่ใช่เพียงผ้าอาบน้ำฝน แต่เป็น ผ้าไตรมาแบบนี้
       ถาม :    ..........
       ตอบ :   กฐินปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของเกาะพระฤๅษีที่อาตมาจะรับได้ในนามของตัวเอง เพราะว่าหลังออกพรรษาแล้วท่านเจ้าคุณวัดท่ามะขามท่านบัญชาให้ไปอยู่วัดท่าขนุน ท่านจะเอาตัวเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่เป็นลูกศิษย์อาตมาเองและเป็นเจ้าคณะตำบลด้วยไปเรียนต่อเพื่อรอเป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านบอกว่าทองผาภูมิมันจะเป็นแยกออกเป็นจังหวัด ตัวท่านเองต้องไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด 
              คราวนี้อายุท่าน ๗๒ แล้ว พระนี่เขาเกษียณกันอายุ ๘๐ อายุราชการเหลืออีกหน่อยเดียวหรือว่าผมอาจแก่ตายก่อนก็ได้ ท่านพูดอย่างนี้ สิ้นจากผมแล้ว ผมมองไม่เห็นใครเลยนอกจากคุณ หมายตาคุณเอาไว้ คุณก็ไม่เอา คุณปฏิเสธทุกทีก็เลยต้องเอาท่านสมพงษ์ไป เลยกราบเรียนท่านว่า ลูกศิษย์ของเราอีกคนหนึ่ง คือท่านปรีชาที่ มาเรียนอยู่ บอกว่ามหาปรีชาไงล่ะครับ ท่านบอกว่ามหาปรีชาหัวมันไม่ทันเขา คำว่าหัวมันไม่ทันเขาอยู่ในลักษณะที่ว่าซื่อเกินไป ไปเจอคนชั่วพลิกแพลงเข้าจะแย่ มันจะปกครองเขาไม่ได้ เลยจะเอาท่านสมพงษ์ซึ่งว่าเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ท่านอยู่ลักษณะที่คล่องตัวพอ ก็จะเอาไปเรียนต่อ เลยไปอยู่ที่โน่น ก็จะเป็นในนามวัดท่าขนุน ซึ่งจะชื่ออาจารย์สมพงษ์ไม่ใช่ชื่อของเราแล้ว
              เพราะฉะนั้นปีนี้ถ้าจะถวายกฐินก็ถือว่าปีสุดท้ายของอาตมาแล้ว มีเท่าไหร่ก็รีบทุ่มไปเถอะ ท่านจะให้เป็นเจ้าคณะตำบลมาหลายยกแล้วหนีท่านคราวนี้ท่านไม่ให้เป็นแล้ว ให้เป็นตาแก่เฝ้าวัดไว้เฉย ๆ ประชดด้วยนะ ถามอาจารย์สมพงษ์ว่า เฮ้ย ! สมพงษ์ ยอดเขาว่างไหม? บอกว่างครับ เออ...นั่นแหละ ท่านเล็กเขาชอบเงียบ ๆ ให้เขาไปอยู่ข้างบนนั่นแหละ (หัวเราะ)
       ถาม :    ...............
       ตอบ :   ตัวคาถาฆะเฏสิ นี่จริง ๆแล้ว ป้องกันอันตรายทุกอย่างนะ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว อาจารย์ยุคหลัง ๆ ท่านถือให้เป็นคาถากันขโมยมันเริ่มจากว่ามีชายเข็ญใจคนหนึ่ง หัวทื่อมากเลย ทำอะไรมันก็ไม่เอาไหน อาจารย์ท่านเลยให้คาถานี้ไปท่อง ตัวคาถามันว่า ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ ความ หมายก็คือว่าทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร เจ้านั่นประเภทคนซื่อคนขยันน่ะ อาจารย์ให้ก็ท่องตะบันราดเลย
              วันหนึ่งพระราชาออกตรวจงานราษฏร์ตอนกลางคืน คล้าย ๆ กับว่า ตรวจดูความสงบเรียบร้อย โจรมันกำลังจะย่องเบาอยู่ มันตั้งท่าจะปีนบ้าน เจ้านี่ละเมอก็ตะโกนออกมา ตะโกนคาถาบทนี้ มันก็แปลว่า ทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร โจรมันก็แผ่นแนบเลย เพราะนึกว่าเจ้าของบ้านตื่น พระราชาท่านก็แปลกใจ โผล่เข้าไปเห็นเลยปลุกมันขึ้นมาถามว่าเรื่องอะไรกัน ก็เลยบอกว่าคาถาวิเศษบทนี้อาจารย์ให้มาบอกว่าป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง พระราชาเลยขอเรียน บอกว่าถ้าจะขอเรียน ต้องยอมตนเป็นลูกศิษย์ถึงจะสอนให้ พระราชาก็เลยต้องไหว้คนเข็ญใจ
              ตัวนี้ก็คือว่าถ้าหากว่าคุณต้องการวิชาคุณจะถือตัวถือตนไม่ได้ พอให้ไปพระราชาก็ท่องเป็นประจำอยู่เหมือนกัน ท่องไปท่องมามีอยู่วันหนึ่งบรรดาพวกเชื้อพระวงศ์ต้องการจะปฏิวัติรัฐประหาร ชิงราชสมบัติก็จ้างให้กัลบก คือช่างตัดผม บอกว่าเวลาที่โกนหนวดให้พระราชานี่ปาดคอซะจะให้รางวัล พระราชาท่านหลับเพลิน ๆ ก็ละเมอคาถาบทนี้ออกมามั่ง ช่างมันก็ตัวสั่นตกใจนึกว่าพระราชารู้ เลยสารภาพหมด พระราชารอดไปได้ ในเมื่อท่านรอดมาได้ก็คิดว่าเพราะอาจารย์ที่เป็นคนเข็ญใจเลยรับตัวมาเลี้ยง ไว้ในวังเป็นอย่างดี จริง ๆ อุปเท่ห์การใช้ของมันใช้ป้องกันอันตรายทุกชนิด
              แต่ว่าในระยะหลังท่านบอกว่าให้ใช้กันขโมย ก่อนนอนก็ตั้งใจว่าคาถานี้สักเจ็ดจบ อธิษฐานว่าถ้าหากจะมีขโมยหรือมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเราขอให้เรารู้ตัว ก่อน ให้ตื่นมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เพื่อได้แก้ไขเหตุการณ์ณ์ให้ลุล่วงไปด้วยดี ฟังดูแล้วน่าเล่น ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณัง ...กิงกะระณา คือ ทำอะไรอยู่....ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
       ถาม :    ..........
       ตอบ :  มีคนถามบ่อย สองวันนี่ถามเป็นสิบรายแล้ว ถามว่าเข้าพรรษาแล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? พรรษาจริง ๆ แปลว่าฤดูฝน จำพรรษาคือการอยู่ประจำที่ในฤดูฝน คราวนี้บางครั้งมันก็มีเหตุอันจำเป็น อันทำให้ต้องไปไหนมาไหนทั้ง ๆ ที่อยู่ในระหว่างจำพรรษา พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้องไปไม่เกิน ๗ วัน ภาษาบาลีเรียกว่า สัตตาหะกรณียะ คือเวลามีเหตุอันควรให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน เหตุอันควรนั้นท่านระบุไว้ชัดเลยว่า
                ๑. พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ถ้าสามอย่างนี้ให้ไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ ถือว่าเป็นความกตัญญู แต่ว่าต้องไม่เกิน ๗ วัน
                ๒. เพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามเขา ไปได้แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน แต่อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ตอนนี้สำหรับข้อนี้แล้วไม่อนุญาต ใครอยากสึกให้มันสึกไป สมัยก่อนโน้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้เพราะทราบว่าพระองค์นั้นถ้าอยู่ต่อแล้วจะเป็นพระ อรหันต์ ท่านก็เลยอนุญาตให้ไปห้ามได้
                 ๓. วัดพัง ไปหาทัพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัด สมัยก่อนต้องเข้าป่าตัดไม้ ไปหาหวายหาอะไรมา มันช้า วันเดียวไม่เสร็จแน่เลย ต้องไปค้างคืน ให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน
                ๔. ข้อสุดท้าย ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธา ไปได้ อย่างเช่นมาที่นี่ ก็คือมาเพื่อเจริญศรัทธาชาวบ้าน มาเพื่อรับการถวายสังฆทาน เหล่านี้เป็นต้น อันนี้ถือว่ารักษากำลังใจเจริญศรัทธาญาติโยมให้ไปได้ แต่ว่าก่อนไปก็ต้องมีพิธีกรรม เขาเรียกว่าขอสัตตาหะ คือขอกับเพื่อนพระด้วยกัน ถ้าทุกองค์เห็นพ้องกันว่าไปได้ ก็ไปได้ ถ้ามีค้านสักองค์หนึ่งก็ไม่ต้องไป
              แต่ว่าข้อสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าใครก็ตามที่มันอยู่ติดที่ไม่เป็นแต่มันไปติดโยมแทน ถึงเวลาแอบเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ไปเพื่อให้เขานิมนต์ อย่าให้ข้ารู้ ข้าตีกบาลแยกเลย มีเหมือนกันนะ มีประเภทที่ให้โยมเขานิมนต์ แอบไปบอกเขาให้นิมนต์เพื่อตัวเองจะมีข้ออ้างไปได้ในระหว่างอยู่ในพรรษา หลวงพ่อท่านปิดช่องเกลี้ยงเลย เบี้ยวไม่ได้
              ด้วยเหตุนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แต่ว่ายังดีนะ คนเขามีปัญญาเขาสงสัยแล้วเขาถาม ประเภทสงสัย ๆ เปล่า ๆ เสร็จแล้วคอยระแวงไปด้วยเลยกระทั่งพรรษามันยังไม่อยู่เป็นที่เป็นทางดัน ทะลึ่งมาอีก อะไรอย่างนี้ ไอ้นั่นคิดมากเป็นโทษแก่ตัวเอง ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก
       ถาม :   ............
       ตอบ :  หลังจากออกพรรษาต้องไปอยู่ประจำที่วัดท่าขนุน วันก่อนไปดูกุฏิแล้ว เจ้าประคุณเถอะ ! หลังมันใหญ่กว่าห้องนี้อีก เป็นกุฏิที่ไม่มีใครยอมอยู่เลย เจ้าของกุฏิเก่าพระครูอะไรนะ จำไม่ได้ เราเรียกหลวงตาเหงี่ยม ตอนเป็นพระก็ดุ เป็นผีก็ดุเข้าไปใหญ่ กุฏิหลังนั้นเลยทิ้งร้างโทรมอยู่ไม่มีใครดูแล หลังคาก็รั่ว พื้นก็ผุ ประตูก็พัง หน้าต่างก็หลุด ไปนั่งคลำ ๆ ดู
              ท่านสมพงษ์บอกว่าถ้าอาจารย์มาผมจะซ่อมให้ บอกว่าคุณไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมหางบซ่อมเอง แต่ดู ๆ ลักษณะมันแล้วแสนหนึ่งน่าจะเอาไม่อยู่ (หัวเราะ) กุฏิหลังใหญ่มาก สบายมากเลย ไปนอนมาแล้วดีทุกอย่าง แต่คนอื่นเขากลัว ของในกุฏิไม่มีใครกล้าแตะแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งไปถึงบอกท่านว่านั่นน่ะพวกสบง จีวร อะไรนั่น ของดี ๆ ทั้งนั้นไปแจกพระแจกเณรซะ แล้วข้าวของอื่นใครต้องการจะใช้เอาไปเลยเดี๋ยวผมรับผิดชอบให้เอง หลวงตาท่านไม่ว่าอะไรหรอก เขากลัวกัน จริงๆ กลัวประเภทที่ว่าทิ้งพังไปเลย ไม่มีใครเข้าไปแตะ กุฏิหลังใหญ่มากน่าอยู่ด้วย ก็เลยว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะจัดงานกฐิน เพราะว่าเมื่อไปอยู่ที่โน่นแล้วความคิดก็คือว่าจะไม่พยายามรับตำแหน่งเหมือน เดิม ก็คือให้อาจารย์สมพงษ์  เขาเป็นเจ้าคณะตำบลและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในนามตัวเราเองบริหารอยู่ข้างหลัง 
              คราวนี้พอเราอยู่ในลักษณะนั้นเราเองก็เลยรับกฐินในนามตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องเป็นของทางโน้นเขา ซึ่งเขาจะมีกรรมการอะไรยุ่งย่ามไปหมดเลย ส่วนใหญ่พวกกรรมการ ตั้งขึ้นมาแล้วมันไม่คิดทำอะไรหรอกนอกจากจะคุมเงินพระ หลวงพ่อก็บอกว่าถ้าจะตั้งกรรมการพวกแกหาพระในวัดที่ไว้ใจได้ตั้งขึ้นมาสัก ๖ องค์ ๗ องค์ มีความเห็นร่วมกัน จะได้ทำงานได้พร้อมกัน มัวแต่ไปรอฆราวาส อยู่บางทีมันขัดขึ้นมาสักคนเดียวงานก็ไม่ได้ทำแล้ว ในเมื่อเขามีกรรมการมีอะไรอยู่ก็ไม่อยากเข้าไปทำให้มันยุ่งยาก
              เลยกลายเป็นว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่ได้ทำในนามของตัวเอง ผลัดท่านไว้ว่าขอออกจากพรรษาก่อน ความจริงท่านจะให้ไปเลยแล้วก็จะให้อาจารย์สมพงษ์ เขาสัตตาหะ คือท่านบอกว่า การเรียนมันสำคัญมาก อนุญาตให้สัตตาหะไปเพื่อติวได้ก็ให้มหาทองดีที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ตอนนี้ได้เปรียญ ๖ แล้ว กำลังจะขึ้นเปรียญ ๗ ที่เป็นเปรียญเอก ประเภทที่ว่ากันตัวต่อตัว ยังไง ๆ ก็ให้มันทันสอบปีหน้า ซึ่งจะเท่ากับว่าไม่ต้องเสียเวลาไปปีหนึ่ง แต่อาจารย์สมพงษ์ก็คล้าย ๆ กันเป็นพระที่ไม่ค่อยจะเอาอะไรหรอก หลบได้ก็หลบ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
              ตอนที่ท่านโดนยัดเป็นเจ้าคณะตำบลนี่ท่านหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะว่าของเราจับยัดให้ท่านเอง รู้จักกับท่านมาตั้งแต่ท่านบวชพรรษาแรก ปีนั้นหลวงพ่อสายเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมรณภาพพอดี ท่านขาดครูบาอาจารย์ก็เลยมาขอพึ่ง เท่ากับว่าท่านเป็นลูกศิษย์ ตอนนี้อยู่ทองผาภูมินี่ดังน่าดู เท่ากับว่ามีลูกศิษย์เป็นเจ้าคณะตำบลไปสองสามตำบลแล้วท่านเจ้าคุณถึงได้ต่อ ว่าให้ตำแหน่งแล้วไม่ยอมรับ ก็เลยให้คนอื่นไปแทน นี่ถ้าหากว่าบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดในทองผาภูมิทราบว่าท่านเจ้าคุณคิดยังไง ร้องไห้กันหมด
              โดยส่วนใหญ่แล้วท่านจะคิดว่าท่านมีความสามารถหารู้ไม่ว่าผู้ใหญ่เขามองทะลุ หมด โดยส่วนใหญ่ใช้ความสามารถไปหาผลประโยชน์ใส่ตัว ท่านดูออกว่าใครทำเพื่อส่วนรวม ใครทำเพื่อส่วนตัว แล้วลูกศิษย์สายหลวงพ่อส่วนใหญ่แล้วจะว่ากันตรงไปตรงมา ในเมื่อว่ากันตรงไปตรงมา ไม่เอาก็คือไม่เอานะ ก็จะต้องไปเฝ้าให้เขา
              คราวนี้มันสำคัญตรงว่าอาจารย์สมพงษ์เขาเรียนจนกลับมาแล้วต้องเป็นใหญ่ขึ้นไป ดีไม่ดี เราจะโดนจับยัดอีก หนีไม่พ้น... ลูกศิษย์มันใหญ่กว่าอาจารย์ ถึงเวลาเราเอาอะไรไปเขาต้องเซ็นให้อยู่แล้ว (หัวเราะ) ระยะหลังนี่สบายขึ้นนะ อย่างเช่นว่า เวลาที่เข้าพรรษาทุกอย่างมันก้าวหน้าขึ้น
              เมื่อกี้ที่ปรารภขึ้นว่าตอนนี้มันมีรถตู้ไปถึงอุทัยสบาย ๆ สมัยก่อนไปหาหลวงพ่อ โอ้โห... ฝุ่นแดงตลบจนกระทั่งหัวดำ ๆ กลายเป็นหัวแดงไปเลย ต้องเอารถไปลงแพทีละคัน ๆ สมัยนี้ทางลาดยางผ่านหน้าวัดสบายมาก รถวิ่งถึงที่การถวายเทียนพรรษาก็เลยชักจะกลายเป็นหลอดไฟมากขึ้น ๆ สะดวกดีและไม่อันตรายด้วย เพราะว่าไฟฟ้ามันช๊อตมันก็ดับเลยใช่ไหม หลอดมันขาด แต่ว่าเทียนพรรษานี่ถ้าเผลอนะ เทียนนี่จริง ๆ สำหรับคนละเอียดและมีสติรอบคอบเพราะว่าเผลอเมื่อไหร่มันไหม้วัดจริงๆ ก็เลยเปลี่ยนเป็นหลอดไป แต่ว่าอานิสงส์ก็ยังเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยแสงสว่างซึ่งจะมีผลด้านทิพจักขุญาณ
               พระอนุรุทธท่านเป็นพระวิชชาสามแต่ว่ามีทิพจักขุ ญาณเหนือกว่าพระอัครสาวกอย่างพระโมคัลลาน์พระสารีบุตรอีก พระโมคคัลลาน์นี่ถือว่าเป็นยอดของปฏิสัมภิทาญาณ เลิศกว่าผู้อื่นในทางด้านมีฤทธิ์ ทิพจักขุญาณยังสู้พระอนุรุทธไม่ได้ พระอนุรุทธก็เลยได้รักการตั้งว่าเป็นเอตะทัคคะ คือเป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในทางทิพจักขุญาณ
              ในอดีตชาติท่านเคยถวายบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปโคมไฟ ได้อานิสงส์ทิพจักขุญาณมากกว่าคนอื่นเขา ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังดำเนินกิจไปเพื่อนที่จะเข้าสู่ ปรินิพพาน มีพระอนุรุทธผู้เดียวที่ตามทัน บอกได้ตลอดเลยว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ระดับฌานไหน กำลังเข้าฌานไหน ออกฌานไหน จากฌานนั้นมาเข้าฌานไหน ขณะนี้กำลังดำเนินจิตอยู่ในลักษณะยังไง บอกถูกหมด คนอื่นสู้ไม่ได้
              แรก ๆ ก็สงสัยมาก ข้องใจมากด้วย อย่างพระพุทธเจ้านี่อ่านตามพุทธประวัติและปฐมสมโพธิกถาท่านบอกว่ายามต้น บรรลุบุพเพนิวาสาสุสติญาณคือระลึกชาติได้ ยามที่สองบรรลุจุตูปปาตญาณ คือรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดนั้นมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายคือยามสามทำจิตให้ผ่องใสไกลกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง สรุปแล้วพระพุทธเจ้าเป็นพระวิชาสาม แล้วทำไมสอนลูกศิษย์เป็นอภิญญาหกเป็นปฏิสัมภิทาญาณบานเบอะเลย
              มีผู้กล้าหาญกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อทำตอบสั้นและกระชับมาก ท่านบอกว่า วิชาสามของช้างมันเหนือกว่าอภิญญาของมดอยู่แล้ว (หัวเราะ) ชัดเลยใช่ไหม? อย่างพระอนุรุทธท่านก็วิชาสาม แต่ว่าทิพจักขุญาณของท่านเลิศกว่าอัครสาวกซะอีก เพราะว่าความสามารถพิเศษไม่ว่าจะเป็นอภิญญาหรือว่าปฏิสัมภิทาญาณก็มีแบ่งไป ตามระดับ ตามความถนัดเฉพาะตัว
               อย่างพระจุลปันถกะ อ่านตามบาลีนะ ท่านเป็นเลิศทางมโนมยิทธิ คนอื่นเก่งแค่ไหนก็เก่งไปแต่ของท่านนี่เยี่ยมกว่าคนอื่นเขาสามารถถอดจิตออก มาเป็นกายเนื้อ ๆ ให้เห็น ๆ ได้ทีละพันพร้อมกัน แล้วไม่ใช่ว่าทำอะไรเหมือนกันนะ ทำคนละอย่าง ง่ายดี องค์โน้นกวาดลาน องค์นี้ตักน้ำ องค์นั้นซักจีวร องค์โน้นถูกุฏิ สบายดีงานมันเสร็จเร็ว เสร็จแล้วพอคนถามว่า องค์ไหนชื่อว่าจุลปันถกะ ท่านก็ตอบพร้อม ๆ กันว่าอาตมาเอง คนนิมนต์ก็เสร็จ
              คราวนี้พอไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไปนิมนต์ใหม่ ถามว่าองค์ไหนชื่อ จุลปันถกะ ถ้าองค์ไหนตอบก่อนให้จับแขนองค์นั้นไว้ คือ องค์อื่นจะเป็นตัวกายในที่ท่านถอดออกไป คราวนี้ท่านเลิศมากเลย เพราะตัว มโนมยิทธิ ถ้าทำได้จริง ๆ จะเป็นในลักษณะนั้น ท่านใช้คำว่าถอดกายในออกไป เหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง คือ หญ้าปล้องมันจะมีปล้องแก่ พอดึงออกมาจะเป็นปล้องอ่อน มันเหมือนกันเปี๊ยบเลย แล้วอันหนึ่งแก่ อันหนึ่งอ่อน หรือว่าเหมือนกับถอดดาบออกจากฝัก คือดึงออกมาง่าย ๆ ท่านชำนาญมาก คือทำออกมาได้ทีละพันร่างพร้อม ๆ กัน
              ท่านบอกว่า องค์ไหนตอบก่อนให้สังเกตไว้จะตอบก่อนคนอื่นเขาแป๊บหนึ่งแล้วคนอื่นเขาพูดตาม เหมือน ๆ กันลักษณะเหมือนกับเสียงสะท้อน ถามว่าองค์ไหน องค์ไหนตอบผมครับก็คว้าเอาไว้ คนที่ไปนิมนต์ก็เล็งเอาไว้ พอถึงเวลาก็คว้าแขนปุ๊บ อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าองค์ก็ต้องรวมกลับคือเป็นหนึ่งเดียว ตัวต้นฉบับโดนล็อคแล้วนี่ เมื่อความสามารถพิเศษเหล่านี้ยังต่างกัน
              การบรรลุมรรคผลและความสามารถของพระท่านบรรลุเท่ากันเหมือนคนจบปริญญา ถ้านับปริญญาตรีเป็นหลัก เหมือนพระอรหันต์เป็นว่าจบตรีเท่ากัน แต่ว่าความสามารถและแขนงวิชาต่างกันไป ก็เลยว่ามีประเภทอภิญญาหกระดับปกติสาวก คือทั่ว ๆ ไป อภิญญาหก ระดับมหาสาวกอภิญญาหกระดับอัครสาวก อย่างนี้เป็นต้น ถึงได้ก็ไม่ใช่ว่าได้เท่ากัน
              พวกเราหลายคนที่ได้มโนยิทธิอยู่เป็นครูฝึกสอนคนอื่นเขาด้วย เราก็ดูตัวเองซิ ญานแปดอย่างน่ะเราไม่ได้คล่องทุกอย่างหรอก มันจะมีถนัดชำนาญอยู่อย่างหนึ่งส่วนอย่างอื่น ๆ จะมีแค่พออาศัยเท่านั้นเอง สังเกตดูได้เลย ลักษณะนี้แหละทำให้ความสามารถทางใดทางหนึ่งมันต่างกันไป
               พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามว่า ภิกขเว ภิกษุทั้งหลาย เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระโมคคัลลาน์ลูก เราหรือไม่? พระบอกว่าเห็นพระเจ่าข้า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่หนักในทางฤทธิ์อภิญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่เสวนาอยู่กับพระโสณะโกฬิวิสะลูก เราหรือไม่? บอกว่าเห็น ท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้เลิศในทางความเพียร แล้วก็ถามภิกษุ ท่านเห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระปุณณะมัฌตานีบุตรหรือ ไม่? ภิกษุทั้งหลายบอกว่าเห็นพระเจ้าข้า บอกว่าภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบในทางธรรมกถึก คือเป็นนักเทศน์ คือบุคคลที่เข้าไปหาเก่งทางไหนบรรดาผู้ที่เข้าไปหาคือผู้ที่ชอบในทางนั้น เหมือนกัน
              แล้วจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน การสร้างสมบารมีมาในอดีตชาติที่ต่างกันทำให้ความสามารถต่างกันไป เพียงแต่ว่าเวลาหมดกิเลส หมดกิเลสเหมือน ๆ กัน แต่การสร้างสมบุญบารมีมาทำให้ต่างกันตรงความสามารถพิเศษ เหมือนกับคนจบปริญญาตรีมาแล้วอีกคนหนึ่งมันเล่นกีฬาเก่งจังเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เอาอะไรเลยก็มีหรือไปถนัดเล่นดนตรีเลยก็มี ทำให้ต่าง ๆ กันไป
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.3.html

คราวนี้ช่วงของการเข้าพรรษา ก่อนจะมาก็อบรมพระ ช่วงของการเข้าพรรษาสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง จะเป็นช่วงที่ติวเข้มตัวเอง ๓ เดือน ความจริงมันน่าจะ ๙ เดือนนะ มันกลายเป็นว่าเราอาศัยว่าช่วงจังหวะดี เรียกง่าย ๆ ว่ามันต้องอาศัยฤกษ์ดี ครูดี คณะดี ใช่ไหม ? เอาดียากหน่อยแต่ว่าก็ยังดีว่าเรายังมีเวลาตั้งตาทำอยู่ เราต้องคอยตรวจ ต้องคอบทบทวนกำลังใจของตัวเองไว้เสมอๆ ว่ากำลังใจของเราตอนนี้ดีหรือว่าเลว ต้องรู้ตัวโดยที่ไม่เข้าข้างตัวเองด้วย เช็คอยู่เสมอว่าตอนนี้ความดีในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้าไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันมีอยู่แล้วทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตอนนี้ความชั่วในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้ามันมีขับไล่มันออกไปแล้วคอยระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาต้องคอยเตือนตัว เองอยู่เสมอ ๆ อยู่ตลอดเวลา
                อย่างที่พระเขาพิจารณาเตือนตัวเองฆราวาสก็ใช้ได้ เช่นท่านบอกว่า บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าขณะนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ แล้วกริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกริยาอาการนั้น ๆ ก็หมายความว่าจะคิดจะพูดจะทำต้องอยู่ในความเป็นพระ คราวนี้พวกเราเป็นนักปฏิบัติ ต้องเรียกว่าพระโยคาวจรได้กำไรกว่าพระจริง ๆ ซะอีก เพราะพระจริง ๆ เรียกสมมติสงฆ์ยังไม่เป็นพระเลย
               แต่นักปฏิบัติที่มุ่งมั่นจะเอาดีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระโยคาวจร เป็นพระแล้ว ในเมื่อเราก็ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งแล้ว เป็นพระอยู่ในตัวแล้ว เราจะพิจารณาอย่างเดียวกันก็ได้ อย่างเช่นท่านบอกว่า  บรรพชิตควรพิจารณาควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวเราติตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ? เราทบทวนว่าเราบกพร่องนี่ เรากล่าวโทษโจทย์ตัวเองได้ไหม ? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าผู้รู้ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ? คนที่เขารู้จริง รู้ว่าเราทำผิดอย่างนี้ เขาตำหนิติเตียนมาได้ไหม? เรามีข้อบกพร่องให้เขาว่าได้หรือเปล่า? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจนั้น หมายความว่าสิ่งที่เหนือกว่านี้ยังมี 
              ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานเราหยุดไม่ได้ ต่อให้เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าท่านยังไม่ไปสู่พระนิพพานคือยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ยังไม่ประมาทยังดำเนินใจในลักษณะระมัดระวัง คอยจ้องในทางลดละเลิกกิเลสอยู่เสมอ ๆ เหมือนกับพวกเรานี่แหละ ยิ่งไปได้สูงมากเท่าไร สติปัญญา สมาธิยิ่งสูงมากเท่านั้น สมาธิก็ยิ่งเข้มมาก เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแล้วเลิกเลย ดังนั้นว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจนั้น บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่ ? หลายคนนิยมเม้าท์แตกน่ะระวังไว้ เรายินดีในที่สงัดจริงหรือไม่ ? 
              บางคนให้อยู่เงียบไปฏิบัติน่ะ พักเดียวเท่านั้นแหละฟุ้งซ่าน ต้องวิ่งไปหาคนอื่นเขาสังเกตตัวเองให้ดี ถ้าใครเป็นแบบนี้แล้วรีบแก้ซะ อาตมาเจอพระมาหลายองค์แล้วน่าสงสารมาก แทนที่โยมติดพระกลายเป็นพระติดโยม ถึงเวลาต้องตะกายไปเพื่อหาเพื่อนคุย ถ้าหากว่าไม่มีญาติโยมนี่งุ่นง่านเป็นชะมดติดจั่นไปเลย ดังนั้นต้องดูตัวเองว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่? ยืน เดิน นั่ง นอน ให้อยู่ในความสงบ สงัด อยู่เสมอ
               พระพุทธเจ้าท่านถึงได้กล่าวไว้ว่า ไม่ควรกล่าวถ้อย คำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่ฟุ้งซ่านย่อมต้องห่างจากสมาธิ มันพาพังไปโน่น ดังนั้นการที่คุยกันดี ๆ น่ะ มันน้อย กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา สนทนาธรรมในระยะเวลาอันสมควร มีน้อย ส่วนใหญ่พอเข้าวงได้มันพากันเตลิดเปิดเปิงกลายเป็นเดรัจฉานคาถา คือวาจาอันเป็นเครื่องขวางต่อความดี ชวนไปฟุ้งซ่าน แล้วจะไปกินที่โน่น แล้วจะไปเที่ยวที่นี่ แล้วหนังเรื่องนั้นสนุกไปกันไหม ? อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ตามกันไปเป็นพรวน มันจะพาเสีย บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมมิกของเราไต่ถาม ต้องเอาดีให้ได้ ถ้าไม่ดีเขาถามขึ้นมา มันอายนะ 
               อย่างพวกเราประกาศตัวว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษี ลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ตาม นั่นคือครูบาอาจารย์ที่เราถือว่าเลิศแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพสุดจิตสุดใจแล้ว ไม่ต้องการให้คนอื่นมาปรามาสแม้แต่ กาย วาจา ใจ เพียงเล็กน้อย ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดนั้นเก่งขนาดนั้น แล้วตัวเราล่ะ? เราไม่ต้องการให้คนอื่น ดูถูกปรามาสครูบาอาจารย์ของเรา เรามีอะไรไปอวดเขา ครูบาอาจารย์ของเราเก่งขนาดนั้นน่ะ คำหนึ่งก็หลวงพ่อ สองคำก็หลวงพ่อ แล้วเราได้ อะไรจากหลวงพ่อไว้บ้าง
                ต้องพิจารณาอยู่เสมอ ๆ บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเราทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ากระทำอันใดย่อมได้รับผลของการกระทำอันนั้น ที่ท่านใช้คำบาลีว่า กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิจสะระโน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดก็ต้องรับผลอันนั้น กัลยาณังวา ปาปะกังวา  ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตัสสะธรรม ทายาทา ภะวิสสติ กรรมอันนั้นย่อมเป็นทายาท ตามสืบเนื่องต่อ ๆ ไป 
               เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นใครดีใครชั่ว ดีเราโมทนาแต่ ถ้าเขาทำไม่ดีที่เรียกว่าชั่วเมื่อครู่นี้ ขอให้รู้ตัวไว้ว่าเราทำมาก่อน พอเราก้าวข้ามจุดนั้นมาเราเห็นข้อบกพร่องตรงนี้ เราเห็นว่ามันไม่ดีอย่างไร เรารู้ว่ามันน่าเกลียดน่าชังอย่างไร แล้วเราไปตำหนิคนอื่นเราทำมาก่อนแล้วคนอื่นมาทำตาม ไอ้นั่นน่ะ ลูกหลานเราเอง ทายาทเราเอง ที่เขาสืบเนื่องซึ่งกรรมอันนั้น
              เพราะฉะนั้นคนทำผิดไม่ใช่คนที่น่าตำหนิ เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูก ที่ควร เป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย เราตำหนิเขา มันใช้ไม่ได้ มันควรจะสงสารและหาทางช่วยเขาให้พ้นจากจุดนั้นมากกว่า ตัวเราเอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด ถูกทั้งหมด มันดีแค่นี้ มันถูกแค่นี้พอกำลังใจเราก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดีกว่านั้นถูกกว่านั้นมันมีแล้ว
เรามองย้อนกลับ อ้าว...คราวที่แล้วมันผิดนี่หว่า แต่เรียกว่ามันผิดก็ไม่ถูก ถ้าเรายืนอยู่ในจุดนั้นเราจะเห็นว่ามันดี ว่ามันถูก แบบเดียวกับว่า เวลาเข้าพรรษาพวกเรามาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ มาติวเข้มตัวเองกันแต่ขนาดเดียวกันคนบางจำพวกมันก็ยังกินเหล้าเมายาอยู่ เหมือนเดิม นั่นเขาเห็นว่าดีเขา ถึงทำ ถ้าเขารู้ตัวว่ามันไม่ดี เห็นว่าดี เขาจะไม่ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หรอก ทุกคนเขาเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีแล้วจึงทำ
              ดังนั้นคนที่เขาเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิมีโอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิเป็นคนที่น่า สงสารมาก ไม่ใช่คนที่น่าโกรธน่าเคืองน่าตำหนิ ในเมื่อเขาน่าสงสารอย่างนั้น เราควรที่จะแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำแล้วไม่สามารถทำได้ แล้วค่อยวางอุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระคิด พิจารณา ทบทวนตัวเอง อยู่เสมอ ๆ หลวงพ่อก็บอกพวกเราเสมอว่าอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้กล่าวโทษ โจทย์ตัวเองเท่านั้น
              ดังนั้นในช่วง ๓ เดือนของพรรษา เราเป็นนักปฏิบัติ พระทำอย่างไร หลวงพ่อสอนให้พระทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้นได้ตรวจตราตัวเอง ตำหนิตัวเองอยู่ทุกวัน ก่อนนอนนั่งทบทวน ดูศีล ๕ หรือศีล ๘ ของเรา ตรงไหนบกพร่องบ้าง อย่างเข้าข้างตัวเอง บกพร่องแม้แต่นิดเดียวก็ต้องโทษตัวเองไว้ก่อน
                สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่เคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาใครอย่า คิดว่าหลวงพ่อไม่ได้สอน พระองค์ไหนปฏิเสธองค์นั้นถือว่าใช้ไม่ได้เลย หลวงพ่อสอนอยู่ตลอดเวลาเทปมีหนังสือมี จริยาต่าง ๆ ที่ท่านแสดงออกเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่พระลูกพระหลาน ที่ฆราวาสจะเลียนแบบและทำตาม ท่านสอนทั้งด้วยวาจา ทั้งด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่รู้จักว่าท่านเคี่ยวเข็ญเราอย่างไร ไม่รู้จักเลียนแบบเพื่อทำตามก็เป็นอันว่าเราขาดทุน 
              สมัยที่ท่านเคี่ยวเข็ญอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาเราทบทวนตัวของเราเอง ถ้าหากว่ามันมีข้อบกพร่องเราก็แก้ไขตามนั้น แต่ในบางครั้ง อาตมาทวนแล้วทวนอีกหาความผิดตัวเองไม่เจอ มันเป็นไปได้อย่างไรที่หาความผิดตัวเองไม่เจอ ...ลงซ้ายลงขวา ในที่สุดก็จับยัดให้ว่าเอ็งผิดตั้งแต่เสือกเกิดมาแล้ว ถ้าไม่เกิดมามันจะมาทุกข์อย่างนี้ได้ยังไง เออ ! เอามันให้ได้
              ในที่สุดก็หาผู้รับผิดจนได้ ยัดให้มันเข้าไปให้หมด แล้วเราก็เริ่มต้นแก้ไขใหม่ ในเมื่อเราผิดเพราะเราเกิดมาเราก็ไม่ควรเกิดอีก มันจะได้ไม่ผิด เออ ! ก็ใช้วิธีอย่างนี้แต่ว่าตอนหลวงพ่ออยู่ พลาดหน่อยเดียวท่านตีจมดินเลย แต่ว่าดีอยู่อย่างว่า ครูบาอาจารย์ ถ้าไม่รักเราท่านไม่ตีไม่ด่า ถ้าหากว่าท่านยังตียังด่าอยู่แสดงว่าเมตตา ยังอยากให้เราได้ดีอยู่ ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ว่า อะไรเลยแม้แต่คำเดียวนะ ไม่แน่ว่าท่านจะรักเรานะ ท่านอาจปล่อยให้เราเป็นไปตามกรรมก็ได้
              ดังนั้นช่วง ๓ เดือนนี้ ก็อยากจะให้ทุกคนใช้เป็นเวลาที่เร่งรัดการปฏิบัติของตัวเอง อาตมาเองก็ไม่รู้จะอยู่ให้โยมดูหน้าได้นานเท่าไหร่ งานมันเยอะ บางทีก็เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ รู้ตัวอยู่เหมือนกัน ว่ามันไม่แน่ว่าจะอยู่ได้ เป็นมากขึ้นมาทีไรก็รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราอาจต้องไปในเมื่อเจ้าตัวพร้อมที่จะ ไป
                พวกเราถ้าหากว่ายึดคนเป็นที่พึ่งก็จะลำบาก เราต้องยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ยึดการปฏิบัติเป็นที่พึ่งอย่างเช่น ว่าเรายึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งแล้วไปยึดร่างกายของหลวงพ่อเราก็พลาดต้องมานั่ง เสียอกเสียใจเวลาที่ท่านจากไป แต่ถ้าเรายึดในสังฆานุสติคือคุณความดีที่หลวงพ่อทำไว้ ระลึกถึงเมื่อไหร่ก็เด่นชัดอยู่ในใจของเรา
              ท่านเมตตาสั่งสอนอบรมเรามายังไง ด่าเรายังไง หัวเราะยังไง เป่ายานัตถุ์ยังไง ถือไม้เท้าเคาะกะโหลกเรายังไง นึกออกหมด พยายามนึกภาพเหล่านี้เอาไว้ให้อยู่ในจิตในใจของเรา มันสบาย มันชุ่มชื่นใจ แล้วภาวนาของเราต่อไป เป็นสังฆานุสติเต็มระดับ ไม่ต้องเสียเวลาภาวนานาน ใครเคยเจอหลวงพ่อนึกออกทันที ต่อไปใครไม่เคยเจอหลวงพ่อต้องอิจฉาพวกเรา นึกเมื่อไหร่ก็นึกออก มาถึงยังไง ทักทายยังไง หัวเราะยังไง เคี้ยวหมาก เป่ายานัตถุ์ อิริยาบถไหน สั่งน้ำมูกยังไงนึกออกหมด มันก็จะได้เปรียบคนอื่นเขาเยอะ รักษาชื่อเสียงพ่อไว้อย่าให้เขาดูถูกดูหมิ่นได้ โดยเฉพาะความสามารถในทางด้าน มโนมยิทธิ
                 ปัจจุบันนี้อาตมารู้สึกสงสารทุกคนมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้ผิดกันหมด มโนมยิทธิมีคุณวิเศษเหลือเกิน ยิ่งกว่าแก้วมณีที่เป็นโคตรเพชรเสียอีก ประมาณราคาไม่ได้ มีคุณวิเศษตรงที่ว่าเราเกาะพระนิพพานได้ การที่จิตเราเกาะพระนิพพานเราเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิงตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ เราเกิดโทสะกระทบขึ้นมาอาศัยกำลังความเคยชินพุ่งใจขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน เกิดราคะกระทบใจขึ้นมาอาศัยความเคยชิน ความคล่องตัวในมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายเมื่อไม่มีใจคอยปรุงคอยแต่งมันไม่สามารถจะอยู่นานได้ อย่างเก่งนาทีสองนาทีมันก็เงียบ มันเหมือนกับหมดเชื้อ ไม่มีใครไปคอยใส่ไฟให้มัน ใจเราไปกราบพระอยู่ต่อหน้าพระ เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด สะดวกสบายที่สุด ตายตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นเลย
              หลวงพ่อท่านใช้ความพยายามมาสิบหกอสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย และจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้ ปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง อยู่หลายสิบปีกว่าจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดมาให้ลูก ๆ ปฏิบัติเหมือนยังกับ ท่านเตรียมอาหารให้พร้อม ๆ ทุกอย่างแล้ววางอยู่ตรงหน้านี่ไม่ตักใส่ปากมันก็โหดร้ายกับพ่อเกินไป แล้วขณะเดียวกันตักแทนที่จะใส่ปากเอาไปละเลงหัวคนอื่นเขาก็มี ดังนั้นวิชาที่พ่อท่านให้ไว้ประเมินราคาไม่ได้ นับเป็นร้อยล้านพันล้านไม่ได้ แต่พวกเราเอาไปใช้สลึงเดียว  เขาให้รู้เพื่อละและมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว  จิตเกาะนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว ถ้าหากว่ามันเคยชินกิเลสมันก็ขาดไปโดยสิ้นเชิงเองได้ง่าย ๆ เลย 
              คราวนี้พวกเราก็เอาไปใช้ผิด ไปดูว่าชาติก่อนเป็นยังไง คนโน้นก็พ่อกู คนนี้ก็แม่กู นี้ก็ลูกกู นั่นผัวกู เมียกู สบายมาก แทนที่จะเลิก ไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แทนที่จะละได้กลายเป็นกอดคอกันจมตายทั้งขบวน เห็นแล้วน่าสงสารมาก อยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกเราใช้ผิด แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าวาระบุญมันยังเข้าไม่ถึง กรรมมันยังแทรกอยู่ ถึงบอกไปมันก็ไม่ฟังหรอก
              สมัยก่อนอาตมาก็ทำแบบนี้แหละ ใครให้ดูอะไร ดูให้เขาไปหมด พอเขาชมว่า แหม ! รู้ชัดเจนแจ่มใสดีจัง เก่งอะไรอย่างนี้ มันพอง มันอยากจะลอยทั้งตัว ลอยไปลอยมา หลวงพ่อตีกบาลร่วงตุ๊บเลย คือวันหนึ่งมันถึงวาระแล้วเข้าไปที่บ้านสายลมเพื่อทำหน้าที่ คืนนั้นหลวงพ่อท่านทศน์ว่าบุคคลที่สามารถทรงกรรมฐาน ๔๐ ได้ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือว่าวิชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นอย่างนี้นะไม่ใช่กั้นตามยาว ได้ยินเข้าเหงื่อหยดเลย ขนาดทรงกรรมฐานได้ตั้ง ๔๐ กองก็ไม่พ้นนรก ถ้ายังตัดกิเลศไม่ได้
                 แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า วิธีที่จะพ้นมีวิธีเดียว คือ ต้องเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แล้วท่านก็เทศน์ต่อไปว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร บอกให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ให้ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน ง่ายแค่นี้แหละ ง่ายจนนึกไม่ถึง แล้วพวกเราก็ทำเลยไปทุกทีมันง่ายเกินไปเดี๋ยวคนเขาจะไม่ชมว่าเก่ง ก็เลยก้าวผ่านของดีไป
              หนังสือหลวงพ่อทุกเล่ม เทปหลวงพ่อทุกม้วน ลองไปอ่านดู ฟังดู เราจะได้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ จะเป็นจุดที่สะดุดหูเราอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นอ่านแล้วไม่เจอ ฟังแล้วไม่ได้ยินเพราะว่าเราทำถึงตรงไหนกำลังมันจะจดจ่ออยู่ตรงนั้น พอหลวงพ่อ กล่าวถึงตรงนั้นมันก็จะกระทบใจเรา กระทบตาเรา แต่ถ้าเรายังทำไม่ถึงมันก็จะเลยไปเฉย ๆ ดังนั้นตำราอย่าทิ้ง โดยเฉพาะตำราของหลวงพ่อ ตำราของหลวงพ่อแทบจะทั้งหมดท่านแทรกวิปัสสนาญาณไว้เกิน ๘๐ % ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาเอง อ่านแล้วฟังแล้วตัดสินใจตามไปได้เลย ได้ประโยชน์ล้วน ๆ ถ้าเราไปพิจารณาเองบางทีปัญญามันไม่ถึง นึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าจะนึกต่อยังไง

              ดังนั้นภายในพรรษานี้ อยากจะให้พวกเราเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ ขี้เกียจมานานเต็มทีแล้ว ขี้เกียจจนพ่อตายไปทั้งองค์แล้ว มันจะขี้เกียจต่อจนอาตมาตายไปอีกก็เกินไป ขยันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ให้มีไฟขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องไปเกรงใจว่ากิเลสมันจะเศร้าหมอง ตีมันให้ตายไปเลย มันตายเมื่อไรเราก็สบายเมื่อนั้น ถ้ามันยังอยู่เมื่อไร ก็บังคับเราต่อไป กลายเป็นทาสของมันต่อไป พ่อสอนอย่างไร พระทำอย่างไร เพราะที่เป็นพระโยคาวจรอยู่ก็ทำอย่างนั้น
                 ท่านเคยอบรมพระ  ท่านบอกว่าพวกแกไปไหนก็บอกว่าท่า ซุง ๆ แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆไปอวดเขา ถ้าซุงผุ ๆ ไปอวดเขาก็ขายหน้าพ่อใช่ไหม? มันต้องเอาซุงดี ๆ ไป หรือถ้ามีฝีมือก็แกะสลัก เป็นเรือสุพรรณหงส์ไปเลย ถ้าทำได้ยังงั้นพ่อจะดีใจมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกไว้แล้วว่า ถ้าเราไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติท่านก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา ลูกอยู่ไหนพ่อก็อยู่ด้วยพร้อมจะช่วยลูกทุกประการท่านบอกไว้ชัดแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะใช้ผิดหรือไม่ก็โดนกิเลสหลอกแล้วก็ไปทำอย่างอื่น แทน
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.4.html

ถาม :    ......................
       ตอบ :  ปล่อยปลา ส่วนใหญ่ที่ปล่อยปัจจุบันนี้ก็พวก ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ พวกนี้จะอดทนกว่าเขา มันไม่ตายง่าย ๆ แล้วบางทีคนที่เราใช้ให้ไปปล่อย เขาไปเจอปลาหงายท้องผลึ่งแหงแก๋ก็กำลังใจตก เลยต้องหาที่มันอึด ๆ หน่อย แข็งแรงหน่อย เชื่อว่าปล่อยไปแล้วรอดแน่ ๆ เพราะพวกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอนี่ เขามีความสามารถพิเศษคือเก็บอากาศไว้กับเหงือกตัวเองได้เยอะ เขาจะเดินทางบนบกแห้ง ๆ นี่ได้ไกล ได้เป็นชั่วโมง ๆ เลย
              ดังนั้นที่เขาใส่กาละมังเอาไว้ มันมีน้ำขลุกขลิกอยู่บ้างเขาเลยอยู่ได้สบาย แต่ว่าปลาพวกนี้ก็แพง โดยเฉพาะปลาช่อนก็แพง คิดเป็นกิโลเลย ถ้าปลาไข่นี่จะแพง ฤดูนี้มันเลยแล้ว ปลาไข่นี่จะเป็นช่วงน้ำหลาก ๆ ใหม่ ๆ ฝนลงใหม่ ๆ นี่ปลาไข่จะออกเยอะ ถ้าช่วงนั้นราคาจะแพงหน่อย
       ถาม :   .............
       ตอบ :   เพิ่งกลับจากพม่ามา การไปพม่างวดนี้มันมีของแปลก ๆ หลายอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่นายกทักษิณอยู่ พม่า ทางด้านพม่าเขาเล่นไสยศาสตร์หนักกว่าที่เราคิด ทำทุกอย่างเลย กระทั่งวันเวลาที่ของเราเป็นฝ่ายไปเยือนว่าเมื่อไหร่ อย่างไร นี่มันจะเป็นฤกษ์ที่ดีแก่เขานะ ที่กิน ที่อยู่ อาหารอย่างไหนที่มันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกได้ว่าทำแล้วสะกด มันจะข่มฝ่ายไทยได้ทำเดี๋ยวนั้นหมด กระทั่งต้นไม้ที่นายกทักษิณปลูกก็ยังเอาต้นโศกมาให้ปลูก
       ถาม :   คนทำนี่เป็นผู้นำของเขาหรือครับ?
       ตอบ :  คือพวกหมอไสยศาสตร์จะเป็นคนแนะนำ แล้วทางด้านนี้ก็จะจัดการตามที่เขาแนะนำมา มันเล่นกันหนักขนาดนั้นจะอยู่ในลักษณะที่ว่ากดไทยไม่ให้โงหัวขึ้นเลย มีอะไรก็จะต้องอ่อนน้อมค้อมตัวยอมเขาอยู่ตลอดอย่างนั้น ดู ๆ แล้วมันน่าสนุกดี เราไปป่วนงานของเขาเลยไปโดนจับซะ เขาแจ้งข้อหาตลกมาก ข้อหาถ่ายรูปแขกของรัฐบาล เอาไปสอบสวน ๒ ชั่วโมง พอไม่ได้อะไรเลยมันต้องเอารถไปส่งเรา สบายไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่
       ถาม :   ............
       ตอบ :  คือของบ้านเขาเมืองเขานี่เรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องของโหราศาสตร์ เรื่องของการถือฤกษ์ถือยามของเขานี่ยังเข้มข้นมากเลย วันไหนวันจมวันไหนวันลอย ดีแก่ตัวไม่ดีแก่ตัว ควรเดินทางไม่ควรเดินทาง เขาทำอย่างนั้น ของเราเองเคยชินกับการมาถึงก็มีรถออกตามเวลานั่นไปถึงเขาบอกวันนี้วันไม่ดี รถไม่ออก เราก็เดี้ยงแล้วไปไม่ได้
                 โอ้โห...มันเอากันหนักขนาดนั้นนะ เขาเชื่อถือกันอย่างชนิดฝังจิตฝังใจเลย ของเราก็มีเขาเรียกยามอุบากอง อุบากองนั่นจริง ๆ คือ อูบาเก็ง อู ก็แปลว่าท่านหรือว่านายสำหรับผู้ที่อาวุโสหน่อย แกโดนจับได้ในสมัยที่รบกับไทยแล้ว ก็ติดคุกไทยอยู่แล้วก็เอาไอ้วิชานี้มาเผยแพร่ เขาดูตามฤกษ์ตามยามของเขานั่นแหละ พวกเราอาจจะเคยเห็นที่มันมีจุด ๆ แล้วก็มีกากบาท อะไรพวกนั้นแหละ ที่เขาว่า
                          ศูนย์หนึ่งอย่าพึ่งจร       แม้นรารอนจะอัปรา                 สองศูนย์เร่งยาตรา         จะมีลาภสวัสดี                 สามศูนย์จะพูนผล         จรดลลาภมากมี                 สี่ศูนย์พูลสวัสดิ์       ภัยพิบัติลาภไม่มี                 กากะบาดตัวอัปรีย์       เร่งจรรีจะอัปรา 
              ปรากฏว่าอูบาเก็งเขาแหกคุกตามฤกษ์ปลอดของเขา แล้วเขารอดไปได้แต่ว่าก่อนไปเขาถ่ายทอดวิชานี้เอาไว้ให้กับเพื่อนที่ติดคุก ด้วยกันที่เป็นคนไทย เพื่อนคนนั้นสักติดแขนเอาไว้ พอออกมาก็เอามาเผยแพร่เลยเรียกว่ายาม พม่าแหกคุกหรือยามอุบากอง แล้วคนไทยเราออกเสียงไม่ค่อยชัดนะ อูบาเก็งก็เลยกลายเป็นอุบากองไป 
              ทางด้านโน้นเขาถือฤกษ์ถือยามถืออะไรทุกอย่าง แล้วเขาคิดว่าเวลาเราทำอะไรนี่ทำแบบส่งเดช ไม่มีฤกษ์ไม่มียาม พระผู้ใหญ่ทางด้านโน้นแรก ๆ เขาไม่เชื่อถือหรอก มางานวางศิลาฤกษ์โบสถ์แล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี่ล่ะ เขาเห็นเราทำตามแบบพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าแบบพระพุทธเจ้าก็ได้เพราะว่าหลวงพ่อท่านต้องถามตรงอยู่แล้วว่าทำ อย่างไรการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุถึงจะถูกต้องและสมเกียรติยศที่สุดใช่ไหม? มันต้องมีการบรรจุโดยการปูผ้าขาวชั้นแล้วชั้นเล่าอะไรอย่างนั้น แล้วมีการบรรจุของมีค่าแล้วถึงเอาลงแล้วก็ปูผ้าขาวทับกี่ชั้นต่อกี่ชั้น ระหว่างแต่ละชั้นจะมีการใช้น้ำหอมโปรยเป็นพุทธบูชาอยู่ตลอดทำตามแบบนั้น
               ตอนแรกที่ไม่ได้ทำตามแบบนั้นก็แค่จะตั้งเครื่องบวงสรวง อาจารย์ใหญ่ยานิกะ พูดง่าย ๆ ว่าท่านจบมหาตั้งแต่ยังเป็นเณรอยู่ปัจจุบันอายุ ๖๙ ก็เท่ากับว่าพรรษาท่าน ๔๙ พรรษาแล้ว เป็นอาจารย์ของบรรดาครูบาอาจารย์ เจ้าอาวาสหรือระดับเจ้าคณะปกครองในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ท่านหมด ที่ท่านมานั่นท่านมาเพราะว่าท่านต้องการให้เราช่วยเหลือเกี่ยวกับการก่อ สร้างท่านบ้างท่านก็อุตส่าห์มา แต่มาแล้วความเป็นอาจารย์ใหญ่ ความเคยชินมันก็กร่างซะจนเคยตัว
              ของเราตกลงกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ววางศิลาฤกษ์แล้วก็จะบวชพระฉลอง ของท่านเองท่านจะบวชพระก่อน ปรากฏว่าฝนมันกระหน่ำตั้งแต่ตี ๔ จนกระทั่งฉันเช้าเสร็จแล้วมันก็ยังตกไม่เลิกเลย บวชพระไม่ได้ แต่ของเรารื้อโบสถ์ลงมาหมดแล้วทำแต่ฐานรอไว้อยู่อย่างเดียว มันจะมีแต่ฐานโบสถ์กับฐานวิหาร ๒ อย่าง ที่เทปูนรออยู่เรียบร้อยแล้วหลังคาไม่มี แน่จริงก็บวชไปซิ
              ฝนมันตกไม่เลิกท่านเองก็ดื้อจะบวชให้ได้ มาล็อบบี้เราเป็นการใหญ่ บอกว่าแล้วแต่ท่านอาจารย์ครับ ถ้าคิดว่าบวชได้ก็เชิญ แต่ว่าผมจะบวงสรวงตามแบบของหลวงพ่อ เราก็ตั้งโต๊ะกลางฝนปูผ้าขาวกลางฝนนั่นแหละ พอยกเครื่องบวงสรวงชิ้นแรกออกมาปุ๊บฝนก็หยุดเลย นั่นแหละท่านถึงยอมรับไปคุยกับพระผู้ใหญ่ด้วยกัน บอกว่าตอนนี้ยอมรับแล้วว่างานนี้มันสำคัญอยู่ตรงอาจารย์สุธัมมะคือหมายถึงเราแหละ กับครูบาน้อยเขาจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมรับนี่ 
              ทีนี้พอถึงเวลาแล้วเราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามแบบของหลวงพ่อ มันจะเป็นการบรรจุที่มีผ้าขาว ๙ ชั้น ู้มันชั้นแล้วชั้นเล่าสนุกสนานกันไปเลย ญาติโยมเขาโปรยเงิน โปรยทอง ข้าวตอกดอกไม้ อะไรกันเต็มไปหมด พอทำตามแบบแล้วเขาถึงได้รู้จริง ๆ แล้วของเรามันมีแบบอย่างของครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องอยู่ ก่อนหน้านั้นคิด ท่านคิดว่าคนไทยไม่ถือฤกษ์ถือยามอะไรที่ดีเหมือนเขา
              แต่ความจริงของเรา ถือฤกษ์สะดวกแต่อันไหนที่หลวงพ่อบอกว่าดีมันไม่เกินวิสัยของเราทำได้ไม่ยาก นักเราก็ทำตามนั้น เขาถึงได้ยอมรับว่าของเราก็เป็นศิษย์มีครูเหมือนกัน ไม่ได้มั่วอย่างที่ท่านคิด
                เสร็จแล้วท่านนาวิน บอกว่าทำไมอาจารย์ไม่บอกเขาว่าผมทำแบบนี้แหละผมถึงมีเงินมาสร้างวัดขนาดนี้ บอกว่าขืนบอกมัน มันก็ขอเราอ่วมเท่านั้น (หัวเราะ) อุตส่าห์ไปเอาคัมภีร์สวดกรรมวาจโบราณมา กรรมวาจ คือ กรรมวาจา ทางผ่ายพม่านี่เขาไม่ได้อวดความรู้ เก่งแค่ไหนแม่นอักขระแค่ไหนก็ตาม เขาจะถือตำราเข้าไป แล้วตำราเขานี่จะมีไม่กี่แผ่น คือว่าถ้าบวชพระก็จะเอาแผ่นที่สวดเกี่ยวกับบวชพระเข้าไป
               ถ้าหากว่าสวดกฐินก็จะเอาแผ่นที่สวดกฐินเข้าไป  สวดอัพภาณ ก็จะเอาแผ่นที่สวดอัพภาณเข้าไป คัมภีร์นี่มันเป็นคัมภีร์ที่เขาตั้งใจทำเป็นการบูชาพระรัตนตรัย จารึกในลักษณะว่าจารึกธรรมะเป็นการบูชาพระรัตนตรัย เขาทำงามมาก คัมภีร์ที่เอามาถวายท่านบอกว่าทางฝั่งพม่านี่เขาอยากได้กันมาก เพราะเป็นคัมภีร์เก่าโบราณ
              ส่วนใหญ่แล้วที่ได้ไปจะเอาไปหลอมทำเป็นวัตถุมงคล เพราะว่ามันเป็นโลหะไม่ทองเหลืองก็ทองแดง ปิดทองแล้วเขียนอักขระลายมืองดงามมากแถมยังวาดลวดลายอะไรเอาไว้อีก คือเขาทำเต็มที่เป็นการถวายเป็นพุทธบูชาคัมภีร์อันนี้ได้มากจากเจดีย์ไจ๊ซานลาน ไจ๊ซานลานแปลว่าสยามพ่าย คือแพ้เขา 
              สมัยพระนเรศวรยกทัพไปตั้งใจจะตีพม่า พม่ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็เลยออกอุบายว่า รบกันคนตายทั้ง ๒ ฝ่ายใช่ไหม ไม่ได้ประโยชน์อะไร เรามารบกันโดยธรรมยุติดีกว่า คือสร้างเจดีย์แข่งกันภายในเวลา ๑ คืน ถ้าหากว่าใคร สร้างเจดีย์เสร็จก่อนก็เป็นฝ่ายชนะ ถ้าพม่าชนะไทยต้องยกทัพกลับห้ามแตะต้องอะไรของพม่า ถ้าไทยชนะพม่าจะมอบบ้านมอบเมืองให้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลารบกัน คนไทยก็ตกลง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.5.html

ในเมื่อตกลงพม่าวางแผนอยู่แล้ว ให้ไทยสร้างที่เนินฝั่งเมืองมะละแม่ง ตัวเองข้ามฝั่งอ่าวเมาะตะมะไป สร้างทางเมืองเมาะตะมะ เราเล็งด้วยสายตาแล้ว อ่าวช่วงนั้นมันประมาณ ๓ ไมล์ มองแทบจะไม่เห็น ปรากฏว่าพอใกล้สว่างทางไทยมองไปเจดีย์พม่าเสร็จแล้วขาวโพลงเลย ก็ต้องยกทัพกลับตามสัญญา ปรากฏว่าพม่ามันแหกตาเอา มันใช้ไม้ไผ่ ทำโครงแล้วเอาผ้าขาวพัน ๆ ขึ้นไปเท่านั้น
              ของไทยเราสร้างไปตั้งค่อนองค์แล้วทิ้งเอาไว้พม่ามาบูรณะต่อเติม เติมยอดฉัตร เติมอะไรไปกลายเป็นแบบพม่า ถ้าเราเอามือปิดยอดฉัตรแล้วจะเห็นว่าเป็นองค์เจดีย์ไทย อันนี้ถ่ายรูปมาอยู่ในอัลบั้ม พอไทยเรายกทัพกลับพม่าก็รีบสร้างของมันให้เสร็จแล้วก็มาบูรณะของเราจนเสร็จ เรียกว่า เจดีย์สยามพ่าย มาจนทุกวันนี้ คือไทยแพ้เขานะ คราวนี้เจดีย์นี้พอมันผ่านมา ระยะเวลาจากโน่นมาจนถึงปัจจุบัน 
              สมัยพระนเรศวรมาจนถึงนี่ก็ประมาณเกือบ ๆ จะ ๔๐๐ ปีแล้วมั้ง...ใช่มั้ย ? กรุงเทพก็ ๒๐๐ กว่าปีแล้วนี่ กรุงธนบุรีอีก ๑๕ ปี อายุจะอยู่ราว ๆ สัก ๔๐๐ ปี เจดีย์เคยพังลงมาทีหนึ่งสิ่งที่เขาบรรจุไว้ถวายเป็นพุทธบูชาตอนสร้างเจดีย์ มันมีคัมภีร์กรรมวาจเล่มนี้อยู่ ทำด้วยทองเหลืองหรือทองแดงก็ไม่ทราบนะ ปิดทองอย่างงามเลย เขียนลาย เขียนอักขระงดงามมาก ใคร ๆ ก็อยากได้เพราะทางโน้นเขาถือว่าเป็นของขลัง เขามั่นใจถึงขนาดว่าอาวุธปืนชนิดไหนก็ตาม ยิงไม่ออก
              ส่วนใหญ่เขาจะไปหลอมทำเป็นวัตถุมงคลหรือไม่ก็ตัดไปม้วนเป็นตะกรุด อาจารย์ยานิกะเอามาถวาย บอกอาจารย์สุธัมมะความจริงแล้วคัมภีร์เล่มนี้มีโครงการจะถวายสมเด็จพระเทพฯ (มึงหาคุกให้กูแล้ว...หัวเราะ) มีโครงการจะถวายสมเด็จพระเทพฯ แต่ผมบอกลูกศิษย์ว่า ผมขอเถอะผมจะไปถวายอาจารย์สุธัมมะ จะขอเงินมาสร้างโบสถ์ซักหลัง ๕๐ แสนพม่าก็อยู่แล้วเขาว่าอย่างนั้น ๕๐ แสนพม่ามันก็ ๕ ล้านพม่าใช่มั้ย ? ๕ ล้านพม่านั่นแหละ เขาตีราคาขนาดนั้น
                เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ ท่านชาติชายเดินทางไปพม่า ครั้งแรกของท่าน ท่านไปถึงย่างกุ้งก็ปรากฏว่ามีเจ้าอาวาสวัดที่ย่างกุ้งสร้างวัดอยู่แล้วไม่ มีทุนทำต่อก็เอาคัมภีร์กรรมวาจเก่านี่มา แต่ว่าเล่มนั้นอายุประมาณ ๖๐ ปีเท่านั้นเขาตีราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาทไทย ๒๐๐,๐๐๐บาทไทยก็ราว ๆ ๒๐ แสนพม่า ปี ๓๘ ท่านชาติชายก็บอกว่าผมเองไม่มีปัญญาหรอกจะพาไปหาอาจารย์ของผม คราวนี้เขามาถึงเจดีย์แล้ว แล้วกลัวว่าท่านชาติชายจะหลอกมาเพื่อจะอมคัมภีร์นี้ซะ เขาก็เลยเดินทางกลับย่างกุ้งไป เราก็สบายไม่ต้องจ่าย ๒๐๐,๐๐๐
              ปรากฏว่างวดนี้ได้มาเก่ากว่าอีกประมาณ ๔๐๐ ปีได้ ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะทำหนังสือรับรองมาเลยว่าเป็นของที่ท่านถวายมา เราไม่ได้ขโมยวัตถุโบราณออกนอกประเทศ เขากลัวพวกด่านตรวจเจอ ปรากฏว่าเราถือเดินเทิ่ง ๆ มาไม่มีใครถามสักคนหนึ่งเลย หนังสือรับรองก็คากระเป๋าอยู่ไม่ได้ใช้เก็บอยู่ที่วัดไม่ได้เอามา
                 นั่นแหละสิ่งที่เขาเชื่อถือ ยึดถือมันยังมีอยู่มากต่อมากด้วยกัน แต่เราเองเอามาแล้วก็คือตั้งถวายบูชาหน้าพระเลย  อย่าลืมว่าคัมภีร์พระธรรมนะคุณ เอาไปหลอมเป็นวัตถุมงคลหรือเอาไปตัดทำตะกรุดก็คือทำลายพระธรรมใช่มั้ย ?  แต่ทางด้านโน้นของเขาเรื่องนี้ทำไมมันหยาบนักไม่รู้ เขาไม่ค่อยรู้สึกรู้สากันหรอกเขากะจะว่ากันท่าเดียวนั่นแหละ 
                พอรู้ว่าเราได้มาอาจารย์ใหญ่ธัมมเสนะย่องมาดู เป็นคนแรกเลย ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ใหญ่ยานิกะท่านบอกว่าคุณรอเอาไว้ตอนไม่มีคนแล้วค่อยแกะดูไม่งั้น ถ้าเขารู้เข้าเดี๋ยวพัง เขากลัวว่าเรื่องมันจะลือออกไป เพราะว่าคัมภีร์เล่มนี้พอได้มาเขาเก็บเงียบเลย รออยู่อย่างเดียววาระสำคัญ ๆ เมื่อไหร่แล้วถึงจะเอาออกมาโชว์กัน
                 อาจารย์ใหญ่แกไปตามเค้นคอลูกศิษย์แกเอามา ลูกศิษย์ลูกหาแกดังทั่วบ้านทั่วเมืองเลย โดยเฉพาะครูบาใหญ่เมียงจีงูเป็นพระที่ดังมหาศาล แต่ดังทางอะไรรู้มั้ย ? เป็นหัวหน้ากองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (หัวเราะ) นั่นลูกศิษย์ของอาจารย์ยานิกะท่าน ครูบาใหญ่เมียงจีงูนี่ท่านเก่งทางอภิญญาแต่ว่ามันเป็นโลกียอภิญญา อาวุธทุกชนิดไม่ได้รับประทานท่านหรอก
                คราวนี้พอทหารมันตั้งใจจะแยกจากกะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะมา เข้ากับฝ่ายรัฐบาล มันต้องจัดตั้งกองกำลังที่มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นให้เสร็จเรียบร้อย ก่อน ทางรัฐบาลถึงจะเชื่อถือและเซ็นสัญญากับตัวหัวหน้าใหญ่ มันไม่รู้จะเอาใครมันเอาครูบาเมียงจีงูมาเป็นหัวหน้ากองกำลังเล่นเอาพระ เดือดร้อน อยู่ ๆ มันลากเอาไปเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเฉยเลย
              ตอนนี้ทางด้านโน้นกะเหรี่ยงก็แยกออกเป็นหลายสายเหลือเกิน กะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะยังอยู่เขาเรียกทหารป่าเพราะว่าพวกนี้เข้ากับ รัฐบาลไม่ได้ เจอหน้าเมื่อไหร่ก็ยิงกัน
                วันที่เดินทางกลับนั่นพอเราไปถึงเวสาลีปั๊บก็ จะเข้าที่พัก เจ้าของแพพักมันก็ทำอะไรไม่ถูกมือสั่นตีนสั่นอยู่ เขาบอกว่าทหารป่ามันออกมาแล้วทหารพม่ามันมา มันเพิ่งจะยิงกันก่อนท่านมาอึดใจเดียวนี่แหละ ตัวเองยังตกใจมือตีนสั่นทำอะไรไม่ถูกอยู่ ขนาดทอนเงินยังทอนผิดทอนถูกเลย (หัวเราะ) แล้วก็ทหารกะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะส่วนหนึ่ง แล้วก็ทหารกะเหรี่ยนงพุทธภายใต้การนำของครูบาเมียงจีงูส่วนหนึ่ง ทหารกะเหรี่ยงพุทธภายใต้การนำของนายพลซอตูมูแฮส่วนหนึ่ง ใต้การนำของนายพลซอตูมูแฮนี่จะวางอาวุธต่อรัฐบาลโดยสิ้นเชิงเลย นายพลซอตูมูแฮความจริงเป็นผู้บังคับกองพัน พอยอมวางอาวุธต่อเขา รัฐบาลรับเข้าเป็นทหารก็เลยตั้งให้เป็นนายพล
               แล้วก็นายพลพะโด้อ่องซานนี่เป็นกะเหรี่ยงคริสต์ยอมวางอาวุธเหมือนกัน แล้วก็มาผู้พันซออ่องจีวินที่ สนิทกันมากทุกวันนี้ เข้า-ออกนี่อาศัยบารมีแกนะ รายนี้ยอมเซ็นสัญญาสงบศึกเฉย ๆ แต่ไม่ยอมวางอาวุธ จะมีของทางด้านครูบาเมียงจีงูที่ว่าไม่ได้วางอาวุธเหมือนกันแต่ว่ายอมเซ็น สัญญาเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาล เฉพาะกะเหรี่ยงอย่างเดียวก็แตกแยกออกจนนับไม่ถ้วน พวกนี้ก็เลยต้องเสาะหาสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุมงคลที่เขาเชื่อมั่นว่าขลังแน่ ๆ เอาไว้ติดตัว ของเราไปครั้งแรกไม่มีอะไร
              พอครั้งที่ ๒ พวกทหารกะเหรี่ยงพุทธพร้อมลูกน้องพร้อมผู้พันซออ่องจีวินมันมากันบานเลย สงสัยว่ามาทำอะไรกัน ? มันมาขอพระตอนที่ไปครั้งแรกเอาเหรียญสมเด็จองค์ปฐมไปฝากครูบาน้อยไว้ บอกว่าให้แจกญาติโยม ปรากฏว่าพวกนี้มันมาครูบาน้อยก็แจกพวกทหารไป เสร็จแล้วมันจับกะเหรี่ยงคริสต์ได้คนหนึ่งเอาไปสอบสวนตัดสินโทษประหาร เจ้านั่นก็กะว่ายังไงก็ตายแน่แล้วในเมื่อตายแน่แล้วมันก็สู้ มันแย่งอาวุธทหารกะเหรี่ยงพุทธแล้ววิ่งหนีเข้าป่า
              พวกนี้มันมัวแต่ตกตะลึงอยู่ยิงไม่ทันก็ต้องตามล่ากัน ล่าไปล่ามาไปถึงขุมเหมืองที่ขุดแร่เป็นเหมืองร้างมีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ไอ้นั่นมันซ่อนในขุมเหมืองพวกนี้ไม่รู้พอผ่านไปได้ยินแต่เสียงนกปืนมันสับ แชะ ๆ หาตัวไม่เจอ พอเจอก็รุมกันซัลโวซะเละเป็นบะช่อไปเลย พอไปตรวจปืนมันเขาบอกว่าหนาวเลย กระสุนทุกนัดมีแต่รอยสับหมดแต่ไม่ลั่นสักนัดเดียว
                สรุปได้ว่ามีของดีอยู่อย่างเดียวก็คือ เหรียญสมเด็จองค์ปฐมที่ ไปรับมาจากครูบาน้อย พออาตมาไปมันแห่กันมาอย่างชนิดที่เรียกว่ามีเท่าไหร่ก็ต้องให้มันเท่านั้น งวดนี้ผู้พันแกไม่ว่างแกมาอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์เห็นว่าคงจะเกี่ยวกับ เรื่องปิดด่าน-เปิดด่าน เขาให้ผู้กองวินหย่งไปแทน พาลูกน้องไป ๑๐ คน บอกใช้ยังไงก็ได้ใช้ให้เป็นทาสไปเลยก็ได้ คือเอามาดูแลรักษาในงานก็ได้หรือว่าใช้งานได้ทุกอย่าง คือคนเราเวลาศรัทธาแล้วกลายเป็นว่ามีอะไรก็ยอมทุ่มเท
              ตัวผู้พันเองแกเป็นนักศึกษาทนการกดขี่ของรัฐบาลไม่ได้เลยจับปืนเข้าป่า ๒๐ กว่าปี กว่าจะออกจากป่ามาก็แก่แล้ว ๔๐ กว่าจะ ๕๐ แล้ว ปรากฏว่าแฟนที่รักกันตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษายังรออยู่เลยก็เลยแต่งงาน กับคนแก่เป็นเพื่อนกันต่อไป (หัวเราะ) แก่ต่อแก่ด้วยกันเห็นบ่น ๆ ว่าอยากมีลูกก็คงไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ตัวเล็ก ๆ นิดเดียว
              ในฐานะของแกปัจจุบันนี้ลักษณะเหมือนกับเป็นแม่ทัพภาค เพราะว่าคุมตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ขึ้นไปยันแม่สอดเลย ทุกเมืองตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ถึงแม่สอด อยู่ภายใต้กองกำลังของผู้พันซออ่องจีวิน แกยังเป็นผู้พันอยู่เป็นนายพลไม่ได้ เพราะว่าแกไม่ยอมวางอาวุธ ถ้าวางอาวุธพม่ามันตั้งให้เป็นนายพลเลย
              อย่างนายพลซอตูมูแฮ นาพลพะโด้อ่องซานพอวางอาวุธมันตั้งให้เป็นนายพลเลย ทีนี้พอเขาถือในเรื่องเหล่านี้แล้วก็พยายามเสาะหากัน มีของดีที่ไหนมันก็ไปที่นั่น โดยเฉพาะจากฝั่งไทย พวกนายพลซอหม่อง นายพลขิ่นยุนท์นี่ ถึงเวลามีอาจารย์ดี ๆ จากฝั่งไทยข้ามไปเขาก็จะเชิญไปฉันที่บ้าน ให้ไปสวดไปอะไรในลักษณะตัดเคราะห์ ตัดกรรม เสริมดวงชะตาอะไรให้เขาทุกที
                ช่วงที่ไปพอดีตรงกับนายกทักษิณท่านไป เมื่อตรงกับนายกทักษิณท่านไป เราพอดีไปไหว้เจดีย์ชเวดากอง เจอคณะของนายกเข้าก็ถ่ายรูปนายก โดนสายลับมันล็อกตัวไป มันแจ้งข้อหาว่าถ่ายรูปแขกของรัฐบาล ก่อนที่มันจะปล่อยตัวมานั้นมันถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐาน ช่วงมันถ่ายรูปเรามันเกิดคันขึ้นมาหมั่นไส้มันเรื่องมากนักก็เลยตั้งใจว่า ไม่ให้ติด ไปกันพระ ๒ ฆราวาส ๒ รูปแรกตั้งใจว่าไม่ติดทั้งหมด ส่วนรูปที่ ๒ ตั้งใจไม่ให้ติดคนเดียว กว่ามันจะใช้งานฟิมล์ม้วนนั้นหมด กว่ามันจะล้างออกมา เราก็กลับมาเมืองไทยแล้ว
              คราวนี้มันคงพลิกแผ่นดินหาว่าพระองค์นี้อยู่ที่ไหน คราวหน้าเอ็งถ้ามาจะเตะมันทีละคน ๆ เลย ตอนนี้เราเป็นต่อแล้วนี่ พอถึงเวลาเขาคลานเข้ามาหาแปลว่าเขาต้องง้อเราแล้ว แต่ตอนนั้นมันจับเรา(หัวเราะ) ท่านนาวินเขาบอก อาจารย์ไปแกล้งมันอย่างนั้นนะมันมี ๒ อย่างคือว่า ถ้าไม่กลับไปไทยซะก่อนก็ไม่ได้กลับเลย มันไม่ให้กลับแน่มันเอาเก็บไว้ให้อยู่พม่านั่นแหละ
              คราวนี้ของเรามั่นใจว่ารูปของมันงานพวกนี้มันไม่ได้ใช้บ่อย มันก็คาม้วน คาฟิล์มคากล้องมันอยู่ กว่ามันจะใช้งานหมดเราก็มานอนตีแปลงเมืองไทยนานแล้ว ไม่กลัวมันหรอก นิสัยส่วนตัวสันดานมันเป็นอย่างนั้น หมั่นไส้ใครแล้วจะแกล้งเขาเรื่อย แกล้งมันมาหลายยกแล้วพวกพม่า แกล้งซะจนเข็ดไปตาม ๆ กันพวกเจ้าหน้าที่ที่หลวงพ่อมหามุนีที่ มัณฑเลย์ปีหลังสุดนี่มันเริ่มรู้แล้ว เจอหน้ามันขอพระอย่างเดียว เพราะว่าก่อนเวลาที่เขาจะเปิดเราเข้าไปนั่งสวดมนต์รออยู่ข้างในนานแล้วลูกขุนแผน วิชาขโมยมันต้องเก่ง
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.6.html

ถาม :    เก่งยังไงครับ?
       ตอบ :  วิชาแบบขุนแผนนี่ถึงเวลาแล้วจะไปไหนก็ไป แต่ว่าเขามีข้อแม้ว่า ห้ามหนีกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นถ้าพม่ามันจับเราต้องยอมให้จับ ถ้าหนีกฎหมายบ้านเมืองวิชาจะเสื่อม ขุนแผนกลางคืนสะเดาะกลอนไปนอนกับเมีย กลางวันก็รีบกลับไปนอนในคุกหนีกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ โบราณาจารย์ที่ท่านบัญญัติวิชาพวกนี้ขึ้นมาท่านป้องกันลูกศิษย์กลางเป็นเสือ เป็นสางไป เดี๋ยวไปปล้นไปฆ่าแล้วก็แหกคุกหนีอย่างเดียว ฉะนั้นต้องยอมรับโทษตามกฎหมายบ้านเมือง
                อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ไม่รู้ว่าพวกเราเคยได้ยินไหม? เป็นฆราวาสทรงอภิญญา ก็น่าจะอยู่รุ่นพ่อรุ่นปู่ของเรานี่เองแหละ อาจารย์ฟ้อนแกเก่งมาก ตำรวจไม่เชื่อ ชิหาว่าแกหลอกลวงชาวบ้านจับเข้าคุก ถึงเวลาก็ลั่นกุญแจหันหลังให้อาจารย์ฟ้อนก็หมู่ประตูไม่ได้ล็อค หมู่หันมาอ้าวกุญแจไม่ได้ล็กคดันกรึ๊บเข้าไปหันหลังให้ หมู่กุญแจยังไม่ได้ล็อค เจอไป ๓-๔ ที คุณหมู่ต้องยกมือไหว้ อาจารย์ครับขอร้องเถอะ (หัวเราะ) ถ้าอาจารย์แกล้งผมอย่างนี้เจ้านายเล่นผมตายแน่เลย แกถึงได้ยอม ก็เพราะเจ้านายมันไม่เชื่อมันส่งลูกน้องจับไปอยู่ที่นั่น
                นอกจากเรื่องของการถือฤกษ์ถือยาม ถือไสยศาสตร์โหราศาสตร์อะไรอย่างเข้มข้นแล้ว มันยังมีของแปลก ๆ เยอะไปเจอกล้วยไม่มีปลีที่ นั้น มันเป็นกล้วยที่ออกมาลักษณะเหมือนกับหัวปลี แต่พอปลีมันบานออกปุ๊บมันเป็นเครือเลย กาบมันจะร่วงหมดไม่มีหัวปลีห้อยอยู่ แบบกล้วยบ้านเรา มันมีกี่หวีมันก็มีเท่านั้นกาบเท่านั้น พอบานมันก็ร่วงหมด ดู แล้วก็บอกเออ ไอ้กล้วยนี้มันก้าวหน้าแฮะ มันประหยัดวัสดุการผลิตเหลือเกิน มีกี่หวีมันเอาแค่นั้น ไม่เหมือนบ้านเราเหลืออยู่ยาวปรี๊ดเลย แล้วก็เจอกาฝากมันเกาะต้นอะไรรู้ไหม ? ต้นมะเขือพวง มันเกาะไปได้ยังไง มะเขือพวงกินมันเท่านิ้วมือ สงสัยกาฝาก ๒ ต้อนนี้มันหน้ามือไม่ดี อะไรจะกินมันกินกระทั่งต้นมะเขือพวง
                ก็มานึกถึงเรื่องของธรรมะ บอกว่า อะไรก็ตามที่ ต่างไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่ามันผิดปกติ แต่ถ้าเรารู้ว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันก็เป็น ปรกตินี่เอง ฟังเข้าใจมั้ย อะไรที่ผิดไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่าเขาผิดปกติ แต่ความจริงปกติของเขาเป็นอย่างนั้น เพียงแต่เรายังไม่เคยเห็น แล้วก็ไปเจอความซื่อของคนพม่าเข้า
              โดยเฉพาะคนหนองบัวนี่ล่ะนะ ไปถึงใหม่ ๆ หน้าเห็นมัดก็ผัดเห็นใส่ผักบุ้งมา เราก็ เออ แปลกดี พออีกวันหนึ่ง มันผัดกลอยใส่ผักบุ้งมา เราก็อ๋อเลย มันทำตามที่โบราณเขาทำมา หรือทำตาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำมาโดนที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร ทำไปแล้วเป็นยังไง อีกไม่กี่วันมันต้มยำเห็ด มันใส่ข้าวมาเป็นข้าวต้มเห็นเลย เราก็นั่งหัวเราะมัน ถามคนทำเขาเป็นครูอยู่ บอกครูทำนี่เพื่ออะไรใส่ข้าวลงไปด้วย เขาบอกว่าให้อร่อย ความจริงมันไม่ใช่หรอก
              โบราณนี่ถ้าหากว่า ได้ผักได้หญ้าอะไรมาที่เขา ไม่มั่นใจว่ากินแล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า เขาจะเอาข้าวสุกใส่ลงไปด้วย ถ้าข้าวสุกกลายเป็นสีดำก็แปลว่ามีพิษกินไม่ได้ ทีนี้เขาเองเห็นผู้ใหญ่ใส่ก็ใส่ไปเรื่อยคิดว่าอร่อย ไม่ได้รู้หรอกว่าใส่เพราะอะไร ใส่ไปใส่มามันก็เลยเล่นซะกลายเป็นข้าวต้มเห็ด ส่วนเห็ดกับกลอยนี่ที่เขาใส่ผักบุ้งมา ผักบุ้งเป็นยาถอนพิษนะจำไว้ให้แม่น ๆ เลยว่า ถ้าโดนพิษโดนอะไรให้เอาผักบุ้งตำแล้วคั้นน้ำกรอกปากเข้าไปส่วนใหญ่มันจะถอน พิษได้
              คราวนี้ความไม่แน่ใจที่ไม่รู้จักเห็ดแต่ว่ามันจำเป็นต้องกินไม่งั้นมันไม่มี อย่างอื่นเขาก็เอาผักบุ้งผสมเห็ดนี่แหละแล้วก็ผัดเผื่อเหนียวไว้ก่อนเลย ถ้าคุณกินเข้าไปอันตรายมันก็น้อยเพราะผักบุ้งมันถอนพิษแล้ว มันเอากลอยมามันก็ใส่ผักบุ้งมาเราก็ไม่ว่าอะไร หรอก แต่หัวเราะมันตรงที่ว่าเห็ดโคนเรารู้จักอยู่แล้วมันใส่ผักบุ้งมาทำไมมันไม่ รู้จักพลิกแพลงเลยเหรอ แล้วที่ทำเห็นต้มยำมาก็เห็ดโคน เห็ดปลวกนั่นแหละ
              ในเมื่อรู้จักแล้วแต่พลิกแพลงไม่เป็นก็มานั่งคิดอยู่ว่า การที่เราเชื่อถือผู้ใหญ่ปฏิบัติตามโบราณโดยไม่คัดค้านเป็นสิ่งที่ดีอยู่ แล้ว แต่ว่ามันน่าจะศึกษาซะหน่อยว่าเขาทำเพื่ออะไร ถึงเวลามันจะได้หาเหตุหาผลได้จะได้ตอบคนอื่นได้ นี่มันหลับหูตาตามอย่างเดียวมันลักษณะเถรส่องบาตร เถรส่องบาตรนี่หลวงพ่อท่านเคยว่าทีหนึ่ง คือโบราณนี่พระเถระท่านมีบาตรอยู่ บาตรดินมันก็เป็นรูทะลุอยู่ คือเขาบอกไว้ว่าถ้าทะลุจนนิ้วมือลอดได้ก็เป็นอันว่าเปลี่ยนบาตรได้
              พระท่านเวลาบิณฑบาต ล้างบาตร เช็ดบาตร ท่านก็ส่องดูว่ารูมันใหญ่แค่ไหนแล้ว ลูกศิษย์ก็ไม่รู้เห็นอาจารย์ส่องทุกวันกูก็ส่องบ้างเขาก็เลยเรียกว่าทำ เหมือนเถรส่องบาตร คือทำตามโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเขาทำอะไร เพื่ออะไรไปเจอพวกพม่าเป็นเถรส่องบาตรซะหลายคน มันทำตามอย่างเดียวจริง ๆ แล้วก็กลัวการเปลี่ยนแปลงมาก งานไม่เคยทำมันก็ไม่บอกเรานั่งละล้าละลังทำอะไรไม่ได้อยู่นั่นแหละ เราให้เขาทำโครงหลังคาด้วยเหล็กเขาไม่เคยทำงานเหล็กมาเลยทำแต่ไม้ ก็ข้องใจมากว่าทำไมไม่ขึ้นหลังคาซะที
              จนกระทั่งไปแงะปากมันว่ามันแต่ทำอะไรกันอยู่ถึงไม่ขึ้นหลังคาซะที มันถึงได้สารภาพว่ามันไม่เคยทำ เราก็บอกว่าตัดยาวเท่านี้นะ ลักษณะเป็นฉากเท่านี้เป็นมุมเท่านี้อะไรอย่างนี้ มันทำอันที่ ๑ ไปแล้วมันก็วิ่งมาถามอันที่ ๒ ทำยังไง หลังคาเดียวกันนะ ทุกอันมันก็ต้องทำเหมือนกันซิวะ (หัวเราะ) มันต้องวิ่งมาถามว่ายังไง แล้ววางแปก็วางไม่เป็น พอโครงมันเสร็จแล้วมันก็ต้องวางแปเพื่อที่จะมุงกระเบื้องก็บอกว่า กระเบื้องนี่แผ่นหนึ่งมันยาว ๔ ฟุต คุณก็ให้หัวครึ่งฟุต ท้ายครึ่งฟุตเท่ากับว่าคุณต้องวาง แปตัวละ ๓ ฟุต
              คราวนี้มันคำนวณคานผิดแต่แรกแล้วนี่ ในเมื่อมันวางตรงผิดมามันก็ ๓ ฟุตไม่ได้มันก็จะพาซื้อวาง ๓ ฟุต ๓ ฟุตแล้ว ไอ้ตัวบนก็เหลือคืบกว่า ๆ บอกว่าในเมื่อมันไม่พอ ๓ ฟุตคุณก็หารไปเลยซิว่า ๔ ตัวมันลงเท่าไหร่แล้วก็พอดี ๆ ไปมันจะได้ดูสวยไม่ใช่ทะลึ่งวาง ๓ ฟุตไป ๒ ตัว แล้วเสร็จแล้วตัวสุดท้ายก็เหลือคืบกว่า ๆ มันผ่าวางไปอีกตัวจี้มัน มันก็ทำผิด พอทำผิดเราก็ต้องมาแก้ไข เสียหายหมด ดูแล้วเป็นไง กลุ้มใจแทนมั้ย ? งานนี้ยังต้องปล้ำกันไปอีกหลายยกเลย
       ถาม :   ...........
       ตอบ :   ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบคนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อยไป เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายกรายการ เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจนมีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่าคราวนี้ระหว่าง ชาวบ้านกับพระราชา เขาแข่งกันอยู่ในที แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้านเขา ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่มันจะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไหร่ ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา
              จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสด ๆ ถวายพระเลย บรรดาที่เป็นหัวหน้าท่านก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาปนะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาขอซื้อเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปนะนั่นแหละ
              เชื่อว่าคนเขาขายให้อยู่แล้วเราะปกติราคามันไม่ถึงนั้น ราคาไม่ถึงกหาปนะซะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปนะในปัจจุบันถ้าเทียบอันตรากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลนะ คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้าก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย
              พอมาถึงประตูเมืองบรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่านี่พ่อคุณเราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปนะจะขายมั้ย? พระสีวลีท่านได้ยินท่านก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาดถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้แพงจัง ลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ ไม่ขาย พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปนะ ๔, ๘ กหาปนะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐ กหาปนะนะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็บอกว่าแล้วท่านคิดราคาเท่าไหร่ถึงจะขาย
              พระสีวลีก็ถามว่าท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้ เขาก็บอกว่าจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากันต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควร แก่สมณะบริโภคให้มีให้ครบถ้วน ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวถึงได้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อเพื่อให้ได้ทำบุญ พระสีวลีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขายแต่ให้ไปแจ้งกับนายของเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรี ๆ เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและก็อนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้าย
              คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวครั้นแล้วพอพระทุกองค์ทั้ง ๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาลเพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา
              คราวนี้พระสีวลีท่าน ท่านไม่ได้เกาะกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่งเพราะว่า อดีตชาตินานมาแล้วท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็เป็นพระอรหันต์
              เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการเสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่าน แล้วจะขาด มีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็ม ๆ
               ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยม พระเรวัตตะที่เป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตรท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าตะเคียนถามทางกับพระอานนท์ว่า หนทางที่จะไปถึงพระเรวัตตะนั้นไกลมั้ย? พระอานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นทางตรงปราศจากโคจรคามเพื่อบิณฑบาตมีแต่เหล่าอมนุษย์เป็นระยะทางแค่ ๖๐ โยชน์ แต่ถ้าเป็นทางอ้อมสะดวกสบายด้วยหนทางและการโคจรบิณฑบาตเป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ มากกว่าเท่าหนึ่ง พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ สีวลีได้ไปด้วยหรือไม่? พระอานนท์บอกว่าไปด้วยพระเจ้าข้า เพราะเขามีการจัดพระเพื่อตามพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ถ้าสีวลีไปด้วยเราไปทางตรงกัน ไม่ทีที่บิณฑบาตไม่มีอะไรมีแต่อมนุษย์ก็ไปกัน
              พอท่านไปปรากฏว่าบรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยร่วมบุญในครั้งนั้น พอเห็นเข้าก็พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเดินทางไปในป่าแล้ว ก็รีบไปตกแต่งสถานที่ โยชน์หนึ่งตั้งศาลาไว้หลังหนึ่งให้เพียงพอกับพระทั้งหมด โยชน์หนึ่ง เตรียมสถานที่เอาไว้ โยชน์หนึ่งเตรียมสถานที่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าระยะทาง ๖๐ โยชน์ ปกติพระพุทธเจ้าเดินทางครึ่งวัน งวดนั้นเดินซะ ๒ เดือน
              แล้วเรื่องของอานุภาพบุญก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากปกติใคร ๆ ก็จะต้องแย่งกันทำบุญถวายต่อพระพุทธเจ้าแต่ปรากฏว่าบรรดาเทวดาที่เป็นเพื่อน ร่วมบุญในครั้งนั้นตั้งหน้าตั้งตาเอามาถวายพระสีวลีองค์เดียว แต่ว่าของนั้นก็มากพอที่พระสีวลีถวายต่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด แล้ว ยังเหลือเฟืออยู่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ๒ เดือนระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ปรากฏว่างวดนั้นเดินซะ ๒ เดือนรอเทวดาเขาทำบุญ
               คราวนี้พระสีวลีนิพพานไปแล้วหลวงพ่อท่านบอกว่าผล บุญใดก็ตามนะที่เป็นของพระอรหันต์ท่าน โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่เป็นเอตะทัคคะคือ มีความเป็นเลิศพิเศษในทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราบูชาท่านผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้วเพราะท่านเข้านิพพานแล้วผลบุญนั้น จะมีสำเร็จแก่เราด้วย ดังนั้นเขาถึงได้บอกกันว่าคนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมากคือ ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้วเข้านิพพานไปแล้วกุศลที่ท่านทำก็เลยตก ถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.7.html

ถาม :   ............
       ตอบ :  ลองดูมั้ย เมื่อกี้เค้าทำบุญปิดท้ายรายการน่าลองดูบ้าง สมบูรณ์ บริบูรณ์ เดี๋ยวเอาไว้ตอนผ้าป่าถวายหลวงปู่แล้วกันลูกศิษย์หลวงพ่อยุคเก่า ๆ จะรู้ส่วนใหญ่เขาจะแย่งกันปิดท้ายไปเรื่อย ๆ มันก็เลย ปิดกันไม่รู้จบซะที จนกว่าหลวงพ่อจะบอกพอแล้วนั่นแหละถึงจะหยุดกัน เดี๋ยวงวดนี้พวกเราไปผ้าป่าแล้วก็ไปลองดูว่าใครจะปิดท้ายกว่ากัน
              บางทีหลวงพ่อท่านก็หัวเราะประเภท ๓ หมื่นกว่า ๆ เท่าไหร่ กว่าเท่านั้นร้อยเท่านี้ร้อยเติมไปเติมมาให้ครบพัน หลวงพ่อบอกว่ายังไม่ครบ ๔ หมื่นเลย (หัวเราะ) เป็นลักษณะนั้นแหละก็เติมกันไปเรื่อย เติมไปเติมมามันมีแต่เกิน มันไม่มีขาดมันก็ต้องเติมกันไปเรื่อยเศษสตางค์มันมีทุกที
       ถาม :   ...............
       ตอบ :  อานิสงส์พิเศษต่าง ๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกมา ส่วนใหญ่แล้วพวกคนเก่า ๆ เขารู้แต่บางทีก็จำแล้วลืมไม่ค่อยได้จดกันเอาไว้ อันนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จด ๆ กันเอาไว้หน่อย เผื่อคนรุ่นหลังเขามาอ่านดูเขาจะได้รู้บ้างว่ามีอะไร
       ถาม :     แล้วถ้าอย่างไปแย่งกันทำสังฆทานเป็นคนแรก?
       ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็อานิสงส์เหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัญญาโกณฑัญญะ บรรลุมรรคผลเป็นองค์แรกสุดในพุทธศาสนา ในอดีตชาติ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระสุภัททะ เป็นพี่น้องกัน ท่านมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งท่านก็แบ่งกันคนละครึ่ง พระอัญญาโกณฑัญญะพอลงมือไถที่เพื่อทำนาท่านก็ทำบุญ หว่านกล้าท่านก็ทำบุญ ข้าวตกรวงท่านก็ทำบุญเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ ขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ท่านทำตลอด ทุกระยะนะ
              ส่วนพระสุภัททะนี่ท่านทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว อานิสงส์นี่มันข้ามชาติมากี่หมื่นกี่แสนชาติก็ไม่รู้ มาถึงชาติสุดท้ายพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุมรรคผลเป็นองค์แรกในพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะหวิดไป พระพุทธเจ้าป่วยหนักแล้วใช่มั้ย กำลังพักผ่อนอยู่ที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ สุภัททะซึ่งเป็นปริพาชกคือนักบวชศาสนาอื่น ตั้งใจจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหาธรรมกับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ไม่ให้ เข้าแล้ว พระอานนท์นี่เลิศทางพุทธอุปัฏฐากท่านย่อมรู้ว่าเวลาไหนควรเวลาไหนไม่ควรเป็น พระองค์เดียวที่เป็นเลิศถึง ๕ อย่าง มีสติ มีคติ มีธิติ มีความเพียร แล้วก็เป็นพุทธอุปัฏฐาก ไม่มีใครมีมากว่านี้อีกแล้ว อย่างเก่งก็ ๒ ทาง
               อย่างเช่นพระสุภูตะเถระ เลิศในทางอยู่อรณวิหาร ก็คือการเข้านิโรธสมาบัติ และก็เป็นทักขิเณยยบุคคล คนเข้านิโรธสมาบัติก็ต้องเป็นบุคคลที่สมควรแก่การถวายทานอยู่แล้วใช่ไหม อันนี้เลิศ ๒ อย่าง มีพระอานนท์องค์เดียว ๕ อย่าง ในเมื่อท่านเลิศในพุทธอุปัฏฐาก เลิศทางผู้มีสติ มีคติ ท่านก็ย่อมรู้ว่า เวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควร ก็บอกว่า สุภัททะปริพาชกนั้นไม่ควรจะเข้าพบพระพุทธเจ้าเพราะว่าทรงพักผ่อนแล้ว พระพุทธเจ้าได้ยินปุ๊บบอกว่าอานันทะดูก่อนอานนท์ให้เธอเข้ามาเถอะตถาคตรอเธอ อยู่
              พอท่านทูลถามปัญหาธรรมพระพุทธเจ้าแก้ให้ท่านก็บรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าท่านก็ประทานเอหิภิกขุคือ บวชให้ด้วยตัวเอง ท่านประทานโอวาทว่าจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้วจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด คือเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ท่านจะบอกว่า จงปฏิบัติเพื่อความถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
              ในเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เลยบอกว่าจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด เป็นสาวกองค์สุดท้ายในพุทธศาสนาที่บวชกันในลักษณะนั้น อานิสงค์ก็จะเหมือนพระโกณฑัญญะแย่งกันบรรลุก่อนดูซิใครจะหัวแตก วิ่งแย่งกันทำบุญชนกันหัวแตกเลย
              จำไว้ให้แม่น ๆ นะทำบุญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินมาก ๆ ไม่ได้อยู่ที่ของมาก ๆ หากอยู่ที่กำลังใจในการสละออกของเรา เราทำบุญเพื่อตัดโลภะ คือความโลภของเรา เราทำบุญเพื่อสร้างทานบารมีของเราให้เต็ม คนเขามีเยอะเขาทำบุญมาก ๆ เราไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอกโมทนาตามเขาเลย เรามีแค่ไหน เราทำตามกำลังของเราไม่ให้ตนเดือดร้อน ไม่ให้คนรอบข้างเดือดร้อน ถือว่าใช้ได้แล้ว มันไม่ได้มากไม่ได้น้อย มันสำคัญตรงการสละออก
       ถาม :     .................
       ตอบ :  เรื่องของการหลับตามันมืดเป็นปกติอยู่แล้วเราอย่าไปใส่ใจมัน ที่มันปวดหัวมันมีอยู่ ๒ ทาง อย่างแรก เขาเรียกว่า ขันธมาร คือร่างกายมันคอยขวางไว้ไม่ให้ทำความดี อย่างที่ ๒ ก็คือเราตั้งใจจะให้มันสว่างเราก็เลยใช้สายตาไปเพ่งเอา เราใช้สายตาไปยิ่งเพ่งมากเท่าไหร่ มันจะทำให้ประสาท เครียดและปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น เราหลับตาสบาย ๆ นึกเหมือนกับย้อนเข้าไปอยู่ข้างในของเรา ให้ใจของเราอยู่สุดของตรงลมหายใจเข้า เขาเรียกว่าศูนย์กลางกาย มันเรียกยาก
              เป็นอันว่าเราหายใจเข้าไปสุดตรงไหนก็นึกถึงตรงนั้น แล้วเวลาหายใจเข้านึกว่าพุท ให้ลงไปสุดตรงนั้น หายใจออกนึกว่า โธ ให้ออกจากตรงนั้นมา เอาใจจดจ่ออยู่ที่เดียวไม่ต้องให้เคลื่อนไปไหน ตั้งใจมองสบาย ๆ นึกเหมือนกันกับเรามองอยู่ในท้องของเรา ลมมันลงไปสุดตรงไหนนึกถึงตรงนั้นแหละ พุทเข้า โธออก นึกตามไปแค่นี้พอนะ
       ถาม :  นั่งอย่างนี้เขาเรียกว่านั่งทับสมาธิใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :  เรียกว่า สมถะภาวนา คือการทำใจให้สงบก่อน พอใจมันสงบ แล้วต่อไปมันมีการคิดต่อเพื่อพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของโลกนี้และร่าง กายเขาเรียกวิปัสสนา
       ถาม :  พอนั่งทีไรแล้วปวดหัวทุกทีเลย
       ตอบ :   นั่นอาจจะเป็นเพราะเราทำผิดวิธี
       ถาม :  นั่งทับสมาธิแล้วใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ มันอาจเป็นเพราะเราทำผิดวิธี บางทีเราอาจจะใช้สายตาเพ่งมันอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็เรามีบุญเก่าจำนวนมาก ถ้าเราเริ่มทำมันจะได้ดีเร็ว เขาจะพยายามขวางเรา พวกมารเขามีอยู่ ๕ อย่างที่จะขวางความดี อันนี้อย่างหนึ่งเขาเรียกขันธมาร คือร่างกายมันช่วยขวางด้วย ถ้าหากเราไม่ทำความดีมันก็ปกติ ถ้าทำความดีเมื่อไหร่มันชวนให้เจ็บป่วยอยู่ตลอด
       ถาม :  อ่านจากหนังสือหลวงพ่อฤๅษี มีนะคะใช้วิธีการเพ่งกสิณ
       ตอบ :   ถ้าเพ่งกสิณเราต้องหาวัตถุมาจ้ะ
       ถาม :  อย่างนี้เราต้องฝึกพุทโธให้คล่องก่อนใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :  ฝึกให้คล่องก่อนได้จะดี แล้วการเพ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช้สายตาเพ่งอะไร ลืมตามอง แล้วหลับตาลงนึกถึง พอภาพหายไปลืมตาดูใหม่แล้วหลับตาลงนึก ไม่ใช่ไปนั่งจ้องนะ คำว่าเพ่งคือจิตใจมันจดจ่ออยู่ไม่ใช่ใช้สายตาเพ่ง เดี๋ยวจะเข้าใจผิดพอเราภาวนาจนคล่องตัวแล้ว แล้วค่อยไปทำกสิณ เพราะคำภาวนากสิณมันยาว ถ้าเราไม่คล่องตัวมันจะไม่ได้
       ถาม :  แล้วนะมะพะธะ...?
       ตอบ :   ?นะมะพะธะ? เป็นการฝึกทิพจักขุญาณ ฝึกตาทิพย์ ฝึกถอดจิต ถอดกายเพื่อไปนรก ไปสวรรค์
       ถาม :  เราต้องฝึกพุทโธไปก่อนใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :  ไม่ต้องฝึกพุทโธก่อนก็ได้เพราะ ?นะมะพะธะ? มันไม่ยาว หายใจเข้านึก ?นะมะ? หายใจออกนึก ?พะธะ? แต่ว่าพวกนี้จะโลดโผนหน่อยบางทีตัวสั่นพั่บ ๆ เหมือนกันเจ้าเข้า แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ มันเกิดจากการดึงกันระหว่างกายในกับกายนอก ตัวในมันอยากไป ตัวนอกมันก็กลัว มันก็รั้งกันไปรั้งกันมาก็ดิ้นไปดิ้นมา ถ้าหากว่าตัดสินใจได้ปุ๊บไปเลยมันก็เลิกดิ้น
       ถาม :  อย่างนี้ต้องฝึก ?นะมะพะธะ? หรือว่าฝึก ?พุทโธ? ดีคะ?
       ตอบ :    อยู่ที่เราชอบอย่างไหน ถ้าเราต้องการรู้เห็นไม่ชอบอยู่เฉย ๆ กำลังใจสงบเป็นที่พอใจแล้วก็ใช้ "พุทโธ"
       ถาม :  ฝึกได้ทั้ง ๒ อย่าง ใช่มั้ยคะ?
       ตอบ :  ได้ทั้ง ๒ อย่างจ้ะ อยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหน ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปเราก็ใช้ ?พุทโธ? เพื่อใจมันจะได้สงบ ถ้าเราต้องการฝึกอย่างเป็นทางการเพื่อถอดจิตถอดกายเราก็แบ่งเวลาใช้ ?นะมะพะธะ? ได้
       ถาม :  จำเป็นมั้ยคะว่าหนูพยายามนั่งมาตั้งนานแล้วแต่มันก็ยังไม่ไปไหนสักทีหนึ่ง?
       ตอบ :   จริง ๆ แล้วเขาไม่ให้คิดอย่างนั้น การนั่งสมาธินี่ให้เราคิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดขึ้นอย่างไรมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราทำใจอย่างนี้ได้จะได้เร็วมาก แต่ถ้าเราไปทำเพราะอยากตัวอยากมันตัดไปเยอะ โอกาสที่จะเกิดผลมันน้อย เราอยากเห็นนั่นเห็นนี่ อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ อยากได้นั่นอยากได้นี่ มันจะตัดหมด โอกาสมันน้อย
              เพราะฉะนั้นทำใจสบาย ๆ เรามีหน้าที่ภาวนา มีหน้าที่นั่งดูลมหายใจเข้า-ออก ผลจะเกิดอย่างไรเรื่องของมัน ถ้าทำใจได้อย่างนี้จะเร็วมาก สำคัญมันอยู่ตรงนี้เอง เวลาทำอย่าไปอยากเพราะถ้าความอยากมันขึ้นมามันกั้นหมด
       ถาม :  เวลาทำเขาบอกว่าต้องมีคนมาคุมสมาธิถึงจะทำได้ดี?
       ตอบ :   ถ้ามีอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ได้จะดีจ้ะ
       ถาม :  จะทำได้ดี?
       ตอบ :  ไม่จำเป็นหรอกจ้ะ มันอยู่ที่เรา ถ้าเรากล้าทำเองได้ก็ไม่ต้องมีอาจารย์ เพราะว่าทุกอย่างถ้าเราทำแล้วมันมีแต่ผลดีทั้งนั้น ยกเว้นว่าเราทำผิดวิธีถึงจะเป็นผลร้าย
       ถาม :  เวลาหนูนั่งทีไรรู้สึกปวดหัวทุกทีเลย?
       ตอบ :  อันนี้ต้องลองแก้ดูว่าเวลาเรานั่งแล้วเราตั้งใจไปเพ่งอะไรหรือเปล่า โดยใช้สายตาตั้งใจจะให้มันสว่างหรือตั้งใจจะเห็นโน่นเห็นนี่มั้ย? ถ้าเราทำอย่างนั้นก็ให้เลิกซะ กำหนดใจสบาย ๆ เหมือนเรานึกย้อนเข้าไปในตัวของเราถึงจุดศูนย์กลางกาย ลองสูดลมหายใจเข้า-ออก เอาใจจดจ่ออยู่ตรงนั้นแล้วก็นึกถึงลมหายใจเข้า-ออก มันเข้าไปสุดตรงนั้น มันออกก็ออกจากตรงนั้น นึกอยู่แค่นั้นก็พอ
       ถาม :  แล้วบางทีนั่งมันเหมือนตกจากทีสูงค่ะ?
       ตอบ :  อันนั้นมันเริ่มจะเป็นฌานแล้ว พอสมาธิเริ่มทรงตัวถึงระดับหนึ่งเขาจะเรียกว่าฌาน พอกำลังมันจะเริ่มเป็นฌานจิตมันหยาบไปหน่อยสมาธิมันเกาะไม่ติดมันจะพลัดจาก ฌานลงมา อาการมันหวิวมันเหมือนตกจากที่สูงลงมา เราก็จะสะดุ้งแล้วบางทีก็กลัวแล้วมันจะเลิกไปเลย ความจริงขั้นตอนนั้นมันกำลังจะได้ดีอยู่แล้ว
       ถาม :  พอสะดุ้งทีไรก็ต้อง?
       ตอบ :   ก็เลิกทำ....ทำต่อไปเรื่อย ๆ จ้ะ พอใจมันละเอียดขึ้นมันเกาะติดมันก็จะทรงเป็นฌาน จิตก็จะสุขเยือกเย็นไปเลย ข้ามอีกนิดเดียวเท่านั้นเองต่อไปอีกนิดเดียว ต่อ ไปเราทำก็อย่าคิดว่าขั้นตอนนี้มาแล้ว เราจะได้อย่างนั้นไม่ต้องไปคิด มีหน้าทีภาวนาไปอย่างเดียว มันจะเกิดไม่เกิดช่างมัน แล้วจะได้เร็ว
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

Nobody

http://grathonbook.net/book/12.8.html

ถาม :  ปัจจุบัน เรื่องของวิญญาณ...?
       ตอบ :   มีอยู่ คำว่า วิญญาณของเรานี่มันหมายถึงจิต การ เกิดของจิตนี่มันยากมันลำบากเต็มที เพราะว่ามันจะต้องประกอบไปด้วยธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะจุดสำคัญที่สุดคือธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้จับเข้าไปเมื่อไหร่ มันถึงปรากฏเป็นจิตขึ้นมา โอกาสเกิดได้แต่ว่าเกิดได้ยากเต็มทีประมาณระยะเวลาไม่ถูก
              แต่ว่าขนาดเดียวกันที่อยู่ข้างล่างคือเป็นสัตว์นรกอยู่แต่ละขุม เอาโลกเราทั้งโลกหย่อนลงไปในนรกขุมหนึ่งก็ประมาณส้มลูกหนึ่งในแข่งขุมเดียว นะ แล้วส้มทั้งแข่งที่เหลือมันเยอะเท่าไหร่ มันมากกว่าถึงขนาดนั้นมันก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อย ๆ พอเขาพ้นกรรมขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมนุษย์อีกที มนุษย์จะมีการเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันว่าทั้งหมดนี้เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำดี ทำชั่ว กันบ้างไปเรื่อย ๆ จนวาระสุดท้ายก็ทำดีมากกว่าชั่ว ในที่สุดก็หลุดพ้นเข้านิพพานไป
                 แต่ว่าที่ไปแล้วทั้งที่เข้านิพพานไปแล้ว ทั้งที่เป็นเทวดา พรหม ถึงมนุษย์รวมกันยังไม่เท่ากับในนรก อันนี้เขาเยอะกว่ามาก แล้วการเกิดของจิตก็เกิดยากเกิดเย็นเหลือขนาด แต่ว่า มันมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน มันเหมือนกับว่าแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมต่างกัน เอาเป็นว่าทองก็แล้วกัน ทองนี่หลวงพ่อท่านบอกว่าประกอบไปด้วย ตะกั่วเถื่อน ๆ นี่ก็คือดีบุกนะ ตะกั่วเถื่อนตะกั่วป่านั่นแหละ ทองแดง สารปากนกแก้ว แร่เพียงไฟ ๔ อย่างนี้ถ้ามาผสมกันในอันตราส่วนที่เหมาะสมจะเป็นทองคำ
              คนเราก็เหมือนกัน ในสภาพของจิตนี่มันก็จะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ในจักรวาลที่มันหมุนเวียนไปมาตามแรงโคจรต่าง ๆ ของมันจะผสมกันไปผสมกันมา สำคัญที่สุดธาตุรู้มันจับปั๊บเข้าไปมันก็เกิดเป็นจิตขึ้นมา พอเกิดเป็นจิตขึ้นมามันก็ต้องแสวงหาที่อยู่มันก็ต้องประกอบไปด้วยกายที่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณนี้รองรับมัน แต่ว่าโอกาสที่มันจะเกิดในลักษณะนี้มันยากเต็มที
       ถาม :   แล้วอย่างต้นไม้?
       ตอบ :   ต้นไม้มีแต่ประสาทที่เรียกว่าวิญญาณไม่มี จิต มันเป็นแค่ประสาทรับรู้เฉย ๆ คือรู้ว่าจะต้องหาอาหารยังไง แล้วก็รับรู้ในแสงสว่างได้มีประสาทสัมผัสแต่จิตไม่มี ในเมื่อต้นไม้ไม่มีจิตเราก็รู้อยู่ว่าการตัดต้นไม้การตัดหญ้ามันไม่เป็นบาป
                แต่คนสมัยโบราณเขาคิดมากเขาคิดว่า มันมีชีวิตอยู่ ภูตคาม คือสิ่งที่มีชีวิต แผ่นดินก็มีชีวิตเหมือนกัน เขายกว่าต้นไม้มีชีวิต แผ่นดินมีชีวิต ดังนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลเกี่ยวกับพวกนี้ท่านบัญญัติเพื่อ เอาใจคนในยุคนั้นว่าถ้าภิกษุขุดแผ่นดินต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุพรากของเขียวที่อยู่กับที่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่านักบวชศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขาเชื่ออย่างนั้น ถ้าเราไปขัดเขาการเผยแพร่ศาสนาจะลำบาก
              ท่านก็เลยบัญญัติเพื่อเอาใจเขาเอาใจชาวโลกเพื่อให้เข้ากับลัทธิความเชื่อของ เขาโดยการไม่ใช้ภิกษุขุดแผ่นดิน เพื่อเขาจะได้ไม่ตำหนิโทษ แล้วก็ไม่ให้ภิกษุพรากของเขียว เพื่อไม่ให้เขาตำหนิ ถ้าเขาตำหนิโดยไม่รู้แล้วบังเอิญเป็นพระดีเจ้านั่นซวยไป เลยกันเอาไว้สำหรับพวกเขาด้วยกับคนนอกศาสนาด้วย ต้นไม้มีเพียงประสาท รับความรู้สึกเท่านั้นเขาเรียกว่าวิญญาณในภาษาบาลีไม่ใช่จิต
       ถาม :   แล้วอย่างศาสนาอื่นล่ะครับ คนที่นับถือศาสนาอื่น?
       ตอบ :   จะนับถือศาสนาไหนก็ตามนรกเดียวกันสวรรค์เดียว กัน ถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกในสถานที่เหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่า อุปทานความยึดมั่นในแต่ละศาสนาในแต่ละระเบียบประเพณีของเขาไม่เหมือนกันก็ เลยทำให้เขาเห็นนรกสวรรค์ต่างกันไป แต่มันมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ 
              ขณะเดียวกัน สวรรค์เป็นสถานที่เสวยความดีที่ตัวเองทำมา ถ้าเทวดาฝรั่งไปแต่ตัวเหมือนลิเกนุ่งชฎาแหลมเปี๊ยบฝรั่งมันไม่รู้จักหรอก ฝรั่งมันนึกว่าละครหลงโรงมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ทว่าไปชุดขาวรุ่มร่าม ๆ มีวงแสงบนหัวมีปีก เล็ก ๆ ซะหน่อยละก็รู้ว่าอันนี้คือเทวดา เทวดา เขาเลยต้องแสดงให้เห็นในลักษณะนั้น ถ้าแสดงลักษณะอื่นเขาจะไม่รู้ มันเป็นความยึดมั่นตามประเพณี ตามความเชื่อถือของเขา เขาต้องทำอย่างนั้น
       ถาม :   เป็นที่มา...?
       ตอบ :   ส่วนของเราถ้าไปทำอย่างนี้เรารู้แล้วใช่มั้ยเทวดาฝรั่ง ขึ้นข้างบนแล้วมันไม่มีเชื้อชาติหรอก มันเป็นเทวดาเหมือน ๆ กัน บอกเขาว่าขอรู้ขอเห็นตามความเป็นจริงเขาก็จะแสดงเต็มบุญเต็มบารมีให้เรารู้ หลวงพ่อท่านบอกเคยขึ้นไปเจอพระเยซูใส่ ชุดแบบฝรั่งรุ่มร่าม ๆ ที่มันใช้ผ้าขาวพันตัวมา หลวงพ่อก็บอก เฮ้ย ! ข้างบนนี้ไม่มีนะโว้ยฝรั่ง พระเยซูท่านบอกถ้าผมไม่ทำแบบนี้ท่านก็ไม่รู้จักผมนะซิครับ
       ถาม :   แล้วคนที่นับถือศาสนาอื่น โอกาสที่จะทำบุญต้องก็น้อยกว่า?
       ตอบ :  น้อยกว่า แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยก็ไม่ใช่ อย่างศาสนาพราหมณ์เขาได้ถึงสมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนาของเขา โดยเฉพาะภาวนาถือว่าเลิศมาก เพียงแต่เขาขาดปัญญาในจุดสุดท้ายคือไม่รู้จักนิพพาน ไม่เห็นอริยสัจเลย ไม่รู้จักพระนิพพาน มันเหมือนกับว่าถ้าเป็นสิ่งประกอบสักอย่าง เอาเป็นอันว่าของสูงที่สุดคือมงกุฎแล้วกัน พระพุทธเจ้าท่านหาเพชรยอดมงกุฎได้ในขณะที่ศาสนาอื่นเขาหาไม่เจอเมื่อเอาเพชร ยอดมงกุฎประดับลงไปความสวยงามสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างก็เกิดขึ้น
                แต่ตราบใดที่ยังไม่มีเพชรยอดมงกุฎคือ อริยสัจ ๔ ที่ท่านตรัสรู้มันก็สามารถที่จะสมบูรณ์แบบได้ อย่าดูถูกศาสนาอื่น ในสัตกนิบาตอังคุตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงศาสดานอกศาสนาคนหนึ่งคือ อารกะ อารกะศาสดานี้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตท่านบอกว่าชีวิต เหมือนกับต่อมน้ำคือ เหมือนฟองน้ำผุดขึ้นมาแล้วก็แตก เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ ปรากฏวูบเดียวก็หายเลย เหมือนลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขา พรวดมาแล้วก็ผ่านไปเลย เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟคือ ไหม้หมดแน่ ๆ ในระยะเวลาอันไม่นาน เหมือนโคที่เขานำไปฆ่าตายแหง ๆ หมดทางเลี่ยง นั่นศาสดานอกศาสนาสอนศิษย์ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นดูถูกเขาไม่ได้ ศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ
              สมัยนั้นที่มีชื่อเสียงเยอะต่อเยอะด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ไปหลงติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หลงในความยึดถือ เชื่อถือ ของคนอื่นเขา เลยคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปทั้งที่ไม่ใช่ของจริง สมัยนั้นที่เขาเรียกคณาจารย์ทั้ง ๖ มี สัญชัยเวลัฏบุตร ที่เป็นอาจารย์ของพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรมาก่อน ปกุธกัจจายนะ อชิตะเกสะกำพล มักขลิโคสาละ นิครนถนาฏบุตร เหล่านี้จะมีชื่อเสียงมหาศาลมากเป็นที่นับถือของคนเป็นหมื่นเป็นแสนเลย เพียงแต่ว่าลัทธิที่เขาสอนมันเข้าไม่ถึงจริงเท่านั้นเอง นักคิดมันเยอะ
       ถาม :  แล้วเพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่ลักษณะที่ว่าทำไมคนเกิดมาเขาถึงไม่นับถือศาสนาเดียวกัน?
       ตอบ :   มันแล้วแต่สิ่งแวดล้อมและการยึดถือของครอบครัวตัวเอง ครอบครัวตัวเองเชื่อถืออย่างไรก็ทำตามนั้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ตรงนี้มีทั้งคริสต์มีทั้งอิสลามต้องถืออิสลาม
              ถ้าเขาเคยบำเพ็ญบารมีมาในระดับหนึ่งเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันยังไม่ตรงกับ ใจของตนเองเลย มันเหมือนกับคนหาอาหารกินนะ ได้อาหารที่รสชาติไม่ถูกใจตัวเองก็หาไปเรื่อยจนกระทั่งมาเจอศาสนาพุทธก็เอ้า ใช่เลย อาหารรสนี้ที่เราต้องการเขาก็มาเรื่อยเป็นอย่างนี้ ที่มันนับถือแตกต่างกันไป เกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมและระเบียบประเพณีที่ยึดถือกันมาในครอบครัวของตน ขณะเดียวกันฝรั่งน่ะอย่าคิดว่ามันถือคริสต์นะ ตอนนี้อิสลามในอเมริกามีมากพอ ๆ กับคริสต์เลย
              ส่วนใหญ่แล้วตรงจุดที่ว่าแต่ละศาสนา นรกสวรรค์ต่างกัน คนมันจะข้องใจตรงจุดนี้ ที่ต่างกันมันต่างกันตรงที่ความเชื่อถือการยึดถือตามแบบของเขา แต่จริง ๆ ถ้าเราสังเกตจะมีเนื้อหาเดียวกันก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ สวรรค์เป็นสถานที่ตอบแทนผลของความดีที่เราทำเอาไว้ที่เห็นต่าง ๆ กันไปมันตามความเชื่อถือของเขา ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นสวรรค์ ก็เลยทำให้เห็นแตกต่างไปคนละทิศคนละทาง
                แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดไม่ว่าจะศาสนาไหน นรกเดียวกันสวรรค์เดียวกัน สิ่ง ทั้งหลายเหล่านี้ถ้าคนไม่ทำความดี ความชั่ว นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี ผลการกระทำที่เรียกว่ากรรมนั้นแหละส่งผลมหาศาลอย่างมาก เมื่อทำชั่วก็มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานขึ้นมารองรับ เมื่อทำความดีก็มีมนุษย์ เทวดา พรหม พระนิพพานขึ้นมารองรับ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีการกระทำ
       ถาม :   ยังไงที่เขาเรียกว่าหมดกรรมครับ?
       ตอบ :    อะไรเรียกว่าหมดกรรม ยากเต็มที ยกเว้นจุดสุดท้ายก็คือเข้าพระนิพพาน ไม่ได้หมดกรรมหากแต่พ้นกรรม ต้องใช้คำว่าพ้นกรรม เพราะว่ากรรมเก่าที่ทำไว้ยังมีอยู่แต่ว่ากำลังบุญนั้นสูงมากส่งให้หลุดพ้น จากวงโคจรนั้นไปเสียได้ วงโคจรตัวนี้เขาเรียก วัฏฏะสงสาร คือการหมุนวนอยู่ สังสารวัฏที่เวียนวนอยู่ทำให้ตาย-เกิดไม่รู้จบ เมื่อกำลังบุญสูงพอดีดตัวเองพ้นไปได้เป็นอันว่าพ้นกรรมไม่ใช่หมดกรรม พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดที่เข้านิพพานไม่มีใครใช้กรรมหมด เพียงแต่ว่าสร้างกำลังความดีไว้จนกระทั่งสูงสุดสามารถหลุดพ้นออกไปเท่านั้น
       ถาม :   หลวงพี่เป็นลูกศิษย์ของใคร ?
       ตอบ :   อาตมาเป็นลูกศิษย์ของพระปิณโฑลภารัชทวาชะ พระปิณโฑลภารัชทวาชะท่านจะถามคนอยู่เสมอว่าใครข้องใจให้มาหาเรา ให้มาถามเรา ท่านเป็นเอตะทัคคะ คือเลิศในบรรลือสิงหนาท หมายความว่าเป็นผู้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าพิสูจน์
              เหตุที่ท่านเป็นดังนี้เพราะว่าชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นพญาราชสีห์แล้วมีโอกาส ได้รักษาสังขารของพระปัจเจกพุทธเจ้า คือท่านดูแลจนพระปัจเจกพุทธเจ้ามรณภาพไปนิพพาน ท่านเองก็ยังตกแต่งสถานที่คาบดอกไม้มาบูชาพระศพอยู่แล้วก็คำรามเพื่อป้องกัน ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามาทำลายศพของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์นั้น อยู่ในลักษณะดูแลรักษาป้องกันอย่างดีตลอดมา แล้วมีโอกาสมาเกิดเป็นคนได้ทำความดีได้พบพระพุทธศาสนาได้พบพระพุทธเจ้าจน กระทั่งกลายเป็นพระอรหันต์ วิสัยเก่าเป็นราชสีห์ก็เลยชินกับการประกาศตนเอง ท่านเองก็เลยประกาศตนเองเป็นประจำว่าใครข้องใจอะไรให้มาถามเรา
              เป็นสมัยนี้นี่อาจารย์เคาะหัวลูกศิษย์แตกแน่เลย แต่พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ที่ไม่มีกิเลส ในเมื่ออาจารย์ไม่มีกิเลสก็เลยไม่อิจฉาลูกศิษย์ ลูกศิษย์แบ่งเบาภาระไปได้เท่าไหร่อาจารย์สบายเท่านั้น
       ถาม :   อยากจะเรียนถาม คือหนูยื่นเออรี่เอาไว้นะค่ะ ไม่ทราบว่าจะได้หรือเปล่า?
       ตอบ :   อ๋อ อันนี้ถามได้แต่ตอบไม่ได้นะ ทำไมจะรีบออกไปไหนฮึ หนีราชการเหรอ
       ถาม :   เบื่อแล้วค่ะ ทำมาหลายปีแล้วเบื่อค่ะ
       ตอบ :   บนพระวิสุทธิเทพดู เรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ เกี่ยวกับบนให้ได้งาน บนให้ออกจากงานอะไรนี่ พระวิสุทธิเทพท่านเคยตรัสบอกกับหลวงพ่อเอาไว้ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานให้บน ฉันได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อสำเร็จแล้ว การแก้บนท่านเอาว่าต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน อย่างอื่นไม่เอาเลย เน้นการทำความดีขนาดหนักล้วน ๆ
                ความจริงเดือนนี้นะ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่าน ทำแบบเอาไว้อาตมาก็มารับสังฆทานไม่ทัน บังเอิญว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำแบบอย่างที่ดีไว้ ก็คือว่าพระวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา แล้วก็ให้ปวารณาพรรษาในวันเทโว เข้าก่อนเขา ๑ วัน ออกทีหลัง ๑ วัน มันจะได้ ๙๐ วันถ้วน ๆ ส่วนใหญ่มันก็เกิน ๙๐ วันอยู่แล้ว
              แต่ว่าถ้าหากว่านับตามทางจันทรคติท่านถือว่า ๓ เดือนถ้วน ๆ ก็เลยกลายเป็นว่าพอวันอาสาฬหบูชาปุ๊บอาตมากับพระทั้งหมดก็อธิษฐานพรรษา อธิษฐานเสร็จเราก็ขออนุญาตลาต่อมาเลยคือขอสัตตาหะ ในขณะที่เข้าพรรษาอยู่ถ้ามีเหตุจำเป็นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้อง ไม่เกิน ๗ วัน เรียกว่า ?สัตตาหะกรณียะ? เหตุที่ท่านอนุญาตให้ก็คือ พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วยไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ วัดพังไปหาทัพพะสัมภาระมาซ่อมวัดได้ เพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ต่างวัดไกลๆ จะสึก ไปเพื่อห้ามปรามได้ ได้รับกิจนิมนต์เพื่อเจริญศรัทธาไปได้ ถ้าไม่ใช่ว่าตามแบบวัดท่าซุงมาอธิษฐานพรรษาในวันเข้าพรรษา เป็นอันว่าอาตมามาไม่ทันพวกเราก็ชะเง้อคอยาว
              ตั้งแต่มานั่งตรงนี้เขาถามเป็นสิบ ๆ ครั้งแล้ว ว่าเข้าพรรษามาได้ยังไง เลยบอกให้เข้าใจไว้แล้วก็จำไปบอกต่อด้วย ขี้เกียจอธิบายบ่อย ๆ อาตมาจะบอกเคล็ดลับให้อย่างหนึ่งนะ ถ้าอยากจะถามปัญหาทางโลกถามหมอเอ ถ้าอยากจะถามหวยไปถามหมอเพชร (หัวเราะ) ๒ คนนี่เขาถนัดกันคนละอย่าง ถ้าไปบวชอยู่ที่วัดเดียวกันเมื่อไหร่ละก็อาตมาจะสบายใจมาก ไม่ต้องเหนื่อย 
              ถามปัญหาทางโลก ถามฆราวาสท่านตอบได้มากกว่า ของพระข้อจำกัดมันเยอะ โดยเฉพาะว่าหลายอย่างที่เราเป็นพระเราจำเป็นต้องยอมรับกฎของกรรม บางทีรู้ก็พูดไม่ได้อกจะแตกตายเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกันว่าฆราวาสของเขาข้อจำกัดจะน้อยกว่า
              แต่มันก็มีเยอะต่อเยอะที่ว่ากฎของกรรมเขาแรงจริง ๆ เล่นเอาหมอดูปรุงคำพูดแทบแย่กว่าจะได้คำพูดในลักษณะที่เรียกว่าเป็นที่พอใจ ของคนฟังด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่เกินกฎของกรรมด้วย ปางตายเหมือนกัน ถึงถามฆราวาสได้มากกว่าก็เถอะบางอย่างก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ปัญหาทางโลกถามหมอเอ ถามหวยถามหมอเพชรเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอต้านะ (หัวเราะ) หมดเรื่องไปเลย
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

kaka123

โมทนาครับ วางๆอยากให้ทุกคนไปกราบท่านครับ
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions

shinpe uhah

ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆแบบนี้
friendly
0
funny
0
informative
0
agree
0
disagree
0
pwnt
0
like
0
dislike
0
late
0
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions
No reactions