Show posts - teareborn
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - teareborn

#1
สรรพคุณเเละประโชน์ถั่งเช่า
#2
ถั่งเช่ามีสรรพคุณอะไรบ้าง
#3
ถั่งเช่ามีสรรพคุณอะไรบ้าง
#4

สมุนไพรเม็ก
เม็ก Macaranga tanarius (Linn.) Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. tomentosa Bl.
บางถิ่นเรียก เม็ก (ใต้) กะลอ บาเละมี สะลอ (มลายู-จังหวัดยะลา) จงดำ (ปัตตานี) ป้าง หูช้าง (เมืองจันท์) รังขาว (สงขลา) ล่อ ล่อขาว (นครศรีธรรมราช) ล้อหูฉีด (พังงา).
ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 6 ม. กิ่งใหญ่ สีนวล ตามยอดอ่อน และใบอ่อนมีขนนุ่ม. ใบ เดี่ยว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ออกจะกลม กว้าง 5-28 เซนติเมตร ยาว 8-32 ซม. ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว ขอบของใบค่อนข้างจะเรียบ หรือ หยักตื้นๆโคนใบกลม หรือ เว้าเป็นรูปหัวใจ เนื้อใบบาง ด้านบนเกลี้ยง หรือ มีขนนิดหน่อย ด้านล่างมีขนนุ่ม ก้านใบติดแบบใบบัว ยาว 10-27 ซม. สีขาวนวล สะอาด หรือ มีขน หูใบรูปไข่ป้อมแกมขอบขนาน ปลายแหลม ยาวราว 12 มม. มีขนเล็กน้อย.สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ ช่อยาว 10-30 ซม. แตกแขนงมาก ดอกมีใบตกแต่งรองรับ ใบเสริมแต่งรูปไข่ป้อม ยาว 5-10 มม. ขอบหยักเป็นแฉกเล็กๆแหลมๆกลีบรองกลีบดอกไม้มี 3-4 กลีบ เกลี้ยง เกสรผู้ 5-6 อัน. ดอกเพศภรรยา ช่อยาว 6-12 เซนติเมตร ไม่ค่อยแตกกิ่ง รังไข่มีขน ภายในมี 2 ช่อง ท่อรังไข่ใหญ่. ผล กลม แฝด เส้นผ่านศูนย์กลาง 7-12 มิลลิเมตร มีนอนูน 2-3 นอ มีเม็ดสีเหลืองๆเหนียวๆปกคลุม. เมล็ด กลม ผิวหยาบคาย.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดิบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 150 มัธยม
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มราก รับประทานเป็นยาลดไข้ แก้ไอเป็นเลือด กินผงรากเพื่อช่วยทำให้อ้วก สำหรับคนจับไข้ ต้น น้ำสุกเปลือกต้น กินแก้บิด ใช้เข้าเครื่องยาสำหรับสตรีกินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการคลอดลูก ใบ ตำพอกแก้รอยแผลอักเสบ สารสกัดใบมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะต่อเชื้อ Staphylococcus
#5

สมุนไพรตองเต๊า
ตองเต๊า Mallotus barbatus Muell. Arg.
บางถิ่นเรียกว่า ตองเต๊า เถ้าถ่าน เต๊าขน ปอเต๊า (เหนือ) กระรอกขน (จังหวัดชุมพร) กะลอขน กะลอยายทาย (ใต้) บาเละอางิง (มลายู-นราธิวาส) ปอหุน (ประจวบคีรีขันธ์ สละป้าง สละป้างใบใหญ่ (เมืองจันท์) ต้นหญ้าขี้ทูด (จ.สกลนคร) หูช้าง (จังหวัดเพชรบูรณ์).
ไม้พุ่ม หรือ  ไม้ต้น ขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 6 ม. ทุกส่วนมีขนเหมือนขนสัตว์ สีขาวอมน้ำตาลอ่อนๆปกคลุมหนาแน่น ใบอ่อนสีชมพู. ใบ ลำพัง เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ป้อมๆหรือ ค่อนข้างกลม มักจะมีแฉกตื้นๆ3 แฉก กว้าง 7.5-30 ซม. ยาว 8.5-35 เซนติเมตร ปลายใบแล้วก็ปลายแฉกเรียวแหลมเป็นหางยาว ขอบใบหยักตื้นและก็ห่าง โคนใบกลม เส้นกิ้งก้านใบ 7-10 คู่ นูนเด่นทางด้านล่างของใบ ข้างบนมีขนเป็นรูปดาว และจะเบาๆหลุดหล่นไป เมื่อใบแก่ สีเขียวอ่อน หรือ เขียวอมเหลือง ก้านใบติดแบบใบบัว ยาว 5-25 ซม. อ้วน. ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งและง่ามใบใกล้ยอด สีแดงอมเหลือง ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน. สมุนไพร ดอกเพศผู้ ช่อดอกยาว 11-36 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 3-4 มม. กลีบ 4-6 กลีบ งอ รูปขอบขนาน ปลายแหลม ยาว 3.5 มม. เกสรผู้ 75-85 อัน. ดอกเพศเมีย ช่อดอกยาวราว 9 ซม. ก้านดอกยาว 2 มม. กลีบดอกไม้ 4-5 หยัก ยาว 3 มม. รังไข่สีแดงสดใส ข้างในมี 4-6 ช่อง ท่อรังไข่สีเหลืองมี 4 อัน ปลายท่อแบน ปลายแหลม ยาว 3.5-4.5 มม. ผล กลม เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 15 มม. มีขนรูปดาว สีน้ำตาลอ่อน ปกคลุมหนาแน่นเหมือนขนสัตว์ มี 4-6 ช่อง แก่จะแตก. เม็ด มีเม็ดสีดำช่องละหนึ่งเมล็ด ยาว 5.5-6 มิลลิเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าละเมาะใกล้ลำน้ำ.
สรรพคุณ : ใบ ตำรวมกับ พริกไทยดำ ขิง และข้าวหัก พอกที่ท้องแก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ

Tags : สมุนไพร
#6

สมุนไพรปริก
ปริก Mallotus floribundus (Bl.) Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. anamiticus Ktze.
บางถิ่นเรียกว่า ปริก (ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช) กาบิงบามอง (มลายู-นราธิวาส) ปิก ล้อ (กระบี่) ลอขน (จังหวัดตรัง)
ไม้พุ่ม หรือ ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก สูง 5-15 ม. สะอาด ใบอ่อนสีน้ำตาลอมชมพู. ใบลำพัง เรียงแบบบันไดเวียน รูปออกจะกลม หรือ รูปไข่ป้อมๆบางเวลาความกว้างมากกว่าความยาว กว้าง รวมทั้งยาว 4.5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ หรือ หยักเล็กน้อย โคนใบกลม หรือ ตัดตรง ตรงที่ติดกับก้านใบมีขนเป็นกระจุกๆด้านล่างสีขาวนวล มีต่อมเล็กๆสีเหลืองกระจายทั่วๆไป เนื้อใบบาง ก้านใบติดแบบใบบัว ยาว 3.5-17.5 ซม. เล็ก. ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด หรือ ตามง่ามใบ ศูนย์กลางช่อเป็นเหลี่ยม มีดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกสมบูรณ์เพศ มีกลิ่นหอมสดชื่น. สมุนไพร ดอกเพศผู้ ช่อยาว 15-20 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 3-3.5 มม. กลีบดอกไม้ 3-4 กลีบ งอ รูปไข่แกมขอบขนาน ปลายมีติ่งแหลม ขนาดไม่เท่ากันยาว 1-2.5 มม. เกสรผู้ 40-42 อัน อับเรณูมีขน. ดอกเพศเมีย ช่อยาว 7-15 เซนติเมตร ไม่แตกสาขา มี 5-9 ดอก ก้านดอกยาว 1-3 มิลลิเมตร กลีบดอกไม้ 3-4 กลีบ รูปยาวแคบปนรูปหอก ยาว 3-4 มม. รังไข่มีขน ท่อรังไข่ยาว 8-11 มิลลิเมตร มีขน ข้างในมี 3 ช่อง. ผล เป็นพูกลมๆ3 พู เห็นได้ชัด เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 1.5 เซนติเมตร ด้านนอกมีขนแข็ง. เมล็ด กลม มีช่องละ 1 เม็ด เส้นผ่านศูนย์กลางราว 7 มม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในป่าดงดิบ หรือ ป่าละเมาะใกล้ลำน้ำ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 100 ม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากรับประทานแก้ไข้ข้างหลังการคลอดบุตร แก้ปวดท้อง และอหิวาตกโรค
#7

สมุนไพรแสยก
แสยกPedilanthus tithymaloides Poit.
บางถิ่นเรียกว่า แสยกกะแหยก มหาผสาน ย่าง แสชูสามสี (กึ่งกลาง) เคียะไก่ให้ (เหนือ) ตาสี่กะมอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นางกวัก ว่านสลี (แม่ฮ่องสอน).
ไม้พุ่ม สูง 40-100 ซม. มีน้ำยางมากมาย ลำต้นหักงอไปมาทำให้เป็นรูปซิกแซก สีเขียว ผิวเรียบ. ใบ คนเดียว เรียงสลับกันซ้ายขวาในราบเดียวกัน รูปไข่ กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 3.5-7 ซม. ฐานในกลม มน หรือ แหลม ขอบใบเรียบ หรือ เป็นคลื่น ปลายใบมน หรือ แหลม เส้นใบมองเห็นไม่ชัดเจน เนื้อใบหนา ข้างล่างมีขนอ่อน เส้นเล็ก ปกคลุมบางๆทั่วไป ก้านใบยาว 2-7 มิลลิเมตร หูใบมีลักษณะเป็นตุ่มกลุ่มเล็กๆ2 ตุ่มอยู่สองข้างโคนก้านใบ หล่นง่าย ต้นจะสลัดใบทิ้งหมด หรือเกือบหมดก่อนออกดอก. ดอก สีแดงออกเป็นช่อตามลำต้น ที่ยอดและตามกิ่งกิ้งก้านสั้นๆใกล้ยอด ดอกเพศผู้และดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน ก้านช่อยาว 3-20 มิลลิเมตร มีขน ช่อดอกยาว 1-2.5 เซนติเมตร ใบแต่งแต้ม [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] ภายนอกมีขนสั้นปกคลุมหนาแน่น ก้านดอกไม่มีขน ดอกมีลักษณะคล้ายรองเท้า หรือ เรือ มี 5 กลีบ เรียงเป็นสองชั้น ชั้นในมี 3 กลีบ สั้น แล้วก็แคบกว่ากลีบชั้นนอก มีขนละเอียด ที่ฐานภายนอกมีต่อมน้ำหวานรูปกระทะคว่ำ 1 ต่อม ด้านในมีต่อม 2 หรือ 4 ต่อม เรียงเป็นคู่ ที่ปลายมีแถบยาวหนึ่งแถบอยู่ตรงช่องระหว่างกลีบใหญ่ชั้นนอกสองกลีบ; เกสรผู้สั้น เวลาที่ดอกกำลังบานอับเรณูจะหันหน้าออก รังไข่มี 3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่มี 1 อัน ปลายท่อแยกเป็น 3 แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก. ผล เป็นจำพวกแห้งแล้วแตก.

นิเวศน์วิทยา
: ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกตามแนวรั้ว ขึ้นง่ายแล้วก็ทนแล้งได้ดี
สรรพคุณ : ต้น น้ำยางต้นใช้กัดหูด ทาผิวหนังแก้โรคเกลื้อน แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด แต่ว่าถ้าเกิดรับประทานเข้าไปจะมีผลให้คลื่นไส้
#8

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/i]แสยก[/url][/color][/size][/b]
แสยกPedilanthus tithymaloides Poit.
บางถิ่นเรียกว่า แสยกกะแหยก มหาประสาน ปิ้ง แสยกสามสี (กลาง) เคียะไก่ให้ (เหนือ) ตาสี่กะมอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นางกวัก ว่านสลี (แม่ฮ่องสอน).
ไม้พุ่ม สูง 40-100 เซนติเมตร มีน้ำยางมาก ลำต้นหักงอไปมาทำให้เป็นรูปซิกข์แซก สีเขียว ผิวเรียบ. ใบ ลำพัง เรียงสลับกันซ้ายขวาในระนาบเดียวกัน รูปไข่ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 3.5-7 เซนติเมตร ฐานในกลม มน หรือ แหลม ขอบใบเรียบ หรือ เป็นคลื่น ปลายใบมน หรือ แหลม เส้นใบมองเห็นไม่ชัดเจน เนื้อใบดก ด้านล่างมีขนอ่อน เส้นเล็ก ปกคลุมบางๆทั่วไป ก้านใบยาว 2-7 มม. หูใบมีลักษณะเป็นตุ่มกรุ๊ปเล็กๆ2 ตุ่มอยู่สองข้างโคนก้านใบ ตกง่าย ต้นจะสลัดใบทิ้งหมด หรือเกือบจะหมดก่อนออกดอก. ดอก สีแดงออกเป็นช่อตามลำต้น ที่ยอดและก็ตามกิ่งแขนงสั้นๆใกล้ยอด ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ก้านช่อยาว 3-20 มิลลิเมตร มีขน ช่อดอกยาว 1-2.5 เซนติเมตร ใบประดับ สมุนไพร ภายนอกมีขนสั้นปกคลุมหนาแน่น ก้านดอกไม่มีขน ดอกมีลักษณะเหมือนรองเท้า หรือ เรือ มี 5 กลีบ เรียงเป็นสองชั้น ชั้นในมี 3 กลีบ สั้น และก็แคบกว่ากลีบชั้นนอก มีขนละเอียด ที่ฐานภายนอกมีต่อมน้ำหวานรูปกระทะคว่ำ 1 ต่อม ข้างในมีต่อม 2 หรือ 4 ต่อม เรียงเป็นคู่ ที่ปลายมีแถบยาวหนึ่งแถบอยู่ตรงช่องระหว่างกลีบใหญ่ชั้นนอกสองกลีบ; เกสรผู้สั้น เวลาที่ดอกกำลังบานอับเรณูจะหันหน้าออก รังไข่มี 3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่มี 1 อัน ปลายท่อแยกเป็น 3 แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก. ผล เป็นประเภทแห้งแล้วแตก.

นิเวศน์วิทยา
: ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมนำมาปลูกตามแนวรั้ว ขึ้นง่ายและก็ทนแล้งก้าวหน้า
สรรพคุณ : ต้น น้ำยางต้นใช้กัดหูด ทาผิวหนังแก้โรคเกลื้อน แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด แต่ถ้าเกิดรับประทานเข้าไปจะทำให้อาเจียน
#9

สมุนไพรผักหวานป่าดง
ผักหวานดง Phyllanthus elegans Wall. Ex Muell. Arg.
ชื่อพ้อง P. glaucifolius Ridl.
บางถิ่นเรียกว่า ผักหวานดง (ตราด) จ๊าผักหวาน (ลำพูน) ต้นใต้ใบ ใต้ใบหยาบคาย ผักหวานช้าง (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ผักหวาน (สตูล) ผักหวานแขว (ชุมพร).
ไม้พุ่ม สูง 0.6-3 ม. ไม่มีขน กิ่งกลม หักงอไปๆมาๆเป็นรูปสิกข์แซก. ใบ ลำพัง เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบใบม้วนลงน้อย โคนใบกลม หรือ แหลม อาจเบี้ยวนิดหน่อย เส้นกิ้งก้านใบเล็กมากมาย มี 5-6 คู่ ข้างล่างสีขาวนวล ก้านใบยาว 2-3 มิลลิเมตร หูใบรูปยาวแคบ ปลายแหลม ยาวกว่ากานใบ. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ กลม เล็ก ติดเป็นกระจุกเล็กๆก้านดอกยาวประมาณ 2 มม. กลีบรองกลีบ 4 กลีบ รูปไข่ ขอบกลีบเว้าลึกแหลมเข้าไป มีเกสรผู้ 2 อัน อับเรณูกลม ที่ฐานดอกมีต่อมรูปไต 4 ต่อม. ดอกเพศภรรยา ชอบออกโดดเดี่ยวๆทางตอนบนของกิ่ง ก้านดอกยาวถึง 30 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบดอก 6 กลีบ ยาว 5-6 มิลลิเมตร รูปไข่ ใส ขอบกลีบเว้าลึกแหลมเข้าไป ฐานดอกเป็นรูปถ้วยสูงหนึ่งในสามของรังไข่ รังไข่กลม ด้านในมี 3 ช่อง ท่อรังไข่ 3 อัน แต่ละอันปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10-12 มิลลิเมตร ผิวบางหมดจด พองลม แก่แล้วแห้ง สีอ่อน. เมล็ด มีลายเล็กๆตามทางยาว.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วๆไปในป่าดงดิบ หรือ ป่าโปร่ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 ม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากรับประทานเป็นยาลดไข้ ใบ ใบอ่อนกินได้ น้ำยางใบใช้ปัดกวาดคอเด็กที่ลิ้นเป็นฝ้าขาว
#10

สมุนไพรมะขามป้อม
มะขามป้อม Phyllanthus emblica Linn.
บางถิ่นเรียก มะขามป้อม (ทั่วๆไป) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มั่งทาง สันยาส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน).
ไม้ต้น ขนาดกึ่งกลาง สูง 8-12 ม. เปลือกสีเขียวอมเทา ลอกออกเป็นแผ่นๆเนื้อไม้สีแดงอมน้ำตาล. ใบ ลำพัง สีเขียวอ่อน กว้าง 0.25-0.5 ซม. ยาว 0.8-1.2 ซม. เรียงชิดกัน ดูผาดๆราวกับใบตามติด ก้านใบสั้นมาก. ดอก เล็ก สีขาว หรือ นวล ดอกแยกเพศ แต่ว่ากำเนิดบนต้นเดียวกัน ออกตามง่ามใบ 6 ดอก มีกลีบรองกลีบดอก 6 กลีบ ไม่มีกลีบดอกไม้. สมุนไพร ดอกเพศผู้ มีเกสรผู้ 3 อัน ฐานรองดอกมีต่อม 6 ต่อม. ดอกเพศเมีย มีฐานรองดอกเป็นรูปถ้วย ขอบถ้วยหยัก รังไข่มี 3 ช่อง หลอดท่อรังไข่ปลายแยกเป็น 2 แฉก ไม่เท่ากัน. ผล กลม มีเนื้อหนา เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2-2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวอ่อน ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เนื้อกินได้ มีรสฝาก เปรี้ยว ขม รวมทั้งอมหวาน เปลือกเม็ดแข็ง มีสันตามยาว 6 สัน ข้างในมี 6 เม็ด.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นเรี่ยรายเป็นหมู่ๆตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าเต็งรัง และก็ป่าดงดิบทั่วๆไป
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มรากรับประทานเป็นยาลดไข้ เป็นยาเย็น ฟอกโลหิต และทำให้อ้วก หากกลั่นราก จะได้สารที่มีคุณสมบัติเป็นยาฝาดสมานที่ดีมากกว่าสีเสียด (catechu) (55). ต้น เปลือกเป็นยาฝาดสมาน ใบ น้ำต้มใบใช้อาบลดไข้ ดอก มีกลิ่นหอมยวนใจเหมือนผิวมะนาว ใช้เข้าเครื่องยาเป็นยาเย็น แล้วก็ยาระบาย. ผล ใช้ได้ผลสด และผลแห้ง มีฤทธิ์กัดทำลาย เป็นยาเย็น ยาฝาดสมาน แก้ไข้ ขับฉี่ ระบาย บำรุงหัวใจ ฟอกเลือด น้ำคั้นผลสด มีปริมาณวิตามินซีสูขี้งกว่าน้ำส้มคั้นราว 20 เท่า ในปริมาณเท่ากัน ใช้แก้โรคลักปิดลักเปิด (scurvy) ยางผลใช้หยอดแก้ตาอักเสบ กินเป็นยาช่วยสำหรับในการย่อย และขับฉี่ เนื้อผลแห้งที่เรียกว่า Emblic myrobalan ใช้เป็นยาฝาดสมาน เพราะเหตุว่ามี tannin แก้โรคริดสีดวงทวาร แก้บิด ท้องเดิน ใช้กับธาตุเหล็กแก้โรคดีซ่านรวมทั้งช่วยย่อย ถ้าหากหมักผลจะได้แอลกอฮอล์ รับประทานแก้ของกินไม่ย่อย แก้ไอ และแก้โรคดีซ่าน
#11

สมุนไพรหญ้า ใต้ใบ
หญ้าใต้ใบ Phyllanthus urinaria Linn.
บางถิ่นเรียก หญ้าใต้ใบ (จังหวัดอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า (จังหวัดชลบุรี) มะขามป้อมดิน (เหนือ) หมากไข่ข้างหลัง (เลย).
       พืชล้มลุก สูงได้ถึง 50 เซนติเมตร ลำต้นตรง ตามกิ่งชอบออกสีแดง กิ่งที่มีใบติดอยู่นั้นแบน และมีปีกแคบๆ. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปขอบขนานถึงรูปไข่กลับปนขอบขนาน กว้าง 3-5 มม. ยาว 6-14 มม. ปลายใบกลม ปลายสุดเป็นติ่งแหลมเล็กๆโคนใบกลมแม้กระนั้นเบี้ยว ขอบของใบสาก ข้างล่างสีออกขาว ก้านใบสั้นมากมายจนถึงเกือบไม่มี. ดอก ก้านสั้นมาก แล้วก็แยกเพศ. ดอกเพศผู้ มี 1-2 ดอก สมุนไพร ออกตามง่ามใบที่อยู่สูงมากขึ้นไป กลีบรองกลีบดอกไม้กลม เกสรผู้ 3 อัน อับเรณุแตกตัวตามแนวตั้ง. ดอกเพศภรรยา ออกผู้เดียวๆตามง่ามใบที่อยู่ลดลงไป; กลีบรองกลีบดอกไม้รูปขอบขนาน. ผล รูปกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 2.5 มิลลิเมตร ผิวตะปุ่มตะป่ำ มีรอยย่นเล็กน้อยตามทางขวาง.

นิเวศน์วิทยา
: กำเนิดตามที่รกร้างทั่วๆไป แล้วก็ตามข้างทาง.
สรรพคุณ : ราวกับลูกใต้ใบ (P. amarus Schum. & Thonn.) แต่ว่าก็มีการใช้น้อยกว่า. ราก ฝนให้เด็กรับประทานแก้อาการกวน แล้วก็นอนไม่หลับ ต้น น้ำต้มอีกทั้งต้น รับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ สำหรับคนไข้ที่มีลักษณะบวมเรียกตัว แก้ทางเดินฉี่อักเสบ และก็แก้บิด ยางต้นใช้กวาดลิ้นเด็ก ใบ น้ำยางใบผสมกับน้ำกะทิให้เด็กรับประทาน ช่วยเจริญอาหาร น้ำสุกใบรับประทานแก้เจ็บหน้าอก
#12

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรละหุ่ง[/url]
ละหุ่ง Ricinus communis Linn.
บางถิ่นเรียกว่า ละหุ่ง มะละหุ่ง (ทั่วไป) คิติ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่งสอน) คีเต๊าะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกำแพงเพชร) ปีมั้ว (จีน) มะโห่ง มะโห่งหิน (เหนือ) ละหุ่งแดง (กลาง).
ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น ขนาดเล็ก สูงได้ถึง 6 ม.ยอดอ่อน และก็ช่อดอกเป็นนวลขาว. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน กว้าง แล้วก็ยาว 15-60 ซม. มีแฉกเป็นแบบนิ้วมือ 5-12 แฉก ปลายแฉกแหลม ขอบหยักแบบฟันเลื่อน ที่ปลายแหลมของแต่ละหยักมีต่อม เนื้อใบค่อนข้างบาง ไม่มีขน สีเขียว หรือ เขียวปนแดง ก้านใบยาว 10-30 เซนติเมตร มีต่อมที่ปลายก้าน.  สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด หรือ ตามปลายกิ่ง ตั้งตรง สีเขียว หรือ ม่วงแดง มีทั้งดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่บนช่อเดียวกัน. ดอกเพศผู้ อยู่ตอนบน กลีบรองกลีบดอกบาง แยกเป็น 3-5 แฉก เกสรผู้มากไม่น้อยเลยทีเดียว ก้านเกสรชิดกันเป็นกลุ่ม หรือ แยกเป็นกรุ๊ปๆอับเรณูรูปออกจะกลม. ดอกเพศภรรยา อยู่ด้านล่างของช่อดอก ก้านดอกยาวกว่าดอกเพศผู้ กลีบรองกลีบดอกไม้เชื่อมติดกันคล้ายกาบ ปลายมี 5 หยัก หลุดหล่นง่าย รังไข่มี 3 อัน แต่ละอันข้างในมี 3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย. ผล รูปไข่, เป็นประเภทแก่แล้วแห้ง สีเขียว หรือ เขียวปนม่วง ยาว 1-1.5 เซนติเมตร มีหนามอ่อนๆปกคลุม. เม็ด มีพิษ มีน้ำมัน.

นิเวศน์วิทยา
: ถิ่นเดิมอยู่ในแอฟริกาเขตร้อน ปลูกกันทั่วไป
สรรพคุณ : ราก ตำเป็นยาพอกเหงือกแก้ปวดฟัน น้ำต้มรากกินเป็นยาระบาย ใบ ใบสดมีฤทธิ์ฆ่าแมลงบางประเภทได้ น้ำต้มใบกินเป็นยาระบาย แก้เจ็บท้อง ขับน้ำนม และก็ขับระดู ใบเผาไฟใช้พอกแก้ปวดบวม ปวดตามข้อ ปวดหัว แล้วก็แผลเรื้อรัง ตำเป็นยาพอกฝี พอกศีรษะ แก้ปวด แก้บวมอักเสบ ตำผสมกับ Bland oil ที่อุ่นให้ร้อนใช้พอก หรือ ทาแก้ปวดตามข้อ แล้วก็ทาท้องเด็กแก้ท้องเฟ้อ เมล็ด เป็นพิษมาก ถ้ารับประทานเม็ดดิบๆเพียงแค่ 4-5 เมล็ด ก็อาจจะทำให้ตายได้ เมื่อจะจำมาใช้ทางยา ให้ทุบเอาเปลือกออก แยกจุดงอดออกจากเม็ด ต้มกับนมครึ่งหนึ่งก่อน แล้วจึงต้มกับน้ำเพื่อทำลายพิษ กินแก้ปวดตามข้อ แก้ปวดหลัง เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว เป็นยาถ่าย ตำเป็นยาพอกแผล แก้ปวดตามข้อ หีบเอาน้ำมันได้น้ำมันละหุ่ง ซึ่งจำนวนมากใช้ในทางอุตสาหกรรม
#13

สมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2.png]สมุนไพรไม้เท้ายายม่อม[/url][/size][/b]
ไม้เท้ายายม่อม Trigonostemon longifolius
บางถิ่นเรียก เท้ายายม่อมป่า อ้ายบ่าว (ปัตตานี)
ไม้ใหญ่ หรือ ต้นไม้ ขนาดเล็ก สูง 2-6 ม. ยอดอ่อนมีขนสีเหลืองอมแดง เมื่อแห้งมีสีเหลือง. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปหอกกลับถึงรูปช้อนปนรูปไข่กลับ กว้าง 5-14 เซนติเมตร ยาว 20-55 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมเป็นหาง ยาวประมาณ 0.5-2 ซม. ขอบของใบหยักนิดหน่อยทางใกล้ปลายใบ ส่วนขอบใกล้โคนใบเรียบ; โคนใบเรียวแหลมจนถึงเป็นครีบ; เส้นใบมี 15-20 คู่ ข้างบนใบสีเขียวเข้ม หมดจด ยกเว้นตามเส้นกลางใบมีขน ข้างล่างสีอ่อน มีขนห่างๆทั่วๆไป และมีขนมากตามเส้นกลางใบ แล้วก็ขอบของใบ; ก้านใบยาว 0.5-1.5 ซม. มีขน. ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นช่อยาว ไม่แยกแขนง ยาว 15-25 เซนติเมตร มีขนหนาแน่น ใบเสริมแต่งรูปยาวปลายแหลม; ดอกเพศผู้ แล้วก็ สมุนไพร ดอกเพศเมียกำเนิดบนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ภายนอกมีขนยาวและก็แข็งชี้ไปทางปลายกลีบ; กลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับปนขอบขนาน สีแดงคล้ำ เกสรผู้มี 3 หรือ 5 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นแท่ง อับเรณูติดที่ปลาย ก้านดอกมีต่อม 5 ต่อม มักจะเชื่อมชิดกันคล้ายรูปถ้วย. ดอกเพศภรรยา กลีบรองกลีบดอกไม้ และกลีบดอกไม้มีลักษณะเสมือนดอกเพศผู้ไหมมีกลีบดอกไม้ รังไข่มี 3 ช่อง ท่อรังไข่แยกเป็น 2 แฉก แต่ละแฉกแยกต่ออีก 2 แฉก. ผล เป็นช่อตั้งตรง มี 3 พู เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 14 มิลลิเมตร มีขนปกคลุมหนาแน่น; ก้านผลยาว 0.7-1.0 เซนติเมตร เม็ด มีขนาดเล็ก.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบทางภาคใต้ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 400 ม.
สรรพคุณ : ราก น้ำยางรากใช้ทาแก้ผึ้งต่อย และก็ทาแก้พิษแมงกะพรุน
#14

สมุนไพรกระเบาใหญ่
กระเบาใหญ่ Hydnocarpus anthelminthica Pierre
บางถิ่เรียก กระเบาใหญ่ กระเบาน้ำ กระค่อยแข็ง กาหลง (ภาคกึ่งกลาง) กระเบา (ทั่วไป) กระค่อยอาคาร (เขมร-ตะวันอก) ตัวโฮ่งจี๊ (จีน) ค่อย (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
  ไม้ต้น ขนาดกึ่งกลาง สูง 15-20 ม. ลำต้นตรง. ใบ เดี่ยว ออกเวียนสลับ รูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 15-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบของใบเรียบ เนื้อใบดก สะอาด เส้นใบมี 8-10 คู่ เส้นใบย่อยสานกันเป็นร่างแหเห็นได้ชัด ใบแห้งสีน้ำตาลปนแดง สมุนไพร ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกไม้มีอย่างละ 5 กลีบ ดอกเพศผู้ สีชมพู มีกลิ่นหอมยวนใจ ออกโดดเดี่ยวๆก้านดอกยาว เกสรเพศผู้มี 5 อัน ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อสั้นๆผล กลมใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 เซนติเมตร สีขาว ผิวเรียบ มีขน หรือ เกล็ดสีน้ำตาลปนแดงปกคลุม

นิเววิทยาศน์
: ขึ้นตามป่าดงดิบใกล้ริมน้ำ ทางภาคใต้รวมทั้งภาคอีสาน ระดับความสูงจากน้ำทะเล 50-200 ม.
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำสุกเปลือก กินเป็นยาขับเยี่ยว เม็ด เป็นยาขับพยาธิ เมื่อทำการบีบเมล็ดจะได้นำมันกระเบา ใช้ทาแก้โรคเรื้อน หรือ โรคชันนะตุ ใช้ทาถูนวดแก้ปวดท้อง รูมาติซึม และก็โรคเก๊าท์
#15

สมุนไพรแปะก๊วย
แปะก๊วย Ginkgo biloba L.แปะก๊วย (จีน)
ไม้ใหญ่ ผลัดใบ สูง 10-25 มัธยม ทุกส่วนไม่มีขน แตกกิ่งก้านสาขาห่างๆเปลือกสีเทา ต้นแก่เปลือกสีน้ำตาลอมเหลือง ใบ ออกมาจากปลายกิ่งสั้น กิ่งละ 3-5 ใบ รูปพัดจีน กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาวราวๆ 8 ซม. ปลายใบเว้ากึ่งกลาง มีรอยเว้าตื้นๆหลายแห่ง หรือเป็นคลื่น โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เส้นใบเรียงถี่ๆเป็นรูปพัด ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวเข้ม ก่อนผลัดใบจะกลายเป็นสีเหลือง ก้านใบเรียวยาว ดอก เป็นดอกแยกเพศ รวมทั้งอยู่ต่างต้นกัน ออกที่ปลายกิ่งสั้น บริเวณเดียวกับที่เกิดใบ ดอกเพศผู้ แต่ละกิ่งจะออกโดยประมาณ 4-6 ช่อ ลักษณะช่อเป็นแท่งแขวนลง มีเกสรเพศผู้มากมาย สมุนไพร อับเรณูติดที่ปลายก้านเกสร มี 2 ลอน ดอกเพศภรรยา ออกกิ่งละ 2-3 ดอก ดอกมีก้านยาว ที่ปลายก้านมีไข่ 2 เม็ด ไข่ไม่มีรังไข่หุ้ม แต่มักจะเติบโตเพียงแค่เม็ดเดียว  ผล รูปค่อนข้างจะกลม หรือ รี มีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 3 เซนติเมตร ได้ผลประเภทมีเนื้อนุ่มแต่ว่าเมล็ดแข็ง เมื่อสุกสีเหลือง ผิวมีนวล กลิ่นค่อนข้าเหม็น เม็ด รูปรี หรือ รูปไข่ เปลือกแข็ง สีออกเหลืองนวล เนื้อข้างในเม็ดเมื่อทำให้สุกใช้เป็นอาหารได้ทั้งยังคาว และหวาน เรียกว่า "แปะก๊วย"

นิเวศน์วิทยา
: มีบ้านเกิดในประเทศจีน และญี่ปุ่น มีการกระจัดกระจายประเภทไปในทวีปอเมริกาและก็ยุโรป นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในสวน รวมทั้งตามข้างถนน หรือ ปลูกเพื่อรับประทานเนื้อในของเม็ด
คุณประโยชน์ : ใบ สารสกัดจากใบมีฤทธิ์สำหรับการช่วยไหลเวียนของโลหิต มีฤทธิ์ฆ่าแมลงศัตรูพืช เมล็ด กินได้เมื่อขจัดสารพิษออกแล้ว ใช้เป็นยาฝาดสมาน ระงับประสาท ขับเสลด แก้ไอ หืดหอบ บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด ขับพยาธิ ลดไข้ และก็สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะต่อเชื้อวัณโรค เปลือกเม็ดมีฤทธิ์กัดทำลาย เมื่อสัมผัสจะก่อให้ผิวหนังอักเสบและมีหัวหน้ามาใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช
#16

สมุนไพรติ้วตำ
ติ้วตำ Cratoxylum sumatranum (Jack) Blume ssp. neriifolium (Kurz) Gogelein
บางถิ่นเรียก ติ้วตำ ติ้วเสลา (ภาคเหนือ) ขี้ติ้ว (จังหวัดเชียงใหม่) สลิว (ภาคกึ่งกลาง)
ต้นไม้ สูง 10-35 มัธยม กิ่งก้านเกลี้ยง เปลือกสีเทา มีรอยแตกตามยา ยอดอ่อนมีรอยแผลเป็นอยู่ระหว่างโคนก้านใบที่เกิดขึ้นมาจากหูใบหลุดตกไปเห็นได้ชัด ใบ เดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 2-7 เซนติเมตร ยาว 4-18 เซนติเมตร ปลายใบมน หรือ เป็นติ่งแหลม โคนใบเว้าบางส่วน กลม หรือ แหลม ขอบใบเรียบ ด้านล่างชอบมีสีอ่อน ก้านใบสั้นมาก หรือ ไม่มีเลย ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง และตามง่ามใบ สมุนไพร มีดอกปริมาณน้อย ก้านยาว 1.5-5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบมี 5 กลีบ สีแดงสดถึงสีแดงก้อนอิฐ โคนกลีบสีเขียวอ่อน เกสรเพศผู้ติดเป็นกลุ่มๆอับเรณูไม่มีต่อม เกสรเพศผู้เป็นหมันสีเหลืองติดเป็นกลุ่มๆผล ทรงกระบอก กว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 8-9 มม. ยาวเท่าๆกับกลีบเลี้ยง ด้านในมี 3 ช่อง แก่จะแตกเป็น 3 เสี่ยง เมล็ดรูปหอกกลับ หรือ รูปขอบขนาน ช่องหนึ่งมี 3-10 เมล็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายบนภูเขาในป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ และก็ภาคทิศตะวันออกของไทย
คุณประโยชน์ : ราก เปลือก แล้วก็ใบ ต้มน้ำให้สตรีดื่มหลังการคลอดบุตร ใบ ชงดื่มแทนใบชา เป็นยาช่วยในการย่อยได้ดี ใบอ่อนบดกินแก้ไอ

Tags : สมุนไพร
#17

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรหญ้าชันกาด[/url]
หญ้าชันกาด Panicum repens L.
บางถิ่นเรียกว่า หญ้าชันกาด (ภาคกึ่งกลาง) ดวงจันทร์มมัน ต้นหญ้าอ้อน้อย (เชียงใหม่)
    ไม้ล้มลุก ชนิดหญ้า อายุปีเดียว สูง 50-100 ซม. แบน ลำต้นตรง หรือส่วนโคนทอดนอนไปตามพื้นดิน ปลายตั้งตรง มีรากออกตามข้อ ใบ ออกเรียงสลับซ้ายขวา อยู่ในราบเดียวกัน รูปยาวแคบแกมรูปใบหอก ยาว 7-15 ซม. ตัวใบเบาๆเรียวแหลมไปยังปลาย ข้างบนใบรวมทั้งขอบบีขนน้อย ข้างล่างสีอ่อนกว่าข้างบน ลิ้นใบบาง ยาว 2 มม. ดอก ออกเป็นช่อกระจัดกระจายที่ยอด ยาว 10-20 ซม. กิ่งช่อดอกประกอบด้วยช่อดอกย่อย เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รูปหอกกาบช่อดอกย่อยบาง อันข้างล่างปลายมน อันบนรูปหอก ปลายแหลม มีดอกย่อย 2 ดอก  สมุนไพร ดอกด้านล่างไม่สมบูรณ์ ดอกบนเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กาบดอกเรียบมัน เกสรเพศผู้มี 3 อัน รังไข่หมดจด ก้านเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นขนนก ผล มักจะได้ผลที่ไม่สมบูรณ์ ด้านการผสมพันธุ์สามารถสืบพันธุ์ด้วยเหง้า หรือลำต้นใต้ดิน

นิเวศน์วิทยา
: ถูกใจขึ้นในที่แห้ง รกร้าง ข้างถนน และตามสวน
สรรพคุณ : เหง้า น้ำต้มเหง้ามีรสฝาด ดื่มแก้ระบบเยี่ยวทุพพลภาพ ขับฉี่ ขับนิ่ว ลดไข้ และก็แก้รอบเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ

Tags : สมุนไพร
#18

สมุนไพรหญ้าไข่เหา
ต้นหญ้าไข่เหา Panicum sarmentosum Roxb.
ต้นหญ้าไข่เหา (ลำปาง) หญ้าฝรั่ง (จังหวัดกรุงเทพ)
  ไม้ล้มลุก ประเภทหญ้า มักจะเลื้อยคลุมต้นไม้อื่น ลำต้นกลมแข็ง ยาวได้ถึง 17 ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 มิลลิเมตร มีขนบางส่วน หรือ หมดจด โคนต้นมีรากเล็กๆออกรอบข้อ ใบ รูปแถบแกมรูปใบหอก หรือรูปขอบขนาน กว้าง 1.2-3.0 ซม. ยาว 30-37.5 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบกลม หรือเว้าบางส่วน ผิวเกลี้ยงหรือมีขน 2 ด้าน หรือมีขนเฉพาะด้านล่าง ขอบของใบหยาบคายมีเส้นใบมากไม่น้อยเลยทีเดียว ก้านใบเป็นกาบเกลี้ยง หรือมีขนห่างๆที่รอยต่อระหว่างโคนใบและกาบใบมีขนกลุ่มหนึ่ง ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจัดกระจาย ยาว 15-30 เซนติเมตร ประกอบด้วยแขนงช่อเยอะๆ สมุนไพร ช่อดอกย่อยสีออกน้ำตาล วาว ยาว 2-2.5 มม. กาบช่อดอกย่อยอันด้านล่างยาวครึ่งหนึ่งของช่อดอกย่อย มีเส้นตามแนวยาว 3 เส้น อันบนรวมทั้งกาบดอกอันล่างมีเส้น 5 เส้น กาบดอกอันบนสั้นและก็แคบ มีเส้น 2 เส้น ส่วนกาบดอกของดอกย่อยบนวาว สะอาด เกสรเพศผู้มี 3 อัน รังไข่สะอาด ก้านเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นขนนก ผลอยู่ในกาบดอก

นิเวศน์วิทยา
: มีถิ่นเกิดในเกาะเกะสุมาตรา ในประเทศไทยเจอขึ้นตามชายเขาแล้วก็ดังที่ราบต่ำ
คุณประโยชน์ : ราก ใช้บดรับประทานกับหมากสำหรับกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ต้น น้ำยางจากต้นใช้รวมกับสมุนไพรอื่นๆกินแก้ประจำเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ

Tags : สมุนไพร
#19

สมุนไพรแขม
แขม Saccharum arundinaceum Retz.
บางถิ่นเรียก แขม (ทั่วไป) ตะโป (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) แตร๊ง (เขมร-สุรินทร์) ปง (ภาคเหนือ)
ไม้ล้มลุก พวกต้นหญ้า ขึ้นเป็นกอขนาดใหญ่ ลำต้นสูงได้ถึง 3 ม. กว่า เส้นผ่าศูนย์กลางราว 2.5 ซม. ใบ รูปยาว ปลายเรียว กว้าง 2.5-5 ซม. ยาวประมาณ 1.5 ม. ขอบใบหยาบคาย เส้นกึ่งกลางใบสีขาว กาบใบยาวถึง 40 ซม. ผิวเรียบ เกลี้ยง ลิ้นใบขอบเป็นเยื่อตื้นๆขอบเป็นขนแข็ง เกลี้ยง ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ ยาว 0.3-1 ม. แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีขน หรือตามกิ่งเล็กๆอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีขนเป็นมันคล้ายเส้นไหม ช่อดอกย่อย (spikelet) มีขนยาวสีขาวเป็นเงาปกคลุมช่อดอกย่อยออกเป็นคู่ ช่อหนึ่งมีก้าน อีกช่อหนึ่งไม่มีก้าน กาบช่อดอกย่อยยาวพอๆกับช่อดอกย่อย กาบดอกสั้นกว่า บาง [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] เกสรเพศผู้มี 3 อัน รังไข่หมดจด ก้านเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นขนนก โผล่ข้างๆ สีม่วงแดง

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามริมฝั่งน้ำทั่วๆไป
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกกินเป็นยาเย็น ขับฉี่ และแก้โรคผิวหนังบางชนิด ต้น ต้มน้ำดื่มแกฝี หนอง

Tags : สมุนไพร
#20

สมุนไพรกระเบากลัก
กระเบากลัก Hydnocarpus ilicifolia King
บางถิ่นเรียก กระเบากลัก (สระบุรี) กระค่อยชาวา (เขมร-เมืองจันท์) กระค่อยพนม (เขมร-สุรินทร์) กระเบาลิง (ทั่วไป) กระเบียน ขี้มอด (จันทบุรี) กระเรียน (จังหวัดชลบุรี) คมขวาน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) จ๊าเมี่ยง (จังหวัดสระบุรี แพร่) มองกช้าง (กระบี่) บักกราย พะโลลูตุ้ม (มลายู-จังหวัดปัตตานี) หัวค่าง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี)
ไม้ต้น ขนาดกลาง สูง 10-30 ม. กิ่งอ่อนมักมีขนสีน้ำตาลปนแดงกระจายห่างๆกิ่งแก่เกลี้ยง ลำต้นตรง เปลือกเรียบสีเทา ใบ ผู้เดียว ออกเวียนสลับกัน รูปไข่ ขอบขนาน หรือ รูปไข่ปนรูปใบหอก กว้าง 4-7 ซม. ยาว 12-17 เซนติเมตร ตัวใบเบาๆเรียวสอบไปยังปลายใบ โคนใบมนหรือเบี้ยว ขอบของใบหยักเป็นฟันเลื่อยห่างๆค่อนไปทางปลายใบ ปรากฏชัดในใบอ่อน เนื้อใบครึ้มสะอาดเป็นมัน เส้นใบมี 6-8 คู่ เส้นใบย่อยสานกันเป็นร่างแห เห็นได้ชัดทั้งคู่ด้าน ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตามง่ามใบ สีเขียวอ่อน เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกไม้มีอย่างละ 4 กลีบ. สมุนไพร ดอกเพศผุ้ มีเกสรเพศผู้ 14-20 อัน สีขาว ก้านเกสรสั้นแล้วก็มีขนเรี่ยราย อับเรณูรูปไข่ปนรูปขอบขนาน ดอกเพศภรรยา มีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์โดยประมาณ 15 อัน รังรูปกลมรีหรือรูปไข่ มีขนสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น ผล กลม หน้าแข้ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม. ผิวมีขนนุ่มสีดำ ข้างในมีเมล็ดรูปไข่ 10-15 เม็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดิบแล้งหรือป่าเบญจพรรณทั่วไป ตามป่าหาด และบริเวณเขาหินปูน ความสูง 20-400 มัธยม
คุณประโยชน์ : เม็ด ให้นำมันกระเบา เหมือน H. anthelminthica แล้วก็มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน นอกเหนือจากนี้น้ำมันจากเมล็ดยังใช้สำหรับเพื่อการทำสบู่

Tags : สมุนไพร
#21

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรมะม่วย[/url]
มะม่วย Gnetum latifolium Bl. Var. funiculare (Bl.) Markgraf
บางถิ่นเรียก มะม่วย (สุรินทร์) มะหน่วย กะรูวะ (มลายู-จังหวัดนราธิวาส)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันรวมทั้งตามข้อจะบวมพอง ใบ ลำพัง เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานปนรี รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้าง 5-5.5 ซม. ยาว 13-16 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆโคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนามัน เส้นใบเป็นแบบขนโค้ง เมื่อแห้งใบจะมีสีน้ำตาล มองเห็นเส้นกิ้งก้านใบแน่ชัดก้านใบยาวราวๆ 1 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อตามลำต้น ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ช่อดอกแตกเป็นหลายแขนง สมุนไพร ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบศูนย์กลาง ช่อดอกเพศผู้ ยาว 2-5 ซม. มีปริมาณดอก 30-50 แต่ละชั้นมี 6-8 ดอก แต่ละดอกมีกาบรอง 2 อัน ที่เชื่อมชิดกันเป็นกระจัง มีแผ่นใบสร้างอับสปอร์เพศผู้ ยาว 3 มม. และก็มีอับสปอร์เพศผู้ติดต่อ 2 อัน  ช่อดอกเพศเมีย ยาว 5-8 เซนติเมตร แต่ละชั้นดอก 6-9 ดอก ดอกยาวราวๆ 4 มิลลิเมตร ปลายดอกเรียวแหลมแล้วก็ชี้ขึ้น ผล รูปกลมรี หรือ รูปไข่ กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง หรือ สีส้มคล้ำ ก้านผลเรียว ยาว 0.5-2 ซม. เม็ดแข็ง มีเนื้อห่อหุ้มอยู่ข้างนอก
นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดิบ ป่าพรุ ที่ราบลุ่มถึงความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 300 ม. เจอทั่วทุกภาคของประเทศ (มีดอกและก็ผลระหว่างเดือน เดือนกันยายน-เดือนกรกฎาคม)
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำยางจากเปลือกต้นเป็นพิษ ใช้ทาลูกศรแต่พิษไม่รุนแรงนัก เม็ด กินได้เมื่อทำให้สุก
#22

สมุนไพรรักทะเล
รักทะเล Scaevola taccada (Gaertn.) Roxb.
บางถิ่นเรียกว่า รักทะเล (ชุมพร) บงบ๊ง (มลายู-ภูเก็ต) บ่งบง (ภาคใต้) โหรา (ตราด)  ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น ขนาดเล็ก ใบ เดี่ยว ออกเวียนสลับ มีใบหนาแน่นตามปลายกิ่ง แผ่นใบรูปไข่กลับ หรือ รูปช้อน กว้าง 5-10 ซม. ยาว 12-15 ซม. เกลี้ยง หรือ มีขนเล็กน้อย โคนใบสอบเรียว ปลายใบกลม ขอบใบเรียบ หยักเล็กน้อย หรือ หยักลึก ดอก ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามง่ามใบ ยาว 2-4 ซม. มีดอกจำนวนน้อย ก้านช่อยาว 0.5-1 ซม. ใบประดับมีขนาดเล็กรูปสามเหลี่ยมค่อนข้างยาว ดอกยาวประมาณ 2 ซม. เกลี้ยง หรือ มีขนเล็กน้อย กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาว 2-5 มม. ปลายแยกเป็นแฉกรูปยาวแคบ 5 แฉก หลอดกลีบเลี้ยงเชื่อมกับรังไข่ กลีบดอก 5 กลีบเชื่อมกันเป็นหลอด สีขาว หรือ เหลืองอ่อน มีลายเส้นสีม่วงอ่อน สมุนไพร ด้านบนของหลอดดอกมีรอยผ่าลึก ทำให้กลีบดอกทั้ง 5 เบี้ยวลงไปอยู่ทางด้านล่าง ภายในหลอดมีขนหนาแน่น ขอบกลีบเป็นเส้นฝอย ๆ เกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านเกสรไม่ติดกัน รังไข่ 1 อัน ภายในมี 1-2 ช่อง แต่ละช่องมีไข่ 1 เมล็ด ก้านเกสรเพศเมียรูปทรงกระบอก โคนก้านมีขน ปลายเกสรมีเยื่อรูปถ้วยคลุมอยู่ขอบเยื่อคลุมมีขน ผล รูปกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. เกลี้ยง เมื่อสุกสีขาวนวล เปลือกชั้นในที่หุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็ง ภายในมี 1-2 เมล็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามชายฝั่งทะเลที่เป็นทราย หรือ หิน ยกเว้นตามป่าชายเลน
สรรพคุณ : ราก น้ำต้มราก กินแก้พิษ จากการกินปูหรือปลาที่มีพิษ ใบ ใช้สูบได้เหมือนใบยาสูบ  น้ำต้มใบ กินเป็นยาช่วยย่อย ตำพอกแก้ปวดบวมและแก้ปวดศีรษะ
#23

สมุนไพรแมงลักคา
แมงลักคา Hyptis suaveolens (L.) Poit.
บางถิ่นเรียก แมงลักคา (ชุมพร) การา (สุราษฎร์ธานี)
ไม้ล้มลุก สูง 0.5-1.5 ม. แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม มีขน มีกลิ่นหอมยวนใจแรง ใบ ออกตรงข้าม รูปไข่ถึงรูปไข่กลับค่อนข้างจะกว้าง กว้าง 2-4 ซม. ยาว 3-5 เซนติเมตร ปลายมน หรือ ออกจะแหลม โคนใบกลม หรือ ตัด มักจะเบี้ยวบางส่วน ขอบจักเป็นฟันเลื่อยเล็กๆไม่เป็นระเบียบ ด้านบนมีขนห่างๆด้านล่างมีขนหนาแน่น ก้านใบ ยาว 0.5-3 ซม. มีขน  [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] ดอก ออกเป็นช่อตามงามใบ ช่อหนึ่งมี 2-5 ดอก ก้านช่อดอก ยาว 0.5-1 ซม. มีขน ริ้วประดับเล็กมีขนแข็งกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ยาว 5-5.5 ซม. ปากหลอดมีขนนุ่มยาว และก็มีหนามยาวแหลม 5 อัน ยาวเกือบจะเสมอกัน มีสันตามยาว 10 สัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กๆปลายแยกเป็นปาก ปากบนมี 2 หยัก ปากด้านล่างมี 3 หยัก เกสรเพศผู้มี 4 อัน ก้านเกสรไม่ติดกัน ผล รูปขอบขนานแคบ ยาว 1.2-1.5 มม. ปลายผลชอบเว้า ผิวมีรอยย่นเด่นชัดอยู่ข้างในหลอดกลีบเลี้ยงจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ยาว 8-10 มม.
นิเวศน์วิทยา
: เป็นวัชพืชขึ้นดังที่รกร้าง รวมทั้งเจอตามป่าดิบ ที่ความสูงไม่มากสักเท่าไรนัก
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรับประทานเป็นยาเจริญอาหาร แล้วก็ขับประจำเดือนต้น ตำเป็นยาพอก แก้โรคผิวหนังบางประเภท ยาชงจากต้นใช้เป็นยาขับเหงื่อ ได้แก่ในผู้ที่เป็นหวัด ใบ ชงเป็นยาลดไข้ น้ำยางจากใบ กินแก้เจ็บท้อง ยอดอ่อนใช้แต่งรสของกิน กระตุ้นลักษณะการทำงานของร่างกาย ขับเหงื่อ ขับน้ำนม รวมทั้งแก้หวัด
#24

สมุนไพรแมงกะแซง
แมงกะแซง Ociumum americanum L.
บางถิ่นเรียก แมงกะแซง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
    ไม้ล้มลุก สูง 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา มีกลิ่นหอมสดชื่นแรงคล้ายการบูร ลำต้นแล้วก็กิ่งมีสันตามยา ปกคลุมด้วยขนสั้นๆหรือขนสะอาด ใบ เดี่ยว ออกตรงข้าม รูปใบหอกถึงรูปรี กว้าง 0.9-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบเรียบ หรือหยักมนห่างๆผิวใบมีต่อมเป็นจุดๆด้านบนและก็ด้านล่าง ไม่มีขน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจะที่ยอดและที่ปลายกิ่ง เป็นช่อลำพังหรือแตกกิ่ง ยาว 7-15 เซนติเมตร ริ้วแต่งแต้มรูปใบหอกปนรี ยาว 2-3(-5) มม. ปลายแหลม มีขน ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงสีเขียว เชื่อมกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-2.5 มม. (เมื่อได้ผลสำเร็จยาว 3-4.5 มิลลิเมตร) ปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนแบนกว้างแล้วก็ใหญ่ (เมื่อได้ผลจะโค้งกลับ) ขอบมีขน ปากข้างล่างมีแฉกแหลม 4 แฉก รูปลิ่มกลับปนรูปใบหอก มีต่อมเป็นตุ่มกลมมีก้านชู [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] พบภายในรวมทั้งด้านนอก ข้างในปกคลุมด้วยขนยาวและนุ่ม ด้านนอกมีขนสีขาว กลีบดอกสีขาวเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาว 4-6 มิลลิเมตร สะอาด หรือมีขนสั้นๆปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนตัด มีหยัก 4 หยัก ขนาดแทบเท่ากัน ปากด้านล่างยาว ขอบเรียบโค้งลง เกสรเพศผู้ 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ ก้านเกสรเล็ก ยาวพ้นปากหลอด เกสรคู่บนมีติ่งใกล้โคนก้านเกสร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีชมพู ผล ขนาดเล็ก รูปรีแคบ ยาว 1.2 มม. สีดำ มีจุดใสๆเมื่อนำไปแช่น้ำจะมีวุ้นห่อรอบเม็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นดังที่รกร้าง เจอที่ จ.ประจวบฯ
สรรพคุณ : ต้น ประชาชนประยุกต์ใช้เพื่อไล่ยุงและแมลง
#25

สมุนไพรแมงกะแซง
แมงกะแซง Ociumum americanum L.
บางถิ่นเรียก แมงกะแซง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
    ไม้ล้มลุก สูง 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา มีกลิ่นหอมหวนแรงเหมือนการบูร ลำต้นและก็กิ่งมีสันตามยา ปกคลุมด้วยขนสั้นๆหรือขนสะอาด ใบ คนเดียว ออกตรงกันข้าม รูปใบหอกถึงรูปรี กว้าง 0.9-2.5 ซม. ยาว 2.5-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบเรียบ หรือหยักมนห่างๆผิวใบมีต่อมเป็นจุดๆข้างบนแล้วก็ข้างล่าง ไม่มีขน ก้านใบยาว 1-2.5 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจะที่ยอดแล้วก็ที่ปลายกิ่ง เป็นช่อลำพังหรือแตกกิ่ง ยาว 7-15 ซม. ริ้วเสริมแต่งรูปใบหอกแกมรี ยาว 2-3(-5) มิลลิเมตร ปลายแหลม มีขน ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงสีเขียว เชื่อมกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-2.5 มิลลิเมตร (เมื่อสำเร็จยาว 3-4.5 มิลลิเมตร) ปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนแบนกว้างรวมทั้งใหญ่ (เมื่อได้ผลจะโค้งกลับ) ขอบมีขน ปากล่างมีแฉกแหลม 4 แฉก รูปลิ่มกลับแกมรูปใบหอก มีต่อมเป็นตุ่มกลมมีก้านชู [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/u][/b][/url] เจอด้านในและก็ข้างนอก ด้านในปกคลุมด้วยขนยาวและนุ่ม ภายนอกมีขนสีขาว กลีบดอกสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 4-6 มิลลิเมตร หมดจด หรือมีขนสั้นๆปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนตัด มีหยัก 4 หยัก ขนาดเกือบจะเสมอกัน ปากข้างล่างยาว ขอบเรียบโค้งลง เกสรเพศผู้ 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ ก้านเกสรเล็ก ยาวพ้นปากหลอด เกสรคู่บนมีติ่งใกล้โคนก้านเกสร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีชมพู ผล ขนาดเล็ก รูปรีแคบ ยาว 1.2 มิลลิเมตร สีดำ มีจุดใสๆเมื่อนำไปแช่น้ำจะมีวุ้นห่อหุ้มรอบเม็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นจากที่รกร้าง เจอที่ จังหวัดประจวบฯ
สรรพคุณ : ทั้งยังต้น ราษฎรประยุกต์ใช้เพื่อไล่ยุงรวมทั้งแมลง

Tags : สมุนไพร
#26

สมุนไพรต้นเอียน
ต้นเหม็นเบื่อ Neolitsea zeylanica Merr. ต้นเหม็นเบื่อ (ภาคใต้)
ไม้ใหญ่ สูงได้ถึง 15 ม. เปลือกสีเทา หรือเทาอมชมพู เรียบหรือมีรอยแตกตามทางยาวนิดหน่อย แขนงเรียวเล็ก ใบ เดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งแบบบันไดเวียน ใบอ่อนสีชมพูอ่อน รูปรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 2-7.5 เซนติเมตร ยาว 3.5-14 ซม. ปลายใบเรียวยาว ปลายสุดมน โคนใบแหลม เนื้อใบคล้ายแผ่นหนังบางๆข้างล่างเป็นรอยเปื้อนขาว เส้นใบมี 3-4 คู่ คู่ข้างล่างสุดยาวขึ้นไปถึงประมาณกึ่งกลางใบ ก้านใบยาว 0.5-2 ซม. ด้านบนเป็นร่อง สะอาด ดอก ออกตามง่ามใบ หรือตามกิ่ง มีตั้งแต่ 1-4 ดอก มีใบแต่งแต้ม 4 ใบ ด้านดอกย่อยมีขน ยาวราวๆ 3 มิลลิเมตร กลีบรวม 4 กลีบ มีขน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url][/url][/color] ดอกเพศผู้ มีเกสรเพศผู้ 6 อัน เรียงเป็น 2 วง วงนอก 4 อัน เบือนหน้าเข้าข้างใน ไม่มีต่อม วงใน 2 อัน หัเข้าข้างใน มีต่อมที่โคนก้านเกสร 2 ต่อ อับเรณูมี 4 ช่อง ดอกเพศเมีย มีเกสรเพศผู้เป็นหมัน 6 อัน รูปยาว หรือรูปช้อน เกสรเพศเมียรูปกลม ผล กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 7-12 มม. เมื่ออ่อนสีเขียวแก่เกือบดำ มีกลีบรวมซึ่งเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยรองรับอยู่ บางครั้งอาจจะออกเดี่ยวๆหรือออกเป็นกรุ๊ปตั้งแต่ 2-6 ผล

นิเวศน์วิทยา
: ชอบขึ้นตามหาดทรายและตามหิน
สรรพคุณ : ราก ต้น ตำเป็นยาพอกแก้แผลหรือเล็บอักเสบ[/size][/b]

Tags : สมุนไพร
#27

สมุนไพรเชียด
เชียด Cinnamomum iners Blume
บางถิ่นเรียกว่า เชียด มหาปราบเพศผู้ อบเชย อบเชยต้น (ภาคกลาง) กระแจะนาฬิกา กะเชียด กะทังนั้น (จังหวัดยะลา) กะดังงา (กาญจนบุรี) กะพังหัน โกเล่ เนอม้า (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) เขียด เคียด เฉียดฉิว ชะนุต้น (ภาคใต้) ดิ๊กซี่สอ (กะเหรี่ยง-จังหวัดเชียงใหม่) บอกคอก (จังหวัดลำปาง) ฝักกระบี่ (พิษณุโลก) พญาปราบ (จังหวัดนครราชสีมา) สะวง (จังหวัดปราจีนบุรี)
สมุนไพร ไม้ต้น ขนาดกึ่งกลางถึงขั้นใหญ่ สูง 15-20 ม. ทรงพุ่มไม้กลม หรือ รูปเจดีย์ต่ำๆทึบ เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ออกจะเรียบ เกลี้ยง เปลือกรวมทั้งใบมีกลิ่นหอมหวนอบเชย (cinnamon) ใบ คนเดียว ออกตรงข้าม หรือเยื้องกันน้อย รูปขอบขนาน กว้าง 2.5-7.5 ซม. ยาว 7.5-2.5 ซม. เนื้อใบ ครึ้ม สะอาด แล้วก็กรอ มีเส้นใบออกมาจากโคนใบ 3 เส้นยาวตลอดจนถึงปลายใบ ข้างล่างเป็นรอยเปื้อนขาวๆก้านใบยาว 0.5 ซม. ดอก มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หรือเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแบบกระจัดกระจายที่ปลายกิ่ง ยาว 10-25 เซนติเมตร ดอกมีกลิ่นเหม็น ผล มีขนาดเล็ก รูปขอบขนาน ยาวโดยประมาณ 1 เซนติเมตร แข็ง ตามผิวมีคราบขาวๆแต่ละผลมีเมล็ดเดียว ฐานรองรับผลเป็นรูปถ้วย

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นกระจายทั่วไปในป่าดิบ
คุณประโยชน์ : ราก เจอ essential oil ที่ประกอบด้วย eugenol safrol, benzaldehyde รวมทั้ง terpene ต้น เปลือกต้นเจอ essential oil โดยประมาณ 0.5% มี eugenol, terpene แล้วก็ cinnamic aldehyde
#28

สมุนไพรหมีเหม็น
หมีเหม็น Litsea glutinosa C.B. Rob.
บางถิ่นเรียกว่า หมีเหม็น มะเย้อ ยุบเหยา (เหนือ, ชลบุรี) กำปรนบาย (ซอง-จันทบุรี) ดอกจุ๋ม (ลำปาง) ตังสีพงไพร (พิษณุโลก) ทังบวน (จังหวัดปัตตานี) มือเบาะ (มลายู-จังหวัดยะลา) ม้น (ตรัง) หมี (อุดรธานี, จังหวัดลำปาง) หมูทะลวง (จันทบุรี) หมูเหม็น (แพร่) เส่ปียขู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) อีเหม็น (จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี)
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] ไม้พุ่ม สูง 2-5 มัธยม แขนงมีสีเทา ใบ เดี่ยว ออกเรียงสลับ มักจะออกเป็นกลุ่มหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบรูปรี หรือรูปไข่กลับ หรือออกจะกลม กว้าง 4-10 ซม. ยาว 7-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลม หรือ กลม โคนใบสอบเป็นครีบหรือกลม ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนเกลี้ยงเป็นเงา ข้างล่างมีขน เส้นใบมี 8-13 คู่ ข้างล่างเห็นกระจ่างกว่าข้างบน ก้านใบยาว 1-2.5 เซนติเมตร มีขน ดอก ออกตามง่ามใบเป็นช่อ แบบซี่ร่ม ก้านช่อยาว 2-6 เซนติเมตร มีขน ใบเสริมแต่งมี 4 ใบ มีขน ก้านดอกย่อยยาว 5-6 มม. มีขน ดอกเพศผู้ ช่อหนึ่งมีโดยประมาณ 8-10 ดอก กลีบรวมลดรูปกระทั่งเหลือ 1-2 กลม หรือไม่เหลือเลย กลีบรูปขอบขนาน ขอบกลีบมีขน เกสรเพศผู้มี 9-20 อัน เรียงเป็นชั้นๆก้านเกสารมีขน ชั้นในมีต่อมกลมๆที่โคนก้าน ต่อมมีก้าน อับเรณูรูปรี มี 4 ช่อง เกสรเพศเมียเป็นหมันอยู่กึ่งกลาง ดอกเพศเมีย กลีบรวมลดรูปจนกระทั่งไม่มี หรือเหลือเพียงแค่นิดหน่อย เกสรเพศผู้เป็นหมันเป็นรูปช้อน เกสรเพศเมียไม่มีขน รังไข่รูปไข่ ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1-2 มม. ปลายเกสรเพศเมียรูปจาน ผล กลม เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีดำ ผิววาว ก้านผลมีขน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าเบญจพรรณเปียกชื้น แล้วก็ป่าดงดิบทั่วๆไป
สรรพคุณ : ราก เป็นยาฝาดสมาน แล้วก็ยาบำรุง ต้น ยางเป็นยาฝาดสมานแก้บิด ท้องเดิน กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ทาแก้พิษแมลงกัดต่อย แก้ปวด บดเป็นผงผสมกับน้ำหรือนม ทาแก้แผลอักเสบ และเป็นยาห้ามเลือด ใบ มีเยื่อเมือกมากมาย ใช้เป็นยาฝาดสมาน รวมทั้งแก้อาการเคืองของผิวหนัง ตำเป็นยาพอกบาดแผลเล็กๆน้อยๆผล กินได้และให้น้ำมัน เป็นยาถูนวดแก้ปวด rheumatism  เม็ด ตำเป็นยาพอกฝี
#29

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรพิลังกาสา[/url]
ชื่อประจำถิ่นอื่น  ผักจำ  ผักจ้ำแดง (จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย) พิลังกาสา (ภาคกึ่งกลาง) ตีนจำ (เลย)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Ardisia polycephala Wall. ex A.DC.
ชื่อตระกูล  MYRSINACEAE
ชื่อสามัญ Philangkaasaa.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มกึ่งไม้ใหญ่ขนาดเล็ก (S/ST) ขนาดย่อม มีความสูงราวๆ 2-3 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น แม้กระนั้นไม่มากนัก ลักษณะลำต้นสีเทา ผิวตะปุ่มตะป่ำ
สมุนไพร ใบ เป็นใบลำพัง ออกเรียงสลับกันเป็นคู่ๆตามข้อต้น ลักษณะใบรูปไข่ ปลายแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบเรียบ ใบหนาดกทึบ และใหญ่ มีสีเขียวเป็นมัน
ดอก มีดอกเป็นช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง หรือตามส่วนยอด ดอกสีขาวชำเลืองม่วง เป็นกรุ๊ปใหญ่
ผล ขนาดเท่าเม็ดนุ่น เป็นพวงช่อใหญ่สีม่วงแดง เมื่อแก่สีแก่จนเกือบดำ

นิเวศวิทยา
เกิดตามที่รกร้างว่างเปล่า ป่าเบญจพรรณปกติ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและบังร่มเงา่ได้ดี ตามสวนสาธารณะ
การปลูกแล้วก็ขยายพันธุ์
เป็นไม้ที่โล่งแจ้ง เติบโตได้ในดินที่ร่วนซุยที่มีสารอินทรีย์มาก แพร่พันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่ใช้ รส แล้วก็สรรพคคุณ
ราก รสฝาดเปรีี้ยว แก้กามโรค หนองใน พอกปิดแผลทำลายพิษงูกัด ใช้กากพอกแผล
ต้น   รสเฝื่อนฝาด แก้โรคเรื้อน โรคผิวหนัง
ใบ รสขื่นร้อน แก้ตับพิการ แก้ปอดดพิการ
ดอก รสเฝื่อนฝาด ฆ่าเชื้อโรค
ผล รสร้อนฝาดอ่อนโยน แก้ไข้ ท้องร่วง โรคเรื้อน กุฏฐัง
วิธีการใช้และก็จำนวนที่ใช้

  • แก้โรคผิวหนัง หรือ โรคเรื้้อน กุฏฐัง โดยใช้ผลสด 10-15 กรัม นำมาตำอย่างละเอียด ผสมเหล้าโรงน้อย ใช้ทารวมทั้งพอกบริเวณที่เป็นวันละ 2 เวลา รุ่งเช้าเย็น หรือบางทีอาจจะใช้เปลือกต้น 1 ฝ่ามือ หรือ หนักราวๆ 20 กรัม สับเป็นขิ้นแล้วตำอย่างรอบคอบผสมเหล้าโรงนิดหน่อยคั้นเอาน้ำทาและพอกด้วยกากวันละ 2 เวลา


    Tags : สมุนไพร
#31

เจตมูลเพลิงขาว
ชื่อพื้นบ้านอื่น  ปิดปิวขาว (ภาคเหนือ) ตั้งชู้รักอ้วย , ตอชุวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เจตมูลไฟขาว (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Plumbaga zeylanica L.
ชื่อวงศ์  PLUMBAGINACEAE
ชื่อสามัญ White leadwort.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงประมาณ 1-1.5 เมตร กิ่งอ่อนเป็นรองและเป็นเหลี่ยมสีเขียว แตกกิ่งก้านสาขาบริเวณต้นจำนวนมาก
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามกัน ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนานปนรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบของใบเรียบหรือเป็นคลื่นบางส่วน ใบมีสีเขียวเข้ม ลักษณะคล้ายกับใบมะลิแต่จะใหญ่มากยิ่งกว่า
ดอก ออกดอกเป็นช่อที่ส่วนยอดของต้น ดอกมีสีขาว โคนหลอดจะเป็นหลอดเล็กๆแต่ส่วนปลายจะบานเหมือนจานมีอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกจะบางมาก กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุมอยู่ ซึ่งขนนี้จะมีต่อมเหนียวๆติดมือ
ผล ได้ผลสำเร็จแห้ง ลักษณะรูปรี ยาว กลม สีเขียวแล้วก็มีขนเหนียวรอบผล แตกออกได้
นิเวศวิทยา
มีบ้านเกิดเมืองนอนในประเทศอินเดีย และเขตร้อนทั่วไป เกิดตามปาสดงดิบและป่าเบญจพรรณทั่วๆไป เป็นไม้ที่ชอบอยู่ร่มรำไร
การปลูกและขยายพันธุ์
เจริญวัยได้ดิบได้ดีในที่ที่มีอากาศร้อนชื้น และภาวะดินทั่วๆไป  ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง

ส่วนที่ใช้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแล้วก็สรรพคคุณ   
สมุนไพร ราก รสร้อน ใช้เป็นยาขับเมนส์ แก้ปวดข้อ ขับพยาธิ ใช้ทาแก้ขี้กลากเกลื้อน หยุดอาการปวดฟัน แล้วก็แก้ท้องร่วง ขับลมในกระเพาะอาหารและก็ลำไส้ ขับเลือดระดู แก้ริดสีดวงทวาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ต้น  รสร้อน แก้เลือดอันเกิดแต่กองกำเดา
ใบ รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
ดอก รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
วิธีการใช้และก็ปริมาณที่ใช้

  • ขับรอบเดือนหรืบขับเลือดระดู โดยใช้รากสด 5-10 กรัม หรือแห้งราวๆ 3-5 กรัม ล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นต้มในน้ำที่สะอาด 500 ซีซี นานราว 10 นาที แล้วกรองเอาน้ำ ดื่มวันละ 2 เวลา ยามเช้า-เย็น

    ข้อควรรู้
    รากมีสาร plumbagin ลำต้นมีเช่นเดียวกัน แต่ว่าน้อยกว่าราก
    ต้องการให้เป็นยาช่วยสำหรับการย่อยหรือเจริญอาหาร ให้นำผงของรากเจตมูลไฟแดงมาผสมกับลูกสมอพิเภก ผงดีปลี รวมทั้งเกลือ อย่างละเท่าๆกัน รับประทานครั้งละ 2.5 กรัม
    สตรีที่ตั้งท้องห้ามรับประทานรากของต้นนี้ เพราะเหตุว่ารากจะมีสารบางอย่างที่ทำให้แท้งบุตรได้

    Tags : สมุนไพร
#32

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรลิ้นงูเห่า[/url]
ชื่อท้องถิ่นอื่น  ลิ้นงูเห่า (จันทบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Clinacanthus siamensis Bremek.
ชื่อสกุล  ACANTHACEAE
ชื่อสามัญ Lin gnu hao.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้เถาล้มลุก (HC) ลักษณะพุ่มเลื้อย คล้าบต้นเสลดพังพอนตัวเมีย ลำต้นกลมสีเขียวเรียวยาว ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ลักษณะใบรูปหอกหรือรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม. ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบเล็กกลม แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม ใบดกรวมทั้งดกทึบดอก มีดอกเป็นช่อกระจุก สีแดงปนส้ม แต่ละข่อมีดอกย่อยอัดแน่น 10-15 ดอก ลักษณะที่คล้ายดอกเสมหะพังพอนตัวเมีย กลีบเลี้ยงสีเขียวเป็นรูประฆังตื้นๆโคนดอกชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอกไม้ 2 กลีบมีเกสรตัวผู้เป็นสีเหลืองแทงพ้นกลีบดอกไม้ ผล เมื่อแห้งแตกได้ ด้านในมีเมล็ด

นิเวศวิทยา
กำเนิดดังที่รกร้างว่างเปล่าทั่วๆไป นิยมปลูกตามสถานที่ต่างๆอีกทั้งสวนสาธารณะ วัดแล้วก็อาคารบ้านเรือน เพื่อเป็นไม้ประดับรวมทั้งใช้ประโยชน์ทางยา
การปลูกแล้วก็เพาะพันธุ์
เป็นไม้กลางแจ้ง ถูกใจแดดแรง น้ำไม่ขัง เจริญเติบโตได้ในดินร่วนซุย นิยมนำมาปลูกเป็นแปลงหรือเป็นแนว ขยายพันธ์ฺด้วยการเพาะเม็ดหรือการปักชำกื่ง
ส่วนที่ใช้รสและสรรพคุณ
สมุนไพร ราก รสจืดเย็น โขลกพอกดับพิษแมลงกัดต่อย
ใบ รสจืดเย็น โขลกหรือขยี้ทาแก้พิษร้อน โรคผิวหนัง พิษอักเสบแล้วก็ปวดฝี รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการอักเสบ
การใช้แล้วก็ปริมาณที่ใช้

  • เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบสด 10-20 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาโขลกอย่างรอบคอบ ใช้ทาและพอกบริเวณที่เป็น วันละ 2-3 ครั้ง เสมอๆ ตราบจนกระทั่งจะหาย 2. ลดอาการปวดแสบปวดร้อนของตุ่มแผลงูสวัด โดยใช้ใบสด 10-20 ใบ ล้างให้สะอาดนำมาตำให้รอบคอบผสมเหล้าโรงเล็กน้อย เอามาทาและพอกรอบๆที่มีลักษณะอาการร เช้า-เย็น เป็นประจำ
#33

สมุนไพรกำลังกระบือ
ชื่อพื้นบ้านอื่น  กระบือเจ็ดหัว  กำลังควาย  ลิ้นกระบือ (ภาคกึ่งกลาง) กะบือ (จังหวัดราชบุรี) ใบท้องแดง (จันทบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Excoecaria cochinchinensis Lour.  var.  cochinchinensis
ชื่อพ้อง Excoecaria bicolor (Hassk) Zollex Hassk.
ชื่อสกุล  EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ Kamlang kra bue.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม (ExS) สูงราวๆ 70-150 ซม. ทุกส่วนมียางขาวเสมือนน้ำนม กิ่งเรียวเล็ก เปลือกสีแดงอมม่วงใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกันหรือเรียงสลับ ลักษณะใบรูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมไข่กลับ โคนใบแหลม ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆขอบใบหยักห่างๆเส้นใบ 12-13 คู่ ใบอ่อนสีแดงผิววาว ใบแก่ด้านบนสีเขียว ด้านล่างสีแดงอมม่วง ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร หูใบเป็นรูปหอกปลายแหลม
ดอก มีดอกเป็นช่อตามซอกใบแล้วก็ที่่ยอด มีดอกเพศผู้ เพศเมีย และดอกบริบูรณ์เพศ บางครั้งก็อาจจะอยู่บนต้นเดียวกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ดอกเพศผู้และดอกบริบูรณ์เพศช่อยาวราวๆ 2 ซม. ใบตกแต่งรูปสามเหลี่ยม ปลายเรียวแหลม กลีบรองกลีบดอก 3 กลีบ รูปยาวแคบ ปลายแหลม ดอกเพศภรรยา กลม มักจะออกทีละ 3 ดอก ใบประดับราวกับดอกเพศผู้ ก้านดอกสั้นมาก กลีบรองกลีบ 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม ขอบหยักเล็ฏน้อย ดอกมีสีเหลืองอมเขียวขนาดเล็กออกดอกตลอดปี ผล เป็นชนิดแก่แล้วแห้ง รู)ร่างค่อนข้างจะกลม ไม่มีเนื้อ มี 3 พู เมื่อแก่แตกเป็น 3 ส่วน

นิเวศวิทยา
เป็นไม้ในเขตร้อน มีบ้านเกิดเมืองนอนแถบอินโดจีน นิยมปลูกทั่วไปเป็นไม้ประดับ
การปลูกและขยายพันธุ์                                   
สามารถเจริญวัยเจริญในดินร่วนซุยธรรมดา เพาะพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง หรือ การตอนกิ่ง
ส่วนที่ใช้รสและสรรพคุณ
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] ลำต้น รสร้อนขื่น ยางจากลำาต้นเป็นพิษมากมาย ใช้สำหรับในการเบื่อปลา
ใบ  รสร้อนเฝื่อนฝาดฝาด รักษาโรคที่เกี่ยวกับความเปลี่ยนไปจากปกติของระบบเลือดบางจำพวก ชาวชวาใช้ใบโขลกเป็นยาพอกห้ามเลือด แบบเรียนยาแพทย์แผนไทยนำใบตำผสมกับสุรากลั่นคั้นเอาน้ำกินแก้สันนิบาตหน้าเพลิง ยาขับเลือดเสียและขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังคลอดลูก แก้อักเสบรอบๆปากมดลูก
วิธีใช้รวมทั้งปริมาณที่ใช้

  • ขับน้ำคร่ำข้างหลังคลอด ขับเลือดเน่า ขับรอบเดือน โดยใช้ใบสด 10-15 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ถี่ถ้วน ผสมกับสุราโรงน้อย คั้นเอาน้ำค่อยๆจิบ เช้าตรู่-เย็น

    ข้อควรจะทราบ
    ไม่ควรใช้ในสตรีที่ท้อง เพาะหากใช้ในบริมาณที่มาก อาจทำให้แท้งได้
    ใบสดต้นกระบือเจ็ดตัว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทำเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ได้อีกด้วย เพราะเหตุว่ามีสีแดงสดใส
#34
Cmxseed Market / สัตววัตถุ คางคก
12 ธันวาคม 2017, 08:49:39

คางคก
คางคกเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มีกระดูกสันหลัง มี ๔ ขา เมื่อโตเต็มกำลังไม่มีหาง จัดอยู่ในตระกูล  Bufonidae คางคกแท้อันเป็นคางคกที่จัดอยู่ในสกุล Bufo เจอได้เกือบทั้งโลกกว่า ๑00 ชนิด ที่เจอในประเทศไทยมีหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น
คางคก อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bufo melanostictitcus  (Schneider)
คางคกป่า อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Bufo macrotis ( Boulenger)
คางคกไฟ หรือคางคกหัวจีบ อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ Bufo parvus (Boulenger)
ชีววิทยาของคางคก
คางคกมีรูปร่างเหมือนกบ คุณลักษณะเด่นของคางคกเป็น หนังตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยปุ่มเงื่อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ปมใหญ่ๆมักอยู่ตามหลัง เงื่อนใหญ่ที่สุดอยู่ด้านหลังตา เงื่อนเหล่านี้เป็นต่อมพิษ มีน้ำพิษเป็นยางเหนียวๆ(น้ำพิษนี้เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้คัน เมื่อกินเข้าไปจะมีผลให้มึนเมา อาจจะก่อให้ตายได้) คางคกมีขาสั้นกว่ากบ มีฟัน
คางคกอยู่ตามพื้นหรือใต้ดิน ออกหากินค่ำคืน ตามปกติทำมาหากินตัวหนอนและก็แมลง โดยใช้ลิ้นที่เป็นแฉกแลบออกมาจับกุมหนอนหรือแมลงแล้วตวัดเข้าปากช่วงเวลากลางวันมักแอบนอนอยู่ใต้ก้อนหินหรือขอนไม้ หรือนอนนิ่งอยู่ตามซอกหรือในโพรงดิน เมื่อถึงเวลาผสมมพันธุ์ คางคกเพศผู้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียจะเกาะบนพื้นหลังตัวเมีย แล้วปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ช่องร่วมซึ่งใช้เป็นถ่ายและสืบพันธุ์ ตัวเมียวางไข่ในน้ำ ไข่ออกเป็นสายวุ้นยาวๆเมื่ออกเป็นตัวก็จะเป็นลูกอ๊อดเสมือนๆกับ ลูกกบ แม้กระนั้นดำกว่า

ยางคางคก
ยางคางคกเป็นยางสีขาวที่ได้จากต่อมบริเวณใต้ตาของคางคก น้ำมาทำให้แห้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ กระบวนการทำให้แห้งบางทีอาจใช้แนวทางผึ่งงเอาไว้ในที่ร่มไม่ผึ่งแดด จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ระเบียงชู (chansu) ประเทศญี่ปุ่นเรียก เซนโซ (senso) ตำรำยาที่เมืองจีน ฉบับปี ค.ศ. ๒000 ยืนยันเครื่องยานี้ภายใต้ชื่อ  Venenum Bufonis ชื่อภาษาอังกฤษว่า Toad  Venom  แบบเรียนนี้ว่าอาจได้จากคางคก ๒ ชนิดเป็นคางคกจีน (Bufo gargarizans Cantor) หรือคางคก   Bofo melanostictus ( Schneider)
สมุนไพร ยางคางคกมีคุณลักษณะหวาน ฝาด อุ่น และเป็นพิษ ไปสู่เส้นไตและกระเพาะ มีคุณลักษณะถอนพิษ แก้ปวด รวมทั้งทำให้ฟื้นคืนสติ จึงใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ปวด แก้เจ็บท้อง แก้ไอ ใช้ผสมเป็นยาทาภายนอกใช้สำหรับแก้คัน และก็แก้โรคผิวหนังลางชนิด เนื่องจากมีฤทธิ์หยุดความรู้สึกที่ปลายประสาทใช้แก้พิษฝีต่างๆ
ยางคางคกมีสารที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจหลายประเภท สารพวกนี้ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ บีบตัวได้แรงขึ้นหลายประเภท ที่สำคัญดังเช่น สารโฟทาลิน (bufotalin) สารบูโฟนิน (bufonin)
คุณประโยชน์ทางยา
คางคกที่ ใช้ ทางยาเป็นคางคก มันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bofo meianostictus (schneider) ประเภทนี้มีความยาว จากปากถึงตูดราว ๑๐ เซนติเมตร แพทย์แผนไทยใช้คางคกตายซาก เป็นคางคกที่ตายแล้วแห้งไม่เน่า เอาสุมไฟตลอดตัว จนถึงเป็นถ่านแล้วบดผสมกับน้ำมันยาง (Dipterocarpus alatus Roxb) ทาแผลโรคเรื้อน โรคมะเร็ง คุดทะราด ฆ่าเชื้อโรคเจริญ
#35
Cmxseed Market / สัตววัตถุ มดเเดง
11 ธันวาคม 2017, 19:31:45

มดแดง
มดแดงเป็นมดประเภทหนึ่ง มีสีแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)
จัดอยู่ในวงศ์ Formicidae
ชีววิทยาของมด
มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น  รอบๆส่วนท้องคอดกิ่วในระหว่างที่ตืดกับอกทางด้านหลังของส่วนท้องบ้องที่ ๑  หรือในมดบางจำพวกศูนย์รวมไปถึงปล้องที่  มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงขึ้น โหนกนี้อาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกลุ่มแมลงที่มองคล้ายคลึงกัน  เช่น  พวกต่อและแตน หรือแตกต่างไปจากปลวกที่คนทั่วไปมักงงมากกัน โดยมองเห็นมดกับปลวกแบบเดียวกันไปหมด เว้นแต่ไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะบ้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีประเภทใดอยู่สันโดษ ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ และเพศแตกต่างกัน พูดอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง เพศผู้เป็นพ่อรัง และมดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง และเฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันออกไปอีก
อาทิเช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็อาจทำหน้าที่สร้างรังและเลี้ยงรัง เหล่านี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก รวมทั้งท้องได้สัดส่วนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่เฝ้ารัง มดพวกนี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่ามดงานปกติอย่างยิ่งแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ ไม่ได้รูปทรงกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดเพศผู้และก็มดตังเมียซึ่งเป็นบิดารังแล้วก็แม่รังนั้น บางทีอาจพบได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดพอๆกับมดงานก็มี อย่างไรก็ดีมดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน อาจสังเกตมดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังแล้วก็มดงานลูกรัง ซึ่งพวกหลังนี้มักมีตาเล็ก จนบางครั้งบางคราวเกือบจะไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดบิดารังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น รูปแบบของปีกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมาก รูปร่างของปีกคู่หน้าและก็ปีกคู่หลังก็แตกต่าง รวมทั้งที่สำคัญเป็นมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่ข้างหลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน แล้วก็รูปร่างของปีกก็คล้ายคลึงกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี

สมุนไพร ในขณะนี้มีการประมาณกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ชนิด ชาวไทยต่างรู้จักดีกับมดเป็นอย่างดี เพราะมีมดหลายอย่างอาศัยตามบ้านที่พัก หรือในรอบๆใกล้เคียงกัยอาคารบ้านเรือน การเรียกชื่อมดของคนประเทศไทยบางทีอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก "มด" นำหน้า ดังเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) เพราะเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งสติไม่ดีไปเป็นมด เป็นต้น มดบางชนิดพวกเราเรียกชื่อตามอาการอันมีเหตุมาจากถูกมดนั้นกัด ดังเช่นว่า มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะก่อให้รู้สึกคันในรอบๆแผลที่กัด  หรือผูกคันไฟ  (Solenopsis  geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด นอกเหนือจากมีลักษณะอาการคันแล้ว ยังมีลักษณะแสบร้อนราวกับถูกไฟลวก
บางประเภทก็เรียกตามกิริยาท่าทางที่มดแสดงออก ยกตัวอย่างเช่น มดลนลาน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ถูกใจวิ่งเร็วแล้วก็วิ่งพล่านไป เปรียบเสมือนผู้ที่วิ่งดัวยความตกอกตกใจ  มดประเภทนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน  ที่บ้าเป็นมดตาลานก็มี หรือมดตูดงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักยกท้องขึ้นท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น  ทำให้มองดูเหมือนตูดงอล  เป็นต้น
มดบางจำพวกเป็นมดที่พสกนิกรตามท้องถิ่นใช้บริโภค  จึงเรียกไปตามรสอย่างเช่น  ทางภาคเหนือ  อันได้แก่  ชาวจังหวัดแพร่  น่าน  ลำพูน  เชียงราย  จังหวัดเชียงใหม่  ฯลฯ  นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม  ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน  ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเพราะมีรสชาติมันและอร่อย  จึงเรียกชื่อตามรสชาตินั้น อย่างไรก็แล้วแต่  มีมดบางจำพวกที่ราษฎรไม่ได้รัชูชื่อโดยใข้คำ "มด" นำหน้าตัวอย่างเช่น เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis  Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดกินฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกับแมลงจำพวกอื่นที่อาจมีการรัยกชื่อเพี้ยนไปตามท้องภิ่นเป็นต้นว่า  แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนบ้านนอกในแคว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  อันดังเช่น  ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในขณะคนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง  ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้  เช่น  จังหวัดชุมพร  สุราษฎร์ธานี  สงขา  นครศรีธรรมราช  ภูเก็ต  เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังและก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังแล้วก็ผสมพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว  มดตัวผู้มักตาย  มดตัวเมียซึ่งตระเตรียมสร้างรังใหม่ก็จะหาที่พักพิงอันมิดชิด  แล้วสลัดปีกทิ้ง  รอตราบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนจนกว่าเข้าดักแด้  รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตสุดกำลังกลายเป็นมดงานที่เลี้ยงแม่ต่อไป  เมื่อมดงานปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว  แม่รังก็ทำ
หน้าที่วางไข่เพียงอย่างเดียว  การควบคุมวรรณะของรังอาจปฏิบัติโดยการวางไข่ที่แตกต่าง  ยกตัวอย่างเช่น  ขนาดแตกต่างกัน  ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังและมดงาน  ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดเพศผู้หรือมดบิดารัง  รูปแบบของวงจรชีวิตแบบนี้ต่างจากปลวก  ด้วยเหตุว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า  ซึ่งประกอบดัสยบิดาและแม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้  พ่อรังมักมีชืวิโคนยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งตระเตรียมวางไข่  เมื่อไข่ฟักเป็นตัว  ก็จะเป็นปลวกงานซึ่งสามารถดำเนินการอุปถัมภ์พ่อแม่ได้โดยไม่ต้องคอยให้โตสุดกำลังเสียก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน  บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง  เช่นมดแดง  หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังใกล้กับไม้ที่อาศัย  ได้แก่มดลี่หรือมดก้นงอล  บางพวกสร้างรังในดินมีลักษณะเป็นช่องสลับซับซ้อนเหมือนรังปวก  ได้แก่มดมันหรือแมลงมัน  รังของมดจึงมัลักษณะของอุปกรณ์ที่สร้าง  โครงสร้าง  แล้วก็รูปร่างนานับประการล้นหลามให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดง
เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  ครั้นไข่แก่ก็จะวางไข่  ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น  จะถูกวางเป็นกระจุกใกล้กับใบไม้ด้านในรัง   ไข่ที่ได้รับการผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดงานแล้วก็มดแม่รังส่วนไข่ที่ไม่ได้รับผสมจะรุ่งเรืองไปเป็นมดเพศผู้  เมื่อไข่ก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในระยะนี้อาจทานอาหารและก็ขยับเขยื้อนตัวได้บางส่วน  จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยทุกๆอย่าง ขารวมทั้งปีกเป็นอิสระจากลำตัว  และก็หยุดรับประทานอาหาร  แล้วหลังจากนั้นก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย  และก็ที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัยทั้ง๓ วรรณะได้แก่
๑. มดแม่รัง มีความยาว  ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร  สีเขียวใสจนกระทั่งสีน้ำตาลแดงหัวรวมทั้งอกสีน้ำตาลคล้ายมดงาน  แม้กระนั้นหัวกว้างว่า  ส่วนนอกสั้น  อกข้อแรกตรงอกบ้องที่ ๓ ทื่อ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง  ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน  ส่วนท้องเป็นรูปไข่  เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว  ทำหน้าที่เพาะพันธุ์  รังหนึ่งบางทีอาจพบมดแม่รังหลายตัว  แม้กระนั้นจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะสืบพันธุ์ได้
๒. มดเพศผู้  มีความยาว ๖-๗ มิลลิเมตร  ลำตัวสีดำ  หัวเล็ก  ฟันกรามแคบตาลุก  หนวดเป็นแบบด้าย  มี ๑๓ บ้อง  ฐานหนวดยาว  ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก  อกปล้องที่ ๓ ใหญ่  ข้อต่อหนวดยาว  ท้องรูปไข่  ปีกสีนวลใสมีหน้าที่สืบพันธุ์พียงอปิ้งเดียว  อายุสั้นมาก  เมื่อสืบพันธุ์แล้วจะตาย
๓.  มดงาน  มีความยาว ๗-๑๑ มม.  กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร  สีแดงหัวแล้วก็อกมีขนสั้นๆ หัวกลม  ด้านล่างแคบ  ฟันกรามขัดกัน  ปลายแหลมโค้งตอนต่อไปแคบ  อกข้อที่  ๒  กลม  โค้งขึ้น  อกข้อที่ ๓ คอด  คล้ายอาน  ขายาวเรียว  ข้อต่อหนวดรูปไข่  ส่วนท้องสั้น  เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก  มีบทบาทหาร  ทำรัง  รวมทั้งคุ้มครองศัตรู
ประโยชน์ทางยา
แบบเรียนคุณประโยชน์ยาบาราณว่า  น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว  ฉุน  สูดดมแก้ลมแก้พิษเสมหะโลหิต ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงถอนพิษ  โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูมีพิษกัด  ให้มดต่อยที่รอบๆนั้น  ไม่นานมดแดงก็จะตาย  ใช้มือปาดเอามดแดงเอาไป  แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่  ทำอีกครั้งๆไปเรื่อยๆจยกว่ากำลังจะถึงมือแพทพ์  บางคราวบางทีอาจจำเป็นต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกจาก  ประชาชนบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำเนิดบาดแผลขึ้น  และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะชำระล้างบาดแผลหรือหายาใส่แผลได้  เป็นต้นว่า  เมือ่อยู่ในป่าหรือในท้องนา  ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล)  วางไว้รอบๆปากแผล  ให้ปวดแสบปวดร้อนมากมาย
พระตำราธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ "วัณโรค ๗ ประการ"  อันเกิดอาจ "หนองพิการหรือแตก" ซึ่งนำมาซึ่งอาการไอ  ผ่ายผอม  เบื่ออาหารยาขนานนี้เข้า "รังมดแดง" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ ปุพ์โพ  เป็นหนองทุพพลภาพหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง  ให้กายผอมแห้งหนัก  ให้กินอาหารไม่จักรส  มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ  ถ้าจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง  หัวหอม ๑ ตำลึง ๑ บาท ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี  ยาทั้งยัง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักแล้วก็ธาตุเบาชำระบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้

Tags : สมุนไพร
#36
Cmxseed Market / สัตววัตถุ ปลาดุก
11 ธันวาคม 2017, 16:39:34

ปลาดุก
ปลาดุกเป็นสัตว์เลือดเย็น มีกระดูกสันสันหลัง ปลาที่คนประเทศไทยเรียก ปลาดุก หรือ walking catfish นั้น อาจหมายคือปลาน้ำปลาน้ำจืดอย่างน้อย ๒ จำพวกในสกุล Clariidae  คือ
๑. ปลาดุกด้าน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Clarias  batrachus  (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า walking  catfish
ลางตัวที่มีสีขาวตลอด ราษฎรเรียก ดุกเผือก หรือหากมีสีค่อนข้างจะแดง  ก็เรียก ดุกแดง  แต่ว่าถ้าหากมีจุดขาวรอบๆทั่วลำตัว  ก็เรียก ดุกเอ็น ปลาดุกด้านมีรูปร่างยาวเรียว ยาว  ๑๖-๔๐  เซนติเมตร (ในธรรมชาติบางทีอาจยาวได้ถึง ๖๑  ซม.) รอบๆด้านข้างของลำตัวมีสีเทาคละเคล้าดำหรือสีน้ำตาลปนดำ บริเวณท้องมีสีค่อนข้างจะขาว ไม่มีเกล็ด ความยาวของลำตัวราว ๖-๗.๕ เท่าของความลึกของลำตัว แล้วก็ราว๓.๕ เท่าของความยาวท่อนหัว หัวค่อนข้างแหลมถ้ามองทางข้างๆ กระดูกหัวมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ กระดูกกำดันยื่นเป็นมุมออกจะแหลม ส่วนฐานของครีบขี้เกียจมากแทบตลอดส่วนหลัง ครีบหลังมีก้านครีบอ่อน ๖๕-๗๗  ก้าน ไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน  ๔๑-๕๘  ก้าน ครีบท้องกลม ครีบอกกลม มีก้านครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าน ปลายแหลม เป็นหยัก ๒ ข้าง ครีบหางแบน ปลายมน ไม่ต่อกับครีบหลังและก็ครีบก้น ตามีขนาดเล็กอยู่ข้างบนของหัว มีหนวด ๔ คู่  หนวดที่ขากรรไกรข้างล่างยาวถึงส่วนปลายก้านครีบแข็งของครีบอก หนวดขากรรไกรบนยาวถึงก้านครีบข้างหลังก้านที่  ๗-๘   หนวดที่บริเวณจมูกยาวเป็น ๑ ใน ๓ ของก้านครีบแข็งของครีบอก  และก็หนวดคางยาวถึงส่วนปลายของครีบอก ภายในท่อนหัวเหนือช่องเหงือกทั้ง ๒ ข้าง มีอวัยวะพิเศษที่ช่วยสำหรับเพื่อการหายใจ ฟันบนเพดานปากรวมทั้งฟันบนขากรรไกรบนเป็นฟันซี่เล็กๆกระดูกซี่กรองเหงือกมี  ๑๖-๑๙  อัน ปลาดุกด้านมีนิสัยดุ ว่องไว เกลียดอยู่นิ่ง เร่งรีบ ชอบดำว่ายดำผุดและก็ถูกใจลอดไปตามพื้นโคลนตม ชอบว่ายทวนน้ำออกไปจากแหล่งอาศัยในขณะฝนตกและก็น้ำไหลบ่าลงสู่แหล่งน้ำแห่งใหม่ มีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมที่เรวร้ายได้
๒. ปลาดุกอุย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias  microcephalus  Gunther
มีชื่อสามัญว่า  broadhead  walking  catfish
ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว ยาว  ๑๕-๓๕  เซนติเมตร  สีค่อนข้างเหลือง  มีจุดประตามด้านข้างลำตัวราว ๙-๑๐ แถบ แม้กระนั้นเมื่อโตจะเลือนหายไป ผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะบริเวณอกถึงครีบท้อง ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ปลายกระดูกท้ายทอยป้านและโค้งมนมากมาย   ท่อนหัวจะลื่น มีรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย  มีหนวด  ๔  คู่  โคลนหนวดเล็ก ปากไม่ป้าน ค่อนข้างจะมนครีบอกมีครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าง มีลักษณะคม ยื่นยาวหรือเท่ากับครีบอ่อน ครีบข้างหลังมีก้านครีบอ่อน  ๖๘-๗๒  ก้าน   ปลายครีบสีเทาปนดำรวมทั้งยาวตลอดถึงคอดหาง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน  ๔๗-๕๒  ก้าน ครีบหางกลม ไม่ใหญ่มากนัก สีเทาคละเคล้าดำ ครีบหางไม่ติดกับฐานครีบหลังและก็ครีบก้น   ปริมาณกระดูกซี่กรองเหงือกราว  ๓๒  ซี่งเมื่อมองผิวเผินทั้งปลาดุกด้านและปลาดุกอุยมีลำตัวสั้นป้อมกว่า ลำตัวสีดำปนเหลือง มีจุดเล็กๆสีขาวเรียงเป็นแถวตามทางขวางลำตัวหลายแถว หรืออาจมองเห็นเป็นจุดประสีขาวตามลำตัว ปลายกระดูกกำดันโค้งมน ปลาดุกเป็นปลาที่พบได้ตามคู คลอง หนอง บ่อน้ำทั่วๆไป จัดเป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจของไทย
คุณประโยชน์ทางยา
สมุนไพร แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ปลาดุกผสมเป็นเครื่องยาในตำรับยาหลายขนาน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน พระคู่มือไกษย ให้ยาที่เข้า "ปลาดุกย่าง" อยู่ ๒ ขนาน อีกทั้ง ๒ ขนานเป็นยาแกง รับประทานเป็นยาถ่ายอย่างแรง สำหรับแก้กษัย ดังนี้ ยาแก้ไกษยปลาดุก เอาเปลือกราชพฤกษ์ ๑ กลีบตาเสือ ๑  รากตอแตง  ๑  พิงไฉนนุ่น ๑  พริกไทยขิงแห้ง ๑  กระเทียม  ๑  ผลจันทน์ ๑  ดอกจันทน์  ๑  กระวาน  ๑  กานพลู  ๑  ข่า  ๑  กระชาย  ๑  กะทือ  ๑  ไพล  ๑  หอม  ๑  ขมิ้นอ้อย  ๑  กะปิ  ๑  ปลาดุกย่าง  ๑  ตัว ปลาร้าปลาส้อย ๕  ตัว   ยา  ๒๐  สิ่งนืทำเปนแกง แล้วเอาใบมะกาที่เพสลาดนั้นมาหั่นใส่ลงเปนผัก รับประทานให้ได้ถ้วยแกงหนึ่ง ลงจนถึงสิ้นโทษร้าย หายดีเลิศนัก และยางแกงเปนยารุ ท่านให้เอาเปลือกทองหลางใบมนที่ ๒ เปลือกมะรุม ๑ ลูกคัดเลือกเค้า ๑ เครื่องยาทั้งนี้เอาสิ่งละ ๗ ตัว ปลาดุกย่าง ๑ ตัว เอาใบสลอดที่รับประทานลงที่อ่อนๆนั้น ๗ ใบ หั่นเป็นผักใส่ลง ทำเปนยาเถอะ ลงเสมหะเขียวเหลืองออกมา หายแล

Tags : สมุนไพร
#37

เต่าในประเทศไทย
เต่าที่พบในประเทศไทย (ไม่รวมตะพาบน้ำ) มีอย่างน้อย ๒๒ จำพวก จัดอยู่ใน ๕ ตระกูล คือ
๑.ตระกูลเต่าทะเล(Cheloniidea) เจอ ๔ จำพวกคือ เต่าตนุ(เต่าแดด) เต่าหญ้า เต่ากระ รวมทั้งเต่าหัวโต เป็นเต่ากระดองแข็ง มีแผ่นเกล็ดปกคลุม อาจเรียงต่อกัน(ยกตัวอย่างเช่น เต่าตนุ) หรือซ้อนกันเล็กน้อย (อาทิเช่น เต่ากระ) ขาหน้าแผ่เป็นครีบสำหรับว่ายน้ำ ขาหลังเป็นครีบกว้างสำหรับใช้เป็นหางเสือ
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url][/url][/color]
๒.สกุลเต่าเฟื่อง(dermochelyidae) เจอเพียงชนิดเดียวหมายถึงเต่าเฟือง (มักเรียกกันผิดเป็น "เต่ามะเฟือง") เป็นเต่ากระดองอ่อน มีสันยาวเรียกตัวบนหลังจากคอลงไปถึงตูด ๕ สัน ข้างตัวอีกข้างละสัน รวมเป็น ๗ สัน ใต้ท้องมีอีก ๕ สัน สันที่ใต้ท้องจะเลือนหายไปเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนสันบนหลังหายไปบ้างเมื่อเทียบกับอายุยังน้อย บนหัวตัวอ่อนมีเกล็ด แม้กระนั้นจะหายไปเมื่อโตขึ้น มีหนังปกคลุมแทน ขาหน้าแผ่เป็นครีบสำหรับว่ายน้ำ ยาวกว่าขาของเต่าสมุทรอื่นๆขาหลังเป็นครีบกว้างๆสำหรับใช้เป็นหางเสือ และใช้ขุดหลุมเมื่อจะตกไข่
๓.ตระกูลเต่าน้ำจืด(Emydidae) พบอย่างน้อย ๑๓ ประเภท เช่น เต่ากระอาน เต่าลายตีนเป็ด เต่าหับ เต่าแดง (เต่าใบไม้) เต่าหวาย เต่าบัว เต่าจักร เต่านา เต่าจัน เต่าปากเหลือง เต่าดำ เต่าทับทิม และก็เต่าแก้มแดง เต่าในสกุลนี้สามารถหดหัวเข้าไปไว้ภายในกระดองได้หมด ขาแบน นิ้วและเล็บยาวกว่าเต่าบก ระหว่างนิ้วมีแผ่นพังผืดกางไม่มากมายก็น้อย บนหัวปกคลุมด้วยหนัง ไม่เป็นเกล็ดราวกับหัวเต่าบก แต่ว่าบริเวณท้ายทอยนั้น หลังอาจลายทำให้มองเหมือนเกล็ด

๔.สกุลเต่าปูลู(Platysternidae) พบในประเทศไทยเพียงแค่ชนิดเดียว คือเต่าปูลู มีลักษณะสำคัญคือกระดองบนกับกระดองข้างล่างเป็นคนละระดับ ยึดติดกันด้วยพังผืด กระดองทั้งคู่แบนเข้าพบกันมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทรวงอก หัวโต หดหัวเข้าไปในกระดองมิได้ หัวคลุมด้วยแผ่นซึ่งไม่แบ่งได้ชิ้นเกล็ดเสมือนเต่าอื่น ระหว่างนิ้วมีพังผืดบ้าง แต่ว่าไม่เต็มนิ้ว นิ้วมีเล็บแหลมทุกนิ้ว เว้นนิ้วก้อย หางยาวมากมาย มีเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมปกคลุมบนหาง
๕.ตระกูลเต่าบก(Testudinidae) เจอ ๓ ประเภทเป็นเต่าหก เต่าเดือย แล้วก็ เต่าเหลือง เต่าในตระกูลนี้ต่างจากเต่าน้ำในสกุลอื่นๆตรงที่ขาทั้ง ๔ กลม ไม่มีพังผืดยึดระหว่างนิ้ว เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ขาว่ายน้ำ มีเกล็ดบนหัวแล้วก็ที่ขา
#38

หมวดคอร์ดาตา
สัตว์ในหมวดคอร์ดาตา (Phylum Chordata) เป็นสัตว์ที่มีพัฒนาการสูงขึ้นยิ่งกว่าหมวดอื่นๆมีลักษณะสำคัญ คือ
๑. มีโนโตคอร์ด (notochord) เป็นแท่งเค้าโครง ซึ่งต้องมีขั้นต่ำในตอนระยะใดระยะหนึ่งของชีวิต หรืออาจมีอยู่ทั้งชีวิต เซลล์ศูนย์รวมเป็นโนโตคอร์ดเป็นเซลล์ที่มีช่องว่างมากมาย โนโตคอร์ดมีเยื่อเกี่ยวข้องห่อหุ้ม สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังจะมีกระดูกรุ่งโรจน์ขึ้นมาแทนที่โนโตคอร์ด และโนโตคอร์ดเจอในระยะตัวอ่อนเท่านั้น
๒. มีเส้นประสาทไขสันหลังอยู่ด้านหลังเหนือทางเดินอาหาร
๓. มีช่องเหงือกอยู่รอบๆคอหอย เป็นช่องยาวอยู่ที่ฝาผนังของคอหอย เป็นทางที่น้ำผ่านออกจากคอหอย
๔. มีระบบประสาทศูนย์กลาง
๕. มีเพศแยกอยู่คนละตัว
๖. มีสมมาตรแบบทบกัน ๒ ซีก
สัตว์ในหมวดนี้อาจแบ่งประเภทออกได้เป็น ๒ พวกใหญ่ๆเป็น สัตว์โปรโตคอร์ดาตากับสัตว์มีกระดูกสันหลัง โดยที่พวกข้างหลังนั้น เป็นพวกที่มีการนำมาใช้ผลดีทางยามาก สัตว์มีกระดูกสันหลังที่เป็นประโยชน์ทางยา อาจจำแนกแยกแยะย่อยได้อีกเป็น ๒ กรุ๊ปเป็นกลุ่มปลากับกรุ๊ปจตุบาท
กลุ่มปลา
กรุ๊ปปลา (Superclass Pisces) เป็นสัตว์น้ำ หายใจด้วยเหงือก โดยให้น้ำไหลผ่านช่องเหงือก ใช้ครีบสำหรับเพื่อการเคลื่อนและทรงตัว ส่วนใหญ่มีเกล็ดหุ้มตัว มีหัวหัวใจ ๒ ห้อง ประสาทสมองมี ๑๐ คู่ มีเส้นข้างตัวสำหรับรับความสั่นสะเทือน รูจมูกไม่ใช้หายใจ แต่ใช้ดมกลิ่น แบ่งย่อยออกเป็น ๓ ชั้น แต่ว่าที่เจอในประเทศไทยและก็มีประโยชน์ทางยามีเพียงแต่ ๒ ชั้น คือชั้นปลากระดูกอ่อน (Class Chondrichthyes) กับชั้นปลากระดูกแข็ง (Class Osteichthyes)
ชั้นปลากระดูกอ่อน
ชั้นปลากระดูกอ่อน (Class Chondrichthyes) เป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในน้ำ  มีกระดูกกรุบหรือกระดูกอ่อน  หายใจด้วยเหงือก  มีช่องเหงือกเห็นได้ชัดเจน มีราว ๓-๗ คู่  ช่องเหงือกนี้อาจอยู่ด้านข้างหรือข้างล่างของลำตัว ปากอยู่ทางข้างล่างของลำตัว มีฟัน  ใช้กล้ามเนื้อลำตัวและครีบช่วยในการเคลื่อนไหว  สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ  มีการปฏิสนธิภายในตัว
ปลากระเบน
ปลากระเบนเป็นปลากระดูกอ่อนพวกหนึ่ง  มีหลายอย่าง  หลายสกุล  และก็หลายสกุล  มีรวมทั่วโลกราว ๔๓๐ ประเภท ในประเทศไทยมีไม่ต่ำกว่า ๒๐ ชนิด  จัดอยู่ในอันดับ Rajiformes  มีชื่อสามัญว่า ray อย่างเช่น ปลา-ปลากระเบนเจ้าพระยา  อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dasyatis (Himantura) polylepis (Bleeker) จัดอยู่ในตระกูล Trigonidae  ซึ่งมีขนาดตัวกว้างกว่า ๒ เมตร หนักกว่า ๕๐๐ โล  เจอในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อำเภอบางไทร  จังหวัดอยุธยา  ไปจนถึงแม่น้ำน่าน  จังหวัดพิจิตรแล้วก็ยังพบได้อีกในแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำโขง

ชีววิทยาของปลากระเบน
ปลากระเบนเป็นปลาที่มีลำตัวแบน ลื่น มีเกล็ด ที่มีลักษณะเป็นปุ่มเล็กๆหรือมีผิวหนังหยาบคายเป็นลางแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวสันหลัง  ยกเว้นปลากระเบนขนุน ผิวหนังเป็นหนามปกคลุมทุกตัวโดยปกติ ปลากระเบนมีครีบอกแบออกข้างๆ ลางประเภทแผ่ออกไปจรดหัวทางข้างหน้ารวมทั้งหางทางด้านท้ายจนถึงเกือบจะเป็นวงกลมมองคล้ายจานหรือลางชนิดแผ่ยื่นออกด้านข้างเป็นปีกเหมือนนกหรือผีเสื้อ แล้วก็ลางประเภทครีบอกแผ่ไปไม่ถึงส่วนหัว ทำให้หัวแยกออกมาจากครีบอกรวมทั้งเห็นหัวโหนกเป็นลอน อย่างเช่น ปลากระเบนนก  อาจมีหรืออไม่มีครีบหลัง ไม่มีครีบหาง เว้นเสียแต่ปลากระเบนกระแสไฟฟ้า  กระเบนท้องน้ำ หรือ โรนินและโรนัน  ครีบท้องอยู่ด้านล่างตรงส่วนท้ายลำตัว จะงอยปากของปลากระเบนลางประเภทยื่นแหลม อย่างเช่น ปลากระเบนขาว ลางชนิดมนกลม อย่างเช่น ปลากระเบนไฟฟ้า หรือลางพวกเป็นแผ่แข็ง  มีฟันห่างเรียวอยู่สองข้าง ดังเช่น ปลาฉนาก ส่วนใหญ่ปลากระเบนมีตาอยู่ด้านบน  มีลางจำพวกที่ตาอยู่ข้างๆหัว ยกตัวอย่างเช่น ปลากระเบนนก ปลากระเบนราหู ด้านหลังตาเป็นช่องหายใจ ปากและก็จมูกอยู่ด้านล่าง ลางชนิดมีปากที่ยึดหดได้บ้าง  ระหว่างปากกับจมูกมีร่องเชื่อมถึงกัน  ช่องเหงือกมี ๕ คู่  อยู่ถัดไปทางท้ายของปาก  ฟันเป็นฟันบด หน้าตัดเรียบหรือเป็นปุ่มเล็กๆเรียงเป็นแถวๆหลายแนว   อยู่ทั้งยังด้านบนรวมทั้งข้างล่างของขากรรไกร  ทวารร่วมเป็นช่องยาวรีค่อนไปทางด้านหลัง ถัดลงไปมีรูท้องเล็กๆ๒ รู  ตัวมีของลับเป็นแท่ง เรียกกันว่า ตะเกียบ อยู่ด้านในของครีบท้องทั้งยังซ้ายและก็ขวา หางปลากระเบนอาจเรียวยาว สั้นบ้าง ยาวบ้าง มักมีผิวหยาบหรือตะปุ่มตะป่ำ ลางประเภทอาจมีแผ่นหนังบางๆอยู่ด้านบนแล้วก็ด้านล่างของหาง   อาจมีเงี่ยงหางยาวและแหลมคม ๑-๔ อัน   บนหางตอนใกล้ลำตัว โคนเงี่ยงหางมีต่อมน้ำพิษอยู่ เมื่อถูกแทงจะรู้สึกเจ็บปวด เงี่ยงหางนี้เจอเฉพาะในปลากระเบนวงศ์ Trygonidae (Dasyatididae)  และปลากระเบนนก สกุล Myliobatidae
ปลากระเบนในน่านน้ำไทย
ปลากระเบนที่พบในน่านน้ำของเมืองไทยมีราว ๔๐ จำพวกมีเพียงแต่ ๕ ชนิดที่พบในน้ำจืด ยิ่งกว่านั้นพบในน้ำเค็ม มักอาศัยอยู่กับพื้นท้องน้ำที่เป็นดินโคลนทรายหรือดินปนทราย   กินสัตว์ที่อยู่ตามพื้นใต้ท้องน้ำเป็นอาหาร อย่างเช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ตลอดจนเพรียงแล้วก็หนอนต่างๆ
สมุนไพร
ปลากระเบนที่รู้จักกันดีจัดอยู่ใน ๔ สกุล เป็น
๑.ปลากระเบนในตระกูล Trigonidae  (Dasytididae) เช่น
ปลากระเบนขาว Dasyatis signifier (Campagno et Roberts)
ปลากระเบนเสือ Dasyatis (Himantura) gerrardi (Gray)
ปลากระเบนธง Dasyatis (Pastinachus) sephen (Forsskal)
ปลากระเบนทองคำ Taeniura lymma (Forsskal)
ปลากระเบนขนุน Urogymnus africanus (Bloch et Schneider)
๒.ปลากระเบนในวงศ์ Myliobatidae อาทิเช่น
ปลากระเบนค้างคาว Aetomylaeus maculatus (Gray)
ปลากระเบนค้างคาว Aetomylaeus niehofii (Bloch et Schneider)
ปลากระเบนค้างคาว Aetomylaeus narinari (Euphrasen)
ปลากระเบนจมูกวัว หรือปลายี่สน Rhinoptera javanica Muller et Henle
๓.ปลากระเบนในสกุล Mobulidae เช่น
ปลากระเบนราหู Mobula japonica (Muller et Henle)
ปลากระเบนราหู Mobula diabolus (Shaw)
๔.ปลากระเบนในวงศ์ Torpenidinae อาทิเช่น
ปลากระเบนไฟฟ้า หรือปลาเสียว Narke dipterygia (Bloch et Schneider)
ปลากระเบนไฟฟ้า หรือปลาเสียว (Temera hardwickii Gray)
ปลากระเบนไฟฟ้า หรือปลาเสียว (Narcine indica Henle)
ผลดีทางยา
หมอแผนไทยใช้ "หนังปลากระเบน" และก็ "เงี่ยงปลากระเบน"  เป็นเครื่องยาสำหรับปรุงยาหลายตำรับหลายขนาน แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า หนังปลากระเบนมีรสมัน  คาว มีสรรพคุณขับเลือด แก้ซาง ส่วนเงี่ยงปลาปลากระเบนมีรสเย็น มีคุณประโยชน์ดับพิษรอยดำ ตำราเรียนยาแผ่นจารึกวัดราชโอรสารามให้ยาแก้ซางขนานหนึ่งเข้า "หนังกเบน" เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ อนึ่งเอานอแรด เขากวาง หนังกเบน ผมคน หวายตะค้า  รากมะแว้ง ยาทั้งนี้ขั้ว ตรีกะเหม็นตุก กเทียม เอาเท่าเทียมกัน ทำเปนจุณ บดลายสุราปัดกวาด แก้ละอองแล แก้ทรางช้างทั้งผอง หายอย่าสนเท่เลย วิเสศนักแล ฯ ในพระตำราธาตุวิภังค์ให้ยาแก้พิษไข้รอยแดงทั้งหมดไว้ขนานหนึ่ง ชื่อ "ยาจักรวาลฟ้ารอบ" ยาขนานนี้เข้า "เงี่ยงปลากระเบน" เป็นเครื่องยาด้วย นอกจากนั้น  อดีตใช้หนังปลากระเบนขัดไม้หรือเขาสัตว์แทนกระดาษทราย   น้ำมันจากตับปลากระเบนก็ใช้ประโยชน์ได้เหมือนกับน้ำมันจากตับปลาประเภทอื่น  ส่วนครีบปลากระเบนกินได้เช่นเดียวกับครีบปลาฉลามซึ่งคนจีนนิยมกินกัน รวมทั้งเรียกกันว่า "หูฉลาม"

Tags : สมุนไพร
#39
Cmxseed Market / สัตวัตถุ มดลี่
08 ธันวาคม 2017, 10:38:23

มดลี่
มดลี่เป็นแมลงพวกมด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า crematogsterdoheniiMayr
จัดอยู่อยู่วงศ์  Formicidae เวลาเดินจะยกท้องอืดท้องเฟ้อตั้งฉากกับลำตัว  ครั้งคราวก็เลยเรียก มดก้นงอน
ชีววิทยาของมดลี่
มดลี่ที่เป็นมดงานมีลำตัวยาวราว ๓.๕-๕ มม.  สีแดงผสมน้ำตาลหรือสีสนิมเหล็ก  นอกจากหนวดรวมทั้งปลายท้อง  ท่อนหัวโต  ทึบ  ไม่วาว  สะท้อนแสง  มีร่องเป็นลายเส้นทอดไปตามความยาวของหัว  และก็เส้นจะห่างบานออกไปทางท้ายของหัว  กรามมีลายเส้นตามทางยาว  ริมฝีปากบนโค้ง  ขอบขอบหน้าตัดตรง  และมีขนละเอียดตามขอบตาเล็กกลม  สีน้ำตาลแก่  อยู่บริเวณราวตรงกลางหัว  หนวดยาวจากหัว  หนาดยาวจากถึงอกปล้องที่ ๒ โคนหนวดมีขนสีส้มผสมแดงอ่อนกระจัดกระจายอยู่หัว  อกสีทึบ  ไม่เป็นมัน  ค่อนข้างจะแคบรวมทั้งแบนทางข้างๆ  อกปล้องแรกมีขอบยื่นไปทางด้านข้าง  รวมทั้งขอบนี้จะไปเชื่อมกับส่วนหน้าขอบอกปล้องกึ่งกลาง  มีลักษณะโค้งนูนอกกทางข้างหน้า  มีรอยย่นแล้วก็จุดเล็กๆเป็นลายกระจัดกระจายทั่ว  อกบ้องกึ่งกลางมีลัษณะเป็นสี่เหลี่ยมเมื่อมองดูทางด้านหลัง  ยาวมากกว่ากว้าง  รวมทั้งมีขอบเว้าเข้าเล็กน้อย  มีรอยย่นแล้วก็จุดเล็กๆเป็นลายกระจัดกระจายอกปล้องที่ ๓ กว้างมากกว่ายาว  มีร่องเป็นลายเส้นทอดไปตามยาว  ช่วงท้ายของอกยื่นเป็นมุม  แล้วก็มีหนามเล็กๆยื่นไปทางด้านท้องข้างละอัน  หนามนี้โค้งลงนิดหน่อย  ปลายของปล้องที่ ๓ ตัดตั้งฉากลงไปติดส่วนท้อง มีลักษณะเรียบรวมทั้งเป็นเงา  ขายาวประมาณความยาวของลำตัว  โหนกบนท้องบ้องแรกกว้าง  แล้วก็ปลายแบน  ด้านข้างสอบลงและมีตุ่มเล็กๆกลมๆที่ปลาย  โหนบนท้องปล้อยที่ ๒ สั้นมากมาย  ตรงกลางเป็นร่องท้องโตยาวราว ๑ ใน ๓ ของลำตัว  มีลัษณะวาว  สะท้อนแสง  รวมทั้งมีรูปจุดเล็กๆละเอียดกระจัดกระจายอยู่ทั่ว มดลี่ชนิดนี้อาศัยทำรังดินผสมเศษวัสดุจากพืชอยู่บนต้นไม้  ลางครั้งบางทีอาจเจอรังใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับลูกฟุตบอล  กินสัตว์เล็กๆเป็นอาหาร  แล้วก็ถูกใจเลี้ยงเพลี้ยเพื่อดื่มน้ำหวานจากเพลี้ย มดลี่ชนิดย่อย crematogsterdoheniiregenhoferiMayr  มีลัษณะต่างๆแบบเดียวกันมาก  ยกเว้นท้องที่มีสีดำตลอด

ผลดีทางยา
สมุนไพร แพท์แผนไทยรู้จักใช้ "รังมดลี่" เป็นเครื่องยาด้วย  เช่นในพระตำราไกษพให้ยาแก้ษัยปลวกขนานหนึ่ง  ดังนี้ ถ้าเกิดจะแก้  เอาใบส้มช่า ๑ ใบมะขาม ๑ ใบส้มป่อย ๑ ใบส้วเสี้ยว ๑ ใบส้มสันดาน ๑ ใบส้มสลุง ๑ ใบมะตาดเครือ ๑ สิ่งกำมือ  ใบมะกา ๓ กำมือ  รังมดลี่ ๑ แท่นปลวก ๑ แท่น  สมอทั้ง ๓ หัวหอม ๑ สิ่ง ละเท่าอายุคนเจ็บ  เทียนดำหนัก ๑ บาท  ขมิ้นอ้อยไพล ๑ รากโคนงแตก ๑ หนักสิ่งละ ๓ ตำลึง รวมยา ๑๖ สิ่งนี้ ต้มตามแนวทางให้กิน แก้ไกษพปลวกทำให้จับสบัดร้อนสบัดหนาว หากจะทุเลาแชกดีเกลือตามสมุฏฐาน ธาตุหนักเบาให้รับประทานลงจนถึงสิ้นโทษร้าย  แล้วจึงเอายาประจำธาตุให้รับประทานถัดไป
#40
Cmxseed Market / สัตววัตถุ หมาร่า
07 ธันวาคม 2017, 17:24:00

หมาร่า
หมาร่า เป็นแมลงจำพวกต่อหรือแตน แม้กระนั้นทำรังรูปร่างต่างกันด้วยดินเหนียวหรือดินเหนียวผสมทราย ติดอยู่กับกิ่งไม้หรือวัสดุอื่นภายนอกอาคารบ้านเรือน หรือตามขื่อ ฝ้าเพดานในบ้าน ดังนี้สุดแต่จำพวกของสุนัขร่า ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด ในสกุล sphecidae และตระกูล Eumenidae สุนัขร่า เป็นแมลงที่มีชีวิตอย่างสันโดษ ก็เลยเรียก solitary  wasp  ไม่อยู่จับกลุ่มกันเป็นแบบสังคม เหมือนต่อหลวงหรือต่อหัวเสือ ซึ่งเป็นจำพวก social  wasp
สมุนไพร สุนัขร่าเป็นมังล่า เป็นชื่อที่เรียกกันในภาคกลาง ทางภาคตะวันออก เป็นต้นว่า เมืองจันท์ ตราด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เรียกเป็น หมาร่า สุนัขล้า หรือ สุนัขล้า ทางภาคตะวันตกได้แก่   จังหวัดกาญจนบุรี เรียก แมงไม้  ไม้ หรือ ไอ้ไม้ ทางภาคเหนือดังเช่นว่า จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ น่าน เรียก แมงไม้ หรือ ไม้ ทางภาคอีสาน เช่น บุรีรัมย์   จังหวัดโคราช สุรินทร์  จังหวัดศรีสะเกษ ขอนแก่น มหาสารคาม จังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี กาฬสินธุ์ เรียก ไน หรือ สุนัขไน ส่วนทางด้านใตน ดังเช่นว่า จังหวัดชุมพร กระบี่ สุราษฎร์ ภูเก็ต   นครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา จังหวัดยะลา เรียก สุนัขบ้า หรือ สุนัขแมงบ้า
#41

[url=http://www.disthai.com/16484917/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81]สมุนไพรแสมสาร[/url]
ชื่อท้องถิ่นอื่น  ขี้เหล็กโครก ขี้เหล็กแพะ (ภาคเหนือ) ขี้เหล็กป่า (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) แสมสาร (ภาคกึ่งกลาง) ขี้เหล็กสาร (จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี) กราบัด กะบัด (จังหวัดนครราชสีมา)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Senna garrettiana (Craib) Irwin & Barneby.
ชื่อพ้อง Cassia garrettiana Craib
ชื่อวงศ์    LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อสามัญ Samae saan.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น (T) ขนาดเล็กถึงขั้นกึ่งกลาง ผลัดใบ  สูง 7-13 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกสลับ มีใบย่อย 6-9 คู่ ลักษณะใบรูปใบหอกหรือรูปไข่ค่อนข้างป้อม  กว้าง 3-5 ซม. แล้วก็ยาว 6-10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบกลม ใบหนามีสีเขียวสด
สมุนไพร ดอก มีดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาวราวๆ 8-20 ซม. มีขนสีน้ำตาลเหลืองหนาแน่น ดอกมีจำนวนไม่น้อยสีเหลือง รวมทั้งมักบิด กลีบดอกไม้ 5 กลีบรูปไข่กลับ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม. มีดอกช่วงพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม
ผล เป็นฝักแบนรูปบรรทัด มักบิด กว้าง 2-4 ซม. และะยาว 15-20 เซนติเมตร ผนังฝักค่อนข้างจะบาง เกลี้ยง ไม่มีขน เมื่อแก่แตกได้ ฝักหนึ่งมีเมล็ดราว 20 เม็ด ขนาดกว้าง 5 มม. ยาว 1 เซนติเมตร สัน้ำตาล กระพี้สีขาวนวล

นิเวศวิทยา
เป็นไม้ที่ขึ้นได้ทั่วๆไปทุกภาคของประเทศไทย ถูกใจขึ้นบนกลางแจ้ง รอบๆชายเขาดิบ รวมทั้งไร่ร้างธรรมดา
การปลูกแล้วก็เพาะพันธุ์
เป็นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก และไม่ต้องการใส่ใจเท่าไรนัก เจริญวัยเจริญในที่ชื้นระบายน้ำดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ร่วนซุย ควรจะปลูกภายในหน้าฝน ขยายพันธ์ุด้วยการเพาะเม็ดส่วนที่ใช้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแล้วก็สรรพคคุณ แก่นหรือลำต้น รสขม เป็นยาระบาย ถ่ายเสมหะ แก้กษัย ทำให้เส้นหย่อน ถ่ายโลหินระดูสตรี โดยมากจะใช้ร่วมกับแกนแสมทะเล และแกนขี้เหล็ก
วิธีใช้รวมทั้งจำนวนที่ใช้

  • ขับโลหิตระดูสตรี ยาระบาย โดยใช้แกนแสมสารแล้วก็แกนขี้เหล็กรวมกันอย่างละเท่าๆกัน โดยประมาณ 2 กำมือ หรือราว 40 กรัม ต้มในน้ำสะอาด 1 ลิตร เคี่ยวให้เหลือ 3 ใน 4 ส่วน กรองเอาน้ำกิน วันละ 2-3 เวลาก่อนรับประทานอาหาร


    Tags : สมุนไพร
#42
Cmxseed Market / สัตววัตถุ เเมลงสาบ
06 ธันวาคม 2017, 14:54:43

แมลงสาบ
แมลงสาบเป็นแมลงที่มนูษย์รู้จักกันดีมาตั้งแต่โบราณ ชื่อ "แมลงสาบ" รวมทั้ง "แมลงแกลบ" เป็นชื่อทั่งๆไปที่คนประเทศไทยทางภาคกลางใช้เรียกแมลงสาบในตระกูล  Blattidaeหลายประเภท ทางโผลงคเหนือเรียก แมลงแสบ หรือแซบ ภาคอีสานเรียก แมงกะจั๊ว กะจั๊ว หรือ กาจั๊ว ส่วนภาคใต้เรียกแมลงแกลบว่า แมงติดหรือ แมงแป้ แมลงในตระกูลนี้พบทั่วทั้งโลกมีราว ๒๕๐ สกุล  ราว ๕,๐๐๐ ชนิด
แมลงสาบประเภทสำคัญ
แมลงสาบประเภทสำคัญๆที่พบแพร่หลายไปทั่วโลกมี ๕ ชนิด ได้แก่
๑.แมลงสาบเยอรมัน  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blattellagermanica(Linnaeus) มีชื่อสามัญว่า  German cockroach  หรือ water bug  หรือ croton bug  ชาวไทยเรามักเรียกแมลงแกลบบ้าน  เป็นประเภทที่รู้จักกกันยอดเยี่ยมและดพร่หลายอย่างกว้างใหญ่พยได้มากที่สุด  เป็นแมลงสาบขนาดเล็ก  ลำตัวยาว ๑.๒-๑.๖ ซม.  สีน้ตาลเหลืองชีด  มีแถบสีน้ำตาลเข้มตามยาว ๒ แถบ  ทั้งคู่เพศมีปีก  ตัวเมียพบได้บ่อยถุงไข่ที่ปลายของส่วนท้อง  ออกหากินตอนเวลากลางคือน  เจอในบ้านเรือน  ในที่มีของกิน ยกตัวอย่างเช่น ที่เปียกชื้นรวมทั้งอุ่น  รับประทานของที่ตายแล้ว
๒.แมลงสาบชีบโลกทิศตะวันออกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าBlattellaorientalis(Linnaeus)มีชื่อสามัญว่า  oriental  cockroach  หรือ  black  beetle  คนประเทศไทยเรียกแมลงสาบ  มีขนาดกึ่งกลาง  ลำตัวยาวรวม ๒.๕ เซนติเมตร  ตัวเมียนั้นปีกไม่รุ่งเรือง  แต่ว่าเพศผู้มีปีกยาว  แต่ปีกมัยยาวไม่พ้นส่วนท้อง  เข้ามาในหมู่บ้านทางท่ออาหารท่อเพื่อระบายน้ำ  มักอยู่ตามดินที่ชื้อนเฉอะแฉะ  เป็นแมลงสาบที่ทำให้มีกลิ่นเหม็น  ทานอาหารทุกชนิด  พบได้มากตสม  กองขยะหรือของเน่าเสียต่างๆ ถูกใจรับประทานของที่มีแป้งอยู่ด้วย
๓.แมลงสาบอเมริกา  มีชื่อวิทยาศาสตร์Periplanetaamericana(Linnaeus)มีชื่อสามัญว่า  American  cockroach  คนไทยแมลงสาบ  มีขนาดใหญ่ที่สุด  ลำตัวยาว ๓-๔ ซม.  สีน้ำตาลปนแดง  มีถิ่นกำเนิดในอเมรกากึ่งกลาง  แม้กระนั้นตอนนี้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลก  อีกทั้ง ๒ เพศมีปีกยาวหุ้มถึงท้อง  เป็นแมลงที่ว่อง  ถูกใจที่อุ่น  ที่เปียกแฉะ  ชอบอยู่ในที่มืด  ออกหากินใจกลางเป็น  รับประทานของที่ตายแล้วและก็เศษอาหารทุกๆอย่าง
๔.แมลงสาบออสเตรเลีย  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Periplanetaaustralasiae(Fabeius) มีชื่อสามัญว่าAustralian  cockroach  คนไทยเรียกแมลงสาบ  จำพวกนี้มีสีน้ำตาลแดง  เหมือนแมลงสาบอเมริกัน  ทั้ง ๒ เพศมีปีกยาว  ชอบอาศัยอยู่นอกอาคาร  รับประทานอาหารทุกอย่าง  ส่วนใหญ่รับประทานซากพืชที่ตายแล้ว
๕.แทลงสาบเมืองที่มีอากาศร้อน  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Supellasupellectilium(Serville) มีชื่อสามัญว่าtropical  cockroachหรือ  brown-banded cockroachคนประเทศไทยมักเรียกแมลงสาบลาย  ประเภทนี้มีลัษณะคล้ายตามแมลงสาบเยอรมัน  แม้กระนั้นมีขนาดเล็กกว่า  ลำตัวยาว ๑-๑.๒ มม.  มีแถบสีเหลืองตามขวาง ๒ แถบ แถบแรกอยู่โคนปีก  อีกแถบอยู่ปีก  ส่วนใหย่ปีกมักไม่ปิดปลายส่วนท้อง  พบทั่วไป  หากินตอนกลางคืนถูกใจบิน  ชอบอยู่ในที่แห้งแล้วก็ร้อน  ถูกใจอยู่ที่สูง ดังเช่นในตู้เสื้อผ้ส  กินอาหารทุกชนิดโดยยิ่งไปกว่านั้นของเสียและของที่ตายแล้ว
๖.แมลงสาบสุรินัม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnocellissurinamensis(Linnaeus)มีชื่อสามัญว่าSurinamcockroach  คนไทยมักเรียก แมลงสาบหรือแกลบขี้เลื่อย  เพราะเหตุว่าพบตามกองขี้เลื่อย  มีขนาดลำตัวยาวราว ๑.๕ เซนติเมตร  ส่วนท้องกว้างที่สุด ๑ เซนติเมตร  ส่วนหัวและก็อกบ้องแรกสีดำ ขอบข้างหน้าและก็ข้างๆเกือบจะตลอกมีสีเหลืองแก่  ปีกสีน้ำตาล  ขาสีน้ำตาลอ่อน  นอกจากขาหลังสีน้ำตาลเข้มตัวเมียปีกสั้นกว่าลำตัว  เมื่อหุบปีกจีงเห็นปลายท้องโผล่ออกมา  อาศัยอยู่นอกบ้านตามกองขี้เลื่อย  กองแกลบ  รวมทั้งกองขยะที่เน่าเปื่อย  นิมจับมาเกี่ยวเบ็ดเป็นเหยื่อสำหรับตกปลา

ประโยชน์ทางยา
สมุนไพร หมอแผนไทยใช้ "ขี้แมลงสาบ" เข้าเป็นเครื่องยาในยาไทยหลายขนาน  ขี้แมลงสาบที่ใช้นั้นเป็นขี้แมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามอาคารบ้านเรือน  นำมารวมกัน  ก่อนใช้จำต้อง "ฆ่า" เสียก่อนวิธีการทำก็คือ  ให้นำไปคั่วให้เกรียมก่อนประยุกต์ใช้  ตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า  ขี้แมลงสาบคั่วมีรสจืดชืด  แก้อักเสบฟกบวม  แก้พิษร้อน  แก้กาฬโรค ในพระหนังสือมุจาปักขันทกาให้ยาแก้นิ่วขนานหนึ่งเข้า "มูลแมลงสาบ" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้ ถ้าจะแก้ท่านให้เอาพริกไท ๑ ขิงดีปลีกระเทียม ๑ ผิวมะกรูด ๑ ไพรขมิ้นอ้อย ๑ ทองคำถันแดง ๑ มูลแมลงสาบ ๑ เอาสิ่ง ๑ บาท  น้ำประสารทองสเหม็นตุเท่ายาทั้งหลาย  บดทำแท่งไว้  ก็เลยเอาสารส้มยัดเข้าในผลแตงกวา  หมกไฟแกลบห็สุกบีบเอาน้ำฝนยานี้กิน ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่งชิอ "ยามหาไชยมงคล"  ใช้แก้หอบ  แก้ไข้  ยาขนานนี้เข้า "มูลแมลงสาบ" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้ ยาเชี่อมหาไชยมงคลแก้หอบ  ท่านให้เอา  กฤษณาจันทน์ชะมด ๑ เปลือกสันมีดพร้านางแอ ๑ หญ้าพันงูแดง ๑ กำมถันแดง ๑ มูลแมลงสาบ ๑ ผลผักชี ๑ นอแรด ๑ งาเขากวาง ๑ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน  ทำเป็นจุณ  บดปั้นแท่ง  ละลายน้ำมะนาวรับประทานหอบทราง  ถ้าหากจะแก้ไข้เหนือละลายน้ำใบทับทิมต้ม
#43
Cmxseed Market / สัตววัตถุ ปูทะเล
06 ธันวาคม 2017, 13:37:39

ปูทะเล
ปูทะเลเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ที่เจอในประเทศมีขั้นต่ำ ๓ ประเภท ทุกประเภทจัดอยู่ในสกุล  Portunidae คือ
๑.ปูดำ หรือ ปูแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla serrata (forsskal) ชนิดนี้เจอตามป่าชายเลนทั่วๆไป
๒.ปูขาว หรือ ปูทองหลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla oceanic dana จำพวกนี้พบตามพื้นสมุทรทั่วๆไป
๓.ปูเขียว หรือ ปูทองคำโหลง หรือ ปูลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla transquebarica Fabricius
ประเภทนี้พบตามพื้นสมุทรทั่วๆไปอีกทั้ง ๓ จำพวกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันด้านสีและก็หนามที่ขอบกระดองและสภาพถิ่นอาศัย กระทั่งนักวิชาการลางสำนักจัดเป็นชนิดเดียวกันหมดเป็นScylla serrata  (Forsskal)
ชีววิทยาของปูทะเล
ปูทะเลอาจมีกระดองขนาดกว้างได้ถึง ๒๐ เซนติเมตร มีลำตัวที่แบ่งได้เป็น ๒ ส่วนเป็นท่อนหัวที่เชื่อมรวมกับอกมีกระดองเป็นเปลือกหุ้มอยู่ข้างบน  กับส่วนท้องที่พับแนบติดกับลำตัวทางข้างล่าง ประชาชนเรียกส่วนนี้ว่า กระจับปิ้ง ซึ่งในตัวผู้จะเป็นสามเหลี่ยมแคบ ส่วนในตัวเมียจะแผ่กว้างออกเป็นรูปโค้งกลม มีขา ๕ คู่ คู่แรกเปลี่ยนไปเป็นก้ามใหญ่ ใช้จับเหยื่อและป้องกันตัว รวมทั้งเพศผู้ใช้จับกุมภรรยาเวลาสืบพันธุ์ ขาคู่ที่ ๒-๕ มักมีปลายแหลม ใช้สำหรับคลานหรือเดิน ส่วนขาท้ายที่สุดของปูทะเลจะแบนเป็นกรรเชียง ช่วยในการว่าย ปูทะเลหายใจโดยเหงือกซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ  ประชาชนเรียก  นมปู  เห็นได้เมื่อเปิดกระดองออก  ปูทะเลอาจสลัดก้ามทิ้งได้  โดยสร้างก้ามใหม่ขึ้นมาเมื่อลอกคราบครั้งถัดมา  เหมือนเคยหลังจากการลอกคราบเปื้อนเพียงแค่ ๒ รั้ง ก้ามปูอาจมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมได้  การลอกคราบของปูเป็นกระบวนการช่วยเพิ่มขนาด  ภายหลังจากปูรับประทานอาหารและสะสมไว้เพียงพอแล้ว  ก็จะสลัดเปลือกเดิมทั้งสิ้นทิ้งไป  แล้วสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทน  ปูที่มีอายุน้อยนั้นลอกคราบบ่อยมาก  แต่ว่าจะค่อยๆห่างขึ้นเมื่อปูโตเต็มที่แล้ว ฤดูสืบพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงต.ค.ถึงเดือนธันวาคม ในช่วงนี้ปูทะเลมีไข่มากมาย ก่อนการผสมพันธุ์นั้น เพศผู้อุ้มตัวเมียไว้เพื่อรอจนตัวเมียลอกคราบ หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปลดปล่อยไข่ออกมาไว้ตับปิ้ง ใช้รยางค์ของส่วนท้องโอบไข่เอาไว้ ไข่ในระยะเริ่มต้นมีสีเหลืองอ่อนๆแต่จะกลายเป็นสีเข้มขึ้น จนเป็นสีส้มรวมทั้งสีน้ำตาล เป็นลำดับ ต่อจากนั้นไข่จึงฟักเป็นตัวอ่อน ดำเนินชีวิตเป็นแพลงก์ตอนลอยไปกับน้ำทะเล แล้วลอกคราบเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอ่อนอีกระยะหนึ่ง ก็เลยจะจมลงสู่พื้นสมุทรเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปูขนาดเล็กถัดไป

ประโยชน์ทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] แพทย์แผนไทยใช้ "ก้ามปูทะเลเผา" เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งสำหรับการประกอบยาหลายขนาน อาทิเช่น ยาทาแก้แผลอันมีสาเหตุมาจากไส้ด้วนไส้ลุกลาม กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ซึ่งบึนทึกเอาไว้ใน พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา ดังนี้ ถ้าเกิดไม่หาย  ให้ร้อนหนัก ท่านให้เอา ก้ามปูสมุทรเผา ๑ เปลือกหอยโข่งเผา ๑ รากลำโพงแดง  ๑  รากขัดมอน  ๑  ฝางเสน  ๑  โปตัสเซี่ยมไนเตรด ๑ เปลือกจิกที่นา ๑ ผลจิกท้องนา  ๑  เอาเสมอ  บดด้วยน้ำลายจรเข้เป็นกระสาย  หายแล ยาแก้อยากกินน้ำแก้ร้อนด้านในอันทำให้หอบขนานหนึ่ง  ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ เข้าเครื่องยาที่เรียก "ก้ามปูสมุทรเผาไฟ" ด้วย  ยาขนานนี้ตำราเรียนว่าใช้ "กินพ่น"  ดังนี้ ขนานหนึ่งแก้ระหายน้ำให้ร้อนข้างในแลให้หอบ  ท่านให้เอาสังข์หนามเผาไฟ ๑  รากบัวหลวง ๑  ฝุ่นผงจีน  ๑  รังหมาร่าเผาไฟ  ๑  ชาดก้อน  ๑ ดอกพิกุล ๑  ดอกสาระภี  ๑  ดอกบุนนาค  ๑  เกสรบัวหลวง ๑ การบูร ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากคันทรง ๑ ก้ามปูทะเลเผาไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเปนแท่ง ละลายน้ำดอกไม้สด อีกทั้งกินพ่น แก้ร้อนแก้ระหายน้ำ ไคลตกก็หายแล

Tags : สมุนไพร
#44
Cmxseed Market / สัตววัตถุ หูฉลาม
06 ธันวาคม 2017, 11:13:46

หูฉลาม
หูฉลามเป็นของกินที่นิยมบริโภค และจัดเป็นของกินของผู้ดีมาแม้กระนั้นโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนชาติจีน หูฉลามเป็นของมีราคาแพง แต่มีจำนวนน้อยน้อยเกินไปกับความจำเป็นของผู้ใช้ ส่วนมากหูฉลามได้จากครีบของปลาฉลาม ซึ่งใช้ได้แทบทุกครีบ (ยกเว้นครีบหาง ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบ เนื่องจากว่าออกจะแข็ง) ที่เรียก "หูฉลาม" นั้น บางทีอาจเพราะครีบอกขนาดใหญ่ทั้งยัง ๒ ข้างของปลาฉลามมีลักษณะคล้ายใบหู นอกเหนือจากหูฉลามจะได้จากปลาฉลามแล้วยังอาจได้จากปลากระเบน โรนิน โรนัน ปลาฉนาก  เป็นต้น ปลาฉลามเป็นปลากระดูกอ่อนกรุ๊ปหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวลมคล้ายกระสวย ทำให้สามารถว่ายน้ำได้เร็วมาก มีช่องเหงือกเปิดออกทางข้างๆ ข้างละ ๕-๗ ช่อง   มีปากอยู่ด้านล่าง ภายในมีฟันแหลมคมและก็ฟันกรามที่แข็งแรงสำหรับกัดทึ้งเหยื่อ  ลำตัวมีเกล็ดละเอียดชิดกันเป็นแผ่น สากเสมือนกระดาษทราย ครีบอกแยกจากส่วนหัว โดยฐานครีบตั้งอยู่ในแนวยาว ครีบหางตั้ง มีแพนหางช่วยสำหรับในการว่าย เมื่อชาวประมงจับปลาฉลามขึ้นมาได้   ก็จะตัดครีบโดยทันที  โดยปลาฉลาม ๑ ตัวให้ครีบทั้งหมดทั้งปวง ๘ ครีบ  เป็นครีบคนเดียว ๔ ครีบ  ครีบคู่ ๒ คู่ ปลาฉลามที่เจอทั่วทั้งโลกมีอยู่ราว ๓๔๐ ประเภท  แต่ละชนิดมีลักษณะเด่นนานับประการ ที่เจอในน่านน้ำไทยมีไม่น้อยกว่า ๒๕ ประเภท แต่ที่พบบ่อยในอ่าวไทย เป็นต้นว่า ฉลามหูดำ ฉลามหนู ฉลามเสือ ฉลามหิน ฉลามหัวค้อน

ชั้นปลากระดูกแข็ง
สมุนไพร ชั้นปลากระดูกแข็ง (Class Osteicthyes) ทั่วโลกมีราว ๒๐,๐๐๐ ชนิด เป็นชั้นของปลาที่มีโครงร่างประกอบด้วยกระดูกแข็งเป็นส่วนมาก มีเกล็ดอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเยื่อผิว   ผิวหนังมีต่อมเมือกหลายชิ้น ช่องปากอยู่ในแนวขอบของหัว   มีครีบเดี่ยวรวมทั้งครีบคู่ ช่องเหงือกมีแผ่นกระดูกเป็นฝาปิดอยู่ เจอได้ทั้งยังในน้ำจืด น้ำทะเล  แล้วก็น้ำกร่อย ลางจำพวกมีเหงือกอุ้มน้ำก้าวหน้า ก็เลยอยู่บนบกได้ในช่วงเวลาสั้นๆเป็นต้นว่า ปลาตีน ปลาแพทย์ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมากมีการปฏิสนธิข้างนอก ปลาในชั้นนี้ที่เป็นประโยชน์ทางยา ยกตัวอย่างเช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสร้อย ปลาไหล

Tags : สมุนไพร
#45

อีแอ่นกินรัง
อีแอ่นกินรังเป็นอีแอ่นอย่างน้อย ๓ ประเภท
ในสกุล Collocalia
ตระกูล Apodidae คือ
๑.อีแอ่นกินรัง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  fuciphaga  (Gmelin)
มีชื่อสามัญว่า  edible – nest  swiftlet จำพวกนี้ทำรังด้วยน้ำลายล้วนๆ
สมุนไพร
๒.อีแอ่นกินรังสะโพกขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  germani  Oustalet
มีชื่อสามัญว่า Germain's  swiftlet ชนิดนี้สร้างรังด้วยน้ำลายล้วนๆเช่นเดียวกับจำพวกแรก

๓.อีแอ่นรังดำ หรือ อีแอ่นหางสี่เหลี่ยม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  maxima  Hume
ชื่อสามัญว่า  black – nested  swiftlet   จำพวกนี้ทำรังด้วยขนนกยาวราว  ๖0  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมปริมาณร้อยละ  ๔0 อีแอ่นในสกุล  Colocalia   ที่พบในประเทศไทยมี  ๕  จำพวก  นอกจาก  ๓  ประเภทข้างต้นแล้ว   ที่เหลืออีก  ๒  ชนิดคือ
๔.อีแอ่นท้องขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  esculenta  (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า  glossy  swiftlet   จำพวกนี้ทำรังด้วยต้นหญ้าแล้วก็พืชต่างๆ  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมเพียงนิดหน่อย

Tags : สมุนไพร
#46
Cmxseed Market / สัตววัตถุ จงโคร่ง
05 ธันวาคม 2017, 13:39:51

จงโคร่ง
จงโคร่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มี ๔ เท้า มีกระดูกสันหลัง
จัดอยู่ในวงศ์ Bufonidae สกุลเดียวกับคางคก
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bufo asper
บางถิ่นเรียก จงโคร่ง กระทาหอง กระหอพักง หรือ กง ก็มี
ชีววิทยาของต้องโคร่ง
ต้องโคร่งมีลักษณะทั่วๆไปคล้ายกับคางคกบ้าน แต่ตัวโตกว่ามาก เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ที่มีตัวโตที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะที่ต่างจากคางคกบ้าน หลายอย่าง ที่สำคัญคือ ความกว้างของแก้วหู สั้นกว่าครึ่งหนึ่งของความกว้างของตา และอยู่ห่างจากตามาก สันกระดูกเหนือแก้วหูหนานมาก กระดูกหน้าผาก ระหว่างตากับหู ทั้งสองข้าง ยุบ ตรงกลาง กระดูกสันหลังมีร่องลึกกึ่งกลาง ผิวหนังใต้คอใต้ท้องมีสีชมพู ส่วนบนค่อนข้างจะดำ มีสีแดงเป็นหย่อมๆมากน้อยไม่เหมือนกันไปแต่ละตัว มีปุ่มนูนๆอยู่ทั่วๆไป ตามส่วนบนของตัว ใต้ฝ่าเท้ามีปุ่มตามข้อนิ้วมากมาย ใต้ข้อเท้ามีปุ่มใหญ่อยู่ ต้ายข้อเท้ามีปุ่มใหญ่อยู่สองปุ่ม ๒ ปุ่มได้ข้อนิ้วมีตุ่มไม่ใหญ่นัก นิ้วเท้ามีพังผืด ซึ่งระหว่างนิ้วทุกนิ้ว ตัวโตเต็มวัยที่วัดจากปากถึงตูดราว ๒๖ซม. จงโคร่งมักอาศัยอยู่ตามซอกหินของเทือกเขา ที่มีป่าไม้ร่มเย็นเปียกชื้น ลางตัวเข้าไป อาศัยอยู่ในบ้านคน เพื่อคอยรับประทานแมลงที่มาเล่นแสง เจอได้ตั้งแต่ทางภาคใต้ของเมืองไทย ลงไปจนถึงนานเลเซียและเกาะ สุมาตราของอินโดนีเซีย

สัตวศาสตร์ชาติพันธุ์ของ จงโคร่ง
สมุนไพร [/b]ประชาชนทางปักษ์ใต้ โดยเฉพาะอำเภอเบตงจังหวัดยะลา มักถือกันว่าบ้านใดมีต้องโคร่งอาศัยอยู่ด้วย บ้านนั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข แม้คนใดกันแน่รังควานควรโคร่ง ผู้นั้นหรือวงศาคณาญาติ ก็จะเจอโชคร้าย โดยเหตุนี้เจ้าของบ้านก็เลยมักปลดปล่อยให้ต้องโคร่ง อาศัยอยู่ในบ้าน เสมอเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่ง ปลดปล่อยให้หาเลี้ยงชีพแมลงที่มาเล่นแสงสว่างในบ้าน ไม่มีใครกล้าก่อกวน รังควาน หรือรังควาน หนังจงโคร่งมีต่อมยางที่เป็นพิษราวกับหนังคางคก โจรเคยใช้หนังควรโคร่งแห้ง ผสมกับเห็ดเมาลางชนิด ใบแล้วก็ยางของสมุนไพรลางอย่าง ทำเป็นชุดไฟสำหรับรม เจ้าของบ้านได้สูดดมยานี้ก็จะมึนเมา หลับ หรือหมดสติไป ผู้ร้ายก็จะเข้าไป ลักขโมยหรือชิงทรัพย์ได้ราวกับตั้งใจ ขั้นตอนการแก้พิษนั้นให้ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน แล้วล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน ก็จะฝืนได้เป็นปรกติ แพทย์แผนไทยใช้หนังควรโคร่งแห้งผสมยาเบื่อเมา ทำให้นอนใช้บรรเทาโรคโรคกุฏฐัง
สัตวศาสตร์เชื้อสายคืออะไร
คำ "สัตวศาสตร์เผ่าพันธุ์" นี้ แปลจากคำในภาษาอังกฤษว่า ethnozoologyเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ความเกี่ยวพัน โดยตรงในแง่มุมต่างๆระหว่างกันและกัน ของพรรณ สัตว์ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ กับมนุษย์ชาติพันธุ์ต่างๆอย่างเช่นความเชื่อเรื่องสัตว์กับโชค การใช้พรรณสัตว์เป็นอาหาร เป็นยาบำบัดโรค
ชั้นสัตว์เลื้อยหรือคลาน
ชั้นสัตว์เลื้อยหรือคลาน(class Reptlia) สัตว์ในกลุ่มนี้มักถูกเรียกเป็น สัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งไม่น่าจะถูกตามจริง เนื่องจากว่าสัตว์เหล่านี้บางจำพวกไหมได้แม้กระนั้นคลานมิได้ ได้แก่งูต่างๆลางจำพวกเคลื่อนที่โดยการเลือกคลานเพียงแค่นั้น ไม่เลื้อย ได้แก่ เต่า ตะไข้ สัตว์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ส่วนมากเป็นสัตว์บกอย่างแท้จริง ผิวหนังเป็นเกล็ดน้ำแข็งไม่สามารถใช้หายใจได้ หายใจทางปอด ไม่มีความเคลื่อนไหวรูปร่าง มีหัวดวงใจ ๓ หรือ ๔ ห้องไม่สมบูรณ์เป็น หัวใจมีห้องบน ๒ ห้อง ส่วน ๒ ห้องล่างแยกกันไม่สนิท นอกจากจระเข้ ส่วนพวกนี้คลอดลูกเป็นไข่ก่อน สัตว์เลื้อยหรือคลานที่ใช้ประโยชน์ทางยามีหลายชนิด อาทิเช่นงูต่างๆตะไข้ ตุ๊กแก ตะพาบน้ำ และเต่า
#47
Cmxseed Market / สัตววัตถุ งูเห่า
05 ธันวาคม 2017, 11:16:12

งูเห่า
งูเห่าเป็นงูมีพิษขนาดปานกลางถึงกับขนาดใหญ่
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Naja naja kaouthia Lesson
มีชื่อสามัญว่า Thai cobra หรือ common cobra หรือ Siamwse cobra
จัดอยู่ในวงศ์ Elapidae งูเห่าหม้อ หรือ งูเห่าไทยก็เรียก
งูเห่าไทยที่โตสุดกำลังมีความยาวราว ๑๓๐ ซม. วัดขนาดผ่านศูนย์กลางของลำตัวราว ๕ ซม. มีลวดลายสีสันไม่เหมือนกันออกไปในแต่ละตัว สีที่พบได้มากคือสีเทนดำ  นอกนั้นอาจมีสีน้ำตาลเข้ม เขียวหมอง หรืออมเขียว มักมีสีเดียวกันตลอดทั้งลำตัว ลวดลายบนตัวมีความมากมายหลายมาก โดยยิ่งไปกว่านั้นลวดลายที่คอหรือ "ดอกจัน"งูเห่าไทยที่พบได้ทั่วไปมีดอกจันเป็นวงกลมวงเดียว จึงมีชื่อเรียกในภาษษอังกฤษว่า monocellate cobra  บางจำพวกมีดอกจันวงกเงินลมตัดกัน ๒ วงเหมือนแว่น เรียกงูเห่าแว่น  บางประเภทมีดอกจันรูโป้ปดอกส้านหรือลายตาอ้อย เรียกงูเห่าดอกส้าน  บางประเภทมีลายดอกจันเป็นรูปอานม้า ก็เรียกงูเห่าอานม้า งูเห่าพ้นพิษ งูเห่าอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกงูเห่าพ้นพิษ (spitting  cobra) ที่พบในประเทศไทยมี ๓ ประเภท  ตัวอย่างเช่น
๑.งูเห่าด่างพ่นพิษ (black and white spitting cobra)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naja naja siamensis Nutphand
ชนิดย่อยนี้มีลักษณะเหมือนงูเห่าไทย  แม้กระนั้นขนาดเล็กกว่า  ลำตัวยาวราว ๘๐  ซม.  คล่องแคล่ว  ปราดเปรี่ยว  และดุกว่างูเห่าไทย  พ่นพิษได้ไกลราว ๒ เมตร  ลำตัวมีสีไม่แน่นอน  สีด่างถึงขาว  ดอกจันรูปตัวยู (U)  ในภาษาอังกฤษ  บางที่เรียก  งูเห่าขี้เรื้อน  มักพบในภาคตะวันตกรวมทั้งตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไทย  อาทิเช่นที่จังหวัดกาญจนบุรี  จังหวัดอ่างทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี  รวมทั้งตาก  นอกนั้นยังอาจเจอทางภาคตะวันออกด้วย  ดังเช่นว่า  จันทบุรี  ชลบุรี  งูที่เจอรอบๆนี้มักไม่มีลายด่างขาว
๒.งูเห่าทองคำพ่นพิษ (going  spitting  cobra)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Naja naja sumatranus Var
งูประเภทย่อยนี้มีลำตัวยาวราว  ๙๐  เซนติเมตร  มีสีเหลืองปลอดหมดทั้งตัว  บางตัวอาจมีสีเหลืองอมเขียว  ไม่มีลายสีอื่นๆ ไม่มีดอกจันบนหลังคอแล้วก็ท้องสีขาว  ภาคใต้พูดได้ว่างูเห่าปลวก  งูชนิดนี้มีน้ย  เจอเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศไทย  เป็นต้นว่าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช  สุราษฎร์ธานี  พัทลุง  แล้วก็สตูล
๓.งูเห่าอีสานพ่นพิษ (isan  spitting  cobra)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Naja naja isanensis (Nutphand)
งูชนิดย่อยนี้ลำตัวเล็กมากยิ่งกว่าประเภทย่อยอื่นๆ ยาวราว ๖๐-๗๐ เซนติเมตร  ดุ  ว่องไว  ปราดเปรี่ยว  พ่นพิษเก่งมากมาย  มีสีเขียวอมเทา  เขียวอมน้ำตาล  หรือเขียวหม่นทั้งตัว  ไม่มีลายเด่นชัด  มักไม่มีดอกจัน  แต่บางตัวอาจมีดอกจันรูปตัวยู(U) ในภาษาอังกฤษแจ่มกระจ่างกว่างูเห่าด่างพ่นพิษ  พบได้มากทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  บางถิ่นเรียก งูเห่าเป่าตา
งูเห่าอีกชนิดหนึ่ง  พบได้ทั่วไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ชนิดนี้ลำตัวมีสีนวลและไม่มีดอกจัน เรียกงูเห่าสีนวล
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Naja  kaouthia  suphandensis (Nutphand)

ผลดีทางยา
สมุนไพร หมอแผนไทยรู้จักใช้คราบงูเห่า กระดูกงูเห่า ดีงูเห่า และน้ำมันงูเห่า นอกนั้นหมอตามชนบทยังใช้งูเห่าตลอดตัวปิ้งไฟจนกระทั่งแห้งกรอบ  ดองเหล้ารับประทานแก้ปวดเมื่อย  แก้ปวดหลัง  และแก้ผอมเกร็งในสตรีหลังคลอดบุตร  และใช้หัวงูเห่าสุมไฟให้เป็นถ่าน  ปรุงเป็นยาแก้ชาชักในเด็ก  ลดหุ่น  ว่ามีรสเย็นและเมา
๑.คราบเปื้อนงูเห่า  เป็นคราบที่งูเห่าลอกทิ้งเอาไว้ ในพระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่งที่เข้า "คราบงูเห่า" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาทาตัวกุมาร   กันสรรพโรคทั้งมวล  แลจะเจ็บป่วยอภิฆาฎดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธดีแล้ว ท่าน ให้เอาใบมะขวิด คราบเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมโค  ทาตัวกุมาร  ชำระความไม่บริสุทธิ์โทษทั้งผองดีนัก
๒.กระดูกงูเห่า  มีรสเมา  ร้อน  แก้พิษเลือดลม  แก้จุกเสียด  แก้ษนัย  แก้เมื่อย  แก้ชางตานขโมย  รวมทั้งปรุงเป็นยาแก้แผลเนื้อร้ายต่างๆ ในพระหนังสือจินดาร์ให้ยาอีกขนานหนึ่งเข้า "กระดูกงูเห่า"  เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ ยาใช้ภายนอกท้องแก้ท้องเฟ้อ   ขนานนี้ท่านให้เอาใบหนาด ๑ ใบคนทีสอ ๑ ใบลูกประคำไก่ ๑ ใบผักเค็ด ๑ ใบผักเสี้ยนผี ๑ เมล็ดในมะนาว ๑ เมล็ดในสะบ้ามอญ ๑ มดยอบ ๑ กำยานผี ๑ ตรีกะฎุก ๑ สานส้ม ๑ ดินประสิวขาว ๑ บอแร็ก ๑ กระชายกระทือไพล ๑ หอม ๑ กระเทียมขมิ้นอ้อย ๑ กระดูกงูงูเหลือม ๑ กระดูกงูเห่า ๑ กระดูกห่าน ๑ กระดูกแกงเลียงหน้าผา ๑ มหาหิงคุ์ยาดำ ๑ รงทอง ๑ รวมยา ๒๘ สิ่งนี้  ทำเปนจูณ  บดทำแท่ง  ละลายน้ำมะกรูดทาท้อง  แก้ท้องรุ้งกินน้ำท้องมาร  แก้มาเกลื่อนกลาดระไษยลม  แก้ไส้พองเอาเท่าเทียมกัน  ท้องใหญ่  ท้องเฟ้อท้องเขียว  อุจจาระฉี่มิออก  ลมทักขิณคุณ  ลมประวาตคุณ  หายสิ้น
๓.ดีงูเห่า มีรสขม  ร้อน  ผสมยาหยอดตาแก้ตาฝ้า  ตาพร่า  ตาแฉะ  ตาต้อ  และก็บดเป็นกระสายยาช่วยทำให้ฤทธิ์ยาแล่นเร็ว  ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์  ให้ยาขนานหนึ่งเข้า "ดีงูเห่า"  เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ ยาชื่ออินทรบรรจบคู่กัน  ขนานนี้ท่านให้เอาชะมดพิมเสน ๑ จันทน์ทั้งคู่๑ กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑ ขอนดอก ๑ ว่านกลีบแรด ๑ ว่านร่อนทองคำ ๑ ผลมะขามป้อม ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ กระเทียม ๑ ดีงูเหลือม ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง  เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑ เทียนแดง ๑ เทียนเยาวภานี ๑ เทียนบัวหลวง ๑ ผลจันทน์ดอกจันทน์กานพลูกระวาน ๑ เอาสิ่งละ ๒ สลึง รวมยา ๒๓ สิ่งนี้  ทำเปนจุณ  แล้วจึงเอา ดีงูเห่า ๑ ดีจระเข้ ๑ ดีตะพาบน้ำ ๑ ดีปลาช่อน ๑ ดีปลาไหล ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง  แช่เอาน้ำเปนกระสาย  บดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำดอกไม้กิน  แก้หมดหนทาง  ถ้าเกิดมิฟัง  ละลายสุรารับประทานแก้สรรพตาลทรางทั้งปวง  แลแก้ชักเท้ากำมือกำ  หายดีนัก
๔.น้ำมันงูเห่า  เตรียมได้โดยการเอาเปลวมันในตัวงูเห่าใส่ขวด ผึ่งแดดจัดๆ จนเปลวมันละลาย  ใส่เกลือไว้ก้นขวดเล็กน้อยเพื่อกันเหม็นเน่า  ในตำราพระโอสถ  พระนารายณ์มียาขี้ผึ้งขนานหนึ่งว่า "น้ำมันงูเห่า" เป็นเครื่องยาด้วย  ดังนี้ สีปากบี้พระเส้น  ให้เอาชะมดทั้ง ๒ ไพล พิมเสน โกฏเชียง  กรุงเฉมา  ดีงูเหลือม  จันทน์ทั้ง ๒ กฤษณา  กระลำพัก สิ่งละเฟื้อง  โกฏสอ โกฏเฉมา โกฏจุลาลำภา  โกฏกัตรา  โกฏสิงคี  โกฏหัวบัว  มัชะกิยวาณี  กระวาน  กานพลู  ลูกจันทน์  ดอกจันทน์  เทียนดำ  เทียนขาว พริกหอม พริกหาง พริกล่อน  ดีปลี ลูกกราย  ฝิ่น  สีปาก สิ่งละสลึง  กะเทียม  หอมแดง  ขมิ้นอ้อย  ๒ สลึง  ทำเป็นจุณ  ละลายน้ำมะนาว ๑๐ ใบ  น้ำมันงาทนาน ๑  น้ำมันหมูหลิ่ง น้ำมันเสือ น้ำมันไอ้เข้  น้ำมันงูเห่า น้ำมันงูเหลือม  พอเหมาะ  หุงให้อาจจะแม้กระนั้นน้ำมัน  จึงเอาชันรำโรง ชันย้อย ชันระนัง ใส่ลงพอเหมาะ  กวนไปดีแล้วก็เลยเอาทาแพรทาผ้ามอบให้ ทรงปิดไว้ ที่พระเส้นอันแข็งนั้นหย่อน
#48
Cmxseed Market / สัตววัตถุ เต่าบก
04 ธันวาคม 2017, 19:08:31

สกุลเต่าบก
เต่าเดือยmanouria impressa(Gunther), ๓๐ ซม.
เต่าขนาดกึ่งกลาง มีเดือยแหลมที่ต้นขาข้างหลังข้างละ ๑ อัน กระดองข้างหลังสีเหลืองผสมสีน้ำตาล มีลายดำ เจอตามเทือกเขาสูงจากระดับ ๖๐๐ เมตรขึ้นไป ทางภาคเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือรวมทั้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เต่าเหลืองIndotestudo elongata(Blyth), ๓๖ ซม.
เต่าขนาดกลาง กระดองยาวนูนสูง สีเหลือง มีลายดำ ไม่มีเดือยราวกับเต่าบกชนิดอื่น อยู่ในที่แล้งได้ เจอตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง รวมทั้งป่าดิบแล้งทั่วทั้งประเทศ
สมุนไพร เต่าหกManouria emys(Schlegel & Muller), ๕๐ เซนติเมตร
เต่าบกที่ใหญ่ที่สุดของไทย เมื่อโตสุดกำลังกระดองยาวได้ถึง ๖๐ เซนติเมตร ต้นขาข้างหลังทั้ง ๒ ข้างมีเดือยหลายเดือย กระดองสีน้ำตาลเข้มหรือดำ  เจอในป่าดิบที่สูงทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก แล้วก็ภาคใต้มี ๒ จำพวกย่อย คือ เต่าหกเหลือง manouria emys emys (Schlegel & Muller) รวมทั้งเต่าหกดำ manouria emys phayrei(Blyth)

ประโยชน์ทางยา
เต่าที่หมอแผนไทยประยุกต์ใช้ประโยชน์ทางยาเป็นเต่าน้ำจืดและก็เต่าบก แต่ว่าที่ใช้กันมากมายคือเต่านา Malayemyssubtrijuga(Gray) อันเป็นเต่าน้ำจืดที่หาได้ง่ายกว่าเต่าประเภทอื่นๆและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป
#49

กระดองตะพาบน้ำจีน
กระดองตะพาบจีนได้จากตะพาบน้ำจีน
อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Trionyx  sinensis  Wiegmann
ในสกุล Trionychidae
มีชื่อสามัญว่า Chinese solfshelled turtie
จีนเรียก เปีย มีเลี้ยงกันมากมายในมลฑลหูหนาน  เหอครึ้ม  และเจ้อเจียง เครื่องยานี้เป็นกระดองบน (carapace) ของตะพาบจีน เรียก เปียเจี่ย  ในภาษาจีน มีชื่อเครื่องยาว่า Carapax Trionycis  มีชื่อภาษาอังกฤษว่า turtle shell เป็นเครื่องยาที่ ตำราที่ประเทศจีน (China Pharmacoppoeia) ฉบับปี คริสต์ศักราช๒๐๐๐ รับรองไว้
สมุนไพร แบบเรียนว่าเครื่องยานี้มีรสเค็ม เย็นน้อย เข้าสู่เส้นตับและม้าม มีคุณประโยชน์บำรุงหยิน สลายหยาง เร่งเลือด กระตุ้นรอบเดือน สลายปุ่มปมบวมที่เกิดขึ้นภายใน รวมทั้งสลายไข้ จึงมีข้อบ่งใช้สำหรับอาการไข้เหตุขาดหยิน มึน รวมทั้งเป็นลมเหตุขาดหยิน สภาวะขาดประจำเดือน มีก้อนในช่องท้อง และแก้ไข้มาลาเรียที่มีลักษณะอาการม้ามโตด้วย ขนาดที่ใช้ ๙-๓๐ กรัม

ขั้นตอนการปรุงยา ให้ต้มด้วยน้ำไว้ราว ๓๐ นาทีก่อน แล้วจึงเพิ่มเติมตัวยาอื่นลงไป   ยานี้ห้ามใช้กับสตรีระหว่างมีท้องรวมทั้งกับผู้ป่วยที่มีอาการม้าม "พร่อง" รวมถึงอาการไม่อยากอาหารแล้วก็ท้องเสีย กระดองตะพาบน้ำจีนมรสารคอลลอยด์ (colloid) เคอราทิน (keratin) ไอโอดีน และก็วิตามินดี

Tags : สมุนไพร
#50

วงศ์เต่าน้ำจืด
เต่ากระอานBatagur Baske(Gray) ๕๖ เซนติเมตร
เต่าขนาดใหญ่ กระดองเรียบ โค้งมน นิ้วเท้ามีพังผืดยึดเต็ม มี ๔ เล็บ จมูกออกจะแหลม เพศผู้มีตาสีขาว พบตามปากแม่น้ำ เดี๋ยวนี้บางทีอาจสิ้นซากไปจากธรรมชาติแล้ว
เต่าลายตีนเป็ดCallargur borneoensis (Schlegel & Muller), ๖๐ เซนติเมตร
เต่าขนาดใหญ่ เพศผู้มีหัวสีแดงเด่นในฤดูผสมพันธุ์ นิ้วเท้าหน้าหลังมีพังผืดยึดติดสำหรับช่วยสำหรับการว่ายน้ำ เจอตามปากแม่น้ำทางภาคใต้ อาจสิ้นพันธุ์ไปแล้ว
เต่าแดงCyclemys dentata(Gray), ๒๖ เซนติเมตร
ขอบกระดองด้านหลังเป้นจักๆ กระดองหลังสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มเป็นสีดำหรือสีเขียวขี้ม้า นานับประการตามแต่เต่าแต่ละตัว เมื่อเล็กมีเกล็ดเป็นลายเส้นรัศมี แม้กระนั้นจะหายไปเมื่อโตขึ้น พบได้ในป่าทั่วทั้งประเทศ
เต่าหวายHeosemys grandis (Gray), ๔๘ เซนติเมตร
กระดองสีน้ำตาลเข้ม เป็นปกติมีเส้นสีครีมพาดยาวเป็นแนวกึ่งกลางหลัง ขอบกระดองข้างหลังด้านท้ายเป้นจักๆกระดองท้องด้านหลังมีหยักลึก เจอตามแหล่งน้ำจืดทั้งบนเทือกเขาและตามที่ราบ

เต่าหับCuora amboinensis (daudin), ๒๑ เซนติเมตร
กระดองโค้งสูงขึ้นยิ่งกว่าเต่าน้ำจืดจำพวกอื่น หัวค่อนข้างแหลม มีลายแถบสีเหลืองเป็นขอบ เต่าจำพวกนี้สามารถหับหรือปิดกระดองได้มิดชิด เจอได้ตามหนองบึงทั่วทั้งประเทศ
เต่าบัวHieremys annandalii(Boulenger), ๕๐ เซนติเมตร
เต่าขนาดใหญ่ สีและรูปร่างกระดองแปรไปตามอายุ เมื่อโตเต็มกำลังกระดองมีสีดำ หัวสีเหลือง เจอได้ทั่วราชอาณาจักรในแหล่งน้ำจืดที่ออกจะนิ่ง
เต่าจักรHeosemys spinosa(Gray), ๒๓ ซม.
เต่าขนาดเล็ก กระดองค่อนข้างจะแบนรวมทั้งมีขอบแหลม แต่จะลดน้อยลงเมื่อโตขึ้น กระดองสีน้ำตาลปนแดง มีสันกลางข้างหลังเห็นกระจ่าง นิ้วเท้าไม่มีพังผืด พบในป่าทางภาคใต้
เต่าจันPyxidea mouhotii(Gray), ๑๗ ซม.
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url][/url][/color]
เต่าขนาดเล็ก กระดองโค้งสูงสีน้ำตาลแดง มีสัน ๓ สัน หายาก เคยมีกล่าวว่าพบในป่าทางภาคเหนือรอบๆชายแดนไทย – ลาว
เต่าทับทิมNotochelys platynota(Gray), ๓๖ เซนติเมตร
เต่าขนาดเล็ก กระดองหลังมีแผ่นเกล็ด ๖ – ๗ แผ่น ต่างจากเต่าชนิดอื่นที่เจอในประเทศไทย เมื่อยังเล็กอยู่กระดองมีสีเขียวสด เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
เต่าดำSiebenrockiella crassicollis(Gray), ๒๗ ซม.
กระดองสีดำ บางตัวมีแถบสีขาวที่แก้ม ลางถิ่นก็เลยเรียก เต่าแก้มขาว  ถูกใจซุกตัวอยู่ตามโคลนตมใต้น้ำ ทำให้มีกลิ่นเต่าเหม็นราวกับใบไม้เน่า จึงมีชื่อเสียงว่า เต่าเหม็น ด้วย พบได้ตามหนองบ่อน้ำทั้งประเทศ
เต่าแก้มแดงTrachemys scriptaelegans(Wied), ๒๘ เซนติเมตร
เต่าขนาดเล็ก กระดองสีเขียวแต่ว่าจะคล้ำขึ้นเมื่อโตขึ้น ข้อดีอยู่ที่จุดสีแดงส้มข้างแก้ม เต่าประเภทนี้นำเข้ามาเลี้ยงจนกระทั่งแพร่ระบาดทั่วไปตามแหล่งน้ำจืดชืดของไทย